]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 165146 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เข้ามาลาอีกรอบคับ  :o12:
อีก 7 วัน (ฌป็นอย่างน้อย) เจอกันใหม่

 o7


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 32


“เฮ้ย ทำไมพี่แอมป์กับไอ้ปลาไหลนั่นเค้าถึงได้รู้จักกันได้วะ” ไอ้ซันลากผมออกไปคุยตรงมุมห้องที่ห่างจากอาร์มออกมาพอควร “คือ กูก็รู้นะว่าเค้ารู้จักกัน แต่จู่ๆก็มารับอาร์มพร้อมกันเนี่ยนะ เค้ามาด้วยกันได้ไง”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมส่ายหัวด้วยความรู้สึกที่ทั้งงงและแปลกใจที่คงไม่ต่างไปจากไอ้ซันในตอนนี้สักเท่าไหร่ “คือคิดๆดูแล้วเนี่ย เค้าก็น่าจะรู้จักกันในระดับนึงอยู่หรอกนะ แต่ว่าไอ้การที่มาที่นี่ด้วยกันเนี่ย....... กูก็ไม่รู้จริงๆว่ะ”

“หรือว่าจะบังเอิญเจอกันอีกแบบตอนที่มันไปงานวันเกิดบ้านมึง”

“ถ้าแบบนั้นกูก็ยอมรับเลยว่ามันน่าขนลุกเกินไปจริงๆว่ะ” ผมนิ่วหน้าแล้วหันไปมองอาร์ม จากนั้นก็หันกลับมาหาไอ้ซันอีกครั้ง ภาพความฝันเรื่องช่อดอกไม้ในคืนนั้นมันวิ่งเข้ามาในหัวของผมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “มึงจะใจเย็นได้รึเปล่าวะซัน คือ....... มึงจะไม่พูดไม่ทำอะไรใจร้อนได้รึเปล่า กูกลัวพี่แอมป์กับคนอื่นๆจะตกใจน่ะ”

“ก็อยู่ที่มันนั่นแหละ ถ้ามันไม่พูดไม่ทำอะไรเหี้ยๆออกมาก่อน กูก็ไม่คิดจะไปหาเรื่องมันก่อนหรอก”

ใช่แล้ว....... ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน

“พี่แอมป์มาแล้วนะครับ” อาร์มเรียกพวกเราสองคน เราจึงหันกลับไปทางเขา และก็เป็นอย่างที่อาร์มบอกจริงๆว่าพี่จ๊อบนั้นมากับพี่แอมป์ด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีพี่บอลมาด้วยอีกหนึ่งคน แต่พี่บอลนี่ก็คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ เพราะว่าเขากับพี่แอมป์ก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว แต่ว่าพี่จ๊อบนี่สิที่เป็นปัญหา

“สวัสดีครับ พี่แอมป์ พี่บอล พี่จ๊อบ” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่แอมป์กับพี่บอล แต่ก็ทำใจให้หันไปไหว้พี่จ๊อบไม่ได้จริงๆ ยิ่งโดยเฉพาะหลังจากที่ผมรู้สิ่งที่เขาทำกับนัทแบบนี้ด้วยแล้ว

“หวัดดีครับพี่” ไอ้ซันพูดขึ้นบ้าง

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะทั้งสองคน สบายดีมั๊ย แล้วไคล์ล่ะเป็นไงบ้าง” พี่แอมป์ทักอย่างอารมณ์ดี

“ก็ดีครับ ยังปกติดีทุกอย่าง” ผมยิ้มตอบ “แล้วพี่ล่ะ เป็นไงมั่งครับ”

“ก็เหมือนเดิมแหละค่ะ แต่เนี่ย เมฆรู้มั๊ย อาร์มเค้าบอกอยากมาเรียนยูโดที่นี่ก็เพราะว่าเรื่องที่เมฆช่วยพี่เอาไว้ที่ระยองแท้ๆเลยนะเนี่ย”

“พี่แอมป์ พูดมากน่า!” อาร์มหันไปนิ่วหน้าใส่พี่สาวของตัวเอง “ถ้างั้นผมไปรอข้างนอกนะ คุยกันเสร็จแล้วก็ตามไปก็แล้วกัน ผมไปก่อนนะครับ พี่เมฆ พี่ซัน” อาร์มหันมาไหว้เราสองคน ผมกับไอ้ซันจึงพยักหน้ารับ และหลังจากนั้นเขาก็เดินออกไปเลย

“เขินล่ะมั๊ง” พี่บอลหัวเราะ “เห็นบอกว่าที่มาเรียนวันนี้ก็เพราะไม่ค่อยอยากเจอเมฆด้วยแหละ มันเคยบอกพี่ว่ามันอยากเรียนให้พ้นสายขาวก่อนค่อยย้ายไปเรียนวันเดียวกับเมฆน่ะ”

“อย่างงั้นเหรอครับ”

“เสน่ห์แรงจริงน้า เมฆเนี่ย” พี่จ๊อบหัวเราะเบาๆ และมันก็ทำให้ไอ้ซันชักสีหน้าเลยทีเดียว แต่ว่าโชคดีที่พี่วินเดินตรงเข้ามาหาพวกเราได้แบบจังหวะพอดี

“เมฆ ซัน ใกล้จะกลับกันรึยัง”

“ก็กลับเลยก็ได้มั๊งครับ พ่อคงรอกินข้าวอยู่ด้วย อ้อ พี่วิน นี่พี่จ๊อบครับ แล้วนี่พี่แอมป์กับพี่บอล พี่ๆครับ นี่พี่จ๊อบ เป็น เอ่อออ พี่ชายเมฆ รุ่นพี่เมฆ เป็นเพื่อนพ่อ คือ อะไรประมาณนั้นนั่นแหละครับ”

ทั้งสี่คนทักทายกันพอเป็นพิธี ก่อนที่พี่วินจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “พอจะรู้รึยัง เมฆ เรื่องที่เราคุยค้างกันเอาไว้น่ะ”

“เอ่ออ ไม่ค่อยอ่ะครับพี่ ยังงงๆอยู่เลยเหมือนกัน” ผมตอบไปตามความจริง

“ก็ไม่แปลกหรอก แต่พี่ก็แค่อยากให้รู้ตัวเอาไว้เท่านั้นเอง ที่เหลือพี่จัดการให้เอง อย่างที่คุยกันไว้นั่นแหละ” พี่วินยิ้ม ส่วนไอ้ซัน พี่แอมป์และคนอื่นๆก็มองเราสองคนด้วยสีหน้างงๆ

“ก็ได้ครับพี่” ผมพยักหน้ารับ

“อืมม ถ้างั้นพี่กลับก่อนแล้วกันนะคะ เดี๋ยวอาร์มมันจะรอนานแล้วงอนเอาอีก เอาไว้เดี๋ยวเราค่อยคุยกันวันหลังนะคะ เมฆ ซัน”

“พี่เองก็กลับด้วยดีกว่า ขอไปคุยกับครูวิชญ์แป๊บหนึ่งแล้วก็คงจะกลับเลยล่ะ” พี่วินพูดขึ้น ก่อนจะชะโงกเข้ามากระซิบที่หูของผมเบาๆ “พยายามอย่าอยู่ตัวคนเดียวล่ะ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความงงเล็กน้อย แต่พี่วินก็ยังคงเอาแต่ยิ้ม ก่อนที่จะหันไปบอกลาทุกคนและเดินจากไป ส่วนไอ้ซันตอนนี้ก็คงหงุดหงิดจากความไม่รู้เรื่องอะไรเลยเต็มแก่แล้วด้วยมั๊ง เพราะสีหน้าของมันบ่งบอกออกมาได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

“พี่แอมป์ครับ ผมขอคุยอะไรกับพี่แป๊บนึงสิครับ” ไอ้ซันพูดขึ้น “อืมมม ก็เรื่องไคล์ด้วยน่ะครับ”

“อ๋อ ก็ได้ค่ะ”พี่แอมป์พยักหน้า แต่ว่าก็ยังไม่มีใครขยับตัว และไอ้ซันเองก็ไม่ยอมเริ่มพูดอะไรอีกด้วยเช่นกัน เราห้าคนยืนจ้องหน้ากันนิ่งๆอยู่ชั่วอึดใจ จนในที่สุดพี่บอลก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น

“เอออ....... งั้นกูไปรอข้างนอกกับอาร์มนะ”

“ถ้างั้นผมขอคุยกับพี่จ๊อบแป๊บนึงก็แล้วกันนะครับ” ผมหันไปพูดกับพี่จ๊อบโดยที่ไม่ได้สังเกตสีหน้าของไอ้ซันก่อน แต่ผมก็เดาเอาเองว่ามันน่าจะเข้าใจผม ผมจึงเดินฉากออกมาเองก่อนเลย โดยมีพี่จ๊อบก็เดินตามผมมาติดๆ

“ชอบดอกไม้มั๊ยครับ” พี่จ๊อบถามขึ้นทันทีที่เราสองคนอยู่ห่างจากซันและพี่แอมป์พอสมควรแล้ว

“เอาเป็นว่าผมรับน้ำใจของพี่ไว้ก็แล้วกันนะครับ แต่ว่าผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้เท่าไหร่เลย ผมไม่สบายใจเลยจริงๆนะครับ โดยเฉพาะที่พี่เองก็มีนัทอยู่แล้ว” ผมพยายามจะโยงเข้าเรื่องที่กำลังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในตอนนี้ เพราะหลังจากวันนั้น ไม่ว่าผมจะพยามโทรไปหานัทกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พยายามถามเขาว่าสถานการณ์เป็นยังไงแล้วบ้าง และเพื่อดูว่าเขาสบายใจขึ้นหรือยัง แต่ทว่านัทก็ยังคงดูเป็นทุกข์มากเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แถมยังดูสับสนมากๆเลยอีกด้วย

“ถ้าเมฆจะให้พี่เลิกกับนัทพี่ก็จะเลิก เพราะถึงยังไงพี่ก็อยากแสดงออกให้เมฆเห็นว่าพี่จริงจังมากแค่ไหนอยู่แล้ว”

“พี่จะบ้าเหรอครับ” ผมตอบกลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “นัทเค้าเป็นคนนะครับ ไม่ใช่ตุ๊กตาที่คิดจะทิ้งขว้างกันได้ง่ายๆ พี่อย่าพูดลพล่อยๆแบบนี้ต่อหน้าผมอีกนะครับ เพราะถ้าพี่ทำให้นัทต้องเสียใจล่ะก็ ผมจะไม่มีวันยกโทษให้พี่แน่”

“ใจเย็นๆสิครับ อย่าเพิ่งโมโห” พี่จ๊อบรีบออกตัว “พี่ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เพาะพี่อยากแสดงให้เมฆเห็นนี่ ว่าพี่จริงจังมากนะ พี่เองกับนัทก็ดูท่าจึงเวลาต้องเลิกกันมานานอยู่แล้วด้วย ไอ้ที่อยู่ด้วยกันตอนนี้มันก็แค่อยู่ๆกันไปอย่างนั้นเอง เราต่างคนก็ต่างเบื่อกันจะแย่อยู่แล้ว”

“พี่พูดอะไรน่ะ นัทเค้ายังรักพี่อยู่มากนะ” ผมแย้ง เพราะภาพน้ำตาและความเสียใจของนัทในวันนั้นมันผุดขึ้นในหัวของผมอีกครั้ง

“ไม่หรอก ตอนนี้ความซาบซ่ามันหายกันไปหมดแล้ว” พี่จ๊อบส่ายหน้า “แต่พอดีพี่มาเจอเมฆ พี่ก็รู้เลยว่าคนที่ใช่สำหรับพี่จริงๆมันคือใคร.........” พี่จ๊อบยิ้ม

“ผมรู้นะครับว่าพี่ทำอะไรลงไป” ผมพูดออกมาด้วยความโมโห แต่ก็ยังคงพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้บ้างไม่ให้มันหลุดออกมามากเกินไป “จริงๆมันคงไม่ใช่เรื่องของผม แต่ไอ้สิ่งที่พี่ทำลงไปมันทุเรศเกินไปจริงๆ ถือซะว่าผมขอร้องล่ะ พี่อย่าทำแบบนี้กับนัทเลย”

“เมฆพูดถึงเรื่องอะไรกัน พี่ไม่เข้าใจ”

“นัทเค้ารู้แล้วนะครับ พี่จ๊อบ ไอ้เรื่องรูปถ่ายพวกนั้นน่ะ แล้วเค้าก็เสียใจมากด้วย เค้ามาร้องไห้เสียใจกับผมว่าทำไมพี่ถึงทำกับเค้าแบบนั้น เค้ารักและไว้ใจพี่มากมาโดยตลอด แต่ว่าพี่กลับทำร้ายเค้าแบบนั้นได้ลงคอ ไอ้การจะแบล็คเมล์คนอื่นน่ะ มันเหี้ยเกินไปหน่อยนะครับพี่ ผมว่า”

พี่จ๊อบดูตกใจเล็กน้อยที่ผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ยังคงดูมีท่าทางไม่ค่อยยี่หระเท่าไหร่อยู่ดี “เมฆถามว่าทำไมพี่ถึงทำกับเค้าแบบนั้นใช่มั๊ยครับ......... ก็ได้ พี่จะบอกเมฆให้ก็ได้ว่าทำไม แต่พี่บอกไว้เลยนะว่าพี่เองก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้สักเท่าไหร่หรอก และพี่ก็ไม่ได้คิดที่จะแบล็คเมล์ใครด้วย แต่ว่ามันก็เป็นเพียงอีกหนึ่งทางเลือกของพี่ที่พี่ไม่ได้อยากจะเลือกสักเท่าไหร่เท่านั้นเอง”

“ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่จริงมั๊ง” พี่จ๊อบยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาในอกอย่างบอกไม่ถูก “ใช่แล้ว เมฆนั่นแหละ ที่เป็นคนที่ทำให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น” พี่จ๊อบตอบแบบไม่เหลือทางหนีให้แก่ผมเลย “พี่ชอบเมฆ และอยากจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเมฆ แต่ในเมื่อเมฆติดใจกับเรื่องของนัทเหลือเกิน พี่ก็ไม่มีทางเลือกนี่ จริงมั๊ยล่ะ” พี่จ๊อบยิ้มอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ผมรู้สึกอยากจะหักแขนของเขาคนนี้ทิ้งสักข้างจริงๆ

ผมกัดฟันและกำหมัดแน่น พยายามสงบจิตใจให้มากที่สุด เพราะถ้าเกิดผมเผลอใส่อารมณ์มากเกินไปล่ะก็ เรื่องราวมันก็คงต้องยิ่งแย่ลงกว่านี้แน่ๆ “พี่ต้องการอะไรกันแน่”

“พี่บอกแล้วว่าพี่กับนัทน่ะ ยังไงก็ไปกันไม่รอดอยู่แล้ว แต่ว่าเมฆไม่เคยเชื่อพี่ และพี่เองก็แค่ยากจะให้เมฆเชื่อใจพี่บ้างเท่านั้นเอง ก็ได้...... พี่ยอมรับว่าพี่ทำไม่ดี สิ่งที่พี่ทำมันผิด และพี่ก็พร้อมจะพิสูจน์ตัวเองให้เมฆเห็นด้วย” พี่จ๊อบเว้นช่วง แต่ว่าผมก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป เขาจึงเริ่มพูดต่อ “พี่จะคืนรูปทุกใบให้แก่เมฆ และแน่นอน ว่าพี่จะไม่ทำร้ายนัทด้วย ไม่ว่าจะในทางไหนก็ตาม.........”

เข้าใจพูดนี่....... “ไม่ทำร้ายนัท ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม” อย่างกับว่ามันยังไม่ได้เกิดขึ้นงั้นล่ะ

 “พี่จะไม่ไปถามนัท ไม่ไปว่านัทที่นัทเอาเรื่องนี้มาบอกเมฆ พี่พร้อมจะแสดงความบริสุทธิ์ใจให้เมฆเห็นทุกอย่าง ให้รู้ว่าพี่จริงใจกับเมฆมากจริงๆ แต่ว่าพี่ก็มีข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องการอยู่บ้างเหมือนกัน........”

“พี่ต้องการอะไร”

“โอกาสครับ.......... โอกาสจากเมฆ”

“พี่อย่ามาทำเล่นลิ้นกับผม มีอะไรจะก็พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า” ผมเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆอย่างควบคุมไม่ได้

“อยู่ห่างจากซันสักพัก” พี่จ๊อบพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากเล็กน้อย “พี่รู้ว่าซันมีคอนโดอยู่ด้วยนี่ เพราะงั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว จริงมั๊ยล่ะ” สิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินมันกำลังบิดหัวใจของผมจนเป็นเกลียว

“แล้วพี่คิดเหรอครับว่าเมื่อพี่ทำแบบนี้แล้วจะทำให้ผมหันมาสนใจพี่ได้น่ะ” ผมกำหมัดแน่น

“บางทีเรื่องนั้นมันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพี่มากเท่าไหร่แล้วก็ได้มั๊งครับ......... แต่ว่าพี่รู้แน่ๆอยู่อย่างนึงล่ะว่า ถ้าเกิดเมฆปฏิเสธล่ะก็........ พี่ก็คงต้องใช้รูปพวกนั้น ถึงแม้ว่าพี่จะไม่อยากทำแบบนั้นสักเท่าไหร่ก็ตาม”

“นี่แปลว่าพี่ไม่รู้ใช่มั๊ยครับ ว่ารูปพวกนั้นมันอยู่ที่ผมน่ะ” ผมพูดออกไป แต่คิดว่าจริงๆผมเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

“และเมฆก็คงไม่รู้ใช่มั๊ยครับ ว่ารูปพวกนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เท่าที่เมฆมีน่ะ”

ผมไม่สามารถตอบกลับอะไรไปได้นอกจากนิ่งเงียบ แบบนี้มันเกินกว่าที่ผมจะรับไหวจริงๆ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดคาดการณ์เอาไว้เลยว่ามันจะเกิดขึ้น สถานการณ์ที่ผมต้องเลือก เลือกระหว่างความสุขของผมกับความถูกต้องที่ผมควรจะทำ

“นัทเค้าจะเสียหายมากนะ”

“เมฆก็อย่าทำให้เค้าต้องเสียหายสิ”

ผมกัดฟันและเงียบลงอีกครั้ง

“ไม่ต้องรีบตัดสินใจก็ได้ครับ พี่จะขอคำตอบจากเมฆอีกทีวันเสาร์ก็แล้วกัน” พี่จ๊อบยิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังไป

“เดี๋ยว” ผมรีบเรียกให้พี่เขาหยุด “ผมขอถามอะไรพี่เป็นอย่างสุดท้าย”

“ว่าไงครับ” พี่จ๊อบหันกลับมามองหน้าผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่แสดงออกถึงชัยชนะเล็กน้อย

“ทำไมวันนี้พี่ถึงได้มากับพี่แอมป์ได้”

“พี่มาก็เพราะว่าพี่ต้องมาน่ะสิครับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนี่........” พี่จ๊อบหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะเดินจากไป

ผมไม่เคยรู้สึกหัวเสียรุนแรงแบบนี้มานานมากแล้วจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีทีเดียวที่ผมรู้สึกโกรธมากขนาดนี้ แต่ทว่าผมก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย ผมไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ของผมได้จริงๆ เพราะถ้าเกิดผมคิดจะระบายมันออกมาล่ะก็ มันก็คงมีอยู่วิธีเดียวนั่นก็คือเดินตรงเข้าไปกระชากตัวพี่จ๊อบเอาไว้แล้วต่อยหน้าเขาสักทีก่อนที่จะหักแขนข้างขวาข้างที่ใช้ถ่ายรูปพวกนั้นทิ้งซะ แต่ทว่าผมก็ทำไม่ได้......... ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรแบบนั้นกับพี่จ๊อบได้เลยแม้แต่นิดเดียว ผมไม่สามารถแตะต้องเขาได้เลย

ผมหันไปมองพี่จ๊อบที่กำลังเดินออกจากยิมไปอีกครั้ง แต่ทว่าสิ่งที่สะดุดสายตาของผมก็คือพี่วินในชุดไปรเวทที่กำลังยืนเอาหลังพิงกำแพงมองดูผมอยู่อยู่ตรงประตูทางออก ผมไม่รู้เขายืนอยู่ตรงนั้นมานานเท่าไหร่แล้ว แต่เมื่อพี่จ๊อบเดินสวนพี่วินออกไป เราสองคนก็สบตากันเข้า พี่วินส่ายหัวให้กับผมเบาๆ เป็นเหมือนการปรามราวกับว่าเขารู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“เมฆ ไปเปลี่ยนชุด” ไอ้ซันเดินเข้ามาสั่งผม ผมหันไปมองรอบๆตัวของมันก็ไม่เห็นพี่แอมป์แล้ว “พี่แอมป์กลับไปแล้ว แต่มึงน่ะไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว กูว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยว่ะ”

ผมพยักหน้าแล้วหันไปหาพี่วินอีกครั้ง แต่คราวนี้พี่เขาก็หายไปอีกคนแล้วด้วยเช่นกัน ผมจึงรีบเดินไปเปลี่ยนชุดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู ปรากฏว่ามีข้อความเข้ามาจากเบอร์ที่ผมไม่รู้จักหนึ่งฉบับ มันเขียนเอาไว้ว่า

