]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 165482 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 28


“แบ๊งค์คือใคร” พ่อเอกถาม

“เพื่อนของเราน่ะครับ คนที่มางานวันเกิดผมวันก่อนแล้วเมามากๆนั่นไง.......... คนที่มาพร้อมพี่จ๊อบน่ะ” ผมอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของพ่อ

“อ๋อ คนที่มาทีหลังพร้อมไอ้ลูกนักการเมืองคนนั้นน่ะเหรอ แล้วไง แล้วทำไมเค้าต้องไปนอนด้วยกันด้วยล่ะ” ผมเคยเล่าให้พ่อฟังเรื่องของพี่จ๊อบนิดหน่อย และแน่นอนว่าพ่อของผมเองก็ไม่ได้ชอบชื่อเสียงของพ่อของพี่จ๊อบอยู่แล้วด้วยนิดหน่อยเหมือนกัน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ........” ผมเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆพ่อเอกเหมือนเดิม “พ่อว่าผมงี่เง่ามั๊ย ถ้าผมบอกว่าผมรู้สึกหึงเนี่ย”

“ไม่หรอก มันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่ เพียงแต่ว่า เมฆน่ะ ต้องนึกให้ดีๆว่ามันสมควรที่เราจะคิดมากแล้วรึยังก็เท่านั้น พ่อว่าตอนนี้เมฆควรจะสบายใจที่รู้ว่าซันไม่ได้เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางกลับบ้านสิ ถึงจะถูก ส่วนเรื่องอื่นก็ค่อยรอฟังจากปากของเจ้าตัวเสียก่อนก่อนที่จะตัดสินอะไร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือฟังเสียงความรู้สึกของตัวเราเองว่าเราน่ะไว้ใจและเชื่อใจเขามากแค่ไหน”

“ผมก็รู้ครับ พ่อ แต่ว่า....... ไม่รู้สิ เรื่องไอ้แบ๊งค์เนี่ยมัน........” ผมนึกไปถึงความฝันเมื่อสักครู่ “มันพูดยากนะ ผมว่า คือ ไอ้แบ๊งค์เองมันก็ท่าทางจะชอบไอ้ซันอยู่แล้วด้วย ผมน่ะพอรู้สึกได้ ถึงไอ้ซันจะไม่ได้บอกผมออกมาตรงๆก็ตาม แถมยัง..........” แถมยังคำพูดของพี่จ๊อบเมื่อตอนเย็นนี้อีกด้วย ผมต่อประโยคของตัวเองจนจบในใจ เพราะไม่อยากให้พ่อต้องรู้สึกไม่สบายใจไปมากกว่านี้แล้ว

“พ่อว่านะ..........” พ่อนั่งเงียบไปครู่หนึ่งท่าทางครุ่นคิด “พรุ่งนี้เมฆหาเวลาว่างๆโทรไปหาพี่วินหน่อยก็ดีนะ”

“พี่วินเหรอครับ” ผมถามด้วยความตกใจเล็กน้อย “พ่อจะให้ผมโทรไปหาพี่เค้าเรื่องอะไร”

“ก็โทรไปเล่าเรื่องของเมฆกับซันให้พี่เค้าฟังนั่นแหละ ถ้าเค้าช่วยอะไรได้ก็ให้เค้าช่วย พ่อรู้ว่าเมฆเข้าใจที่พ่อพูด แต่ว่าจะที่สุดยังไงก็อยู่ที่เมฆนั่นแหละ ว่าอยากจะให้พี่เค้ารู้เรื่องมากขนาดไหนและต้องการความช่วยเหลือจากเค้าในเรื่องอะไรบ้าง”

“มันต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ...... คือ อย่าเข้าใจผิดนะครับพ่อ ผมน่ะรักแล้วก็ไว้ใจพี่เขามากๆอยู่หรอกนะ แต่ว่า........”

“เรื่องนั้นพ่อรู้ เพราะพ่อเองก็เหมือนกันนั่นแหละ” พ่อพยักหน้า และผมก็เห็นความหวั่นไหวเล็กน้อยภายในแววตาของพ่อเช่นกัน “เอาเถอะ ลองโทรไปคุยกับพี่เขาดูก่อน แล้วเรื่องอื่นก็ค่อยว่ากัน” พ่อเอกลุกขึ้นยืนแล้วบีบไหล่ผมเบาๆ “แต่พ่อว่าตอนนี้เราไปนอนกันเถอะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย มันยังไม่จำเป็นต้องคิดอะไรตอนนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงให้คิดนะ รีบๆไปนอนซะ เดี๋ยวตอนเช้าจะตื่นไม่ไหว”

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปเห็นรอยยิ้มให้กำลังใจของพ่อแล้ว ผมก็อดที่จะรู้สึกดีขึ้นและยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ “ครับพ่อ พ่อว่าไงผมก็ว่าตามนั้นอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวขอผมเก็บแก้วปิดฟืนปิดไฟก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะขึ้นไปเองครับ ไม่ต้องห่วงนะ พ่อขึ้นไปนอนก่อนเถอะ”

พ่อเอกพยักหน้าให้ผมก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป ผมนั่งอยู่คนเดียวตรงนั้นอีกสักพักและคิดถึงสิ่งที่พ่อเอกเพิ่งบอกออกมา........

ถ้าลองมานึกดูผมก็คงจะรู้จักพี่วินมาตั้งแต่ผมจำความได้แล้ว และเขาก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของครอบครัวเราสองพ่อลูกมาตลอด มาลองนับๆดู ตอนนี้พี่วินก็น่าจะอายุสักราวๆสามสิบห้าได้แล้ว และผมกับพี่เขาก็ไม่ได้คุยกันมาหลายปีแล้วด้วยสิ แต่ผมรู้ดีว่าพี่เขาก็ยังคงติดต่อกับพ่อเป็นระยะๆและรู้ข่าวคราวของผมอยู่ตลอดเวลาและทุกอย่างแน่นอน เพราะว่าพี่เขาเป็นคนแบบนั้นนั่นเอง....... เป็นคนที่ไม่เคยทิ้งคนที่เขารัก ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลหรือไม่ได้พูดคุยกันเนิ่นนานแค่ไหนก็ตาม

“ทุกความสัมพันธ์ต้องมีระยะห่างเพื่อเป็นระยะปลอดภัย” คือคติประจำใจของพี่วินเขาล่ะ

เมื่อสมัยผมเป็นเด็ก ผมจำได้ว่าพี่วินเคยมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเราได้ราวเดือนกว่าๆเกือบสองเดือน แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมากมายนัก เช่นว่าเพราะอะไรหรือทำไม แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ผมรู้นั่นก็คือพี่วินนับถือพ่อของผมมาก และเขาก็รักผมมากด้วย เรื่องนี้ผมรู้ดี รู้ดีทีเดียว......... ย้อนไปในตอนนั้นผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวพี่เขามากนัก ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องเรียน หรือเรื่องการงาน และไม่ว่าผมจะถามพ่อผมสักเท่าไหร่ พ่อก็ไม่เคยยอมบอกอะไรผมเลย และถ้าหากผมไปถามพี่วิน คำตอบที่ผมมักได้รับกลับมาก็จะมีแต่เพียงว่า........

“เรื่องของพี่น่ะไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่พี่รักเมฆกับพ่อเมฆมาก ครอบครัวของเมฆต่างหากที่สำคัญและมีความหมาย ดังนั้นไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เมฆต้องการความเชื่อเหลือ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พี่ก็จะทำให้เมฆทุกๆเรื่อง แต่มีข้อแม้เดียวก็คือพี่ขอเลือกที่จะตอบคำถามของเมฆแค่เพียงบางข้อ แบบนั้นโอเคมั๊ย”

และแน่นอนว่าผมก็ฉลาดพอที่จะไม่ถามอะไรพี่เขาอีกเลย จนกระทั่งผมโตขึ้นเรื่อยๆ พี่วินที่เป็นเหมือนพี่ชายเงาของผมก็ยังคงอยู่ใกล้ๆผมเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยได้เจอและพูดคุยกับพี่เขาก็ตาม แต่ผมก็สามารถรู้สึกถึงความรักความคิดถึงจากพี่เขาได้อยู่เสมอๆ เพราะไม่ว่าจะตอนผมเรียนได้คะแนนดีๆ วันเกิดผมกับพ่อในทุกๆปี วันปีใหม่ วันครอบครัว งานสำคัญๆ ช่วงเวลาดีๆของครอบครัวเรา หรือแม้แต่เมื่อตอนผมเรียนจบมอปลาย พี่วินก็จะส่งของขวัญมาให้เราที่บ้านเสมอๆ และแน่นอนว่าบางครั้งพี่เขาก็จะเข้ามาเยี่ยมพ่อและผมที่บ้านด้วยตัวเองด้วย

“พี่เค้าคิดกับเมฆเป็นเหมือนน้องชายเค้าเลยนะ ถึงพ่อจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าพ่อเองก็คิดกับเค้าเหมือนเป็นลูกชายคนนึงของพ่อก็เถอะ แต่ว่าเพราะเหตุผลหลายๆอย่างทำให้พี่เค้าต้องเป็นและทำแบบนี้ แต่ถึงยังไงเค้าก็เป็นคนนึงในโลกนี้ที่ทั้งพ่อและเมฆสามารถไว้วางใจและขอความช่วยเหลือได้มากที่สุด เรื่องนี้ขอให้เมฆรู้เอาไว้เลย และสักวันหนึ่งเมื่อเมฆโตขึ้นเมฆก็จะเข้าใจได้เองว่าทำไม..........”

คำพูดที่พ่อเคยบอกกับผมเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนดังก้องขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง และก็จริงอย่างที่พ่อพูด ตอนนี้ผมไม่สงสัยอีกแล้วว่าเรื่องของพี่วินนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงแม้ว่าผมจะยังคงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องงานและชีวิตของพี่เขามากนัก แต่การที่ได้รู้เพียงเท่าที่ผมรู้อยู่แล้วนั้นก็เพียงพอที่จะอธิบายสิ่งต่างๆได้มากเกินพอแล้ว

พี่วิน คนที่ผมไม่เคยรู้ว่าอดีตของเขาเป็นอย่างไร แต่ผมรู้ว่าในปัจจุบันนี้ เขาเป็นผู้ดูแลและบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ของครอบครัวด้วยตัวเองเพียงลำพัง และนอกจากนั้นยังเป็นผู้อิทธิพลและความสามารถหลายอย่างรอบด้านมาก ทั้งความสามารถด้านการงานและความสามารถส่วนตัว....... และผมขอเน้นคำว่า “รอบด้าน” จริงๆ

พี่วินมีทั้งความสามารถด้านการงานอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจ อิทธิพล และเส้นสายในแทบทุกๆทางอย่างที่ยากจะเชื่อได้ และที่สำคัญนอกจากนั้นแล้วพี่วินยังเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจชนิดหาตัวจับยาก เป็นนักสู้ และนักเลงในบางวงการชนิดที่เมื่อคนบางคนได้ยินชื่อพี่วินแล้วยังต้องรู้สึกกลัวถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเจอหน้าพี่วินเลยก็ตามที เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรปัญหาใหญ่ขนาดไหนเท่าที่คนๆหนึ่งจะพึงมีได้ พี่วินเป็นคนๆเดียวที่ผมรู้จักที่จะสามารถหาทางออกได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆก็ตาม

ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างในห้องนั่งเล่นแล้วเหม่อมองออกไปยังสนามหญ้าหน้าบ้าน คิดถึงคำพูดที่พี่วินเคยพูดกับผมอยู่บ่อยๆและจุดประสงค์ของพ่อที่แนะนำเรื่องนี้ขึ้นมา........

“โทรไปหาพี่วินเค้าหน่อยนะ โทรไปเล่าเรื่องให้พี่เค้าฟังนั่นแหละ ถ้าเค้าช่วยอะไรได้ก็ให้เค้าช่วย พ่อรู้ว่าเมฆเข้าใจ........”

“ถ้าโตมาแล้วเมฆมีอะไรให้พี่ช่วยเหลือล่ะก็ บอกพี่เลยนะ เข้าใจรึเปล่า พี่จะรีบเข้าไปช่วยเมฆทันทีเลยไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม........”

ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ผนังเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะตัดสินใจบางอย่างเงียบๆภายในใจแล้วก็เดินกลับขึ้นห้องนอนไป.......

เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่หกโมงเช้าเหมือนปกติ แต่จะเรียกว่า “ตื่น” ขึ้นมาก็ไม่ถูกเสียทีเดียวในเมื่อผมแทบจะไม่ได้หลับตาลงไปอีกเลยนับตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเมื่อกลางดึกนั่น และแน่นอนว่าทันทีที่ผมลืมตาตื่นขึ้นผมก็หยิบมือถือมากดหาไอ้ซันทันที แต่ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งผมอาบน้ำเสร็จนั่นแหละจึงจะได้ยินเสียงรถยนต์ที่คุ้นหูมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน

“พ่อครับ ไอ้ซันกลับมาแล้วเหรอ” ผมตะโกนลงไปถามพ่อที่กำลังทำครัวอยู่ชั้นล่าง

“น่าจะอย่างนั้นนะ แล้วเราน่ะแต่งตัวเสร็จรึยัง”

“เพิ่งอาบน้ำเสร็จครับพ่อ” ผมตอบกลับไป

“อ้าว ซันเพิ่งกลับหรอกเหรอเนี่ย” ไคล์เดินออกมาจากห้องของตัวเองในชุดนักศึกษา

“อืมม” ผมพยักหน้าให้ไคล์ จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง และในขณะที่ผมกำลังแต่งตัวอยู่นั้น ไอ้ซันก็เปิดประตูห้องเข้ามา

“โทษทีนะเมฆ มึงโกรธกูรึเปล่า” ไอ้ซันพูดพลางถอดเสื้อของตัวเองที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อวานออก ดูมันเองก็มีท่าทางร้อนรนไม่น้อยเลยทีเดียว

“มึงไปไหนมา ทำไมกลับซะเช้าแบบนี้วะ มึงรู้รึเปล่าว่าเมื่อคืนนี้ทั้งกูทั้งพ่อเอกนอนกันไม่หลับเลยนะเว้ย” ผมหันไปหามัน สบตากับมันครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาส่องกระจกตามเดิม “ถ้ามึงมีคำอธิบายดีๆ ก็พูดออกมาซะตอนนี้เลยดีกว่า”

“มึงโกรธกูเหรอวะ กูบอกแล้วไงว่ากูขอโทษ” ไอ้ซันพูดเสียงอ่อยลงก่อนจะเดินเปลือยอกมานั่งลงบนเตียง

“กูไม่ได้โกรธ กูแค่เป็นห่วงมึงมาก แต่ว่าตอนนี้น่ะ กูต้องรู้ก่อนว่าเมื่อคืนมึงไปไหนมาและทำอะไรมาบ้าง” ผมเช็คความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันกลับมามองหน้ามัน และถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าผมก็อดไม่ได้ที่จะมองหาความผิดสังเกตจากสีหน้า ท่าทาง และคำพูดของมันอยู่ดี

ไอ้ซันเงียบลงไปพักหนึ่งก่อนจะยกข้อมือซ้ายของตัวเองขึ้นมาดูนาฬิกา “กูต้องขอโทษจริงๆที่ทำให้ทั้งมึงทั้งพ่อเล็กเป็นห่วง แต่ว่าเมื่อคืนโทรศัพท์กูมันแบตหมดจริงๆ แล้วก็........”

“เมฆ ใกล้เสร็จรึยัง เดี๋ยวเราต้องออกไปส่งไคล์ก่อนด้วยนะ” เสียงของพ่อเอกดังขึ้นที่หน้าประตูห้องผม

“เสร็จแล้วครับ ขอเวลาผมอีกแป๊บเดียว” ผมตอบกลับไปโดยที่สายตายังคงจับอยู่ที่ใบหน้าของไอ้ซันอยู่

“แล้วซันล่ะ อาบน้ำอาบท่ารึยัง เดี๋ยวจะไปทำงานไม่ทันนะ”

“ครับพ่อ ผมกำลังจะออกไปอาบน้ำแล้วครับ” ไอ้ซันตอบกลับไปพร้อมกับลุกขึ้นยืน จากนั้นมันก็หันมาสบตากับผมอีกครั้ง “กูต้องไปอาบน้ำก่อนแล้วล่ะ เมฆ เดี๋ยวจะไปทำงานสาย”

“เออ งั้นมึงก็ไปอาบน้ำซะเหอะ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงมันออกไปที่ประตู แต่ก่อนที่ผมจะได้จับลูกบิดประตูไอ้ซันก็คว้าข้อมือของผมเอาไว้เสียก่อนแล้ว

“กูรักมึงนะ มึงก็รู้ใช่มั๊ย”

ผมยืนหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะสามารถตอบออกมาได้ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ผมต้องหยุดคิดก่อนที่จะตอบคำถามนั้นของมันออกมาได้ ภาพของไอ้ซันกับไอ้แบ๊งค์นอนอยู่คู่กันบนเตียงมันผุดขึ้นมาในหัวของผมอย่างช่วยไม่ได้

“อือ กูรู้........”

หลังจากไปส่งไคล์ที่มหาลัยแล้ว ผมกับพ่อก็ขับรถไปทำงานทั้งๆที่ผมยังไม่ได้คุยกับไอ้ซันเรื่องเมื่อคืนเลย และมันเองก็ไม่ได้โทรมาหาผมอีกด้วย และที่สำคัญที่สุดก็คือ ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้นั้นผมรู้สึกอย่างไรกันแน่ ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลัง หวง ห่วง หึง โกรธ น้อยใจ หรืออะไรกันแน่ ผมรู้แต่เพียงว่าผมไม่สบายใจเอาเสียเลย แต่ทว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมควรจะทำตัวยังไงหรือพร้อมแค่ไหนที่จะรับฟังเหตุผลของมันอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็คงเป็นเพราะผมกลัวว่าคำตอบที่ผมจะได้ยินจากปากของมันนั้นจะไม่เหมือนกับที่ผมได้ยินมาจากอีฟก็เป็นได้

หลังจากผมนั่งทำงานอย่างเซ็งๆไปจนถึงช่วงก่อนพักเที่ยง ไอ้ซันก็โทรเข้ามาหาผมจนได้

“ฮัลโหล ว่าไง” ผมรับ

“มึงลงมาหากูที่หน้าตึกหน่อยสิ ไปกินข้าวกัน”

“เฮ้ย มึงว่าไงนะ” สิ่งที่มันพูดทำเอาผมตกใจจนแทบลืมความขุ่นข้องใจที่มีไปเสียหมดเลย “มึงอยู่หน้าตึกกูแล้วเหรอ แล้วนี่มึงไม่ทำงานแล้วรึไง”

“อือ มึงลงมาหากูก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวอย่างอื่นค่อยว่ากัน” พอพูดจบ ไอ้ซันก็กดปุ่มวางสายไปทันที ผมจึงต้องเดินลงไปหามันอย่างไม่มีข้อแม้ ถึงแม้ว่าภายในใจจะยังคงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่ทว่าแค่วินาทีแรกที่ผมได้เห็นมันที่กำลังนั่งใส่แว่นหัวเกรียนดูดกาแฟรอผมอยู่นั่น ผมก็กลับรู้สึกใจเย็นลงขึ้นมาได้อย่างประหลาดเลยทีเดียว

“ทำไมมึงมาที่นี่ได้วะ แล้วที่ทำงานล่ะ มึงจะกลับไปทันเหรอ” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆมัน

“เด็กเส้นสักอย่าง แค่นี้จิ๊บจ๊อยว่ะ” ไอ้ซันยิ้มกวนๆ ทำให้ผมเองก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว รอยยิ้มของมันก็ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ประทับใจผมได้อยู่เสมอและตลอดเวลาจริงๆ ถึงแม้ว่ามันเองจะเป็นฝ่ายชอบชมว่าผมยิ้มสวยที่สุดแล้วก็เถอะ

“ปากดีนะมึง เอาจริงๆดิ่ แล้วนี่ลุงมึงเค้าจะไม่ว่าอะไรรึไง”

“ไม่หรอก กูลาครึ่งวันน่ะ ลาป่วย ไปหาหมอ”

“ตอแหลนะมึงเนี่ย แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องเอาใบรับรองแพทย์ไปให้เขารึไง มึงจะไปหาหมอเรื่องอะไร จะไปบอกหมอขอใบรับรองแพทย์ว่าเป็นโรคหลงตัวเองรึไงครับ ไอ้แสบ”

“เปล่า แต่เป็นโรคหลงแฟนจนโงหัวไม่ขึ้น” ไอ้ซันทำหน้าทะเล้น ผมเลยตบหัวมันไปเบาๆ “โอ๊ย เปล่า กูไม่ได้ตอแหล กูพูดจริงๆ”

“พูดจริงๆเรื่องอะไร เรื่องจะไปหาหมอเพราะโรคหลงแฟนของมึงเนี่ยนะ”

“เปล่า แต่กูจะไปหาหมอเพราะไอ้นี่ต่างหาก” ไอ้ซันถกขากางเกงข้างซ้ายของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลสดที่ท่าทางจะเจ็บไม่เบา ยาวตั้งแต่ครึ่งหน้าแข้งลงไปจนหายเข้าไปในถุงเท้าเลยทีเดียว

“เฮ้ย นี่มึงไปโดนอะไรมาวะ” ผมถามด้วยความตกใจ

“ก็เรื่องเมื่อคืนนั่นแหละ........” ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม และเมื่อเราสองคนสบตากัน แววตาแปลกๆของมันนั่นก็ทำให้เกิดความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนเล็กน้อย “ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวกูจะค่อยๆเล่าให้ฟัง”

“เออ........ อืมม เอางั้นก็ได้” ผมพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน แต่ไอ้ซันกลับยังไม่ยอมยืนตามผมขึ้นมา มันยังคงนั่งจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น “อะไร มึงมีอะไร”

“ก็..........” มันยิ้มแล้วทำตาเป็นประกาย “มึงหายโกรธกูแล้วนี่ ใช่มั๊ย”

ผมยิ้มตอบพร้อมกับยื่นมือให้มันจับแล้วดึงตัวมันขึ้นเบาๆ เราสองคนเดินออกไปนอกตึกแล้วนั่งลงที่ร้านอาหารข้างทางร้านหนึ่ง ระหว่างทางที่เราเดินมายังร้านอาหาร ผมก็อดสังเกตไม่ได้ว่ามันเองก็เดินกะเผลกๆอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเมื่อเช้านี้พอกลับมาถึงในห้องมันก็นั่งลงบนเตียงเลย แถมผมก็ไม่ได้อยู่จนเห็นถึงตอนมันถอดกางเกงออกหรือตอนเปลี่ยนชุด ผมก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันกำลังเป็นแผลและเจ็บขาอยู่แบบนี้ แถมดูท่าทางว่าจะเจ็บไม่น้อยเลยเหมือนกันด้วย

“เจ็บมากรึเปล่าวะ ทำไมถึงไม่ทำแผลพันแผลให้มันดีๆ” ผมถามหลังจากที่เราสั่งอาหารกันเสร็จ

“มึงก็พูดอย่างกับกูทำเป็น แถมเมื่อเช้ากูก็ไม่มีเวลาแล้วด้วย น้ำก็ไม่ได้อาบเนี่ย เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ออกมาเลย ไม่อยากโดนน้ำว่ะ มันแสบ”

“แล้วนี่ตกลงว่ามึงไปโดนเหี้ยอะไรมา”

ไอ้ซันก้มหน้าลงมองบนพื้นแล้วเงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมอีกหน “ก็เมื่อคืนหลังจากคนอื่นๆมันทยอยกลับกันไปแล้วจนเหลืออยู่แค่ไม่กี่คนน่ะ กูเองก็กำลังจะกลับแล้วเหมือนกัน แต่ว่าไอ้แบ๊งค์มันเมามาก แล้วก็....... เอ่ออ........ มันเฮิร์ทๆน่ะ แล้วโวยวายนิดหน่อยจนเกือบจะถูกรถชนเอา กูไปช่วยมันเอาไว้ ก็เลยได้แผลนี่มาหน่อยนึง ส่วนมันก็ข้อเท้าแพลง เป็นแผลที่แขนกับหน้าผากอีกนิดหน่อย กูก็เลย....... เอ่อ คือเมื่อคืนมันก็ดึกมากแล้วน่ะ กูก็เลยต้องลากมันกลับไปนอนที่คอนโดด้วย อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ”

นี่ก็แปลว่าไอ้เพื่อนตัวดีของผมมันม้าเร็วรีบคาบข่าวที่ผมโทรไปถามมันเมื่อคืนมาบอก หรือไม่ก็มาเตือนไอ้ซันเอาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วล่ะสิเนี่ย

“แล้วมันเฮิร์ทเรื่องอะไรของมัน”

“ก็เรื่อง.......” ไอ้ซันหลบสายตาผมเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจเบาๆ “เรื่องกูกับมึงนั่นแหละ มันสารภาพมาว่ามันชอบกูน่ะ แต่กูก็ไม่ได้เล่นด้วยไง เมื่อคืนมันก็เลยเฮิร์ทหนักหน่อย”

“เอาให้แน่ ซัน มันบอกว่ามันชอบมึงเมื่อวานงั้นเหรอ” ผมถามอีก และคราวนี้ไอ้ซันก็ดูลังเลอยู่แว่บหนึ่งจริงๆ

“เปล่า...... คือจริงๆก็เปล่าหรอก แต่เมื่อคืนกูก็ดับความหวังมันไปอีกรอบไง มันก็เลยแย่เลย เมาหนักยิ่งกว่าเมื่อตอนงานวันเกิดมึงอีกมั๊ง”

ผมถอนหายใจเบาๆ “กูจะไม่ถามมึงก็ได้ ซัน ว่าทำไมมึงถึงไม่บอกกูเรื่องไอ้แบ๊งค์มาตั้งนานแล้ว ทั้งๆที่ทีเรื่องของพี่จ๊อบมึงยังต้องการจะรับรู้ทุกๆอย่างจากกูน่ะ.........” ไอ้ซันเบือนหน้าหนีผมไปเล็กน้อย “แต่กูขอถามมึงหน่อยก็แล้วกัน ซึ่งจริงๆกูก็คงไม่น่าถามหรอก แต่ถึงไงกูก็คงต้องถามเพื่อความสบายใจว่ะ มึงเข้าใจกูใช่มั๊ย”

“กูไม่ได้มีอะไรกับมัน” ไอ้ซันรีบตอบขึ้นมาทันที “นี่คือเรื่องจริง กูไม่ได้มีอะไรกับมันทั้งนั้น และกูก็ไม่อยากให้มึงสงสัยกูในเรื่องนั้นด้วย” มันเริ่มทำน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย

“ก็แล้วกูมีสิทธิ์ที่จะสงสัยมั๊ยล่ะ ถ้าโทรศัพท์มึงแบตหมด มึงก็เอาโทรศัพท์ไอ้แบ๊งค์โทรมาบอกกูก็ได้ ใช้ของไอ้อีฟหรือเพื่อนคนไหนก็ได้ หรือถ้ามันไม่มีจริงๆ มึงก็แค่เสียเวลาซักสามนาทีจอดรถข้างทางโทรหากูไม่ได้เหรอวะ กูน่ะนอนก็ไม่หลับเพราะเป็นห่วงว่ามึงจะเจออุบัติเหตุรึเปล่าก็ไม่รู้นะไอ้ซัน”

“กู....... กูขอโทษ” ไอ้ซันหลับตาลงแล้วส่ายหน้า “แต่เมื่อคืนมันวุ่นๆน่ะ กูเองก็เบลอๆ...... แถมยังไม่แน่ใจด้วยว่าควรจะทำยังไงดี”

ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจความคิดของมันนิดหน่อย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ความคิดที่ผมอยากจะยอมรับได้นักก็ตามที “เอาเหอะ ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น มึงเล่าให้กูฟังแบบละเอียดๆได้มั๊ย และตอนนี้ตกลงไอ้แบ๊งค์เป็นยังไงบ้าง มันกลับบ้านมันไปรึยัง กูว่ามึงเล่าเรื่องทั้งหมด ไม่มีปิดบัง ไม่มีบิดเบือนให้กูฟังเดี๋ยวนี้ตอนนี้จะเป็นการดีกับมึงมากกว่าว่ะ”

“กูก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว...... คือ.........” ไอ้ซันตั้งท่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง แต่จู่ๆมันก็ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่ออาหารที่สั่งไว้ของเราสองคนมาถึง

“มีอะไรวะ” ผมหันหลังกลับมองไปยังจุดที่มันมอง แต่ก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่ามันมองอะไร

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” ไอ้ซันสะกิดให้ผมหันกลับมามองมันอีกครั้ง จากนั้นมันก็เริ่มต้นเล่าไปกินไป “คือ เมื่อคืนน่ะ กูคงทำร้ายจิตใจไอ้แบ๊งค์มันไปแหละ แล้วมันก็เลยกินเหล้าหนักโคตรๆ จนเพื่อนๆกลับกันไปเรื่อยๆแล้วมันก็ยังไม่ยอมกลับ เหลือแค่กู ไอ้แป๊ะ อีฟ แล้วก็มัน คราวนี้ตอนมันจะกลับน่ะ กูกับไอ้แป๊ะก็เดินไปส่งมันให้มันขึ้นแท็กซี่ แต่ไอ้เหี้ยนี่ก็เมาเกินจนเกือบโดนรถเฉี่ยว แล้วกูก็กระโดดไปดึงตัวมันไว้ได้ทัน แต่ว่าเสือกล้มลงไปทั้งคู่ แล้วก็เลยเจ็บกันมาแบบที่มึงเห็นนี่แหละ”

“อ้าว แล้วไปๆมาๆมันไปจบด้วยการไปนอนที่คอนโดมึงได้ยังไง แล้วนี่ได้ไปหาหมอกันมารึเปล่า”

“เปล่าว่ะ ก็แค่กลับไปทำแผลที่บ้านไอ้อีฟกันรอบเดียวเอง เพราะมันไม่เป็นอะไรกันมากไง แล้วคราวนี้ไอ้แบ๊งค์มันก็อาการแย่มาก ทั้งเรื่องเหล้า เรื่องแผล แล้วก็....... จิตใจน่ะนะ” ไอ้ซันถอนหายใจ “กูก็เลยต้องหิ้วมันกลับมาด้วย เพราะที่บ้านไอ้แป๊ะมันก็ไม่สะดวก เห็นมันบอกว่ามันดึกเกิน แล้วก็มีญาติๆมันมานอนด้วยอยู่แล้วน่ะ ส่วนไอ้อีฟนี่ตัดทิ้งเลยเพราะมันเป็นผู้หญิง เพราะงั้นก็เหลือเลยแค่กู แล้วคอนโดกูมันก็อยู่ใกล้กว่าบ้านมึงด้วย”

“แล้วสรุปตอนนี้ไอ้แบ๊งค์เป็นยังไงบ้างแล้ว” ผมถาม

“น่าจะกลับบ้านไปแล้วมั๊ง เห็นมันส่งเมสเสจมาเมื่อตอนสายๆว่าขอบใจ เพราะกูออกจากคอนโดไปก่อนที่มันจะตื่นอีกน่ะ” ไอ้ซันเหม่อไปทางด้านหลังของผมราวกับกำลังใช้ความคิด “เอาเหอะ รีบๆกินข้าวกันเถอะว่ะ แต่บ่ายนี้กูก็คงไม่กลับไปทำงานแล้วล่ะนะ คงไปหาหมอทำแผลแล้วก็กลับบ้านไปนอนเลย แล้วมึงล่ะ วันนี้กลับดึกรึเปล่า ต้องออกไปข้างนอกมั๊ย”

“กูคิดว่าไม่นะ วันนี้น่าจะนั่งโต๊ะทั้งวัน”

“อืมม อย่างนั้นก็ดี” ไอ้ซันใช้ช้อนในมือเขี่ยข้าวในจานไปมาเล็กน้อย ส่วนสายตาของมันก็ดูเหม่อๆชอบกล ท่าทางมันดูแปลกไปจริงๆด้วย

“มึงเป็นอะไรกันแน่วะ ไอ้ซัน”

“ไม่มีอะไรหรอก....... แต่ว่า........” ไอ้ซันมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะวางช้อนส้อมลง “กูคงอิ่มแล้วว่ะ มึงใกล้อิ่มรึยัง”

“เออๆ อิ่มแล้วก็ได้ นี่มึงมีอะไรกันแน่วะ”

“งั้นเราไปกันเถอะ” ไอ้ซันควักกระเป๋าเงินออกมาแล้วก็จ่ายตังค์ให้แก่แม่ค้า จากนั้นมันก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านทันที ผมเลยต้องรีบเดินตามมันให้ทัน “กูจอดรถไว้ข้างนอกนู้นว่ะ มึงกลับขึ้นไปทำงานเลยก็ได้ แล้วเดี๋ยวว่างๆมึงโทรหากูหน่อยนะ”

“เออ เอางั้นก็ได้ แล้วแต่มึง” ผมยังคงงงๆกับการกระทำของมันเล็กน้อยที่จู่ๆท่าทีของมันก็ดูเปลี่ยนไป แต่ผมมีความรู้สึกลึกๆว่านี่คงไม่ใช่แค่เรื่องของไอ้แบ๊งค์แน่ๆ และผมคิดว่าเมื่อกลับถึงบ้านแล้วมันก็คงจะเล่าให้ผมฟังอีกทีอยู่ดี เพราะฉะนั้นผมจึงไม่คิดที่จะไปเซ้าซี้อะไรกับมันอีก

“กูรักมึงนะ เมฆ” ไอ้ซันกระซิบบอกผมตอนที่เราสองคนเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตึกแล้ว

“อืม กูก็เหมือนกัน” ผมตอบกลับมันไป และคราวนี้ผมก็ไม่ต้องคิดมากก่อนที่จะตอบด้วย

ไอ้ซันยืนยิ้มให้กับผมจนกระทั่งผมเดินเข้าประตูตึกไป และเมื่อผมหันกลับมาอีกครั้ง มันก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและใช้มือขวาหยิบก้อนหินสีขาวของเราออกมากุมเอาไว้ มันยิ้มและโบกมือให้กับผมอีกครั้ง ผมเองก็กำก้อนหินของผมพร้อมกับโบกมือน้อยๆให้กับมันเช่นกัน จนเมื่อผมเดินไปจนถึงหน้าลิฟต์และหันกลับมาเพื่อมองหามันเป็นครั้งสุดท้าย ไอ้ซันก็หายไปจากตรงนั้นซะแล้ว.............



artkung

  • บุคคลทั่วไป
สงสัยว่าจะมี Paparazzi ซะแล้วสิ  :m24:

ออฟไลน์ ~ScAreD:SAcreD~

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1811
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-2
ชักแปลกซะแล้วสิ

เป็นคนเสน่ห์แรงกันทั้งคู่ซะด้วย เรื่องแบบนี้ก็ต้องน่ากังวลเป็นเรื่องธรรมดา

ซันกะเมฆ ขอให้ทั้งคู่เข้มแข็งนะครับ ในทุกๆเรื่อง

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
หวังว่ากลับไปบ้านแล้วซันคงจะบอกเมฆทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องซีดีกะตุ๊กตาหมีซะทีนะ
ไม่รู้เก็บเอาไว้ทำไมคนเดียว :m20:

niph

  • บุคคลทั่วไป
จากที่เคยรู้กันเกือบทุกอย่างทุกเรื่อง
ก็เริ่มมีปิด มีซ่อน มีเลือกที่จะไม่ให้รับรู้

แล้วสุดท้าย ............
 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ซันมีไรปิดบังอีกอ่า.......

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อ๊ายยยยย พิมไม่ทันน!!!  :sad2: o2 :a6:


วินาทีที่ 29


หลังกลับเข้าออฟฟิศได้ไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ในตอนนั้นผมรู้สึกดีใจลึกๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเพราะคิดว่าจะเป็นไอ้ซันโทรมาลาผมก่อนกลับบ้านหรืออะไร แต่เมื่อหยิบมือถือออกมาดูถึงเห็นว่าจริงๆแล้วคนที่โทรเข้ามาก็คือไอ้เอ็นนั่นเอง

“เออ กูลืมไปเลยว่ะว่ากูส่งเมสเสจไปหามึงเมื่อคืนให้มึงโทรหากูวันนี้น่ะ” ผมพูดออกไปหลังจากกดปุ่มรับสาย

“อ้าว ไอ้นี่ แล้วตกลงมึงมีเรื่องอะไรวะ ถ้าให้กูเดาก็เรื่องไอ้ซันใช่มั๊ย”

“ก็ประมาณนั้นว่ะ ตกลงมึงคุยกับมันแล้วว่าไงกันบ้างล่ะ ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มมั๊ย แล้วมันเป็นอย่างที่กูคิดจริงๆรึเปล่า” ผมยิงคำถามใส่มันทันที

“ใช่ กูเองก็กำลังสงสัยอยู่ว่าไอ้ซันมันเคยถูกคนตามอยู่จริงๆ”

ผมเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะสองสามที “แล้วไอ้ซันมันรู้ตัวรึเปล่า.........”

“อืมมม.......” ไอ้เอ็นเงียบลงแบบใช้ความคิด “ก็รู้นะ จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

“มึงหมายความว่ายังไงของมึงวะ”

“ก็คือ มันไม่ได้รู้ตัวเหมือนที่มึงรู้น่ะ แต่ว่ามันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แล้วพอกูพูด มันก็เลยบอกว่ามันเองก็มีรู้สึกอยู่บ้างนิดหน่อยน่ะ”

ผมถอนหายใจเบาๆ ผมน่ะรู้สึกว่าเราสองคนโดนคนเดินตามมาสักครั้งหรือสองครั้งแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจมากขึ้นนั้นก็คือเรื่องเมื่อวานนี้นั่นเอง “แล้วตกลงไอ้ซันมันคุยอะไรกับมึงมั่งวะ เรื่องทั้งหมดมันมีแค่ที่กูรู้รึเปล่า”

“เอ่ออ....... ก็ประมาณนั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก........”

“งั้นเหรอวะ........” ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ แต่ทันใดนั้นเองผมก็ฉุกคิดถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาได้ “ไม่ใช่และ ไอ้สัตว์ มึงโกหกกูนี่หว่า จริงๆมันมีมากกว่านั้นใช่มั๊ย ไอ้เอ็น”

“เฮ้ยๆ ไม่มีสักหน่อย” ไอ้เอ็นออกตัว

“พอเลย กูจับพิรุธมึงได้ไปแล้วว่ะ มึงไม่ต้องเครียดมากหรอกน่า กูไม่ได้จะเค้นเอาความจริงจากมึงหรอก ถ้าไอ้ซันไม่อยากให้กูรู้ กูก็ไม่อยากรู้ก็ได้ เพราะกูรู้อยู่อย่างนึงว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เรื่องสำคัญมากๆ หรือเป็นอะไรที่กูควรจะรู้ล่ะก็ ไม่มึงก็มันก็คงจะบอกกูอยู่ดีนั่นแหละ โดยเฉพาะมึงน่ะต้องบอกกูแน่ๆอยู่แล้ว ใช่มั๊ยล่ะ” ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “แต่กูก็แค่อยากรู้ว่า ‘มันมีอะไรอีกรึเปล่า’ เท่านั้นเอง มึงก็แค่ตอบมาว่า ใช่หรือไม่ใช่ก็พอ กูสัญญาว่ากูไม่โกรธไม่ไปว่าอะไรไอ้ซันมันหรอก กูเข้าใจและรู้นิสัยมันดีพอน่า”

“เออๆ ก็ได้วะ ก็มีเรื่องอื่นอยู่บ้างอีกหน่อยน่ะ แต่กูก็รับปากมันไปแล้วว่ากูจะช่วยดูแลช่วยเหลือมันให้เอง เพราะมันไม่อยากบอกมึงให้มึงไม่สบายใจ และที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักด้วย” ไอ้เอ็นตอบ

“มันก็แค่อยากจะแก้ปัญหาให้ได้ด้วยตัวเองมากกว่า กูรู้หรอก แต่ก็เอาเถอะ มึงก็ดูแลมันหน่อยก็แล้วกัน เพราะถ้าเกิดไอ้คนที่แอบตามไอ้ซันอยู่มันยังคงตามอยู่ล่ะก็ กูว่าเราก็ต้องจัดการแล้วว่ะ ต้องหาตัวการให้ได้แล้วก็จับๆแม่งไปสักที นี่มันผิดกฎหมายชัดๆ”

“กูรู้ แต่ไอ้ซันมันก็ยังไม่อยากทำแบบนั้น เพราะมันอยากจับตัวคนนั้นให้ได้คาหนังคาเขาด้วยตัวเอง กับอยากให้มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก่อนมากกว่าน่ะ”

“นั่นล่ะนิสัยมันล่ะ” ผมก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ “เออ ไอ้เอ็น ขอบใจมากนะเว้ย แต่เดี๋ยวกูต้องไปโทรไปธุระที่อื่นต่ออีกว่ะ เอาไว้เราค่อยคุยกันอีกทีก็แล้วกันนะ”

“เออๆ ได้ เออว่าแต่ ไอ้เมฆ....... เรื่องพี่จ๊อบน่ะ มึงระวังๆไว้หน่อยก็ดีนะเว้ย อย่าให้มันเป็นเรื่องแคลงใจกับไอ้ซันเอาได้ล่ะ กูดูๆแม่งขี้หึงแล้วก็ใจร้อนใช้ได้เลย”

“อือ กูรู้ ขอบใจมึงมาก มึงมีอะไรก็บอกกูมั่งด้วยก็แล้วกัน ฝากดูแลมันที แล้วเดี๋ยวถ้ามีอะไรกูจะโทรไปหามึงเองอีกทีก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะไอ้เอ็น”

หลังจากกดปุ่มวางสายจากไอ้เอ็นไป ผมก็กดเบอร์ของพี่วินขึ้นมาทันที

“สวัสดีครับพี่วิน จำผมได้รึเปล่าครับ”

“หึหึ พี่จะลืมน้องชายพี่ไปได้ยังไงครับ แต่น่าแปลกนะเนี่ยที่เมฆโทรมาหาพี่น่ะ มีอะไรรึเปล่า” เสียงนุ่มๆของพี่วินดังขึ้นจากปลายสาย และใบหน้าหล่อๆพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นของพี่เขาก็ผุดขึ้นมาใจของผมทันที

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมก็แค่โทรมาทักทายน่ะ ตั้งแต่กลับมาผมยังไม่ได้คุยกับพี่เลยนี่ครับ แล้วนี่พี่เป็นยังไงมั่ง สบายดีรึเปล่า”

“ดีครับ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม” พี่วินตอบประโยคเดิมแบบที่มักใช้ตอบเวลาถูกถามด้วยคำถามแบบนี้เหมือนทุกครั้ง“ว่าแต่ได้ของขวัญที่พี่ส่งไปให้มั๊ย เมื่อตอนกลับมากับเมื่อวันเกิดที่ผ่านมาน่ะ”

“ได้ครับพี่ วันนี้ผมก็ใส่นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นมา แต่กระเป๋าตังค์ผมยังไม่ได้ใช้อ่ะครับ รอของเก่ามันพังก่อนค่อยเปลี่ยน”

“ดีแล้วล่ะ เอ้า ว่าแต่ว่า พูดธุระของเรามาได้แล้วมั๊ง มีเรื่องอะไรจะบอกพี่ครับ”

“เอ่ออ ก็นิดหน่อยน่ะครับ คือว่า..............” ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่วินฟังคร่าวๆ พยายามเน้นเฉพาะเนื้อๆและพยายามไม่ให้พลาดรายละเอียดตรงส่วนไหนไป รวมทั้งยังไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องที่ผมกำลังสงสัยอยู่ให้พี่เขาฟังด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าพี่วินเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พี่วินเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมกับไอ้ซันเป็นแฟนกัน ดังนั้นการเล่าเรื่องทุกอย่างมันก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก

“อืมมม........ เดี๋ยวพี่จะดูให้ก็แล้วกันว่าควรจะทำอะไรบ้างน่ะ และก็วันเสาร์นี้พี่อยากเจอเมฆกับซันที่คลาสยูโดของเมฆด้วยนะ เอาเวลาเดิมอย่างที่เมฆไปประจำก็ได้”

“อ้าว แล้วพี่รู้ด้วยเหรอครับว่าผมไปที่ไหนแล้วก็กี่โมงน่ะ...........” ผมถามออกไป แต่พี่วินก็ไม่ได้ตอบกลับมา ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็ไม่น่าจะถามเลยเหมือนกัน เพราะถึงยังไงมันไม่ก็ไม่แปลกที่พี่วินจะรู้เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้อยู่แล้ว “เออ ไม่น่าถามเลยเนอะ ก็ได้ครับพี่ แต่ว่าพี่จะทำอะไรบ้างอ่ะครับ คือ อย่าทำอะไรหนักมากเกินไปหน่อยนะครับพี่ ผมไม่ค่อยอยากให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนั้นน่ะ”

“พี่เข้าใจ ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้พี่จะไม่ทำอะไรโดยพลการ และพี่จะเป็นคนคอยดูแลและจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง แบบนั้นโอเคมั๊ยล่ะ เพราะอย่างน้อยๆพี่ก็เชื่อว่าเมฆดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมบอกขอบคุณออกไป แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังแอบรู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการที่พี่วินออกปากว่าจะดูแลผมด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ดีแน่แล้วหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจขึ้นได้มากจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอชื่อ นามสกุล และที่ทำงานของซันมาให้พี่หน่อย เดี๋ยวส่งเป็นเมสเสจมาให้พี่ก็ได้เพราะตอนนี้พี่ไม่มีกระดาษกับปากกาอยู่กับตัวเลย ส่วนรถนี่เค้ายังใช้รถคันเดิมของพ่อเอกอยู่ใช่มั๊ย”

“ใช่ครับ”

“โอเค ไม่ต้องห่วง และเรื่องไอ้จ๊อบอะไรนั่น พี่เองก็พอจะรู้จักมันอยู่บ้าง เพราะงั้นเมฆวางใจได้เลย” พี่วินหัวเราะออกมาเบาๆ และผมก็ไม่ค่อยจะรู้สึกสบายใจสักเท่าไหร่เลยด้วยทั้งๆที่ถึงแม้ผมจะวางใจในตัวพี่เขามากถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มอยู่แล้วก็ตาม

เย็นนั้นหลังเลิกงาน พ่อของผมต้องออกไปธุระเรื่องงานต่ออีกนิดหน่อยและจะไม่กลับไปทานข้าวที่บ้าน ผมจึงต้องขับรถกลับเพียงคนเดียว และเนื่องจากเมื่อคืนนี้หลังจากตื่นขึ้นมารอบนึงแล้วผมก็แทบจะไม่ได้นอนต่ออีกเลย บวกกับเป็นห่วงไอ้ซันที่กำลังรออยู่ที่บ้านด้วย ผมจึงตัดสินใจที่จะตรงกลับบ้านเลยทันที แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็มีเหตุให้ผมทำอย่างนั้นไม่ได้จนได้ เมื่อผมได้รับโทรศัพท์จากคนๆหนึ่งที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะโทรหาผมในวันและเวลาแบบนี้........... และคนๆนั้นก็คือนัทนั่นเอง

“มีอะไรเหรอ นัท” ผมกดปุ่มรับโทรศัพท์ขณะที่กำลังเลี้ยวรถออกจากตึกพอดี

“เมฆ...... เมฆมาหานัทหน่อยได้มั๊ย........” เสียงของนัททั้งสั่นและสะอื้น และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาโดยทันที

“นัทเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น นี่กำลังร้องไห้อยู่เหรอ”

“เมฆมาหานัทหน่อยนะ........ นัทไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”

“พี่จ๊อบเหรอนัท นี่ใช่เรื่องพี่จ๊อบรึเปล่า” ผมถามอย่างร้อนรน แต่นัทก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลย “ก็ได้ เมฆจะไปหานัท ตอนนี้นัทอยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่เดิมที่เราเคยไปกินไอติมด้วยกันก่อนเมฆจะไป จำได้มั๊ย แต่ว่าตอนนี้นัทอยู่ในห้องน้ำ”

ผมพยายามฟังเสียงรอบข้างจากอีกฝั่ง มันค่อนข้างเงียบ แต่ก็ยังพอได้ยินเสียงผู้คนรอบข้างพูดคุยกันแบบเบาๆได้อยู่เหมือนกัน “ก็ได้ รอหน่อยก็แล้วกันนะ แล้วเมฆจะไปถึงที่นั่นในอีกสามสิบนาที”

ผมวางโทรศัพท์และกดเบอร์เข้าหาไอ้ซันทันที แต่ทว่าไม่ว่าผมจะรอจนมันตัดไปและพยายามโทรเข้าหามันใหม่อีกสักกี่หน มันก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมสักที จนกระทั่งมาถึงความพยายามครั้งที่แปด ผมจึงเลิกล้มความตั้งใจและเปลี่ยนเป็นโทรเข้าเบอร์บ้านของตัวเองแทน และเมื่อสิ้นเสียงรอสายครั้งที่สี่ ไอ้ซันก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นจนได้

“สวัสดีครับ”

“ทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์กูวะ” ผมถามออกไปทันที

“อ้าวเมฆ มึงโทรมาเหรอ ขอโทษที เมื่อกี๊กูอยู่ในครัวน่ะ แล้วมือถือกูก็เสือกวางเอาไว้บนห้อง”

“กูก็นึกว่ามึงเป็นห่าอะไรไปแล้วซะอีก วันนี้ทั้งวันไม่เห็นโทรมาหากูเลย”

“ก็กูรู้ว่ามึงทำงาน แล้วกูก็อยู่บ้านเฉยๆก็เลยไม่อยากจะโทรไปกวนมึงเปล่าๆน่ะ แต่นี่ก็กะจะโทรหามึงอยู่พอดีนะ เพราะว่ากูกำลังทำกับข้าวให้มึงกินอยู่เลย” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “กะจะเซอร์ไพรส์สักหน่อยนะเนี่ย แต่เห็นที่รักอารมณ์บูดแบบนี้แล้วเลยสงสัยว่ารีบๆบอกความจริงออกไปซะท่าจะดีกว่าว่ะ”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็อดอมยิ้มเล็กน้อยให้กับตัวเองไม่ได้ แต่ทว่ารอยยิ้มรอยนั้นก็กลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ซัน คือวันนี้กูคงกลับเย็นหน่อยนะ แล้วก็พ่อกูเค้าก็ไม่ได้กลับไปกินข้าวด้วยว่ะ”

“อือ ไอ้เรื่องพ่อมึงน่ะกูรู้แล้วล่ะ เมื่อกี๊เค้าโทรมาบอกกูแล้ว ว่าแต่ทำไมมึงถึงจะกลับเย็นวะ”

“มีธุระนิดหน่อยว่ะ แต่เอาไว้กลับไปถึงแล้วกูค่อยเล่าให้มึงฟังอีกทีก็แล้วกัน โอเคมั๊ย” ผมตอบออกไป และตัดสินใจที่จะเลี่ยงชื่อของนัทกับพี่จ๊อบออกไปก่อนดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นไอ้ซันจะต้องอารมณ์ขึ้นอีกแน่

“ก็ได้ แล้วแต่มึงก็แล้วกัน แต่ว่ากูรอกินข้าวเย็นนะ”

“อื้อ เก็บไว้เผื่อกูด้วยก็แล้วกันนะครับ ท้องฟ้า” ผมแกล้งทำเสียงเย้าเล่นเล็กน้อยเพื่อให้มันอารมณ์ดี แต่สุดท้ายมันก็วางสายไปโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเลย

ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงข้างๆเกียร์ “เอาไว้กูค่อยกลับไปเล่าให้มึงฟังก็แล้วนะซัน เพราะตอนนี้กูก็ยังไม่รู้เลยว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกันแน่........”

เมื่อผมขับรถมาจนถึงลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่ผมนัดกับนัทเอาไว้ ผมก็โทรกลับเข้าหาเขาอีกครั้งทันที

“นัทอยู่ที่ไหน เมฆมาถึงแล้วนะ”

“นั่งอยู่ในฟู้ดเซ็นเตอร์น่ะ เมฆเดินมาหานัทหน่อยนะ นัทนั่งอยู่ตรงมุมๆน่ะ หาไม่ยากหรอก” เสียงของนัทฟังดูดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว และมันก็ค่อยทำให้ผมโล่งอกขึ้นอีกนิดนึงด้วย

ผมรีบเดินไปหานัทตรงที่ๆนัทบอกด้วยความรวดเร็ว ถึงในใจจะยังคงมีความกังวลหลงเหลืออยู่บ้าง แต่หัวใจส่วนที่คิดว่านัทเค้าคิดถึงผมเป็นคนแรกเวลามีปัญหามันก็ยังคงมีมากกว่า ทั้งน้ำเสียง และความรู้สึกที่ผมรู้สึกได้ผ่านทางโทรศัพท์นั้นมันดูเป็นของจริงเหลือเกิน และนั่นก็ทำให้ผมไม่สามารถทิ้งเค้าไปได้เลยจริงๆ

เมื่อผมเดินเข้าไปในฟู้ดเซ็นเตอร์และเดินสอดส่ายสายตาหานัทอยู่ไม่นาน ผมก็เห็นนัทกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งตรงเกือบจะมุมห้องในส่วนที่คนน้อยที่สุดอยู่เพียงลำพัง และดูท่าทางเค้าก็จะยังไม่เห็นผมที่เพิ่งมาถึงด้วย ผมจึงเดินตรงเข้าไปหานัททันที

“เกิดอะไรขึ้น นัท” ผมเลื่อนเก้าอี้ออกและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนัท

“เมฆ........ นัทจะทำยังไงดี” สีหน้าของนัทตอนนี้แย่มาก ถึงจะพยายามกลบเกลื่อนด้วยเครื่องสำอางมากขนาดไหน แต่มันก็ยังดูออกอยู่ดีว่าเขาเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาเมื่อไม่นานมานี้ “นัทไม่รู้จะทำยังไงดีจริงๆ เมฆ นัทรู้ว่านัทไม่ควรจะโทรหาเมฆอีก แต่ว่านัทก็ไม่มีใครแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ นัทขอโทษ.......” นัทเริ่มต้นร้องไห้เบาๆออกมาอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรนัท เมฆอยู่ตรงนี้แล้วนะครับ ค่อยๆเล่าให้ฟังทีซิว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น นัททะเลาะกับพี่จ๊อบอย่างนั้นเหรอ” ผมเอื้อมมือไปกุมมือของนัทเอาไว้เบาๆ แต่นัทกลับชักมือของตัวเองออก

“เมฆต้องเกลียดนัทแน่ๆ นัทรู้” นัทยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองเอาไว้แล้วส่ายหัวเบาๆ “นัทจะทำยังไงดี.........”

“บอกเมฆมาก่อนสิ ถ้าเมฆช่วยได้เมฆก็จะช่วย เมฆสัญญา เมฆไม่ได้เกลียดนัทหรอกนะ และจะไม่มีวันเป็นอย่างนั้นด้วย”

นัทลดมือลงจากใบหน้าของตัวเองและเงียบไปอีกพักใหญ่ๆ ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ผมควรจะพูดอะไรออกไปทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงได้แต่รอจนกว่าเขาจะพร้อมด้วยตัวของเขาเอง

“เมฆโกรธและเกลียดนัทมั๊ยที่นัททำเรื่องนั้นลงไป”

ผมส่ายหน้า “เมฆแค่เสียใจนิดหน่อยนะ แต่เมฆก็คิดว่ามันเป็นเพราะนัทรักเมฆมากต่างหากถึงได้ทำอะไรแบบนั้นลงไป และเมฆก็คิดว่าถึงยังไงมันก็ยังดีกว่านัทเกลียดเมฆและเลิกคุยเลิกคบเมฆไปเลยมากกว่าอยู่ดี”

นัทก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ และเมื่อเขาตั้งสติได้แล้ว นัทก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเอื้อมมือไปควานหาของบางอย่างในกระเป๋าถือของตัวเอง ผมเองก็นั่งมองนิ่งๆไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งนัทหยิบซองสีน้ำตาลซองเล็กๆซองหนึ่งออกมาและมีท่าทางระแวงคนรอบข้างจะเห็นสิ่งๆนี้เหลือเกิน ผมจึงเริ่มขยับตัวด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“นัทเชื่อใจเมฆนะ....... นัทไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ถ้ามีแค่สักคน ใครสักคนเดียวที่รู้เรื่องนี้........ นัทเลือกที่จะขอตายดีกว่า” น้ำตาของนัมเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง

“เมฆไม่บอกใครหรอก เมฆสัญญา”

“มันไม่ใช่แค่เมฆน่ะสิ.......” นัทส่ายหน้า แล้วพูดต่อด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “เอาสิ เมฆหยิบมันออกมาดู แล้วเมฆจะข้าใจ” นัทเลื่อนซองสีน้ำตาลนั้นมาไว้ตรงหน้าของผม

ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบซองนั้นขึ้นมาถือเอาไว้อย่างระวังเพื่อไม่ให้ใครที่อยู่ใกล้ๆเห็น ผมเปิดซองออกและหยิบของข้างในออกมาดู ภายในซองเหล่านั้นเป็นรูปถ่ายทั้งหมดห้าใบ และถึงแม้ผมจะเพิ่งเห็นแค่รูปใบแรกเพียงใบเดียว แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังหน้าซีดลงไปมากแค่ไหน หัวใจของผมมันแทบหยุดเต้น และไม่กล้าแม้แต่จะพลิกดูรูปใบอื่นๆต่อไปว่ามันคือรูปอะไร เพราะว่ารูปที่ผมกำลังมองดูอยู่นั้นมันเป็นรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนอนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นทุกส่วนสัดของร่างกายของตนเองอยู่บนเตียง และถึงศีรษะของเธอคนนี้จะหันตะแคงข้าง แต่ว่ามันก็ดูออกได้อย่างชัดเจนเลยว่าผู้หญิงในรูปถ่ายใบนี้ก็คือคนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้าของผมนี่เอง................



ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1

artkung

  • บุคคลทั่วไป
อย่าบอกนะพี่ต้น ว่า ...

มันเป็นรูปเปลือยของนัทกับซัน ที่มีคนจัดฉากน่ะ   :m24:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
แป่วๆๆๆ  :o  ... ไม่ได้โม้นะ ไม่ได้โม้ แต่เพิ่งรู้จริงๆว่าต้นเขียนเรื่องศิลากับฟ้าครามภาคใหม่แล้ว 555+ :m23: โทดทีๆที่มาตามช้าไปหน่อย ... พอดี 2 เดือนที่ผ่านมางานยุ่งๆด้วย ไม่ค่อยได้เข้ามาเล้าเลย อืมม ..... แต่ก็ยังเขียนได้น่าสนุกและน่าติดตามดีเหมือนเดิมนะคร้าบบบ  o13

แต่ว่านะ เออ....  o7 เริ่มต้น Season นี้ได้ระทึกใจและชวนหดหู่มากเลยยยยย  :serius2:  .... เหมือนหลายคนบอก ... อ่านไปลุ้นไปว่า ... เออ... ตอนนี้มันยังดีกันอยู่เว้ย (ครือตอนนี้เพิ่งอ่านหน้า 2 นะ ไม่รู้ตอนนี้เรื่องถึงไหนและ)

มาอัพต่อเรื่อยๆเน้อ เป็นกำลังใจให้ค้าบบบบ  :m4:

ปล.ว่าแต่นี่เอาแฟนมาช่วยดันด้วยเหรอ อิอิ  :m12:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เอาละซี งานนี้อาจเป็นแผนซ้อนแผน  :m12: :m12:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
แผนสลับซับซ้อนชวนให้งงจริงๆ

pae_tekung

  • บุคคลทั่วไป
เดี๋ยวขอตามอ่านตั้งแต่ตอนที่เป็นเรื่องสั้นก่อนนะคับ

แล้วเดี๋ยวมาเม้นท์

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เดี๋ยวขอตามอ่านตั้งแต่ตอนที่เป็นเรื่องสั้นก่อนนะคับ

แล้วเดี๋ยวมาเม้นท์

^_^ อิอิ จุ๊บๆ

ปล. มีลางว่าจะได้หายหน้าไปยาวอีกด้วยเหมือนกันคับ T__T อย่างต่ำก้อหนึ่งอาทิตย์  :sad2: ถ้าไงก้อดันรอกันไปก่อนและกันนะ ก่อนไปจะแปะให้อีกตอนคับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2008 15:38:50 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

Just go on
Just go on
There’s still so many things
I wanna to say to you
But go on
Just go on
We’re bound by blood that’s moving
The moment that we started
The moment that we started. . .


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2BD7GC7PAD&Autoplay=1

ลา ล้า หล่า ~


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 30


ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้ว นัทก็คือแฟนคนแรกของผม และถึงจะไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่ผมเคยมีใจให้ แต่ก็เป็นผู้หญิงคนแรก เพียงคนเดียว และคนสุดท้ายที่ผมเคยมีอะไรด้วย แต่หลังจากที่ผมเลิกกับนัทแล้ว ผมก็ไม่เคยคิดกับนัทในแง่นั้นอีกเลย แต่ทว่าตอนนี้ ต่อหน้าผู้หญิงของคนที่ผมเคยรัก เคยผูกพัน และเป็นคนๆเดียวที่ผมเคยได้สัมผัส ผมกลับต้องมาเห็นภาพที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภาพที่บาดตาและบาดใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยทีเดียว ภาพเรือนร่างของนัทที่เปลือยเปล่าที่กำลังนอนโชว์ส่วนสัดอยู่บนเตียง และมันก็ดูออกได้ไม่ยากเลยว่ารูปเหล่านี้เป็นรูปที่ถูกถ่ายหลังจากที่คนในรูปเพิ่งทำอะไรลงไป..........

มือของผมสั่นไหว และใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าว ผมไม่สามารถแม้แต่ที่จะเปิดดูรูปถัดไปได้ เพราะกลัวสิ่งที่จะต้องได้เห็นอีกต่อไปเหลือเกิน......... กลัวที่จะต้องเห็นว่ารูปถัดไปนั้นไม่ใช่รูปของนัทแค่เพียงคนเดียว แต่มีคนอื่นนอนอยู่ข้างๆเขาด้วย

“เมฆ..........” เสียงของนัทเรียกผมให้ขึ้นมาจากภวังค์

“พี่จ๊อบเป็นคนถ่ายงั้นเหรอ” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังดูเป็นปกติที่สุด พร้อมๆกับเปิดดูรูปต่อๆไปแบบผ่านๆด้วย และในที่สุดผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้อีกนิดหน่อยที่รูปที่เหลือไม่ได้มีรูปของพี่จ๊อบติดอยู่ด้วยแบบที่ผมกลัว รูปทั้งหมดห้าใบเป็นเพียงรูปเปลือยของนัทคนเดียวเท่านั้น

“นัทไปเจอรูปนี้เข้าที่ห้องของพี่จ๊อบน่ะ นัทกลัวมากเลย เมฆ นัทกลัวว่ามันจะมีอะไรมากยิ่งกว่านี้ นัทกลัวว่าถ้าเกิดเค้าเอาไปให้คนอื่นดูล่ะก็............”

ผมนั่งเงียบลงไปอีกครั้งหลังจากที่เก็บรูปกลับเข้าไปในซองแล้ว

“เมฆเก็บไว้เถอะ” นัทยื่นมันกลับคืนมาให้แก่ผม “นัทไม่อยากเก็บมันไว้กับตัวหรอก นัททนไม่ได้”

“นัทก็ทิ้งมันไปสิ จะเก็บไว้ทำไม” ผมนิ่วหน้า

“จะให้จู่ๆนัททิ้งมันลงถังขยะไปเหรอเมฆ แล้วถ้าเกิดว่ามีใครมาเห็นมาเจอเข้าล่ะจะทำยังไง แถมที่สำคัญ ถ้าเกิดพี่จ๊อบรู้แล้วว่ารูปพวกนี้มันหายไป เค้าก็ต้องสงสัยขึ้นมาแน่ๆ แถมนัทก็ไม่รู้ด้วยว่ามันยังมีอย่างอื่นอยู่อีกรึเปล่าน่ะ..........” นัทสะอื้นออกมาเล็กน้อย “นัทน่ะคิดว่าถ้านัทมีรูปพวกนี้เก็บไว้ มันก็คงจะใช้เป็นหลักฐานหรือเอาไว้ต่อรองหรืออะไรกับพี่จ๊อบได้บ้าง แต่นัทไม่อยากเก็บมันไว้กับตัวน่ะ นัททนไม่ได้ นัทกลัว กลัวมากด้วยเมฆ นะ เมฆช่วยนัทหน่อยได้มั๊ย”

“แล้วนัทจะให้เมฆเก็บมันไว้ที่บ้านเนี่ยนะ”

“ใช่ แต่ว่าเมฆอย่าบอกใครนะ รวมทั้งซันด้วย นัทรู้ว่าตอนนี้ซันก็คงเกลียดนัทไปแล้ว และที่สำคัญ เรื่องนี้นัทให้ใครรู้ไม่ได้หรอก ไม่ได้จริงๆ นัทเชื่อใจเมฆแค่เพียงคนเดียวแล้วตอนนี้........... สัญญานะ เมฆ สัญญาว่าจะไม่บอกใครเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม รวมทั้งซันด้วย นะเมฆ เมฆทำให้นัทได้มั๊ย คิดซะว่านี่เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากนัท นะ” นัทอ้อนวอน

ผมถอนหายใจแล้วนั่งเงียบลงไปอีกครั้ง ผมรู้ว่าเรื่องแค่นี้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับผมมากนัก แต่ว่าเรื่องที่ใหญ่กว่าก็คือปัญหาระหว่างนัทกับพี่จ๊อบนี่ต่างหาก เพราะอย่างน้อยๆผมก็คิดว่าการที่นัทเรียกผมออกมาวันนี้มันคงจะไม่ใช่แค่ขอร้องให้ผมช่วยเก็บรูปเหล่านี้ไว้แค่นี้แน่นอน

“แล้วนัทจะเอายังไงต่อไป.......” ผมถาม

“นัทว่านัทจะรอพี่จ๊อบพูดขึ้นมาก่อนน่ะ.........” นัทถอนหายใจเบาๆ “เพราะนัทคิดว่าต่อให้นัทโวยวายไป มันก็คงจะมีแต่แย่ลง เพราะตอนนี้เค้าถือไพ่เหนือกว่านัทนี่ แต่ว่ายังไงๆนัทก็คงเลิกแน่ๆแหละ เมฆ นัทไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้อีกแล้ว นัทไว้ใจเค้าไม่ได้อีกแล้ว”

“นัทลองปรึกษาพ่อแม่ดูรึยัง เพราะถึงยังไงๆพ่อนัทก็เป็นตำรวจนี่”

“หึหึ แล้วเมฆไม่รู้เหรอว่าพ่อพี่จ๊อบมีอาชีพอะไร แค่ทุกวันนี้นัทกับพี่จ๊อบคบเป็นแฟนกันได้แล้วพ่อนัทไม่บ่นไม่ด่าทุกวันๆก็บุญโขแล้ว แต่ก็เถอะ ถึงยังๆไงมันก็คงจะไม่มีอีกแล้วล่ะ นัทคงจะค่อยๆห่างออกมาจนเราเลิกกันไปนั่นแหละ และถ้าพี่จ๊อบพูดเรื่องรูปขึ้นมา นัทก็คงจะต้องแก้ปัญหาไปอีกที เค้าอยากได้อะไร นัทก็คงต้องให้เค้าทุกอย่าง ก็แล้วนัทจะไปทำอะไรได้ล่ะ จริงมั๊ย”

“แล้วนัทอยากให้เมฆช่วยอะไรรึเปล่าครับ นัทบอกเมฆได้นะ” ผมถาม

“ไม่เป็นไรหรอกเมฆ” นัทส่ายหน้า “แค่เมฆมาอยู่ที่นี่ รับคำขอร้องจากนัท รับฟังนัท และให้คำปรึกษานัท นัทก็ดีใจมากแล้ว เมฆไม่รู้จักพี่จ๊อบดีพอหรอก เมฆคงช่วยพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว........ แค่นี้นัทก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว ขอบคุณมากนะ เมฆ” นัทฝืนยิ้มให้ผมอย่างอ่อนแรง

“ไม่เป็นไร แต่เอาเป็นว่า ถ้าเกิดนัทมีปัญหาอะไรให้เมฆช่วยล่ะก็ รีบบอกเมฆเลยนะ เข้าใจมั๊ย เมฆพร้อมจะช่วยเหลือนัทตลอดเวลาจริงๆ”

“อื้อ....... ถ้างั้น ตอนนี้ขอนัทไปเข้าห้องน้ำก่อนก็แล้วกันนะ”

“ถ้างั้นเมฆก็ขอตัวกลับเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวมันจะเย็นมากน่ะ ไอ้ซันมันก็รอกินข้าวอยู่” ผมตอบ ส่วนนัทก็พยักหน้ารับพร้อมกับลุกขึ้นยืน “อ้อ นัท........” ผมเรียกนัทเอาไว้ “เมฆอยากให้นัทรู้ไว้อย่างนึงนะว่า ไอ้ซันมันไม่ได้เกลียดนัทหรอกนะครับ”

นัทมองหน้าผมนิ่งครู่สั้นๆ ไม่มีทั้งรอยยิ้มหรือการพยักหน้าใดๆกลับมา ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีกเลย..........

ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ผมก็นั่งคิดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ไปด้วย เพราะถ้าว่ากันตรงๆแล้วเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว ยิ่งถ้าเกิดว่ารูปเหล่านี้นั้นมันกลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการแบล็คเมล์แล้วล่ะก็ มันก็เท่ากับเป็นอาชญากรรมที่สามารถทำลายชีวิตของคนๆนึงได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะสิ่งที่คาใจและสร้างความสับสนให้แก่ผมมากที่สุดก็คือคำพูดของนัทที่บอกว่า “ถ้ามันมีอย่างอื่นอีกล่ะก็......” นั่นมันก็เหมือนเป็นคำพูดกลายๆของประโยคที่ว่า “นัทกับพี่จ๊อบเคยทำอย่างอื่นด้วยกันมากกว่าแค่การถ่ายรูปเอาไว้อีกด้วย” นั่นเอง และแน่นอนว่าผมไม่รู้สึกสบายใจเอาซะเลยจริงๆ ตอนนี้ปัญหาหลักๆของเรื่องนี้ก็คงมีอยู่สองอย่างว่า ในสถานการณ์แบบนี้ จุดยืนและสิ่งที่ผมควรทำมันอยู่ตรงไหน กับพี่จ๊อบเค้าทำอย่างนี้เพราะต้องการสิ่งใดกันแน่

“หวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่กูกำลังคิดอยู่นะ.............” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดู “ไม่โชว์เบอร์งั้นเหรอ..........” ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัย แต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มรับสายไป

“อยากได้คนไปช่วยทำความสะอาดบ้านซักคนมั๊ย” เสียงของพี่วินถามขึ้นทันทีที่ผมกดปุ่มรับสาย

“หา เอ่อ อ๋อ ไม่ต้องก็ได้ครับพี่วิน แค่นี้ผมกับพ่อก็พอดูแลกันไหว แถมไอ้ซันเองก็ยังช่วยด้วย นอกจากนั้นยังมีไคล์อีก ก็ช่วยๆกันน่ะครับ”

“แน่ใจนะว่าเมฆไม่อยากให้มีคนไว้ช่วยดูแลบ้านน่ะ” พี่วินถามอีก และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆมากขึ้น

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่ค่อยอยากให้พ่อเค้าคิดมากหรือสงสัยเอาน่ะ”

“แบบนั้นก็ได้ แล้วแต่เมฆก็แล้วกัน แต่พี่คิดว่าบางทีเราอาจจะต้องเลื่อนวันนัดเจอกันให้เร็วขึ้นอีกหน่อยนะ”

“ก็ได้ครับ พี่โทรมาบอกผมก็แล้วกัน”

“แล้วเจอกันครับ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” พี่วินพูดก่อนวางสายไป

เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว และเมื่อผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นไอ้แสบของผมกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟารับแขก โดยที่หนังสือที่มันอ่านค้างเอาไว้ยังคงกางอยู่บนหน้าอกของมันอยู่เลย แถมแว่นก็ยังไม่ได้ถอดออกอีกด้วย ผมหัวเราะให้กับตัวเองออกมาเบาๆ แต่ว่าตัดสินใจที่จะยังไม่ปลุกมันในตอนนี้ ผมเดินผ่านมันไปยังโต๊ะกินข้าว ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เห็นกับข้าวหลายอย่างวางอยู่บนโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นผัดผักที่มันชอบกิน แกงข่าไก่ของโปรดของผม ยำปลากระป๋องของชอบของเราทั้งคู่ ไข่ตุ๋น และยังมีองุ่นพวงใหญ่สีสวยน่ากินหลายพวงวางรออยู่ด้วย

นี่ขนาดว่ามันทำกับข้าวไม่เป็นนะเนี่ย และแบบนี้จะไม่ให้ผมรู้สึกรักมันแทบตายได้อย่างไรกัน............

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่อใดที่มีความรักมากมายก่อตัวขึ้น ความกลัวความสูญเสียและความเจ็บปวดที่ถูกเส้นด้ายแห่งความไว้วางใจกั้นเอาไว้บางๆมันก็รอคอยพร้อมที่จะเข้ามาแทนที่อยู่แล้วเช่นกัน ถ้าหากเมื่อไหร่ที่ความไว้วางใจตรงนั้นมันขาดลงไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความเจ็บปวด ความเสียใจ และบางทีอาจจะความเกลียดชังด้วย มันก็จะไหลทะลักเข้ามาท่วมท้นแทนที่ความรักที่เคยมีอยู่จนเต็มหัวใจนั้นไปจนหมด และนั่นก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุดที่คนเราควรจะต้องระวังในการประคับประคองความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนจริงๆ

ผมล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบซองสีน้ำตาลซองนั้นออกมา และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของปัญหาของความไม่ไว้วางใจกันที่สร้างความร้าวฉานให้แก่ชีวิตคู่นั่นเอง

ผมส่ายหน้า ถอนหายใจ และเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆเพื่อจะเก็บรูปพวกนั้นเอาไว้ในลิ้นชักใส่ของส่วนตัวของผม ตรงมุมของชั้นวางทีวีในห้องนอนของผม ผมจะมีลิ้นชักลับของผมที่ผมใช้ใส่ของส่วนตัวและของสำคัญๆเอาไว้อยู่อันหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรมากมายนักหรอก เพียงแต่มันเป็นลิ้นชักที่ผมใช้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วเท่านั้น ภายในลิ้นชักนั้นมีทั้งของขวัญที่ผมได้รับมาจากแฟนสมัยปอสอง เพื่อนที่ย้ายบ้านไปตอนปอสี่ รูปถ่ายของผมตอนเด็กๆ และสร้อยข้อมือที่นัทกับผมเคยทำให้กันและกันผมตอนที่เขามาเที่ยวที่บ้านก็ยังถูกเก็บมันเอาไว้ในนี้ด้วยเหมือนกัน ผมใส่ซองจดหมายซองนั้นลงไปปนกับของเก่าๆที่ผมเก็บเอาไว้มาตั้งแต่ยังเด็ก จากนั้นก็เดินกลับลงไปยังชั้นล่างและเดินตรงเข้าไปหาไอ้ซันที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ ดูท่าทางว่ามันคงจะเหนื่อยจากเรื่องเมื่อวานมากจริงๆ ถึงขนาดผมเข้าบ้านมาแบบนี้แล้วมันยังคงไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ผมใช้มือลูบที่ใบหน้าของมันช้าๆ ก่อนที่จะค่อยๆประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากเรียวบางที่กำลังเผยอขึ้นเล็กน้อยของมัน พร้อมๆกับเลื่อนมือต่ำลงมาเรื่อยๆ ผมค่อยๆลูบไล้แก้มของมัน ไล่ลงไปยังคอ หน้าอก และเรื่อยลงไปจนถึงบริเวณหน้าท้องที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ..........

“อืมมม เล่นลักหลับกันแบบนี้มันขี้โกงนี่หว่า” ไอ้ซันกระซิบและค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ

“แล้วไม่ชอบรึไง” ผมยิ้ม พร้อมกับเลื่อนมางับที่ติ่งหูของมันเบาๆ

ไอ้ซันไม่ตอบ แต่กลับดึงตัวผมให้กลิ้งลงไปทับอยู่บนตัวของมันแทน “จะไม่ชอบมากกว่านี้ถ้าไม่ยอมทำต่อ”

เราสองคนจูบปากกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นไปอย่างเร่าร้อนและรุนแรง ต่างจากเมื่อตอนผมจูบมันแบบแผ่วเบาเมื่อครั้งแรก และอีกไม่กี่นาทีถัดมาเสื้อผ้าของเราทั้งสองคนก็หลุดออกจากร่างกายแล้ว

“เดี๋ยว ซัน นี่มันที่ห้องรับแขกนะ” ผมดันตัวมันออก

“ก็แล้วไงล่ะ” ไอ้ซันโน้มตัวเข้ามาจูบผมอีกครั้ง จากนั้นมันก็เลื่อนตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเจอเป้าหมายที่มันต้องการ..........

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมกับซันเคยมีอะไรกันจนถึงในวันนี้ ความรู้สึกของเราสองคนที่มีให้แก่กันมันก็ยังคงไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อยๆผมก็รู้สึกแบบนั้นน่ะนะ เมื่อก่อนนี้บางครั้งผมก็เคยถามมันบ้างเหมือนกันว่ามันต้องการที่จะไปมีอะไรกับใครคนอื่นนอกจากผมบ้างรึเปล่า มันก็ตอบออกมาอย่างไม่ลังเลเลยว่า ไม่ และเหตุผลที่มันบอกผมก็คือมันรู้สึกมีอารมณ์กับผู้ชายกับผมเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าหลังจากที่เราคบกันไปสักพักแล้วมันชักจะเริ่มชี้ให้ผมดูผู้ชายหน้าตาดี หรือชมคนหล่อๆให้ผมได้ยินอยู่บ้างก็ตามที และถ้าหากผมถามมันว่า กับผู้หญิงล่ะ คิดจะมีอีกรึเปล่า มันก็ยังคงตอบว่าไม่อีกเหมือนกัน เพราะว่าเซ็กส์ระหว่างเราสองคนมันก็ดีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นที่มันจะต้องไปหาความสนุกตื่นเต้นจากคนอื่นที่ไหนอีก ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีมาก ไม่ใช่รู้สึกดีที่ว่ามันไม่คิดจะนอกใจผม แต่รู้สึกดีที่คำตอบของมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มันยังรักและต้องการในตัวผมอยู่แค่เพียงคนเดียวมากขนาดไหนนั่นเอง

แต่พอมาลองคิดๆดู เมื่อตอนที่เราอยู่อังกฤษ ไอ้ซันมันแทบจะไม่มองฝรั่งคนไหนเลย แต่พอกลับมาไทยปุ๊บ มันกลับชมคนนั้นคนนี้ให้ผมฟังมากขึ้น......... หรือนั่นจะหมายความว่า ที่มันเคยพูดว่ามันไม่มีอารมณ์กับผู้ชายคนอื่นๆนั้นจะใช้ได้แต่กับเฉพาะ “ฝรั่งคนอื่น” แต่ไม่นับ “ผู้ชายไทยคนอื่นๆ” รึเปล่า..........

“ขำอะไร” ไอ้ซันถามขึ้นเมื่อเรานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ ทำให้ผมต้องหยุดความคิดของตัวเองลง

“เปล่า คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ว่าแต่นี่เป็นไงมั่งแล้ว รู้สึกดีขึ้นมั่งรึยัง”

“ก็ดีแล้วล่ะ ได้นอนพักผ่อนไปมันก็ดีขึ้นเยอะ เพราะจริงๆแผลกูก็ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่หรอก แต่มันแค่ง่วงกับเพลียจากเรื่องเมื่อคืนมากกว่าว่ะ” ไอ้ซันตอบพลางเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ “ว่าแต่กูมีเรื่องจะบอกมึงว่ะ แต่ว่ามึงต้องเล่าให้กูฟังก่อนว่าวันนี้มึงไปไหนมา”

“อืมมม........ กูไปหานัทมา” ผมแอบเหลือบตาขึ้นจากจานข้าวเพื่อมองดูปฏิกิริยาของมันไปด้วย และสีหน้าแววตาของมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ “ไม่มีอะไรหรอก เค้าทะเลาะกันน่ะ และเห็นว่า........ อาจจะเลิกกัน”

“เชี่ยและ แล้วแบบนี้ไอ้พี่จ๊อบมันยิ่งไม่จีบมึงหนักเข้าไปใหญ่รึไง”

นั่นแหละ เรื่องที่ผมกังวลมากเป็นอันดับหนึ่งเลย “มันก็แค่อาจจะน่ะ ซัน ยังไม่แน่หรอก” ผมโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้มันไม่สบายใจมากไปกว่านี้ “และที่สำคัญก็คือกูแค่ไปคุยกับเค้าเฉยๆ ไปรับฟัง และถ้าเกิดกูช่วยให้เค้าไม่ต้องเลิกกันได้ กูก็คงจะช่วยแหละ แต่ว่ามึงต้องเชื่อใจกู เข้าใจรึเปล่า เพราะถ้ามึงโวยวายไม่เชื่อใจกู มัวแต่ระแวงพี่จ๊อบโดยไม่คิดถึงหัวอกกูเลยเนี่ย กูก็คงน้อยใจแน่ๆว่ะ”

“เออๆ กูก็แค่ไม่ไว้ใจสองคนนี้เท่าไหร่เลยแค่นั้นเอง” ไอ้ซันส่ายหน้า “แต่ถ้ามึงมีอะไรแล้วคอยบอกกูอยู่เรื่อยๆล่ะก็ มันก็คงไม่มีปัญหาหรอก”

“มึงหมายถึง ถ้า ‘เราสองคน’ คอยบอกกันอยู่เรื่อยๆต่างหาก” ผมแย้ง

สีหน้าของไอ้ซันยังคงนิ่งเฉยอยู่เหมือนปกติ และมันก็เป็นคนที่ตีหน้าตายได้นิ่งมากจริงๆ แต่ว่าตอนนี้หลังจากที่เราคบกันมานานหลายปี ทั้งตอนแรกในฐานะเพื่อน และตอนหลังในฐานะแฟน ผมเองก็สามารถดูออกได้แล้วว่านี่เป็นสีหน้าของมันที่กำลัง “ทำเป็น” นิ่งเฉยอยู่ต่างหาก แต่เอาเถอะ ถึงยังไงมันก็เป็นแค่เซ็นส์ของผมที่ผมรู้สึกได้เท่านั้นเอง ผมไม่คิดที่จะไปจับผิดอะไรมันมากนักหรอก และผมก็ไม่ได้คิดที่จะไปคาดคั้นเอาความจริงอะไรจากมันด้วย เพราะผมรู้ว่าในตอนนี้ความเชื่อใจที่เราสองคนต้องมีให้แก่กันนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และผมก็ยังเชื่อใจมันด้วยว่าถ้าหากมีเรื่องอะไรที่สำคัญจริงๆ มันก็จะต้องมาบอกผมด้วยปากของมันเองอย่างแน่นอน

“ว่าแต่มึงมีอะไรจะบอกกูล่ะ” ผมถาม

“ก็ อย่างแรกเลยคือ พี่แอมป์เค้าโทรมาหากูน่ะ บอกว่ามีงานเข้ามาให้ไอ้ไคล์แล้วนะ เห็นว่าถ่ายแบบถ่ายปกลงหนังสืออะไรสักอย่างนี่แหละ”

“อ้าว ก็ดีนี่ แล้วเจ้าตัวรู้รึยัง”

“รู้แล้ว กูโทรไปบอกมันแล้วล่ะ และหลังจากนี้กูก็บอกให้พี่แอมป์โทรไปบอกมันตรงๆได้เลยด้วย ไม่ต้องผ่านกูก่อน”

“แต่จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะ แป๊บๆก็ได้งานแล้วเนี่ย”

“เส้นใหญ่มั๊ง ไม่รู้สิ” ไอ้ซันยักไหล่ “แถมพี่แอมป์บอกว่าหลังจากนี้ก็คงมีมาอีกเรื่อยๆเลยด้วยแหละ ต่อไปก็เห็นว่าเป็นโฆษณากับเอ็มวีมั๊ง ท่าทางจะมีมาอีกเยอะเลยว่ะ เพราะว่าพี่เค้าช่วยเหลือเราเต็มที่เลย แถมพี่แอมป์บอกว่า คนชอบไคล์น่ะมีเยอะมากกกก” ไอ้ซันลากเสียง “แถมปกติตั้งแต่มันอยู่ปีหนึ่งมันก็เคยโดนชวนมาหลายครั้งอยู่แล้วด้วยเหมือนกันนะ”

ผมพยักหน้า “ก็อยู่ที่ไคล์เองล่ะนะว่าอยากจะทำอะไรไม่อยากจะทำอะไรบ้าง แต่เดี๋ยวกูจะย้ำเรื่องนี้กับไอ้วิทให้อีกที คนยังไม่มีงานทำมันก็คงจะว่าง ช่วยๆหางานให้มันหน่อยก็ท่าจะดี” ผมหัวเราะ

“นอกจากนั้นพี่แอมป์ยังถามด้วยนะว่าเราสองคนสนใจมั่งรึเปล่าน่ะ.......”

ผมแทบจะสำลักน้ำแกงข่าไก่สำเร็จรูปที่ไอ้ซันทำ “เดี๋ยวดิ๊ มึงว่าไงนะ เราสองคนน่ะเหรอ”

“อือ เพื่อนๆพี่เค้าในโมเดลลิ่งเห็นรูปพวกเราน่ะ แล้วเสือกชอบมากกกกก” ไอ้ซันลากเสียงอีกครั้ง “โดยเฉพาะพี่บอลน่ะที่เอาไปพูดไปชมซะเยอะ เค้าก็เลยถามกูมาแบบนี้”

“ไอ้เหี้ย ไม่เอาอ่ะ ไม่ใช่เด็กๆวัยรุ่นแล้วนะเว้ย แถมจะเอาเวลาที่ไหนไปวะ ทำงานแม่งห้าวันเช้าจรดเย็น นี่ขนาดเวลาจะไปเข้าฟิตเนสยังไม่มีเลย”

“กูก็ว่างั้นแหละ แล้วก็กะแล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้ แต่ว่า...........” ไอ้ซันอมยิ้ม

“แต่อะไรของมึง”

“กูอยากมีแฟนเป็นนายแบบเหมือนกันนะ หรือมึงไม่อยากมีแฟนเป็นนายแบบมั่งรึไง”

ผมหัวเราะ “ไม่เอาอ่ะ ไม่ทั้งอยากมีแฟนเป็นนายแบบ และเป็นนายแบบให้แฟนอะไรทั้งนั้นล่ะ อยู่เฉยๆแบบนี้ก็ดีแล้ว ดูไคล์มันก่อนก็แล้วกัน คอยดันๆดูแลน้องมันไปก่อน อย่างอื่นเราค่อยว่ากันทีหลัง”

“กูก็คิดแบบนั้นแหละว่ะ พี่แอมป์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าก็คงจะแค่แหย่ๆเราเล่นนั่นแหละมั๊ง กูว่า” ไอ้ซันยักไหล่ “ส่วนอีกเรื่องนึงที่กูจะบอกมึงก็คือ...........” มันเว้นช่วง “กูจะซื้อรถแล้วนะ ทั้งกูทั้งไคล์เลย วันนี้กูคุยกับแม่แล้ว ไฟเขียวเรียบร้อย”

“อ้าว มึงคิดดีแล้วเหรอ ตอนนี้มึงก็ยังใช้รถพ่อกูไปก่อนก็ได้นี่นา”

“แล้วอย่างวันนี้พ่อเล็กก็ต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองน่ะเหรอ ไม่เอาแล้วว่ะ กูเกรงใจจริงๆ ยิ่งพอกูบอกแม่กูเรื่องนี้แม่กูก็รีบอนุมัติทันทีเลยด้วย”

“แล้วจะเอารถไปจอดที่ไหนวะ ตั้งสี่คัน ไอ้บ้า”

“ก็นั่นน่ะสิ” ไอ้ซันหัวเราะ “แต่ไม่เป็นไรนี่ เพราะว่ารถกูก็จอดอยู่หน้าบ้าน ส่วนรถไอ้ไคล์ปกติมันก็คงจอดอยู่ที่หอมันอยู่แล้วนี่ จริงมั๊ยล่ะ ไม่น่ามีปัญหาหรอก แต่ถ้ามันแน่นจริงๆก็เอามาจอดในสนามหน้าบ้านคันนึงคงไม่เป็นไรหรอกมั๊ง เว้นแต่ว่า..........”

“เว้นแต่ว่าอะไร” ผมถาม รู้สึกแปลกใจกับแววตาเป็นประกายของมันเล็กน้อย

“เว้นแต่ว่ามึงกับกูจะย้ายไปอยู่ที่คอนโดด้วยกันน่ะ แบบนั้นมันก็จะไม่มีปัญหาเลย จริงมั๊ย”

“ซัน........ กูบอกแล้วไงว่ากูยังไม่พร้อม” ผมส่ายหน้า “กูขอโทษ แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องกูติดพ่อห่าเหวอะไรพวกนั้นแล้วนะ แต่ว่ามันยังติดอะไรอยู่อีกหลายๆอย่างว่ะ ขอเวลากูอีกหน่อยไม่ได้เหรอ”

“กูไม่ได้จะบอกให้มึงย้ายพรุ่งนี้มะรืนนี้เลยสักหน่อย แต่แค่บอกมึงเอาไว้ว่าจะช้าหรือเร็วเราก็ต้องทำแบบนั้นอยู่ดี แต่ถ้าเร็วหน่อยมันก็คงจะดี หรือถ้าไม่แบบนั้นกูอาจจะต้องย้ายออกไปคนเดียวก่อนก็ได้........”

“ไอ้ซัน” ผมนิ่วหน้า “นี่มึงหมายความว่ายังไง”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” มันส่ายหัวช้าๆพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ “กูก็แค่พูดเฉยๆเท่านั้นเอง เพราะมันก็แค่เป็นอีกแนวทางนึงที่อาจจะเป็นไปได้ไง จริงมั๊ย”


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2008 12:04:12 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ทำไมนะ ทั้งๆที่ทั้งคู่ก็ยังรักกันดี แต่กลับรู้สึกถึงรอยแยกเล็กของทั้งสองคน  :m13: :m13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






artkung

  • บุคคลทั่วไป
ความสัมพันธ์ เริ่มก่อความร้าวฉานขึ้นเรื่อยๆ แล้ว  :m15:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :เฮ้อ:........ยังไงก็ไม่ไว้ใจนัทอยู่ดี

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
รู้สึกปัญหามันแยะจังเนอะ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 31


พอถึงวันพุธ พี่วินก็นัดให้ผมกับไอ้ซันไปหาเค้าที่คลาสยูโดของผม ซึ่งตอนแรกผมก็ต้องอธิบายให้ไอ้ซันฟังอยู่เหมือนกันว่าทำไมและเพื่ออะไร เพราะแม้แต่ไอ้ซันเองก็ยังรู้จักชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับพี่วินน้อยมาก ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เท่าที่มันรู้ก็คงจะมีเพียงว่าพี่วินเป็นเหมือนรุ่นน้องของพ่อของผมและสนิทสนมกับที่บ้านของผมมากก็เพียงเท่านั้นเอง

“แล้วทำไมกูไม่ค่อยได้ยินมึงหรือพ่อเล็กพูดถึงพี่เค้าเลยวะ” ไอ้ซันถามผมทางโทรศัพท์ ระหว่างที่เราโทรหากันตอนกลางวัน

“ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่หว่า ขนาดกูเองก็ยังไม่ค่อยจะได้เจอพี่เค้าเลย เพราะพี่เค้างานยุ่งน่ะ”

“งั้นแล้วทำไมตอนนี้จู่ๆพี่เค้าถึงจะอยากเจอเราสองคนล่ะ” มันยังคงสงสัยอยู่

“ไม่ใช่ว่าพี่เค้าอยากเจอเราสองคนหรอก แต่เราสองคนนั่นแหละที่ควรจะไปเจอพี่เขาสักที โดยเฉพาะกูน่ะที่อยากเจอและสมควรจะไปเจอพี่เค้าได้แล้ว เพราะว่ามึงก็เห็นนี่ ตั้งแต่วันแรกที่เรากลับมาพี่เค้าก็ส่งของมาให้กูที่บ้าน แล้วเมื่อตอนวันเกิดกูพี่เค้าก็ยังส่งของขวัญมาให้อีก แต่นี่เรากลับมากันตั้งนานแล้วกูยังไม่ได้ไปไหว้ไปขอบคุณพี่เขาด้วยตัวเองเลยนะ”

สุดท้ายไอ้ซันก็ต้องตามผมไปโดยสมยอม เพราะมันเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว และที่สำคัญคือมันเองก็คงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรมากมายอยู่แล้วด้วย เพราะการนัดครั้งนี้มันก็เหมือนนัดเจอพูดคุยกันทั่วไปเท่านั้นเอง แต่จะต่างไปแค่ว่าแทนที่เราจะนัดเจอกันที่ร้านอาหารหรือที่อื่นที่มันเหมาะที่จะใช้พูดคุยกัน เรากลับนัดเจอกันที่ห้องเรียนยูโดเท่านั้นเอง

ผมกับไอ้ซันสองคนตัดสินใจแยกขับรถไปกันคนละคันหลังเลิกงาน ซึ่งผมที่มีที่ทำงานอยู่ใกล้กว่าก็คงไปถึงได้ไวกว่าอยู่แล้ว แต่ว่าผมก็ไม่อยากและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้พ่อนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านคนเดียว เพราะในเมื่อผมสามารถกลับพร้อมกับไอ้ซันได้ ผมจึงตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปหาพี่วินแทน โดยทิ้งรถไว้ให้พ่อใช้ขับกลับบ้านเองก่อนเลย

พอถึงตอนเย็นหลังเลิกงานผมก็เรียกแท็กซี่ไปยังยิมทันที และเมื่อผมไปถึงที่นั่นและเปลี่ยนเป็นชุดฝึก เริ่มต้นวอร์มร่างกายไปตามปกติได้สักราวๆเกือบๆสิบนาที ครูวิชญ์ก็เข้ามาทักทายผมเหมือนอย่างเคย

“อ้าว วันนี้ครูยังไม่กลับอีกเหรอครับ”

“โอ๊ย ยังหรอก เดี๋ยวนี้ครูแทบจะกินนอนอยู่ที่นี่อยู่แล้ว” ครูวิชญ์หัวเราะ “ว่าแต่เราเถอะ ทำไมวันนี้ถึงมาได้ล่ะ ปกติเห็นมาแค่เสาร์อาทิตย์ไม่ใช่รึไง”

“อ๋อ ผมนัดคนไว้น่ะครับ พี่ชายผมเอง แต่ดูท่าทางคงยังมาไม่ถึง”

“หืออ ใครงั้นเหรอ แล้วเค้าเป็นสมาชิกอยู่ที่นี่ด้วยรึไง”

“เอ่ออ ก็นั่นสินะครับ” ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เพราะถึงผมจะรู้ว่าพี่วินนั้นเป็นทั้งคาราเต้และยูโด ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ตอนเด็กๆผมเลือกที่จะเรียนยูโดด้วยนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่รู้เลยจริงๆว่าพี่เขาเป็นสมาชิกของที่นี่ด้วยรึเปล่า

“ถ้าเค้าเป็นสมาชิกล่ะก็ ครูก็น่าจะรู้จักสินะ พี่เราเค้าชื่ออะไรล่ะ” ครูวิชญ์นอกจากจะเป็นครูและเป็นโค้ชประจำที่นี่แล้ว เขายังเป็นหนึ่งในเจ้าของของยิมแห่งนี้ด้วย ดังนั้นครูจึงรู้จักและสามารถจำนักเรียกในคลาสยูโดได้เกือบหมดทุกคน

“พี่วินน่ะครับ สายดำ ชื่อจริงชื่อ ภาสกรณ์” ผมตอบ และทันใดนั้นเองผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแววตาของครูได้ทันที

“วินเป็น............” คิ้วของครูวิชญ์ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เมฆมีพี่ชายด้วยเหรอ”

“พี่ไม่แท้น่ะครับ” ผมส่ายหน้า “คือเป็นคนรู้จักกัน ว่าอย่างนั้นดีกว่า”

“อ้อ อย่างนั้นเหรอ” ครูวิชญ์พยักหน้า “ถ้างั้นเมฆวอร์มไปก่อนก็แล้วกัน ครูขอตัวไปดูเด็กๆตรงนั้นหน่อย”

ผมพยักหน้าตอบ และครูวิชญ์ก็เดินจากไป

ผมยืนๆนั่งๆนอนๆยืดเส้นบิดตัวไปมาอยู่ได้อีกราวๆห้านาที ก็รู้สึกได้ว่ามีคนๆหนึ่งกำลังเดินเข้ามาทางด้านหลัง และแน่นอนว่าตอนแรกผมก็คิดว่าคนๆนั้นคือไอ้ซัน แต่ทว่าเมื่อผมหันกลับไปมันก็กลับกลายเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงจริงๆว่าผมจะมาพบเขาที่นี่ได้

“โห ตัวอ่อนโคตรๆเลย พี่เมฆ” อาร์มยืนยิ้มให้กับผม

“อ้าว อาร์ม มาได้ไงเนี่ย” ผมยืนขึ้นและสังเกตเห็นว่าอาร์มกำลังใส่ชุดยูโดสีขาวล้วนอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ารวมทั้งสายคาดเอวนั่นก็ด้วย

“แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้สายดำแบบพี่มั่งล่ะเนี่ย” อาร์มเอื้อมมือมาจับที่สายคาดเอวของผมเบาๆแล้วหัวเราะ “รู้สึกอายๆยังไงไม่รู้อ่ะครับ คาดสายขาวแบบนี่เนี่ย”

“เดี๋ยวๆ พี่งงมากเลยนะเนี่ย นี่ตกลงอาร์มมาเป็นสมาชิกของที่นี่แล้วด้วยเหรอ”

“ครับ ก็ที่เคยคุยกับพี่ไงว่าผมอยากเล่นบ้าง แล้วก็เลยเพิ่งมาสมัครเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อวันก่อนที่โทรไปก็จะโทรไปบอกพี่เรื่องนี้นั่นแหละ”

“อ้าวเหรอ แล้วนี่มันก็เย็นแล้วนี่ นี่มาจากมหาลัยเหรอ แล้วไคล์รู้รึเปล่า”

อาร์มส่ายหน้า “ไม่รู้หรอกครับ ผมไม่ได้บอกใครเลย เพราะอายเขาอ่ะ สายขาวเนี่ย แต่ว่าวันนี้ผมมีเรียนเช้าอย่างเดียว ก็เลยมาที่นี่ได้ คือจริงๆแล้วคลาสผมมันจบไปแล้วล่ะครับ แต่ว่ารอพวกพี่แอมป์มารับอยู่ ก็เลยยังไม่ได้กลับ และเมื่อกี๊เพิ่งจะเห็นพี่เมฆ ผมก็เลยเดินเข้ามาทัก”

“อ๋อ ครับ........ แต่จะว่าไป ถ้าเกิดวันนี้พี่ไม่ได้เข้ามาที่นี่แต่เป็นห้องเรียนเทควันโดล่ะ คือ อาร์มก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าพี่ไม่ได้เรียนแค่ยูโดอย่างเดียวน่ะ”

“ครับ แต่ว่าคุยๆดูผมก็รู้แล้วว่าพี่เมฆท่าทางจะชอบยูโดมากกว่าน่ะ ผมก็เลยเลือกยูโด”

“อ๋อ อืมมม......” ผมพยักหน้า “ว่าแต่พี่แอมป์จะมารับกี่โมงล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะครับ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก เพราะเห็นเมื่อกี๊ก็บอกอยู่บนถนนแล้ว ว่าแต่........” อาร์มหันไปมองรอบๆตัว “นี่พี่ซันไม่ได้มาด้วยกันเหรอครับ”

“อ๋อ เดี๋ยวมันตามมาน่ะครับ เพราะว่าออฟฟิศพี่มันใกล้กว่า พี่ก็เลยมาถึงก่อนน่ะ”

“อ๋อครับ ถ้างั้นพี่เมฆซ้อมกับผมหน่อยมั๊ย ผมอยากลองจับคู่กับพี่ดูน่ะครับ”

“เอ่ออ ไม่ดีมั๊งครับ อาร์ม เพราะว่าพี่ไม่ค่อยคุ้นกับการจับคู่กับ เอ่ออ สายขาวน่ะ และพี่ไม่รู้ด้วยว่าอาร์มเรียนไปถึงไหนแล้ว ถ้าเพิ่งสมัครไม่นานก็น่าจะยังไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่เลยไม่ใช่เหรอ”

อาร์มมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที

“ถ้างั้นให้น้องเค้าดูเราจับคู่กันหน่อยดีมั๊ยล่ะ” เสียงทุ้มๆนุ่มๆที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังของผม “การดูมันก็เป็นการเรียนรู้อย่างนึงนี่นา จริงมั๊ย”

“พี่วิน!” ผมร้องออกมา “พี่มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย ทำไมผมไม่เห็นพี่เลย”

“ก็นานพอควรแล้วล่ะ” พี่วินตอบพร้อมรอยยิ้มแสนเสน่ห์ของพี่เขาเหมือนเคย

ถ้าดูแค่ที่หน้าตาแล้วก็ต้องบอกเลยว่าพี่วินเป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่งเลยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าพี่เขาจะไม่ใช่คนตัวสูงมากนัก แต่ก็เป็นคนหน้าตาดีคนละแบบกับไอ้ซันหรือไคล์ เพราะพี่วินจะมีหน้าตาและบุคลิกลักษณะที่ดูออกเลยว่าเป็นคนมีฐานะ มีความภูมิฐาน และดูมีอำนาจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจนถึงวัยที่มาถึงเลขสามของพี่เขาแล้ว บวกกับการงาน และการเลี้ยงดูที่พี่เขาได้รับมาแต่เด็กก็เป็นได้ และมันก็ไม่ใช่ความหล่อแบบผู้ใหญ่มีอายุแบบที่คนส่วนใหญ่อาจจะเป็นด้วย เพราะว่าถ้าให้คนอื่นๆลองเดาอายุของพี่เขาล่ะก็ คนส่วนมากก็คงจะประเมินสูงไปอย่างต่ำก็ห้าปีเลยทีเดียว

“อ้าว พี่วินก็รู้จักกับพี่เมฆเหรอครับ” อาร์มถามขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปหาเขาด้วยความสงสัยทันที และจากนั้นผมก็หันกลับมาขมวดคิ้วใส่พี่วินแทน

“ครับ” พี่วินตอบพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง “เอาล่ะเมฆ วอร์มพร้อมแล้วใช่มั๊ย ขอดูฝีมือหน่อยซิ พี่เองก็จะได้ปัดสนิมตัวเองด้วย”

ผมพยักหน้าแบบงงๆแต่ก็ออกเดินตามพี่วินโดยทิ้งอาร์มเอาไว้ทางด้านหลังแต่โดยดี

“พี่วินรู้จักอาร์มด้วยเหรอครับ” ผมถามขณะที่เราเข้าคู่และเริ่มออกแรงยื้อกันไปมา “ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”

“ตั้งแต่วันแรกที่พี่มีโอกาสไง” พี่วินเหวี่ยงตัวจะทุ่มผม แต่ผมก็ฝืนกันเอาไว้ได้ แต่ในพริบตานั้นเองที่ผมโดนที่เขาขัดขาจากทางด้านในจนล้มลง “เอ้า มีสมาธิหน่อยสิ”

“จะให้มีสมาธิอยู่ได้ไงล่ะครับพี่” ผมลุกขึ้นยืน “อะไรเป็นอะไรนี่ผมงงไปหมดแล้วนะเนี่ย แถมที่สำคัญ....... นี่พี่กำลังทำอะไรอยู่ครับ พี่เรียกผมมาที่นี่นี่ทำไมกันแน่”

“อีกไม่นานเมฆก็จะรู้แล้ว........ และถ้าเป็นไปได้” พี่วินหมุนตัวเหวี่ยงอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมกันไว้ได้และพยายามจะทุ่มพี่เขากลับคืนด้วย ทว่าพี่วินก็ยังคงหลบผมโดยการดึงแขนออกได้ทันอยู่ดี “ซันก็น่าจะมาถึงไวๆนะ จะได้รู้พร้อมๆกันไปเลยทีเดียวทั้งสองคน”

เราสองคนผละห่างออกจากกันโดยที่แขนซ้ายของผมยังคงยึดจับปลายแขนเสื้อซ้ายของพี่เขาเอาไว้อยู่ “พี่หมายความว่าไงครับ”

พี่วินยิ้ม และแทนที่จะตอบออกมาเป็นคำพูด พี่เขากลับตอบผมกลับมาด้วยหน้าแข้งข้างขวาโดยการเตะสูงขึ้นมาเกือบถึงระดับเอวของผมแบบเต็มแรง แต่โชคดีที่ผมไหวตัวทันก็เลยสะบัดมือออกมากันเอาไว้ได้ แต่ว่าพี่วินก็ยังไม่ยอมหยุด เพราะในจังหวะเดียวกับที่พี่เขาลดขาลง เขาก็หมุนมือที่ยึดจับผมอยู่นั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมอีกหนึ่งก้าวเพื่อพยายามจะบิดล็อกแขนข้างขวาของผม พี่วินยกมือข้างขวาที่ปล่อยวางอยู่ข้างตัวในท่าพักเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างว่องไวเพื่ออ้อมมาจับทางด้านหลังต้นแขนของแขนซ้ายผมเอาไว้ แต่ว่าผมก็ยังหลบได้โดยการปล่อยมือออกจากปลายแขนเสื้อข้างขวาของพี่เขาแล้วสะบัดมือและรีบหมุนตัวหนีอย่างรวดเร็ว

“พี่วินทำอะไรเนี่ย!” ผมถามพร้อมกระโดดถอยไปทางด้านหลังหนึ่งก้าวเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง แต่ว่าพี่วินก็หมุนตัวหนึ่งครั้งแล้วเหวี่ยงขาขวาเตะสูงขึ้นมาอีกหนอย่างรวดเร็ว และคราวนี้เป้าหมายของเค้าก็อยู่ที่ลำคอของผมเลยด้วย ผมจึงต้องรีบยกแขนขึ้นมากันและเผลอตัวเตะสวนพี่เขากลับไปเช่นกัน

“ยังๆ ยังไม่หมด” พี่วินลดแขนที่กันลูกเตะของผมลง พร้อมกับเหวี่ยงขาซ้ายขึ้นมาจะเตะต่ำเข้าที่หน้าแข้งของผม ผมจึงต้องรีบป้องกันตัวโดยการพุ่งตัวเข้าไปหาเขา เพื่อเป็นการลดแรงกระแทกที่จะมาถึงตัวผมจากขาทั้งขาให้เหลือแค่เพียงต้นขาของพี่วินเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าพี่วินจะรู้อยู่แล้วว่าผมต้องทำแบบนี้ เพราะตอนนั้นเองที่ผมถูกพี่วินยึดจับแขนข้างซ้ายด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ทว่าแขนข้างหนึ่งของเขากลับสอดอยู่ใต้รั้กแร้ของผม ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงทั้งความตกใจและความกลัวที่แผ่ซ่านขึ้นมาจากกระดูกสันหลังทันที เพราะถ้าผมไม่รีบหาทางหลุดหนีก่อนจะถูกทุ่มไปให้ได้ล่ะก็ แขนซ้ายของผมจะต้องหักแน่ๆ และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่พี่วินออกแรงบิดแขนของผมอย่างรุนแรงพร้อมๆกับหมุนตัวในท่าทุ่มสะโพกด้วยความว่องไว

ผมรีบบิดเอวตามจังหวะหมุนตัวของพี่วินและกระโดดหมุนตัวไปตามทิศทางของแรงหวี่ยง โดยพยายามหักล้างแรงบิดล็อกแขนออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทำให้พี่วินทุ่มผมลงได้เพียงแค่ทางด้านข้างเท่านั้น แต่นั่นมันก็ทำให้กระดูกที่ข้อต่อแขนของผมร้องเปรี๊ยะเลยเหมือนกัน

ผมกัดฟันเพราะความเจ็บปวดและกวาดขาเตะเข้าที่ข้อเท้าของพี่วิน ทำให้พี่วินเสียหลักและล้มลงมานั่งอยู่บนพื้นใกล้ๆกับผมที่กำลังนอนตะแคงจับแขนของตัวเองอยู่

“โธ่เอ๊ย ล้มจนได้” พี่วินยิ้ม และปล่อยมือทั้งสองข้างที่ยึดจับผมเอาไว้ออกพร้อมกับยืนขึ้น “ใช้ได้เลยนี่ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย”

ผมรีบยืนขึ้นและตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการบุกและพร้อมจู่โจมต่อตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นพี่วินลดการ์ดและแขนทั้งสองข้างลงข้างลำตัวในลักษณะผ่อนคลาย ผมจึงค่อยๆลดมือลงด้วยเช่นกัน

“พี่ทำอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าแค่แหย่ผมเล่นน่ะ” ผมถามออกไปด้วยความโกรธเล็กน้อย เพราะเมื่อครู่นี้ถ้าผมแก้ท่าไม่ทันล่ะก็ ผมคงต้องเสียแขนไปข้างนึงจริงๆแน่ แต่แล้วพี่วินกลับไม่ยอมตอบอะไรผมกลับมาเลยนอกจากรอยยิ้มที่........เอ่อ จะเรียกว่ารอยยิ้มที่อ่อนโยนก็คงได้ล่ะมั๊ง “เล่นแรงนะครับพี่ นี่กะเอาถึงตายเลยนี่นา ทั้งชายโครงงี้ ก้านคองี้ แขนซ้ายงี้ นี่ถ้าผมหลบไม่ทันจะเป็นยังไงครับเนี่ย”

“พี่ไม่มีทางทำให้เมฆต้องเจ็บหนักขนาดนั้นหรอก และที่สำคัญคือพี่รู้ว่าเมฆต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้วแน่ๆไง” พี่วินหัวเราะเบาๆ “แต่แค่นี้ก็โอเคแล้ว เก่งขึ้นเยอะเลยนี่ มิน่าล่ะ อาร์มถึงได้ทึ่งนักทึ่งหนา อย่างนี้ก็แปลว่าเรื่องที่อาร์มเคยเล่าให้พี่ฟังว่าเมฆไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ที่ระยองนั่น ก็ดูท่าจะไม่ใช่แค่เรื่องเล่าสนุกๆเฉยๆจริงๆด้วยสินะ”

“วิน เมฆ ทั้งสองคนทำอะไรกันน่ะ!” ครูวิชญ์รีบเดินตรงเข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว “ทำไมทำกันแบบนั้น ที่นี่มันคลาสยูโดนะ ไม่ใช่เทควันโด! ให้ความเคารพสถานที่กันหน่อยสิ! แถมเมื่อกี๊ ถ้าเกิดบาดเจ็บไปจะเป็นยังไง!”

“ขอโทษด้วยครับ ครู” ผมเอ่ยขอโทษ และเหลือบไปเห็นอาร์มที่กำลังยืนมองอยู่ด้วยแววตาทึ่งๆด้านหลังครูวิชญ์พอดี

“ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่ครับ” พี่วินพูดขึ้นพร้อมกับเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ทำให้ครูวิชญ์ดูมีปฎิกิริยาเล็กน้อยขึ้นมาทันที “ผมก็แค่วอร์มร่างกายกับเมฆแค่นิดหน่อยเอง และยูโดก็เป็นหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ ท่าเท้าก็เป็นศิลปะการต่อสู้ ผมไม่คิดว่าถ้าผมไปทุ่มใครในห้องเรียนข้างๆแล้วเค้าจะว่าหรอกนะครับ ครู”

“แต่มันก็ยังไม่สมควรอยู่ดี ที่นี่เด็กๆก็มีกันหลายคน มันอาจจะเป็นอันตรายได้” ครูวิชญ์ยังคงแย้งอยู่ ถึงแม้จะดูมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมากแล้วก็ตาม

“คนบางคนอาจจะมองว่านี่เป็นกีฬา แต่ครูเองก็น่าจะรู้ดีกว่านั้นนะครับว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่ คนที่สามารถเอาตัวรอดได้ในการต่อสู้จริงๆต่างหากถึงจะถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือจริงๆ ไม่ใช่แค่เก่งแต่ในสังเวียนหรือบนเวที.........” พี่วินมองลงไปที่ขาของครูวิชญ์ “และที่สำคัญ สิ่งที่ผมกับเมฆทำไปเมื่อกี๊ก็เป็นเหมือนแค่โชว์อุทาหรณ์เล็กๆน้อยๆให้คนอื่นได้เห็นเท่านั้นเอง ว่าถ้าเกิดต้องต่อสู้จริงกันขึ้นมาอะไรๆมันก็สามารถเกิดขึ้นได้ และเราควรจะรับมือกับมันยังไง จริงมั๊ยล่ะครับ และอีกอย่าง ผมคิดว่า.......... ครูเองน่าจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีที่สุดนะครับ” พี่วินพูดอย่างเยือกเย็นและยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเช่นเคย

ใบหน้าของครูวิชญ์เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย ซึ่งก็ทำให้ผมต้องรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะนี่แปลว่าครูวิชญ์กับพี่วินเองก็คงรู้จักกันอยู่แล้วจริงๆ และที่สำคัญเมื่อดูจากปฏิกิริยาของครูวิชญ์แล้ว มันเหมือนกับว่าครูเองก็คงรู้จักพี่วินดีในระดับหนึ่งเลยด้วยเช่นกัน

“ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าใจไม่ถึงพอ มันก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้อยู่ดีนั่นล่ะ........” พี่วินพูดขึ้นลอยๆ ก่อนที่จะหันมาหาผม “ซันจะใกล้มาถึงรึยัง”

ผมแหงนหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนัง “น่าจะใกล้แล้วครับ เพราะมันบอกว่าจะมาถึงไม่เกินหกโมงครึ่ง นี่ก็ใกล้ได้เวลาพอดี........... อ้าวนั่นไง มานั่นแล้ว” ผมชี้ไปทางประตู และเมื่อไอ้ซันเห็นผม มันก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเราทันทีเลยด้วยเช่นกัน

“อ้าว อาร์ม อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ไอ้ซันทักอาร์มด้วยความแปลกใจ

“หวัดดีครับพี่ซัน” อาร์มยกมือไหว้ “งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปเปลี่ยนชุดแล้วโทรหาพี่แอมป์ก่อนนะครับ ไม่รู้ใกล้จะมารึยัง” เมื่อพูดจบ เขาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที ทำให้เหลือเพียงพวกเราสามคนเท่านั้น

“ซัน นี่พี่วิน พี่กู” ผมบอกซัน และไอ้ซันก็ยกมือไหว้พี่วินอย่างว่าง่าย

“อืม สวัสดีครับ พอดูใกล้ๆแล้วก็เห็นว่าหน้าตาดีจริงๆนั่นแหละ เอาล่ะ พี่ขอตัวไปทำธุระแป๊บนึงก่อนนะ เดี๋ยวพี่กลับมา” พี่วินยิ้มให้เราสองคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกไปอีกคน

“อ้าว และนี่พี่เค้าเรียกพวกเรามาทำไมวะ” ไอ้ซันถามขึ้น

“กูก็ไม่รู้ เมื่อกี๊กูได้แค่จับคู่ซ้อมกับพี่เค้าไปแค่ห้านาทีเองมั๊ง แล้วมึงก็โผล่มาเนี่ย ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันเลย”

“อืมมม แต่กูหิวว่ะ เมฆ แล้วนี่เราจะเอาไงต่อดี”

“เอาไงอะไรล่ะ กลับไปกินข้าวกับพ่อดิ่ แถมยังไม่ได้คุยกับพี่วินเลย รอพี่เค้ากลับมาก่อน”

“อืมมม จะว่าไป นี่มึงบอกมึงเล่นมาได้แค่ราวๆห้านาทีและหลังจากนั้นกูก็โผล่มา แต่ทำไมมึงเหงื่อโชกเลยวะ ดูดิ๊เนี่ย” ไอ้ซันจับคอเสื้อของผมตรงรอยเหงื่อ “แหม อยากให้ตอนนี้อยู่ที่บ้านจริงว้อยยยยย”

“ทะลึ่งๆ อย่ามาทำเป็นหื่นกลางที่สาธารณะ.......” ผมแบมือออกและก็เห็นว่าฝ่ามือของผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งสองข้างเลยทีเดียว “สงสัยเมื่อกี๊กดดันไปหน่อยว่ะ นานๆจะเจอของจริงสักที..........” ผมนึกถึงสีหน้ายิ้มๆของพี่วินและบรรยากาศตอนที่เขาเตะและพยายามจะหักแขนของผมอีกครั้ง ซึ่งมันก็ทำให้ผมต้องสั่นสะท้านออกมาน้อยๆเลยทีเดียว ถึงนั่นจะเป็นแค่การทดสอบหรือการแหย่เล่นเล็กๆน้อยๆของพี่เขา แต่ว่าความรู้สึกในตอนนั้นสำหรับผมแล้วมันเป็น “ความกลัว” อย่างที่ผมไม่ได้รู้สึกมานานแล้วจริงๆ

“พี่ซัน พี่เมฆ พี่แอมป์มาแล้วล่ะครับ” อาร์มเดินกลับเข้ามาบอกพวกเรา “งั้นเดี๋ยวผมก็คงกลับแล้วล่ะครับ”

“อ้าว แล้วพี่เค้าจะขึ้นมารึเปล่า พี่ไม่ได้เจอพี่แอมป์ตั้งนานแน่ะ” ผมถาม

“มาครับ นี่ก็กำลังขึ้นลิฟท์มากับพี่บอลกับพี่จ๊อบแล้ว”

“ว่าไงนะ!” ผมกับไอ้ซันหันไปถามอาร์มเสียงหลงด้วยความงงสุดขีดพร้อมๆกัน



niph

  • บุคคลทั่วไป
ไมมันเริ่มซับซ้อนขึ้นไปอีกฟะ เดาไม่ถูกแล้วนะ

ว่าแต่ จากวินาทีที่ 30
อ้างถึง
.............
“หวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่กูกำลังคิดอยู่นะ.............” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดู “ไม่โชว์เบอร์งั้นเหรอ..........” ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัย แต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มรับสายไป

“อยากได้คนไปช่วยทำความสะอาดบ้านซักคนมั๊ย” เสียงของพี่วินถามขึ้นทันทีที่ผมกดปุ่มรับสาย

“หา เอ่อ อ๋อ ไม่ต้องก็ได้ครับพี่วิน แค่นี้ผมกับพ่อก็พอดูแลกันไหว แถมไอ้ซันเองก็ยังช่วยด้วย นอกจากนั้นยังมีไคล์อีก ก็ช่วยๆกันน่ะครับ”

“แน่ใจนะว่าเมฆไม่อยากให้มีคนไว้ช่วยดูแลบ้านน่ะ” พี่จ๊อบถามอีก และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆมากขึ้น

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมไม่ค่อยอยากให้พ่อเค้าคิดมากหรือสงสัยเอาน่ะ”

“แบบนั้นก็ได้ แล้วแต่เมฆก็แล้วกัน แต่พี่คิดว่าบางทีเราอาจจะต้องเลื่อนวันนัดเจอกันให้เร็วขึ้นอีกหน่อยนะ”

“ก็ได้ครับ พี่โทรมาบอกผมก็แล้วกัน”

“แล้วเจอกันครับ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” พี่วินพูดก่อนวางสายไป
..........

พี่จ๊อบมาได้ไงอ่ะ ???

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แง้ว พิมผิด

5555

เบลอๆ

ขอบคุณค้าบบ

abcd

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
จะเดาไปทำไมล่ะพี่ทิพ

ตั้งหน้าตั้งตาอ่านตอนต่อไปจะดีกว่า เร้าใจดีออก

ตะละคนออกมาทั้งเก่งทั้งหล่อกันทั้งน้าน

มีแต่หนุ่มหล่อๆ  ต้นขอทิชชูซับน้ำลายหน่อย งือ น้ำลายหกอ่า

 :c1: นะน้อง :L1: :

artkung

  • บุคคลทั่วไป
เหอๆ ไอ้พี่จ๊อบไปรู้จักกับพวกพี่แอมป์ได้ไงอ่ะ งงเต๊ก

แบบนี้รูปของเมฆกับซันที่ถ่ายเปลือย จะตกไปอยู่ในมือของไอ้จ๊อบไหมเนี่ย

ชักเป็นห่วงแล้วสิ คงไม่ธรรมดาแน่นอน

แล้วยังความสัมพันธ์ของพี่วินกับครูวิชญ์นั่นอีก คลุมเครือ 555+

แล้วก็ตามลุ้นกันต่อ ครับ

 :c1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด