อ๊ายยยยย พิมไม่ทันน!!!
วินาทีที่ 29
หลังกลับเข้าออฟฟิศได้ไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ในตอนนั้นผมรู้สึกดีใจลึกๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเพราะคิดว่าจะเป็นไอ้ซันโทรมาลาผมก่อนกลับบ้านหรืออะไร แต่เมื่อหยิบมือถือออกมาดูถึงเห็นว่าจริงๆแล้วคนที่โทรเข้ามาก็คือไอ้เอ็นนั่นเอง
“เออ กูลืมไปเลยว่ะว่ากูส่งเมสเสจไปหามึงเมื่อคืนให้มึงโทรหากูวันนี้น่ะ” ผมพูดออกไปหลังจากกดปุ่มรับสาย
“อ้าว ไอ้นี่ แล้วตกลงมึงมีเรื่องอะไรวะ ถ้าให้กูเดาก็เรื่องไอ้ซันใช่มั๊ย”
“ก็ประมาณนั้นว่ะ ตกลงมึงคุยกับมันแล้วว่าไงกันบ้างล่ะ ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มมั๊ย แล้วมันเป็นอย่างที่กูคิดจริงๆรึเปล่า” ผมยิงคำถามใส่มันทันที
“ใช่ กูเองก็กำลังสงสัยอยู่ว่าไอ้ซันมันเคยถูกคนตามอยู่จริงๆ”
ผมเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆเป็นจังหวะสองสามที “แล้วไอ้ซันมันรู้ตัวรึเปล่า.........”
“อืมมม.......” ไอ้เอ็นเงียบลงแบบใช้ความคิด “ก็รู้นะ จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
“มึงหมายความว่ายังไงของมึงวะ”
“ก็คือ มันไม่ได้รู้ตัวเหมือนที่มึงรู้น่ะ แต่ว่ามันก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แล้วพอกูพูด มันก็เลยบอกว่ามันเองก็มีรู้สึกอยู่บ้างนิดหน่อยน่ะ”
ผมถอนหายใจเบาๆ ผมน่ะรู้สึกว่าเราสองคนโดนคนเดินตามมาสักครั้งหรือสองครั้งแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจมากขึ้นนั้นก็คือเรื่องเมื่อวานนี้นั่นเอง “แล้วตกลงไอ้ซันมันคุยอะไรกับมึงมั่งวะ เรื่องทั้งหมดมันมีแค่ที่กูรู้รึเปล่า”
“เอ่ออ....... ก็ประมาณนั้นแหละ ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก........”
“งั้นเหรอวะ........” ผมพยักหน้ากับตัวเองเบาๆ แต่ทันใดนั้นเองผมก็ฉุกคิดถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาได้ “ไม่ใช่และ ไอ้สัตว์ มึงโกหกกูนี่หว่า จริงๆมันมีมากกว่านั้นใช่มั๊ย ไอ้เอ็น”
“เฮ้ยๆ ไม่มีสักหน่อย” ไอ้เอ็นออกตัว
“พอเลย กูจับพิรุธมึงได้ไปแล้วว่ะ มึงไม่ต้องเครียดมากหรอกน่า กูไม่ได้จะเค้นเอาความจริงจากมึงหรอก ถ้าไอ้ซันไม่อยากให้กูรู้ กูก็ไม่อยากรู้ก็ได้ เพราะกูรู้อยู่อย่างนึงว่าถ้ามันเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เรื่องสำคัญมากๆ หรือเป็นอะไรที่กูควรจะรู้ล่ะก็ ไม่มึงก็มันก็คงจะบอกกูอยู่ดีนั่นแหละ โดยเฉพาะมึงน่ะต้องบอกกูแน่ๆอยู่แล้ว ใช่มั๊ยล่ะ” ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “แต่กูก็แค่อยากรู้ว่า ‘มันมีอะไรอีกรึเปล่า’ เท่านั้นเอง มึงก็แค่ตอบมาว่า ใช่หรือไม่ใช่ก็พอ กูสัญญาว่ากูไม่โกรธไม่ไปว่าอะไรไอ้ซันมันหรอก กูเข้าใจและรู้นิสัยมันดีพอน่า”
“เออๆ ก็ได้วะ ก็มีเรื่องอื่นอยู่บ้างอีกหน่อยน่ะ แต่กูก็รับปากมันไปแล้วว่ากูจะช่วยดูแลช่วยเหลือมันให้เอง เพราะมันไม่อยากบอกมึงให้มึงไม่สบายใจ และที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักด้วย” ไอ้เอ็นตอบ
“มันก็แค่อยากจะแก้ปัญหาให้ได้ด้วยตัวเองมากกว่า กูรู้หรอก แต่ก็เอาเถอะ มึงก็ดูแลมันหน่อยก็แล้วกัน เพราะถ้าเกิดไอ้คนที่แอบตามไอ้ซันอยู่มันยังคงตามอยู่ล่ะก็ กูว่าเราก็ต้องจัดการแล้วว่ะ ต้องหาตัวการให้ได้แล้วก็จับๆแม่งไปสักที นี่มันผิดกฎหมายชัดๆ”
“กูรู้ แต่ไอ้ซันมันก็ยังไม่อยากทำแบบนั้น เพราะมันอยากจับตัวคนนั้นให้ได้คาหนังคาเขาด้วยตัวเอง กับอยากให้มีหลักฐานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก่อนมากกว่าน่ะ”
“นั่นล่ะนิสัยมันล่ะ” ผมก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ “เออ ไอ้เอ็น ขอบใจมากนะเว้ย แต่เดี๋ยวกูต้องไปโทรไปธุระที่อื่นต่ออีกว่ะ เอาไว้เราค่อยคุยกันอีกทีก็แล้วกันนะ”
“เออๆ ได้ เออว่าแต่ ไอ้เมฆ....... เรื่องพี่จ๊อบน่ะ มึงระวังๆไว้หน่อยก็ดีนะเว้ย อย่าให้มันเป็นเรื่องแคลงใจกับไอ้ซันเอาได้ล่ะ กูดูๆแม่งขี้หึงแล้วก็ใจร้อนใช้ได้เลย”
“อือ กูรู้ ขอบใจมึงมาก มึงมีอะไรก็บอกกูมั่งด้วยก็แล้วกัน ฝากดูแลมันที แล้วเดี๋ยวถ้ามีอะไรกูจะโทรไปหามึงเองอีกทีก็แล้วกัน แค่นี้ก่อนนะไอ้เอ็น”
หลังจากกดปุ่มวางสายจากไอ้เอ็นไป ผมก็กดเบอร์ของพี่วินขึ้นมาทันที
“สวัสดีครับพี่วิน จำผมได้รึเปล่าครับ”
“หึหึ พี่จะลืมน้องชายพี่ไปได้ยังไงครับ แต่น่าแปลกนะเนี่ยที่เมฆโทรมาหาพี่น่ะ มีอะไรรึเปล่า” เสียงนุ่มๆของพี่วินดังขึ้นจากปลายสาย และใบหน้าหล่อๆพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นของพี่เขาก็ผุดขึ้นมาใจของผมทันที
“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมก็แค่โทรมาทักทายน่ะ ตั้งแต่กลับมาผมยังไม่ได้คุยกับพี่เลยนี่ครับ แล้วนี่พี่เป็นยังไงมั่ง สบายดีรึเปล่า”
“ดีครับ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม” พี่วินตอบประโยคเดิมแบบที่มักใช้ตอบเวลาถูกถามด้วยคำถามแบบนี้เหมือนทุกครั้ง“ว่าแต่ได้ของขวัญที่พี่ส่งไปให้มั๊ย เมื่อตอนกลับมากับเมื่อวันเกิดที่ผ่านมาน่ะ”
“ได้ครับพี่ วันนี้ผมก็ใส่นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นมา แต่กระเป๋าตังค์ผมยังไม่ได้ใช้อ่ะครับ รอของเก่ามันพังก่อนค่อยเปลี่ยน”
“ดีแล้วล่ะ เอ้า ว่าแต่ว่า พูดธุระของเรามาได้แล้วมั๊ง มีเรื่องอะไรจะบอกพี่ครับ”
“เอ่ออ ก็นิดหน่อยน่ะครับ คือว่า..............” ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่วินฟังคร่าวๆ พยายามเน้นเฉพาะเนื้อๆและพยายามไม่ให้พลาดรายละเอียดตรงส่วนไหนไป รวมทั้งยังไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องที่ผมกำลังสงสัยอยู่ให้พี่เขาฟังด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าพี่วินเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พี่วินเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมกับไอ้ซันเป็นแฟนกัน ดังนั้นการเล่าเรื่องทุกอย่างมันก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก
“อืมมม........ เดี๋ยวพี่จะดูให้ก็แล้วกันว่าควรจะทำอะไรบ้างน่ะ และก็วันเสาร์นี้พี่อยากเจอเมฆกับซันที่คลาสยูโดของเมฆด้วยนะ เอาเวลาเดิมอย่างที่เมฆไปประจำก็ได้”
“อ้าว แล้วพี่รู้ด้วยเหรอครับว่าผมไปที่ไหนแล้วก็กี่โมงน่ะ...........” ผมถามออกไป แต่พี่วินก็ไม่ได้ตอบกลับมา ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็ไม่น่าจะถามเลยเหมือนกัน เพราะถึงยังไงมันไม่ก็ไม่แปลกที่พี่วินจะรู้เรื่องจิ๊บจ๊อยแค่นี้อยู่แล้ว “เออ ไม่น่าถามเลยเนอะ ก็ได้ครับพี่ แต่ว่าพี่จะทำอะไรบ้างอ่ะครับ คือ อย่าทำอะไรหนักมากเกินไปหน่อยนะครับพี่ ผมไม่ค่อยอยากให้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนั้นน่ะ”
“พี่เข้าใจ ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้พี่จะไม่ทำอะไรโดยพลการ และพี่จะเป็นคนคอยดูแลและจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง แบบนั้นโอเคมั๊ยล่ะ เพราะอย่างน้อยๆพี่ก็เชื่อว่าเมฆดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณมากครับพี่” ผมบอกขอบคุณออกไป แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังแอบรู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการที่พี่วินออกปากว่าจะดูแลผมด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ดีแน่แล้วหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจขึ้นได้มากจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอชื่อ นามสกุล และที่ทำงานของซันมาให้พี่หน่อย เดี๋ยวส่งเป็นเมสเสจมาให้พี่ก็ได้เพราะตอนนี้พี่ไม่มีกระดาษกับปากกาอยู่กับตัวเลย ส่วนรถนี่เค้ายังใช้รถคันเดิมของพ่อเอกอยู่ใช่มั๊ย”
“ใช่ครับ”
“โอเค ไม่ต้องห่วง และเรื่องไอ้จ๊อบอะไรนั่น พี่เองก็พอจะรู้จักมันอยู่บ้าง เพราะงั้นเมฆวางใจได้เลย” พี่วินหัวเราะออกมาเบาๆ และผมก็ไม่ค่อยจะรู้สึกสบายใจสักเท่าไหร่เลยด้วยทั้งๆที่ถึงแม้ผมจะวางใจในตัวพี่เขามากถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มอยู่แล้วก็ตาม
เย็นนั้นหลังเลิกงาน พ่อของผมต้องออกไปธุระเรื่องงานต่ออีกนิดหน่อยและจะไม่กลับไปทานข้าวที่บ้าน ผมจึงต้องขับรถกลับเพียงคนเดียว และเนื่องจากเมื่อคืนนี้หลังจากตื่นขึ้นมารอบนึงแล้วผมก็แทบจะไม่ได้นอนต่ออีกเลย บวกกับเป็นห่วงไอ้ซันที่กำลังรออยู่ที่บ้านด้วย ผมจึงตัดสินใจที่จะตรงกลับบ้านเลยทันที แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็มีเหตุให้ผมทำอย่างนั้นไม่ได้จนได้ เมื่อผมได้รับโทรศัพท์จากคนๆหนึ่งที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะโทรหาผมในวันและเวลาแบบนี้........... และคนๆนั้นก็คือนัทนั่นเอง
“มีอะไรเหรอ นัท” ผมกดปุ่มรับโทรศัพท์ขณะที่กำลังเลี้ยวรถออกจากตึกพอดี
“เมฆ...... เมฆมาหานัทหน่อยได้มั๊ย........” เสียงของนัททั้งสั่นและสะอื้น และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาโดยทันที
“นัทเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น นี่กำลังร้องไห้อยู่เหรอ”
“เมฆมาหานัทหน่อยนะ........ นัทไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”
“พี่จ๊อบเหรอนัท นี่ใช่เรื่องพี่จ๊อบรึเปล่า” ผมถามอย่างร้อนรน แต่นัทก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเลย “ก็ได้ เมฆจะไปหานัท ตอนนี้นัทอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่เดิมที่เราเคยไปกินไอติมด้วยกันก่อนเมฆจะไป จำได้มั๊ย แต่ว่าตอนนี้นัทอยู่ในห้องน้ำ”
ผมพยายามฟังเสียงรอบข้างจากอีกฝั่ง มันค่อนข้างเงียบ แต่ก็ยังพอได้ยินเสียงผู้คนรอบข้างพูดคุยกันแบบเบาๆได้อยู่เหมือนกัน “ก็ได้ รอหน่อยก็แล้วกันนะ แล้วเมฆจะไปถึงที่นั่นในอีกสามสิบนาที”
ผมวางโทรศัพท์และกดเบอร์เข้าหาไอ้ซันทันที แต่ทว่าไม่ว่าผมจะรอจนมันตัดไปและพยายามโทรเข้าหามันใหม่อีกสักกี่หน มันก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมสักที จนกระทั่งมาถึงความพยายามครั้งที่แปด ผมจึงเลิกล้มความตั้งใจและเปลี่ยนเป็นโทรเข้าเบอร์บ้านของตัวเองแทน และเมื่อสิ้นเสียงรอสายครั้งที่สี่ ไอ้ซันก็ยกหูโทรศัพท์ขึ้นจนได้
“สวัสดีครับ”
“ทำไมมึงไม่รับโทรศัพท์กูวะ” ผมถามออกไปทันที
“อ้าวเมฆ มึงโทรมาเหรอ ขอโทษที เมื่อกี๊กูอยู่ในครัวน่ะ แล้วมือถือกูก็เสือกวางเอาไว้บนห้อง”
“กูก็นึกว่ามึงเป็นห่าอะไรไปแล้วซะอีก วันนี้ทั้งวันไม่เห็นโทรมาหากูเลย”
“ก็กูรู้ว่ามึงทำงาน แล้วกูก็อยู่บ้านเฉยๆก็เลยไม่อยากจะโทรไปกวนมึงเปล่าๆน่ะ แต่นี่ก็กะจะโทรหามึงอยู่พอดีนะ เพราะว่ากูกำลังทำกับข้าวให้มึงกินอยู่เลย” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “กะจะเซอร์ไพรส์สักหน่อยนะเนี่ย แต่เห็นที่รักอารมณ์บูดแบบนี้แล้วเลยสงสัยว่ารีบๆบอกความจริงออกไปซะท่าจะดีกว่าว่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วผมก็อดอมยิ้มเล็กน้อยให้กับตัวเองไม่ได้ แต่ทว่ารอยยิ้มรอยนั้นก็กลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ซัน คือวันนี้กูคงกลับเย็นหน่อยนะ แล้วก็พ่อกูเค้าก็ไม่ได้กลับไปกินข้าวด้วยว่ะ”
“อือ ไอ้เรื่องพ่อมึงน่ะกูรู้แล้วล่ะ เมื่อกี๊เค้าโทรมาบอกกูแล้ว ว่าแต่ทำไมมึงถึงจะกลับเย็นวะ”
“มีธุระนิดหน่อยว่ะ แต่เอาไว้กลับไปถึงแล้วกูค่อยเล่าให้มึงฟังอีกทีก็แล้วกัน โอเคมั๊ย” ผมตอบออกไป และตัดสินใจที่จะเลี่ยงชื่อของนัทกับพี่จ๊อบออกไปก่อนดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นไอ้ซันจะต้องอารมณ์ขึ้นอีกแน่
“ก็ได้ แล้วแต่มึงก็แล้วกัน แต่ว่ากูรอกินข้าวเย็นนะ”
“อื้อ เก็บไว้เผื่อกูด้วยก็แล้วกันนะครับ ท้องฟ้า” ผมแกล้งทำเสียงเย้าเล่นเล็กน้อยเพื่อให้มันอารมณ์ดี แต่สุดท้ายมันก็วางสายไปโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเลย
ผมถอนหายใจเบาๆก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือลงข้างๆเกียร์ “เอาไว้กูค่อยกลับไปเล่าให้มึงฟังก็แล้วนะซัน เพราะตอนนี้กูก็ยังไม่รู้เลยว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกันแน่........”
เมื่อผมขับรถมาจนถึงลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่ผมนัดกับนัทเอาไว้ ผมก็โทรกลับเข้าหาเขาอีกครั้งทันที
“นัทอยู่ที่ไหน เมฆมาถึงแล้วนะ”
“นั่งอยู่ในฟู้ดเซ็นเตอร์น่ะ เมฆเดินมาหานัทหน่อยนะ นัทนั่งอยู่ตรงมุมๆน่ะ หาไม่ยากหรอก” เสียงของนัทฟังดูดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว และมันก็ค่อยทำให้ผมโล่งอกขึ้นอีกนิดนึงด้วย
ผมรีบเดินไปหานัทตรงที่ๆนัทบอกด้วยความรวดเร็ว ถึงในใจจะยังคงมีความกังวลหลงเหลืออยู่บ้าง แต่หัวใจส่วนที่คิดว่านัทเค้าคิดถึงผมเป็นคนแรกเวลามีปัญหามันก็ยังคงมีมากกว่า ทั้งน้ำเสียง และความรู้สึกที่ผมรู้สึกได้ผ่านทางโทรศัพท์นั้นมันดูเป็นของจริงเหลือเกิน และนั่นก็ทำให้ผมไม่สามารถทิ้งเค้าไปได้เลยจริงๆ
เมื่อผมเดินเข้าไปในฟู้ดเซ็นเตอร์และเดินสอดส่ายสายตาหานัทอยู่ไม่นาน ผมก็เห็นนัทกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งตรงเกือบจะมุมห้องในส่วนที่คนน้อยที่สุดอยู่เพียงลำพัง และดูท่าทางเค้าก็จะยังไม่เห็นผมที่เพิ่งมาถึงด้วย ผมจึงเดินตรงเข้าไปหานัททันที
“เกิดอะไรขึ้น นัท” ผมเลื่อนเก้าอี้ออกและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนัท
“เมฆ........ นัทจะทำยังไงดี” สีหน้าของนัทตอนนี้แย่มาก ถึงจะพยายามกลบเกลื่อนด้วยเครื่องสำอางมากขนาดไหน แต่มันก็ยังดูออกอยู่ดีว่าเขาเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาเมื่อไม่นานมานี้ “นัทไม่รู้จะทำยังไงดีจริงๆ เมฆ นัทรู้ว่านัทไม่ควรจะโทรหาเมฆอีก แต่ว่านัทก็ไม่มีใครแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ นัทขอโทษ.......” นัทเริ่มต้นร้องไห้เบาๆออกมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรนัท เมฆอยู่ตรงนี้แล้วนะครับ ค่อยๆเล่าให้ฟังทีซิว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น นัททะเลาะกับพี่จ๊อบอย่างนั้นเหรอ” ผมเอื้อมมือไปกุมมือของนัทเอาไว้เบาๆ แต่นัทกลับชักมือของตัวเองออก
“เมฆต้องเกลียดนัทแน่ๆ นัทรู้” นัทยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองเอาไว้แล้วส่ายหัวเบาๆ “นัทจะทำยังไงดี.........”
“บอกเมฆมาก่อนสิ ถ้าเมฆช่วยได้เมฆก็จะช่วย เมฆสัญญา เมฆไม่ได้เกลียดนัทหรอกนะ และจะไม่มีวันเป็นอย่างนั้นด้วย”
นัทลดมือลงจากใบหน้าของตัวเองและเงียบไปอีกพักใหญ่ๆ ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ผมควรจะพูดอะไรออกไปทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงได้แต่รอจนกว่าเขาจะพร้อมด้วยตัวของเขาเอง
“เมฆโกรธและเกลียดนัทมั๊ยที่นัททำเรื่องนั้นลงไป”
ผมส่ายหน้า “เมฆแค่เสียใจนิดหน่อยนะ แต่เมฆก็คิดว่ามันเป็นเพราะนัทรักเมฆมากต่างหากถึงได้ทำอะไรแบบนั้นลงไป และเมฆก็คิดว่าถึงยังไงมันก็ยังดีกว่านัทเกลียดเมฆและเลิกคุยเลิกคบเมฆไปเลยมากกว่าอยู่ดี”
นัทก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ และเมื่อเขาตั้งสติได้แล้ว นัทก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเอื้อมมือไปควานหาของบางอย่างในกระเป๋าถือของตัวเอง ผมเองก็นั่งมองนิ่งๆไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งนัทหยิบซองสีน้ำตาลซองเล็กๆซองหนึ่งออกมาและมีท่าทางระแวงคนรอบข้างจะเห็นสิ่งๆนี้เหลือเกิน ผมจึงเริ่มขยับตัวด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“นัทเชื่อใจเมฆนะ....... นัทไม่เหลือใครแล้วจริงๆ ถ้ามีแค่สักคน ใครสักคนเดียวที่รู้เรื่องนี้........ นัทเลือกที่จะขอตายดีกว่า” น้ำตาของนัมเริ่มไหลออกมาอีกครั้ง
“เมฆไม่บอกใครหรอก เมฆสัญญา”
“มันไม่ใช่แค่เมฆน่ะสิ.......” นัทส่ายหน้า แล้วพูดต่อด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “เอาสิ เมฆหยิบมันออกมาดู แล้วเมฆจะข้าใจ” นัทเลื่อนซองสีน้ำตาลนั้นมาไว้ตรงหน้าของผม
ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบซองนั้นขึ้นมาถือเอาไว้อย่างระวังเพื่อไม่ให้ใครที่อยู่ใกล้ๆเห็น ผมเปิดซองออกและหยิบของข้างในออกมาดู ภายในซองเหล่านั้นเป็นรูปถ่ายทั้งหมดห้าใบ และถึงแม้ผมจะเพิ่งเห็นแค่รูปใบแรกเพียงใบเดียว แต่ผมก็รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังหน้าซีดลงไปมากแค่ไหน หัวใจของผมมันแทบหยุดเต้น และไม่กล้าแม้แต่จะพลิกดูรูปใบอื่นๆต่อไปว่ามันคือรูปอะไร เพราะว่ารูปที่ผมกำลังมองดูอยู่นั้นมันเป็นรูปของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนอนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นทุกส่วนสัดของร่างกายของตนเองอยู่บนเตียง และถึงศีรษะของเธอคนนี้จะหันตะแคงข้าง แต่ว่ามันก็ดูออกได้อย่างชัดเจนเลยว่าผู้หญิงในรูปถ่ายใบนี้ก็คือคนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงหน้าของผมนี่เอง................