“สี่ทุ่มครึ่ง โทรมาที่เบอร์นี้ – วิน”

ผมไม่รู้จริงๆว่าตกลงพี่วินมีเบอร์โทรศัพท์อยู่กี่เบอร์กันแน่ แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อมากไปกว่านั้น ไอ้ซันก็เข้ามาเร่งผมอีกครั้ง ผมจึงรีบเก็บของแล้วเดินตามมันไปที่รถ และขณะขับรถเราทั้งสองคนต่างก็นั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง จนในที่สุดไอ้ซันก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นมาก่อน

“มึงเล่าเรื่องทั้งหมดมาให้กูฟังเดี๋ยวนี้เลย”



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
จ๊ากกกก  ไหงสถานการณ์เปลี่ยน ไอ้รูปนั่น

แทนที่พี่จ๊อบจะแบล็กเมล์นัท กลายเป็นเอามาขู่เมฆไปซะงั้น

ยอมได้ไงกันเนี่ย  :angry2: :angry2:

ไอ้พี่จ๊อบเนี่ย ต้องโดนตรีน :เตะ1: :เตะ1:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แถมอีกตอนก่อนไป

วินาทีที่ 33


“มึงอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”

“มึงก็รู้ว่ามึงควรจะเล่าอะไรให้กูฟังบ้าง อย่ามาโยกโย้กับกู ไอ้เมฆ กูไม่ชอบเวลาที่ต้องมารู้สึกแบบนี้นะเว้ย” ไอ้ซันพูด

“แล้วมึงคิดว่ากูชอบรึไง” ผมสวนกลับทันควัน “กูขอร้องไอ้ซัน มึงอย่าเพิ่งมาทำอารมณ์เสียใส่กู เพราะตอนนี้กูกำลังหงุดหงิดมาก มึงไม่ชอบให้กูเป็นแบบนั้นหรอก กูรู้ เพราะฉะนั้นมึงหุบปากแล้วใจเย็นๆ อย่าเพิ่งทำให้กูรู้สึกแย่ยิ่งไปกว่านี้”

“มึงอย่าเพิ่งใส่อารมณ์จะได้เปล่าวะ กูถามมึงดีๆนะเว้ย” ไอ้ซันพูดว่ามันถามผมดีๆ แต่น้ำเสียงของมันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย “มึงคิดดูดิ๊ กูไปยืนอยู่ตรงนั้น แล้วไม่รู้ห่าอะไรเลย ทั้งเรื่องพี่จ๊อบ เรื่องอาร์ม แล้วยังเรื่องพี่วินอะไรของมึงนั่นอีก”

“มึงอย่าเพิ่งมาหึงมั่วซั่วตอนนี้ได้มั๊ยวะ ไอ้ซัน พี่วินเป็นพี่กู เป็นเพื่อนของครอบครัวกูมาตั้งแต่กูจำความได้แล้วไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น มึงหัดเชื่อใจกูหน่อยจะได้มั่งมั๊ยเนี่ย อะไรของมึงวะ”

“งั้นมึงก็บอกมาสิว่าไอ้พี่วินนั่นเค้าไปกระซิบอะไรที่ข้างหูมึง แล้วเรื่องที่ไอ้พี่จ๊อบมันพูดถึงอาร์มมันหมายความว่ายังไง แถมยังที่มึงไปคุยกับไอ้เหี้ยจ๊อบกันแค่สองคนด้วย กูถูกมึงลากมาที่นี่แล้วไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยนะเว้ย”

“กูว่าถ้ามึงยังไม่ใจเย็นลงนะ เราก็ยังไม่มีเรื่องจะต้องพูดกันว่ะ”

“มึงบอกตัวมึงเองเหอะ ไอ้เมฆ อยู่ดีๆก็มาแว้ดๆใส่กู ไอ้เหี้ยเอ๊ยย” ไอ้ซันสบถ

“ถ้ากูมันเหี้ยมากนัก ทำไมมึงไม่เลือกไอ้แบ๊งค์ไปซะเลยเล่า ไอ้สัตว์! มึงจอดรถเลย! กูขอลงตรงนี้แหละ ต่างคนต่างไปดีกว่าว่ะไอ้ซัน ขืนมึงกับกูยังอยู่ในรถคันเดียวกันต่อไป มีหวังเราสองคนได้ฆ่ากันตายก่อนถึงบ้านแน่ กูบอกแล้วนะว่ากูกำลังอารมณ์เสียมาก มึงอย่ามาชักใบให้เรือเสีย”

“ได้ งั้นมึงลงไปเลย!” ไอ้ซันกระชากเสียงพร้อมกับหักพวงมาลัยเข้าข้างทางทันที ทำเอารถคันข้างหลังบีบแตรด่ากันระงม “ถ้ามึงเลือกที่จะทำอย่างนั้นก็ได้เลย ตามสบาย”

พอผมออกจากรถและปิดประตูปุ๊บไอ้ซันก็ออกรถไปอย่างรวดเร็วทันที ทิ้งให้ผมยืนอยู่ข้างถนนคนเดียวตามลำพัง แต่อารมณ์ของผมในตอนนี้นั้นมันไม่ใช่แค่หงุดหงิดอย่างเดียวแล้ว เพราะผมทั้งโกรธ ทั้งเหนื่อย ทั้งสับสนไปหมดในทุกๆเรื่อง แต่ที่ผมรู้สึกแย่มากที่สุดก็คือว่าทำไมสุดท้ายผมถึงต้องมาลงเอยด้วยการทะเลาะกับไอ้ซันแบบนี้ด้วย จนถึงตอนนี้ความคิดที่ว่าเราสองคนควรแยกกันอยู่ก็ดูกลับกลายเป็นความคิดที่ดีขึ้นมาไปทันที เพราะถ้าหากเรายังตัวติดกันใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเกินไปแบบนี้เรื่อยๆ เวลาที่เราต้องทะเลาะกันทีไรมันก็มักจะจบลงด้วยเหตุการณ์แรงๆแบบนี้เสมอจริงๆ

และผมเองก็ชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้วด้วยเหมือนกัน

“แม่งเอ๊ย!” ผมสบถออกมาแล้วต่อยเข้าที่เสาไฟฟ้าอย่างแรง เลือดที่ไหลออกมาซิบๆกับความเจ็บปวดที่สันหมัดช่วยทุเลาความโกรธของผมลงได้บ้างเล็กน้อย ผมตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดหาพี่วินทันทีถึงแม้มันจะยังไม่ถึงเวลาที่พี่เขานัดให้โทรกลับไปก็ตาม

“ทะเลาะกันงั้นเหรอ” พี่วินรับสายและถามขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับกำลังรอโทรศัพท์จากผมอยู่แล้ว

“ก็........ ครับ พี่รู้ได้ไงน่ะ” ถึงพี่วินจะรู้เรื่องแทบทุกอย่างของผมได้จริงๆก็เถอะ แต่เรื่องที่ผมเพิ่งจะทะเลาะกับไอ้ซันเมื่อสองนาทีก่อนนี่มันก็คงเกินความสามารถของพี่วินที่จะรู้ได้ไปหน่อยจริงๆ

“ขึ้นรถมาก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งถามอะไรเลย” พี่วินกดปุ่มวางสายไป และตอนนั้นเองที่รถฟอร์ดคันหนึ่งค่อยๆชะลอความเร็วลงและมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผม

“พี่วิน” ผมถามด้วยความประหลาดใจเมื่อกระจกทางฝั่งคนนั่งลดต่ำลงเผยให้เห็นใบหน้าของพี่วินที่เป็นคนขับรถ

“ขึ้นมา เร็ว”

ผมเปิดประตูรถและกระโดดขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็วตามที่พี่วินบอก “นี่พี่วินขับตามผมมาเหรอครับเนี่ย”

“ใช่” พี่วินพยักหน้า “ไม่งั้นพี่จะเห็นเหรอว่าซันจอดรถทิ้งให้เมฆลงกลางทางแบบนี้น่ะ”

“แต่........ ทำไม.......”

“พี่มีเหตุผลของพี่ก็แล้วกัน” พี่วินตัดบท “แล้วทำไมถึงต้องทะเลาะกันด้วย พี่ว่าปกติเมฆน่าจะใจเย็นได้ดีกว่านี้นะ”

“ปกติมันก็คงใช่แหละครับ” ผมถอนหายใจ “แต่เมื่อกี๊นี้ตอนผมคุยกับพี่จ๊อบ........... พี่วินรู้เรื่องแล้วรึยัง” ผมถามออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก

“พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะ” พี่วินหัวเราะเบาๆ “พี่ไม่ได้มีหูทิพย์ตาทิพย์นะ แต่แค่ตอนนั้นพี่เห็นสีหน้าของเมฆก็พอจะรู้แล้วว่าท่าทางมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เอาล่ะ ไหนเล่ามาให้พี่ฟังซิ”

“เรื่องมันเริ่มมาจากนัทเมื่อวันจันทร์น่ะครับ..............” ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่ที่นัทโทรเรียกผมออกไปเล่าเรื่องรูปให้ผมฟังจนมาถึงเรื่องที่พี่จ๊อบเสนอให้ผมเมื่อเย็นนี้ พี่วินนั่งฟังอย่างตั้งใจและไม่ได้พูดหรือถามอะไรออกมาเลยสักคำจนกระทั่งผมเล่าจบ

“มันชักจะเกินไปแล้วจริงๆ” พี่วินส่ายหน้าเบาๆ

“จะว่าไป....... พี่วินบอกว่าพี่รู้จักพี่จ๊อบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ แต่ทำไมดูไม่เห็นเหมือนพี่จ๊อบจะรู้จักหรือจำพี่ได้เลยนี่”

“พี่รู้จักมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะรู้จักพี่นี่”

“แล้วเรื่องที่พี่วินบอกตอนเราจับคู่ซ้อมกันอยู่ล่ะ พี่หมายถึงเรื่องที่ผมจะได้เจอกับพี่จ๊อบมาพร้อมพี่แอมป์ใช่มั๊ยครับ แล้วยังเรื่องที่พี่รู้จักกับอาร์มอีก แถมผมยังสงสัยเรื่องที่พี่พูดกับครูวิชญ์อีกด้วยนะ นี่ผมงงไปหมดแล้วนะครับพี่ ผมเริ่มจะเครียดจริงๆจังๆแล้วนะ มันเยอะแยะไปหมดจนผมชักจะรับไม่ทันอยู่แล้ว”

“ใจเย็นๆเมฆ ก็ได้ พี่จะบอกให้ก็ได้ว่านับตั้งแต่วันแรกที่เมฆคุยกับพี่ พี่ก็จับตาดูทุกคนที่เมฆเอ่ยชื่อมาทั้งหมดอยู่ตลอด แน่นอนว่าโดยเฉพาะไอ้จ๊อบ และแค่นั้นมันก็บอกพี่ได้หลายๆอย่างแล้ว พี่ก็แค่พยายามคิดอะไรล่วงหน้าและไม่ขวางกระแสน้ำที่มันกำลังไหลอยู่เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่คงต้องเริ่มทำอะไรบ้างแล้วเหมือนกันก่อนที่เมฆจะมีปัญหามากไปกว่านี้”

“พี่คิดจะทำอะไรครับ”

“หาความจริง” พี่วินตอบกลับมาสั้นๆ

พี่วินส่งผมลงแค่ถนนแถวบ้านแล้วให้ผมนั่งแท็กซี่เข้าไปเองเพราะไม่อยากให้ผมมีปัญหากับซันมากไปกว่านี้ แต่ว่าแค่นี้ผมก็ไม่รู้แล้วล่ะว่าเราจะสามารถทะเลาะหรือมีปัญหาอะไรกันไปได้ยิ่งกว่าตอนนี้อีก เพราะแค่นี้ผมก็ไม่รู้แล้วว่าผมจะรับมือกับมันยังไง สงสัยไม่ใครสักคนคงต้องหนีไปนอนห้องของไคล์เหมือนเมื่อตอนอยู่อังกฤษที่พีต้องรับภาระดูแลพวกเราคนใดคนหนึ่งแทนอีกแล้วล่ะมั๊ง

“เกิดอะไรขึ้น” พ่อเอกถามผมทันทีที่ผมเปิดประตูบ้านเข้าไป “ทำไมถึงไม่ได้กลับมาพร้อมกันล่ะ มีปัญหากันอีกแล้วหรือไง”

“ก็นิดหน่อยครับพ่อ พ่อไม่ต้องคิดมากหรอก” ผมเดินไปนั่งลงที่โซฟาข้างๆพ่อ “ว่าแต่นี่พ่อกินข้าวรึยัง”

“ยังเลย ก็รอเราสองคนนี่แหละ แต่ซันบอกว่าเค้าไม่หิวแล้วและจะขอตัวนอนเลย ไหน มีปัญหาอะไรอยากจะเล่าให้พ่อฟังรึเปล่า”

ผมถอนหายใจเบาๆด้วยความเหนื่อยใจ “ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ เรื่องงี่เง่าๆน่ะ ผมขอโทษนะครับ แต่ถ้าเกิดผมพูดออกมาอีก ผมก็คงจะต้องโมโหออกมาอีกแน่ๆน่ะ นี่ผมก็อุตส่าห์เย็นลงไปเยอะแล้ว”

“ก็แล้วแต่เราก็แล้วกัน พ่อก็แค่ไม่อยากเห็นลูกสองคนทะเลาะกันเลย โดยเฉพาะเมฆน่ะ.........”

“ผมเหรอครับ” ผมสงสัย

“ใช่ พ่อไม่อยากเห็นเมฆต้องโมโห เพราะพ่อรู้ว่าเราน่ะโมโหแรงแล้วมักจะไม่ค่อยยอมฟังใครนักหรอก ส่วนซันก็เป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นส่วนมากแล้วเมฆจึงเป็นคนที่ต้องรับหน้าที่เหมือนเป็นน้ำเย็นนะ เข้าใจมั๊ย”

“ผมเข้าใจครับพ่อ แต่บางทีมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน” ผมส่ายหน้า “มันเองก็เอาแต่ร้อน ไม่ยอมฟังอะไรผมเลย ผมเองก็คนนะ เย็นไม่ได้ตลอดเวลานักหรอก”

“เมฆเองก็รู้ว่าซันไม่ได้เอาแต่ร้อนตลอดเวลาขนาดนั้น ลองถามตัวเองดูดีๆสิ” พ่อเอกตบบ่าของผมเบาๆแล้วมองตาของผม “เมฆจำได้รึเปล่าว่าเมฆเคยบอกพ่อว่าเมฆอยากจะเป็นคนดูแลพ่อถึงได้ขอเรียนเทควันโด และ พ่อเองก็เคยสอนเมฆว่า เมฆจะต้องใช้ความสามารถที่เมฆมีเพื่อช่วยคนอื่น ไม่ใช่เอาไปทำร้ายคนอื่น......... หรือแม้แต่ทำร้ายตัวเอง” พ่อยกมือข้างขวาของผมที่มีแผลอยู่ขึ้นมา “เมฆเคยรับปากพ่อไว้แล้วนะ”

“ผม..... ผมขอโทษครับ คือ ตอนนั้นมันก็.........”

“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ พ่อว่าเราไปกินข้าวกันได้แล้วล่ะ เดี๋ยวเหลืออะไรไว้ให้ซันเค้าหน่อยก็แล้วกัน เพราะถ้าดึกๆเค้าเกิดหิวขึ้นมาก็จะได้ลงมาหาอะไรกินได้”

ผมกับพ่อเอกนั่งกินข้าวด้วยกันสองคน เราพยายามหลีกเลี่ยงไม่ได้คุยถึงปัญหาของผมกับซันมากนัก และพ่อเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากมายด้วย ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกใจเย็นลงได้มากขึ้นเช่นกัน แต่ว่าถึงยังไงก็ตาม จิตใจของผมมันก็หมกมุ่นไปอยู่กับไอ้คนที่กำลังนอนอยู่บนชั้นสองเรียบร้อยแล้ว

“ไปซะ คุยกันให้ดีๆ แล้วก็ใจเย็นๆ เข้าใจมั๊ย” พ่อเอกกำชับผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะแยกย้ายกันขึ้นห้อง

ผมเดินขึ้นไปหยุดอยู่หน้าห้องเห็นไฟในห้องปิดหมดแล้ว ผมเลยเปิดประตูเข้าไปช้าๆ และก็เป็นอย่างที่คิด นั่นก็คือเห็นไอ้ซันกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียงท่าทางจะไม่รู้ตัวเลยว่าผมกลับมาแล้ว แต่ผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ ผมจึงเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้นและหันไปปิดล็อกประตู

“พี่วินเป็นพี่ที่สนิทกับพ่อกูมาก และพ่อกูก็เป็นคนที่บอกให้พี่วินเข้ามาช่วยกูจัดการและดูแลในเรื่องนี้ด้วย นั่นก็คือเรื่องพี่จ๊อบนั่นแหละ ส่วนเรื่องอาร์มมันก็จะไปมีห่าอะไร ไอ้พี่จ๊อบมันก็ปากดีไปเท่านั้นเอง อยากหาทางให้กูกับมึงทะเลาะกันใจจะขาดแล้ว และสุดท้ายมันก็ทำสำเร็จด้วยสิ.........” ผมยืนเอาหลังพิงประตูแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้นัทก็บอกกูออกมาแล้วว่าพี่จ๊อบกำลังพยายามจะหาทางเลิกกับนัทอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ากูก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความไว้วางใจกัน กูเองก็อยากให้มึงไว้ใจกูนะ แต่ดูเหมือนมันจะยากเกินไปจริงๆ.........”

ยังไม่คงมีเสียงตอบกลับมาจากไอ้ซัน

“กูถามพี่จ๊อบแล้ว และมันก็ยอมรับออกมาแล้วด้วยว่ามันกำลังอยากจะเลิกกับนัทจริง เพราะฉะนั้นกูถึงได้กำลังเครียดมาก กูไม่รู้จะทำยังไงดี กูหวังว่ามึงจะเข้าใจกู......... แต่ดูท่าทางแล้วมันคงจะยากสินะ ซัน..........” เมื่อพูดจบผมก็เปิดประตูห้องออกไปแล้วเดินเข้าไปยืนพิงประตูอยู่ในห้องน้ำ ถอนหายใจ และสับสนว่าผมพูดกับไอ้ซันไปอย่างนั้นมันจะดีแล้วจริงๆหรือเปล่า เพราะถึงยังไงผมก็ไม่สามารถบอกมันเรื่องรูปถ่ายของนัทได้จริงๆ และถ้าบอกเรื่องรูปถ่ายของนัทไม่ได้ ผมก็ยิ่งพูดเรื่อง “ข้อเสนอ” ที่พี่จ๊อบยื่นให้ผมวันนี้ไม่ได้เข้าไปใหญ่

ตอนนี้ตัวเลือกของผมดูเหมือนจะมีแค่เพียงสองทางเท่านั้น นั่นก็คือระหว่างถ้ายังอยู่กับไอ้ซัน รูปถ่ายของนัทก็จะถูกนำไปใช้ในทางไหนที่ผมก็สุดที่จะเดาได้ กับ ผมต้องเริ่มห่างจากซันมากขึ้น โดยการที่บอกให้มันไปนอนที่คอนโดคนเดียวก่อน แต่ถ้าทำแบบนั้น ผมก็ไม่รู้อีกว่าเวลาเราห่างตากัน มันจะมีเหตุการณ์อะไรมาสั่นคลอนความเชื่อใจกันและกันของเราอีกบ้าง เพราะพี่จ๊อบเองก็คงไม่ได้พอใจกับเรื่องแค่นี้แน่นอน ที่สำคัญคือถ้าผมยอมทำตามเงื่อนไขนี้แล้ว ผมมั่นใจว่ามันจะต้องมีเงื่อนไขอื่นๆมามัดมือปิดปากผมต่ออีกแน่นอน

ผมกำหมัดแน่น รู้สึกถึงความโกรธที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่ผมเริ่มมองเห็นทางออกที่สามที่มันพอจะเป็นไปได้ นั่นก็คือ..... พี่วิน

ใช่แล้ว ถ้าพี่วินเป็นคนจัดการเรื่องนี้ล่ะก็........ ถ้าพี่วินช่วยผมดูแลเรื่องพี่จ๊อบรวมถึงเรื่องรูปถ่ายทั้งหมดให้ล่ะก็..........

“ไม่ได้!” ผมสะบัดหัว “มันอันตรายเกินไป ถ้าพีวินลงมือด้วยตัวเองล่ะก็ มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ แถมนี่มันเป็นปัญหาที่เราต้องจัดการด้วยตัวเองด้วย เราจะไปพึ่งพาใครคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”

“เมฆ” เสียงไอ้ซันดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตูห้องน้ำ ผมจึงหันไปเปิดประตูออก และทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ไอ้ซันก็ก้าวเข้ามาในห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่ในมือทันที

“อะไรของมึงเนี่ย”

“มึงจะอาบน้ำแต่ไม่เอาผ้าเช็ดตัวเข้ามา แล้วมึงจะอาบยังไง” ไอ้ซันพูดไปพลางถอดเสื้อออกไปพลาง “เอ้า รีบๆถอดดิ่ กูง่วงแล้ว อยากนอน”

ผมส่ายหน้าเบาๆ “แล้วมึงจะไม่กินข้าวรึไง”

“ไม่กินแล้ว กินอย่างอื่นแทนดีกว่า.........” ไอ้ซันเดินเข้ามากอดผมแล้วจูบลงที่หน้าผากผมเบาๆ เราสองคนสบตากันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง “กูขอโทษนะ”

ผมยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับมัน “ไปอาบน้ำกันเถอะ...........”

หลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จและขึ้นมานอนอยู่บนเตียงด้วยกันแล้ว ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมเราทั้งสองคนอีกครั้ง ถึงจะไม่ต้องพูดออกมา แต่ผมก็รู้ดีว่าในใจของมันเองตอนนี้ก็คงว้าวุ่นไม่แพ้ผมเช่นกัน หลากหลายความคิด หลากหลายความสับสนล้วนแต่วิ่งผ่านเข้ามาในใจของผมจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัด ความไม่แน่นอนและปัญหาที่ดูราวกับไร้ทางแก้ไขที่จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมันชักทำให้จิตใจของผมเริ่มหม่นหมองและเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจและไม่เคยสับสนเลยนั่นก็คือ ผมรักไอ้ซันมากมายเหลือเกิน.......

ผมหันไปมองหน้ามันที่กำลังนอนลืมตาอยู่ในความมืดและยิ้มออกมาจางๆ ถึงตอนนี้เราสองคนจะดูมีปัญหาให้ต้องแก้ไขจัดการมากเหลือเกิน แต่ทว่าสิ่งๆหนึ่งที่ผมรู้สึกสบายใจและวางใจมากที่สุดก็คือ ความรักที่เราสองคนมีให้แก่กัน....... ผมรู้ดีว่ามันเองก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกันนี้กับผมด้วยเหมือนกัน เพราฉะนั้นผมจึงมั่นใจว่าไม่ว่าปัญหาที่เข้ามามันจะยากเย็นหนักหนามากสักเพียงใด ตราบเท่าที่เรามีกันและกัน ตราบเท่าที่เรายึดมั่นในความรัก คำสัญญา และยังคงมีความไว้วางใจมอบให้กันอยู่ตอลดเวลา เราจะต้องผ่านพ้นมันไปได้แน่ๆ

ใช่เ ราจะต้องผ่านพ้นมันไปได้ ผมรู้ดี....... ถ้าหากความรักของเราสองคนเปรียบเป็นดั่งก้อนเมฆที่รักท้องฟ้า และท้องฟ้าที่คอยโอบอุ้มหมู่เมฆ ความสำคัญที่เรามีกันและกัน มันก็คงไม่ต่างไปจากความเป็นนิรันดร์ที่ท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะต้องลอยอยู่เคียงคู่กันไปตลอดเวลา ไม่มีวันที่สิ่งอื่นสิ่งใดจะมาทำลายเราสองลงได้ ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าของท้องฟ้าที่ต้องลาจากแสงอาทิตย์ในยามเย็น ความหนาวใจของหมู่เมฆท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน หรือความร้อนแรงแผดเผาของแสงแดดที่ส่องทะลุฟ้าที่ไร้เมฆลงมายังพื้นดิน....... ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญไปกว่าทุกๆวินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน ไม่มีความสวยงามและความยิ่งใหญ่ใดจะมาสำคัญไปกว่าความผูกพันที่เรามีให้กันและกัน และไม่มีความงดงามใดที่จะแบ่งกั้นทุกข์สุขของเราสองคนออกจากกันได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเส้นขอบฟ้าที่สวยงามและมีบทบาทอย่างใหญ่หลวงของท้องฟ้ากับทุกสรรพสิ่งก็ตาม

เพราะว่าเราสองคนคือท้องฟ้ากับก้อนเมฆที่จะไม่มีวันจากกัน ไม่ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไปจะเป็นเช่นไรก็ตาม.......

“กูไปคุยกับพี่แอมป์มาว่าทำไมเค้าถึงมากับพี่จ๊อบได้น่ะ” ไอ้ซันเป็นฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบลงก่อน “พี่เค้าบอกว่าพี่จ๊อบเองนั่นแหละที่เป็นคนพาอาร์มไปสมัครที่นั่นตั้งแต่แรก แล้วเค้าก็ตั้งใจจะไปหาอาร์มอยู่แล้วมั๊ง ก็เลยนัดพี่แอมป์ออกไปพร้อมๆกัน”

“พี่จ๊อบเป็นคนพาอาร์มไปสมัครที่นั่นงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ พี่แอมป์เค้าบอกมาแบบนั้นนะ คือ พี่เค้าเองก็บอกว่าเค้าก็ไม่ได้รู้จักได้คุยอะไรกับพี่จ๊อบนักหรอก แต่ไอ้ตอนวันเกิดมึงนั่นแหละ ที่เค้ากับอาร์มได้คุยกับพี่จ๊อบมากขึ้นนิดหน่อย แล้วหลังจากนั้นก็มีติดต่อกันนิดนึง แต่ส่วนมากก็จะเป็นอาร์มแหละมั๊ง เพราะพี่จ๊อบเป็นคนเสนอพาอาร์มไปสมัครเรียนที่เดียวกับมึงตั้งแต่คืนวันเกิดมึงคืนนั้นแล้ว”

“กูไม่รู้เรื่องเลยว่ะ คือ....... กูไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากปากอาร์มเลยนะ” ผมนิ่งหน้าในความมืดเล็กน้อย “เรื่องนี้มันก็แปลกดี.......”

“ก็นั่นน่ะสิ” ไอ้ซันเห็นด้วย “แล้วมึงล่ะ คุยอะไรกับมัน แล้วเรื่องอาร์มน่ะ มึงบอกกูได้มั๊ยว่ามันยังไงกันแน่”

“กูก็ถามพี่จ๊อบมันเหมือนกันว่ามาได้ยังไง แต่แม่งไม่ตอบ เสือกตอบแบบกวนตีนๆกู กูก็เลยโมโหดิ่ แถมยังพูดจาเรื่องนัทแบบเหี้ยๆอีก เหมือนแบบอยากเลิกเหลือเกินแล้วอะไรของแม่งน่ะ กูก็เลยยิ่งฉุนหนัก”

“ที่มึงไปหานัทเมื่อวันก่อนน่ะเหรอ”

“ใช่ ส่วนเรื่องอาร์มน่ะ ก็ไม่ได้มีเหี้ยอะไรจริงๆ นานๆทีอาร์มเค้าก็จะโทรมาคุยกับกูบ้างเท่านั้นเอง ไคล์เองก็รู้ ดูเหมือนน้องมันจะติดตาติดใจกูตั้งแต่ตอนที่เราอยู่ระยองแล้วน่ะ แต่ก็คงไม่ได้คิดอะไรกับกูถึงขนาดนั้นหรอกมั๊ง ออกแนวปลื้มๆมากกว่า อันนี้กูค่อนข้างมั่นใจว่ะ”

“มึงแน่ใจนะ”

“อืมม แล้วก็ถึงเค้าจะคิดอะไรกับกูมากมายเกินคำว่าพี่น้อง มันก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นอยู่แล้วอ่ะ ก็มันเห็นๆกันอยู่ว่ากูยังมีมึงแบบนี้ แถมถ้าไคล์มันรู้อะไร มันก็ต้องช่วยพูดช่วยห้ามอยู่แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้อาร์มมันก็สนิทกับไคล์มากขึ้นเยอะแล้วด้วย”

“สรุปคือกูคิดมากไปเองใช่มั๊ย กูไม่ต้องกังวลอะไรใช่มั๊ย เมฆ”

“มึงไม่ต้องกังวลอะไรหรอก.......” ผมเขยิบเข้าไปหอมแก้มมันเบาๆ “ท้องฟ้าจะเชื่อใจก้อนเมฆเหมือนที่ก้อนเมฆเชื่อใจท้องฟ้าได้มั๊ยล่ะครับ ฮึ”

“ซันเชื่อใจเมฆครับ....... แต่ว่า.......”

“ไม่ต้องมีแต่แล้ว” ผมรีบแย้ง “ตราบใดที่เราซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ปัญหามันก็จะไม่มี จริงมั๊ยครับ”

ไอ้ซันพยักหน้าออกมาเบาๆเป็นคำตอบ

“เออ จะว่าไปวันนั้นที่ซันไปหาเมฆที่ออฟฟิศอ่ะ แล้วตอนเรากินข้าวกัน ซันเป็นไรวะ ทำไมดูท่าทางแปลกๆ”

“อ๋อ ตอนนั้น.........” ไอ้ซันทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย “ก็คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ แล้วก็ ไม่รู้สิ....... จู่ๆมันก็คิดอะไรขึ้นมาได้น่ะ ก็เลยอยากรีบกลับ และเลยจะได้รีบมาทำกับข้าวให้มึงกินด้วยไง”

“นี่ มึงไม่ต้องปิดบังกูแล้วได้มั๊ย ซัน........ บอกความจริงกูมาเถอะ นี่เราก็คุยเปิดอกกันหมดแล้วนะ”

“มันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก สุดท้ายแล้วกูก็แค่คิดไปเองน่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่มึงต้องใส่ใจหรอก เมฆ” ไอ้ซันหันตะแคงตัวมากอดผม

“แต่กูก็อยากให้มึงบอกความจริงกูจริงๆซักทีแล้วเหมือนกันนะ เพราะว่าถ้ามีอะไรเราก็จะได้ช่วยกันแก้ไขได้ไง”

“นี่แหละกูกำลังบอกความจริงมึงไปหมดทุกอย่างแล้ว” ไอ้ซันหอมแก้มผม “ถ้ามันมีอะไรร้ายแรงหรือไม่ไหวจริงๆ มีหรือที่กูจะไม่บอกมึงน่ะ ฮึ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้น คำพูดที่ผมเคยคุยกับไอ้เอ็นเอาไว้ก็ดังก้องขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้งทันที ใช่แล้ว ผมเคยพูดไว้แล้วนี่นะว่าผมจะไม่เร่งรัดอะไรมัน ผมพูดเอาไว้ทั้งกับไอ้เอ็นและตัวผมเองแล้วว่าผมจะรอจนกว่ามันจะพร้อม และผมจะเชื่อใจมันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม..........



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เอาละซี แต่ละคนน่าสงสัยทั้งนั้น
แต่จ๊อบนี่ท่าทางจะออกนอกหน้าเลยนะ  :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
มาดันพี่ชายๆๆๆ

น้องชายจะตายอยุ่แร้ว หลายเรื่องมากมายเรยอ้ะพี่  :serius2:

โดยเฉพาะเรื่องเรียน ฟิสิกส์อ้ะ เป็นครั้งแรกที่ตกมีนมา 18.2 คะแนน

อ๊าากกกกซ์ซ์ น้องจะตายแล้วพี่ ช่วยด้วย  :o12:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
อืมมม เรื่องราวสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ... ไอ่พี่จ๊อบก็กวนตรีนซะเหลือเกิน  o12 เลวซร้า

... แล้วตกลงว่า .... การมีความลับต่อกัน เล็กๆน้อยๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากเนี่ย มันดีหรือไม่ดีกันแน่หว่า?

ไอ่แบงค์ ... ไอ้น้องอาร์ม ... ไอ่พี่จ๊อบ .... พี่วิน ... อืมมม คนเยอะเรื่องแยะนิ จะเป็นไงต่อเนี่ย ...

เอาเป็นว่า .... ขอให้ต้นกะทึ่มมีความสุขมากๆละกันนะ 555+ โยงมาได้ไงเนี่ย .... ต้นไม่อยู่หลายวันคงคิดถึงแย่ แล้วกลับมาเขียนเร็วๆเน้อ  :oni1:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
แวะมาดันกระทู้พี่ชายเล่นๆ
รึว่าพี่ชายอยากให้ดันอย่างอื่น  :m20:

อย่ามัวแต่แรดนานล่ะ
สงสารพี่ทึ่มสุดรักของผม
555+  :m20:

แร้วจาได้กลับมาวันไหนเนี่ย
- -"

ปล. ช่างกล้านะพี่ชาย "เช็ดโด้" เนี่ยยยยยยยยย  :m16:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 34


วันถัดมาหลังจากที่เรานัดเจอพี่วิน ไอ้ซันก็ซื้อรถคันใหม่ให้ตัวเองอย่างที่มันตั้งใจเอาไว้ โดยที่มันเอารถไปจอดไว้ที่คอนโดของตัวเองก่อน และยังคงใช้รถของพ่อเอกอยู่เหมือนเดิม นอกจากนั้นผมกับมันก็ไปสมัครที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งด้วยกันและตั้งใจไว้ว่าถ้าตอนเย็นเราว่างตรงกันเราก็จะมาเจอกันที่นี่ก่อนกลับบ้าน ถึงแม้ว่าการที่ผมทำแบบนี้มันจะยิ่งดูเหมือนผมปฏิเสธข้อเสนอของพี่จ๊อบเข้าไปใหญ่ แต่ตัวพี่จ๊อบเองก็ไม่ได้ติดต่อ เรียกร้อง หรือออกมาโวยวายอะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงดูเหมือนกับว่าน่าจะกลับมาเป็นปกติดีแล้ว

จนกระทั่งคืนวันศุกร์มาถึง.......

“ตอนนี้น่ะเหรอ” ผมใช้หัวไหล่หนีบโทรศัพท์มือถือเอาไว้ขณะที่เดินไปคว้ากางเกงยีนส์มาสวมอย่างเร่งรีบ “แล้วเค้าว่ายังไงบ้าง ทุกอย่างโอเครึเปล่า”

“ก็ปกติดี แต่ว่านัทมันพูดอารมณ์แบบว่าอยากเจอมึงน่ะสิ กูถามอะไรมันก็ไม่ตอบ กูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน” อีฟบอกผมผ่านทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงกังวลใจ “มันเกิดอะไรขึ้นวะ เมฆ”

“กูก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้มึงดูนัทไปก่อนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวกูจะรีบไปหา มึงไม่ต้องกังวลไปหรอก”

“มึงแน่ใจนะว่ามึงมาได้น่ะ ไอ้ซันมันจะไม่ว่าอะไรเอาเหรอ แล้วยังพ่อมึงอีก”

ผมเงยหน้าขึ้นมองดูนาฬิกาบนผนัง “ไม่เป็นไรหรอก มันก็เพิ่งจะทุ่มเดียวเอง ไม่น่ามีปัญหา และที่สำคัญคือกูจะปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆก็ไม่ได้ใช่มั๊ยล่ะ”

“อืมม ถ้างั้นกูก็ขอบใจจริงๆนะเว้ยที่มึงอุตส่าห์จะมา แล้วก็ขอโทษด้วยที่กูช่วยอะไรไม่ได้เลย แถมยังทำให้มึงต้องลำบากอีก”

“ไม่ต้องขอโทษขอบใจอะไรทั้งนั้นแหละ กูนั่นแหละที่ต้องขอบใจมึงที่ช่วยดูแลนัทเค้าให้ ยังไงก็ฝากเค้าไว้ก่อนจนกว่ากูจะไปถึงก็แล้วกันนะ อีฟ”

ผมกดปุ่มวางสายและรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินลงมาชั้นล่างซึ่งพ่อกับไอ้ซันกำลังนั่งดูทีวีและพูดคุยกันอยู่

“อ้าว จะไปไหนล่ะเมฆ” พ่อเอกถามขึ้น “ไม่กินข้าวที่บ้านเหรอ”

“พอไคล์กลับมาถึงแล้วพ่อกับซันก็กินข้าวไปก่อนเลยก็ได้ครับ ผมคงกลับดึกหน่อยนะ” ผมตอบ จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “เมื่อกี๊อีฟโทรมาแล้วบอกว่ามีเรื่องนิดหน่อยว่ะ กูก็เลยจะออกไปหามันนะ”

“เรื่องอะไรวะ จะให้กูไปด้วยรึเปล่า” ไอ้ซันพูดพลางขยับตัว

“เรื่องนัทน่ะ”

ไอ้ซันที่ตอนแรกทำท่าจะลุกขึ้นยืนกลับหยุดค้างอยู่กับที่และทิ้งตัวลงนั่งเหมือนเดิม “ถ้างั้นตามใจมึงก็แล้วกัน”

“แล้วกูจะรีบกลับนะ มึงไม่ต้องเป็นห่วงล่ะ”

“เออ มึงไปเหอะ” ไอ้ซันตอบโดยไม่ได้มองหน้าผมและหยิบมือถือที่วางอยู่ขึ้นมากดด้วย

“งั้นกูไปก่อนนะ แล้วเดี๋ยวกูจะโทรหาอีกที” ผมบอกมันก่อนจะหันไปหาพ่อเอก “งั้นผมไปก่อนนะครับพ่อ”

พ่อเอกพยักหน้าให้กับผมเล็กน้อย ผมจึงเดินออกจากบ้านมาที่โรงรถ และขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูรถนั่นเอง เสียงของพ่อก็ดังขึ้น

“เดี๋ยวก่อน เมฆ”

“ครับพ่อ”

พ่อเอกเดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงดูออกว่ามันเป็นสีหน้าที่แสดงความห่วงใยเหนือสิ่งอื่นใดนั่นเอง “การที่เราจะมองย้อนไปทางด้านหลังน่ะ มันก็ไม่ได้ผิด แต่ก็อย่าลืมด้วยว่าใต้ฝ่าเท้าของเรามันคืออะไร และเบื้องหน้าของเรามันคือสิ่งไหน จำเอาไว้ให้ดีล่ะ........”

“ครับพ่อ.........”

ผมบอกขอบคุณพ่อเอกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขับรถออกมา จากบ้านของผมไปบ้านของอีฟนั้นใช้เวลาประมาณสามสิบนาที ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เรียกว่าอยู่ไกลกันมากสักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากที่นี่คือกรุงเทพและแถมยังเป็นคืนวันศุกร์อีกด้วย จึงทำให้การจราจรบนท้องถนนค่อนข้างหนาแน่นพอสมควร และมันก็ทำให้จิตใจของผมว้าวุ่นมากขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย ไม่ใช่แค่เพราะผมเป็นห่วงนัท แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้สำหรับผมก็คือ ผมอยากจะรีบๆทำธุระให้เสร็จ อยากจะรู้เร็วๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็จะได้รีบกลับบ้านไปหาไอ้ซันเพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมากนั่นเอง

เมื่อผมไปถึงที่บ้านของอีฟ อีฟก็รีบเดินเข้ามารับผมที่หน้าบ้านทันที “นี่มันเรื่องอะไรกันวะเมฆ ทำไมนัทถึงดูแย่ขนาดนั้นล่ะ”

“แล้วนี่นัทอยู่ไหน”

“อยู่ในบ้านกับไอ้แบ๊งค์แน่ะ โชคดีนะเนี่ยที่วันนี้บ้านกูไม่มีใครอยู่”

“แบ๊งค์มาด้วยเหรอ” ผมถามขณะที่เราสองคนกำลังเดินตรงเข้าไปในบ้าน

“อืม มาถึงตอนหลังกูวางโทรศัพท์จากมึงไปแป๊บเดียวเอง มันมาแถวนี้พอดีน่ะ ก็เลยเข้ามาเยี่ยม แล้วพอมันรู้ว่านัทอยู่ที่นี่แถมท่าทางไม่ค่อยดี มันก็เลยอยากเข้ามาดูอาการมาช่วยปลอบนัทด้วย”

ผมไม่ตอบอะไรแต่เดินตรงเข้าไปในบ้าน และที่ห้องนั่งเล่นนั่นผมก็เห็นนัทที่กำลังนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนโซฟา ส่วนไอ้แบ๊งค์เองก็นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวไม่ไกลกันนัก เมื่อทั้งสองคนเห็นผมเดินเข้าไป ไอ้แบ๊งค์ก็พยักหน้าเบาๆให้กับผม ส่วนนัทก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามากอดผมทันที

“เมฆ......... นัทไม่รู้จะทำยังไงดี นัทเครียดไปหมดแล้วจริงๆนะ...........” นัทพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมา

“ใจเย็นๆก่อนนะนัท” ผมปลอบนัทพร้อมกับลูบหัวของนัทเบาๆ “ใจเย็นๆก่อนนะครับ”

“พ่อกับแม่นัทก็เริ่มถามแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเค้าดูออกแล้วว่ามันมีอะไรบางอย่างแปลกไป พวกเค้าต้องรู้แน่เลยเมฆ เค้าต้องรู้แน่ๆเลย”

“ไม่หรอก มันจะเป็นไปได้ยังไง นัท มันเป็นไปไม่ได้หรอก นัทก็รู้นี่ จริงมั๊ย” ผมดึงตัวนัทออกแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้นัทเบาๆ จากนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากตัวของนัท “นี่นัทกินเหล้าด้วยเหรอ”

นัทพยักหน้า “นิดหน่อยน่ะ”

ผมมองไปบนโต๊ะรับแขกก็เห็นทั้งขวดเหล้า ขวดโซดา โค้ก และน้ำแข็งวางอยู่ครบเลยทีเดียว จากนั้นจึงหันมามองหน้าอีฟเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อย แต่อีฟเองก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ

“กูเป็นคนยกมาเองแหละ อย่าไปว่าอีฟเลย” ไอ้แบ๊งค์พูดขึ้น

“ก็นัทอยากกินนี่ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” นัทพูดขึ้นบ้าง

“แล้วกินไปมากรึยัง” ผมถาม “เพราะไม่งั้นแล้วนัทจะขับรถกลับบ้านไหวเหรอ”

“ไม่มากหรอก กูคอยดูอยู่เหมือนกัน” อีฟตอบ “เอางี้ ตอนนี้มึงสองคนคุยกันไปก่อนก็แล้วกันนะ นัท มีอะไรก็ใจเย็นๆล่ะ เข้าใจมั๊ย อย่าลืมล่ะว่าแกยังมีเราอยู่ตรงนี้น่ะ”

แบ๊งค์เดินเข้ามาตบบ่านัทเบาๆก่อนจะเดินตามหลังอีฟออกไปจากห้องนั่งเล่น ทิ้งเราสองคนเอาไว้ตามลำพัง และเมื่อสองคนนั้นเดินออกไปจนน่าจะไม่ได้ยินเสียงของเราแล้ว นัทก็เริ่มต้นเล่าให้ผมฟัง

“เมื่อวานนี้พี่จ๊อบโทรมาขอเลิกกับนัท.......”

“แล้วนัทว่ายังไง”

“นัทก็ตอบตกลงน่ะสิ” นัทพูดพร้อมกับเดินกลับไปนั่งลงบนโซฟา และเริ่มยกแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นจิบอีกครั้ง “ง่ายๆเลยด้วย เพราะถึงยังไงนัทก็ทนคบกับคนๆนี้ต่อไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงนัทจะแปลกใจนิดหน่อยก็เถอะนะ เพราะตอนแรกนัทคิดว่าที่เค้ามีรูปถ่ายพวกนั้นมันจะเพราะเค้าไม่อยากให้นัทเลิกกับเค้าต่างหาก”

ผมนึกถึงคำพูดที่พี่จ๊อบพูดกับผมเมื่อวันพุธที่ผ่านมาอีกครั้ง

“พ่อของพี่จ๊อบน่ะ อยากจะให้เราสองคนแต่งงานด้วยกันจะตาย แต่ก็ดีแล้ว ไหนๆเค้าก็บอกเลิกแล้ว นัทก็เลยตอบตกลงไปง่ายๆเลย แต่ว่า......... แต่ว่ารูปพวกนั้นมันก็ยังอยู่ที่พี่จ๊อบอยู่ดีนี่ คือนัทก็ไม่รู้หรอกว่ามันยังมีอีกรึเปล่า และนัทก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่จ๊อบรู้เรื่องที่รูปหายไปรึยัง แต่เมฆเข้าใจมั๊ยว่ามันเป็นไปได้ทั้งสองอย่างเลย และพอเป็นแบบนี้แล้วนัทจะสบายใจได้ยังไง นัทจะรู้มั๊ยว่าวันนึงเรื่องพวกนี้มันจะไม่หวนกลับมาทำร้ายนัทเข้าให้จนได้ เมฆ นัทจะทำยังไงดี ตอนนี้เราก็เลิกกันไปแล้ว แต่จะให้นัทบอกไปว่านัทอยากได้รูปพวกนั้นที่เหลือคืนมันก็ทำไม่ได้ และต่อให้นัททำได้ เค้าก็จะยอมคืนให้นัทรึเปล่านัทก็ไม่รู้อยู่ดี แล้วนัทจะทำยังไงล่ะ เมฆ นัทควรจะทำยังไงดี.........”

ผมอยากจะบอกนัทเหลือเกินว่าพี่จ๊อบรู้เรื่องหมดแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องที่นัทรู้เรื่องรูปถ่ายทั้งหมด และเรื่องที่พี่จ๊อบขอเลิกกับนัทก็เช่นกัน รูปถ่ายพวกนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อมัดมือนัทให้เลิกกับเขาเพียงอย่างเดียว แต่มันยังใช้ในการมัดมือของผมให้ตกลงแยกทางกับไอ้ซันด้วย และนั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการมีอยู่ของรูปถ่ายเหล่านั้น สรุปแล้ว นัทก็แค่ตกเป็นเครื่องมือของพี่จ๊อบในการที่จะแย่งผมมาจากไอ้ซันเท่านั้นเอง และต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด มันก็คือผมเพียงคนเดียว..........

เราสองคนนั่งคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ส่วนมากแล้วผมก็ทำได้แค่ปลอบใจนัทนิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะผมก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรมากไปกว่านั้นได้นัก เพราะสรุปแล้วนัทก็เป็นเหมือนแค่ตัวเบี้ยที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับพี่จ๊อบเลย หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะมีเพียงแค่ผมต้องตอบ “ตกลง” ให้กับข้อเสนอของพี่จ๊อบเพียงอย่างเดียว

คืนนั้นกว่าผมจะได้กลับบ้านก็ดึกมากแล้ว ดึกกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลยทีเดียว เพราะผมมัวแต่นั่งปลอบนั่งคุยกับนัท และดูแลไม่ให้นัทดื่มมากยิ่งไปกว่านั้น แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เพราะพอถึงสี่ทุ่มนัทก็เมามากจนขับรถเองไม่ไหว สุดท้ายนัทก็เลยต้องนอนที่บ้านของอีฟหนึ่งคืน

“จะห้าทุ่มแล้ว มึงรีบกลับเถอะไอ้เมฆ เดี๋ยวซันมันจะเป็นห่วงเอา” อีฟบอกผมหลังจากพานัทเข้าห้องนอนเรียบร้อยแล้ว

“จะว่าไปก็ไม่เห็นซันจะโทรตามเลยนี่ กูว่าแปลกดีนะ” ไอ้แบ๊งค์ตั้งข้อสังเกต

“ไม่แปลกหรอก นี่แหละมันล่ะ”

“อืม ก็คงจริงล่ะมั๊ง” อีฟพยักหน้าเห็นด้วย

“ไม่ใช่หรอก จริงๆปกติมันก็ต้องโทรมานั่นแหละ แต่ว่าวันนี้มันจะต่างออกไปจากปกติหน่อยน่ะ.......” ผมถอนหายใจเบาๆ เพราะผมรู้ดีว่าการที่มันไม่โทรมาตามหาผมนั้นเป็นเพราะมันกำลังไม่ค่อยพอใจผมอยู่นั่นเอง ซึ่งก็อาจจะไม่ใช่ตัวผมหรอกที่มันไม่พอใจ แต่มันคงไม่พอใจกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้มากกว่า “เอาเหอะ ถ้างั้นกูกลับก่อนเลยแล้วกันนะ ฝากดูแลนัทด้วยล่ะอีฟ ถ้ามีอะไรก็โทรบอกกูก็แล้วกัน โอเคนะ”

“ได้ๆ มึงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

“แล้วมึงล่ะกลับยังไง ไอ้แบ๊งค์”

“อืมมม ก็คงนั่งแท็กซี่ว่ะ กูไม่ได้ขับรถมาด้วยดิ่”

“งั้นมึงออกไปกับกูเลยก็ได้ เดี๋ยวกูไปส่ง จะลงตรงไหนก็บอกก็แล้วกัน” ผมบอก

เราสองคนบอกลาอีฟและนั่งรถออกมาด้วยกันเงียบๆครู่ใหญ่ๆ ผมรู้ว่าบ้านของไอ้แบ๊งค์มันอยู่ที่ไหน และเริ่มต้นจากบ้านของอีฟไปมันก็จะเป็นทางเดียวกับทางกลับบ้านของผมราวๆครึ่งทาง เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วไอ้แบ๊งค์มันก็ไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้ว่ามันจะลงตรงไหน แต่ว่าผมก็ไม่ค่อยอยากจะนั่งเงียบๆอยู่กับมันแบบนี้สักเท่าไหร่จริงๆ

“มึงลงตรงก่อนถึงสามแยกเหมือนเดิมใช่มั๊ย” ผมถามขึ้น

“อืม ใช่ๆ มึงจำได้ด้วยเหรอ”

“จะว่าไปกูว่ากูก็จำบ้านพวกมึงได้เกือบหมดทุกคนนะ แปลกดีเหมือนกัน”

“ไม่แปลกหรอกมั๊ง เพราะว่ามึงเป็นคนแคร์คนอื่นมากไง มึงเลยจดจำรายละเอียดของคนอื่นๆได้เยอะน่ะ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกว่ะ”

“กูว่าก็จริงนะ ดูอย่างวันนี้สิ พอมึงรู้ว่านัทกำลังไม่สบายใจ มึงก็รีบมาหานัทเลยแบบเนี๊ย กูว่านัทคงดีใจน่าดู แต่จะว่าไปกูก็นึกไม่ออกเลยนะว่าตอนที่มึงคบกันทำไมมึงถึงทะเลาะกันบ่อย และทำไมมึงถึงเลิกกันได้น่ะ”

“เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปฟื้นฝอยมันเลย แบ๊งค์”

“โทษทีๆ กูไม่ได้ตั้งใจ....... ว่าแต่แล้วซันรู้รึเปล่าว่ามึงออกมาหานัทน่ะ”

“รู้ กูบอกมันแล้ว ปกติมีอะไรกูก็บอกมันตลอดทุกเรื่องอยู่แล้วว่ะ เพราะกูไม่อยากจะมาผิดใจกันทีหลังมากกว่า”

“อืมมม งั้นเหรอ.........” แบ๊งค์เงียบลงไปท่าทางใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “จริงๆก็น่าอิจฉามึงเหมือนกันเนอะ”

“มึงจะอิจฉากูทำไม สักวันนึงมึงก็ต้องมีคนของมึงเหมือนที่กูมีนั่นแหละ ไอ้แบ๊งค์”

“เฮ้ย กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น คือกูไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้มันฟังดูเหมือนกูอิจฉามึงและอยากได้แฟนแบบไอ้ซันอะไรแบบนั้นนะ”

“กูรู้..........” ผมพูดออกไปแบบแปลได้ทั้งสองความหมาย “เอาล่ะ มึงลงตรงนี้ก็แล้วกันนะ ถึงแยกพอดี โทษทีนะที่กูไปส่งมึงใกล้กว่านี้ไม่ได้ เพราะกูรีบว่ะ”

“ไม่เป็นไร กูเข้าใจ ขอบใจมากนะเมฆ”

“กลับบ้านดีๆก็แล้วกัน” ผมพูดพร้อมกับหยุดรถลงที่ข้างทางก่อนถึงทางสามแยกที่ผมต้องขับตรงเลยไปข้างหน้า ส่วนไอ้แบ๊งค์ต้องเลี้ยวขวา โชคดีที่ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ผมจึงไม่ต้องกังวลเรื่องรถข้างหลังมากนัก

หลังจากที่ไอ้แบ๊งค์ลงจากรถไปแล้ว ผมก็กดมือถือโทรเข้าเบอร์ของพี่จ๊อบทันที และหลังจากนั่งฟังเสียงเพลงรอสายอย่างอดทนอยู่พักหนึ่ง พี่จ๊อบก็รับสายด้วยน้ำเสียงที่พอได้ยินแล้วผมก็รู้ชัดแจ้งแก่ใจเลยว่าทำไมไอ้ซันถึงเรียกเขาว่า “ไอ้ปลาไหล”

“ว่าไงครับ เมฆ มีธุระอะไรสำคัญรึเปล่า โทรมาซะดึกเชียว”

“ผมโทรมาเรื่องคำตอบ...........”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เฮ้ออ เหนื่อยจัง T__T

ใกล้และนะคับ อีกไม่กี่ตอนก้อถึงตอนสำคัญแล้ว
และใบ้ให้นิดนึงก่อนอ่านว่า มันจะเปลี่ยนๆไปนิดหน่อบนะคับ ถ้าอ่านแล้วงงๆก้ออย่างงล่ะ (เอ๊ะ ยังไง)

^__^

ไปนอนดีกั่ว เหนื่อยมากมายยยย  :sad2:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
จิ้มตูด....ต้นน้องรักก่อนเลย :m1: :m1: :m1:

ให้รอซะหลายวันเชียวนะ

คิดถึงจัง..จุ๊ฟฟฟฟฟฟ


ปล..เหนื่อยนักก็พักก่อน  เดี๋ยวพี่ดูแลเจ้าทึ้มให้   อิอิ

แล้วคืนนี้จะมีแรงเหรอน้องรัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2008 21:13:59 โดย อาจารย์..สีฟ้า »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
จิ้มตูด....ต้นน้องรักก่อนเลย :m1: :m1: :m1:

ให้รอซะหลายวันเชียวนะ

คิดถึงจัง..จุ๊ฟฟฟฟฟฟ


ปล..เหนื่อยนักก็พักก่อน  เดี๋ยวพี่ดูแลเจ้าทึ้มให้   อิอิ

แล้วคืนนี้จะมีแรงเหรอน้องรัก

บร้าา พูดเหมือนรู้ใจ
เอาไว้ค่อยโทรไปเม้าถ้าสำเร็จ (ฮา)


ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
ถึง คุณเพชรฌฆาต


ตามอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืน พึ่งจบตอนล่าสุดไปหมาดๆ อยากถามแบบสุดใจแค่คำถามเดียว

อยากรู้ว่าแบ๊งนอนกับซันหรือเปล่า ช่วยตอบทีเถอะ ถ้าเกิดคำตอบจะมีอยู่ในตอนต่อๆไปก็

รบกวนบอกทีครับ คาใจมันอยู่เรื่องเดียวเนี่ยแหละ เพราะเรื่องที่แฟนตัวเอง

ไปมีอะไรกับคนอื่นที่ถึงแม้จะทำไปเพราะความเมา ผมก็ไม่เคยจะชอบเลยมีแต่คำว่า 'เสียใจ' เป็นคำตอบ

ให้กับคำขอโทษที่เขาพูดมา :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เอาละซี สงสัยคงต้องตอบตกลงกับพี่จ๊อบละมั้ง  :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 35


หลังจากผมวางโทรศัพท์จากพี่จ๊อบแล้ว ผมก็กดโทรศัพท์เข้าหาพี่วินเพื่อที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอีกครั้งเพราะผมเคยสัญญากันเอาไว้แล้วว่าผมจะต้องคอยเล่าเรื่องต่างๆให้พี่เขาฟังตลอดเวลา และเมื่อผมเล่าจบ พี่วินก็พูดออกมาเพียงประโยคเดียวก่อนจะวางสายไปว่า.......

“รีบกลับบ้านซะ”

เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็เล่าให้ไอ้ซันฟังว่าผมไปทำอะไรมาบ้าง และบอกมันไปว่านัทกับพี่จ๊อบกำลังจะเลิกกันจริงๆแล้ว ซึ่งไอ้ซันก็รับฟังและไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมามากนัก แต่สิ่งที่มันรู้สึกกังวลจริงๆก็คงจะมีอยู่เพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือเรื่องของพี่จ๊อบนั่นเอง

“กูสัญญา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กูกล้าพูดได้เต็มปากแบบสุดๆเลยว่า กูไม่มีทางคิดเหี้ยอะไรกับมันแน่ กูเกลียดมัน และกูก็เข้าใจดีแล้วด้วยว่าทำไมมึงถึงได้ไม่ชอบมัน ดังนั้นไม่มีวันที่กูจะไปลงเอยหรือทำอะไรให้มึงไม่สบายใจเด็ดขาด ซัน..........”

เช้าวันต่อมา ผมก็โทรหาอีฟเพื่อถามว่านัทเป็นยังไงบ้างแล้ว แต่คำตอบที่ผมได้รับก็ต้องทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งเมื่ออีฟบอกว่านัทกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วโดยเรียกแท็กซี่กลับไปเองหลังจากผมกับแบ๊งค์ออกไปได้ไม่นาน

“แล้วเค้ากลับไปได้ไงวะ ทำไมมึงไม่ให้เค้านอนที่บ้านมึง”

“กูก็บอกมันแล้ว” อีฟเถียงกลับ “แต่มันบอกว่าถ้าเกิดมันไม่กลับ พ่อมันเอาตายแน่ แถมมันบอกว่ามันไม่ได้เมามากด้วย มันก็เลยขึ้นแท็กซี่กลับไปเองน่ะ ส่วนรถเดี๋ยวมันค่อยกลับมาเอาวันนี้ตอนบ่ายๆเย็นๆมั๊ง”

“แล้วมึงได้โทรไปเช็ครึเปล่าว่านัทกลับถึงบ้านปลอดภัยมั๊ยน่ะ”

“โทรแล้ว ก็ปลอดภัยดี

“เออ ถ้างั้นก็คงโอเคแล้วมั๊ง งั้นเดี๋ยวกูลองโทรไปหาเค้าดูอีกทีดีกว่า”

“ไม่ต้องหรอก ไอ้เมฆ นี่มันเพิ่งจะแปดโมงเช้าเองนะเว้ย โทรไปกวนมันเปล่าๆ แถมที่สำคัญเมื่อคืนมันกลับถึงบ้านมันก็พอแล้ว มึงไม่ต้องไปอะไรกับมันมากนักหรอก บอกตามตรงนะ มึงดูเหมือนถ่านไฟเก่าจะรีเทิร์นมากๆเลยนะ รู้ตัวมั่งรึเปล่า”

“มึงพูดเหี้ยอะไร ไอ้บ้า”

“มึงอาจจะไม่รู้ตัว แต่นี่มันเป็นสิ่งที่คนนอกเห็นนะ เมฆ คือกูรู้ว่ามึงเป็นคนใจดีแคร์เพื่อนๆ และมึงเองก็บริสุทธิ์ใจมากด้วย กูไม่สงสัยหรอก แต่มึงก็ระวังไว้หน่อยด้วยว่าจุดยืนของมึงอยู่ตรงไหน มึงมีซันแค่คนเดียว แต่นัทมันยังมีเพื่อนอีกหลายคนนะเว้ย รวมทั้งกูด้วย เพราะงั้นมึงคิดดูให้ดีๆว่ามึงควรจะเลือกที่จะปฏิบัติตัวยังไงมันถึงจะกำลังดี”

หลังจากวางโทรศัพท์จากอีฟแล้วผมก็ได้กลับมานั่งคิดทบทวนอีกครั้ง ทั้งๆที่ใจและเจตนาของผมมันบริสุทธิ์มากๆแท้ สิ่งที่ผมมีและทำให้นัทมันไม่ได้มีอะไรมากเกินกว่าคำว่าเพื่อนเลยแม้แต่น้อย แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้ยินคำเตือนออกจากปากคนอื่น........ ไม่สิ อาจจะเป็นครั้งที่สามแล้วด้วยซ้ำ ถ้านับคำพูดสั้นๆแต่ได้ใจความของพี่วินที่บอกให้ผมรีบกลับบ้านเมื่อคืนเข้าไปด้วย

หรือว่าผมกำลังจะข้ามเส้นๆนั้นไปโดยไม่ได้เจตนาและไม่รู้ตัวเลยจริงๆ ความเป็นคนใจอ่อนของผมมันจะส่งผลร้ายให้แก่ผมได้มากถึงเพียงนั้นเลยจริงๆหรือ

“ศิลา” เสียงของไคล์เรียกผมให้หลุดออกมาจากห้วงความคิด

“หือ ว่าไง”

“ตกลงวันนี้ใครจะพาผมไปล่ะ ซันหรือศิลา”

“หา ไปไหนเรอะ” ผมถาม

“ไปที่โมเดลลิ่งตอนบ่ายไง ไปหาพี่บอลกับพี่แอมป์ด้วยมั๊ง” ไอ้ซันที่เดินออกมาจากในครัวตอบ “ไปถ่ายรูปให้หนังสือเพื่อนพี่แอมป์ไง นี่มึงลืมไปแล้วเหรอเนี่ย”

“เออว่ะ ลืมสนิทเลยจริงๆด้วย อืมมม แล้วไอ้วิทล่ะ ได้บอกมันรึยัง”

“บอกแล้ว แต่กูก็ไม่อยากกวนมันเท่าไหร่หรอก ว่าแต่มึงเถอะ ต้องไปไหนรึเปล่า เห็นบอกว่านัดพี่วินเอาไว้ใช่มั๊ย”

“อืม ก็ใช่นะ แต่ถ้าเรื่องของไคล์มันสำคัญกว่าแบบนี้ กูเลื่อนนัดพี่วินไปก็ได้มั๊ง พี่เค้าคงไม่ว่าอะไรหรอก”

“ไม่ต้องหรอก มึงไปเหอะ ปกติงานของพี่วินเค้าก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างอยู่แล้วด้วยนี่ เดี๋ยวกูพาไคล์ไปเอง ตอนเช้านี่จะได้พามันไปที่โชว์รูมแล้วพอเสร็จหรือไงกูคงจะได้เลยไปเข้าดูแลที่คอนโดด้วยเลย”

“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าพี่วินทำงานอะไรถึงรู้ว่าพี่เค้าไม่ค่อยมีเวลาว่างมากน่ะ”

“กูคุยกับพ่อเล็ก”

“อ๋ออ โอเค ถ้างั้นเอางั้นก็ได้มั๊ง ซันก็ไปเป็นเพื่อนไคล์ ส่วนกูไปหาพี่วิน แล้วมันเป็นยังไงก็อย่าลืมโทรมาบอกกูมั่งล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงยังไงมันก็น้องกู กูจะฝากคนอื่นดูแลมากไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่” ไอ้ซันตอบแล้วเดินไปหอมแก้มไคล์เบาๆ ซึ่งก็เป็นภาพที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วเหมือนกัน “มึงเองเถอะเมฆ เสร็จธุระเมื่อไหร่ก็บอกกูแล้วกัน เผื่อเราจะไปกินข้าวข้างนอกหรือไปที่คอนโดด้วยกัน”

“ก็ได้” ผมพยักหน้าแล้วรับคำ “งั้นตกลงตามนี้”

ตอนบ่ายโมงหลังจากกินข้าวเย็นกับพ่อเสร็จผมก็ขับรถเพิ่อไปหาพี่วินที่บ้านของเขา โดยอันที่จริงแล้วเมื่อก่อนผมเองก็เคยไปบ้านหลังนี้กับพ่ออยู่บ้างสองสามครั้งเหมือนกัน เพราะว่ามันไม่ใช่บ้านจริงๆของพี่วินที่พ่อแม่พี่วินอาศัยอยู่ แต่เป็นบ้านหลังเล็กๆที่พี่วินซื้อแยกเอาไว้ใช้อยู่คนเดียว แต่จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยรู้อยู่ดีว่าตอนนี้เรื่องครอบครัวของพี่วินเป็นยังไงบ้างแล้ว และผมก็ไม่คิดและไม่กล้าพอที่จะถามด้วย

ขณะที่รถของผมกำลังติดอยู่บนถนนอยู่นั้น โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น และคราวนี้ชื่อที่หน้าจอมันบอกว่าคนที่โทรเข้ามาก็คือพี่วินนั่นเอง

“เมฆกำลังถูกตาม” พี่วินพูดขึ้นทันทีที่ผมรับสาย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวพอดี

“ว่าไงนะครับพี่”

“รถเก๋งสีบรอนซ์ข้างหลังเมฆไปสองคันอยู่เลนข้างๆ ป้ายทะเบียน ทด 165” พี่วินบอก ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่กระจกมองหลังเพื่อหารถคันที่วินเพิ่งอธิบายพร้อมๆกับเริ่มเหยียบคันเร่งไปด้วย “คนขับใส่เสื้อสีน้ำตาล ผมสั้นเกรียน หุ่นตันๆ สูงราวๆร้อยเจ็ดสิบ ส่วนอีกคนผมยาว เซอร์ๆ หน้าโจรๆหน่อย แต่ผอมสูง”

“เดี๋ยวนะๆพี่วิน นี่พี่ขับรถตามผมมาอีกแล้วเหรอครับ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วไอ้เหี้ยที่ขับรถตามผมอยู่นั่นมันใครกันแน่”

“พอถึงเซเว่นข้างหน้าให้ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวเข้าซอยถัดไปนะ ตรงไปประมาณห้าร้อยเมตรจะมีร้านอาหารร้านนึงอยู่ทางซ้ายมือ เข้าไปจอดที่นั่นแหละ แล้วเดี๋ยวเจอกัน” พี่วินพูดก่อนวางสายไป

เมื่อขับไปได้อีกไม่ถึงห้านาทีผมก็เห็นเซเว่นอยู่ทางซ้ายมือ ผมจึงเลี้ยวรถเข้าซอยถัดไปและไปจอดอยู่ที่ร้านอาหารขนาดกลางๆร้านหนึ่งตามที่พี่วินบอก และพอผมไปถึงแล้วผมก็เข้าไปนั่งในร้านเพื่อรอจนกว่าพี่วินจะโทรเข้ามา แต่ว่าอีกประมาณสิบนาทีถัดมาพี่วินก็เดินเข้ามาในร้านเลยโดยไม่ได้โทรมาบอกผมก่อนว่าจะมาถึงหรือยัง ซึ่งจะว่าไปก็นับว่าพี่วินใช้เวลาอยู่นานพอสมควรเหมือนกันในเมื่อเขาเองก็ขับรถตามผมมาติดๆแบบเมื่อครู่นี้

“ขับวนเล่นนิดหน่อยน่ะ จะได้ไม่มาถึงพร้อมกันเกินไป และเลยจะได้เช็คดูป้ายทะเบียนรถด้วย” พี่วินพูดขึ้นราวกับจะอ่านใจผมออก

“นี่มันอะไรกันครับพี่ ไหนพี่นัดให้ผมไปหาที่บ้านไง แล้วทำไมจู่ๆถึงได้ขับรถตามหลังผมมาได้ซะอย่างนั้นล่ะ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่เนี่ย”

“เมฆเคยรู้ตัวรึเปล่าว่าถูกตาม” พี่วินถามกลับโดยไม่ได้ใส่ใจที่จะตอบคำถามของผม

“ก็...... ก็มีสงสัยบ้างครั้งสองครั้งน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้แน่ใจอะไรนัก แล้วที่สำคัญผมไม่รู้ด้วยว่ามันตามผมหรือซันกันแน่”

“แล้วคิดว่ารู้มั๊ยว่าใครตามหรือตามเพื่ออะไร”

“ไม่แน่ใจครับ” ผมส่ายหน้า “แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถูกตามอยู่มาสักพักนึงแล้วนะ หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้สังเกตเองก็ได้”

“เมฆคงไม่ได้สังเกตเองมากกว่า......... แล้วไอ้สองคนนี้มันก็ไม่ได้โง่เท่าไอ้หมอนั่นด้วย” พี่วินพูด จากนั้นก็หันไปสั่งอาหารกับพนักงานเสิร์ฟ “เอาอะไรรึเปล่า กินข้าวมาแล้วนี่ ใช่มั๊ย”

ผมพยักหน้า “งั้นผมขอกาแฟเย็นแก้วนึงครับ”

“อืมม........ แต่จะว่ากันก็ไม่ได้ เพราะการขับรถตามเนี่ย ถ้าไม่สังเกตดีๆก็คงจับได้ยากกว่าคนเดินตามอยู่แล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพแบบนี้ด้วยน่ะนะ”

“งั้นผมขอให้พี่อธิบายให้ผมฟังด้วยครับ ทั้งหมดเลย” ผมชะโงกหน้าเข้าไปหาพี่วินนิดหน่อยก่อนจะผงะออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง “แล้วจะว่าไปมันตามเข้ามาในร้านนี้ด้วยรึเปล่าเนี่ย”

“เปล่า มันไปจอดเลยออกไปอีกหน่อย ก็ถือว่าฉลาดไม่เบา แต่ก็ยังโง่อยู่ดีที่ปล่อยให้พี่ตามย้อนรอยมันได้แบบนี้ และเท่าที่รู้คือมันไม่ใช่พวกนักสืบเอกชนด้วย เพราะงั้นก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่”

“แล้วสรุปมันยังไงกันแน่ครับ”

“พี่ไปรอเมฆตั้งแต่มืดแล้ว ก็ไปถึงไวกว่าพวกมันนิดหน่อยน่ะ ก็เลยเห็นมันตั้งแต่การเคลื่อนไหวแรกๆเลย พี่ว่าดูท่าทางพวกมันจะตั้งใจตามเมฆกับซันในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้เป็นพิเศษกว่าวันอื่นนิดหน่อยนะ”

“เดี๋ยวนะ พี่บอกว่า ‘พวกมัน’ เหรอครับ”

“ใช่ วันธรรมดาน่ะ เป้าหมายหลักของมันก็คือเรา เมฆ แต่พอวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้ ซันก็คงจะโดนด้วย แต่ถึงยังไง เมฆก็ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของมันอยู่ดี”

“แปลว่าตอนนี้ไอ้ซันก็กำลังถูกตามอยู่เหรอครับ” ผมถามอย่างตกใจ และรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของมันกับไคล์ขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องห่วงหรอก ทางฝั่งซันพี่โทรบอกเด็กพี่ให้ไปช่วยดูแลให้แล้ว ไว้ใจได้แน่นอน และที่สำคัญพี่คิดว่าเป้าหมายของพวกมันก็ไม่ได้อยู่ที่อยากจะทำอันตรายใครหรอก” พี่วินบอกเพื่อให้ผมใจเย็นลง “จะว่าไป เมฆกับซันมีเพื่อนเป็นตำรวจใช่มั๊ย ที่ชื่อเอกรัตน์ สุขเลิศ”

“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกสงสัยที่พี่วินรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะที่รู้ไปถึงชื่อและนามสกุลของไอ้เอ็นด้วย “ผมคงลืมเล่าให้พี่ฟังไปว่าผมเคยฝากไอ้เอ็นให้ดูแลซันด้วย โดยเฉพาะเรื่องพวกนี้น่ะ”

พี่วินพยักหน้า “ไม่เป็นไร ก็ดีแล้วล่ะ แต่แค่ไม่มาทำอะไรขัดกันกับพี่หรือคนของพี่ก็คงพอ แต่ว่าพี่รู้จักพ่อเพื่อนเรานะ ถึงไงก็คงไม่มีปัญหาอยู่ดี”

“แล้วเมื่อกี๊ที่พี่วินพูดว่า ‘เป้าหมาย’ มันหมายถึงเป้าหมายอะไรของใครครับ และทั้งหมดนี่มันทำไปเพื่ออะไร พี่วินรู้แล้วใช่มั๊ย”

“ยังไม่รู้หรอก” พี่วินส่ายหัว “แต่ก็ใกล้จะรู้เต็มทีแล้ว เพราะถ้าพี่คิดไม่ผิด กระแสน้ำมันจะไหลเชี่ยวที่สุดก็ช่วงนี้แหละนะ และถึงถ้าไม่ใช่ พี่ก็จะเป็นคนหยุดมันเอง”

ระหว่างที่พี่วินกินข้าวนั้นเราสองคนก็คุยกันเรื่องอื่นๆอีกหลายอย่าง ซึ่งพี่วินเองก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องพวกนั้นขึ้นมาอีก ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือร้ายแรงจนน่าเป็นห่วงอะไร และเมื่อเห็นท่าทางไม่ร้อนใจของพี่วินแบบนี้แล้ว มันก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกสบายใจและวางใจมากขึ้นอีกเยอะเลยด้วยเช่นกัน

“บ่ายสามงั้นเหรอ..........” พี่วินดูนาฬิกาข้อมือหลังจากกินข้าวเสร็จ “ถ้างั้นเราไปขับรถเล่นกันหน่อยดีกว่า”

“ไปไหนครับพี่”

”ไปไหนก็ได้ ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆน่ะ แต่ต่างคนต่างไปนะ มันจะได้ไม่สงสัย อืมมม ไปที่ยิมก็ได้ ไปออกกำลังกันสักหน่อยก็ดี ถือว่าเป็นการวอร์มไปในตัว”

“ฆ่าเวลา.......” ผมสงสัย “เพื่ออะไรครับ เพื่อจะหนีให้หลุดจากไอ้คนที่ตามผมอยู่งั้นเหรอ”

“เปล่าหรอก พี่ก็แค่อยากหาที่อื่นไปเพราะไม่อยากให้มันรู้จักทางไปบ้านพี่ก็เท่านั้นเอง” พี่วินยิ้มที่มุมปาก “ขี้เกียจเก็บกวาดน่ะ”

ผมกับพี่วินใช้เวลาอยู่ที่ยิมด้วยกันเกือบสามชั่วโมง ซึ่งเป็นสามชั่วโมงที่ครูวิชญ์กับพี่วินหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันอย่างเห็นได้ชัด แต่จะว่าไปแล้วก็คงเป็นครูวิชญ์เพียงฝ่ายเดียวมากกว่าที่คอยพยายามเลี่ยงพี่วินอยู่ตลอด จนกระทั่งก่อนเราจะกลับกันซึ่งผมเห็นว่ามันเริ่มเย็นมากแล้ว ผมจึงโทรหาพ่อเพื่อบอกว่าผมคงกลับบ้านดึกหน่อย แต่เมื่อผมถามถึงไอ้ซัน พ่อก็บอกว่าซันออกไปไหนไม่รู้หลังจากกลับบ้านมาแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้ผมประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ผมจึงโทรเข้าไปยังมือถือของมัน แต่ว่ามันก็กลับปิดเครื่องไปเสียอีก..........

“เอาล่ะ กลับกันเถอะ” พี่วินเดินเข้ามาบอกผม “จะได้จัดการธุระให้เสร็จๆไปสักที”

ผมพยักหน้าพร้อมกับเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงและเดินตามพี่วินไปยังลาดจอดรถ แต่ว่าคราวนี้เราจะทำอย่างที่คุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ นั่นก็คือผมจะเป็นคนขับรถของพี่วิน และพี่วินจะเป็นคนขับรถของผม เราจะขับรถตามกันไปแบบห่างๆจนถึงสถานที่ที่พี่วินบอกผมล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เพื่อดูว่าคนที่สะกดรอยตามผมจะยังคงตามอยู่รึเปล่า.........

และหลังจากที่เราขับรถออกจากตึกได้ไม่นาน พี่วินก็โทรเข้ามาหาผมเพื่อตอบคำถามนั้นอย่างที่ผมคิดเอาไว้

“มันยังคงตามอยู่ว่ะเมฆ เมฆจะอายังไง จะกลับบ้านไปก่อนเลยก็ได้นะ หรือจะตามพี่ไปก็แล้วแต่ เลือกเอาก็แล้วกัน” พี่วินถาม

ผมใช้เวลาตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “ผมไปด้วยครับ”

ระหว่างที่ผมขับรถตามพี่วินอย่างห่างๆไปยังแถวๆนอกเมืองตามที่พี่วินบอกนั้น ผมก็อดรู้สึกถึงความตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้านี้ไม่ได้ ถ้าทุกอย่างมันง่ายและราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็นมันก็คงไม่มีอะไรน่ากังวลมากนัก แต่ถ้าโอกาสหนึ่งในสิบมันเกิดอะไรขึ้นอย่างที่ผมกำลังคิดอยู่ล่ะก็..........

“มันไม่ใช่นักสืบเอกชน นั่นก็ง่ายหน่อยล่ะ.........” ผมนึกถึงคำพูดที่พี่วินเคยพูดทิ้งเอาไว้เมื่อตอนบ่ายอีกครั้ง “เพราะนั่นก็แปลว่าพวกมันก็คงเป็นแค่ไอ้พวกลูกน้องที่ถูกนายมันจ้างมา เป็นพวกนอกกฎหมายที่ทำให้เราไม่ต้องกังวลอะไรมากนักเวลารับมือด้วย แต่ถ้าพูดอีกแง่นึงนั่นก็คือ ถ้านายจ้างมันฉลาดและรอบคอบหน่อย ไอ้พวกนี้ก็น่าจะมีฝีมืออยู่พอตัวทีเดียวเพื่อที่พวกมันจะได้เอาตัวรอดในเวลาคับขันได้......... แต่ก็นะ นั่นหมายถึงตัวพี่นะ เพราะเวลาพี่จะส่งใครไปทำงานอะไร พี่ก็ไม่เคยเอาไอ้พวกชั้นล่างๆไปเสนอหน้าอยู่แล้ว ยิ่งงานที่ต้องใช้สมองกับความสามารถแบบนี้ด้วยแล้ว........”

ผมใช้สองมือกำพวงมาลัยแน่น รู้สึกถึงความหนาวเย็นวาบที่แล่นผ่านทางกระดูกสันหลังขึ้นไปจนถึงบริเวณต้นคอ ซึ่งมันก็คือความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งที่ผมต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้นั่นเอง

เมื่อใกล้ถึงสถานที่เป้าหมาย ผมก็ชะลอรถให้ช้าลงเพื่อที่จะได้ห่างจากพี่วินมากขึ้นอีกหน่อย เพราะทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนั้นเป็นซอยเล็กๆที่ค่อนข้างเปลี่ยวและไม่ค่อยมีคนใช้สัญจรมากนัก ดังนั้นถ้าผมขับรถตามพี่วินไปติดๆแบบนี้ อีกฝ่ายก็คงจะต้องรู้ถึงความผิดปกติแน่ๆ

“จำไว้ให้ดีๆนะเมฆ พอใกล้ถึงทางเข้าซอยตรงนั้นแล้วเมฆต้องชะลอรถลงและขับห่างจากพี่ให้มากหน่อย เพราะถึงซอยนั้นมันจะค่อนข้างเงียบเพราะเป็นทางลัดที่คนไม่ค่อยรู้จักกัน แต่มันก็มีบ้านคนอยู่ข้างทางเรื่อยๆ เพราะงั้นพวกมันคงไม่ผิดสังเกตมากนักว่าเมฆมาทำอะไรแถวนี้ มันอาจจะคิดว่าเมฆมาหาเพื่อนหรืออะไรก็ได้ แต่ตอนนี้แหละที่พี่จะจอดรถเพื่อดึงพวกมันให้ออกมาเจอหน้ากันสักหน่อย และหลังจากนั้นเมื่อเมฆมาถึง เมฆก็จะเห็นทุกอย่างเอง”

ผมเลี้ยวรถเข้าซอยไปตามทางที่พี่วินบอก และมันก็เป็นอย่างที่พี่วินบอกเอาไว้จริงๆว่าซอยนี้ตอนต้นซอยจะค่อนข้างพลุกพล่านพอสมควร แต่เมื่อขับลดเลี้ยวตามทางไปเรื่อยๆ บ้านของผู้คนที่อยู่รายทางก็เริ่มจะลดน้อยลงและปลูกห่างกันมากขึ้น แต่ว่าก็ดูมีขนาดใหญ่มากขึ้นด้วยเช่นกัน และในขณะที่ผมกำลังขับรถไปเรื่อยๆนั้น ผมก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง ซึ่งก็เรียกได้ว่าเกือบจะจอดขวางอยู่กลางทางเลยทีเดียวเนื่องด้วยถนนที่มีขนาดไม่กว้างมากนักนั่นเอง และเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือ ผมจำลักษณะของรถคันนั้นได้ทันที

“รถเก๋งสีบรอนซ์ ทะเบียน ทด 165..........” ผมพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะจอดรถต่อทายรถคันนั้นห่างๆและก้าวเดินออกจากรถมาด้วยหัวใจที่เต้นรัว


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ภาพตรงหน้าของผมคือพี่วินที่กำลังยืนกอดอกมองหน้าผู้ชายสองคนอยู่ โดยเมื่อคนที่สะกดรอยตามผมทั้งสองคนนั้นเห็นว่าคนที่เพิ่งเดินออกมาจากรถที่เพิ่งขับมาจอดต่อท้ายรถของพวกมันเป็นใคร มันก็มีท่าทางแปลกใจฉายออกมาบนสีหน้าทันที โดยคนที่ไว้ผมสั้นเกรียนที่พี่วินเคยบอกว่าเป็นคนขับรถดูจะมีท่าทางหงุดหงิดและสับสนมากพอสมควรทีเดียว ในขณะที่คนผมยาวกลับดูจะควบคุมอารมณ์ได้มากกว่า

“ใช่จริงๆ..........” ผมได้ยินไอ้คนผมยาวพึมพำออกมาเบาๆขณะผมเดินผ่านหน้าของมันไป แต่ก็ไม่ได้แน่ใจนักว่ามันพูดออกมาแบบนี้รึเปล่า

“เอาล่ะ ตอบคำถามของกูมาได้แล้ว” พี่วินพูดขึ้นทำให้ทั้งสองคนนั้นหันกลับไปหาที่พี่วินอีกครั้ง และผมเองก็เดินผ่านพวกมันไปหยุดอยู่ใกล้ๆพี่วินด้วยแล้วเหมือนกัน “ใครเป็นคนสั่งให้พวกมึงมา”

“มึงพูดเรื่องอะไร กูไม่เข้าใจ” คนหัวเกรียนที่ตัวเตี้ยกว่าตอบ

พี่วินยิ้มแล้วส่ายหน้า “พวกมึงทำพลาดไปสามอย่างนะ........ ข้อแรก พวกมึงใช้รถคันเดียวกันในการติดตามคนๆเดียวตั้งหลายวัน ข้อสอง พวกมึงไม่เคยรู้ตัวว่ามึงเองก็ถูกกูตามดูอยู่มาตลอดหลายวันแล้วด้วยเหมือนกัน และข้อสาม ข้อนี้สำคัญที่สุด นั่นก็คือพวกมึงประเมินกูและน้องชายของกูต่ำเกินไป” เมื่อพี่วินพูดจบ ทั้งสองคนนั้นก็ยังคงเงียบอยู่ จนในที่สุดพี่วินก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาต่อ “ป้ายทะเบียนของพวกมึงอยู่ในมือลูกน้องของกูแล้ว และเมื่อกี๊นี้กูก็ได้ชื่อเจ้านายของพวกมึงมาแล้วด้วย น่าเสียดายนะ แต่ถึงพวกมึงจะไม่ยอมพูดอะไร กูก็รู้แล้วว่าใครคือตัวการของเรื่องทั้งหมด และกูก็หวังนะว่าเมื่อพวกมึงกลับไป เจ้านายพวกมึงคงจะตบรางวัลพวกมึงที่ทำพลาดกันแบบนี้ให้อย่างงามแน่”

เมื่อพี่วินพูดถึงเจ้านายและความผิดพลาดของพวกมันแบบนี้แล้ว สีหน้าของมันทั้งสองคนก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

“พี่วินรู้แล้วงั้นเหรอว่าใครจ้างพวกมันมาน่ะ” ผมถาม “ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ”

“เมื่อไม่นานมานี้เอง ก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่พี่ไม่ได้เป็นคนลงมือจัดการเองตั้งแต่แรกน่ะ ไม่งั้นมันก็คงจะเร็วกว่านี้มากแล้ว........ นี่แหละนะ พอใช้ลูกน้องไปจัดการงานใหญ่ๆที่ต้องผ่านหลายๆคน มันก็ยิ่งช้าเป็นธรรมดา”

“นี่มึงเป็นใครกันแน่!” คนที่ตัวเล็กกว่าถามออกมา

“ภาสกรณ์ ตัณจริยรัตน์” พี่วินยิ้มด้วยสีหน้าภูมิใจ แต่เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบรับมาจากอีกฝ่ายอย่างที่พี่เขาคาดหวังเอาไว้ พี่วินก็ทำชักสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที “ว้า........ นี่มึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยเหรอเนี่ย”

“กูว่ากูรู้จักนะ.......” คนที่ตัวสูงผมยาวพูดขึ้นมาบ้าง “แต่นึกไม่ถึงจริงๆเลยนะเนี่ยว่าคนที่นายหมายตาไว้จะเป็นคนรู้จักกับไอ้ลูกคุณหนูคนนี้ได้”

พี่วินดูมีสีหน้าพอใจขึ้นมาอีกครั้งทันที

“คุณหนูงั้นเหรอ!” คนตัวเตี้ยกว่าร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ “ไอ้เหี้ยนี่น่ะนะ คือไอ้ลูกคุณหนูนั่น”

“ใช่ กูนี่แหละ ‘ไอ้ลูกคุณหนู’ ที่พวกมึงหมายถึงกัน” พี่วินชิงตอบขึ้นก่อน “เอาล่ะ ในเมื่อคำถามแรกมันยากสำหรับพวกมึงมากเกินไป งั้นคราวนี้กูขอเปลี่ยนคำถามให้ง่ายลงเป็น ‘พวกมึงต้องการอะไร’ ก็แล้วกัน........ อ้อ และถ้าคราวนี้มึงไม่ยอมพูดกันอีกล่ะก็ กูก็คงต้องทำทุกอย่างให้พวกมึงต้องพูดออกมาซะแล้วล่ะนะ” พี่วินพูดพร้อมกับเดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทำให้ไอ้คนตัวเตี้ยกว่ารีบล้วงมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ของมันทันที

“กูไม่มีทางบอกพวกมึงหรอก!” ไอ้หัวเกรียนพูดพร้อมกับชูมีดออกมาข้างหน้าด้วยท่าทางระมัดระวัง แต่ผมกลับสามารถมองเห็นถึงความหวาดกลัวในแววตาของมันได้อย่างชัดเจน

ผมเริ่มรู้สึกถึงความตื่นเต้นและความกลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากทุกรูขุมขนของร่างกาย แต่มันไม่ใช่ความกลัวในภัยอันตราย แต่หากเป็นความกลัวที่ทำให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของผมพร้อมที่จะขยับตัวและตอบโต้ในทุกๆวินาทีที่จำเป็น

“มีดพกงั้นเหรอ งั้นกูก็คงไม่จำเป็นต้องใช้ไอ้นี่สินะ...........” พี่วินพูดพลางล้วงหยิบปืนที่มีที่เก็บเสียงติดเอาไว้พร้อมอยู่แล้วออกมาจากด้านหลังของกางเกง ทำให้ผมยิ่งเห็นสีหน้าตกใจของไอ้หัวเกรียนชัดเจนมากขึ้นไปอีก แต่จากนั้นพี่วินก็กลับวางปืนกระบอกนั้นลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ทำให้สีหน้าของไอ้ผมเกรียนเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“ไอ้โง่! มึงทิ้งปืนแบบนี้ก็ควายดีๆนี่เอง!” ไอ้ผมเกรียนพูดออกมาอย่างมีชัย

“ไม่หรอก.......” คนตัวสูงผมยาวพูดขึ้น “ถ้าเขาคนนี้คือไอ้ลูกคุณหนูนั่นจริงล่ะก็ กะไอ้แค่มีดเล่มเล็กๆของมึงคงทำอะไรเค้าไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ” มันเดินออกมาข้างหน้าแล้วยื่นมือออกมาขวางเพื่อนของมันไว้ “เราจะต่างคนต่างไปไม่ได้หรือครับ คุณไป ผมไป ต่างคนต่างไป ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ” ไอ้ผมยาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่มราวกับหลุดออกมาจากโฆษณาทีวีเลยทีเดียว

“มึงนี่ก็เหมือนจะพูดจารู้เรื่องนะ แต่ก็ยังฉลาดไม่พออยู่ดี” พี่วินตอบพร้อมรอยยิ้ม “ทางเลือกของพวกมึงมีอยู่แค่เพียงสองทางเท่านั้น นั่นก็คือ หนึ่ง มึงยอมตอบคำถามของกูมาซะดีๆเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว กับสอง มึงตอบคำถามของกูออกมาดีๆ แต่หลังจากต้องเจ็บตัวเสียเลือดเสียเนื้อแบบที่มึงว่าแล้ว”

ผมที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลพยายามควบคุมสีหน้าและท่าทางให้เป็นปกติมากที่สุดและปล่อยให้พี่วินเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดเองตามลำพัง ตอนนี้ฐานะของผมก็คงมีเพียงแค่เป็นคนดูและรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแต่เพียงเท่านั้น เพราะผมรู้ดีว่าพี่วินเองก็ไม่ได้อยากให้ผมยื่นมาเข้ามายุ่งในเรื่องนี้เท่าไหร่ และเหตุผลหลักๆของมันก็คงเป็นเพราะเพื่อความปลอดภัยของตัวผมเองนั่นเอง

“งั้นถ้าทางเลือกที่สามล่ะ........” ไอ้ผมยาวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “นั่นก็คือพวกผมต้องใช้กำลังกับพวกคุณเพื่อให้ตัวเองกลับไปบอกนายของเราเรื่องตัวแปรที่ไม่คาดคิดที่เพิ่มเข้ามา....... ซึ่งนั่นก็คือคุณ ส่วนพวกคุณก็จะไม่ได้ข้อมูลอะไรจากพวกเรากลับไปเลยนอกจากอาการบาดเจ็บเท่านั้นเอง” ไอ้ผมยาวเดินเข้ามาใกล้พี่วินมากขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงห้าก้าวแล้ว และบางอย่างในตัวผมมันก็ร้องเตือนว่าไอ้หมอนี่แหละคือคนที่อันตรายจริงๆ ไม่ใช่ไอ้คนหัวเกรียนนั่น

“น่าสนใจดีนี่” พี่วินหัวเราะเบาๆพร้อมกับล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงในท่าที่ดูผ่อนคลายราวกับกำลังท้าทายฝ่ายตรงข้าม “ถ้าไม่ลำบากเกินไปนักล่ะก็ ลองแสดงให้กูดูหน่อยซิว่ามันจะเป็นแบบตัวเลือกที่สามของมึงได้ยังไงกัน”

“ก็แบบนี้ไง” ไอ้ผมยาวตอบพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในเสื้อแจ๊กเก็ตที่มันสวมอยู่แล้วหยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมาเล็งเข้าที่หน้าผากของพี่วินอย่างรวดเร็ว “คุณประมาทเกินไปหน่อยนะครับ คุณหนู.........”

ทันทีที่ไอ้ผมยาวขยับตัว ผมเองก็เริ่มขยับตัวนิดหน่อยไปตามสัญชาติญาณด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อผมเห็นปืนที่ถูกล้วงออกมาและกำลังจ่ออยู่ที่หน้าผากของพี่วินแล้ว ผมก็กลับต้องชะงักอยู่กับที่พร้อมด้วยหัวใจที่เต้นแรงและเหงื่อที่ไหลซึมออกมาจากส่วนต่างๆของร่างกายเพราะความกลัวทันที แต่ทว่าถึงอย่างนั้นสีหน้าของพี่วินก็ยังคงนิ่งเฉยมาก ราวกับว่าสิ่งที่กำลังจ่ออยู่บนหน้าผากของเขานั้นคือแท่งอมยิ้มธรรมดาๆเท่านั้นเอง

“ผิดแล้ว” พี่วินตอบ พร้อมกับชักมือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็วยิ่งหว่าไอ้คนผมยาวเสียอีก แต่ทว่ามือขวาที่เพิ่งโผล่พ้นออกมาจากกระเป๋ากางเกงนั้นกลับไม่ได้มีเพียงมือเปล่าๆ แต่มีมีดพกที่ถูกดึงใบมีดออกมารอเอาไว้แล้วอยู่ด้วย และด้วยความว่องไวชนิดที่ผมยังมองตามแทบไม่ทัน มีดพกอันนั้นก็ถูกปาไปปักอยู่ที่ต้นขาของไอ้ผมยาวเข้าแล้ว “มึงต่างหากที่ประมาท”

“อ๊ากกกกกกกกก!!!” ไอ้ผมยาวกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และในจังหวะที่ปืนของมันถูกลดลงจากหน้าผากของพี่วินนั่นเอง พี่วินก็คว้าข้อมือและแขนข้างขวาของมันไว้และใช้ข้อศอกดันที่ใต้รักแร้เอาไว้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นท่าเดียวกับที่ผมเพิ่งจะโดนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง และสิ่งถัดมาพี่ผมได้ยินก็คือเสียงดังกร๊อบของกระดูกที่แตกออก เสียงดังพลั่กของแผ่นหลังที่กระแทกเข้ากับพื้นถนน และเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของไอ้ผมยาวคนนั้นนั่นเอง

“ไอ้เหี้ยยยย!!” เสียงของไอ้หัวเกรียนร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่มันร้องออกมานั่นหมายถึงมันสบถด่าหรือว่ามันกำลังร้องเรียกชื่อของเพื่อนมันกันแน่

ไอ้หัวเกรียนพุ่งเข้าไปหาพี่วินอย่างรวดเร็ว ในจังหวะเดียวกับที่พี่วินก้มไปคว้าปืนของไอ้ผมยาวมาถือเอาไว้ ผมจึงก้าวออกไปขวางมันเอาไว้ไม่ให้มันเข้าไปถึงตัวพี่วินได้ และด้วยความเร็วที่มันพุ่งตัวเข้ามาเป็นแรงส่งบวกกับตำแหน่งของเท้าที่ผมยืนอยู่อย่างพอเหมาะ ผมจึงสามารถเข้าท่าคว้าแขนเสื้อและคอเสื้อของมันเอาไว้ได้อย่างพอดีและถนัดมือ จนสามารถทุ่มมันลงไปนอนกองอยู่ไม่ไกลจากเพื่อนของมันเข้าด้วยเหมือนกัน และทันทีที่มันลงไปนอนหงายอยู่กับพื้น ผมก็ก้มลงนั่งคุกเข่าและบิดข้อต่อแขนของมันซ้ำอีกครั้งเพื่อกันไม่ให้มันหนีและเล่นลูกไม้อะไรอีก ทำให้ตอนนี้รอบบริเวณของเรานั้นมีแต่เสียงร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวดของผู้ชายสองคนกลบความเงียบยามค่ำคืนไปจนหมด

และเมื่อผมรู้สึกตัวอีกครั้ง ผมก็เงยหน้าหันไปมองพี่วินที่กำลังยืนยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ ผมจึงปล่อยมือออกจากแขนของไอ้ผมเกรียนและยืนขึ้น

“กูบอกแล้ว ว่ามึงประมาททั้งกูและน้องชายกูมากไป” พี่วินเหยียบซ้ำลงบนมือข้างขวาที่ไอ้ผมเกรียนเคยใช้ถือมีด จากนั้นเขาก็หันมามองผม “แต่พี่บอกเมฆแล้วนี่ว่าให้อยู่เฉยๆน่ะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“ก็ คือ...... แบบว่ามันเผลอขยับไปเองน่ะครับ เพราะพอผมรู้ว่าไอ้นี่มันต้องพุ่งเข้าหาพี่วินแน่ๆ ผมก็เลยจะเข้าไปขวางเอาไว้ แล้วมันก็เลยออกมาเป็นแบบนี้น่ะ” ผมตอบ “ผมขอโทษนะครับพี่.......”

“ใครว่าพี่ว่าเมฆเล่า พี่กำลังชมอยู่ต่างหาก”พี่วินหัวเราะเบาๆก่อนจะปลดกระสุนปืนของไอ้ผมยาวออกแล้วก้มลงยัดปืนเปล่าๆกลับลงไปในกระเป๋าของเจ้าของเหมือนเดิม ส่วนผมก็เตะมีดพกของไอ้ผมเกรียนให้กระเด็นไปไกลๆ “ไม่ใช่แค่ยูโดกับเทควันโดใช่มั๊ยล่ะ พี่ว่าพี่สังเกตมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ยิมแล้ว และยังท่าบิดข้อต่อเมื่อกี๊อีก” พี่วินพูดพลางหยิบปืนของตัวเองขึ้นมาเล็งไปที่คนผมยาวที่กำลังนอนตะแคงจ้องพี่วินอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“ตอนอยู่ที่นั่นผมเคยเรียนไอคิโดนิดหน่อยน่ะครับ” ผมตอบ

“มึงจะทำอะไร!” ไอ้ผมยาวถาม

“อ้าว ไม่พูดเพราะๆกับกูแล้วเหรอ” พี่วินหัวเราะเบาๆ “แต่เอาเถอะ ขอให้แค่มึงตอบคำถามของกูมาก็พอ ว่ามึงต้องการอะไร และมึงได้อะไรไปแล้วบ้าง ไม่อย่างนั้นล่ะก็.........” พี่วินเลื่อนปืนที่จ่อไอ้คนผมยาวไว้ไปยังคนผมสั้นแทน “มึงคงรู้นะว่ากูจะทำอะไร”

“กูไม่บอก!” คนผมยาวตอบ และเมื่อสิ้นเสียงของมันปุ๊บ พี่วินก็ยิงเข้าที่แขนซ้ายของไอ้หัวเกรียนทันที และแถมยังไม่ยอมยกเท้าของตัวเองออกจากมือของมันด้วย ทำให้มันต้องร้องและดิ้นทุรนทุรายออกมาเพราะความเจ็บปวด เลือดสดๆที่ไหลพรั่งพรูออกมาจากแผลจึงกระเด็นไปทั่วตัวของมัน รวมทั้งยังกระเด็นมาโดนที่ขาและเท้าของผมกับพี่วินด้วย

ผมกลืนน้ำลายและเขยิบถอยหลังออกมาเล็กน้อย รู้สึกไม่อยากจะยืนเกะกะหน้าที่และความสนุกของพี่วินสักเท่าไหร่

“ว่าไง จะบอกได้รึยัง”

“ได้เหี้ยเอ๊ย!! ทำไมมึงไม่บอกวะ! บอกแล้วๆ กูยอมบอกแล้ว!!” ไอ้หัวเกรียนตอบกลับมาพร้อมน้ำตาที่ไหลรินอาบหน้า “พวกกูไม่รู้อะไรจริงๆ! พวกกูก็แค่ถูกขอให้ตามไอ้ตุ๊ดหน้าอ่อนนี่เพื่อจะดูว่ามันกำลังทำอะไรกับผัวของมันบ้างก็เท่านั้น!”

พี่วินหันปืนไปทางไอ้คนผมยาวแล้วยิงออกมาอีกหนึ่งนัดที่หัวไหล่ของมันทันที

“พูดให้มันดีๆ” พี่วินพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย และผมก็เคยเห็นสีหน้าแบบนี้มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนั่นก็คือสีหน้าเวลาโกรธจริงๆของพี่วินนั่นเอง

“ไอ้สัตว์เอ๊ย!! มึงพูดให้มันดีๆหน่อยสิวะ!!” ไอ้คนผมยาวเรียกเพื่อนของมันบ้าง

“อืมมม...... ก็เหมาะกันดีนะ คนนึงชื่อไอ้เหี้ย อีกคนนึงชื่อไอ้สัตว์ ก็สมกับเป็นคู่หูกันดี” ผมพูดขึ้นลอยๆ แต่พี่วินที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็ได้ยินและหัวเราะชอบใจออกมา

“กูไม่รู้อะไรเลยจริงๆ กูมีหน้าที่แค่คอยตามพวกมันสองคนแล้วบอกให้นายรู้เท่านั้นเองว่ามันทำอะไร ไปไหนกันบ้าง และทะเลาะกันรึเปล่า อะไรพวกนี้ เพราะทุกอย่างจะได้เป็นไปตามแผนที่นายวางไว้มั๊ง! กูไม่รู้อย่างอื่นแล้ว กูรู้แค่นี้จริงๆ!” ไอ้หัวเกรียนตอบ

“แล้วตอนนี้มึงได้อะไรไปแล้วบ้าง พยายามบอกมาให้หมด อย่าให้กูต้องยิงออกไปอีกหนึ่งนัด” พี่วินถาม

“กูรู้แค่ว่าตอนนี้การเคลื่อนไหวของไอ้หน้าอ่อน...... ของไอ้เมฆนี่เป็นไปตามที่นายกูเค้าต้องการทุกอย่างเท่านั้นเอง”

“แล้วเรื่องของคนที่ตามซันอยู่ล่ะ มึงคิดจะพูดเองมั๊ย” พี่วินถามพร้อมกับทำท่าจะเหนี่ยวไก “หรือจะให้กูถาม”

“เดี๋ยวๆๆ! กูกำลังจะบอกอยู่แล้วนี่ไง!” ไอ้หัวเกรียนรีบพูดเมื่อเห็นปืนที่ถูกเลื่อนมาเล็งอยู่ที่หัวไหล่อีกข้างของตัวเอง “เพื่อนกูมันบอกมาแล้วว่าตอนนี้แฟนของมัน ไอ้คนที่ชื่อซันน่ะ ขนของออกจากบ้านไปแล้ว แต่นอกนั้นกูก็ไม่รู้แล้วจริงๆ! กูสาบาน!!”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2008 19:52:42 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
เลว!  :angry2:

ชั่ว!  :angry2:

อย่าให้รู้นะว่าใคร จะเจี๋ยนซะ แล้วเอาสมองมาทอดกิน o18

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
อ้าวซัน ขนของออกจากบ้านจริงอ่ะ
ทำไมถึงทำงี้ล่ะ  o12 ใจคอจะไม่คุยกะเมฆก่อนเลยเหรอ

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
 :serius2:
อ๊า พี่ชาย ขอตอนต่อไปโดยด่วน
-*-
ถ้าจะให้ดี ส่งไฟล์มาเรย ๆ :m23:

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
พี่ชายฮะ..ยังตามอ่านไม่หมดเลย...เยอะโคตรๆๆๆๆๆ

แต่ก็จะอ่านต่อไป

พี่ทึ่มสู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






BEta-K

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาลงชื่อ แล้วรอให้จบ แล้วค่อยมาอ่านรวดเดียว เพราะกลัวจิตตกระหว่างอ่าน ฮี่ๆ :sad2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อ้าว เมฆเก็บของไปตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ  :a5: :a5: :a5:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ลงบ่อยๆ เด๊ววววว ก้อได้ปั่นไม่ทันอีก  :serius2:



วินาทีที่ 36


ผมรีบขับรถกลับบ้านด้วยหัวใจอันร้อนรน ในขณะเดียวกันผมก็พยายามกดมือถือเข้าหาไอ้ซันหลายต่อหลายครั้ง แต่ทว่าผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม  และมันก็ยิ่งทำให้ผมยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้นไปอีก เพราะสุดท้ายแล้วผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะใครและต้องการอะไรกันแน่

ผมขับรถมาถึงสี่แยกไฟแดง ซึ่งในสถานการณ์ที่ผมกำลังเผชิญอยู่แบบนี้แต่กลับต้องมาติดแหงกให้กับไฟแดงในกรุงเทพแบบนี้มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของผมดีขึ้นเลย แต่มันกลับทำให้ผมยิ่งร้อนรนใจมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

ผมเอาหน้าผากโขกกับพวงมาลัยรถเบาๆแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆในซอยแห่งนั้น

“เมฆกลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการต่อเอง.......” พี่วินพูดขึ้นเมื่อเขาเห็นสีหน้าของผมหลังจากที่ไอ้หัวเกรียนมันยอมสารภาพความจริงออกมาแล้ว

“มึงหมายความว่ายังไง!” ผมตะคอกใส่มันโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่พี่วินบอกผมเลย “มึงบอกว่าไอ้ซันมันทำไมนะ! นี่พวกมึงทำอะไรกับแฟนกูกันแน่!”

“มึงนั่นแหละที่ทำตัวเอง ไอ้โง่!” ไอ้หัวเกรียนตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มสะใจเล็กน้อยทั้งๆที่ใบหน้ายังคงมีคราบน้ำตา “กูบอกแล้วไงว่ากูก็แค่คอยจับตาดูพวกมึงสองคน แต่ถ้าอะไรๆมันจะเหี้ยไป มันก็เกิดมาจากพวกมึงทำตัวเองกันทั้งนั้นแหละ ไอ้ควาย!”

ผมที่ขยับตัวเร็วกว่าพี่วินเดินตรงเข้าไปเหยียบลงบนแผลของมันที่เพิ่งถูกพี่วินยิงทันที ทำให้มันต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เมฆ กลับบ้านไปก่อน” พี่วินพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบีบหัวไหล่ของผมแรงพอที่จะดึงสติของผมกลับมา “และปล่อยให้พี่จัดการตรงนี้เอง กลับไปดูซะว่ามันเกิดอะไรขึ้นและมีอะไรผิดปกติบ้าง จากนั้นให้โทรมาบอกพี่ เข้าใจมั๊ย”

ผมพยักหน้าช้าๆทั้งๆที่ตายังคงมองไอ้หัวเกรียนกับไอ้ผมยาวอยู่อย่างโกรธแค้น แต่เมื่อผมนึกถึงคำพูดที่น่าจะแฝงความนัยของพี่วินอีกครั้ง ผมก็รีบไปขึ้นรถและขับออกมาจากที่แห่งนั้นทันที.............

“ไอ้ซัน......... นี่มันเกิดอะไรขึ้น มึงจะคุยกับกูก่อนไม่ได้รึไง” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเริ่มเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งเมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวอีกครั้งพอดี

ทันทีที่ผมกลับถึงบ้าน ผมก็รีบตรงขึ้นห้องนอนของตัวเองทันที ผมเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็เห็นว่าเสื้อผ้าของไอ้ซันมันหายไปหลายชุดจริงๆ นอกจากนั้นของใช้ส่วนตัวบางอย่างของมันก็ยังไม่อยู่ในที่ๆเดิมแล้วด้วย ผมเดินออกจากห้องไปเคาะที่ห้องของไคล์เพื่อถามว่าเขารู้มั๊ยว่าซันไปไหน แต่ไคล์ก็ไม่รู้ แถมยังถามคำถามผมกลับมาอีกด้วยว่าทำไมจู่ๆซันถึงได้เรียกแท็กซี่ออกจากบ้านไปแบบนั้นและยังคำถามอื่นๆอีก ผมจึงต้องเลี่ยงเขาออกไปโดยบอกว่าเราทะเลาะกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ทว่าคนที่ผมไม่สามารถโกหกได้เลยก็คือพ่อเอกนั่นเอง

“เกิดอะไรขึ้น เมฆ” พ่อเอกถามผมหลังจากที่ผมเดินออกมาจากห้องของไคล์แล้ว

“ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ พ่อไปนอนเถอะ” ผมตอบ

“แล้วทำไมเสื้อผ้าถึงได้เป็นแบบนั้น”

ผมก้มลงมองดูเสื้อผ้าตัวเองก็เห็นว่าตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่โทรมมากจริงๆ โดยเฉพาะรอยเลือดที่ยังคงเลอะอยู่ตรงปลายขากางเกงของผม “ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ วันนี้ผมไปเข้ายิมมาน่ะ”

“แล้วซันล่ะ รู้รึยังว่าเขาไปไหน”

ผมส่ายหน้า “ยังครับ แต่ก็จะรู้ให้ได้เร็วๆนี้แหละ” ผมตอบก่อนจะเดินผ่านพ่อเอกไปก่อนที่จะโดนซักไปมากกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ยังถูกหยุดเอาไว้อีกครั้งจนได้

“เดี๋ยว”

ผมหันกลับมามองหน้าพ่อแล้วก็อดรู้สึกผิดไม่ได้เมื่อเห็นแววตาแห่งความกังวลฉายอยู่ในดวงตาคู่นั้นอย่างเต็มเปี่ยม

“วินเข้ามาช่วยแล้วใช่มั๊ย.......” และเมื่อพ่อเห็นผมพยักหน้าตอบ พ่อก็ถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดต่อ “วันนี้ก็ด้วยใช่มั๊ย”

“ครับ” ผมพยักหน้าอีกครั้ง

พ่อเอกหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นมามองผมอีกครั้งอย่างห่วงใยและเป็นกังวล “ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

ผมพยักหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและพยายามหาว่าไอ้ซันทิ้งโน้ตเอาไว้ให้ผมบ้างรึเปล่า แต่นั่นก็ดูจะไม่ใช่นิสัยไอ้ซันจริงๆ จนกระทั่งความคิดความคิดหนึ่งมันกระแทกเข้าที่หัวของผมอย่างจัง ผมจึงรีบกระโดดไปที่มุมห้องและไขกุญแจที่ลิ้นชักของผมที่ผมเก็บรูปเอาไว้ และในที่สุดผมก็เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ รูปถ่ายของนัทที่ถูกดึงออกมาจากซอง และรูปถ่ายคู่ในห้องน้ำของเราสองคนที่ถูกฉีกออก......... ซึ่งเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเองได้

“ไอ้ซัน!” ผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียงก่อนจะหยิบรูปถ่ายคู่ของเราสองคนขึ้นมาถือไว้ในมือ ทันใดนั้นเองสิ่งต่อมาที่ผมคิดได้คือแหวนของเราสองคนและก้อนหินสีขาวของมัน ผมรีบลุกขึ้นเดินไปทั่วห้องเพื่อหาของสองสิ่งนั้นอีกครั้งทันที ไอ้ซันมันคงไม่ทำถึงขนาดทิ้งแหวนที่เป็นของๆพ่อกับแม่ของผมไปแน่นอน ดังนั้นอย่างร้ายแรงที่สุดก็คือมันต้องถอดวางคืนเอาไว้ให้แก่ผม และก้อนหินก้อนนั้นก็ด้วยเช่นกัน

ผมใช้เวลากว่าห้านาทีหาตามส่วนต่างๆของห้องนอนไม่ว่าจะในตู้ ในเก๊ะ หรือบนชั้นวางของตามหลืบตามมุมต่างๆทั้งหมดแต่ก็ไม่พบเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกนิดหน่อยว่าผมยังคงมีโอกาสอยู่.........

โอกาสที่ผมจะได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเข้าใจ



อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาฉลองกระทู้ที่ 300 ของตัวเอง

เป็นกำลังใจให้น้องชายคนนี้เสมอนะครับ...รักษาสุขภาพด้วย :L2: :L2: :L2: :L2:

อยากบอกว่า..รักน้องทึ่มจัง อิอิ ( เบื่อเมื่อไหร่บอกพี่นะ )
:m20: :m20: :m20:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เข้ามาฉลองกระทู้ที่ 300 ของตัวเอง

เป็นกำลังใจให้น้องชายคนนี้เสมอนะครับ...รักษาสุขภาพด้วย :L2: :L2: :L2: :L2:

อยากบอกว่า..รักน้องทึ่มจัง อิอิ ( เบื่อเมื่อไหร่บอกพี่นะ )
:m20: :m20: :m20:

งั้นบอก ณ บัดนาวเลย (ฮา)

ยืมไอ้ลักยิ้มมาแลกแก้เบื่อสักอาทิดสองอาทิดดิ่  :m13:

ปล. อย่าลืมๆๆ วันศุกร์ๆ  :oni3:

อาจารย์..สีฟ้า

  • บุคคลทั่วไป
งั้นบอก ณ บัดนาวเลย (ฮา)

ยืมไอ้ลักยิ้มมาแลกแก้เบื่อสักอาทิดสองอาทิดดิ่  :m13::oni3:

เอาไปเลย เดี๋ยวแถมข้าวสารให้ 2 กระสอบ  กะปิ  น้ำปลา พร้อมเลยน้อง

ปล. อย่าลืมๆๆ วันศุกร์ๆ  :oni3:

เสียใจน้องรัก  วันศุกร์ที่ โรงเรียนเลี้ยงส่งพี่ อิอิ  มาด้วยกับป่าวละ เอาไอ่ทึ่มมาด้วย อิอิ 

ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1


อ่านเรื่องนี้แล้วทรมานหัวใจตัวเองทุกที ทั้งๆที่เป็นเรื่องนอกตัวแท้ๆ แต่ปองทรมานแทน... o7

เจ็บมากมาย... :dont2: :o7: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป
 :m1:เกือบถึงสามร้อย reply แว้วววววว  :oni2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 37


“ที่คอนโด” ผมพูดกับตัวเองและรีบลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ถึงผมจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาแล้วว่าไอ้ซันยังคงเก็บแหวนเอาไว้กับตัว แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในขั้นที่เรียกว่า “เลวร้ายสุดๆ” อยู่ดี เพราะว่าที่ผ่านมาไม่ว่าเราจะทะเลาะกันยังไงหรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแบบไหนก็ตาม ไอ้ซันก็ไม่เคยตัดสินใจหรือทำอะไรรุนแรงแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

ผมหยิบมือถือขึ้นมากดหาพี่วินและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังอย่างรวดเร็ว ซึ่งพี่วินก็ฟังอย่างใจเย็นและไม่ได้พูดอะไรขัดออกมาอีกเหมือนเดิม “ว่าแต่เรื่องทางนั้นเป็นยังไงมั่งครับพี่”

“ไม่ต้องสนใจเรื่องไอ้สองคนนี้หรอก ตอนนี้สนใจเรื่องทางฝั่งนั้นดีกว่า และเด็กพี่เองก็ยังตามจับไอ้คนที่ตามซันไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะมันดันไหวตัวทันซะได้น่ะสิ ดูเหมือนไอ้คนผมยาวมันจะติดต่อไปหาทางฝั่งนั้นทันก่อนที่มันจะลงจากรถมาเจอพี่พอดี” พี่วินบอก “ส่วนเรื่องของตัวการทั้งหมดน่ะ ยังไม่ได้หรอกนะ พี่โกหกมันออกไปเพื่อเค้นถามมันเท่านั้นเอง เพราะไอ้คนที่มันเรียกว่านายๆนั่นน่ะ มันมีสองคน คนที่มันทำงานให้ก็เป็นแค่ลูกน้องที่ทำงานให้อีกคนนึงที่น่าจะเป็นตัวใหญ่อีกที แต่อีกไม่นานก็คงจะได้จริงๆแล้วล่ะ พี่แค่ต้องลงไปจัดการด้วยตัวเองอีกนิดหน่อยเท่านั้น” พี่วินอธิบายราวกับจะอ่านใจผมออกว่าผมอยากจะถามอะไร

“ก็ได้ครับพี่ แต่ว่า........”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ตอนนี้เมฆสนใจเรื่องของซันอย่างเดียวเท่านั้นพอ เข้าใจมั๊ย ส่วนเรื่องอื่นๆพี่ดูแลให้เอง” พี่วินพูดสวนขึ้นมาก่อนที่ผมจะพูดจบ “พี่เองก็ไม่เข้าใจไอ้เรื่องของความรักอะไรสักเท่าไหร่หรอกนะ โดยเฉพาะเรื่องของผู้ชายสองคนด้วยแล้ว และพี่ก็ไม่ได้รู้จักซันดีด้วย แต่ว่าพี่รู้จักเมฆ และพี่เชื่อใจเรา เพราะฉะนั้นจงเชื่อใจพี่ เข้าใจมั๊ยครับ”

ผมรับคำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางสายไป........ ใช่แล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมก็คือเรื่องของไอ้ซัน ทุกอย่างมันกำลังจะดำเนินไปในทางที่ผิดหมดแล้ว ไอ้ซันมันกำลังเข้าใจผมผิด และเรื่องทั้งหมดมันก็ผิดที่ผมเอง เพราะฉะนั้นขอสักครั้งเถอะ....... ขอโอกาสอีกสักครั้งให้ผมได้อธิบายเรื่องราวความจริงทั้งหมดให้มันฟัง ขอโอกาสให้มันยอมรับฟังผมและกลับมาเป็นเหมือนเดิม ขออย่าให้เราต้องมาเลิกกันหรือมีปัญหากันเพราะไอ้เรื่องเข้าใจผิดงี่เง่าๆแบบนี้เลย

ผมรีบขับรถออกจากบ้านอีกครั้งอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปหาไอ้ซันที่คอนโด ทันทีที่ผมเลี้ยวรถเข้าไปในอาคารจอดรถและตรงไปยังที่จอดรถของไอ้ซัน ผมก็เห็นรถเก๋งป้ายแดงคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งนี่ก็เป็นรถของไอ้ซันนั่นเอง แต่ทว่าที่จอดรถข้างๆที่ควรจะว่างอยู่ก็กลับมีรถเก๋งอีกคันจอดอยู่ด้วยเหมือนกัน แถมยังเป็นรถที่ผมไม่เคยเห็นและไม่เคยคุ้นตามาก่อนเลยด้วย

ผมขับรถเลยไปจอดอยู่ตรงที่ว่างที่หนึ่งด้วยความจำเป็น จากนั้นก็เดินลงไปสำรวจดูที่รถทั้งสองคัน แต่ทว่าผมก็ไม่สามารถบอกอะไรจากรถที่ว่างเปล่าทั้งสองคันนั้นได้เลย ผมจึงตัดสินใจเดินตรงไปที่ประตูทางเข้าเพื่อขึ้นไปยังห้องของไอ้ซันพร้อมกับลุงคนหนึ่ง เราสองคนอยู่ในลิฟต์เงียบๆด้วยกันอย่างน่าอึดอัดใจครู่ใหญ่ๆซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะจิตใจที่กำลังร้อนรนอย่างสุดๆของผมนั่นเอง จนกระทั่งเมื่อมาถึงชั้นที่ผมต้องลง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผมก็รีบพุ่งตัวออกไปด้วยความรวดเร็วทันที

ผมเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของไอ้ซัน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเคาะประตูลงไปสามสี่ครั้ง แต่ทว่าอีกฝั่งก็ไม่ยอมตอบกลับมา ผมจึงเคาะลงไปอีก และพยายามส่องเข้าไปที่ตาแมวราวกับมันจะช่วยให้ผมเห็นคนที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของประตูได้

“ไอ้ซัน” ผมพูดชื่อมันพร้อมกับรัวกำปั้นลงไปที่ประตูอีกครั้ง ถึงมันจะผิดวิสัยของผมที่ผมจะมาทำอะไรแบบนี้ แต่ว่าผมก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ “มึงอยู่รึเปล่า เปิดให้กูเข้าไปหน่อยได้มั๊ย มึงมาคุยกับกูก่อนดิ่วะ มึงเข้าใจอะไรผิดไปใหญ่แล้วนะเว้ย” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหยุดมือที่เคาะประตูลง “ไอ้ซัน กูขอโทษ..........”

“เค้าไม่อยู่หรอก หนุ่ม” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นข้างๆตัวผมไม่ไกล ผมจึงหันกลับไปมองที่มาของเสียงทันที และลุงคนที่ขึ้นลิฟต์มากับผมเมื่อกี๊นี่เองที่กำลังพูดกับผมอยู่ “ลุงเห็นเค้ากลับมาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว และสักพักนึงก็เห็นออกไปกับเพื่อนอีกคนนึงน่ะนะ”

“ลุงหมายถึงตอนนี้เจ้าของห้องห้องนี้ไม่อยู่เหรอครับ แต่ว่าผมเห็นรถมันก็จอดอยู่นี่”

“เค้าคงไปกับรถเพื่อนเค้ามั๊ง หรือไม่ก็คงนั่งแท็กซี่น่ะ”

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเอาหลังพิงกับประตูด้วยความท้อแท้และเหนื่อยอ่อน ถ้าเกิดว่ามันไม่อยู่ที่นี่ ผมก็ไม่รู้แล้วว่าผมจะไปตามหามันที่ไหนได้อีก แบบนั้นมันก็จะเหมือนกับงมเข็มในทะเลเกินไป............

“แล้วนี่กูจะทำยังไงดี.......... มึงจะให้กูไปตามหามึงที่ไหนอีก ไอ้ซัน” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ และทันใดนั้นเองที่ผมนึกถึงคนๆหนึ่งขึ้นมาได้ ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ของคนๆนั้นทันที

“เออ ว่าไง” อีกฝ่ายรับสายเกือบทันทีที่ผมโทรเข้าไป

“ไอ้เอ็น มึงรู้มั๊ยว่าไอ้ซันไปไหน”

“หา ไอ้ซันเนี่ยนะ ไม่รู้ว่ะ เกิดอะไรขึ้นวะ” ไอ้เอ็นถามกลับมา

“ก็มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ คือก็ไม่นิดหรอก แต่มันกำลังเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย กูจะทำไงดีวะ นี่กูมาหามันที่คอนโดมันก็ไม่อยู่ไม่รู้ไปไหนกับใคร มึงไม่รู้จริงๆเหรอวะว่ามันไปไหนน่ะ ไอ้เอ็น มันไม่ได้บอกอะไรมึงเลยเหรอ”

“เปล่าเลย คือวันนี้กูเข้าเวรว่ะ ก็เลยไม่ได้คุยกับมัน คือมันก็โทรมาหากูนะเมื่อตอนบ่ายๆน่ะ แต่กูไม่ได้รับแล้วก็ลืมโทรกลับด้วย มัวแต่ยุ่งๆอยู่ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นวะเมฆ”

“เรื่องมันยาวว่ะ ยาวมาก แต่ว่าไอ้เรื่องที่เราเคยคุยกัน จำได้มั๊ย ที่สงสัยว่าเหมือนถูกตามนั่นน่ะ มันเป็นจริงๆว่ะ วันนี้กูจัดการเรียบร้อยไปส่วนนึงแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหี้ยอะไรเท่าไหร่เลย แถมนี่ไอ้ซันยังมาเข้าใจกูผิดแล้วเก็บข้าวของออกจากบ้านไปแบบนี้อีก และที่แย่ที่สุดก็คือตอนนี้แม่งไปไหนกับใครก็ไม่รู้ด้วย ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย” ผมขบกรามด้วยความเครียด และในที่สุดโทรศัพท์ของผมมันก็ส่งเสียงร้องเตือนแบตเตอร์รี่อ่อนขึ้นมาจนได้ “เชี่ยเอ๊ย แม่ง! แบตกูก็เสือกจะหมดอีก!”

“เอางี้เมฆ มึงใจเย็นๆก่อน ถ้าไอ้ซันมันติดต่อมากูจะช่วยคุยให้ แต่ตอนนี้มึงกลับบ้านไปก่อนก็ได้มั๊ง ไปพักผ่อนทำใจให้สงบๆก่อนเหอะ กูรับปากมึงไปแล้วว่ากูจะช่วยมึง เพราะงั้นถ้ากูว่างจากตรงนี้ไปได้เมื่อไหร่ล่ะก็ กูไปช่วยมึงแน่ อย่างน้อยๆกูก็จะช่วยพูดกับไอ้ซันให้เอง”

“แต่ตอนนี้มึงต้องบอกกูแล้วนะไอ้เอ็น ว่ามึงกับมันคุยและทำอะไรกันไปแล้วบ้าง เพราะตอนนี้มันมีมืออื่นๆอีกหลายมือเข้ามายุ่งจนวุ่นไปหมดแล้วนะ”

“กูเข้าใจ กูเองก็รู้เรื่องพี่วินของมึงมาได้สักพักแล้วด้วยเหมือนกัน ก็ได้ กูจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้มึ..........”

“ฮัลโหล ฮัลโหล! ไอ้เอ็น!” ผมพูดใส่โทรศัพท์ที่จู่ๆก็เงียบไป และเมื่อผมมองดูที่หน้าจอก็เห็นว่าโทรศัพท์ของผมมันดับสนิทไปซะแล้ว “ไอ้เหี้ยเอ๊ย!”

ผมยกมือขวาขึ้นมาปิดหน้าก่อนจะสอดมือถือเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม และเมื่อผมเอามือออกเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าลุงคนเมื่อกี๊ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

“ดูท่าทางจะมีเรื่องด่วนนะ ใช้โทรศัพท์ของลุงก่อนมั๊ย”

ผมส่ายหน้า “ขอบคุณครับ แต่ว่าผมจำเบอร์เพื่อนไม่ได้น่ะ เพราะงั้นก็ไม่มีประโยชน์.......”

“งั้นเหรอ........ เอาเถอะ งั้นลุกขึ้นมาไปที่ห้องลุงก่อนเถอะ นั่งตรงนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผม..........” ผมชั่งใจระหว่างกลับบ้านไปอย่างที่ไอ้เอ็นแนะนำกับรอไอ้ซันอยู่ที่นี่ และสุดท้ายตัวเลือกของผมมันก็ดูเหมือนจะมีแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น “ผมนั่งรออยู่ที่นี่จนกว่าเพื่อนของผมจะกลับมาดีกว่า”

“มาเถอะน่า ห้องของลุงก็อยู่ติดกันนี่เอง ไปเถอะ ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก็ยังดี” เขายังคงเสนออยู่

“แต่ว่า.........”

“มาเถอะ รับรองได้ว่าลุงไม่ใช่คนไม่น่าไว้ใจหรอก” เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป

ผมหันกลับไปมองประตูห้องของไอ้ซันอีกครั้งก่อนจะก้มมองดูสภาพเสื้อผ้าของตัวเอง จริงๆแล้วห้องของลุงคนนี้ก็อยู่ติดกับไอ้ซันเลย และถ้าเกิดมีใครเดินผ่านหน้าห้องล่ะก็ ถ้าหากสังเกตดีๆก็น่าจะพอได้ยินอยู่บ้าง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจยืนขึ้นและเดินตามลุงคนเมื่อครู่ไป เพราะถึงยังไงลุงคนนี้ก็ดูไม่ใช่และไม่มีทางเป็นมิจฉาชีพอะไรอย่างนั้นได้อยู่แล้ว ในเมื่อเขาเองก็อาศัยอยู่ในคอนโดแห่งนี้เช่นเดียวกัน

ผมเดินตามเขาเข้าไปในคอนโดและกวาดสายตามองไปรอบๆห้องนั่งเล่นก็ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่อาศัยเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง และเมื่อประเมินจากอายุแล้ว ผู้ชายอายุหกสิบกว่าๆมาอาศัยอยู่ในคอนโดกลางเมืองคนเดียวแบบนี้ผมว่ามันก็ค่อนข้างจะดูแปลกนิดหน่อยสำหรับผมอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อสังเกตดูดีๆก็จะเห็นพวกเครื่องใช้ ของวางโชว์ และเครื่องประดับบางอย่างที่ดูค่อนข้างผิดตาไปอยู่นิดหน่อย และเมื่อผมรู้สึกตัวผมก็ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียวแล้ว ผมจึงถือโอกาสนี้สำรวจรอบห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่สายตาของผมมันไปสะดุดอยู่ที่กรอบรูปรูปหนึ่งที่วางคว่ำเอาไว้บนตู้โชว์ตรงมุมห้อง

“ลูกชายลุงเพิ่งเสียไปเมื่อครึ่งปีก่อนน่ะ” ลุงพูดขึ้นเมื่อเดินกลับเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวผืนหนึ่ง “ตอนนี้ลุงก็เลยอยู่คนเดียวแบบนี้แหล่ะ”

“เสียใจด้วยนะครับ.......” ผมพูด “ว่าแต่ คือ.......”

“เอ้า ไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ อาบน้ำเลยก็ดี ดูท่าทางวันนี้จะเจอมาเยอะอยู่เหมือนกันนี่” เขาพูดพร้อมกับยื่นผ้าผืนนั้นมาให้ผม “ห้องน้ำอยู่ทางนั้นนะ ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวลุงเตรียมไว้ให้เอง ไปเถอะ จะได้สดชื่น”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเกรงใจ ขอแค่ล้างหน้าล้างตาหน่อยก็พอแล้ว”

“ไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ พูดก็พูดเถอะ เลอะไปหมดทั้งเหงื่อทั้งเลือดทั้งฝุ่นแบบนี้ มันคงไม่สบายตัวนักหรอก แล้วก็คงไม่สบายใจด้วยใช่มั๊ยล่ะ เพราะงั้น ไปอาบน้ำซะ” เขาพูดจบประโยคด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีอำนาจและดูเป็นการออกคำสั่งเล็กน้อย และนั่นก็แสดงให้ผมเห็นและรู้สึกถึงอะไรบางอย่างลึกๆแบบแปลกๆบอกไม่ถูก ผมจึงยอมทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี

หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยพันผ้าขนหนูผืนนั้นเอาไว้ที่เอว และที่หน้าห้องน้ำนั้นก็มีเสื้อผ้าลำลองอยู่ชุดหนึ่งพับวางรอไว้ให้อยู่

“ใส่สะซิ แล้วก็ออกมานั่งกินอะไรสักหน่อย” ลุงพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเปิดประตูห้องน้ำออก ผมจึงพยักหน้าแล้วหยิบชุดนั้นกลับเข้าไปใส่ มันเป็นเสื้อยืดสีขาวล้วนกับกางเกงยาขาวสีครีมธรรมดาๆ แต่ว่าก็ใส่ได้พอดีตัวของผมเลยเหมือนกัน

ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำและมาหยุดอยู่ตรงโซฟาที่ลุงกำลังนั่งดูทีวีอยู่ และเมื่อเขารู้สึกว่าผมยืนอยู่ข้างหลัง เขาก็หันมามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียว แต่เป็นการมองเพื่อดูว่าผมใส่ชุดที่เขาเตรียมไว้ให้พอดีหรือเปล่ามากกว่ามองแบบสำรวจรูปร่างหน้าตาของผม และเมื่อเขาพูดขึ้น มันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

“ใส่ได้พอดีเลยนี่” ลุงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างยินดี “เสื้อของลูกชายลุงเอง ไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะมีวันที่ได้เอามันออกมาจากตู้อีกครั้งแบบนี้”

“นี่เสื้อของลูกลุงเหรอครับ” ผมถาม “เอ่ออ แล้วมันจะดีเหรอครับ ลุง คือ........”

“ไม่หรอกๆ ดีแล้วล่ะ หรือว่าเรากลัว”

“ไม่ใช่หรอกครับ ไม่ใช่เลย คือผมเกรงใจมากกว่านะครับ....... หลายๆอย่างเลยด้วย” ผมมองไปบนโต๊ะรับแขกที่มีทั้งแก้วน้ำและขนมเค้กชิ้นหนึ่งวางรอผมเอาไว้อยู่

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก อย่างน้อยๆวันนี้ลุงก็มีเพื่อนมานั่งคุยสักหน่อยล่ะนะ อืมมม ว่าแต่เราชื่อ.........”

“เมฆครับ” ผมเดินอ้อมไปนั่งลงบนโซฟา

“ลุงชื่ออี๊ด เรียกลุงอี๊ดก็ได้ เอ้า กินซะสิ หรือจะเอาอย่างอื่นที่หนักท้องกว่านี้ก็มีนะ กินอะไรมารึยังล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วครับ” ผมตอบพลางเริ่มรู้สึกถึงความหิวที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในท้องมากขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วยเหมือนกัน เพราะวันนี้ทั้งวันตั้งแต่เที่ยงก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของผมเลยจริงๆ พอความเครียดกับความตื่นเต้นเริ่มจางหายไป ความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ที่จิตใจไม่สามารถความคุมได้อย่างความง่วง ความหิว และความเหนื่อยอ่อนก็เริ่มเข้ามาครอบงำผมทันที

“กินเข้าไปเถอะ พักผ่อนหน่อยก็ได้ รอจนเจ้าของห้องนั้นเขากลับมาก่อนแล้วค่อยไปคุยกันก็ไม่เป็นไรหรอก” ลุงอี๊ดบอกผม

“ว่าแต่ลุงเห็นเพื่อนของผมออกไปเมื่อตอนเย็นจริงๆเหรอครับ ประมาณกี่โมง จำได้มั๊ยครับ” ผมถาม

“ก็น่าจะราวๆทุ่มกว่าๆได้นะ แต่กว่ากี่โมงแบบเป๊ะๆนี่ลุงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ทุ่มกว่าๆก็คงเป็นช่วงที่ผมออกจากยิมและกำลังอยู่บนถนนพอดี........

“แล้ว......เอ่ออ ลุงพอจำได้มั๊ยครับว่าเพื่อนเขาคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง”

“ไม่ได้หรอก” ลุงอี๊ดส่ายหน้า “ลุงก็เห็นแว้บๆตอนกลับมาจากซื้อของเท่านั้นเอง แต่พอหนุ่มคนนี้รู้สึกจะชื่อซันใช่มั๊ย ลุงจำได้ว่าเคยเห็นพวกเรามาขนของกันอยู่เมื่อไม่นานมานี้นี่”

ผมนึกย้อนไปถึงวันที่พวกเราขนของเข้าคอนโดของไอ้ซันแล้วก็เริ่มคลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาทันที “อ๋ออ งั้นผมก็พอจำลุงได้แล้วล่ะครับ ขอโทษทีนะครับที่วันนั้นพวกเราทำเสียงดังรบกวนกันซะเยอะเลย”

“ไม่หรอก เพราะลุงเองก็ไม่ได้อยู่บ้านเหมือนกัน ตอนนั้นลุงก็กำลังออกไปธุระข้างนอกพอดีน่ะ” ลุงอี๊ดยิ้มน้อยๆก่อนจะจ้องตาของผมและพินิจใบหน้าของผมแทบทุกส่วน “ชื่อเมฆใช่มั๊ย.........”

“ครับ” ผมพยักหน้า

ลุงอี๊ดลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบกรอบรูปที่วางคว่ำไว้มาจากบนตู้โชว์แล้วยื่นให้ผมดู  และมันก็ทำให้ผมต้องตกใจมากไปเลยเหมือนกัน เพราะรูปชายหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่ในรูปนั้นมัน.........

“รูปลูกชายของลุงเอง เค้าเป็นทหารน่ะ ชื่อโอ๊ต เป็นไง หล่ออยู่เหมือนกันมั๊ย...........”

“ลูกชายลุงเค้า........” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ้าปากค้างเล็กน้อย เสียงที่กำลังเปล่งออกมาจากลำคอจู่ๆก็เหือดหายไปจนหมดสิ้น

“ใช่” ลุงอี๊ดพยักหน้า “หน้าคล้ายเรามากเลยใช่มั๊ยล่ะ”

ผมก้มหน้าลงมองดูรูปของชายหนุ่มที่ชื่อโอ๊ตคนนี้อีกตกครั้งด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง รูปถ่ายใบนี้เพิ่งจะถ่ายเมื่อปีที่แล้วนี่เองเพราะวันที่ที่อยู่ตรงมุมรูปมันบอกเอาไว้ และในรูปก็เป็นรูปของผู้ชายสองคนกำลังยืนกอดคอกันอยู่ด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขมากบนใบหน้าทั้งคู่ โดยคนทางซ้ายจะสูงกว่าและหนุ่มกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคนทางขวาก็คือลุงอี๊ดนั่นเอง และถึงจะเพิ่งเป็นรูปถ่ายของปีที่แล้ว แต่ว่าลุงอี๊ดในรูปก็ดูหนุ่มกว่าตอนนี้มากราวกับย้อนไปสักสี่ห้าปีเป็นอย่างน้อยทีเดียว และแน่นอนว่าทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าคนตัวสูง หรือลุงอี๊ดในฉบับคนหนุ่มที่สวมเครื่องแบบทหารนั้นกลับมีหน้าตาคล้ายผมอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะดวงตาและรอยยิ้มนั่น และนี่ขนาดตัวผมเองยังเห็นเป็นแบบนี้ ถ้าคนอื่นมาเห็นล่ะก็คงไม่แคล้วคิดว่าผมมีฝาแฝดแน่ๆ

“เมฆอายุเท่าไหร่” ลุงอี๊ดถามขึ้น

“อ๋อ ก็ เพิ่งจะยี่สิบสามไปไม่นานนี่เองครับ”

“งั้นก็อายุน้อยกว่าโอ๊ตสองปี....... แล้วไง เห็นรูปโอ๊ตแล้วคิดว่าไง” ลุงอี๊ดยิ้ม

“คือพี่เค้า....... คล้ายผมมากเลยนะครับ ต่างกันแค่เค้าจะดูผมหยิกๆกับหน้าเข้มกว่าผมหน่อยเท่านั้นเอง”

“ก็นั่นน่ะสินะ.......” ลุงอี๊ดพยักหน้าแล้วหยิบรูปคืนไปถือเอาไว้ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฮ้อออ ก็แปลกนะ ที่บางทีคนเราพอยิ่งอยากจะลืม มันก็กลับยิ่งจะจำ ไม่ว่าจะทำยังไงก็วิ่งหนีอดีตและข้อผิดพลาดของตัวเองไปไม่ได้สักที”

ผมก้มหน้าเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี แต่สุดท้ายลุงอี๊ดก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“แล้วแฟนเราล่ะ อายุเท่าไหร่”

“ก็เท่าๆกับผมล่ะครับ แต่อ่อนเดือนกว่า อืมมม จะว่าไปก็อ่อนกว่าเกือบปีล่ะครับ”

“แล้วไปทะเลาะอะไรกันเข้าล่ะ ถึงได้ดูเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้”

“ก็เข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะครั..........” ผมชะงัก “เอ่อ คือ........”

“ลุงรู้อยู่แล้วล่ะ ก็พอเดาๆได้น่ะนะ” ลุงอี๊ดพยักหน้าพร้อมกับวางรูปของเขากับลูกชายลงบนโต๊ะรับแขก “ไม่เป็นไรหรอก ลุงไม่ได้แอนตี้หรือไม่ชอบพวกเกย์อะไรพวกนี้แล้วล่ะ แต่จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของลุงที่จะถามอยู่แล้วหรอก แต่ว่า........” เขาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เพราะว่าลูกชายลุง ไอ้เจ้าโอ๊ตมันก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน และมันก็เป็นความผิดพลาดเดียวของลุงที่ตอนนั้นลุงก่อขึ้น และลุงก็จะไม่ทำพลาดอีกแล้ว........ มันต้องจากลุงไปก็เพราะความผิดของลุงคนเดียวแท้ๆ.........”

เวลาล่วงเลยไปกว่าสี่ทุ่มแล้ว และผมก็นั่งฟังลุงอี๊ดเล่าเรื่องของโอ๊ต ลูกชายของเขาอย่างตั้งใจ ลุงอี๊ดเล่าว่าทั้งเขาและโอ๊ตต่างก็เคยเป็นทหารด้วยกันทั้งคู่ และภรรยาของลุงก็เสียไปตั้งแต่โอ๊ตยังเล็กมากอยู่เลย จึงทำให้เขาต้องเลี้ยงลูกขึ้นมาตามลำพัง และด้วยนิสัยทหารของเขาก็ทำให้เขาเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ แต่ถึงอย่างนั้นสองคนพ่อลูกก็ยังคงรักใคร่กันดีมาก และโอ๊ตเองก็เจริญรอยตามพ่อของเขาด้วยการรับราชการทหารด้วยเหมือนกัน ครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้ก็ดูมีความสุขดีทุกอย่าง จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ ลุงอี๊ดเกิดสงสัยว่าทำไมโอ๊ตที่ทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครให้กับสถาบันที่เกี่ยวกับผู้ป่วยเป็น HIV ถึงได้ดูมีพฤติกรรมแปลกไป จนกระทั่งเขาได้พบว่าลูกชายของตัวเองกำลังมีความรักให้กับผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่เขาคอยดูแลอยู่ และนั่นก็ทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันรุนแรงมาก จนกระทั่งวันหนึ่งไม่นานหลังจากการทะเลาะกันครั้งใหญ่ โอ๊ตก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะขับรถออกจากบ้านไปหาคนรักของเขา และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ หลังจากที่คนรักของเขารู้ว่าโอ๊ต ความหวังและชีวิตที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของเขาจากไป เขาก็ฆ่าตัวตายตามไปด้วย นั่นจึงทำให้ลุงอี๊ดไม่เคยทำใจและให้อภัยตัวเองกับความผิดพลาดที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจก่อได้เลย ความผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขาที่พรากชีวิตของคนดีๆไปถึงสองคน

“โอ๊ตเป็นเด็กดีมากมาตลอด เค้าทั้งขยัน ทั้งรักเรียน รักดี และรักคนอื่นๆมาก เพราะงั้นเขาถึงได้อาสาสมัครและเอาเงินเอาเวลาว่างไปช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านั้นประจำ แต่ว่าลุงมันผิดเองที่เผลอพูดอะไรทำร้ายจิตใจเขาออกไป ทั้งๆที่จริงๆแล้วโอ๊ตก็ยังคงเป็นโอ๊ตที่รักของลุงมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลงแท้ๆ........ จริงๆแล้วลุงไม่เคยเกลียดคนเหล่านั้นเลยนะ เพียงแต่ตอนนั้นพอรู้ว่าลูกชายของตัวเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย มันก็เลย....... ลุงก็เลย........” ลุงอี๊ดเล่าไปพร้อมทั้งน้ำตาลูกผู้ชายที่ค่อยๆไหลออกมาหยดเล็กๆที่หางตา

ผมยื่นมือออกไปบีบมือของเขาเบาๆ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมอีกครั้ง “ผมเองก็เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อเอก และแม่ของผมก็เสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กมากเหมือนกันครับ เราสองคนมีกันแค่สองคนพ่อลูก และพอพ่อรู้ว่าผมเป็นแบบนี้ พ่อเองก็ยอมรับและเข้าใจผมได้ ถึงพ่อเองจะยอมรับว่าตกใจบ้างเหมือนกันก็เถอะ แต่เหตุผลที่พ่อเอกของผมยังคงรักในตัวผมและเข้าใจผมเรื่อยมาก็คือเหตุผลเดียวกับลุงนั่นแหละครับ นั่นก็คือ พ่อผมรู้ว่าผมรักท่านมากแค่ไหน และท่านก็รู้ว่าท่านไม่เคยเสียตัวตนที่แท้จริงของผมไปเพราะแค่เพียงผมเลือกที่จะรักใคร........ และมันอาจจะเป็นอะไรที่ดูอวดดีไปหน่อยที่ผมจะพูดแบบนี้นะครับ แต่ถ้าในเมื่อผมกับพี่เขาคล้ายกันมากขนาดนี้ และพี่เขายังเป็นคนดีถึงขนาดนั้นด้วย ผมมั่นใจว่าพี่โอ๊ตเองก็ต้องเข้าใจทุกอย่างที่ลุงรู้สึกเหมือนกันครับ ผมมั่นใจว่าพี่เขาไม่ได้จากไปเพราะความรู้สึกแย่ๆอย่างที่ลุงคิดหรอก มันแค่เป็นเรื่องโหดร้ายอย่างร้ายกาจของโชคชะตาที่พี่เขาต้องมาด่วนจากไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับลุงอีกครั้งเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม พี่เขาก็ยังคงรักลุงมากมาตลอดไม่ว่าจะตอนนี้ ตอนไหน หรือตลอดไปก็ตาม..........”

ลุงอี๊ดยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แต่ก็ยังคงดูเข้มแข็ง เขาเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งมากจริงๆ เพราะถึงขนาดเขาจะเพิ่งเล่าเรื่องความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาให้ผมฟังแบบนี้ และแถมมันยังเพิ่งไม่นานมานี้เองด้วย เขาก็ยังคงเด็ดเดี่ยวและมั่นคงมาก มีเพียงประกายหยดน้ำตาแห่งความหลังที่ปริ่มอยู่ขอบตาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่แสดงด้านที่อ่อนไหวออกมา แต่นอกจากนั้นแล้วผมก็มองไม่เห็นสัญญาณของความอ่อนแอทางจิตใจอย่างอื่นอีกเลย

“ขอบใจมากนะเมฆ.........” ลุงอี๊ดพูด “เฮ้ออ แปลกดีนะที่ลุงมาพูดเรื่องแบบนี้ให้เราฟัง ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ”

แต่ผมคิดว่าเราทั้งสองคนต่างก็รู้ดีว่าเพราะอะไร........ ผมเหลือบไปมองรูปของลูกชายอันเป็นที่รักคนนั้นที่หน้าตาคล้ายผมมากอีกครั้ง ผมนึกขอบคุณเขาบางอย่างในใจและหวังให้เขาพักผ่อนอยู่ในโลกหน้าอย่างสงบสุข หวังให้เขารู้ว่าพ่อของเขาคนนี้ยังคงรักและคิดถึงเขาอยู่มากจริงๆ.........

“เอาล่ะ พักผ่อนตามสบายก็แล้วกันนะ ลุงขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า ถ้าจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้เลยล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ของกินมีอยู่ในครัวเยอะแยะ ไม่ต้องเกรงใจ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเอง” ลุงอี๊ดพูดพร้อมลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณมากครับ แต่ผมคงไม่รบกวนนานหรอกครับ แค่รอจนเพื่อน........ เอ่อ รอจนแฟนผมมันกลับมา แล้วผมก็คงไปแล้วล่ะครับ แต่ว่า........ ตอนนี้ผมรบกวนอะไรสักอย่างได้มั๊ยครับ”

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ผมขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้มั๊ยครับ”

ลุงอี๊ดพยักหน้าพร้อมกับชี้ไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆทีวีตรงข้ามกับโซฟาที่พวกเรานั่งกันอยู่ จากนั้นเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เมื่อผมคิดว่าลุงอี๊ดคงจะไม่ออกมาอีกและไม่ได้ยินเสียงผมแล้ว ผมจึงลุกขึ้นไปกดโทรศัพท์เข้าหาพ่อของผม

“พ่อครับ.........” ผมพูดเมื่อได้ยินเสียงของพ่อที่ปลายสาย “วันนี้ ผมคงจะกลับดึกหน่อยนะครับ ดึกเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วมือถือผมก็แบตหมดด้วย แต่พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแน่นอน ผมสัญญา......... ครับ ใช่ครับ........ ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อนอนได้เลยครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมกับไอ้ซัน” ผมตอบคำถามของพ่อเอกจนครบ และจากนั้นผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทำให้เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคนครู่สั้นๆก่อนที่เสียงของผมจะถูกเปล่งออกไป “แล้วก็........... ผมรักพ่อนะครับ รักมากด้วย ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้แก่ผมมาตลอดยี่สิบสามปี ขอบคุณสำหรับทุกความเหนื่อยยากของพ่อที่ต้องทำต้องทนเพื่อผม ในโลกนี้ไม่ว่าใครจะเป็นยังไงหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พ่อคือคนเดียวเพียงหนึ่งเดียวของผมครับ และผมจะไม่มีวันทำให้พ่อต้องเสียใจเด็ดขาด ผมสัญญา.........”



ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
อ่านตอนนี้จบแล้วนึกถึงเพลงของ 2daysagokid เลย

ชื่อเพลง "กลับมา" หรือเปล่าไม่แน่ใจ ไว้จะหามาให้ฟังฮับ :oni2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด