***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon  (อ่าน 112882 ครั้ง)

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
สองคนนี้อุปสรรคเยอะเหลือเกิน
ขอให้ตอนผ่านอุปสรรคทั้งหมดมาแล้วมีแต่ความสุข
มีแต่ตอนหวานๆนะค้า ><

ออฟไลน์ lovely2min

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
โอย ทะเลาะกันแบบนี้ไม่ดีเลย
เคลียร์กันเร็วๆนะ
TT

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
น่าสงสารทั้งสองคน ทั้งๆที่รักกันแท้ ๆ

อยากอ่านต่อแล้วอ่า   :z3:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 22 – ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง



   “ถ้าไม่กลัวแพ้ก็มาเลย ที่บ้านฉัน...สิบโมงเช้า” ภีมพูดกับคนปลายสายด้วยท่าทางที่เหนือกว่า ในเมื่อรุ่นน้องคนนี้คิดอยากจะดวลไวโอลิน เขาก็ไม่ขัดศรัทธา

   “ผมพาเพื่อนไปด้วยได้มั้ยครับ”

   ภีมหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบตกลงออกไป “พามากี่คนก็เชิญ ถ้าไม่กลัวขายหน้าล่ะก็”

   “ขอบคุณครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ติณณ์วางสายโทรศัพท์ลงพร้อมกับเผยรอยยิ้มมุมปาก เขาอยากเปรียบเทียบฝีมือตัวเองกับฝีมือของภีมมานานแล้ว และตอนนี้...มีโอกาส เขาจะไม่ปล่อยให้มันผ่านไปอย่างแน่นอน



สิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ติณณ์มาที่คฤหาสน์ของภีมพร้อมไวโอลินสีขาวคู่ใจ ภีมนั่งรออยู่แล้วที่ห้องรับแขก

   “ตรงเวลาดีมาก” ภีมพูดเสียงใสก่อนจะเดินนำขึ้นไปยังชั้นสามของตัวคฤหาสน์ ติณณ์เดินตามไปอย่างช้าๆ รู้สึกว่าคฤหาสน์หลังนี้โอ่อ่าและหรูหราเหลือเกิน

   “บ้านพี่ไฮโซมากกกกกกก” ติณณ์ลากเสียงยาว สายตาซอกแซกที่มุมนี้ที มุมโน้นที

   “ก็ไม่อยากให้ใครขึ้นมาที่นี่เท่าไรนัก แต่ช่างมันเถอะ ชั้นนี้เงียบๆดี ไม่มีใครมายุ่งได้” ภีมพูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามายังห้องดนตรี ติณณ์เดินตามไป รู้สึกเจียมตัวมากขึ้น

   ทันทีที่เห็นเครื่องดนตรีมากมายวางเรียงกันรอบๆห้อง เขาก็อ้าปากกว้างด้วยความทึ่งไปแล้ว นอกจากจะรวยแล้วยังเล่นดนตรีได้หลายอย่างอีก... ติณณ์ยิ่งทึ่งในตัวภีมเข้าไปใหญ่

   “เริ่มเลยดีมั้ย” ภีมพูดพลางหยิบไอโอลินสีดำของตัวเองออกมาจากตู้กระจกแล้ววางบนไหล่ด้วยท่วงท่าสง่างาม

   ติณณ์ยิ้มเกรงๆแต่ก็ยังทำใจสู้ เขาค่อยๆเปิดกล่องไวโอลินของตนแล้วหยิบมันขึ้นมาวางไว้บนบ่าด้วยท่วงท่าสง่างามไม่แพ้กัน

   “นายเริ่มก่อน” ภีมพูดขึ้นพลางหลับตาลง ติณณ์นิ่งอึ้งไปกับท่าทางของภีม

   ติณณ์เริ่มบรรเลงเพลงขึ้นก่อน จังหวะเพลงที่รวดเร็วทำให้ยากที่จะรู้ว่าตัวโน๊ตที่ใช้นั้นมีอะไรบ้าง แต่สำหรับภีมแล้ว...มันง่ายเสียยิ่งกว่าการท่องสูตรคูณเสียอีก

   ทันทีที่ติณณ์หยุดมือ ภีมก็เริ่มบรรเลงท่อนเพลงที่ติณณ์เล่นไปแล้วต่อด้วยท่อนใหม่ที่ยากขึ้นไปกว่านั้น นิ้วเรียวยาวกดสายถี่ยิบ แทบเดาไม่ได้ว่าตัวโน๊ตที่เล่นไปคืออะไร

   ติณณ์นิ่งอึ้งไปแล้ว...รวดเร็วและพลิ้วไหวที่สุด

   ไม่นานนัก ภีมก็ปล่อยมือแล้วส่งต่อให้ติณณ์ ติณณ์จำได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะทำนองมีขึ้นๆลงๆ บางทีก็ลากยาวและบางทีก็สั้นจนน่าแปลกใจ ครั้นจะยอมรับว่าเล่นไม่ได้ก็กระไรอยู่ เพราะตำแหน่งแชมป์ไวโอลินมันค้ำคอไว้

   ภีมยิ้มอย่างรู้ทัน เขารู้อยู่แล้วว่าติณณ์เล่นท่อนเพลงนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะกว่าเขาจะฝึกท่อนนี้ได้ก็กินเวลานานอยู่เหมือนกัน

   “จำไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ” ภีมพูดยิ้มๆ

   ติณณ์หน้าแข็งขึ้นมาทันที “ลองดูซักตั้ง” ว่าแล้วก็บรรเลงท่อนเพลงที่ภีมเล่นไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ไปได้เพียงนิดเดียวก็ต้องหยุดมือไว้แค่นั้น แล้วยอมรับออกมาอย่างอายๆว่าเล่นไม่ได้

   “ไม่แปลกหรอกที่เล่นไม่ได้ เพราะมันยากจะตายไป กว่าฉันจะเล่นท่อนเพลงนี้ได้ก็ฝึกอยู่หลายวัน” ภีมเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง “แต่หลายวันที่ว่าก็ทั้งวันทั้งคืนล่ะนะ”

   ติณณ์พยักหน้ารับอย่างอึ้งๆ รุ่นพี่ของเขาคนนี้เก่งกว่าที่เขาคิด เพราะนอกจากฝีมือการเล่นเปียโนที่หาตัวจับได้ยากแล้ว ไวโอลินก็ยังเล่นได้ไพเราะและพลิ้วไหวในเวลาเดียวกัน แล้วความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในหัว...ติณณ์อยากรู้ว่าภีมจะเล่นเครื่องดนตรีอื่นได้ดีขนาดไหน

   “ผมอยากฟังพี่ภีมเล่นอย่างอื่นน่ะครับ” ติณณ์พูด ประโยคคำพูดนั้นคล้ายเป็นคำสั่งนิดๆ ภีมมองหน้ารุ่นน้องอย่างชั่งใจ

   หมอนี่เป็นใคร...ถึงกล้ามาสั่งให้ฉันเล่นโน่น เล่นนี่... “นั่นเป็นประโยคคำสั่งหรือเปล่า” ภีมปรับเสียงให้เข้มขึ้น ไม่ชอบใจเล็กน้อยที่ติณณ์พูดอย่างนั้น

   ส่วนติณณ์ก็รีบปฏิเสธพัลวัน “เปล่าครับ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่อยากเห็นพี่ภีมเล่นดนตรีชิ้นอื่นน่ะครับ”

   ภีมถอนหายใจครั้งหนึ่ง “ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องเล่นให้นายฟัง”

   ติณณ์หน้าเสียไป วินาทีนั้นเองเขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏอยู่ที่ประตูห้อง ติณณ์ยิ้มมุมปาก... ก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังจุดที่ภีมยืนอยู่ ถึงเวลาสืบสาวราวเรื่องหาความจริงแล้ว...

   “พี่ภีมครับ” ติณณ์เรียกภีมเสียงดัง ภีมหันมามองอย่างขุ่นเคือง ไม่ชอบนักกับท่าทีที่ติณณ์กำลังทำอยู่

   “มีอะไร” ภีมขานรับหน้างอ

   “พี่กับพี่ฟินเป็นอะไรกัน” ติณณ์พูดออกไป แม้ในใจจะรู้สึกกลัวแค่ไหนแต่นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด

   ภีมมองติณณ์ด้วยใบหน้าถมึงทึง “ถามทำไม”

   “พี่ตอบมาเถอะครับ” ติณณ์ยังทำใจดีสู้เสือ แต่ภีมนั้นโมโหไปเรียบร้อยแล้ว

   “จะมายุ่งเรื่องของฉันทำไมวะ” ภีมกระชากคอเสื้อของติณณ์ขึ้นสูง ลมหายใจเข้าออกถี่รัวขึ้น ติณณ์ชักหวั่นๆใจอยู่เหมือนกัน “ถ้าไม่อยากตายเลิกพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็หยุดพูดถึงหมอนั่นด้วย”

   ติณณ์ยิ้มน้อยๆ “หรือเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน”

   พลั่ก... ภีมปล่อยหมัดใส่ติณณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

   “ฉันกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น แค่หน้ามัน...ฉันยังไม่อยากมองเลย แล้วอย่าพูดชื่อมันด้วย...ไม่อยากได้ยินเว้ย” ภีมเอะอะโวยวายเสียงดัง แม่บ้านที่อยู่ข้างล่างต่างก็งุนงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบน

   พลันมีคนเดินลงมาจากบันไดพอดี แม่บ้านวัยกลางคนนางหนึ่งจึงเดินเข้ามาสอบถาม ปรากฏว่าคนๆนั้นคือ ฟิน...อดีตครูสอนพิเศษของคุณชายแห่งพิริยะ

   ฟินก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนใบหน้าซึมเศร้าของตัวเอง “มีอะไรเหรอครับ”

   “เกิดอะไรขึ้นคะคุณฟิน แต่เอ๊ะ...ป้าว่าคุณเพิ่งมานะคะ แล้วทำไมรีบกลับล่ะ” แม่บ้านสาวใหญ่พูดด้วยท่าทางสงสัย

   “ภีมโวยวายไปตามเรื่องน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวสักพักก็คงจะดีขึ้นเองล่ะ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไปจากบ้านทันที
   นี่หรือ...คือสิ่งที่ติณณ์อยากจะให้เขาได้ยิน

ย้อนกลับไปเมื่อวานนี้ ฟินรับโทรศัพท์ของติณณ์ด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่ารุ่นน้องคนนี้ไปเอาเบอร์ของเขามาจากไหน แม้ไม่อยากคุยแต่ก็ต้องจำใจคุย

“พี่ฟินเหรอครับ สิบโมงครึ่งที่บ้านพี่ภีม” ติณณ์พูด

“หมายความว่ายังไง” ฟินยังคงไม่เข้าใจ

“คนฉลาดอย่างพี่น่าจะเข้าใจนะ มาเถอะ...แล้วพี่อาจจะได้ยินอะไรดีดี” ติณณ์พูดแค่นั้นแล้วก็วางสายไป

นี่หรือ...อะไรดีดีที่เด็กคนนี้พูดถึง ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับเราสักนิด มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้...ทำไมมันมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเต็มไปหมด เรื่องนั้นยังไม่ทันจบเรื่องนี้ก็มาอีกแล้ว...

ฟินเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ เดินไปเรื่อยๆ เนิ่นนานกว่าจะถึงป้ายรถเมล์ ฟินไม่มีเรี่ยวแรงจะคิดและทำอะไรอีกแล้ว เรื่องมันยุ่งเกินกว่าความสามารถของ(อดีต)ประธานนักเรียนอย่างเขาจะแก้ไขได้หมด

หรือควรจะปล่อยให้มันเลยตามเลยอย่างนี้...หยุดมันไว้ตรงนี้

ฟินนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น ในหัวเริ่มอื้ออึง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

หรือว่าเขาต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ...ให้มันจบแบบนี้



   หลังจากที่ฟินออกจากคฤหาสน์ได้พักหนึ่ง ภีมกับติณณ์ก็เดินลงมา บรรดาคุณแม่บ้านช่างสงสัยทั้งหลายรอต้อนรับอยู่เชิงบันไดอย่างท่วมท้น

   ภีมส่ายหน้าอย่างระอา...ทำไมมีแต่คนชอบมาสะเออะเรื่องของฉันกันวะ

   “เอะอะโวยวายอะไรกันคะคุณชาย” แม่บ้านคนเดียวกับที่ถามฟินเป็นคนพูดขึ้นก่อนคนแรก

   “ไม่มีอะไร หมอนี่มันปากมากก็เลยสั่งสอนไปน่ะ” ภีมพูดพลางชี้ไปยังคนที่เดินตามหลัง “พาไปทำแผลหน่อย”

   คุณแม่บ้านยกมือขึ้นทาบอกพลางถอนหายใจออกมา “นึกว่าคุณชายทำอะไรคุณฟินเสียอีก เห็นเดินลงมาหน้าเศร้าเลย”

   ภีมชะงักไปในทันที ฟิน... “เกี่ยวอะไรกับฟิน” ภีมถามด้วยความประหลาดใจ

   “ก็คุณฟินมาที่นี่แล้วก็ขึ้นไปที่ห้องดนตรี แต่ขึ้นไปได้แป๊บเดียวก็ลงมาเสียแล้ว แล้วป้าก็ได้ยินเสียงโวยวายของคุณชายพอดี...ก็เลยถามคุณฟินว่า...” ยังไม่ทันที่คุณแม่บ้านจะพูดจบ ภีมก็ยกมือห้ามเสียก่อน

   “พอๆไม่ต้องสาธยาย” ภีมพูดแค่นั้นพลางหันหลังไปหาติณณ์ “แกคิดจะทำอะไรวะ ไอ้ตัวดี” ภีมรู้ทันทีว่าฝีมือใคร ฟินไม่มาที่นี่เองโดยที่ไม่บอกเขาเด็ดขาด “เพื่อนที่แกบอกจะพามาคือหมอนั่นใช่มั้ย” ภีมกำมือทำท่าจะชกติณณ์อีกครั้ง

   “ผม...เอ่อ...” ติณณ์พูดไม่ออก

   “ไสหัวออกไปจากบ้านฉันเลย แล้วต่อจากนี้แกไม่ใช่คนของชมรมดนตรีอีกต่อไป ฉันไม่อยากมีรุ่นน้องนิสัยแบบแก” ภีมตวาดเสียงดัง คุณแม่บ้านที่ยืนอยู่ค่อยๆถอยกันออกไปทีละก้าวๆจนกลายเป็นวงกว้าง ภีมกับติณณ์เลยกลายเป็นจุดเด่น

   “ผมขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้” ติณณ์พูดออกมา เขาก็สับสนตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องอยากรู้...ว่าฟินและภีมเป็นอะไรกัน ทำไมต้องอยากให้ภีมสนใจเขา และทำไมเขาถึงชอบพาตัวเองมาอยู่ใกล้ภีม “ผมก็ไม่รู้”

   “หุบปากไปเลย ขี้เกียจฟังเว้ย...ออกไป” ภีมตะโกนสุดเสียง จนใบหน้าขาวๆเริ่มมีสีเลือด ภีมไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องของตัวเองอยู่แล้วและยิ่งเป็นเรื่องนี้ เรื่องระหว่างเขาและฟิน ยิ่งไม่อยากให้ใครมายุ่งยิ่งขึ้นไปอีก

   “ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่กับพี่ฟินเป็นอะไรกัน” ติณณ์พูดออกมาเบาๆพอที่จะให้ภีมได้ยินเพียงคนเดียว

   ภีมยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “แล้วมันเรื่องอะไรของแกวะ”

   “มันก็ไม่ใช่เรื่องของผมจริงๆนั่นล่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ติณณ์ดูมึนงงไม่ใช่น้อย เหตุผลแรก ไม่คิดว่าภีมจะอารมณ์ร้ายขนาดนี้ เหตุผลที่สอง ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของฟินและภีมเกินคำว่าเพื่อน ติณณ์ตัดสินจากอะไรน่ะเหรอ...ก็ตัดสินปฏิกิริยาที่ภีมพูดถึงฟินน่ะสิ

   “ไม่คิดว่าแกจะเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถ้าฟินมันบอกฉันก่อนรับแกเข้าชมรมว่ารุ่นน้องนิสัยแบบนี้ ฉันไม่รับเข้าแน่นอน” ภีมลืมตัวพูดถึงฟิน

   “ผมไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมก็แค่อยากรู้” ติณณ์พยายามแก้ตัว รู้สึกสำนึกผิดเต็มที่ “ผมขอโทษ”

   ภีมถอนหายใจยาวๆครั้งหนึ่ง พยายามกล้ำกลืนฝืนใจทนที่จะให้โอกาสรุ่นน้องคนนี้ได้กลับตัว “เออ...ปรับปรุงตัวเองซะใหม่ละกัน แล้วก็เลิกยุ่งเรื่องของฉันด้วย ไม่ชอบเว้ย”

   ติณณ์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ความรู้สึกกดดันทั้งหมดหายไปทันตาเห็น มันอาจจะเป็นความรู้สึกสับสนชั่วครู่ เราอาจไม่ได้คิดกับพี่ภีมอย่างนั้นก็ได้ ติณณ์บอกตัวเองอย่างนั้น พลันความคิดก็นึกถึงใครอีกคนหนึ่ง คนที่มีแววตาเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน

   ฟิน...

   ติณณ์ยอมรับว่าทำตัวแย่ๆกับฟินไว้เยอะ ทั้งทางวาจาและท่าทาง แม้วันนี้จะไม่รู้ว่าคนทั้งคู่เป็นอะไรกัน แต่เขาก็พอจะรู้จากอาการของคนทั้งสอง...

   “ขอบคุณมากครับพี่” ติณณ์พูดพลางเดินตามแม่บ้านไปทำแผล แต่ยังไม่วายพูดทิ้งท้ายให้ภีมโมโหอีก “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าพี่สองคนโกรธกันเรื่องอะไร แต่ในเมื่อกับผมพี่ยังให้อภัยได้ แล้วทำไมจะให้อภัยพี่ฟินไม่ได้ล่ะ พี่น่าจะได้เห็นหน้าของพี่ฟินนะ...แล้วพี่จะรู้ว่ามันแย่แค่ไหน”

   “ปัดโธ่เว้ย...ไอ้นี่” ภีมทำท่าจะไล่เตะติณณ์ แต่เจ้าตัวยุ่งดันไวกว่า วิ่งหนีไปในห้องรับแขกเพื่อทำแผลเรียบร้อยแล้ว

   ภีมผ่อนลมหายใจเบาๆ ถ้าเป็นคนอื่นพูดคำนั้นมันคงทำใจยอมรับและให้อภัยได้ แต่นี่คนพูดคือฟิน...ฟินคนที่ภีมคิดว่าเข้าใจเขามากที่สุดแล้ว ฟินคนที่ไม่น่าจะพูดคำนั้นออกมา

   “ปวดหัวโว้ย” ภีมตะโกนเสียงดัง “เอายามากินสักสิบเม็ดซิ...จะได้ตายๆไปเลย เบื่อฉิบหาย เรื่องอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย เวรกรรมอะไรของฉันวะเนี่ย”

   เมื่อคุณชายของบ้านตะโกนเสียงดังอย่างนั้น บรรดาคุณแม่บ้านก็รีบหายามาประเคนให้แทบไม่ทัน

   “สิบเม็ดเลยเหรอคะ คุณชาย” แม่บ้านสาวรุ่นนางหนึ่งเทยาใส่ถ้วยสิบเม็ดไม่ขาดไม่เกินแล้วส่งให้ภีม

   ภีมอยากจะพ่นไฟใส่หน้าเธอเหลือเกิน “ฉันประชดเว้ย ประชด...ยัยโง่เอ๊ย ฉันไม่ชอบกินยา รู้ไว้ซะ”

   แล้ววันทั้งวัน ภีมก็หงุดหงิดใส่ทุกคนรอบข้าง ไม่เว้นแม้แต่ภูรดาที่อุตส่าห์ขับรถเพื่อมาทานข้าวเย็นกับน้องชาย ยังไม่วายที่จะถูกภีมโวยวายใส่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง สรุปแล้วมื้อเย็นที่น่าจะมีความสุขกลับเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของสองพี่น้องอารมณ์ร้ายแห่งพิริยะ


   ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ไฟอัตโนมัติบนท้องถนนเริ่มทำงาน ป้ายรถเมล์สว่างด้วยแสงไฟนีออน แต่ฟินก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น...ความสามารถพิเศษของผู้ชายคนนี้คือ สามารถอยู่นิ่งๆได้นานเป็นวัน...

   ฟินนั่งก้มหน้า กอดอก นั่งอยู่ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่ไม่รู้จะไปไหน เพียงแต่รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไม่อยากขยับไปไหนอีกแล้ว ขอนั่งอย่างนี้จนกว่าจะพอใจแล้วค่อยลุกขึ้นเพื่อก้าวต่อไป

   ครู่ต่อมา รถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งก็จอดลงที่เบื้องหน้าของฟิน ปรากฏหญิงสาวร่างใหญ่รีบวิ่งลงมาจากรถแล้วฉุดแขนฟินขึ้น “มานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะฟิน ขึ้นรถเร็วเข้า เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

   ฟินเงยหน้าขึ้นมองอย่างคนเฉื่อยชา “พี่ภู”

   “ขึ้นรถก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ภูรดาพูดพลางกึ่งลากกึ่งจูงให้ฟินเดินขึ้นรถ เสียงแตรดังลั่นท้องถนนตามด้วยเสียงก่นด่าระงมของคนขับรถเมล์และกระเป๋ารถเมล์ที่รวมพลังกันออกปากขับไล่ให้รถคันดังกล่าวออกไป

   ฟินกระโดดขึ้นนั่งที่เบาะหลัง ซึ่งมีคนนั่งอยู่ก่อน และบังเอิญเท้ามือไปทับกับมือของเขาจึงเอ่ยขอโทษขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ขอโทษครับ” แล้วทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองว่าเขาคนนั้นเป็นใครก็ต้องตกใจซ้ำอีกรอบ “ภีม”

   คนถูกเรียกชื่อยังนั่งนิ่ง ทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภูรดาเห็นท่าทางนั้นของน้องชายจึงเอ็ดเข้าให้ “ทำไมทำนิสัยอย่างนั้นล่ะภีม คนขอโทษแล้วยังทำหน้าบึ้ง นิสัยไม่ดี”

   ภีมทำท่าจะโต้กลับ แต่เมื่อเห็นว่าพูดไปก็เท่านั้นเลยนั่งอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร

   ฟินจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเอง “จอดตรงนี้แหละครับ”

   “ได้ยังไงกัน วันนี้ไปนอนที่คอนโดพี่แล้วกัน ดูหน้าตาท่าทางอย่างกับคนไม่สบาย” ภูรดาพูดอย่างเป็นห่วง เธอรู้ดีว่าฟินอยู่คอนโดเพียงลำพัง ถ้าเกิดเป็นอะไรร้ายแรงเข้าจะยุ่ง “พี่จะดูแลเธอเอง”

   “ถ้าจะดูแลหมอนี่...แล้วจะให้ผมไปที่คอนโดพี่ทำไม จอดรถเดี๋ยวนี้เลย...ผมจะกลับบ้าน” ภีมโวยวายใส่พี่สาวเสียงดัง
   ฟินมองด้วยความลำบากใจ ในตอนนั้นรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจับใจแต่ก็ยังฝืนใจที่จะพูด “ให้ผมลงตรงนี้เถอะครับพี่ภู ผมกลับเองได้”

   “ได้ยังไงกันล่ะ หน้าซีดขนาดนี้ ถ้าพี่ไม่มาเจอเราแล้วจะทำยังไง” ภูรดาพูดเสียงจริงจัง

   “ถ้ามันไป...ผมไม่ไป” ภีมยื่นคำขาด ในขณะที่ภูรดาหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจของน้องชายคนนี้

   “แกจะบ้าหรือไง” ภูรดาตวาดเสียงดังลั่นรถ ฟินยิ่งรู้สึกปวดหัวเข้าไปใหญ่และยิ่งปวดมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อภูรดาเพิ่มระดับเสียงตวาด “เป็นถึงคุณชายแห่งพิริยะ แต่ไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย ฟินก็เพื่อนแกไม่ใช่เหรอไง มันจะอะไรกันนักหนา แกมันก็ดีแต่อย่างนี้นั่นล่ะ โวยวายคนอื่นเขาไปทั่ว ใครทำอะไรให้ไม่พอใจเข้าหน่อยก็โกรธเขา ว่าเขา ไม่เคยนึกถึงตอนที่ตัวเองทำนิสัยแย่ๆบ้างเลย”

   ภีมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เร่งให้ภูรดาจอดรถท่าเดียว “จอดตรงนี้เลย ผมจะลง...ถ้าพี่ว่าผมอย่างนี้ อย่ามาพูดกันเลยดีกว่า”

   ภูรดาตะโกนเสียงดังขึ้นอีก “เงียบปากไปเลยภีม ถ้าอยากลงนักก็ไปเลย ฉันเบื่อกับคนอย่างแกเหมือนกัน” ภูรดาหยุดรถอย่างแรง

   ภีมนิ่งอึ้งไปกับคำพูดนั้น เบื่อเหรอ...ทำไมใครๆก็เบื่อเขา

   “แกอยากลงนักไม่ใช่เหรอ ลงไปเลย” ภีมไม่เคยเห็นพี่สาวเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ต่อให้เธอจะโกรธเขาแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยพูดจาร้ายๆกับเขาถึงเพียงนี้

   “ได้ ผมจะลง” ภีมพยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ แล้วเดินลงจากรถไป

   แต่ยังไม่ทันที่จะไปถึงไหน เสียงร้องเรียกชื่อฟินก็ดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน...

   ภูรดานั่นเอง

   ภีมสังหรณ์ใจไม่ดีจึงเดินย้อนกลับมา พบภูรดากำลังเขย่าร่างของฟินอยู่ “ฟิน ตื่นๆ เป็นอะไรไปน่ะ” เธอว่าพลางเอามืออังหน้าผาก “ตัวร้อนจี๋เลย”

   “ฟินเป็นอะไร” ภีมเอ่ยถาม น้ำเสียงอ่อนลงไปมากเพราะเห็นสภาพฟินแล้วอดที่จะตกใจไม่ได้

   ภูรดาไม่ตอบอะไร แต่เร่งเครื่องยนต์ ภีมจึงรีบกระโดดขึ้นนั่งแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว จุดมุ่งหมายใหม่ของทั้งสามคนจึงกลายเป็นโรงพยาบาลแทนคอนโด

   “บอกผม ฟินเป็นอะไร” ภีมถามขึ้นอีกครั้งพลางจัดท่าให้ฟินนอนอย่างสบาย

   “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็อยู่ด้วยกัน...หันมาอีกทีก็หมดสติไปแล้ว” อารมณ์ของภูรดาตอนนี้ฉุนเฉียวไร้คำบรรยาย เพราะผิดหวังในตัวน้องชายเป็นอย่างมาก

   “มันคงเหนื่อย” ภีมเปรยๆขึ้น

   “แกอย่าเรียกคนอื่นว่า ‘มัน’ ได้มั้ย ฉันไม่ชอบ ไม่น่าเชื่อว่าน้องของฉันจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจแบบนี้ ฉันผิดหวังจริงๆ”

   “ผมขอโทษ ผมโมโหมากไปหน่อย” ภีมยอมรับผิดก่อนจะก้มหน้าลงมองใบหน้าของฟินที่ซีดเซียวไร้สีเลือด มือเรียวสวยลูบไปตามศีรษะได้รูปเบาๆ   

   “แกจะกลับไปก็ได้นะ ฉันจะไม่ห้ามเลย แต่ฉันจะจำไว้ว่าน้องของฉันมันเป็นคนแบบนี้” ภูรดาพูดประชดขณะเลี้ยวรถเข้าสู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

   ฟินถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ภีมนั่งรออยู่หน้าห้อง ส่วนภูรดาทำเรื่องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เธอมั่นใจว่าฟินต้องได้นอนเล่นที่โรงพยาบาลเป็นแน่

   ภีมนั่งรอด้วยความกระวนกระวาย สักพักหนึ่ง แพทย์ที่ทำการรักษาก็เดินออกมา

   “ภูไปไหนล่ะ” คุณหมอถามก่อน ภีมอยากจะเคาะกระโหลกคุณหมอคนนี้สักครั้ง แทนที่จะบอกว่าอาการเป็นยังไงกลับถามถึงภูรดาเสียนี่...

   “จัดการอะไรๆอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านโน้น” ภีมพูดพลางทำหน้าเซ็งสุดฤทธิ์

   “คนไข้ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการ แล้วหมออยากจะตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วยน่ะ” พอพูดจบภูรดาก็เดินมาพอดี

   “ว่าไงหมอก้อง” ภูรดาถามคุณหมอซึ่งเป็นเพื่อนซี้กับเธอ

   “รอดูอาการก่อน แล้วฉันก็อยากตรวจเพิ่มเติมด้วย”

   “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ” ภูรดาถามอย่างกังวล

   “ไม่ถึงขนาดนั้น ตอนนี้เข้าข่ายเป็นไมเกรนอยู่ แต่อยากตรวจดูให้แน่ใจ ตรวจไปถึงว่ามีเนื้องอกในสมองหรือเปล่า เอาให้ชัดเจนไปเลย แล้วผู้ป่วยมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า ร่างกายดูอ่อนเพลียมากเลยนะ แล้วไหนจะพักผ่อนไม่เพียงพออีก ดูท่าจะพ่วงเอาโรคกระเพาะมาอีกโรคนะ ฉันว่า”

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ” ภูรดายกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้ “เออๆ ขอบใจมาก เดี๋ยวฉันติดต่อญาติคนไข้เอง”

   คุณหมอแยกไปอีกทาง สักพักฟินก็ถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินไปยังห้องพักพิเศษที่ภูรดาจองไว้ ภีมรีบเดินตาม ในขณะที่ภูรดาหาเบอร์โทรศัพท์ติดต่อครอบครัวของฟินอย่างเร่งด่วนแต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ

   ใบหน้าของฟินซีดเซียวจนน่าตกใจ ภีมมองดูอย่างวิตก จนกระทั่งบุรุษพยาบาลออกไปจากห้องนั่นล่ะ ภีมถึงเข้าไปยืนใกล้ๆเตียงคนไข้

   “เครียดอะไรนักหนา...ฟิน” ภีมพูดเสียงอ่อนโยนพลางลูบศีรษะของฟินอย่างเบามือ ถ้าภีมรู้ว่าฟินต้องเจอกับเรื่องอะไรมาบ้างก็คงจะดีไม่น้อย ภีมจะได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ภีมจะไปรู้ได้อย่างไรถ้าฟินไม่ยอมบอกและเลือกที่จะเก็บเรื่องราวที่แสนซับซ้อนนั้นไว้เพียงคนเดียว



 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:


ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
ตอนแรกนึกว่าติณณ์จะงี่เง่าซะแล้ว โล่งอกไปหนึ่ง  :เฮ้อ:

มาอ่านตอนนี้ทำให้รู้ว่าภีมอารมณ์ร้ายกว่าที่คิดนะ คำว่า "น่าเบื่อจริงๆ" มันมีอิทธิพลมากพอดูสำหรับภีม
อาจเป็นเพราะคนที่พูดเป็นคนที่ภีมแคร์ก็ได้มั้ง

ตามต่อไปว่าอาการของฟินจะเป็นอย่างไรบ้างจ้า

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
ไมเกรนพอแล้ววววววว
อย่าไปถึงเนื้องอกเลย
แค่นี้ฟินก็น่าสงสารจะแย่ละ ><


e_new

  • บุคคลทั่วไป
โอ้~~~ ไม่น๊า า!!!
เครียดหนักอ่าดิ ทั้งภีมทั้งครอบครัว
ภีมก็ปากแข็งอ่า เฮ้อ อ สู้ๆจ่ะฟิน :)

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 23 – คนป่วย



   สองพี่น้องนั่งจุ้มปุ้กอยู่ในห้องพักพิเศษ เฝ้าดูคนที่นอนบนเตียงโดยที่ไม่พูดอะไร ภีมกำลังคิดเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับฟิน ส่วนภูรดาก็นั่งเป็นกังวลเรื่องติดต่อครอบครัวของฟินไม่ได้

   จนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ภูรดาชวนภีมกลับบ้าน “กลับบ้านกัน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

   ภีมส่ายหน้าเบาๆ “พี่กลับไปเถอะ คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าเอง”

   “ตามใจ งั้นพรุ่งนี้พี่แวะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านมาให้เราเปลี่ยนแล้วกัน” ภูรดาพูดพลางลูบศีรษะน้องชายเบาๆ “พี่จะมาแต่เช้าเลย เราก็นอนเร็วๆด้วยล่ะ”

   ภีมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ภูรดามองน้องชายอย่างงุนงง ตอนเย็นจะเป็นจะตาย...ดูตอนนี้สิ...อย่างกับคนฟั่นเฟือน ใบหน้าล่องลอยเหมือนคิดอะไรตลอดเวลา “ดูแปลกๆนะเราน่ะ”

   “ไม่เห็นแปลก รีบๆกลับไปเลยพี่ภู น่ารำคาญ” ภีมพูดพลางโบกมือไล่ พี่สาวคนนี้พูดมากเหลือเกิน

   ภูรดากำลังจะอ้าปากพูดต่อ แต่ภีมดันแย่งพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน “กลับไปเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จะนอนแล้ว” พูดจบ ภีมก็แกล้งล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหลับตาสนิท

   “ฉันเป็นพี่แกนะ ไอ้นี่...ท่าจะบ้า” สาวร่างใหญ่ทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป

   ทันทีที่เสียงปิดประตูสงบลง ภีมก็ค่อยๆลุกขึ้นไปนั่งที่ข้างเตียงคนไข้แล้วกุมมือที่ไร้เรี่ยวแรงของฟินเอาไว้ “ตื่นมาจะถามให้หมดทุกเรื่องเลย ไอ้บ้าเอ๊ย...” ภีมพูดเบาๆ อยากรู้นักว่าฟินมีเรื่องอะไรให้คิดนักหนา ซ้ำยังทำตัวคล้ายกำลังปิดบังอะไรอยู่

   คืนวันนั้นก่อนนอน ภีมจุมพิตที่หน้าผากของฟินอย่างแผ่วเบา แม้จะเป็นสัมผัสที่บางเบาแต่ก็หนักแน่นพอที่จะทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปนาน

   ในห้วงความรู้สึกนั้นของฟิน เขากำลังยิ้มให้กับภีม แม้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งคู่จะยิ่งมากขึ้นทุกที ทุกที ฟินพยายามเดินเข้าไปหาภีมแต่ดูเหมือนว่าภีมจะยิ่งห่างไปทุกที แต่พอฟินหยุดเดินกลับพบภีมยืนอยู่ข้างๆ “จะไปไหนอีก ให้ฉันตามตลอดเลย” ฟินพูด

   “ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็ไม่รู้ บางทีคนเราก็เลือกไม่ได้หรอกที่จะไปไหน” ภีมตอบ ในตอนนั้นฟินคิดว่ามันช่างเป็นคำตอบที่กำกวมและน่างุนงงที่สุด

   “ทำไมจะเลือกไม่ได้ ในเมื่อชีวิตมันเป็นของเรา” ฟินพยายามแก้คำตอบของภีม

   “แต่ชีวิตของเราต้องมีคนอื่นอยู่ด้วยนี่” ภีมแย้ง

   “เราอยู่กันสองคนไม่ได้เหรอ ไม่ต้องไปสนใจใครทั้งนั้น” ฟินพูดพลางจับมือภีมจนแน่น

   “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงดี มีชีวิตแบบที่ไม่ต้องสนใจใคร” ภีมก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าหม่นหมอง

   “เราเป็นอย่างนั้นได้อยู่แล้ว” ฟินยืนยัน

   “แต่รอบตัวเรามีคนมากมายเกินกว่าที่เราจะไม่สนใจ” ภีมพูดอีก

   “ก็ช่างเขาสิ ให้เขามองเราอย่างเดียวก็พอ”

   “เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเขาก็คือส่วนหนึ่งของเรา”

   “ถ้าส่วนหนึ่งมีโดยที่ต้องเสียส่วนหนึ่งไป ไม่เอาได้มั้ย” ฟินปล่อยมือจากภีมแล้วขยับตัวออกห่างไปก้าวหนึ่ง

   ภีมส่งยิ้มบางๆให้ฟินก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วเป็นฝ่ายจับมือของฟินไว้เสียเอง “ทุกส่วนมันต้องสมบูรณ์ สักวันหนึ่ง”

   ฟินทำหน้าไม่แน่ใจ “วันนั้นเหรอ...คงอีกนานเลยนะ”

   “แต่วันนั้นก็ต้องมีอยู่ดี” ภีมพูดพร้อมมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า

   เขาสองคนกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูงชันที่โอบล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีคราม แม้จะสวยงามแต่ก็ยังน่ากลัว

   “ตอนนี้ ตรงนี้ เราอยู่กันสองคน ไม่มีใครเข้ามาในโลกของเรา” ฟินพูด

   “ใช่...ไม่มี” ภีมตอบ

   “ชีวิตของเราน่าจะหยุดตรงนี้” ฟินพูด

   “เร็วไปหรือเปล่า เรายังต้องเดินต่อไปนะ” ภีมแย้ง

   “แค่นี้ก็เดินมามากพอแล้ว” ฟินกระชับมือของภีมให้แน่นขึ้น “พร้อมหรือยัง”

   “เอาสิ...” ภีมตอบ ทั้งสองคนสบตากันก่อนจะก้าวไปเบื้องหน้าทีละก้าวๆ จนสุดหน้าผา

   “ไปกันดีกว่า” ฟินเป็นคนพูด สิ้นประโยคนั้น ร่างทั้งสองร่างก็กระโดดลงจากหน้าผาดิ่งลงสู่เบื้องล่างที่มีแต่น้ำ ห้วงทะเลอันเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตาดูดกลืนร่างของทั้งคู่ให้จมดิ่งลงไป

   ลึกลงไป ลึกลงไป...

   แต่อยู่ในน้ำทรมานเหลือเกิน ฟินพยายามตะเกียกตะกายขึ้นสู่เบื้องบนเพื่อสูดอากาศโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงจับภีมอยู่
   แต่...ลำบากเหลือเกิน

   ไม่ไหวแล้ว...

   ความรู้สึกทรมานนี้

   “ฟิน ฟิน ฟิน ตื่นๆ ฟิน” เสียงเรียกชื่อดังขึ้นติดต่อกัน ร่างของฟินรู้สึกมีชีวิตขึ้นอีกครั้งจากแรงเขย่าของใครบางคน

   ฟินเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากเย็น ก่อนจะพบว่าคนที่ปลุกเขาตื่นจากฝันร้ายคือ ภีม

   “ฝันร้ายเหรอ” ภีมพูดด้วยเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลเสียจนฟินคิดว่าตัวเองฝันไป ภีมหายโกรธแล้วเหรอ เป็นไปได้ยังไง...หรือเราจะฝันไป

   ภีมมองดูใบหน้าของฟินที่คล้ายกับคนไม่รู้สึกตัวด้วยความเป็นห่วง “ฟิน ตั้งสติหน่อย” ภีมว่าพลางลูบเรือนผมที่ยุ่งเหยิงของฟิน “ทำไมทำหน้าแบบนั้น อย่างกับคนความจำเสื่อมเลย”

   ฟินค่อยๆยิ้มออกมา ฝันดีเหลือเกิน ฟินคิดในใจก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา

   ภีมมองดูนาฬิกา ตีห้าแล้ว...ยังนอนต่อได้อีกหน่อย แต่น่าเสียดายที่ภีมข่มตาอย่างไรก็ไม่หลับเสียทีด้วยเพราะความยินดีที่ได้เห็นว่าฟินตื่นขึ้นมาแล้ว แม้จะดูแปลกๆไปบ้าง แต่ภีมก็มั่นใจว่าคนอย่างฟิน...ต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน

   จนกระทั่งเจ็ดโมงเช้า ภูรดาก็มาถึงโรงพยาบาลพร้อมด้วยข้าวของมากมายที่คนอย่างเธอจะสรรหามาได้ ทั้งขนมนมเนย อาหารแห้ง ดอกไม้สดกระเช้าหนึ่ง ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า และอะไรต่อมิอะไรมากมายเต็มไปหมด เธอไม่อยากปลุกเด็กหนุ่มทั้งสองที่กำลังนอนหลับกันอยู่

   นอนหลับ...เมื่อคืนภีมนอนตรงนี้นี่นา ทำไมตอนนี้

   ภูรดาเดินเข้าไปใกล้เตียงคนไข้ก่อนจะมองดูภาพที่เห็น ภีมกุมมือของฟินจนแน่น เธอแปลกใจเล็กหน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

   ครึ่งชั่วโมงต่อมา ภีมก็ตื่นเสียแล้ว

   “ไปนั่งหลับตรงนั้นได้ยังไง” ประโยคแรกที่ภูรดาพูดขึ้นเมื่อเห็นภีมผงกศีรษะขึ้นมา

   ภีมคล้ายจะยังไม่ตื่นเต็มที่ “ว่าไงนะ”

   “ไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ไหนบอกจะนอนตรงนี้ไง” ภูรดาหรี่ตามองน้องชาย เธอไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก แค่อยากแกล้งภีมก็เท่านั้นเอง

   ภีมพยายามทำสีหน้าให้เป็นปรกติ “เมื่อคืนหมอนี่ฝันร้ายน่ะ ก็เลยมานั่งปลอบ”

   “ไม่น่าเชื่อว่าภีมจะปลอบคนเป็นกะเขาด้วยแฮะ น้องชายฉันนี่...นับวันยิ่งเพี้ยน” ภูรดาคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่า

   ภีมละความสนใจจากพี่สาวแล้วหันมาหาฟินแทน สงสัยจะอดนอนมาหลายวันแฮะ...ภีมคิดแล้วก็ยิ้มออกมา

   เมื่อข้าวของต่างๆจัดเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ภูรดาก็ขอตัวออกไปหาหมอก้องเพื่อคุยเรื่องของฟิน ภีมบอกให้เธอรีบไป ไม่ต้องห่วงฟิน...เพราะเขาจะดูแลเอง

   “ภีม มีเบอร์ครอบครัวของฟินมั้ย เอาแบบของพ่อหรือแม่นะ เมื่อคืนพี่โทรเข้าสำนักงาน ไม่มีคนรับเลยสักคน พอวันนี้โทรไปใหม่ก็ไม่มีคนรับอยู่ดี” ภูรดาทำหน้าจริงจัง

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ “รอให้ฟินตื่นก่อนแล้วกัน ค่อยถามเอา”

   “เอางั้นก็ได้”

   ภีมมองภูรดาจนลับสายตา เมื่อหันมาหาฟินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเขากำลังลืมตาโพลงอยู่

   “เฮ้ยยย” ภีมร้องเสียงดัง

   ฟินยิ้มบางๆ ที่แท้เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้ฝันไป ทุกอย่างคือเรื่องจริง แต่ว่าตอนนี้ทำไม...ถึงมาอยู่ที่นี่ ที่โรงพยาบาลล่ะ “คำถามเยอะไปหมด ไม่รู้จะถามอะไรก่อน” ฟินบอก

   ภีมถลันตัวลุกขึ้นไปยืนให้ห่างๆเตียง ยังคงไว้ท่าอยู่บ้าง “ฉันก็มีคำถามเหมือนกันว่ะ เยอะด้วย” ภีมทำเป็นวางท่าขรึมทั้งที่ในใจดีใจแทบตายที่เห็นฟินตื่นขึ้นมา

   “ไม่คิดว่าต้องมานอนโรงพยาบาลเลย แค่ปวดหัวเฉยๆเอง” ฟินบอกพลางยื่นมือมายังภีม “มานั่งตรงนี้สิ ยืนห่างแบบนั้นทำไม...มันทำให้ฉันรู้สึกแย่” พูดแล้วก็นึกถึงความฝันเมื่อคืน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจะดีหรือเปล่านะ...

   ภีมลังเลเล็กน้อยก่อนจะจับมือของฟินแล้วนั่งลงที่เดิม ข้างๆเตียง “เครียดอะไรนักหนาเหรอไง ถึงปล่อยตัวเองให้เป็นแบบนี้”

   ฟินทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อนเรื่องต่างๆ “ก็เรื่องนายไง ไม่ยอมดีกับฉันเสียที”

   ภีมหน้าเสียไป ความรู้สึกผิดประดังประเดเข้ามาจนลืมความโกรธที่มีก่อนหน้านี้ไปสิ้น เพราะเขาหรอกหรือ...ฟินถึงต้องเป็นแบบนี้ “เอ่อ...คือ...แบบว่า...ฉัน...ขอโทษ มันโมโหมากไปหน่อย” ภีมพูดพลางลูบท้ายทอยแก้เก้อ

   ฟินยิ้มตาหยี ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วภีมจะดีด้วยแล้ว ฟินจะแกล้งป่วยซะวันละหลายๆรอบเลย “สรุปคือ เราดีกันแล้ว” ฟินเลิกคิ้วถาม

   “ก็งั้นมั้ง ฉันมันก็งี่เง่าเองล่ะ อะไรก็ไม่รู้...เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่” บทจะให้อภัยก็ง่ายจนน่าเหลือเชื่อ

   “ทีหลังอย่าให้ฉันต้องวิ่งตามอีกนะ นายคงไม่รู้...ว่ามันเหนื่อยและท้อมากแค่ไหน” ฟินพูดเสียงเศร้า ในแววตาฉายแววเป็นกังวลขึ้น

   ในตอนนั้นเอง ภีมก็ถามเรื่องที่ไม่ควรถามออกไป “ขอเบอร์ที่บ้านนายหน่อย จะโทรไปบอกพ่อกับแม่ ว่านาย...ป่วย” ภีมแบมือไปตรงหน้าฟิน

   ฟินสะอึกไปในทันที ใครจะไปให้กันเล่า...ถ้าให้ ความลับก็แตกกันพอดีน่ะสิ “ไม่ต้องบอกหรอก เดี๋ยวฉันก็หายแล้ว ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง บอกพี่ภูด้วย... ว่าอย่าบอกพ่อกับแม่ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ”

   “ได้ยังไงล่ะ รู้หรือเปล่าว่าหมอจะเอกซเรย์ตรวจเนื้องอกในสมองนายให้ด้วย” ภีมพูดหน้าตาตื่น อากัปกิริยาที่เปลี่ยนแปลงจนคล้ายจะเป็นเหมือนเดิม ทำให้ฟินรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

   อย่างน้อยเรื่องที่มันยุ่งๆอยู่ตอนนี้ ก็หายไปเรื่องหนึ่งแล้ว...

   “ฉันไม่ได้เป็นหรอก เนื้องงอกอะไรนั่นน่ะ ก็แค่เครียดมากไปหน่อย...มันมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะแยะไปหมด จนไม่รู้ว่าจะคิดเรื่องไหนดี”

   “เล่ามาให้หมด” ภีมทำหน้าดุ “ทุกอย่าง เดี๋ยวนี้”

   ฟินหัวเราะอย่างขบขันกับท่าทางนั้น มันดูตลกมากกว่าน่ากลัวเป็นไหนๆ “พาไปเข้าห้องน้ำก่อน ฉันอยากแปรงฟัน” ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาโดยที่ภีมไม่ทันสังเกต

   “ไปสิ” ภีมลุกขึ้นพยุงฟินด้วยมือข้างขวาส่วนมือข้างซ้ายถือสายน้ำเกลือ “ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”

   ฟินพยักหน้ารับ ความจริงแล้วมันปวดเอามากๆเลยล่ะ ยิ่งเฉพาะเวลาที่ต้องคิดอะไรมากๆด้วยแล้ว ยิ่งปวดจนบอกไม่ถูก

   “นั่งบนชักโครกนี่ล่ะ” ภีมบอกพร้อมกับแขวนสายน้ำเกลือ “เดี๋ยวไปเอาแปรงสีฟันกับยาสีฟันข้างนอกก่อน แป๊บนึง” ภีมบอกแล้วรีบวิ่งไปหยิบของที่ภูรดาซื้อมาให้

   ฟินยิ้มตาม...

   “ยิ้มอะไร บ๊องแล้วนะนายเนี่ย” ภีมพูดด้วยความอายแล้วป้ายยาสีฟันลงบนแปรงส่งให้ฟิน “จัดการซะ แล้วก็บ้วนปากต่อด้วยน้ำยาอันนี้” ภีมชูน้ำยาบ้วนปากให้ฟิน

   “ปากฉันมันแย่ขนาดต้องฆ่าเชื้อหลายๆรอบเลยเหรอเนี่ย” ฟินพูดยิ้มๆ

   “ก็เพื่ออนามัย ไม่รู้อ่ะ...ใช้ๆไปเหอะ พี่ภูอุตส่าห์ซื้อมา” ภีมบอกปัด ก่อนจะลงมือแปรงฟันบ้าง

   เมื่อเสร็จแล้ว ภีมก็พยุงฟินกลับมานั่งบนเตียงดังเดิม

   “เก้าโมงครึ่ง หมอจะมาตรวจ” ภีมบอก

   ฟินพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปมองเสื้อผ้าที่แขวนไว้ชุดหนึ่ง “เฝ้าทั้งคืนเลยเหรอ”

   “อืม...”

   “เป็นห่วงฉันหรือเปล่า” ฟินถาม ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่ดี

   ภีมยักไหล่แล้วก็ไม่ตอบอะไร แต่ฟินก็พอเดาออก...คนปากแข็งอย่างนี้ต้องเจอเหตุการณ์ที่จวนตัวเท่านั้นล่ะ ถึงจะยอมพูดความจริง “ช่างมันเถอะ นายจะรู้สึกอย่างไรฉันก็ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว”

   “ไม่ต้องมาทำน้อยใจ ถ้าไม่เป็นห่วงแล้วจะมานอนเฝ้าหาซากอะไรเล่า” ภีมโพล่งออกมาอย่างลืมตัว

   ฟินยิ้มบางๆ พอใจในคำตอบนั้น “ก็แค่นั้น เต๊ะท่าอยู่ได้”

   “พูดมากน่า”

   “เช็ดตัวให้หน่อยสิ ร้อนอ่ะ” ฟินบอก

   ภีมทำหน้ามุ้ย มันจะร้อนได้อย่างไรในเมื่ออยู่ในห้องแอร์ “เดี๋ยวพยาบาลจะมาเช็ดให้”

   “ฉันจะให้นายทำ” ฟินยืนยัน

   “มากไปแล้ว คนอย่างฉัน” ภีมชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นให้นาย” พูดจบก็ชี้ไปที่ฟิน “อย่ามาเรียกร้อง”

   “ฉันทำเองก็ได้” ฟินพูดเรียบๆ ก่อนจะดีดตัวให้อยู่ในท่านั่งแล้วทำท่าจะลงจากเตียง

   ภีมมองอย่างขุ่นเคือง ฟินกำลังยั่วเขาอยู่ชัดๆ... “เออๆ ทำให้ นอนอยู่อย่างนั้นล่ะ เรื่องมากเว้ย เสียเงินจ้างพยาบาลไปแล้วแท้ๆ” ภีมบ่นกลบเกลื่อนความอาย

   แต่...ขอโทษที ที่คนอย่างฟินรู้ทัน

   สักพัก...ภีมก็ออกมาพร้อมกะละมังที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งและผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ

   “ถอดเสื้อสิ” ภีมสั่งพลางจุ่มผ้าลงน้ำแล้วบิดพอให้หมาด

   “ถอดให้หน่อย ติดสายน้ำเกลือ” ฟินชี้ไปที่น้ำเกลือ แล้วก็ยิ้มออกมา

   ภีมไม่ชอบใจรอยยิ้มนั้นเอาเสียเลย “เรื่องมากวุ้ย ทำอย่างกับพิการ” ถึงบ่นแต่ภีมก็ทำอยู่ดี

   “อย่าใจเต้นล่ะ” ฟินแกล้งพูด

   “ไอ้บ้านี่...เดี๋ยวไม่เช็ดให้เลย พูดมากอยู่ได้” ภีมดุไปถอดเสื้อไปจนเสร็จ

   ฟินดูผอมลงไปมากทีเดียว จากที่เคยมีเนื้อมีหนังบ้างก็ดูซูบลงไป ภีมมองด้วยความฉงน ฟินจดจ้องทุกอิริยาบถของภีม และรู้ว่าตอนนี้ภีมคิดอะไรอยู่ “มองอยู่ได้ รู้นะว่าคิดอะไร”

   “ไอ้บ้า...ฉันคิดอะไร ทุเรศ ลามก” ใบหน้าของคนพูดค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆ

   ฟินมองอย่างขบขัน ไปกันใหญ่แล้วภีม “นายนั่นล่ะ ลามก...ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ฟินหัวเราะออกมา “เรื่องที่ฉันคิดคือ นายรู้สึกว่าฉันผอมไปใช่มั้ยล่ะ”

   ภีมทำหน้าบึ้งด้วยความอาย นี่เขาคิดไปเองอีกแล้วเหรอ... “จะไปรู้เหรอ พูดมากจริงๆ”

   “นายนี่ชอบคิดอะไรแบบนั้นอยู่เรื่อย” ฟินยื่นมือมาโอบเอวภีม “คิดมาก เดี๋ยวก็เจอจริงๆหรอก” แล้วก็ออกแรงรั้งให้ภีมมาอยู่ใกล้

   “ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อนะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ภีมเลิ่กลั่กไปมาพลางแกะมือของฟินออก

   “ใครจะเห็น อยู่ในห้องกันสองคนเอง” ฟินพูด ลืมเรื่องเหตุการณ์ที่คอกม้าไปเสียสนิทว่าเคยมีคนเห็นมาแล้ว “ไม่ได้ทำอะไรๆกันนานแล้วนะ”

   “ไอ้ลามก” ภีมฟึดฟัด ผ้าเช็ดตัวตกลงพื้นไปเรียบร้อยแล้ว “ปล่อยนะเว้ย เดี๋ยวพี่ภูมา”

   “ยังหรอก เรามาทำอะไรๆกันดีกว่า” ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์เหลือล้น คนที่เงียบๆอย่างเขาน่ะ...น้ำนิ่งไหลลึกอย่าบอกใคร

   “ไม่เอา ไม่ทำเว้ย” ภีมหนีสุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่กล้าออกแรงมากเพราะกลัวไปถูกสายน้ำเกลือเข้า ฉะนั้น ฟินจึงได้ใจ รั้งไปรั้งมาจนภีมเสียหลักมาจุ้มปุ้กอยู่บนเตียงด้วยกัน

   “ไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย” ฟินตีหน้าผากภีมเบาๆ “ดูสภาพฉันสิ จะทำไหวได้ยังไง”

   เออ...จริง ภีมลืมคิดไป ถ้าไหว...มันก็ไม่ใช่คนแล้ว “แล้วจะทำอะไร”

   ฟินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “จูบฉันหน่อย”

   “ไม่เว้ย” ภีมปฏิเสธทันที “ใครจะบ้าไปทำอย่างนั้น”

   “พูดไม่คิดเลยนะ เคยทำตั้งหลายครั้งแล้วนี่” ฟินบอก

   “นายเป็นฝ่ายทำเองทุกที ฉันไม่ได้เรียกร้องเลย”

   “เหรอออออออ” ฟินลากเสียงยาว ดูน่ารักเหลือเกิน ภีมเริ่มใจอ่อนขึ้นมา “นายก็จูบฉันบ้างสิ เอาแบบเฟรนซ์คิสนะ ท้าทายดี” ฟินพูดยิ้มๆ

   ภีมมองอย่างไม่น่าเชื่อ หมอนี่เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “เมื่อก่อนไม่เห็นจะพูดจาแบบนี้เลย เดี๋ยวนี้พูดมากขึ้นนะ แถมยังชอบพูดอะไรๆที่...” ภีมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นแล้วปล่อยให้ฟินไปคิดต่อเอาเอง

   “คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้นี่ เปลี่ยนไปในทางที่ดีก็ดีไม่ใช่เหรอ”

   ภีมทำหน้าเหรอหรา มันดีตรงไหนฟะเนี่ย...ไม่เข้าใจ

   “รีบๆทำซะ เร็วเข้า เดี๋ยวพี่ภูมา” ฟินเร่ง แล้วหลับตาลงรอจุมพิตจากภีม

   ไอ้หมอนี่...มันบ้าไปแล้ว

   แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น...ภีมก็หันไปจูบฟินอยู่ดี

   ยิ่งจูบก็ยิ่งหายใจไม่ทัน จะหยุดพักก็ไม่ได้แล้ว...

   หลังจากตอบรับริมฝีปากและลิ้นอุ่นร้อนนั้นแล้ว ฟินก็เป็นฝ่ายเริ่มเล่นกับปากของภีมบ้าง

   “ก็ทำได้นี่” ฟินพูดเสียงสั่นก่อนจะจู่โจมริมฝีปากนั้นอีกครั้ง มันยังหอมหวานและเย้ายวนเหมือนเดิม

   “อืมม์” ภีมครางเบาๆ สองมือโอบรอบกายของฟินจนแน่น

   ฟินอยากจะดึงสายน้ำเกลือที่ติดอยู่หลังมือทิ้งเหลือเกิน มันทำให้เขากอดภีมตอบไม่ได้ ฟินจึงใช้มือข้างที่เหลือลูบเบาๆที่แผ่นหลังของภีมแทน

   ริมฝีปากของภีมถูกดูดกลืนเข้าไปในปากของฟินเรียบร้อยแล้ว เสียงจ๊วบจ๊วบดังขึ้นไม่หยุดหย่อน มันฟังตลกอยู่เหมือนกันถ้ามีใครสักคนบังเอิญเปิดประตูเข้ามาได้ยิน แต่สำหรับสองคนที่กำลังมีความสุขอยู่คงไม่มีใครสนใจเสียงที่ว่าตลกนั้น

   แม้กระทั่งฟินที่คิดว่าถ้ามีใครสักคนเปิดประตูเข้ามาคงได้ยินแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริง...สมองกลับตกอยู่ในห้วงของความหวานจนไม่รับรู้ว่ามีคนได้เปิดประตูเข้ามาแล้ว

   คนมาใหม่เปิดประตูเข้ามาช้าๆเพราะไม่อยากรบกวนคนป่วย...

   แต่พอเข้ามาในห้องแล้วก็ต้องรีบปิดประตูลงกลอนด้วยความตกใจและไม่อยากให้มีใครมาเห็นภาพนี้เข้า

   ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงริมฝีปากของคนทั้งสอง ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้เล็ดลอดออกมา เขาตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้นที่หน้าประตูแล้วมองดูคนทั้งสองต่อไป รอให้ทางนั้นเป็นฝ่ายรู้ตัวเองว่ามีคนกำลังมองอยู่

   แต่จนแล้วจนเล่า เขาทั้งคู่ที่อยู่บนเตียงก็ยังคงไม่ถอนริมฝีปากออกจากกันเสียที

   เขาจึงตัดสินใจแกล้งดีดนิ้วดังเป๊าะเพื่อดึงสติที่หลุดลอยไปของคนบนเตียงให้กลับมา

   ถ้าคนที่เข้ามาในห้องตอนนี้ไม่ใช่เขา...อะไรจะเกิดขึ้น

   “เป๊าะ” เสียงดีดนิ้วดังขึ้น

   ภีมเป็นฝ่ายได้สติก่อน เขารีบหันไปยังต้นเสียงในทันที

“เฮ้ย” สิ้นเสียงภีมก็ผลักฟินออกไปอย่างลืมตัวจนฟินแทบตกเตียง แล้วตัวเองก็กระโดดลงมายืนตัวตรงข้างล่างอย่างรวดเร็ว

“ภีม ผลักฉันทำไม เกือบตกเตียงแล้ว เห็นมั้ย” ฟินพูดพลางจับขอบเตียงไว้แน่น ภีมกัดริมฝีปากอย่างโมโหแล้วจ้องมองไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าประตู

ฟินยังคงไม่รู้ว่ามีบุคคลที่สามได้ล่วงเข้ามาในห้องแล้ว จนกระทั่งภีมบอกนั่นล่ะ ถึงได้รู้

“เข้ามาได้ยังไง” ฟินพูดเสียงเรียบ ดวงตาคมจ้องมองคนที่ยืนอยู่ด้วยแววตาเฉียบคม



 o18 o18 o18 o18 o18

tawan

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3

โถ ๆ น้องฟินคนดีถึงกับต้องเข้าโรงหมอ          


ขออย่าให้น้องฟินเป็นอะไรร้ายแรงเล๊ย... คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย สาธุ ๆ ๆ      :call:


ออฟไลน์ w1234

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 626
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ lovely2min

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
ใครคือบุคคลที่สามอ่ะ
อย่าให้ฟินเป็นไรเลยนะจ๊ะ TT

ออฟไลน์ kp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
รักเธอสองคนนี้จัง
อยากรู้ว่าจะเกิดรัยขึ้นกับเขาทั้งสองคน
สู้ๆนะครับ   อุปสรรคมีไว้ให้เราข้ามผ่าน

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
ใคตน้อเข้ามาขัดจังหวะได้
คนเค้ากำลังสวีทอยู่แท้ๆ

alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป
ใครง่าาาาา >,,,,,< อิจฉาจัง อยากเห็นมั่ง 555+ :-[ :-[
 :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 24 – บุคคลที่สามและความสำเร็จ


   ภีมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ส่วนฟินก็เอาแต่จ้อง จ้อง และจ้องอย่างเยียบเย็น

   คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าคนทั้งคู่ด้วยความสงสัย “มองผมอย่างนั้นทำไมครับ”

   “นายมาที่นี่ได้ยังไง” ฟินถามเสียงเรียบ ยังคงจ้องมองอยู่อย่างรอคอยคำตอบ

   “ผมก็เดินเข้ามานี่ล่ะครับ เดินเข้ามาได้จังหวะพอดีเลย ได้เห็นอะไรดีๆ” เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วทำหน้ายียวนสุดฤทธิ์

   ภีมถลันตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อขึ้น “แกมาทำไม ติณณ์”

   “ภีม อย่าทำอย่างนั้น ปล่อยเขาซะ” ฟินปรามเพราะกลัวภีมจะพลั้งมือทำอะไรลงไป

   ภีมค่อยๆปล่อยติณณ์ “ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก”

   ติณณ์ยิ้มบางๆออกมา “ผมไปหาพี่ภีมที่บ้านแต่ดันเจอพี่ภูแทน พี่ภูก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ผมก็เลยมาเยี่ยมพี่ฟินที่นี่ แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็น...” ติณณ์เว้นจังหวะ แล้วทำหน้ากวนประสาท “เห็นพี่สองคนกำลังจู๋จี๋กัน”

   ฟินยังคงไว้ ในสีหน้าเรียบเฉย ส่วนภีมกัดริมฝีปากด้วยความอาย

   “ผมไม่บอกใครหรอก พี่สองคนไม่ต้องห่วง แต่คราวหลังถ้าจะทำอะไรๆกันก็น่าจะดูหน้าดูหลังให้ดีก่อนว่าจะมีคนมาเห็นหรือไม่” ติณณ์พูด สีหน้าดูจริงจังขึ้น จุดมุ่งหมายของติณณ์ในวันนี้คือมาเยี่ยมและขอโทษฟิน แต่บังเอิญมาเห็นบทจูบของทั้งคู่เสียก่อน สิ่งต่างๆที่ค้างคาใจอยู่ ณ ก่อนนั้น คลายปมในทันที สิ่งที่เขาสงสัยเป็นความจริงทุกประการ

   “ผมมาเยี่ยมพี่ฟินแล้วก็มาขอโทษที่เคยทำกริยาไม่ดีใส่พี่” ติณณ์ยิ้มบางๆอย่างจริงใจ แต่กระนั้นมันก็ยังดูยียวนอยู่ดี

   “ทำไมไม่เคาะประตู” ฟินพูด

   “ผมไม่อยากรบกวนพี่น่ะ ก็เลยเข้ามาเงียบๆ”

   “เข้ามานานหรือยัง” ฟินหรี่ตา

   ติณณ์ยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้เตียง “ก็นานแล้วครับ ไม่อยากขัดจังหวะ”

   “นายก็เลยยืนดูงั้นสิ” ภีมแทรกขึ้น

   ติณณ์บิดตัวไปมา นึกภาพเมื่อครู่เขาก็รู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ก็งั้นล่ะครับ”

   “ไอ้บ้า แกโรคจิตป่ะเนี่ย” ภีมตวาดเสียงดัง

   “เปล่านะครับ” ติณณ์โบกมือปฏิเสธพัลวัน “ผมก็เคลิ้มๆไปตามพี่สองคนล่ะครับ แบบว่าดูดูดดื่มดี เก่งกันทั้งคู่เลยนะครับเนี่ย”

   “แกเงียบไปเลย ไม่งั้นฉันจะต่อยแก” ภีมขู่

   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมสงสัยพี่สองคนมานานแล้ว แต่วันนี้ได้รู้ความจริงก็ดีเหมือนกัน แต่ก็อย่ากังวลว่าผมจะบอกใคร ผมไม่บอกใครหรอก ด้วยเกียรติของ...” ติณณ์ยังพูดไม่ทันจบ ฟินก็ยกมือขึ้นห้าม “นั่นมันก็เรื่องของนาย ไม่ต้องให้สัญญาอะไรทั้งนั้น”



   ภีมถอนหายใจแล้วค่อยๆเดินออกไปข้างนอก ฟินไม่ห้ามเพราะเข้าใจดีว่าตอนนี้ภีมรู้สึกอย่างไร ภีมคงอายที่พบว่ามีคนมาเห็นและรู้เรื่องนี้

   “เอ่อ...พี่ภีม” ติณณ์มองตามตาค้างด้วยความงุนงง

   “ภีมอายน่ะที่มีคนมาเห็น” ฟินบอก

   “แล้วพี่ไม่อายเหรอ” ติณณ์ถามกลับ ไม่ได้ตั้งใจจะกวนแต่อย่างใด

   ฟินอยากจะต่อยหน้าติณณ์สักทีหนึ่ง “อายสิ แต่จะให้ลุกไปไหนล่ะ ติดสายน้ำเกลืออยู่”

   “อ่อ...เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ คือผมอยากขอโทษพี่ในเรื่องที่ผ่านๆมา ผมก็ไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ บางทีพูดไปเฉยๆ คนก็หาว่ายียวน”

   ก็หน้านายมันยวนจริงๆนี่ ติณณ์...ฟินคิด

   “ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็พ่อแม่ให้หน้ามาแบบนี้”

   โทษพ่อแม่เสียอย่างนั้น...

   “ตอนแรกผมก็คิดว่าผมชอบพี่ภีมเหมือนกัน” ติณณ์สารภาพออกมา “และยิ่งวันนั้นเห็นพี่ภีมเล่นดนตรี ยิ่งรู้สึกชอบเข้าไปใหญ่”

   นายจะมาแย่งภีมไปจากฉันไม่ได้หรอก ไอ้หน้าอ่อน...ฟินกระหยิ่มยิ้มย่องในใจภายใต้สีหน้าเรียบเฉย

   “แต่พอเอาเข้าจริง ผมก็รู้ว่าที่ผมชอบคือเสียงดนตรีของพี่ภีมต่างหาก”

   ก็แน่นอนล่ะ...ภีมเล่นดนตรีเก่งจะตาย

   “เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ล่ะครับ” ติณณ์พยักหน้าน้อยๆแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง “ผมขอโทษครับ”

   ฟินค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่น่ามองมากทีเดียว “ฉันไม่ได้โกรธนายเลย”

   “จริงเหรอครับ พี่ใจกว้างมากกกกกกกกก” ติณณ์ลากเสียงแล้วโผเข้ากอดฟิน “มิน่า...ทำไมพี่ภีมถึงยอมให้พี่คนเดียว”

   “ปล่อยฉันเถอะ ขนลุกยังไงไม่รู้” ฟินพูดกลั้วหัวเราะ

   “แหม...ทำเป็นเขิน ทีกับพี่ภีมนะ จูบเอาๆ” ติณณ์หัวเราะเสียงดัง

   ฟินหัวเราะตามไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอารมณ์ดี ทั้งๆที่แต่ก่อนก็ไม่ค่อยชอบหน้าผู้ชายคนนี้สักเท่าไร

   “ทำไมนายกวนประสาทอย่างนี้เนี่ย” ฟินถามอย่างไม่จริงจังนัก

   ติณณ์ยักไหล่ “ก็นั่นน่ะสินะ ผมก็ไม่ยักรู้ว่าตัวเองชอบกวนประสาทขนาดนี้”

   ฟินนิ่วหน้าอย่างขบขัน การที่ใครสักคนรู้เรื่องของเราแล้วยอมรับได้มันเป็นอะไรที่มีความสุขอย่างนี้นี่เอง “โล่งใจที่คนเข้ามาในห้องวันนี้คือนาย”

   ติณณ์หัวเราะร่า “ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะ ทีหลังก็ล็อคประตูก่อนละกันนะ จะได้มีเวลาตั้งตัว”

   “ฉันก็คงต้องทำอย่างที่นายว่าล่ะนะ แต่อยู่กับภีมทีไร ฉันเลินเล่อทุกที” ฟินพูดไปหัวเราะไป

   ติณณ์รู้สึกดีไม่น้อยที่วันนี้ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของอดีตประธานนักเรียนผู้เคร่งขรึม “พี่ภีมคงอ่อนโยนมากเลยใช่มั้ยครับ”

   ฟินยิ้มบางๆแล้วพยักหน้ารับ “ก็คงอย่างนั้นล่ะ” พูดแล้วก็คิดกลับไปในวันก่อนๆ “แต่ก็อารมณ์ร้ายใช่ย่อย”

   “แล้วพี่ฟินทนได้ยังไงล่ะเนี่ย” ติณณ์ถามอย่างสงสัยเพราะจากสถานการณ์ที่ตนเจอมาเป็นหลักฐานชิ้นเยี่ยมที่บ่งบอกว่าภีมร้ายกาจแค่ไหน

   “ไม่เห็นต้องทนอะไรนี่” ฟินขมวดคิ้ว “แบบนี้ล่ะ...ฉันชอบ”

   “ฮ่าๆๆ พี่สองคนนี้แปลกจริงเลย ยังไงก็ขอให้รักกันนานๆนะครับ” ติณณ์ยิ้มระรื่นก่อนจะบอกลาฟิน “กลับก่อนนะครับ ว่างๆจะมาเยี่ยมใหม่ หวังว่าคงไม่ได้เห็นอะไรๆดีดีอีกนะครับ”

   ฟินส่ายหน้าเบาๆอย่างขบขัน “บ้าแล้วติณณ์...ขอบใจที่มาเยี่ยมนะ เจอภีมก็บอกให้เข้ามาหาฉันด้วย”

   “ครับผม” ติณณ์ยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง

   ภีมยืนก้มหน้าอยู่หน้าห้องด้วยความเครียด ติณณ์รู้เรื่องเข้าแล้ว...ทำไมมันอายอย่างนี้ก็ไม่รู้

   ติณณ์เปิดประตูออกมาพบภีมที่ยืนก้มหน้าอยู่จึงเดินเข้าไปหา “พี่ภีม”

   ภีมเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวซีดค่อยๆแดงขึ้นด้วยความอาย “ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย”

   “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ พี่ยังคงเป็นพี่ที่น่ารักของผมอยู่เสมอ” ติณณ์พูดจริงจังก่อนจะยกมือไหว้ภีมอย่างนอบน้อม “ผมกลับก่อนนะครับ”

   ภีมเพียงพยักหน้ารับเบาๆแล้วเดินกลับเข้าห้องไปหาฟินดังเดิม

   ภีมเดินนิ่งๆเข้าห้องมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายสุดฤทธิ์ แล้วพูดกับฟินอย่างขุ่นเคือง “ติณณ์มันเข้ามาเห็นพอดีเลย ฉันอายแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย”

   ฟินหัวเราะในลำคอ “ติณณ์ไม่บอกใครหรอกและที่สำคัญหมอนั่นน่ะ...ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นเรา”

   “พูดอะไรของนาย เฮ้อ...ทำไมฉันรู้สึกอยากนอนขึ้นมานะ” ภีมพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟา

   ฟินแกล้งเรียกเสียงดัง “อะไรกัน ยังไม่ทันได้เช็ดตัวให้ฉันเลยนะ”

   “ไม่เช็ดแล้วเว้ย ฉันอายจะแย่แล้ว รู้สึกเหมือนแก้ผ้าให้มันเห็นเลยอ่ะ” ภีมดิ้นไปดิ้นมาบนเตียงอย่างน่ารัก ฟินมองดูอย่างขบขัน

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ” ฟินกลั้วหัวเราะ

   “เออสิ...อายโว้ย อาย อาย อายยยยยยยย” ภีมโวยวายเสียงดัง

   “ไม่เอาน่า...รีบมาเช็ดตัวเข้าสิ” ฟินกวักมือเรียกภีม “เร็วๆสิภีม อย่าอายไปเลย”

   “ไม่เช็ดเว้ย รอพยาบาลไปเลย เดี๋ยวก็มาแล้ว” ภีมโบกมือปฏิเสธแล้วซุกหน้าลงกับหมอน “อายโว้ยยยยยยยย”

   ภีมนอนดิ้นอยู่บนโซฟาได้ไม่นาน พยาบาลก็เข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฟิน ระหว่างนั้นภูรดาก็เดินเข้ามาพร้อมกับหมอก้อง เจ้าของไข้

   “ฟิน เป็นยังไงบ้าง” ภูรดาถามภีมที่นั่งหน้ามุ้ยอยู่

   “ก็ดีครับ แต่ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย” ภีมตอบยานคางแล้วสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสติ

   ภูรดามองดูน้องชายอย่างงุนงง

   เมื่อพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฟินเรียบร้อยแล้ว ภูรดาก็ละความสนใจจากภีมไปหาฟินทันที “เป็นยังไงบ้างฟิน”

   ฟินยิ้มบางๆ ดูสดชื่นผิดจากวันก่อนโดยสิ้นเชิง “ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”

   ภูรดาหันหน้าไปขอความคิดเห็นจากหมอก้อง หมอก้องยิ้มตอบ “ยังไงก็ต้องตรวจให้แน่ใจ”

   “ไม่ต้องตรวจหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ก็แค่เครียดมากไปเท่านั้นเอง” ใบหน้าของฟินระเรื่อขึ้นอย่างขบขัน คิดได้อย่างไรว่าคนอย่างเขาจะเป็นเนื้องอก แค่ไมเกรนก็เหลือเชื่อแล้ว...

   “ยังไงก็ต้องตรวจนะฟิน พี่เป็นห่วง” คิ้วของภูรดาขมวดเข้าหากัน “ตรวจเถอะนะ”

   ฟินส่ายหน้าน้อยๆอย่างเกรงใจ ใบหน้าหล่อนั้นมีเค้าของความดื้อดึงอย่างชัดเจน “ไม่ตรวจครับ ผมรู้ตัวเองดี ผมก็แค่เครียดมากไปเท่านั้นเอง”

   “งั้นก็ตามใจ” ภูรดาบอกเสียงอ่อนก่อนจะหันไปหาหมอก้อง “แกว่าไง”

   “ตามใจ ที่ฉันพูดกับแกเมื่อวานก็แค่สันนิษฐานเฉยๆ ร่างกายคนไข้เมื่อวานแย่มาก...” หมอก้องพูดพลางใส่ปรอทวัดไข้ในปากของฟิน

   “แล้วมันจะเป็นอย่างที่แกบอกมั้ยล่ะ” ภูรดาร้อนรน “เนื้องอกอะไรเนี่ย”

   “ฉันก็ไม่รู้ไง...เลยจะตรวจให้แน่ใจ แต่ไมเกรนน่ะ...เป็นชัวร์” หมอก้องเลิกคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะหยิบปรอทออกจากปากฟิน “มีไข้อยู่ อยู่อีกซักสองวันก็แล้วกัน ให้ไข้ลดก่อนแล้วค่อยกลับ”

   ฟินห่อไหล่ในทันที อยู่ต่ออีกสองวันเหรอ...น่าเบื่อจะตาย “วันเดียวไม่ได้เหรอครับ” ฟินต่อรอง

   หมอก้องแสร้งเม้มปากทำเป็นครุ่นคิด ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “อยู่อีกสองวันนั่นล่ะ”

   “ใช่ๆ เดี๋ยวพี่จัดการทุกอย่างให้ ไม่ต้องเป็นห่วง” ภูรดาเสริม

   “แต่...ผม” ฟินจะเอ่ยปฏิเสธแต่ภูรดาก็แย่งพูดขึ้นมา

   “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นล่ะ อยู่ต่อไปเลย เดี๋ยวพี่จะให้ภีมอยู่เฝ้าเอง” ภูรดาบอกโดยไม่ถามความสมัครใจของภีมเลยสักคำ

   คนถูกพาดพิงดีดตัวยืนขึ้นทันที “เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ไม่อยู่หรอก...โรงพยาบาลน่าเบื่อจะตาย”

   “ไม่ต้องพูดมากเลยภีม” ภูรดาไม่สนใจภีม เธอหันไปพูดอะไรกับหมอก้องสองสามคำแล้วก็เดินออกไปด้วยกัน

   ภีมยืนหน้ามุ้ยด้วยความขุ่นเคือง ฟินมองดูอย่างขบขัน... “อยู่กับฉัน...ไม่น่าเบื่อหรอก” ฟินพูดยิ้มๆ

   “ฉันไม่ชอบโรงพยาบาลเว้ย ไม่ไหวหรอก”

   “ดูแลฉันแค่สองวันเอง อยู่เถอะนะ...นะ นะ” ฟินพูดจาออดอ้อนอย่างน่ารักพลางกวักมือเรียกภีมมานั่งใกล้ๆเตียง

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วแลบลิ้นใส่ “ลูกไม้เยอะนะนายน่ะ...”

   “มานั่งใกล้ๆหน่อย” ฟินพูดเสียงหวาน “นั่งตรงนี้” ฟินตบมือลงที่ตักของตนเอง

   ภีมทำหน้าเหวอ “บ้าเหรอ...ไปก็โง่แล้วเฟ้ย”

   “ตามใจ” ฟินถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนเงียบๆโดยไม่พูดอะไรอีก

   เป็นอันว่า ฟินใช้ไม้นี้เข้า ภีมก็ต้องยอมแพ้ให้ “มาทำเป็นนิ่ง เอาแต่ใจตัวเองเกินไปแล้ว” ภีมพูดพลางเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง

   ฟินไล่สายตาจนทั่วใบหน้าของภีมจากนั้นก็หยุดลงด้วยการสบตากับภีม

   ภีมเสมองไปทางอื่นเรื่อยๆแต่พอหันกลับมาทีไรก็เจอดวงตาของฟินจดจ้องอยู่ นานเข้าๆภีมก็อายจนทนไม่ไหว “ถ้ายังมองไม่เลิก ฉันจะกลับบ้านแล้ว”

   ฟินหลุดหัวเราะออกมา “ก็ไม่รู้จะทำอะไรนี่ แค่นี้ก็เขิน”



   “เขินบ้าอะไร ขนลุกต่างหากเล่า” ภีมพูดพลางทำท่าขนลุก

   “ภีม” ฟินเรียก “พรุ่งนี้คะแนนสอบออกแล้ว ดูให้หน่อยสิ”

   ภีมพยักหน้ารับ “ได้สิ เดี๋ยวให้พี่ภูยกโน๊ตบุ๊กมาให้ละกัน”

   “หวังว่าจะไม่กินแห้วซะล่ะ ไม่อย่างนั้น อดเรียนที่เดียวกันแน่ๆ” ฟินพูดอย่างไม่จริงจังนัก แต่ภีมนั้นรู้สึกขุ่นเคืองในใจชอบกล

   “ถ้าไม่ติดที่นี่ ฉันกับนายเลิกคุยกัน” ภีมพูดจริงจัง

   ฟินสะอึกไป “เอ่อ...ติดสิ ยังไงก็ต้องได้เรียนที่นี่อยู่แล้ว”

   “หึ” เสียงสุดท้ายของภีม แล้วทั้งสองก็ต่างคนต่างเงียบ ไม่พูดอะไรกันอีกเลยจนกระทั่งช่วงเย็น

   “จะเอาอะไรหรือเปล่า จะลงไปซื้อของข้างล่าง” ภีมถามเสียงแข็ง ฟินรู้ทันทีว่าภีมกำลังเคืองอะไรเขาอยู่

   “เอาอะไรก็ได้ที่ทำให้นายหายโกรธฉัน” ฟินเย้าเอา เพียงแค่คำพูดเอาใจเพียงประโยคเดียว ภีมก็หายโกรธอย่างง่ายดาย

   “ไม่ได้โกรธอะไรสักหน่อย อยากกินอะไรหรือเปล่า” นัยน์ตาของภีมเป็นประกายขึ้น

   “ไม่เห็นอยากจะกินอะไรเลย ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ฉันหรอก” ฟินตอบ

   ภีมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ “ตามใจ”

   แม้จะพูดอย่างนั้น แต่พอเอาเข้าจริง ภีมกลับหิ้วของมาเต็มมือ ทั้งผลไม้ ของหวาน น้ำดื่ม และอะไรต่อมิอะไร

   “เหนื่อยว่ะ” ภีมบ่นพลางวางของลงบนโต๊ะ

   “ซื้ออะไรมานักหนา ของๆพี่ภูก็เต็มห้องจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว” ท้ายเสียงลากยาวพลางตวัดสายตาไปรอบๆห้อง อยู่แค่วันเดียว...ของเต็มห้องขนาดนี้ ตอนกลับจะทำยังไงล่ะ

   “ก็มันต้องกินต้องใช้นี่” ภีมเถียงไป จัดของไป

   “ตอนกลับช่วยกันขนตายเลย” ฟินแกล้งพูด

   “พูดมากน่า ตอนกลับก็ทิ้งๆไว้นี่ล่ะ เดี๋ยวก็มีคนมาเก็บเองล่ะ”

   ฟินส่ายหน้า ยังไงภีมก็ยังเป็นคุณชายอยู่ดี...ไม่รู้จักเสียดายเงินบ้างเลย




   เช้าวันใหม่ ภูรดามาโรงพยาบาลพร้อมคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คและเสื้อผ้าชุดใหม่ของภีม แวะมาได้เพียงครู่เดียวก็ต้องกลับไปทำงานที่บริษัทต่อ

   หลังจากที่ฟินเปลี่ยนเสื้อผ้าและตรวจวัดไข้จากหมอก้องแล้ว ก็รีบเช็คผลคะแนนสอบทันที หัวใจที่เต้นเร็วเพราะพิษไข้ยิ่งเต้นเร็วขึ้นไปอีกเมื่อคะแนนค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอคอมพ์

   ภีมนั่งเท้าคางมองอย่างเนือยๆ แค่คะแนนออกจะตื่นเต้นอะไรนักหนา... (ก็ตัวเองติดแล้วนี่)

   “ภีม” ฟินเรียกเบาๆด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

   “อะไรเหรอ” ภีมตกใจกับท่าทางของฟิน จากนั้นก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูที่หน้าจอ

   คณิตศาสตร์ 99...
   วิทยาศาสตร์ 98...
   ภาษาอังกฤษ 99...
   สังคมศึกษา ........ ฯลฯ

   ภีมขมวดคิ้วอย่างงุนงง ก็ได้เยอะนี่หว่า...แล้วมันจะทำหน้าเศร้าทำไมเนี่ย พอภีมเงยหน้าขึ้นก็พบว่าฟินกำลังยิ้มอยู่ เหอะ...โดนแกล้งนี่เอง ร้ายกาจนัก

   “จะทำหน้าเศร้าหาพระแสงอะไร...ฟิน” ภีมพูดเสียงเขียว นับวันหมอนี่ยิ่งมีลูกเล่นมากขึ้น

   “ตกใจไง...ที่มันได้เยอะขนาดนี้” ฟินหัวเราะเสียงดัง พอใจกับผลคะแนนเป็นที่สุด...ไม่ติดก็ให้มันรู้ไปสิ

   “ของฉันไม่ต้องดูหรอกนะ เสียเวลา” ภีมบอกพลางฟุบหน้าลงกับเตียงแล้วนอนหลับอยู่ข้างๆฟิน “ดูไปเดี๋ยวฝันร้ายเปล่ๆ”

   “แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าฉันสอนนายดีหรือเปล่า” ฟินพูดพลางใส่รหัสที่นั่งสอบลงไปเพื่อดูคะแนน

   ภีมยังคงไม่สนใจ

   คะแนนของภีมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่เจ้าตัวคิดเลยสักนิดเดียว

   คณิตศาสตร์ 62...
   วิทยาศาสตร์ 57...
   ภาษาอังกฤษ 78...
   สังคมศึกษา ........ ฯลฯ   

   “คะแนนดีเหมือนกันนี่ภีม” ฟินบอกพลางลูบศีรษะคนที่นอนฟุบอยู่ข้างตัว “โชคดีที่มีฉันเป็นครู”

   ภีมเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว “หลงตัวเองมาก ฉันเก่งด้วยตัวฉันเองต่างหาก”

   ฟินอมยิ้ม “ก็คงงั้นมั้ง” ฟินไม่ต่อความยาวสาวความยืดและยอมแพ้แต่โดยดี “เห็นมั้ยล่ะ นายหัวดีจะตายไป”

   “ทำเป็นพูดดี...”

   สองวันถัดมา ฟินก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปอยู่คอนโด ภูรดาสั่งให้ภีมอยู่เป็นเพื่อนฟินอีกเช่นเคย ของต่างๆที่สองพี่น้องซื้อไว้จนเต็มโรงพยาบาลก็ขนกลับมาไว้ที่คอนโดด้วย ตอนนี้คอนโดของฟินจึงเต็มไปด้วยอะไรต่อมิอะไรมากมายที่กองๆสุมกันอยู่กลางห้อง

   เมื่อขนของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ภูรดาก็กลับไปทำงานทันที

   ในคอนโดจึงมีเพียงฟินและภีมสองคน

   ฟินค่อยๆจัดของแต่ละอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ในขณะที่ภีมนั่งเฉยๆมองดูฟินเก็บของ

   กระเช้าดอกไม้สองกระเช้าที่ภูรดาซื้อมาให้ ฟินก็จัดการรื้อดอกไม้ออกแล้วจัดใส่แจกันนำมาวางไว้ที่โต๊ะแจกันหนึ่ง ที่ห้องนอนแจกันหนึ่ง ส่วนกระเช้าก็เก็บเข้าตู้ ขนมนมเนยต่างๆก็วางไว้อย่างเป็นระเบียบที่เคาน์เตอร์ห้องครัว ของต่างๆถูกจัดให้เข้าที่ทีละอย่างๆจนครบ ฟินไม่ทิ้งอะไรไปเลยสักอย่างเดียว

   พื้นที่กลางห้องกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง

   “บอกแล้วว่าไม่ต้องเอากลับมา” ภีมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะลุกไปนั่งที่โซฟา

   “ทำอย่างนั้นได้ยังไง เสียดายของ” ฟินว่าพลางเดินไปนั่งข้างๆภีม “ไม่เสียดายของบ้างเลยเหรอภีม”

   “ซื้อใหม่ก็ได้นี่”

   “มันไม่เหมือนกันหรอกนะ นายก็หัดเสียดายของซะบ้าง ไม่ใช่ว่าจะซื้อใหม่หรือหาใหม่ลูกเดียว” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน คุณชายอย่างภีมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ

   “ไม่เถียงกับนายละ พูดอะไรก็ไม่รู้” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปเล่นเกม

   แต่ไปได้เพียงสองก้าวก็ต้องเซล้มมานั่งที่เดิมด้วยแรงดึงของฟิน

   “รีบไปไหนเล่า” ฟินพูดอ้อนๆพลางโอบรัดภีมไว้

   ภีมแสร้งทำเป็นนิ่ง “จะไปเล่นเกม”

   “ไม่ให้ไป” ฟินตอบทันควันก่อนจะเพิ่มแรงโอบรัดร่างเพรียวบางนั้นไว้ให้แน่นขึ้น “วันหลังฉันจะเอาเกมพวกนี้ไปทิ้งให้หมดเลย”
   “เพิ่งบอกให้ฉันรู้จักเสียดายของไม่ใช่เหรอ” ภีมเลิกคิ้ว

   “นายก็สนใจฉันให้มากกว่าเกมสิ”

   “ก็ฉันชอบเล่นนี่นา”

   ฟินเหมือนจะนึกอะไรออกจากคำพูดของภีม ชอบเล่นเกมเหรอ...

   “งั้นเรามาเล่นเกมกัน” ฟินเสนอขึ้น

   “ได้สิ” ภีมตกลงอย่างง่ายดายเพราะไม่รู้อุบายของฟิน

   “แต่มีข้อแม้นะ ถ้านายแพ้...ให้ฉันทำอะไรก็ได้” ข้อเสนอของฟินเผยความคิดที่อยู่ในหัวของเจ้าตัวมาจนหมดเปลือก แต่คนอย่างภีมมั่นใจในฝีมือตัวเองเป็นอย่างมาก เรื่องเรียนอาจไม่เก่ง แต่ดนตรีและเกมไม่เป็นรองใครแน่นอน

   “แล้วถ้าฉันชนะล่ะ” ภีมถาม

   “ก็ทำอะไรฉันก็ได้ไง”

   “ตกลง เรามาเล่นเกมกัน” ภีมพูดพลางผลักฟินออกเบาๆแล้วเดินนำไปยังสนามแข่งขันหน้าจอทีวีทันที

   ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามไปอย่างเกียจคร้าน

   นายมั่นใจเกินไปแล้วภีม ทุกเกมที่นายเล่น ฉันเล่นจนเคลียร์หมดแล้ว... ฟินคิดในใจ



 :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:


zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 25 – ก็แค่เกม!



   ภีมจับเครื่องเล่นก่อนแล้วนั่งลงทางซ้ายมือของจอทีวี เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าการแข่งขันครั้งนี้ ‘ต้องชนะอย่างแน่นอน’

   ฟินถอนหายใจพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆภีมแล้วหยิบเครื่องเล่นอีกชิ้นหนึ่งมาเป็นของตัวเอง คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นอย่างได้ใจ ฟินเหล่มองภีมเล็กน้อยก่อนจะกดปุ่มเริ่มเกม

   “พร้อมนะภีม” ฟินยิ้ม

   “เอาเลย พร้อมอยู่แล้ว” ภีมตอบรับโดยที่สายตาจดจ้องอยู่หน้าจอทีวี

   ปฐมบททแห่งการต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนเริ่มขึ้น การจะเป็นที่หนึ่งนั้นต้องมีไหวพริบ เชี่ยวชาญการต่อสู้ และรอบรู้ยุทธศาสตร์ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วสมรภูมิรบ ในขณะที่ต่อสู้กับศัตรูก็ต้องคอยปกป้องดินแดนของตนเองไว้ด้วย

   ดินแดนทางฝั่งซ้ายที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางแร่ธาตุนั้นเป็นของภีม ส่วนดินแดนทางขวาที่เจริญไปด้วยเทคโนโลยีนั้นเป็นของฟิน ป้อมปราการสูงใหญ่ของแต่ละฝ่ายเต็มไปด้วยเหล่าทหารนับร้อยชีวิต

   บึ้มมม !!!

   สัญญาณรบเริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างดาหน้าเข้ามาฆ่าฟันกัน ฝ่ายที่ก้าวล้ำนำเทคโนโลยีก็มีปืนกลมากมายที่ยิงระรัวเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ส่วนฝ่ายที่เต็มไปด้วยแร่ธาติก็มีการแพร่สารพิษร้ายใส่ศัตรู รวมทั้งดินปืนขนาดใหญ่ที่กำลังจะใส่ลงไปในปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าป้อม

   “อย่ายิงนะภีม” ฟินพูดเสียงเข้ม คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างคร่ำเครียด

   ภีมหัวเราะเบาๆ “สายไปแล้ว”

   ดินปืนกลิ้งลงไปในปืนใหญ่และถูกยิงออกไปเรียบร้อยแล้ว ทหารทางฝ่ายขวาหายไปครึ่งหนึ่ง เมื่อเสียกำลังพลไปมาก ฝ่ายขวาที่เจริญเทคโนโลยีก็สั่งให้ทหารนำปืนกลขนาดใหญ่ออกมาเพื่อทำลายล้างศัตรู รับรองว่ายิงเพียงคนละครั้งเท่านั้น ฝ่ายซ้ายต้องพังพินาศอย่างแน่นอน

   ฟินสั่งการลงไป...

   ยิง !!!

   กลุ่มควันหนาแน่นปกคลุมฝ่ายซ้าย ฟินหันมายิ้มเยาะภีม “แพ้แล้วภีม”

   ภีมยิ้มกลับ “เหรอ ดูใหม่สิว่าใครกันแน่ที่แพ้”

   ฟินเงยหน้าขึ้นมองดูกองทัพของตนที่กำลังยกธงขาวยอมแพ้ “เป็นไปได้ไง” ฟินเริ่มเป็นฝ่ายโวยวาย “ฉันยิงนายทั้งกองทัพเลยนะ จะแพ้ได้ยังไงล่ะ นายโกงฉันหรือเปล่าภีม”

   ภีมกระแอมหนึ่งครั้งแล้วพูดเสียงสุภาพ “ฝ่ายฉันแพร่พิษใส่ฝ่ายนายตั้งแต่เริ่มเกมแล้วล่ะ เพิ่งมาออกฤทธิ์เอาตอนสำคัญพอดี โชคดีจริงๆ”

   ฟินทำแก้มป่องด้วยความขุ่นเคือง ดันมาแพ้ภีมซะได้...

   “เอาล่ะๆ นายแพ้แล้วฟิน” ภีมแกล้งหัวเราะเสียงดังแล้วตบบ่าฟินแรงๆ “ก็แค่เกมล่ะนะ แต่ว่านายแพ้ว่ะ ฮ่าๆ” ภีมยังหัวเราะไม่เลิก

   ฟินหรี่ตามองภีม “อยากให้ฉันทำอะไร ว่ามา”

   ภีมขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้ฟินทำอะไรดี นั่งคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะให้ฟินทำอะไร “คิดไม่ออกอ่ะ เก็บไว้ก่อนละกัน”

   “ไม่ได้ ต้องคิดให้ออก” ฟินบอกเสียงเรียบ ยังขุ่นเคืองไม่หายที่ตนเองเป็นฝ่ายแพ้ อุตส่าห์ตั้งใจไว้แล่วเชียวว่าถ้าชนะ จะทำอะไรภีมก็ได้ กลับมาแพ้เสียอย่างนั้น มันน่าโมโหจริงๆ

   “งั้น... เลี้ยงมื้อค่ำวันนี้ละกัน”

   “เลี้ยงอยู่แล้วน่า... ห่วงแต่เรื่องกินอยู่ได้” ฟินบ่นอุบแล้วล้มตัวลงนอน

   ภีมหันมองอย่างงุนงง “จะมาทำเสียงเศร้าทำไมเนี่ย ก็บอกว่าอยากให้ทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

   ฟินพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ “ก็ใช่อยู่ แต่ช่างมันเถอะ... ก็แค่เกมล่ะนะ”

   “เออสิ... ก็แค่เกม คิดมากอยู่ได้ แพ้ฉันแค่นี้เอง ทำเป็นเครียด” ภีมเบะปากน้อยๆแล้วส่ายศีรษะ “เกม เกม มันคือเกม”

   “ก็ฉันอยากจะชนะนี่นา” ฟินบ่น

   “ชนะแล้วได้อะไร”

   “ก็...” ฟินเงียบไป จะให้บอกตรงๆก็ไม่กล้าว่าอยากได้ตัวนายนั่นล่ะ ใบหน้าหล่อแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย คิดแล้วก็เขินจริงๆ สุดท้ายฟินก็เผลอยิ้มออกมาราวกับคนบ้า

   “ยิ้มอะไร หน้าตานี่เคลิ้มเชียว” ภีมถามซื่อๆ ไม่รู้จริงๆว่าฟินคิดอะไรอยู่

   “คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฟินบอกเสียงหวาน “ในเมื่อนายเป็นฝ่ายชนะ ฉันก็มีรางวัลจะให้”

   “ไม่เอา” ภีมตอบทันควัน

   “รับไว้เถอะนะ” ฟินพูดพลางดึงตัวภีมให้ลงมานอนด้วยกัน

   “ฉันว่าแล้วว่านายมันเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ” ภีมบ่นหน้าตาย เริ่มรู้ความคิดของฟินขึ้นมาแล้ว

   “อุตส่าห์จะเล่นเกมให้ชนะแท้ๆจะได้ปล้ำนายง่ายๆโดยมีข้ออ้าง แต่ดันแพ้ซะนี่” ฟินบอกตรงๆอย่างหน้าตาเฉย

   ภีมผ่อนลมหายใจช้าๆแล้วพยายามดีดตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง แต่ฟินไม่ยอมง่ายๆอย่างนั้นหรอก

   “รางวัลสำหรับคนชนะ” ฟินบอก

   “ไม่เอาเว้ย ผู้ชนะเรียกร้องไปแล้วว่าเลี้ยงข้าวเย็น”

   “ไม่เกี่ยวกับเรื่องแพ้และชนะแล้วตอนนี้” ฟินพูดเองเออเอง “มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉัน”

   “จะบ้าหรือไง” ภีมยื้อสุดแรง “นึกจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ”

   “อย่าว่าฉันเลยนะ” ฟินพูดแล้วผลักร่างของภีมให้นอนลงบนฟูกหนานุ่ม จากนั้นก็ขึ้นคร่อมภีมเอาไว้ “จะแพ้หรือชนะ นายก็ต้องยอมฉันอยู่ดี”

   “ไอ้บ้าเอ๊ย!” ภีมสบถเบาๆแล้วหันหน้าไปทางอื่น ร่างกายที่อยู่ข้างล่างไม่เคลื่อนไหวอะไร ภีมกำลังน้อยใจ หมอนี่... ทำอะไรไม่เคยคิดถึงใจเขาเลย นึกอยากทำอะไรก็ทำ

   ฟินหน้าเสียไปก่อนจะลุกขึ้นจากร่างของภีม “ขอโทษ” พูดแค่นั้นแล้วก็นั่งกอดเข่าอย่างน่าสงสาร

   “ทำอะไรเคยนึกถึงฉันบ้างหรือเปล่า” ภีมถามโดยที่ไม่มองหน้าฟิน

   ฟินไม่ตอบอะไรได้แค่นั่งเงียบ ภีมจึงต้องเป็นฝ่ายง้อบ้าง ทั้งๆที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิดสักนิดเดียว “เศร้าไปทำไม ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันตั้งนาน”

   นั่นล่ะ... ฟินจึงยิ้มออก “ก็จริงนะ ยอมเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน” ฟินเย้า

   ภีมเป็นฝ่ายเขินบ้าง หมอนี่ชอบพูดจาให้รู้สึกร้อนในตัวทุกทีเลย “บ้าแล้ว” เวลาเขินภีมจะพูดเป็นแค่ว่า บ้า บ้าแล้ว แกบ้า บ้า และบ้า

   ฟินยิ้มกว้างพลางดึงร่างของภีมที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นนั่ง “เราต้องเจอกันอีกนานอยู่แล้วภีม มีเวลาตั้งหกปี ที่นายจะยอมฉัน”

   ภีมชะงักไป หกปีสำหรับนายคนเดียวน่ะสิ “ฉันเรียนแค่สี่ปีก็จบแล้ว ใครจะไปอยู่กับนายตั้งหกปีกัน”

   ฟินยังคงยิ้มอยู่ “ยังไงก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดีล่ะ”

   “ดูถูกกันมากไปแล้ว” ภีมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วชกเบาๆที่ไหล่ของฟิน “ถ้าจะไป ใครจะมีปัญญารั้งฉันไว้ ต่อให้นายก็เถอะ... ถ้าฉันจะไปซะอย่าง ใครก็รั้งฉันไม่อยู่”

   ครั้งนี้ฟินเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง ตั้งแต่มีภีมเข้ามาในชีวิต ฟินเป็นคนอ่อนไหวกับเรื่องความรู้สึกมากขึ้น คำพูดอะไรที่แต่ก่อนไม่เคยเอามาใส่ใจ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจไปเสียทุกเรื่อง “จริงอย่างที่ว่านั่นล่ะ... ถ้าจะไปก็คงไม่มีใครรั้งได้ แม้แต่ตัวฉันเอง”

   ภีมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ฟินชอบทำให้เขาอารมณ์เสียอยู่เรื่อย จะน้อยใจอะไรกันนักหนา เมื่อก่อนพูดแรงกว่านี้ยังรับได้เลยนี่... ทำไมตอนนี้กลายเป็นคนอ่อนไหวไปได้ “ฟินคนที่เข้มแข็งหายไปไหนแล้วล่ะ ทำไมมีแต่ฟินคนที่ขี้น้อยใจไปทุกเรื่องได้ล่ะเนี่ย”

   ภีมพูดไปขำไปแต่ฟินไม่ขำด้วย “จะแบบไหนยังไง มันก็คือฉันอยู่ดี” พูดแล้วก็ลุกขึ้นไปดื้อๆ ภีมนั่งมองตาค้าง “ขี้น้อยใจเกินไปแล้วนะฟิน” ภีมต่อว่าแล้วลุกขึ้นเดินตามไป

   “หยุดเลยฟิน ไม่ต้องเดินไปไหนแล้ว” ภีมคว้าชายเสื้อของฟินเอาไว้ ฟินหยุดเดินแต่ไม่หันหน้ามาหาภีม ภีมจึงเดินไปอยู่ข้างหน้าฟินแทน

   “พูดอะไรก็น้อยใจไปหมดเลยนะ” ภีมทำหน้าบึ้งใส่

   ส่วนฟินก็ตีหน้าตายใส่ลูกเดียว “ดูแต่ละคำที่นายพูดสิ...”

   “ฉันก็พูดอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ภีมพูดเสียงเรียบ เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว

   “พูดไปพูดมา เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก” ฟินทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วเดินหนีไปอีกทาง ภีมเดินไปขวางไว้อีก “จะไปไหนเล่า”

   “ไปเข้าห้องน้ำ จะเข้าไปด้วยกันมั้ยล่ะ” ฟินเดินต่อแล้วจับมือภีมให้เดินไปด้วยกัน

   “เอ้ย... ไม่ไป” ภีมกระชากมือออกแล้วยืนรอที่หน้าห้องน้ำ

   สักพักฟินก็ออกมา สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ภีมยืนพิงผนังกอดอกแล้วมองร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า “ฉันก็พูดไม่คิดอย่างนี้เสมอ นายก็น่าจะรู้นี่... ทีหลังก็อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์สิ”

   ฟินไม่พูดอะไรตอบ เพียงแต่เดินเข้ามาหาภีมแล้วดันร่างเพรียวบางนั้นให้ชิดกับผนัง

   ดวงตาคมทั้งสองคู่สบกันในทันที ความร้อนแล่นขึ้นสู่ใบหน้าทั้งสองคน ไม่มีใครพูดอะไร ฟินไม่ได้ขยับตัวหรือทำอะไรมากไปกว่าใช้สองมือกั้นกักตัวภีมไว้ ส่วนภีมก็ไม่ได้ขัดขืนหรือผลักไส

   ท่ามกลางความเงียบ ความคิดต่างๆและคำพูดมากมายเอ่อล้นอยู่ในดวงตาของคนทั้งคู่ ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว แค่นี้ก็มากเกินพอ...

   ไม่มีอะไรที่ต้องกล่าวแล้ว

   ภีมโผเข้ากอดฟินเอาไว้ ฟินกอดตอบ “เป็นอะไรไปภีม” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน

   “อยากกอดนายน่ะ... ฟิน” ภีมตอบเสียงแผ่ว

   “หลงรักฉันล่ะสิ” ฟินพูดกลั้วหัวเราะ

   “ก็รู้อยู่นี่นา”

   “จะยอมฉันหรือยัง” ฟินกระซิบเสียงแผ่วที่หูของภีม

   “เรื่องอย่างนี้ ใครเขาถามกันวะ” ภีมตวาดเข้าให้

   ฟินยิ้มแก้มปริแล้วลากภีมเข้าห้องทันที

   “ปัง” เสียงประตูห้องปิดลงอย่างแรง

   “กลางวันอยู่เลยว่ะ อย่างนี้ก็เขินตายสิวะ” ภีมบ่นพลางยันอกของฟินไว้

   “เรื่องแค่นี้เอง” ฟินลุกขึ้นไปปิดม่าน จนแสงภายในห้องเหลืออยู่น้อยนิด “มันอึมครึมยังไงก็ไม่รู้นะภีม”

   “มืดก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่เห็นอะไรๆ” ภีมตอบ

   ฟินหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพุ่งตัวขึ้นเตียงนอนทับภีมเอาไว้

   “เจ็บเว้ย ตัวก็ใหญ่ กระโดดเข้ามาได้” ภีมบ่นกระปอดกระแปด

   ฟินเอ่ยคำขอโทษเบาๆ แล้วจูบริมฝีปากของภีมอย่างหนักหน่วง น้ำหนักของริมฝีปากที่บดขยี้ลงมานั้นรุนแรงและเร่าร้อนจนแทบหลอมละลายร่างที่อยู่เบื้องล่างให้สลายหายไปได้ ภีมแอ่นรับร่างที่ทาบทับแนบแน่นอยู่บนร่างกาย

   ความร้อนแล่นไปทั่วร่างจนเสียงครางหลุดออกมาจากปากของคนทั้งคู่ ฟินสอดมือเข้าไปรองรับแผ่นหลังร้อนรุ่มของภีมแล้วลูบจนทั่ว ภีมเสียววาบไปทั่วทั้งกายจึงระบายความรู้สึกนี้ด้วยการจิกเข้าที่แผ่นหลังของฟิน เล็บของภีมคมพอที่จะสร้างรอยแผลเล็กๆไว้บนแผ่นหลังเนียนละเอียดนั้น

   ไม่ใช่ว่าฟินจะไม่รู้สึกเจ็บ เขาชะงักไปนิดนึงแล้วลงโทษภีมด้วยจุมพิตที่สามารถทำให้ภีมขาดอากาศหายใจตายได้ ภีมดิ้นทุรนทุรายไปมา สร้างความพอใจให้ฟินเป็นอย่างมาก

   ฟินถอนริมฝีปากออกแล้วกระซิบเสียงแผ่วที่ใบหูของภีม “หลังฉันเป็นแผลหมดแล้วภีม จิกไม่หยุดเลยนะ”

   “เหรอ... ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าทำอย่างนั้น” ภีมตอบซื่อๆพลางลูบไปตามแผ่นหลังร้อนนั้น มันเป็นรอยเล็บของเขาจริงๆ ภีมยิ้มแห้งๆรับสารภาพออกมา “จริงด้วยสิ ขอโทษที ฉันไม่รู้ตัวจริงๆ”

   “ไม่ให้อภัยหรอก” ฟินขบใบหูนุ่มนิ่มของภีมจนทั่ว จากนั้นก็เลื่อนริมฝีปากมาอยู่ที่ลำคอขาวแล้วกลืนกินเนื้อหนังบริเวณนั้นจนเป็นรอยแดง รอยดูดอย่างเดียวยังไม่พอ ฟินยังกัดเบาๆแถมให้อีกหลายครั้ง จนภีมต้องปรามด้วยการดึงใบหูของฟินให้หยุดการกระทำแบบนี้เสียที

   เพราะมันเจ็บ...

   “แค่นี้ก็ไปไหนไม่ได้แล้วเพราะรอยเต็มไปหมด” ฟินกลั้วหัวเราะ

   ภีมจิกเข้าให้ที่แผ่นหลังของฟิน ฟินสะดุ้งร้องเสียงดัง “เจ็บนะภีม”

   “ร้ายกว่าฉันอีกนะฟิน” ภีมเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ บางทีการยอมผู้ชายคนนี้มากไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเองมากนัก นี่คือบทเรียนหนึ่งที่ภีมสมควรจำไว้

   “ไม่ได้เรียกว่าร้ายสักหน่อย...” ฟินเถียง “เรียกว่าฉลาดต่างหาก”

   “งั้นฉันก็คงโง่... ที่ตามนายไม่ทัน” ภีมต่อให้

   “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะภีม” ฟินจูบริมฝีปากที่เม้มอยู่ของภีม “เราต่างคนต่างก็ฉลาดคนละแบบต่างหาก”

   “มั่วจริงๆ” ภีมพูดใส่ฟิน แม้ความมืดจะทำให้ไม่เห็นรายละเอียดบนใบหน้าของฟิน แต่ภีมก็พอจะเดาได้ว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไร

   “ยิ่งพูดก็ยิ่งมากเรื่อง” ฟินปิดริมฝีปากของภีมที่กำลังจะสรรหาคำพูดมาแย้งกับเขา

   ร่างทั้งสองร่างเกี่ยวกระหวัดกันไปมาอยู่บนเตียง

   “ใครโป๊ก่อน... คนนั้นแพ้” อยู่ดีดีฟินก็พูดขึ้นมาแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของภีมออก กว่าภีมจะตั้งสติได้ก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปแล้ว

   “ขี้โกง” ภีมว่าพลางฉีกทึ้งเสื้อผ้าของฟินอย่างโมโห

   ฟินไม่ยอมแพ้เช่นกัน

   ความชุลมนบนเตียงเกิดขึ้นไม่นานก็ปรากฏผู้ชนะ

   “ฉันชนะแล้วภีม” ฟินกดร่างของภีมลงไป

   “อะไรๆก็เป็นเกมไปหมด ชนะเรื่องแบบนี้... ภูมิใจหรือไง” ภีมบ่น

   ฟินยิ้มอย่างพอใจก่อนจะตอบออกมาพร้อมกับเปลื้องชิ้นส่วนสุดท้ายในร่างกายออกไปด้วยตัวเอง “ภูมิใจที่สุดเลยล่ะ”

   ร่างเปลือยเปล่าอันร้อนรุ่มของทั้งสองทาบทับกันแน่บแน่น แล้วผลัดกันสร้างความปั่นป่วนในร่างกายไปมา

   ฟินทาบมือลงไปที่หน้าท้องของภีมแล้วพรมจูบบนใบหน้าเนียนจนทั่ว “พร้อมหรือยังภีม”

   “คิดเองไม่เป็นเหรอ” ภีมหัวเราะเบาๆ

   ท่ามกลางความมืดจอมปลอม สรรพสิ่งรอบๆข้างยังคงเดินต่อไปอย่างไม่มีหยุด แต่สำหรับคนทั้งสองที่อยู่ในห้องนี้ เขากลับรู้สึกราวกับว่าเวลาและความวุ่นวายต่างๆได้หยุดลงเพียงเท่านี้


   หนึ่งทุ่มตรง

   ณ ร้านอาหารเล็กๆริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ถัดจากคอนโดของฟินเพียงสองร้อยเมตร บริกรหญิงคนหนึ่งมองไปที่โต๊ะริมสุดของร้านด้วยความสงสัยใคร่รู้ เธอจ้องอยู่นานจนไม่เป็นอันทำการทำงาน มองทุกอิริยาบถของคนทั้งสองตั้งแต่แรกเดินเข้ามาจนกระทั่งตอนกำลังกิน!

   “นี่เธอ มายืนอยู่ตรงนี้ทำไม ไปทำงานทำการสิยะ ฉันจ้างเธอมายืนมองผู้ชายกินข้าวรึยังไง” เสียงเจ๊เจ้าของร้านดังขึ้น เรียกความสนใจจากบรรดาลูกค้าที่นั่งอยู่ให้มองไปยังที่เกิดเหตุทันที

   สาวน้อยคนนั้นก้มหน้างุดเก็บความอาย “ขอโทษค่ะ จะไปทำงานเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” เธอพูดเสียงสั่นพลางรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว

   “เจ๊ร้านนี้ ดุชะมัดเลยว่ะฟิน” ภีมบ่นเบาๆให้ฟินฟัง

   แต่ฟินดูเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่จึงไม่ได้ยินที่ภีมพูด

   “เฮ้ย... เป็นอะไร” ภีมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เหม่อเชียว”

   ฟินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะปฏิเสธ

   “ฉันบอกว่าเจ๊ร้านนี้ ดุชะมัดเลย” ภีมทวนคำพูดเดิมซ้ำ

   ฟินยิ้มบางๆ “เหรอ ถ้านายว่าดุ... ก็คงดุจริงๆนั่นล่ะ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวอย่างเงียบๆ สมองที่ปลอดโปร่งมาได้สองวันกลับต้องมาอึมครึมอีกครั้ง ฟินก็ได้แต่หวังและภาวนาในใจ อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือเขา อย่าให้เรื่องราวใดร้ายแรงไปมากกว่านี้อีกเลย

   “ภีม เดี๋ยวมานะ” ฟินลุกจากที่นั่งไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ภีมมองตามอย่างสงสัยแต่ก็ไม่อยากถามอะไรให้มากความ

   ร่างสูงเดินตรงเข้าไปทางหลังร้านพลางมองหาคนที่ต้องการพบ ในห้องครัวเต็มไปด้วยกลุ่มควันจากเตาอาหารและเสียงเอะอะโวยวายของบรรดาแม่ครัวอารมณ์ร้อนทั้งหลาย

   ฟินมองหาอยู่นานจนเจอ... เขาตรงเข้าไปแล้วลากเธอออกมาข้างนอกเพื่อคุยกันตามลำพัง

   “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง... มีน” ฟินถามเสียงเรียบ ในขณะที่ดวงตาจ้องไปยังใบหน้าขาวซีดและเต็มไปด้วยเหงื่อไคลของผู้หญิงตรงหน้า

   มีน หรือมีนา ค่อยๆเงยหน้าขึ้น แล้วแกะมือของฟินออกจากข้อมือของตัวเอง “มีน คือ...”

   ฟินผ่อนลมหายใจเบาๆอย่างอดทนรอคำตอบ มีนามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วทำไมต้องมาอยู่ในละแวกเดียวกับเขา แล้วถ้าเธอจะมาจริงๆทำไมถึงไม่มีใครที่ฟาร์มโทรมาบอกล่วงหน้า ทั้งๆที่มีนาไม่เคยเข้ากรุงเทพฯคนเดียว เรื่องนี้มันน่าสงสัยจริงๆ

   “ถ้าจะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน แล้วนี่มากับใคร” ฟินถามเสียงดังขึ้นกว่าเดิม มีนาสะดุ้งเล็กน้อย เธอรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   “พ่อมาส่ง มีนสอบติดมหาวิทยาลัยแถวนี้” มีนาตอบเสียงสั่น

   “แถวนี้เหรอ สอบติดที่ไหน” ฟินลุ้นตัวโก่ง หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกนะ

   “ที่เดียวกับฟินนั่นล่ะ” มีนาตอบออกมา ชั่ววินาทีนั้น ปมทุกอย่างก็คลายออกทันที ฟินฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีนามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทั้งๆที่เธอไม่เคยคิดจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯสักนิดเดียว

   “เล่ามาให้หมด เธอต้องเล่าให้ฉันฟังนะมีน พ่อบอกอะไรกับเธอ แล้วให้เธอมาที่นี่ทำไม” ฟินเริ่มสติแตก เขาเขย่าร่างเล็กตรงหน้าแรงๆจนตัวเธอสั่นเทาไปตามแรงนั้น

   “ไม่มีใครบอกอะไรทั้งนั้นล่ะ มีนอยากมาเรียนที่นี่เอง แล้วมันก็บังเอิญสอบติดที่เดียวกับฟิน มาอยู่ใกล้ๆกัน ไม่มีอะไรทั้งนั้น” มีนาพูดรวดเดียวจบ เธอโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย ฟินรู้ว่าที่เธอพูดมาตรงข้ามกับความจริงทั้งนั้น

   “บอกความจริงมา ฉันจะไม่ถามใคร นอกจากเธอ” ฟินพูดเสียงเข้ม แววตาเริ่มแข็งกร้าวขึ้น ทำไมทุกคนต้องเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขาด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ “ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ก็เล่ามาให้หมด”

   มีนากระพริบตาถี่เพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

   “ไม่ใช่เวลามาบีบน้ำตานะมีน เล่ามาให้หมด” ในน้ำเสียงเรียบเฉยนั้นเต็มไปด้วยความประชดประชัน มีนารู้ดี แต่เธอจะเล่าความจริงให้ผู้ชายคนนี้ฟังได้อย่างไร ในเมื่อยังมีผู้ชายอีกคนขอร้องเธอไว้ทั้งน้ำตา

   “ไม่มีความจริงอะไรต้องเล่า มีนอยากเรียนที่ไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฟินด้วย” มีนาตวัดเสียงใส่ “แล้วฟินคิดว่ายังไงล่ะ คิดว่าคุณอาส่งมีนมาเหรอ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอาจะส่งมีนมาทำไม แล้วเหตุผลอะไรที่ฟินต้องตกใจขนาดนี้” มีนาถือโอกาสนี้โยนความกังวลใจไปให้ฟินแทน

   แต่อย่างที่บอก ฟินฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีนากำลังโกหก ผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกับเขา โกหกไม่เก่งเลยสักนิดเดียว “พักอยู่ที่ไหน” ฟินเปลี่ยนเรื่องพูดเสียเฉยๆ

   มีนาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมบอกออกมา “คอนโดเดียวกับฟินนั่นล่ะ”

   และคำตอบของมีนาก็ทำให้ฟินมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าเธอมาอยู่ที่นี่โดยความประสงค์ของใคร มีนาไม่ชอบกรุงเทพฯ ไม่เคยคิดจะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ไม่ว่าตอนเด็กๆฟินจะชักชวนเธอเท่าไร เธอก็ปฏิเสธหัวชนฝา ไม่ยอมท่าเดียว และอีกเหตุผลหนึ่ง ครอบครัวของมีนานั้นคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อคอนโดราคาหลายล้านนี้ให้เธออยู่อย่างแน่นอน

   มีนาเป็นลูกสาวคนเดียวของวิทยา เพื่อนของนทีพ่อของฟิน มีนาและฟินจึงจักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่พอฟินเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ทั้งคู่ก็พูดคุยกันน้อยลง จนคล้ายคนไม่รู้จักกัน อีกอย่าง ครอบครัวของวิทยาได้รับการช่วยเหลือจากนทีในหลายๆเรื่อง ถ้ามีนาจะมาที่นี่เพราะคำขอร้องแกมบังคับของนที ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิดเดียว

   “ทำไมไม่พูดความจริง” ฟินถามเสียงอ่อน

   มีนาหลุบตาลงต่ำ ไม่อยากเห็นดวงตาคมคู่นั้น “มีนพูดความจริงทุกอย่าง ถ้าฟินไม่เชื่อก็ตามใจ” มีนาหมุนตัวเดิน

   ฟินฉุดข้อมือเธอไว้ “ฉันจำทุกเรื่องของเธอได้นะมีน เธอเคยพูดอะไรกับฉัน ฉันจำได้หมด แล้วรู้ไว้ซะ... ว่าเธอโกหกไม่เนียนเลย”

   มีนาใจเต้นกับคำพูดทุกประโยคของฟิน มันทำให้เธอตัวเบาหวิวอย่างที่เคยเป็นมาทุกๆครั้งที่คุยกับเขา ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกครั้งที่ฟินกลับมาบ้าน เขาจะซื้อของมาฝากเธอเสมอ ฟินจะแวะไปหาเธอที่บ้าน แต่ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยได้พบกันเพราะมีนาจงใจหลบหน้าฟินเสียทุกครั้งไป

   “ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกัน... ก็อย่ามาถามอะไรมีนอีกเลย” มีนาตอบกลับมาเสียงแข็งพลางดึงข้อมือกลับ แต่ฟินไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

   “เธอไม่ชอบกรุงเทพฯ เกลียดความฟุ่มเฟือย แล้วตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอยืนอยู่ที่ไหน ยืนอยู่เพราะอะไร เพราะถูกบังคับน่ะหรือ เธอไม่ใช่มีนา...คนที่ฉันรู้จักเลยสักนิด” พูดจบ ฟินก็ค่อยๆปล่อยมือของมีนาออก

   “คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้นี่ เหมือนที่ฟินกำลังเปลี่ยนไปเหมือนกัน” มีนาทิ้งท้ายแล้วเดินกลับเข้าครัวไป

   ฟินยืนนิ่งอย่างนั้น จะทำอย่างไรต่อไปล่ะ... พ่อของเขาดึงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาวุ่นวายเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว

   แม้ว่าฟินจะรู้สึกสงสารมีนา แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าสงสารตัวเองเช่นกัน...

   ฟินเดินกลับมานั่งที่เดิมด้วยใบหน้าซีดเซียว ภีมมองคนตรงข้ามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ฟินต้องรอให้เขารู้เรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองหรือไงถึงจะยอมเล่าเรื่องที่กำลังปิดบังอยู่ให้ฟัง

   ภีมไม่รู้ว่าระหว่างฟินและผู้หญิงคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน และภีมก็จะไม่ถามอีกแล้ว ภีมจะรอให้ฟินเป็นคนพูดทุกอย่างออกมาเอง “ไปไหนมาเหรอฟิน” ภีมถามเสียงเรียบ แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทั้งๆที่ตนเองนั้นไปยืนแอบดูคนทั้งคู่อยู่นานสองนาน

   “ไปเข้าห้องน้ำมาน่ะ” ฟินละล่ำละลักตอบโดยที่ไม่มองหน้าภีม

   ภีมรู้สึกใจหายวูบกับคำโกหกนั้น ฟินโกหกไม่เก่งจริงๆนั่นล่ะ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาด้วยความกลัว

   “กลับกันเถอะ มื้อนี้หารครึ่งละกัน อย่ามาเลี้ยงฉันเลย” ภีมวางเงินไว้แล้วลุกเดินออกไปเงียบๆ ฟินรับรู้ถึงความผิดปกตินั้น แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเป็นเรื่องที่ภีมเห็นเขาและมีนาคุยกัน

   “ภีม รอก่อนสิ” ฟินรีบควักเงินออกมาจ่ายอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งตามภีมออกไป

   เมื่อฟินและภีมออกไปจากร้านแล้ว มีนาก็ก้าวออกมาจากเสาต้นใหญ่ที่แอบอยู่ เธอยืนแอบดูฟินและภีมคุยกันและก็พอจะรู้ด้วยว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน

   ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความสับสน โทรบอกคุณอานทีเหรอ... มันถูกต้องแล้วหรือกับการตอบแทนบุญคุณแบบนี้ มันถูกแล้วหรือ...

   มีนาหลับตาลงเพื่อตั้งสติ...

   แต่จะเรียกสติกลับมาได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้สมองของเธอมีแต่ภาพของชายหนุ่มหน้าตาเฉยเมยคนนั้นวนเวียนอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในสมองเล็กๆของเธอ


ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
งงจัง ถ้านทีขอให้มีนมาอยู่กรุงเทพฯ ขอให้เรียนที่เดียวกับฟิน และให้อยู่คอนโดฯ เดียวกับฟิน นทีก็น่าจะช่วยออกค่าใช้จ่ายหลายๆ ด้านให้ด้วยสิ
แล้วทำไมมีนต้องมาทำงานในร้านอาหารด้วยอะ หรือเป็นการแบ่งเบาภาระหว่า

คนโกรธกันเคืองกันเพราะความลับที่มีต่อกันอีกแล้วววว คนอ่านจะเซ็งทุกครั้งที่อ่านเจอแบบนี้  เง้ออออออ   :เฮ้อ:

tawan

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมรู้สึกว่าอ่านไปแล้วมันเหนื่อยจังอะ

เหนื่อยใจแทน

 :call:

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
อุปสรรคเพิ่มมาอีกแล้ว
เพิ่งจะดีกันแท้ๆ = =

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 26 – ปิดบังและเปิดเผย


   มีนาย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯได้สองสัปดาห์แล้ว ส่วนงานที่ทำอยู่ก็เป็นงานเสริมที่เลือกจะทำเอง แม้ไม่เต็มใจนักกับเส้นทางชีวิตที่ผิดไปจากความตั้งใจเดิม แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้เธอกลับยอมรับมันอย่างง่ายดาย

   เดือนก่อน นทีมาหามีนาที่บ้านแล้วขอร้องให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับฟินให้ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้เข้าเรียนที่เดียวกับฟิน ส่วนเรื่องที่อยู่ที่อาศัย เขาจะเป็นคนจัดการให้ นทีไม่ได้เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฟินและภีมให้มีนาฟัง นทีบอกเพียงแค่ว่าอยากให้มีนาช่วยควบคุมดูแลพฤติกรรมของฟินแล้วคอยรายงานให้เขาฟังทุกเรื่อง

   ทุกเช้าเย็น บางครั้งก็เกือบทั้งวัน มีนาจะขึ้นมาด้อมๆมองๆฟิน ว่าเขาทำอะไรบ้าง ออกไปไหนหรือเปล่า หรือมีใครมาหาเขา บางครั้งวันทั้งวันไม่เห็นฟินออกมาจากห้อง เธอก็แทบอยากวิ่งไปที่หน้าประตูห้องริมสุดนั้นแล้วตะโกนใส่หน้าให้เขาได้รับรู้ว่ายังมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขา อย่างสัปดาห์ก่อนที่มีนาไม่ได้เห็นหน้าฟินเลย เพราะช่วงนั้นฟินเข้าโรงพยาบาล เธอเป็นกังวลมาก แต่ก็ไม่กล้าโทรบอกนทีว่าฟินหายไปไหน สิ่งเดียวที่ทำได้คือ มอง มอง และมองต่อไป

   จนกระทั่งวันนี้ วันที่ฟินเห็นเธอเข้าจนได้ ถ้านทีรู้ต้องโกรธเป็นแน่ เพราะเขาอุตส่าห์สั่งนักสั่งหนาว่าอย่าให้ฟินรู้เป็นอันขาด ฟินจะรู้ก็ต่อเมื่อเปิดเรียนแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว... ทำไมเธอต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย จริงอย่างที่ฟินพูด มันไม่ใช่ตัวเธอเลย ไม่ใช่สักนิดเดียว

   “ภีม คุยกันให้รู้เรื่องสิ อยู่ดีๆก็งอนอย่างนี้ ฉันงงไปหมดแล้ว” ฟินพูดเสียงอ่อนเมื่อเห็นว่าภีมไม่หยุดเดินเสียที

   “ฉันจะกลับบ้าน” ภีมตะโกนเสียงดังแล้วเดินดุ่มๆลูกเดียว เขาคิดจะไม่โกรธและไม่สนใจอยู่แล้วเชียว แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องอะไรนักหนาถึงต้องปิดบังกันถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่ต้องโกหก แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน “โธ่เว้ย!”

   “ภีม ใจเย็นๆก่อน เรามานั่งคุยกันดีดีสิ” ฟินจับชายเสื้อของภีมไว้ แต่ภีมก็ยังไม่หยุดเดิน ฟินจึงต้องใช้แขนเกี่ยวคอของภีมไว้แล้วลากไปนั่งที่ม้านั่งริมทาง “สงบสติอารมณ์ก่อน อยู่ดีๆก็อารมณ์เสีย เป็นอะไรไป”

   ภีมส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้ฟินก่อนจะยอมนั่งลงดีๆอย่างที่เขาบอก

   “อารมณ์เสียทำไม” ฟินพูดอย่างอ่อนโยนพลางย่อตัวลงนั่งข้างๆภีม “โกรธฉันเรื่องอะไร”

   ภีมยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ฟินรู้ทุกเรื่องแต่กลับตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่อง “นายก็รู้อยู่แก่ใจ”

   ฟินงงเป็นไก่ตาแตก ภีมพูดถึงเรื่องอะไร “อะไร... ที่ฉันรู้อยู่แก่ใจ”

   ตอนแรกภีมตั้งใจจะไม่พูด ไม่ถามอะไรอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยับยั้งชั่งใจไม่อยู่ “นายกับผู้หญิงในร้านอาหารคุยเรื่องอะไรกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพ่อของนาย แล้วยังเรื่องก่อนหน้านี้ที่นายจงใจปิดบังฉัน ฉันรู้ว่านายมีอะไรซ่อนไว้ในใจ ฉันไม่อยากถามแม้จะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม ฉันคิดว่าสักวันนายต้องบอกฉันเอง แต่สุดท้าย... เรื่องมันยิ่งไปกันใหญ่ นายยิ่งแปลกไปทุกที จะเล่าให้ฉันฟังได้รึงยัง ว่านายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่”

   ฟินทำหน้านิ่ง ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นในใจ บอกหรือ... ถ้าบอกแล้วภีมจะว่าอย่างไร หรือว่าจะโกหกภีม... ภีมจับได้อยู่แล้ว หรือว่า...

   “คิดอยู่เหรอ... ว่าจะโกหกฉันอย่างไร” ภีมพูดเยาะเย้ย

   “บอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มันเป็นปัญหาของฉันเอง ฉันต้องแก้ด้วยตัวเอง” ฟินพูดตัดปัญหาไป แต่ในความจริง... มันสร้างปัญหาให้วุ่นวายขึ้นไปอีกต่างหาก

   ภีมหัวเราะหึ... ยืนขึ้น แล้วต่อยหน้าฟินอย่างแรงครั้งหนึ่ง “คิดอย่างนี้ใช่มั้ย”

   ฟินไม่พูดอะไรตอบได้แต่ก้มหน้าด้วยความสับสน

   “งั้นนายกับฉันไม่ต้องมายุ่งกันอีก เพราะฉันคงคบกับคนแบบนี้ไม่ได้หรอก” ภีมพูดเสียงสั่น ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บปวดที่พูดไปอย่างนั้น แต่ฟินเลือกที่จะทำแบบนี้ ภีมก็มีหนทางของตัวเองเช่นกัน

   “หมายความว่าจะเลิกกันใช่มั้ย” ฟินถาม

   “ฉันกับนายก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้วนี่” ภีมเริ่มน้ำตาคลอ โมโหที่ทำไมป่านนี้แล้ว ฟินยังเลือกที่จะปิดบังอยู่อีก

   “กลับบ้านกันเถอะ ไว้วันอื่นค่อยคุยกัน” ฟินลุกขึ้นยืน จับมือภีม แล้วพาเดินไปข้างหน้า ภีมไม่พูดอะไรได้แต่เดินตามไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงคอนโด

   ภีมไม่ได้โวยวายว่าจะกลับบ้านหรือแสดงท่าทีอะไรอีก ฟินก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินลูกเดียว จนมาถึงห้องนั่นล่ะ ฟินก็พบว่ามีคนมายืนรออยู่ก่อนแล้ว

   “มีน” ฟินเรียกชื่อเธอเบาๆ ภีมเกิดปฏิกิริยาทันที เขาดึงมือออกจากการเกาะกุมของฟิน แต่ฟินก็ไปดึงกลับคืนมาจับอยู่เหมือนเดิม

   “มีนจะเล่าให้ฟินฟังทุกเรื่อง และฟินก็ต้องเล่าเรื่องของฟินให้มีนฟังเหมือนกัน” มีนาพูดออกมา พลันเลื่อนสายตาไปหยุดที่มือของทั้งสองคนที่จับกันแน่น “เล่าให้หมดทุกเรื่องนะ”

   “ได้ จะเล่าให้ฟังทุกเรื่องเลย” ฟินพูดเสียงเรียบ เดินไปเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับภีม มีนาเดินตาม ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่มือของฟินที่จับมือของผู้ชายอีกคนจนแน่น

   “อยากเล่นเกมหรือเปล่าภีม” ฟินถามเสียงอ่อน ภีมส่ายหน้าปฏิเสธพลางแกะมือของฟินออกแล้วเดินเข้าห้องนอนของฟินไปเงียบๆ

   ฟินไม่รั้งไว้เพราะนั่นคือสิ่งที่ภีมอยากทำมากที่สุด

   “พ่อขอร้องให้มีนทำแบบนี้ใช่มั้ย” ฟินเปิดประเด็นก่อน แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาตัวโปรดพลางกวักมือเรียกมีนาให้เข้าไปนั่งด้วยกัน
   มีนาพยักหน้ารับก่อนจะเล่าเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟินฟัง เล่าไปเล่ามาน้ำตาก็ไหลออกมา

   ฟินส่งกระดาษทิชชู่ให้เธอ “พักก่อนก็ได้”

   “ไม่ต้องหรอก ฟังให้จบเลยละกัน” มีนาเล่าต่อถึงเรื่องราวที่นทีสั่งให้เธอทำ ไม่ว่าจะเป็นรายงานพฤติกรรมของฟิน ตลอดจนคอยดูแลฟินในเรื่องของการคบเพื่อน

   ไม่นานนัก เรื่องของมีนาก็จบลง ทุกอย่างเป็นไปตามี่ฟินคิดจริงๆ ฟินเคยคิดว่านทีเป็นพ่อที่เข้าใจลูกมากที่สุด แต่ตอนนี้... เขากลับเป็นพ่อที่ไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจกับลูกเลยสักนิดเดียว

   “มีนคิดว่าจะเข้าเรียนที่บ้านเรานั่นล่ะ มีนอยากเรียนวิศวะที่โน่น อยากอยู่กับพ่อด้วยล่ะ มีนจะบอกปฏิเสธเรื่องนี้กับอานที จะไม่ทำให้ฟินเดือดร้อนแน่นอน” มีนาพูดทั้งน้ำตา “เอาล่ะ เล่าเรื่องของฟินมาได้แล้ว”

   ฟินยิ้มบางๆ “พ่อทำแบบนี้เพราะต้องการรู้...”

   “ติ๊ง ต่อง” เสียงกริ่งดังขึ้น ฟินจะลุกขึ้นไปเปิด แต่มีนาบอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวเธอไปเอง

   ฟินสงสัยเหลือเกินว่าใครกันที่มาหาได้เลือกเวลาดีจริงๆ (ประชด)

   มีนาเปิดประตูห้องช้าๆ พบผู้ชายคนหนึ่งยืนยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ แต่พอเห็นหน้าเธอเท่านั้นกลับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทั้งรอยยิ้มที่มีอยู่ก็จางหายไป

   “ผมคงเข้าห้องผิด” เขาพูดราวกับคนละเมอ

   ฟินเห็นมีนาหายไปนานจึงเดินออกมาดู แล้วก็ต้องทำหน้าเบื่อโลกสุดชีวิต เมื่อเห็นว่าคนที่มาเยือนนั้นคือใคร

   “ติณณ์ นายมาทำไม แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” ฟินพูดอย่างอ่อนแรง จะมีอีกสักกี่ปัญหากันนะที่เข้ามาทดสอบความอดทนของเขา

   “ถามพี่ภูมาน่ะ แล้วทำไมพี่พาผู้หญิงเข้าห้องล่ะเนี่ย แล้วพี่ภีมรู้เรื่องหรือเปล่า พี่ทำอย่างนี้...” ติณณ์ต่อว่าชุดใหญ่ ไม่รู้ว่าโกรธแทนภีมหรือกำลังอิจฉาที่มีผู้หญิงสวยๆแบบนี้เข้ามาอยู่ในห้อง

   “ไปกันใหญ่แล้วติณณ์ ภีมอยู่ข้างในนี่ล่ะ มา... เข้ามาก่อน” ฟินยิ้มเจื่อนๆก่อนจะเดินนำเข้าไป

   “นายไปอยู่กับภีมในห้องก่อน ฉันมีเรื่องต้องคุยกับมีนตามลำพัง” ฟินบอกติณณ์

   “ผู้หญิงสวยๆคนนี้ชื่อมีนเหรอ” ติณณ์ถามฟินแต่ยิ้มให้มีนา

   “เออ” ฟินตอบสั้นๆ

   ติณณ์ยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปใกล้มีนา “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อติณณ์ เป็นรุ่นน้องของพี่ฟินและพี่ภีม”

   “ค่ะ พี่ชื่อมีน เป็นเพื่อนกับฟิน” มีนาตอบยิ้มๆ

   ติณณ์ทำหน้าล่องลอย เขากำลังตกหลุมรักอย่างจัง สาวรุ่นพี่เหรอ... น่าสนใจจริงๆ “ผมหล่อมั้ยครับ”

   “พอเลยติณณ์ ยังไม่ใช่เวลา” ฟินพูดพลางลากคอเสื้อของติณณ์ให้เดินไปได้แล้ว

   ติณณ์ออกปากว่า “เดี๋ยวนี้พี่ฟินเถื่อนจังนะ หวงผู้หญิงคนนี้เหรอ”

   “เปล่า แต่ห่วงต่างหากเล่า ถ้านายไม่จริงจังก็อย่ามาล้อเล่น”

   “ผมไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อนเลยพี่ รักแรกพบชัดๆ ผมอยากเป็นแฟนกับพี่มีนครับ” ติณณ์พูดตรงๆอย่างหน้าตาเฉย แถมยังพูดเสียงดังอีกด้วย มีนาได้ยินเข้าก็อายม้วนทีเดียว เกิดมาไม่เคยมีใครพูดจาตรงๆแบบนี้มาก่อน

   “เออ เดี๋ยวค่อยออกมาสารภาพ เข้าไปอยู่กับภีมก่อนเลย” ฟินเปิดประตูห้องนอนของตนแล้วโยนติณณ์เข้าไปในห้อง แล้วตัวเองก็เดินมานั่งคุยกับมีนาต่อ

   ฟินเล่าเรื่องระหว่างเขาและภีมให้มีนาฟัง เธอตกใจเล็กน้อยแต่ก็ตั้งสติได้ในที่สุด เพราะอย่างไรฟินก็คือเพื่อนเธอ และสิ่งที่เขาเป็นก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรือเป็นความผิดมหันต์แต่อย่างใด

   “เข้าใจฉันหรือเปล่ามีน ฉันเป็นแบบนี้แล้วเธอยังอยากจะเป็นเพื่อนฉันอยู่มั้ย” ฟินถามหลังจากเล่าเรื่องทุกอย่างจนจบ

   “ฟินเป็นผู้ชายที่เท่ที่สุดเท่าที่มีนเคยรู้จักมา ยังไงฟินก็ยังเป็นฟินคนเดิมเหมือนที่เคยเป็น” มีนายิ้มให้ แม้จะรู้ความจริงทุกอย่างแต่เธอก็ไม่ได้มองผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปเลย เขายังคงเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและพร้อมที่จะทำเพื่อคนอื่นเสมอ

   “ว่าแต่... ไปได้แผลนั้นมาจากไหน” มีนาชี้ไปที่มุมปากของฟินที่บวมช้ำเพราะหมัดของภีม

   “ภีมต่อยน่ะ ไม่เข้าใจกันนิดหน่อย” ฟินบอกพลางลูบคลำบริเวณแผล

   ในระหว่างที่ฟินและมีนาคุยกัน ติณณ์ก็กำลังคุยกับภีมอยู่ในห้องเช่นกัน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ติณณ์พูดคนเดียวเสียมากกว่า ภีมแทบไม่พูดอะไรเลย

   “พี่ว่าพี่มีนสวยป่ะ” ติณณ์ยังถามไม่เลิก ทั้งๆที่ภีมก็ตอบไปหลายครั้งแล้วว่า ‘สวย’

   “พี่ว่าถ้าผมจีบ เธอจะ say yes! ป่ะ” ติณณ์สะกิดต้นแขนของภีมเบาๆ

   ภีมชักเริ่มรำคาญขึ้นมา ตั้งแต่ติณณ์เข้ามาในห้องก็เพ้อเรื่องมีนาไม่หยุด

   “ไม่รู้สิ แต่ดูแล้วผู้หญิงคนนั้นท่าจะชอบฟินนะ” ภีมตอบออกมา พูดแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจเหมือนกัน

   “พี่รู้ได้ยังไง” ติณณ์ถามด้วยความอยากรู้

   “ฉันดูออกก็แล้วกัน” ภีมทำหน้าเศร้าออกมา โชคดีที่ติณณ์ไม่เห็น ไม่อย่างนั้นต้องโดนล้อเขาเป็นแน่

   “ถ้าพี่ดูพี่มีนออก ผมก็ดูออกเหมือนกันว่าพี่ฟินไม่ได้ชอบพี่มีนเลย” ติณณ์พูดอย่างมั่นใจ

   เมื่อหัวข้อสนทนาเรื่องนี้จบลง ฟินก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี “อยากสารภาพอะไรก็ทำซะ เพราะมีนจะกลับบ้านพรุ่งนี้แล้ว” ฟินบอกติณณ์

   ติณณ์ทำหน้าแตกตื่นแล้วรีบวิ่งไปหามีนาทันที

   “เป็นแฟนกับผมเถอะครับ ผมจะดูแลพี่อย่างดีเลย ผมสาบาน” นั่นคือประโยคแรกที่ติณณ์พูดกับมีนาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและดังก้องไปทั่วทั้งห้อง

   ฟินและภีมมองหน้ากัน เมื่อได้ยินประโยคนั้นของจอมทะเล้นอย่างติณณ์ ฟินเป็นฝ่ายยิ้มให้ก่อนแต่ภีมกลับทำหน้าบึ้งใส่

   “ได้เวลาที่เราต้องเคลียร์กันแล้วภีม” ฟินพูดพลางปิดประตูลงเสียงดัง จากนั้นก็เดินเข้ามานั่งข้างๆภีมบนเตียง

   ในห้องมีเพียงแสงสว่างจากพระจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เมื่อประตูในห้องนี้ปิดลง เสียงใดก็ไม่อาจเข้ามารบกวนได้อีกต่อไป

   “ฉันจะเล่าทุกเรื่องให้นายฟัง แต่นายต้องสัญญากับฉันก่อนว่าจะไม่ทำอะไรที่มันเป็นไปตามความต้องการของคนอื่นโดยที่ไม่ใช่ความต้องการแท้จริงของเราสองคน” ฟินยื่นข้อเสนอด้วยเสียงจริงจัง

   “ตกลง” ภีมตอบเบาๆ ใบหน้าร้อนผ่าวเพราะคำพูดของฟิน

   หลังจากนั้น ฟินก็เล่าทุกเรื่องที่เขาปิดบังมาตลอดให้ภีมฟัง ภีมค่อนข้างตกใจเป็นพิเศษกับเหตุการณ์ที่คอกม้าวันนั้น ไม่คิดว่าคนที่เข้ามาเห็นจะเป็นพ่อของฟิน แล้วไหนจะเป็นเรื่องที่พ่อของฟินสั่งให้ฟินทำแบบนั้น แต่ฟินกลับตัดสินใจโกหกเพื่อปิดบังเรื่องราวต่างๆอีก

   “นายไม่น่าโกหกพ่อ” ภีมบอกเบาๆ

   ฟินถอนหายใจบ้าง “มันมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นเหรอ ขนาดพ่อเข้าใจว่าฉันเลิกกับนายแล้ว ยังไปดึงมีนให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีกจนได้”

   “แต่โกหกไปแบบนั้น สักวันเขาก็จะรู้ความจริง” ภีมแย้ง

   “รอให้วันนั้นมาถึงก่อนแล้วกัน” ฟินพูดตัดบท คราวก่อนเขาก็พูดอย่างนี้ แต่วันนั้นที่ว่าก็มาถึงเร็วจนน่าตกใจ แต่วันนั้นที่เขาเพิ่งพูดวันนี้ล่ะ... อีกนานแค่ไหน ที่มันจะเดินทางมาถึง

   ภีมไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะถ้าเป็นเขาก็อาจจะทำเหมือนฟินเช่นกัน

   “เดี๋ยวไปจัดการกับสองคนนั้นก่อน รออยู่นี่นะภีม” ฟินหันไปบอกภีม จากนั้นก็ออกมาข้างนอก ติณณ์และมีนายังคงนั่งคุยกันอยู่

   พอมีนาเห็นฟินเดินออกมาก็ร้องเรียกให้เข้าไปนั่งคุยด้วยกัน แต่ติณณ์หันมาขยิบตาให้ฟินเป็นเชิงว่า จงอย่ามาเป็นก้างขวางคอ

   ฟินจึงพูดเพียงแค่ว่า “พรุ่งนี้จะไปส่งขึ้นรถนะ แล้วก็ล็อคห้องให้ด้วย ฉันไปนอนล่ะ”

   มีนาหรี่ตาลงอย่างจับผิด ติณณ์ไม่วายเสนอหน้ามาจุ้นอีกคน “แหมๆ จะเข้าไปเล่นจ้ำจี้กันล่ะสิ ไม่ต้องห่วงพี่มีนนะ เดี๋ยวผมไปส่งพี่เขาที่ห้องเอง”

   ฟินเดินเข้ามาใกล้ติณณ์แล้วบีบไหล่แรงๆ “รู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะติณณ์ แล้วรู้บ้างหรือเปล่าว่าเมื่อไหร่นายจะปากแตกอีกครั้ง”

   ติณณ์ห่อไหล่ สงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นมาทันที เขาไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้ามีนาหรอก ถึงได้ยอมฟินง่ายๆแบบนี้ เอ... หรือว่าเสียฟอร์มไปแล้วหว่า

   “ฟินไปนอนเถอะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ” มีนายิ้มตาหยี ในส่วนลึกกำลังพยายามต่อต้านความรู้สึกในใจที่มันตรงข้ามกับคำพูดและท่าทางของตัวเองโดยสิ้นเชิง

   “ไปล่ะ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็รีบวิ่งเข้าห้องไป เมื่อประตูปิดลง ใบหน้ามีนาก็เศร้าลงตามไปด้วย

   ติณณ์สังเกตเห็นเข้าก็เศร้าตามไปอีกคนเพราะรู้แล้วว่ามีนาชอบฟิน แต่คนอย่างติณณ์ซะอย่าง เขาไม่ยอมแพ้กับเรื่องนี้เป็นอันขาด

   นับจากวินาทีนั้น ติณณ์ก็สาบานกับตัวเองว่า ต้องทำให้มีนารักเขาให้จงได้...

   ฟินกลับเข้ามาในห้องอีกที ภีมก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว ฟินเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเตียงแล้วค่อยแทรกกายเข้าไปในผ้านวมผืนใหญ่

   “แอร์เย็นจังเลยนะภีม” ฟินกระซิบเบาๆที่ข้างหูของภีม แม้เปลือกตาของคนข้างๆจะปิดสนิทแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องหลับนี่

   ภีมไม่พูดตอบอะไร ยังคงนอนหลับตาอยู่เพราะวันนี้รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน มีทั้งเรื่องให้คิดและให้ทำจนล้นมือไปหมด

   ฟินยังคงก่อกวนภีมไปเรื่อยๆด้วยการสอดมือเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังของภีม แล้วซุกหน้าลงที่ลำคอเนียนละเอียดที่กำลังร้อนขึ้นเพราะการก่อกวนของฟิน

   ภีมพยายามไม่สนใจกับการกระทำนั้น ส่วนฟินก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาก่อกวนไปเรื่อยๆ เมื่อการลูบไล้ใช้ไม่ได้ผล ฟินก็เริ่มก่อกวนบริเวณริมฝีปากแทน

   ฟินประทับจูบลงบนริมฝีปากที่เม้มสนิทของภีม แล้วเลื่อนมือมาไล้วนบริเวณหน้าท้องที่กำลังเกร็งไว้อย่างสุดฤทธิ์

   “หลับจริงๆเหรอ” เสียงนั้นแผ่วเบาจนภีมแทบจะเอ่ยตอบกลับมาด้วยความลืมตัว

   “หายไปแวบเดียวเอง หลับง่ายจริงๆเลยนะ” ฟินยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ มือทั้งสองข้างก็ยังซุกซนไปทั่วทั้งร่างกายของภีม

   “พอแล้วฟิน” ภีมดึงมือของฟินออกจากเป้ากางเกงของตัวเอง “จะไม่เว้นบ้างเลยเหรอ”

   ฟินยิ้มบางๆอย่างพอใจ ในที่สุดภีมก็ไม่ได้หลับจริงๆ “แล้วแกล้งหลับทำไมล่ะ”

   “ก็มันเหนื่อย อยากจะนอน มีเรื่องให้คิดเยอะไปหมด” ภีมพูดอย่างอ่อนเพลีย

   “ไม่ต้องคิดอะไรให้มันวุ่นวายสิ อยู่กันสองคนก็คิดแค่เรื่องเราสองคนสิ” ฟินพูดพลางปลดกระดุมเสื้อของภีม

   ภีมดึงมือของฟินออกอีกครั้ง “ข้างนอกยังมีอีกสองคน แหกตาดูสิ”

   “ไปกันแล้วมั้ง ป่านนี้” มือหนายังคงพยายามปลดกระดุมเสื้อต่อไป

   “อย่ามากระตุ้นอารมณ์ฉันได้มั้ย จะนอนแล้วเฟ้ย” ภีมพูดอย่างเหลืออด

   แต่ไม่รู้ทำไมฟินยิ่งดันทุรังที่จะทำต่อไป แล้วความดันทุรังนี้ก็ทำให้เขาถอดเสื้อผ้าของภีมได้สำเร็จ

   “เปิดไฟดีกว่า” อยู่ดีดีฟินก็พูดขึ้นแล้วทำท่าจะลุกขึ้นไป ภีมจึงรีบตะครุบตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว

   “ไอ้บ้า จะเปิดทำไม ฉันอายนะเว้ย” ภีมตะคอกใส่

   “แล้วจะยอมมั้ยล่ะ” ฟินถาม มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้ง

   ภีมถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด “เรื่องอย่างนี้ ใครเขาถามกันฟะ”

   “แสดงว่ายอม” แล้วฟินก็จัดการเปลื้องผ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว

   “ฉันยอมนายกี่ครั้งแล้วเนี่ย” ภีมบ่นกับตัวเองเบาๆ จากนั้นจุมพิตที่แสนร้อนแรงก็โหมกระหน่ำเข้ามาราวพายุ

   ใครว่าผู้ชายคนนี้ใจเย็น มันใจร้อนเป็นไฟเลยต่างหาก... ภีมนึกในใจพลางตอบรับจุมพิตนั้นอย่างตั้งใจ

   จุมพิตที่แสนเร่าร้อนนี้ดำเนินไปได้สักพักก็ต้องหยุดลง เมื่อภีมผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน ฟินทำหน้าเซ็งสุดฤทธิ์ แต่ก็ต้องยอมรับ ร่างสูงเดินลงจากเตียงแล้วใส่เสื้อผ้ากลับเข้าร่างกายของตัวเอง จากนั้นก็ใส่ให้กับผู้ชายอีกคนบนเตียง

   “รอดไปนะภีม” ฟินพูดกลั้วหัวเราะแล้วจุมพิตเบาๆที่หน้าผากเนียนของภีม

“อย่าลืมฝันถึงฉันล่ะ” ฟินกระซิบเบาๆพลางโอบกอดภีมไว้

“แอร์มันเย็นจริงๆด้วย” คนในอ้อมกอดพูดเบาๆคล้ายละเมอ ฟินได้ยินดังนั้นจึงกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น

“อุ่นขึ้นแล้วล่ะภีม” ฟินกระซิบบอกด้วยเสียงแผ่วหวาน แล้วหลับตาลงด้วยความสุขใจ



   เช้าวันรุ่งขึ้น ฟิน ภีมและติณณ์ ไปส่งมีนาขึ้นรถกลับบ้าน เธอบอกว่าจะมาขนของในสัปดาห์ถัดไป สัปดาห์นี้ขอไปจัดการเรื่องที่เธอรับปากกับนทีให้เรียบร้อยก่อน

   “ไม่ต้องห่วงนะฟิน มีนจะไม่พูดอะไรให้ฟินเดือดร้อนอีก” มีนายิ้มบางๆให้เพื่อนรักก่อนจะเลื่อนสายตามาหาภีม “ฟินเป็นผู้ชายที่ดีมากนะภีม รักเขาให้มากๆนะ”

   เจอประโยคนี้ของมีนาเข้าไป ภีมถึงกับหน้าแดงด้วยความอาย อย่างไรก็ตาม... เขาก็ไม่ชินอยู่ดีเวลาที่มีใครรู้เรื่องราวระหว่างเขาและฟิน “เธอว่างั้นเหรอ” ภีมพูดเบาๆแล้วลูบท้ายทอยแก้เก้อ

   มีนายิ้มหวาน เธอมองว่าภีมเป็นผู้ชายที่น่ารักคนหนึ่ง ถ้าไม่ได้ยินจากปากฟินถึงเรื่องราวต่างๆ เธอคงไม่เชื่อเป็นแน่ ว่าทั้งสองคนจะมารักกันได้ เพราะอีกคนหนึ่งก็มาดแมนและใจร้อนเกินทน ส่วนอีกคนก็มาดนิ่งและใจเย็นเป็นที่สุด

   ผู้ชายอีกคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆภีมเริ่มอยู่ไม่สุข เมื่อมองดูนาฬิกา “รถกำลังจะออกแล้วพี่มีน ผมยังไม่ได้คุยกับพี่เลย”

   “มีอะไรเหรอจ๊ะ” มีนาถามอย่างใจดี

   “ตกลงคบกับผมเถอะนะครับ มีแฟนเด็กดีนะครับ เอาใจเก่งด้วย ไม่ผิดหวังแน่นอน” ติณณ์สาธยายไปต่างๆนานา

   มีนาไม่ตอบอะไร เธอเพียงหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งแล้วจดอะไรบางอย่างลงไป จากนั้นก็ส่งให้ติณณ์

   ติณณ์รับมาอย่างงงๆ พอเปิดดูเท่านั้น ก็เต้นเร่าๆไม่หยุดด้วยความดีใจ “ไชโย ได้เบอร์มาแล้ว”

   มีนาหันไปยิ้มให้ฟินและภีม ก่อนจะเดินขึ้นรถไป

   ทั้งสามคนโบกมือลามีนาจนกระทั่งรถทัวร์คันใหญ่วิ่งไกลออกไป

   ฟินและภีมเดินทางกลับคอนโด ติณณ์ขอตามกลับไปด้วยเพราะกลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี ภีมไม่ขัดข้องอะไร แต่ฟินดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่มีก้างชิ้นใหญ่อย่างติณณ์มาอยู่ในห้อง

   พอมาถึงห้อง ภีมและติณณ์ก็วิ่งไปที่หน้าจอทีวีทันทีโดยไม่สนใจฟินผู้เป็นเจ้าของห้อง

   เสียงเกมดังขึ้น จากนั้นก็เพิ่มระดับความดังขึ้นไปอีก จนกลายเป็นความอึกทึกที่น่าปวดหัว ฟินได้แต่นั่งมองทั้งคู่เล่นเกมกันอย่างเมามันส์

   หมดเรื่องมีนาไป จะมีเรื่องอะไรเข้ามาวุ่นวายอีกหรือเปล่า... แล้วตอนนี้ในสมองของฟินก็วกกลับมาที่เรื่องเดิมอันน่าปวดหัวอีกจนได้

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
เจ้าติณณ์เนี่ยเข้ามาทำความรู้จักคู่ฟินภีมแบบฟลุคๆ เนอะ ฟลุคไม่พอยังเนียนสุดๆ อีกด้วย
เป็นแขกไม่ได้รับเชิญจริงจริ๊งงงงงงงงงงงง   :laugh:

มีนากลับบ้าน ก็คงต้องติดตามต่อไปว่าพ่อนทีจะทำอย่างไรต่อไป
ขอบคุณคนเขียนมากๆ ค่า  :pig4:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 27 – รางวัล


   หนึ่งเดือนต่อมาหลังจากที่ฟินเลือกสี่อันดับของคณะและมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียน สี่อันดับสำหรับนักเรียนทุกคน แต่ฟินเลือกเพียงอันดับเดียวและแน่นอนว่าต้องเป็นคณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะที่เขาอยากเรียนมากที่สุด และแน่นอนที่สุดว่าต้องเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับภีม

   ในครั้งนี้ฟินรู้สึกมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเขาทำได้ จึงตัดสินใจที่จะเลือกเพียงอันดับเดียว แต่ภีมดูไม่มั่นใจเท่าไหร่จึงพยายามพูดหว่านล้อมให้ฟินเลือกสามอันดับที่เหลือไว้กันพลาด แต่ฟินก็ยังไม่สนใจ บอกแค่เพียงว่า อันดับเดียวก็พอแล้ว ภีมเองก็จนปัญญา... จำต้องยอมรับในความต้องการของฟินไป

   ความเงียบเข้าปกคลุมจนทั่วห้อง เมื่อฟินและภีมนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้เบื้องหน้าจะเป็นทิวทัศน์ยามเช้าที่แสนสดชื่นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่มันก็ไม่ทำให้ความอึดอัดที่อยู่ในใจของคนทั้งสองคลายลงได้

   และดูเหมือนว่าคนที่อึดอัดยิ่งกว่าจะเป็นภีม ฟินยังดูไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไรนักเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งนี้เขาต้องทำได้

   “รีบๆเปิดดูสิ” ภีมคะยั้นคะยอ เมื่อเห็นว่าฟินไม่ยอมเข้าไปดูสักที

   “ทำใจแป๊บนึง” ฟินพูดพลางสูดลมหายใจเข้า

   ภีมอยากจะผลักคนข้างๆให้ตกเก้าอี้เพราะความลีลาท่ามากที่เขากำลังทำอยู่

   ฟินสูดลมหายใจเข้าออกอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเปิดดูผลการคัดเลือก

   วินาทีนั้น ภีมแทบหยุดหายใจ กลัวเหลือเกินว่าฟินจะคัดเลือกไม่ผ่าน เป็นอีกครั้งที่ภีมได้เรียนรู้ว่าความกลัวเป็นเช่นไร มันสามารถทำให้คนเราหยุดหายใจไปชั่วขณะ หรือาจจะตลอดไปถ้าความกลัวนั้นเข้าครอบงำจิตใจของเราจนเต็มทุกพื้นที่

   แล้วภีมก็กลัวจนลืมหายใจไปจริงๆ เขาหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว

   ถ้าไม่ติดแล้วจะทำยังไงล่ะ...

   ก็บอกแล้วว่าให้เลือกที่อื่นไว้ด้วย ก็ไม่เชื่อกันบ้างเลย...

   ดูเสร็จหรือยังวะ ทำไมไม่พูดอะไรเลย...

   หรือว่ามันจะไม่ติดจริงๆ...

   คิดมาถึงตอนนี้ ภีมจึงลืมตาขึ้น พบว่าฟินกำลังมองหน้าเขาแล้วยิ้มออกมาจนแก้มทั้งสองข้างแทบปริออกจากกัน และนั่นก็ทำให้ภีมทราบว่า “ฟินผ่านการคัดเลือก”

   “บอกแล้วว่าผ่านชัวร์ คะแนนพุ่งขนาดนั้น ถ้าไม่เลือกฉันจะไปเลือกใคร” ฟินคุยโวอย่างลืมตัว ตลอดเวลาหลายสัปดาห์ เขาต้องทนฟังคำพร่ำบ่นของภีมต่างๆนานา ทั้งๆที่ฟินก็ย้ำไปหลายครั้งแล้วว่า ต้องทำได้อย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลใจของภีมลดลง

   จนกระทั่งวันนี้ วันที่ตัดสินอย่างชัดเจนแล้วว่า ‘ทั้งสองคนได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน’

   ครู่หนึ่งหลังจากนั้น มีนาก็โทรศัพท์มาหา บอกว่าเธอผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่นั่นได้ ฟินแสดงความยินดีกับเธอ

   จากนั้น ฟินก็โทรบอกครอบครัว พ่อของเขาเป็นคนรับโทรศัพท์ แม้ตอนแรกน้ำเสียงของคนปลายสายจะแข็งกร้าวแต่พอได้รับข่าวดีจากลูกชายก็ทำให้นทีกลับมาเป็นคนเดิมชั่วขณะ และนั่นทำให้ฟินดีใจไม่น้อย

   “เก่งมากฟิน แล้วเมื่อไหร่จะกลับบ้านล่ะ” นทีถามขึ้น น้ำเสียงยังคงสดใสอยู่

   “คงไม่กลับครับ” พอฟินตอบไปว่าอย่างนั้น เขาก็เปลี่ยนโหมดทันที

   “จะอยู่ทำไม ก็กลับมาอยู่บ้านสิ ไม่คิดถึงคนที่บ้านเหรอ”

   ฟินผ่อนลมหายใจพลางมองภีมอย่างเหม่อลอย “ผมต้องทำงานครับพ่อ แล้วอีกอย่างที่มหาลัยอาจมีกิจกรรมอะไรสำคัญที่ผมต้องไปทำ”

   “ตามใจแล้วกัน แต่ทำอะไรก็นึกถึงพ่อและแม่ด้วย อย่าทำอะไรให้พ่อและแม่ต้องอับอาย” นทีพูดเสียงเข้มก่อนจะวางสายไปในทันที ฟินไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย ทำไมเวลามีเรื่องราวดีดีเกิดขึ้นต้องมีเรื่องราวร้ายๆเข้ามาแทรกทุกที

   ฟินวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วเดินมานั่งที่โซฟา เขาไม่อยากคิดเรื่องราวที่ทำให้ปวดหัวอีกแล้ว และเขาก็สัญญากับตัวเองว่าต่อจากนี้ไป ‘จะมีเส้นทางเป็นของตัวเองและทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ’

   “ฟิน” เสียงเรียกของภีมทำให้ฟินทิ้งเรื่องราวที่กำลังคิดอยู่ออกไป

   “ว่าไง”

   “มาดูเร็วว่าพี่ภูให้รางวัลอะไรกับนายที่สอบติด” ภีมพูดพลางกวักมือเรียกให้ฟินเดินไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์

   ฟินลุกขึ้นไปอย่างว่าง่าย “แล้วพี่ภูรู้ได้ไง”

   “ถามโง่ๆ ก็ฉันบอกน่ะสิ” ภีมพูดพลางชี้ไปที่หน้าจอคอมฯ

   ‘แพกเกจทัวร์หัวหินหนึ่งสัปดาห์ จัดโดย...พี่ภูรดา สาวสวยแห่งพิริยะ’

   ฟินขมวดคิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่ออ่านข้อความนั้นจบ “ไม่เข้าใจ”

   ดูเหมือนว่าฟินจะฉลาดเกินไปจนไม่เข้าใจเรื่องที่ง่านแสนง่ายแบบนี้ ฉะนั้นภีมจึงปฏิบัติตัวเป็นผู้บรรยายที่ดี สาธยายถึงรางวัลชิ้นนี้ที่ภูรดาตั้งใจมอบให้

   “คือว่าอย่างนี้” ภีมหมุนเก้าอี้ให้หันหน้ามาหาฟินก่อนจะพูดต่อ “พี่ภูจะพาฉันและนายไปเที่ยวหัวหิน เนื่องในโอกาสที่ฉันและนายสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยดี ไม่มีการเสียเงินหรือใช้เส้นสายแต่อย่างใด สรุปแล้วก็คือ พี่ภูพาไปเที่ยว แค่นั้นล่ะ”

   ฟินย่นจมูกนิดนึงก่อนจะถามต่อ “ออกตังค์ให้หมดเลยเหรอ”

   “แน่นอน พิริยะซะอย่าง รวยจนล้นฟ้าขนาดนี้” ภีมถือโอกาสพูดประชดครอบครัวตัวเองไปในตัว

   “พูดจาแบบนี้อีกแล้ว ว่าแต่... จะไปเมื่อไหร่ล่ะ”

   “พรุ่งนี้เลยเป็นไง” ภีมเสนอ นึกว่าอย่างไรเสีย ฟินต้องปฏิเสธอย่างแน่นอนเพราะรวดเร็วเกินไป แต่กลับผิดคาดเพราะฟินตอบตกลงในทันทีที่ได้ยินข้อเสนอดังกล่าว

   “งั้นไปจัดของเลย ส่วนฉันก็จะไปจัดของเหมือนกัน แล้วพรุ่งนี้ฉันกับพี่ภูจะมารับนายที่นี่ตอนห้าโมงเย็น” ภีมพูดยานคางอย่างน่ารักจนฟินอดใจไม่ไหวที่ต้องก้มลงจูบที่ริมฝีปากแดงระเรื่อนั้นอย่างอ่อนโยน

   เนิ่นนานกว่าฟินจะถอนริมฝีปาก แล้วปล่อยให้ภีมกลับบ้านไปจัดกระเป๋า ประโยคสุดท้ายที่ฟินบอกกับภีมคือ “กระเป๋าต้องจัดเองนะ อย่าให้คนอื่นมาจัดให้ แล้วก็จัดให้เป็นระเบียบด้วยล่ะ”

   แล้วภีมก็ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่า “จัดเองแน่นอนอยู่แล้ว ของๆฉัน ฉันก็ต้องจัดเองสิ จะให้ใครมาจัดให้”

   ในวันนั้น ทั้งสองคนก็ง่วนอยู่กับการจัดกระเป๋า รวมทั้งภูรดา พี่ใหญ่ในทริปนี้ เธอเลิกงานเร็วกว่าปกติเพื่อมาจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปเที่ยวกับน้องชายสุดที่รักทั้งสองคน


   ภูรดามารับภีมที่บ้านด้วยรถโฟร์วีลสีดำคันงามสุดโปรดของเธอ ภีมขนสัมภาระมารออยู่ก่อนแล้ว ตอนแรกของที่ภีมว่าจะเอามาก็มีอยู่เพียงนิดเดียว แต่พอจัดไปจัดมาก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่สามใบ กีต้าร์สีดำหนึ่งตัว ไวโอลินสีดำหนึ่งตัว และอื่นๆอีกมากมายที่กองสุมกันอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน

   ทันทีที่ภูรดามาถึงก็โวยวายเป็นการใหญ่ “จะบ้าหรือภีม ขนไปเยอะขนาดนี้ จะไปตั้งรกรากอยู่เลยหรือไง”

   ภีมมองของที่กองสุมอยู่ตรงหน้า มันเยอะก็จริงอยู่... แต่มันก็สำคัญทั้งนั้นนี่นา “แต่ว่า...”

   “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาไปเก็บบ้างเลย กระเป๋าเดินทางนี่เอาไปได้ใบเดียวเท่านั้น แล้วกีต้าร์กับไวโอลินก็เลือกมันอย่างนึง ที่เหลือก็เอาไปเก็บ ส่วนไอ้ของที่ใส่ถุงเล็กถุงน้อยนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาไป” ภูรดาชี้นิ้วสั่ง รถคันใหญ่กลายเป็นรถคันเล็กไปถนัดตาเมื่อต้องใส่สัมภาระของภีมเพียงคนเดียว

   “ไม่ได้นะพี่ภู ของสำคัญทั้งนั้น” ภีมแย้ง

   “ขนไปไม่หมดหรอก ไปกันตั้งสี่คน”

   ภีมหน้าเหวอไปในทันที สี่คนเหรอ... “ไหนว่าไปกันสามคนไง แล้วคนที่สี่นี่ใครอ่ะ”

   ภูรดากำลังจะอ้าปากพูด แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน

   “ผมเองครับ ประธานชมรมดนตรีคนเก่ง ถ้าพี่ภีมกลัวว่าจะไม่ได้เล่นไวโอลินล่ะก็... ไม่ต้องกลัวเลย เพราะผมเอามาด้วย” ติณณ์พูดหน้าตาเฉยพลางยกไวโอลินสีขาวให้ภีมเห็น

   ภีมไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว เพราะพูดไปติณณ์ก็คงต้องไปด้วยอยู่ดี “ไอ้ตัวปัญหา ฉันเบื่อหน้าแกจริงเชียว” ภีมพูดเนือยๆ

   ติณณ์ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้น ใบหน้าทะเล้นยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ไม่คลาย “เบื่อไปก็เท่านั้น ผมมันชอบจุ้นอยู่แล้ว” พูดจบก็ยกไวโอลินขึ้นอวดอีกครั้ง

   ภีมหมั่นไส้แทบทนไม่ไหวจึงร้องตะโกนไปว่า “ฉันเกลียดไวโอลินสีขาวเฟ้ย ไม่สวยเอาซะเลย ทุเรศสิ้นดี”

   “หยุดกัดกันได้แล้ว” ภูรดาตวาดเข้ากลางวง จากนั้นก็หันไปสั่งให้แม่บ้านยกสัมภาระบางส่วนของภีมเข้าไปเก็บในบ้าน

   สุดท้ายแล้ว ภีมจึงมีเพียงกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบและกีต้าร์สีดำอีกหนึ่งตัว



   ห้าโมงเย็น ภูรดาก็มาถึงคอนโดของฟิน สัมภาระของฟินมีเพียงกระเป๋าเป้หนึ่งใบและกล้องถ่ายรูปที่คล้องคอเจ้าตัวอยู่

   ภูรดายิ้มอย่างพอใจ คนที่ไม่ยุ่งยากที่สุดเห็นจะเป็นฟินนี่ล่ะ... เพราะไม่มีอะไรให้ต้องว่ากล่าวเลยสักข้อเดียว

   ฟินเปิดประตูรถแล้วขึ้นมานั่งข้างๆภีม ส่วนติณณ์นั้นนั่งข้างหน้ากับภูรดา

   พอฟินเห็นติณณ์เข้า อารมณ์สนุกก็แทบหายไปในทันที ถ้าเขาเปลี่ยนใจไม่ไปตอนนี้ยังทันอยู่หรือเปล่า

   “ฉันรู้นะ... ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่” ภีมกระซิบกระซาบกับฟินเบาๆพอที่จะได้ยินกันสองคน

   “แล้วฉันคิดอะไร” ฟินตอบสั้นๆ น้ำเสียงไร้อารมณ์สุดชีวิต

   “ก็คิดว่า ไอ้บ้าติณณ์มันโผล่มาได้ยังไงนี่สิ” ภีมพูดอย่างไม่พอใจ ถ้าหนึ่งสัปดาห์นี้ต้องตื่นมาเจอติณณ์ทุกวัน ภีมต้องทนไม่ไหวแน่ๆ เพราะหมอนี่มันจอมกวนบาทายิ่งกว่าใคร

   “ใช่เลย ฉันคิดอย่างนั้นอยู่พอดี”

   ขนาดฟินและภีมคุยกันเบาๆ ติณณ์ยังไม่วายสอดแทรกเข้ามาเพื่อร่วมวงสนทนาด้วย “แหม กระหนุงกระหนิงกันจริงเชียว ทริปนี้ท่าจะสนุก คิดถูกจริงๆที่มา”

   ในขณะที่ติณณ์พูดอย่างนั้น ภีมก็คิดในใจว่า ฉันจะเอายาเบื่อให้แกกิน จะได้ไม่ต้องพูดไปเลยตลอดชีวิต

   ส่วนฟินก็ ถ้าไล่หมอนี่กลับไปตอนนี้ จะบาปมากหรือเปล่า

   เมื่อทั้งสองคนที่นั่งด้านหลังจมอยู่กับความขุ่นเคืองภายในใจ จนไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้อีกแล้ว ติณณ์ก็จำต้องเงียบบ้าง แต่เงียบของเขาคือกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่

   ทริปนี้สนุกชัวร์ ติณณ์คิดในใจแล้วก็ยิ้มออกมาเพียงลำพัง



 o13 o13 o13 o13 o13

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 28 – หัวหินอินเลิฟ 1



   สองชั่วโมงต่อมา รถโฟร์วีลสีดำก็จอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งริมทะเล บ้านไม้สองชั้นสีขาวสะอาดตา รอบๆตัวบ้านมีหน้าต่างนับสิบบาน ทำให้บ้านดูโปร่งและโล่ง

   “บ้านใครเหรอพี่ภู” ภีมถามพลางมองไปที่บ้านไม้สีขาวตรงหน้า และยังมีผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวอยู่ริมหน้าต่างสร้างความสบายใจให้คนมองอย่างบอกไม่ถูก

   ภูรดายิ้มพราว “บ้านเพื่อนพี่เอง มันเปิดร้านอาหารอยู่ตรงโน้นน่ะ” เธอว่าพลางชี้ไปยังร้านอาหารเล็กๆที่ติดไฟหลากสีจนสว่างไสวไปทั่วบริเวณ

   หนุ่มน้อยทั้งสามคนมองตาม เกิดความรู้สึกเดียวกันว่าอยากเข้าไปในร้านนั้น ภูรดาเหมือนจะรู้ใจของทุกคน เธอบอกให้ทั้งสามขนกระเป๋าเข้าไปในบ้านแล้วจัดการแบ่งห้องนอนให้

   “ห้องมีอยู่สามห้อง พี่ขอนอนห้องนี้” ภูรดารีบเลือกห้องที่เห็นวิวทิวทัศน์ชัดที่สุดให้ตนเอง “ส่วนเธอสามคนถ้าอยากนอนด้วยกันก็ไม่เป็นไรนะ ไปนอนห้องนี้เลย ส่วนอีกห้องนึงก็ว่างไว้”

   ติณณ์สังเกตปฏิกริยาของฟินและภีมว่าจะทำอย่างไรเมื่อภูรดาบอกอย่างนั้น แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมานอกจากเมินเฉย ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ติณณ์เซ็งสุดฤทธิ์ที่ไม่ได้เห็นท่าทางแตกตื่นที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองของทั้งคู่

   ซึ่งความจริงแล้วฟินก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ป่วยการที่จะพูดหรือแสดงท่าทีอะไรออกไปส่วนภีมนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาขี้เกียจจะพูดอะไรอีกแล้วนอกจากคำว่า ‘เบื่อไอ้หมอนี่จริงๆ’   

   ฟินและภีมขนของเข้าไปเก็บไว้ในห้อง ภูรดาก็แยกเข้าไปในห้องของตัวเอง ติณณ์ยืนมองอย่างขัดใจ แต่สุดท้ายก็ขนของเข้าไปไว้ในห้องบ้าง แต่เป็นอีกห้องหนึ่งที่ยังว่างอยู่

   ตอนแรกคิดจะแกล้งสองคนนี้เสียหน่อย แต่เห็นท่าทางอิดโรยและเบื่อต่อสรรพสิ่งรอบข้างก็ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนั้นไป

   “อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกัน ไว้ค่อยแวะไปกวนอารมณ์เป็นครั้งคราว” ติณณ์บอกกับตัวเองอย่างนั้นพลางหัวเราะออกมา ใครเห็นเขาต้องคิดว่าเขาบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน

   ติณณ์รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้แกล้งฟินและภีม แต่เจตนาของเขาไม่ได้จะสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ใคร เขาเพียงรู้สึกว่าสองคนนี้คือพี่ชาย และเขาผู้เป็นน้องก็ต้องเล่นกับพี่ชายบ้าง เป็นบางครั้งคราว

   ลมทะเลพัดเข้าสู่ตัวบ้านไม่หยุดหย่อน แค่เพียงยืนมองทะเลอยู่ริมหน้าต่างเท่านั้นก็สามารถทำให้เคลิ้มหลับไปได้ทั้งยืน และภีมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังจะถอยหลังแล้วล้มตัวลงบนเตียง

   แต่โชคดีที่ฟินเข้ามาขัดเสียก่อนด้วยการสวมกอดเขาไว้จากด้านหลัง ภีมสะดุ้งตกใจ ความง่วงที่มีอยู่ก่อนหน้านี้หายไปจนหมด

   “ชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อยเลย” ภีมว่าเสียงเขียวพลางแกะมือของฟินออกจากเอว “ประตูไม่ได้ล็อค เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเข้าอีกหรอก ทำอะไรไม่ดูเลย”

   “กอดแค่นี้เอง ใครๆเขาก็กอดกัน” ฟินทำเป็นไม่สนใจก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของภีม “แบบนี้ใครๆก็ทำกัน”

   ภีมอยากจะบ้าตาย คราวก่อนติณณ์ก็เข้ามาเห็น ย้อนกลับไปคราวโน้น พ่อของฟินก็เห็นการกระทำที่โจ่งแจ้งของลูกชายตัวเองกับตา แล้วถ้าคราวนี้มีคนมาเห็นอีก คงไม่แคล้วว่าจะเป็นภูรดา พี่สาวของเขาเอง

   “ทำไมชอบมานัวเนียกับฉันนักหนาวะเนี่ย” ภีมสบถเบาๆ

   ฟินหัวเราะกับคำสบถนั้น พลางประกบปากเข้าที่ลำคอขาวแล้วจูบด้วยความหมั่นเขี้ยว “ก็มันน่านัวเนียมั้ยล่ะ หอมขนาดนี้”

   ภีมเบือนหน้าหนี แต่หนีไปทางไหนฟินก็ตามไปได้ทุกที่

   “เดี๋ยวมันเป็นรอย ทำอะไรไม่คิดอีกแล้วนะฟิน” ภีมปรามเสียงสั่น แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะไม่ให้เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น

   “ก็พันผ้าพันคอสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย” ฟินบอกทางแก้ให้

   ภีมหน้าตึงขึ้นมาทันที ทีเรื่องอย่างนี้มีทางแก้คิดไว้ในหัวอยู่ตลอด “นายมาลองเป็นแบบฉันมั้ยล่ะ”

   ฟินหยุดริมฝีปากแล้วหมุนตัวภีมให้หันหน้ามาหาตน “ก็เอาสิ ถ้าทำได้ล่ะนะ” ฟินยิ้มยียวน เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ภีมเห็นรอยยิ้มนี้

   ภีมจ้องหน้าฟินอย่างขุ่นเคือง ใครว่าเขาก็ไม่กล้าล่ะ...

ว่าแล้วก็จับบ่าของคนตรงหน้าที่สูงกว่า ฟินเลิกคิ้วมองอย่างขบขัน ร่างของเขายังคงนิ่งอย่างนั้นไม่ไหวติง ภีมเริ่มประหม่าเมื่อเห็นรอยยิ้มกวนประสาทประดับที่ริมฝีปากของฟิน

ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วเขย่งปลายเท้า จากนั้นก็เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ฟินแล้วจูบลงที่ลำคอเนียนละเอียด

แต่ฟินกลับหัวเราะออกมา “หึ ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

ภีมนิ่วหน้าอย่างขัดใจแต่ดวงตาดำสนิทกลับวาววับ ท้าทายกันใช่มั้ย...

ภีมเพิ่มแรงจับที่บ่าให้แน่นขึ้น จากนั้นก็โถมทั้งตัวเข้าสู่ร่างที่ยืนนิ่งสงบของฟิน ริมฝีปากของภีมพลันฝังลงที่ลำคอของฟินเรียบร้อยแล้ว

ฟินไม่อาจต้านแรงที่โถมเข้ามาของภีมได้ จึงหงายหลังล้มลงไปบนพื้น เกิดเสียงสนั่นไปทั้งบ้าน และแน่นอนว่าคนแรกที่เข้ามาในห้องก็คือ ติณณ์

เขาเข้ามาแล้วยืนกอดอกพิงประตูห้องมองคนทั้งสองที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น “จู๋จี๋กันรุนแรงจังเลยนะครับ บ้านนี่สั่นเชียว”

“ออกไปให้พ้นหน้าฉันเลย ไอ้บ้า” ภีมพูดเสียงเขียว ยังคงนอนทับร่างของฟินอยู่

“เอ้า รีบๆลุกสิครับ เดี๋ยวพี่ภูมาเห็นเข้า จะยุ่งนะ” ติณณ์พูดกลั้วหัวเราะ

ภีมรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินก้มหน้างุดๆออกจากห้องไปโดยไม่สนใจฟิน หนุ่มร่างสูงที่เพิ่งประคองตัวเองให้ลุกตามมาบิดร่างกายไปทางซ้ายทีขวาที ตอนนี้เขาช้ำไปทั้งตัวแล้วเพราะล้มลงพื้นอย่างเต็มแรง

“เจ็บล่ะสิพี่ ก็เล่นล้มซะแรงเชียว” ติณณ์ยังไม่หยุดพูด

“เจ็บน่ะสิ” ฟินบอกเสียงเรียบพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ติณณ์ “เข้ามาทีไร ได้เรื่องทุกทีเลย” พูดจบก็เดินออกไปอีกคน

ติณณ์หัวเราะร่าเสียงดังก่อนจะเดินออกไปบ้าง

ครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น ภูรดาก็พาฟิน ภีม และติณณ์ไปที่ร้านอาหารริมชายหาดที่อยู่ถัดจากบ้านพักไปประมาณห้าสิบเมตร

ร้านอาหารเล็กๆที่ก่อสร้างด้วยไม้ดูน่ารักอยู่ไม่น้อย เมื่อเดินเข้าไปในร้านจะพบเวทีขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง มีเครื่องดนตรีต่างๆวางอยู่บนเวที ไม่ว่าจะเป็นกลองชุด เบส กีต้าร์ คีย์บอร์ด และไมโครโฟนสำหรับนักร้องนำ

แต่ตอนนี้เวทียังไร้ผู้คนอยู่บนนั้น...

จะมีก็แต่แขกที่ทยอยเข้าร้านมาเรื่อยๆจนพื้นที่ในร้านไม่เพียงพอรองรับ ต้องเพิ่มโต๊ะจำนวนหนึ่งไว้ที่ข้างนอกร้านริมชายหาด

ภูรดาเดินตรงเข้าไปยังหลังร้านที่ค่อนข้างมืดสลัวพลางส่งเสียงร้องเรียกชื่อเพื่อนดังไปทั่วบริเวณ ไม่นานนัก เพื่อนคนที่ว่าก็วิ่งออกมาหาเธอพลางสวมกอดด้วยความคิดถึง

“พอแกบอกจะมา ฉันก็ดีใจแทบตาย” สาวร่างใหญ่กว่าภูรดาพูดอย่างยิ้มแย้ม เธอเป็นเจ้าของร้านนี้ “ทำไมแกมีน้องชายตั้งสามคนล่ะเนี่ย ต๊ายๆ หล่อกันทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะคนนี้” เธอว่าพลางส่งยิ้มหวานไปให้ฟิน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด

ฟินยิ้มบางๆ เท่านั้น

“แล้วผมไม่หล่อตรงไหนครับเจ๊ไข่” ภีมพูดเสียงยียวน สาวร่างใหญ่นามเจ๊ไข่ถลึงตาขึ้นอย่างตกใจ “ต๊าย... ภีมใช่มั้ยเนี่ย โตขึ้นจนพี่จำไม่ได้เลย หล่อสิจ๊ะ หล่อมาก บังเอิญเจ๊ไข่ไม่เห็นน่ะ โทษทีนะจ๊ะ”

ติณณ์ทำหน้าบูดบึ้งอยู่คนเดียวที่ไม่ถูกชม เจ๊ไข่เห็นเข้าก็รีบเอาอกเอาใจทันที “หนุ่มน้อยคนนี้ก็หล่อพอกัน แหม... ทำหน้าน้อยใจเจ๊แบบนี้ ไม่เอานะ... เดี๋ยวไม่หล่อ”

นั่นล่ะ... ติณณ์ถึงยิ้มออก

“แล้วไอ้ขนุน มันอยู่ไหน” ภูรดาถามถึงขนุนเพื่อนชายอีกคนหนึ่งซึ่งตอนนี้แต่งงานกับไข่หงส์เป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว “ขอโทษที่ไม่ได้มางานแต่งนะ” ภูรดาพูดเสียงเศร้า

“เจ๊ไข่แต่งงานแล้วเหรอ” ภีมถามอย่างตกใจ

ไข่หงส์ยิ้มเขินๆ “ก็อ่ะนะ ไปไหนไม่รอด ก็ต้องมาเอาเพื่อนตัวเองนี่ล่ะ ขนุนมันก็คนดี แล้วมันก็รักพี่ พี่ก็เลยลงเอยกับมันนี่ล่ะ”

ภูรดามองเพื่อนสาวด้วยความอิจฉา ถ้าชีวิตของเธอเป็นแบบไข่หงส์ก็คงดี อยากทำอะไรก็ทำตามใจชอบ ไม่ต้องอยู่ในกรอบที่ใครขีดไว้

“มาแล้วเหรอภู คิดถึงแกแทบแย่ งานแต่งฉันสองคนแกก็ไม่โผล่หน้ามาเลย” เสียงของขนุนดังมาแต่ไกล ร่างสูงใหญ่ทว่าเพรียวบางเดินฝ่าความมืดเข้ามาทางหลังร้าน

ภูรดามองเพื่อนทั้งสองด้วยความคิดถึง ไม่มีใครเปลี่ยนไปเลย ยังคงเป็นเหมือนเดิม เหมือนอย่างที่เป็น “ขอโทษที ฉันติดประชุม ชีวิตไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย” จบประโยค เสียงถอนหายใจก็ตามมา

ฟินและภีมหันมองหน้ากันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย

“เอาเถอะ ฉันสองคนไม่โกรธหรอก ไปนั่งข้างนอกร้านดีกว่า” ไข่หงส์และขนุนโอบไหล่ภูรดาเดินนำออกไปนั่งที่โต๊ะข้างนอกร้านริมชายหาด เนื่องจากโต๊ะด้านในเต็มหมดแล้ว

“นั่งตรงนี้ละกัน เดี๋ยวอาหารและเครื่องดื่มจะตามมาเร็วๆนี้” ไข่หงส์บอกทุกคนบนโต๊ะ จากนั้นสองสามีภรรยาเจ้าของร้านก็ขอตัวไปทำงาน

“เมื่อไหร่จะเริ่มเล่นซักที นี่มันก็สามทุ่มแล้วนะ” ติณณ์พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ภีมเห็นด้วยจึงผสมโรงอีกคน “นั่นสิ เดี๋ยวขึ้นไปเล่นเองซะเลย น่ารำคาญชะมัด”

ฟินมองดูทั้งสองคนที่เข้ากันดีเหลือเกิน “นายสองคนนี่วุ่นวายจังเลย ทีเรื่องอย่างนี้เข้ากันดีจริงๆเลยนะ”

“ใช่ วุ่นวายจริงๆ” ภูรดาออกความเห็นบ้าง

ติณณ์และภีมสบตากันแล้วเงียบไปทันที

ไม่นานนัก อาหารและเครื่องดื่มก็ถูกนำมาวางจนเต็มโต๊ะ แล้วทั้งสี่คนก็ลงมือทานอาหารอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย

“เอิ๊กกกก” ติณณ์เรอออกมาเสียงดังแล้วยังไม่วายทำเป็นไม่รู้เรื่อง แถมยังกลบเกลื่อนด้วยการทานต่อไปอย่างหน้าตาเฉย

“เสียมารยาทชะมัด ไอ้กุ๊ยเอ๊ย” ภีมกัดฟันว่าติณณ์เบาๆแต่ก็พอจะได้ยินกันทั่วถึงทั้งสี่คน

ภูรดามองดูอย่างขบขัน เด็กพวกนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปเสียทุกอย่าง

ฟินเองก็ยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เขาค่อยๆยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพติณณ์ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

จากนั้นก็โฟกัสไปที่ใบหน้าของภีมแล้วรีบกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าตัวจนหันมาเห็น เสร็จแล้วก็หันไปถ่ายภูรดา สาวร่างใหญ่ยิ้มให้กล้องแล้วชูสองนิ้ว

“ทำไมพี่ไม่ถ่ายผมบ้างล่ะ” ติณณ์เงยหน้าแล้วประท้วงทันที

“ถ่ายไปแล้ว” ฟินตอบยิ้มๆ “ภีมก็ถ่ายแล้วด้วย”

“ฉันไม่ได้ถามซักหน่อย บอกทำไม” ภีมปั้นหน้านิ่ง แต่ในใจรู้สึกเขินแทบตาย

ภูรดามองเด็กหนุ่มทั้งสามแล้วเอ่ยปากขอยืมกล้องฟินมาถ่ายบ้าง ฟินถอดสายคล้องคอออกแล้วส่งกล้องให้ภูรดา

“พี่จะถ่ายรูปเธอสามคน” ภูรดาบอกพลางทำไม้ทำมือเป็นสัญญาณบอกให้อยู่ใกล้ๆกันหน่อย

ฟินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ภีม ส่วนติณณ์ก็กระเถิบตัวมาอยู่ใกล้ภีมเช่นกัน คนตรงกลางอย่างภีมก็ไม่ต้องไปไหน นั่งตัวตรงอย่างเดียว

“ยิ้มหน่อย หนุ่มๆ” ภูรดาบอกก่อนจะเริ่มนับหนึ่ง สอง และสาม

ภาพถ่ายก็เสร็จสมบูรณ์

“ผมขอยืมกล้องบ้างครับพี่ฟิน” ติณณ์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ฟินไม่ค่อยอยากให้นักแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องจำใจยกให้อยู่ดี

เมื่อได้กล้องมาครอบครอง ติณณ์ก็สั่งให้ฟินและภีมเต๊ะท่าถ่ายรูปทันที

“แกสั่งฉันเหรอวะ ติณณ์” ภีมตวาดเข้าให้

ฟินยิ้มบางๆ รู้สึกรักติณณ์ขึ้นมาก็ตอนนี้ล่ะ... “ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยนะภีม” ฟินแอบกระซิบเบาๆที่หูของภีม โชคดีที่ภูรดาหันไปทางอื่นจึงไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัย

ภีมฝืนยิ้มออกมา ฟินยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนภีมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว “ยิ้มให้มันเป็นธรรมชาติหน่อยได้ไหม” ฟินบอก

“เอาล่ะนะ หนึ่ง สอง สาม”

ติณณ์กดชัตเตอร์เรียบร้อยแล้ว และรูปที่ออกมาก็ดีเสียด้วย เพราะผู้ชายสองคนในรูปยิ้มหวานที่สุดเท่าที่ติณณ์เคยเห็นมา ติณณ์หรี่ตามองฟินแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

ฟินเลิกคิ้วตอบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

ภีมทีนั่งอยู่ตรงกลางกลับไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลย

แล้วต่อจากนั้นกล้องของฟินก็เวียนคนถ่ายไปเรื่อยๆ สนุกสนานกันไปตามประสา

จนกระทั่งเกือบสี่ทุ่ม ความโกลาหลในร้านก็เกิดขึ้น เมื่อนักดนตรีที่ทางร้านจ้างไว้ดันไม่มาตามนัด

“แกมาก็ซวยเลยภู นักดนตรีมันดันเบี้ยวงานฉัน ไม่ยอมมา” ไข่หงส์เดินมานั่งที่โต๊ะพลางกดโทรศัพท์หาวงดนตรีอื่น

ภูรดามองหน้าน้องชายแล้วยิ้มออกมา “ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกไข่ เทพอยู่นี่ทั้งคน”

ไข่หงส์มองตามสายตาเพื่อน พบภีมที่กำลังนั่งยิ้มเจื่อนๆ ลูบท้ายทอยอย่างเขินอาย

ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ ทำให้ภีมและติณณ์ต้องขึ้นมาอยู่บนเวทีในฐานะนักดนตรีจำเป็น

โชคดีที่ขนุนสามารถหากีต้าร์อะคูสติกสีดำมาให้ภีมได้ ไม่อย่างนั้นภีมคงไม่มั่นใจที่จะเล่นเป็นแน่เพราะกีต้าร์ตัวที่วางอยู่ไม่ใช่สีดำ

“นายร้องได้แน่นะติณณ์” ภีมถามเพื่อความแน่ใจพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่กลางร้าน

“ก็ไม่ค่อยแน่ แต่เคยมีคนชมว่าผมเสียงดี” ติณณ์ยิ้มเจื่อนๆพลางนั่งลงบ้าง

เวทีขนาดเล็กตอนนี้ดูยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับภีมและติณณ์ ก็เขาทั้งคู่เล่นนั่งเคียงคู่กันอยู่สองคนที่กลางเวทีเลยนี่ แถมเก้าอี้ที่ทางร้านจัดหามาให้ก็สูงเด่นเป็นสง่าเสียจริงๆ

“บ้าเอ๊ย แล้วเพลงแรกจะเล่นอะไรดีล่ะ” ภีมสบถเบาๆพลางเปิดหนังสือเพลงที่อยู่ตรงหน้า “ฉันไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยเท่าไหร่”

“แต่พี่ขนุนบอกว่าให้เล่นเพลงไทยนะครับพี่ แล้วหนังสือเพลงพวกนี้ก็มีแต่เพลงไทย” ติณณ์กระซิบเบาๆ

“งั้นหลับตาเปิดหนังสือ เปิดหน้าไหนก็เล่นมันเพลงนั้นนั่นล่ะ” ภีมเสนอ ติณณ์พยักหน้าตกลง

แล้วการเสี่ยงทายก็มาจบลงที่เพลง ‘กอด โดย บุรินทร์ Groove Rider’

“เป็นไง” ติณณ์ถาม ตัวเองก็ลุ้นอยู่ไม่ใช่น้อย กลัวว่าจะร้องไม่ได้

“เพลงกอด ของบุรินทร์” ภีมบอก โชคดีที่เขาเล่นเพลงนี้ได้

“โชคดีที่ผมร้องได้” ติณณ์ยิ้มพราว

ทั้งคู่เลิกคิ้วให้กัน...

แล้วเพลงกอด เวอร์ชัน... สบายๆริมชายหาดก็เริ่มขึ้น


เพลงกอด โดย บุรินทร์

คำบางคำ จากคนบางคนไม่อาจจะบอกเรื่องราว
คำบางคำแค่เอ่ยเบาๆก็ยังว่ายากเกินไป
ใจบางใจ เก็บคำเป็นพันที่อยากจะสื่อถึงใจ
ก็คงต้องใช้เวลามากมาย เอ่ยคำเป็นพันที่มี
ไม่รู้ ว่าเธอรู้ไหม หัวใจของฉันในตอนนี้
ล้านคำที่ดี ไม่จำเป็นค้องมี เพียงแค่เธออยู่ตรงนี้
และเมื่อเธอกอดฉัน ไม่ต้องบอกว่ารักก็รู้ได้ทันที
หัวใจรู้สึกถึงอะไรดีดี เมื่อใจได้ใกล้ใจ
และเมื่อเธอกอดฉัน ก็ไม่มีคำไหนให้ฉันต้องบรรยาย
แล้วเธอว่าไง แล้วเธอรู้สึกไหม เมื่อฉันกอดเธอ


ในระหว่างที่ติณณ์และภีมเล่นดนตรีอยู่บนเวที คนที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีต่ำอย่างฟินก็เดินถ่ายรูปไปรอบๆร้าน ส่วนภูรดาก็นั่งเฝ้าโต๊ะมองดูน้องชายเล่นดนตรีด้วยรอยยิ้มพลางยกเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เข้าปากอย่างเพลิดเพลินใจ

ฟินเดินจนทั่วร้าน สุดท้ายก็มายืนอยู่ที่หน้าเวที ถ่ายแต่รูปของภีมอย่างเดียวและก็ถ่ายไม่หยุดจนภีมอยากจะเลิกเล่นกลางคันแล้วเดินมาชกหน้าฟินสักสองทีให้หยุดถ่าย

แต่ภีมก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพลงแรกจบลง เสียงปรบมือก็ดังลั่นร้าน ตามมาด้วยเสียงชื่นชม ทำเอาเจ้าของร้านยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว

เวลาล่วงไปจนเที่ยงคืน ภีมและติณณ์ปิดท้ายด้วยเพลงสากลของ Donavon Frankenreiter ซึ่งภีมทั้งร้องและเล่นด้วยตัวเอง เนื่องจากว่าติณณ์ร้องไม่ได้

ร้านนี้ปิดตอนตีสอง อีกสองชั่วโมงที่เหลือทางร้านก็เปิดเพลงจากแผ่นซีดีแทน

ภีมและติณณ์เดินลงมาจากเวทีอย่างหน้าชื่นตาบานกันทั้งคู่ ฟินยืนรออยู่ข้างล่างเวที พอภีมเดินลงมาเขาก็ยื่นอะไรบางอย่างให้ ติณณ์ไม่อยากขัดจังหวะจึงรีบเดินนำมานั่งที่โต๊ะก่อน

“อะไร” ภีมถามยิ้มๆ ลืมเรื่องหงุดหงิดก่อนหน้านี้ไปหมด

ฟินแบมือออก บนฝ่ามือของเขามีก้อนหินสีขาวเนื้อเนียนละเอียด ลักษณะกลมมนเล็กๆวางอยู่ ดูๆไปมันก็ไม่ต่างจากก้อนหินทั่วๆไปเท่าไรนัก

“เอามาทำไม” ภีมหรี่ตามองอย่างงุนงง แต่ก็รู้สึกว่าก้อนหินนี้ต้องมีอะไรที่พิเศษแน่ๆ ไม่อย่างนั้นฟินคงไม่เก็บมา

“เอาไปดูเองสิ” ฟินส่งให้ภีม

ภีมรับมาอย่างงงๆแล้วพลิกไปพลิกมา จนเห็นความพิเศษของหินก้อนนั้น เมื่อพลิกไปอีกด้านหนึ่งก็พบว่ามีรอยขรุขระลักษณะคล้ายรูปหัวใจ

ริมฝีปากของภีมเม้มเป็นเส้นตรง เขาพยายามกลั้นรอยยิ้มอยู่

แต่ทำไมฟินจะดูไม่ออก “เจอพอดีเลยเก็บมาให้”

“เออ ขอบใจ” ภีมบอกแค่นั้นแล้วรีบเดินไปนั่งที่โต๊ะทันที มือเรียวสวยกำหินก้อนนั้นไว้จนแน่น แล้วในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ติณณ์มองดูคนทั้งสองแล้วก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน คนหนึ่งก็เอาอกเอาใจเสียเหลือเกิน อีกคนก็เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง แต่มันก็เข้ากันดีนะ...

“ยิ้มอะไรเหรอติณณ์” ดูเหมือนว่าเสียงยานคางของภูรดาจะเรียกสติทุกคนกลับมา

ภูรดาดื่มไปเยอะไม่น้อย ดูจากปริมาณขวดเหล้าที่วางอยู่ยนโต๊ะก็พอจะเดาได้ว่าตลอดเวลาสองชั่วโมงที่ติณณ์และภีมเล่นดนตรีอยู่ ภูรดาดื่มไปมากแค่ไหน

“ทำไมไม่เฝ้าพี่ภูไว้นะฟิน” ภีมหันมาว่าฟินเสียอย่างนั้น

ฟินทำหน้าเหวอ อยู่ดีดีภีมก็โยนระเบิดลูกใหญ่มาให้ “ก็ไม่รู้ว่าพี่ภูจะดื่มหนักขนาดนี้”

“ไหนๆพี่ภูก็เมาแล้ว เราก็มาเมากันบ้างเถอะนะครับ” ติณณ์ยกแก้วเหล้าที่ภูรดาดื่มค้างไว้ขึ้นชูแล้วกระดกเข้าปาก
รวดเดียวหมด

ฟินและภีมมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี... ในระหว่างที่คิดกันอยู่นั้น ติณณ์ก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว

ติณณ์ดื่มเพียงสองแก้วก็คอพับคออ่อนตามภูรดาไปเสียดื้อๆ

“ฉันก็ไม่ได้ดื่มนานแล้ว ดื่มซะหน่อยดีกว่า” ภีมว่าพลางผสมเหล้าอย่างช่ำชอง ฟินมองตาค้าง ห้ามปรามไม่ออกเลยทีเดียว

ในที่สุด แอลกอฮอล์แก้วแรกในรอบหนึ่งปีก็ไหลลงคอภีมเรียบร้อยแล้ว

“ภีม นายดื่มตั้งแต่อายุเท่าไหร่เนี่ย” ฟินถามอึ้งๆ

ภีมยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้าตอบออกมา

“ตอบมาเลย” ฟินทำเสียงแข็งใส่

ภีมยิ้มแหยๆก่อนจะสารภาพออกมาอย่างแผ่วเบา “ตอนอยู่ ม.2 น่ะ อายุได้สิบสาม”

ฟินเผลออ้าปากออกมาโดยไม่รู้ตัว พลางนึกถึงตัวเอง ตอน ม.2 เขายังเป็นเด็กน้อยอ่อนต่อโลกอยู่เลย แต่ทำไมภีมถึง...

“ลองดื่มดู อายุสิบเจ็ดแล้ว สมควรจะดื่ม” ภีมเอาหลักการของตัวเองมาตัดสินถึงความสมควรในการดื่มแอลกอฮอล์ “ลองดู” ภีมส่งแก้วน้ำสีอำพันให้ฟิน

“จะดีเหรอ มีคนบอกฉันว่ามันไม่อร่อย” ฟินรับมาถือไว้แต่ยังไม่ยอมดื่ม

“ใครกันที่บอกนายแบบนั้น ลิ้นจระเข้ชัดๆ” ภีมพูดกลั้นหัวเราะ

ฟินทำหน้าบูด “พ่อฉันเองที่บอก”

ได้ยินคำตอบแบบนั้น ทำเอาภีมขำไม่ออกเลยทีเดียว

แต่สำหรับฟิน พอพูดถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็เริ่มเครียดขึ้นมาจนเผลอตัวกระดกเหล้าเข้าปาก แล้วแก้วที่สอง สาม สี่ ก็ตามมา

สุดท้ายแล้ว ทั้งสี่คนก็สลบคาโต๊ะไม่ได้สติเลยสักคนเดียว

ขนุนและไข่หงส์จึงต้องช่วยกันพยุงร่างของเพื่อนและน้องชายเพื่อนกลับมายังที่พักด้วยความทุลักทุเล

ขนุนวางร่างของฟิน ภีม และติณณ์ไว้ในห้องๆหนึ่ง ส่วนภูรดาก็อยู่อีกห้องหนึ่งโดยมีไข่หงส์อยู่ดูแล

“ขนุนขอไปนอนที่บ้านนะ ต้องไปเตรียมของต่อ” ขนุนบอกภรรยาแล้วก็กลับบ้านไป

ไข่หงส์เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ภูรดาแล้วก็เผลอหลับไป ลืมสามหนุ่มน้อยที่อยู่อีกห้องหนึ่งไปโดยปริยาย

แล้วสามหนุ่มน้อยอีกห้องหนึ่ง ต่างก็รู้สึกร้อนในกายจนต้องถอดเสื้อออกเพื่อระบายความร้อน จนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืนที่ลมพัด

แรง ร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของทั้งสามก็กอดกันกลมเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันและกัน

ในคืนนั้น ต่างคนก็ต่างตกอยู่ในห้วงความฝันของตัวเอง ฟินและภีมอาจจะฝันเรื่องเดียวกัน แต่สำหรับติณณ์แล้ว เขากำลังฝันถึงผู้หญิงอีกคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน

แย่แล้ว วันนี้ลืมโทรหาพี่มีน... ติณณ์ละเมอพูดออกมาในที่สุด



 :t3: :t3: :t3: :t3: :t3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด