***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon  (อ่าน 112897 ครั้ง)

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 29 – หัวหินอินเลิฟ 2



   เช้าวันใหม่ที่สดใสเริ่มต้นขึ้น ลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างหอบเอากลิ่นไอทะเลเข้ามาด้วย แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างในทิศตะวันออกซึ่งตรงกับห้องของฟินและภีม ซึ่งตอนนี้มีติณณ์ร่วมใช้ห้องดังกล่าวไปแล้วอีกคนหนึ่ง

   คนที่นอนอยู่ตรงกลางกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเหล้าเพียงสองแก้วจะสามารถทำให้เขาหลับสบายถึงเพียงนี้ แถมยังฝันดีเสียด้วย

   ในขณะที่กำลังนึกถึงความฝันอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงความอึดอัดที่อยู่รอบๆกาย มันเบียดเสียดและอุ่นร้อน เขาเบนสายตาไปทางซ้ายและขวา

   แล้วก็ร้องออกมาเสียงดังลั่นบ้าน

   “ผมโดนปล้ำครับ ช่วยด้วยๆๆ” เสียงร้องที่ฟังดูแล้วคล้ายเสียงตะโกนอย่างขาดสติ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ภูรดาและไข่หงส์ออกไปซื้อของข้างนอกจึงไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นตอนนี้

   ในบ้านจึงมีเพียงเด็กหนุ่มสามคนที่นอนกอดกันกลม

   คนที่นอนตรงกลางแหกปากร้องเสียงดังลั่น ทำให้อีกสองคนที่นอนขนาบข้างงัวเงียตื่นขึ้นมา แล้วคนที่นอนทางด้านซ้ายก็ต้องร้องออกมาบ้าง

“แกทำอะไรฉันวะ ไอ้ติณณ์” เสียงนั้นเป็นของภีม เขาร้องพลางดึงมือของตัวเองที่กำลังกอดติณณ์ออกมา

   “ผมเปล่าทำนะ พี่นั่นล่ะ... ทำอะไรผมหรือเปล่า” ติณณ์พูดพลางดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตาดำขลับเหลียวซ้ายแลขวาไปมาด้วยความตกใจ

   มีเพียงหนึ่งเดียวที่ยังครองสติไว้ได้ แม้จะรู้สึกปวดหัวแค่ไหนก็ตาม นั่นก็คือฟิน...

   “จะร้องโวยวายกันทำไม” เขาพูดเบาๆพลางยกมือกุมศีรษะ

   “จะไม่ให้ร้องได้ไงครับ ก็ดูสิ... ผมนอนกลางเลยนะ แล้วพี่ภีมก็กอดผมซะแน่น ส่วนพี่ก็เกี่ยวขาผมทั้งคืน แล้วดูสภาพแต่ละคนซิ เสื้อก็ไม่ใส่ ผมโดนปล้ำหรือเปล่าเนี่ย” ติณณ์เริ่มเอะอะโวยวายอีกครั้ง

   ภีมทนไม่ไหวจึงเคาะศีรษะติณณ์ไปทีหนึ่งเพื่อให้เขาสงบ “แกจะร้องโวยวายทำซากอะไร เสื้อไม่ใส่แต่กางเกงยังอยู่นะเว้ย แล้วถ้าใครจะเป็นคนปล้ำแกล่ะก็... ไม่ใช่ฉันแน่นอน” ประโยคสุดท้ายภีมมองไปยังฟินที่กำลังนั่งกุมศีรษะอยู่

   ติณณ์มองตามแล้วก็กระเถิบตัวมาใกล้ภีม “พี่ฟินทำอะไรผมหรือเปล่าครับเนี่ย ผมไม่อยากเป็นเมียพี่นะ” ติณณ์ทำท่าจะร้องไห้

   ฟินมองภีมอย่างขอบใจ ขอบใจที่โยนระเบิดลูกใหญ่มาให้เขาอีกแล้ว

   “ตอบสิพี่ พี่ปล้ำผมเหรอ” ติณณ์เริ่มสติแตก

   ฟินไม่ตอบอะไรได้แต่หัวเราะอย่างขบขัน

   “พี่ภีมช่วยผมด้วยครับ” ติณณ์ทำหน้าเศร้าหันไปกอดแขนภีม ภีมสะบัดออกแล้วกระเถิบตัวออกห่างติณณ์

   ฟินเริ่มสงสารติณณ์จึงเฉลยออกมา “ฉันจะมีปัญญาไปทำอะไรนายล่ะ เมื่อคืนยังจำไม่ได้เลยว่าหลับไปตอนไหน ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว และที่เมื่อคืนถอดเสื้อก็เพราะว่ามันร้อน แล้วพอตกดึกหน่อยมันคงหนาวล่ะมั้งก็เลยเผลอไปกอดนาย เพราะคิดว่าเป็นหมอนข้าง” ฟินก็สันนิษฐานไปตามเรื่อง เพราะตัวเองก็จำเรื่องเมื่อคืนไม่ค่อยได้เหมือนกัน

   “จริงนะ” ติณณ์ถามเพื่อความแน่ใจ

   “จริงสิ แล้วถ้าฉันทำอะไรจริงๆ กางเกงนายก็คงไปกองอยู่บนพื้นแล้วล่ะ” ฟินยิ้มบางๆ

   เมื่อจบเรื่องภีมก็ล้มตัวลงนอนต่อเพราะยังรู้สึกปวดหัว ติณณ์มองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วก็วิ่งกลับห้องตัวเองไป ฟินได้แต่ยิ้มตามอย่างขบขัน

   เมื่อติณณ์ออกไปแล้ว ฟินก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังภีมที่นอนห่มผ้าหันหลังให้เขาอยู่ ฟินกระเถิบตัวเข้าไปใกล้แล้วสะกิดที่หัวไหล่ภีมเบาๆ

   “อื้อ... จะนอน” ภีมตอบเสียงอู้อี้

   “ไม่ใส่เสื้อก่อนเหรอ” ฟินพูดพลางสอดมือเข้าไปในผ้าห่ม “จะได้นอนสบายๆไง”

   “ขี้เกียจลุก จะนอนเฟ้ย” น้ำเสียงของภีมค่อนไปทางหงุดหงิดเล็กน้อย

   ฟินสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับภีม พลางกอดเอวภีมจนแน่น “งั้นก็นอนด้วยกัน” ฟินพูดแล้วจูบที่ต้นคอของภีม

   จากคนที่ตั้งใจว่าจะนอน อยู่ดีดีก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วตัวเมื่อสัมผัสนั้นประทับลงที่คอ

   “ถ้าจะนอนด้วย ก็นอนเฉยๆไม่ต้องมายั่ว” ภีมบอกเบาๆ

   ฟินยิ้มได้ใจ มือหน้าเลื่อนมาทาบทับที่หน้าอกข้างซ้ายบริเวณหัวใจ แล้วก็รู้ว่าเจ้าของคำสั่งนั้นกำลังใจเต้นแรง “ปากไม่ค่อยตรงกับใจเลยนะภีม”

   ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วดึงมือของฟินออก “อย่ามาเกิดอารมณ์กับฉันตอนนี้นะเฟ้ย คนยิ่งง่วงๆอยู่ ฉะนั้น... ฉันจะนอน ห้ามมายุ่ง”

   “ก็ได้ๆ กอดอย่างเดียวละกัน” ฟินพูดแล้วกอดเอวภีมไว้ จากนั้นค่อยๆหลับตาลง

   กว่าที่ทั้งสองคนจะตื่นมาอีกครั้งก็ปาเข้าไปเย็นย่ำ ส่วนติณณ์ตื่นตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ครั้นเมื่อตอนกลับห้องของตัวเองไปก็นอนไม่หลับเพราะยังตกใจเรื่องเมื่อเช้าอยู่

   ไข่หงส์และภูรดาทำอาหารทิ้งไว้ให้น้องชายทั้งสามก่อนจะออกไปเตรียมตัวเปิดร้านในช่วงเย็น ภูรดาสั่งติณณ์ไว้ว่า ถ้าฟินและภีมตื่นแล้วก็ให้รีบทานข้าวแล้วไปช่วยงานที่ร้านอาหารเพราะตอนนี้ ลูกจ้างที่ร้านลาหยุดงานไปหลายคน

   ติณณ์อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปในห้องของฟินและภีม ซึ่งภีมกำลังอาบน้ำอยู่ และฟินก็กำลังขนเสื้อผ้าไปยังห้องของติณณ์เพื่อใช้ห้องน้ำ

   ติณณ์เห็นเข้าก็ทักขึ้นทันที “เข้าห้องผมทำไมครับพี่”

   ฟินชูเสื้อผ้าให้ดู “จะไปอาบน้ำไง”

   ติณณ์ทำท่าโล่งอก “แล้วไป”

   “ทำไมต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นด้วย เป็นเอามากนะเรา” ฟินพูดยิ้มๆแล้วเดินเข้าห้องไป

   ติณณ์ยักไหล่ทำไม่สนใจ จากนั้นก็ลงไปเตรียมอาหารไว้ให้พี่ทั้งสองอยู่ข้างล่าง

   หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็พากันมายังร้านของไข่หงส์ที่ตอนนี้เปิดให้บริการแล้ว

   ลูกค้าในร้านยังคงแน่นขนัดเหมือนเมื่อวานจนต้องเสริมโต๊ะที่ด้านนอกของร้าน ทุกคนต่างก็วิ่งวุ่นอยู่กับการต้อนรับแขกและเสิร์ฟอาหาร รวมทั้งภูรดาที่ทิ้งมาดนักธุรกิจหญิงมาสวมบทเด็กเสิร์ฟ

   แล้วหนุ่มน้อยทั้งสามที่มาใหม่ ตอนนี้ก็คาดผ้ากันเปื้อนสัญลักษณ์ของร้านเรียบร้อยแล้ว

   คนที่ดูจะไม่เต็มใจในการทำงานและแสดงออกชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นภีม เพราะงานบริการคนอื่นภีมทำไม่เป็นและก็ไม่คิดอยากจะทำด้วย

   “ผมขอเล่นดนตรีไม่ได้เหรอ” ภีมเริ่มอิดออด มือไม้จ้องแต่จะปลดผ้ากันเปื้อนออกลูกเดียว

   “ไม่ได้ วันนี้นักดนตรีมาแล้ว” ภูรดาบอก

   “ผมไม่อยากทำนี่” ภีมทำหน้าบึ้ง

   “ช่วยพี่ไข่กับพี่ขนุนเขาเถอะนะ ดูฟินกับติณณ์ซิ ไม่เห็นบ่นอะไร” ภูรดาพยักเพยิดหน้าไปทางเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าร้าน

   “ก็ได้ๆ” ภีมตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก

   งานบริการของพนักงานเสิร์ฟจำเป็น ดำเนินไปได้สักพัก เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อภีมทำอาหารหกใส่ลูกค้า จนเกิดมีปากเสียงกันขึ้น

   “ขอโทษสิวะ ไอ้หนุ่มน้อย” ชายวัยกว่าสามสิบลุกขึ้นจากโต๊ะมายืนประจันหน้ากับภีมซึ่งไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวเลยสักนิดเดียว

   “ทำไมต้องขอโทษไม่ทราบ ตาแก่” ภีมเชิดหน้าขึ้นพลางมองไปที่หญิงสาวหน้าตาดีสองคนที่นั่งอยู่ เธอกำลังส่งสายตายั่วยวนระคนเยาะเย้ยมาให้เขา

   ภีมหรี่ตามองผู้หญิงทั้งสองอย่างดูถูก ผู้หญิงบ้าอะไรมารยายิ่งกว่าร้อยเล่มเกวียน เรื่องครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าผู้หญิงสองคนนี้ไม่ปัดถ้วยอาหารให้หกใส่ตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังผลักถาดอาหารที่ภีมถืออยู่ให้หกรดผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วย

   เรื่องมันก็เริ่มต้นด้วยประการฉะนี้แล...

   “ใจเย็นๆกันก่อนนะคะ” ไข่หงส์รีบเข้ามาห้ามทัพ ลูกค้าภายในร้านเริ่มแตกตื่น

   “ใจเย็นอะไรกันคุณ ดูลูกน้องคุณทำกับพวกผมสิ แล้วยังไม่ขอโทษอีก” ชายคนเดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดทน แววตาแข็งกร้าวจ้องภีมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

   ภีมผ่อนลมหายใจเบาๆคล้ายกำลังอดกลั้นกับสถานการณ์ดังกล่าว

   “ขอโทษเดี๋ยวนี้ ไอ้หนู” เขายืนยันคำเดิม

   แต่ภีมก็ยืนยันคำเดิมเช่นกันว่าไม่ “ขอโทษทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะบอกให้ตาสว่างนะลุง ว่ายัยผู้หญิงสองคนนี้เป็นคนปัดถ้วยอาหารหกรดตัวเอง เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากฉัน ส่วนเรื่องที่คุณต้องเละแบบนี้ก็เพราะยัยคนนั้น” ภีมชี้ไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่ติดทางเดิน “ผลักถาดอาหารที่ผมถืออยู่ให้ตกใส่คุณ คราวนี้ตาสว่างหรือยัง”

   แน่นอนอยู่แล้วว่า เขาต้องไม่เชื่อที่ภีมบอก “พูดอะไรของแกวะ ฉันชักโมโหแล้วนะเว้ย”

   “ฉันก็โมโหเหมือนกัน เอาไงล่ะ... มาซัดกันซักตั้งดีหรือเปล่า” ภีมหักนิ้วมือทั้งสองข้างอย่างเตรียมพร้อม

   “ได้ไอ้หนุ่ม แล้วแกจะเสียใจ” เขากัดฟันแน่น เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบตับด้วยความโมโห

   แต่ภีมกลับยิ้มเยาะ “ไม่เคยรู้จักคำว่าเสียใจซักนิดเดียว”

   แล้วเขาก็เป็นฝ่ายปล่อยหมัดเข้าใส่ภีมก่อน แต่ยังไม่ทันที่จะโดนใบหน้าของภีม ก็ชนเข้ากับฝ่ามือของใครบางคน

   “เรื่องแค่นี้ ไม่เห็นต้องใช้กำลัง” ฟินพูดเสียงเรียบแล้วผลักกำปั้นของชายแปลกหน้ากลับไป

   ภีมมองคนที่เข้ามาห้ามอย่างขุ่นเคือง “เรื่องของฉันกับตาแก่นี่ ไม่ต้องยุ่ง”

   “เห็นแก่หน้าพี่ขนุนและพี่ไข่บ้างนะภีม เขายังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน” ฟินพูดเตือนสติ ภีมกัดฟันแน่น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

   ฟินหันไปหาชายคนนั้นต่อแล้วกล่าวคำขอโทษออกมาแทนภีม “ผมขอโทษแทนเขาด้วย”

   ไข่หงส์รีบเข้ามาเสริม “แล้วทางเราจะชดใช้ให้นะคะ ขอโทษด้วยค่ะ”

   “เรื่องไม่จบแน่ ไอ้หนุ่ม” ชายคนนั้นคาดโทษแล้วพาสองสาวออกจากร้านไป

   หลังจากนั้น ความสงบก็กลับมาอีกครั้ง ภีมเดินดุ่มๆมานั่งข้างนอกร้านเพียงลำพังด้วยความโกรธ ถ้าฟินไม่เข้ามาห้ามเสียก่อน ป่านนี้ตาแก่คนนั้นน่วมไปแล้ว คิดไปคิดมาก็หงุดหงิดใจ

   ไม่นานนัก ฟิน ติณณ์ และภูรดาก็เดินเข้ามาหาภีม ทั้งสามคนยังคาดผ้ากันเปื้อนของทางร้านอยู่ แต่ภีมถอดออกแล้วเพราะสติแตกเกินกว่าจะช่วยงานได้อีก

   “พี่เห็นว่าลูกค้าโต๊ะนั้นทำอะไร” ภูรดาเริ่มพูด “แต่เราเป็นผู้ให้บริการ ยังไงก็ต้องอดทน”

   “แต่ผมไม่ผิด” ภีมแย้งขึ้น

   “พี่รู้ว่าเราไม่ผิด แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะอธิบายออกมา”

   “แต่คำขอโทษมันก็ละเอียดอ่อนเหมือนกัน พวกนั้นไม่สมควรได้เลยสักนิดเดียว” ภีมกำมือทั้งสองข้างจนแน่น

   “พี่เข้าใจ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาช่วยงานที่ร้านแล้ว” ภูรดาบอกน้องชาย

   “แล้วพี่ล่ะ” ภีมเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้า

   “พรุ่งนี้คงต้องมาช่วยอีกนั่นล่ะ เพราะที่ร้านคนไม่พอ”

   “แต่เรามาเที่ยวกันนะพี่ ไม่ใช่มาช่วยเขาทำงาน” ภีมแค่นหัวเราะหลังจากพูดจบ

   “แต่สองคนนั้นเพื่อนพี่ แล้วตอนนี้เขาก็ต้องการความช่วยเหลือ แกไม่อยากช่วยก็กลับไป” แล้วภูรดาก็หันไปมองฟินและติณณ์ “เธอสองคนก็ด้วย ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ”

   “ผมจะช่วยครับ” ติณณ์บอกเสียงดังส่วนฟินไม่พูดอะไรตอบ เขาเพียงแต่ยืนมองหน้าภีมด้วยแววตาไร้ความรู้สึก

   จากนั้น ภูรดาและติณณ์ก็กลับเข้าไปช่วยงานในร้านตามเดิม เหลือเพียงฟินและภีม

   ภีมนั่งก้มหน้าเขี่ยทรายเล่น อยู่ดีๆฟินก็ย่อตัวลงนั่งบนทรายเบื้องหน้าภีม

   “นายไม่น่าเข้ามาห้ามเลย” ภีมบอกออกมาในที่สุด

   ฟินยิ้มบางๆ “ถ้าไม่ห้ามเรื่องก็ยาวน่ะสิ แล้วหน้านายก็ต้องเป็นแผลด้วย”

   ภีมแค่นหัวเราะอีกครั้ง ฟินนี่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย มองไม่ออกหรืออย่างไรว่าผู้ชายคนนั้นมันหน้าตาร้ายกาจขนาดไหน ต่อให้ขอโทษมันก็เถอะ มันก็ไม่ยอมปล่อยอยู่ดี เพราะมันคือนักเลง

   “หัวเราะอะไร” ฟินถามอย่างงุนงง

   “ฉลาดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียว ดูไม่ออกว่าตาแก่นั่นมันเป็นนักเลง ยังไงซะพรุ่งนี้มันก็ต้องยกพวกมากระทืบฉันอยู่แล้ว” ภีมพูดแล้วเบือนหน้าหนีสายตาของฟิน

   “คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

   “ก็คอยดูแล้วกัน” ภีมพูดแล้วมองไปยังทะเล คลื่นยังคงแรงเหมือนเดิมและอาจจะแรงยิ่งกว่านี้เมื่อมีลม

   “คิดมากน่า ไม่มีอะไรหรอก” ฟินพูดปลอบใจทั้งๆที่ในใจก็เริ่มคล้อยตามสิ่งที่ภีมบอก เพราะมองจากหน้าตาที่อาฆาตแค้นของผู้ชายคนนั้นแล้วก็พอเดาออกว่าเรื่องนี้ต้องยาวแน่ ถ้าไม่มีคนแพ้และคนชนะเกิดขึ้น

   “ไปทำงานกันต่อเถอะ” ภีมลุกขึ้นยืน

   “แรงดีจริงๆนะ” ฟินยิ้มแล้วยืนขึ้นบ้าง แล้วทั้งสองคนก็เข้าไปทำงานในร้านเช่นเดิม เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   คืนวันนั้นทั้งสี่คนช่วยงานที่ร้านของไข่หงส์จนกระทั่งปิดร้านจึงกลับที่พัก ด้วยความอ่อนเพลียจึงไม่มีใครอาบน้ำเลยสักคนเดียว



   ความอ่อนเพลียทำให้ทั้งสี่คนตื่นขึ้นในช่วงบ่ายของวันใหม่ ภูรดาตื่นขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยฟิน ส่วนติณณ์และภีมยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในห้อง แม้ว่าฟินจะปลุกอย่างไร ทั้งคู่ก็ไม่ยอมลุกขึ้นท่าเดียว

   ภูรดาและฟินจึงต้องออกไปซื้ออาหารเพียงสองคน กว่าจะกลับมาถึงที่พักอีกทีก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็นแล้ว

   ภูรดาทานข้าวก่อนเป็นคนแรกเพราะหิวจนตาลาย จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นริมชายหาด ส่วนฟินก็ขึ้นไปปลุกภีมและติณณ์ให้ตื่นมากินข้าว

   “จะนอนข้ามวันเลยเหรอภีม” ฟินเขย่าร่างของคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มไปมา

   “อื้อ... จะตื่นแล้ว แป๊บนึง... ขอตั้งท่าก่อน” ภีมบอกปัดไปให้พ้นตัว

   “ไม่ได้ ลุกขึ้นแล้วไปอาบน้ำเลย” ฟินกระชากผ้าห่มออกแล้วดึงแขนภีมให้ลุกขึ้นมา ภีมโวยวายเสียงดังลั่นจนติณณ์ต้องลุกออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

   เป็นอันว่าติณณ์ตื่นแล้วเพราะเสียงโวยวายของภีม

   “หยุดโวยวายแล้วไปอาบน้ำซะ ฉันจะรออยู่ข้างล่าง” ฟินเริ่มไม่ใจดีด้วยเพราะรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาตงิดๆ เขาหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วโยนใส่หน้าภีม “เร็วๆล่ะ”

   ภีมคิดจะต่อปากต่อคำแต่ก็ถูกเขกกะโหลกเสียก่อน “หยุดพูดแล้วไปอาบน้ำสิ หิวแล้ว” ท้ายประโยคฟินขึ้นเสียงสูง บ่งบอกให้รู้ว่าหิวจริงๆ

   ความวุ่นวายยังคงมีต่อไปกระทั่งตอนทานข้าว เพราะของที่ฟินซื้อมาไม่ถูกใจภีมเสียอย่างนั้น

   “ฉันไม่กินปลา” ภีมมองข้าวต้มปลาที่อยู่ตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง

   “เปลี่ยนกับผมก็ได้พี่ ข้าวต้มปลาหมึก” ติณณ์ยื่นชามของตัวเองให้

   “ปลาหมึกก็ไม่กินโว้ย” ภีมตวาดเสียงดัง

   ฟินส่ายหน้าไปมาอย่างระอา ทำไมพักนี้ภีมขี้หงุดหงิดจังเลย... “เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้ใหม่ก็แล้วกัน” ฟินพูดตัดปัญหา เขาหายไปครู่หนึ่งและกลับมาพร้อมข้าวกล่องหนึ่งจากร้านสะดวกซื้อ

   “กินได้แล้วใช่มั้ย” ฟินวางกล่องอาหารลงข้างหน้าภีม แล้วยกชามข้าวต้มมาไว้กลางโต๊ะ

   ภีมพยักหน้ารับเบาๆ ในขณะที่ติณณ์อดไม่ได้ที่จะแซวทั้งคู่ “ตามใจกันเข้าไป อยากได้อะไรก็จัดให้ เฮ้อ... ใครได้พี่ฟินไปนี่ สบายอย่างแรงเลย ว่าไหมครับพี่ภีม” ติณณ์หันมายิ้มให้ภีม

   “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ไอ้ปากมาก” ภีมส่งสายตาพิฆาตไปให้ แก้มสองข้างเริ่มแดงระเรื่อด้วยความอาย ส่วนฟินก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว

   เฮ้อ... นับวันยิ่งรู้สึกชอบไอ้รุ่นน้องปากมากคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ ก็มันชอบทำอะไรถูกใจอยู่เสมอๆเลยนี่นา... ฟินคิดในใจพลางตักข้าวต้มเข้าปาก

   ความสุขของคนอาจจะอยู่ที่ตรงนี้ก็ได้ อยู่ที่การทำอะไรเพื่อใครสักคนที่เรารัก...


 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 30 – หัวหินอินเลิฟ 3



   ไข่หงส์ ขนุน ภูรดาและพนักงานในร้านอีกสองคนช่วยกันจัดวางของในร้านให้เข้าที่ รวมถึงตั้งโต๊ะทั้งในและนอกร้านเพื่อรองรับลูกค้า อีกสิบนาที ร้านก็จะเปิดแล้ว...

   แต่ทำไมเด็กสามคนนั้นยังไม่มาอีกนะ... ภูรดามองดูนาฬิกาสลับกับบ้านพักที่มองเห็นอยู่ไกลๆ

   ขนุนทำหน้าที่พ่อครัว ไข่หงส์ดูแลเรื่องเงิน พนักงานอีกสองคนคอยช่วยงานในครัว ส่วนภูรดาและน้องชายทั้งสามก็เป็นพนักงานเสิร์ฟ

   “ร้านจะเปิดแล้ว” ไข่หงส์เดินมายืนคู่กับเพื่อนที่หน้าร้านเพื่อต้อนรับลูกค้า

   จนกระทั่งหกโมงตรง ร้านก็เปิดให้บริการ ภายในเวลาห้านาทีมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน ทั้งห้าคนเป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบปี

   “สวัสดีค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ” ภูรดาเดินนำพวกเขาเข้ามานั่งในร้าน

   แต่ทั้งห้าคนกลับยืนวางท่าคลายหาเรื่อง พลันชายคนหนึ่งก็ยกเก้าอี้ขึ้นฟาดโต๊ะอย่างแรง จนเก้าอี้แตกกระจาย เป็นเหตุให้เศษไม้กระเด็นเข้าใส่ใบหน้าของภูรดา เธอร้องลั่นเพราะความเจ็บปวดที่มาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว

   ไข่หงส์รีบเข้ามาพาเพื่อนออกไปจากตรงนั้น ขนุนวิ่งออกมาจากในครัว ผู้ชายอีกคนหนึ่งก็เดินมาผลักอกเขา “แกกับนังอ้วนนั่นเป็นเจ้าของร้านสินะ” มันโบ้ยหน้าไปทางไข่หงส์ที่กำลังเช็ดเลือดที่ใบหน้าของภูรดาอยู่

   “ใช่ครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน” ขนุนพยายามสงบสติอารมณ์ แม้ว่าในใจนั้นกลัวแสนกลัว คนพวกนี้เป็นนักเลง ถ้าเกิดพลาดไปอาจตายได้

   “ดี” มันพยักหน้าเบาๆ “ไปตามไอ้ลูกจ้างคนที่ทำเรื่องเมื่อวานมาพบฉันซิ” มันออกคำสั่ง

   ขนุนทำหน้าเลิ่กลั่ก มองไปยังภูรดาและไข่หงส์อย่างขอความเห็น

   “บอกกูมา ไม่งั้นร้านมึงพังแน่” มันพูดพลางยกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วชูขึ้นสูง ในขณะที่กำลังจะฟาดลงบนโต๊ะ มันกลับล้มลงไปอยู่บนพื้นเสียก่อนเพราะถูกลูกเตะจากด้านหลัง

   อีกสี่คนที่เหลือหันไปมองอย่างตกใจ ว่าใครที่กล้าทำแบบนี้...

   “เข้ามาตัวต่อตัวเลย ไอ้พวกนักเลงหัวไม้ไร้สมอง” ภีมกระดิกนิ้วเรียกพวกมัน

   ในขณะนั้นเอง ฟินและติณณ์ก็เพิ่งวิ่งมาถึงที่ร้าน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพร้านและสภาพของภูรดา

   “พี่ภู” ฟินและติณณ์อุทานพร้อมกัน

   “ไปห้ามภีมกับพวกนั้น” ภูรดาชี้ไปที่ภีมที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชายห้าคน

   “อย่ามีเรื่องกันเลยนะครับ” ขนุนพยายามขอร้อง แต่ก็ถูกชกที่เบ้าตาจนสลบไป

   ภีมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ไอ้นักเลงพวกนี้ทำพี่สาวเขาต้องเจ็บตัว ทำร้านของพี่ขนุนและพี่ไข่ได้รับความเสียหาย
   “ใครทำพี่สาวฉัน” ภีมตะโกนลั่น

   “ฉันเองว่ะ แกจะทำไม ไอ้หน้าละอ่อน” ชายคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าภีมกล่าว แล้วเลียริมฝีปากอย่างท้าทาย “แกจะทำอะไรฉัน” มันยิ้มเยาะ

   ภีมยิ้มบ้าง แต่เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากโทสะ เขาเดินไปใกล้ชายคนนั้น “แกเองเหรอ” ด้วยความรวดเร็ว ภีมปล่อยหมัดจู่โจมเข้าที่หน้าท้องของมันติดกันสองครั้งจนสลบคาเท้า

   เจ็บมือฉิบหาย ท้องแข็งเป็นบ้าเลย.. มือฉันจะหักมั้ยฟะเนี่ย เหลืออีกตั้งหลายคน. ภีมอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆด้วยความเจ็บ แต่ก็ทำไม่ได้

   “ภีม” ฟินเรียกเบาๆ พลางพยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ แม้ฟินจะไม่ถนัดเรื่องชกต่อยและไม่ชอบการใช้กำลังเป็นที่สุด แต่ถ้าเวลาเข้าตาจนก็คงต้องสู้กันไปข้างหนึ่ง

   ติณณ์ก็เช่นกัน แม้ว่าในใจโคตรจะกลัวแต่พอเห็นท่าทางของภีมเมื่อครู่แล้ว ความฮึกเหิมก็เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

   “ไอ้เวรเอ๊ย หาที่ตายซะแล้ว” นักเลงอีกคนพูดพลางถุดน้ำลายลงพื้น แล้วสี่คนที่เหลือก็เข้ารุมภีม ฟินและติณณ์วิ่งเข้าใส่ด้วยเช่นกัน

   สามต่อสี่ นักเรียนสาม นักเลงสี่ สุดท้ายใครจะชนะ...

   ติณณ์ถูกโยนออกมาจากวงล้อมความชุลมุน ใบหน้าขาวตอนนี้โชกไปด้วยเลือด

   ฟินและภีมยังคงต่อยตีกับพวกนั้นอยู่ สองต่อหนึ่ง นักเรียนคนหนึ่งต้องจัดการนักเลงสองคน

   “ติณณ์” ฟินหันไปมองติณณ์ทำให้ถูกชกเข้าที่หน้าท้อง เสียหลักเซไปชนกับนักเลงที่กำลังสู้กับภีมอยู่เป็นเหตุให้นักเลงคนนั้นเสียหลักไปอีกที ภีมใช้โอกาสนี้จัดการมันจนลงไปกองกับพื้น

   “เหลืออีกสองคน” ภีมปาดเลือดที่ริมฝีปาก แล้วกวาดเท้าไปยังนักเลงทั้งสองที่ยืนเรียงกันอยู่ เป็นโชคของภีมจริงๆที่มันยืนเรียงให้สอยได้ง่ายๆแบบนี้

   พอทั้งสองเสียหลักล้มลงไป ภีมก็กระทืบซ้ำที่หน้าท้องคนละสองทีอย่างแรงจนมันยอมศิโรราบแต่โดยดี “เจ๊ไข่ โทรเรียกตำรวจ” ภีมตะโกนบอกไข่หงส์

   สาวร่างใหญ่ผละจากภูรดามากดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่ยังไม่ทันได้โทร ปืนก็จ่ออยู่ที่สมองของเธอเสียก่อน

   “ลองโทรดูสิ ตายแน่”

   ทุกคนในร้านหันไปมองผู้ชายที่มาพร้อมกับปืน เขาคือลูกค้าคนเมื่อวานนั่นเอง ยังมีผู้หญิงตัวต้นเรื่องตามมาด้วยสองคน

   ภีมอยากจะชกหน้าผู้หญิงสองคนที่กำลังลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างหลังตาแก่หน้าโง่นั่นเหลือเกิน

   ฟินกุมหน้าท้องไว้ด้วยความเจ็บ เขาพยายามฝืนทนพูดออกมา “อย่าทำอย่างนี้เลยครับ อย่าถึงขั้นต้องเอาชีวิตกันเลย” พูดจบก็ไอออกมาไม่หยุด

   ภีมดูท่าจะไม่กลัวปืนเอาเสียเลย เขาเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้นด้วยท่วงท่าของผู้ชนะ ฟินพยุงร่างของตัวเองเดินตามไปและเอ่ยปากห้ามภีม “อย่าภีม มันมีปืน”

   ภีมหันมามองฟิน “อยู่เฉยๆน่า แล้วถ้ามันเจ็บนักก็นั่งลงซะ” ภีมออกคำสั่งกับฟิน ในน้ำเสียงมีแววขบขันซ่อนอยู่

   ฟินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ...

   ภีมยังคงเดินมาใกล้ชายคนนั้น ภูรดาร้องห้ามด้วยความตกใจ น้ำหูน้ำตาไหลปริ่มว่าใจจะขาด ไข่หงส์ส่ายหน้าบอกอย่าเข้ามา แต่ภีมก็ไม่สนใจใคร

   “แกเข้ามานั่งนี่ตาย” มันพูดขู่

   ภีมหัวเราะเยาะ “แกมาเอาคืนฉันไม่ใช่เหรอ บ้าบอสิ้นดี โดนยัยบ้าสองคนนั้นเป่าหูเข้าหน่อยก็ทำเป็นนักเลง ตอนแรกฉันก็คิดว่าแกเป็นนักเลงอยู่หรอก แต่สุดท้าย... แกมันก็กระจอก”

   “ตอนนี้ฉันก็เป็นนักเลงเว้ย เอาแกตายแน่” มันพยายามทำเสียงเข้มเพื่อกลบความกลัวที่อยู่ในใจ

   ภีมหัวเราะออกมาเสียงดังยิ่งกว่าเดิมแล้วยื่นมือไปจับปืนกระบอกนั้น   ภูรดาทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาภีมแต่ก็วิ่งไม่ได้เพราะเด็กในร้านจับแขนเธออยู่

   “นักเลงจริง เขาไม่ใช้ปืนปลอมหรอกว่ะ ตาแก่เอ๊ย” พูดจบก็กระโดดถีบเข้าที่หน้าท้องจนร่างของมันกระเด็นไปอีกทาง

   เส้นจะยึดมั้ยวะเนี่ย... ภีมคิดพลางตบเบาๆที่ต้นขา

    “เจ๊ไข่ เรียกตำรวจมาได้เลย ไอ้นี่มันนักเลงปลอม” ภีมควงปืนเล่นไปมาพลางเดินไปหาสองสาวหน้าสวยที่ยืนหน้าเสียอยู่ริมร้าน

   “ยังอยากได้ฉันอยู่มั้ยล่ะ” ภีมเดาะลิ้นไปมาอย่างยียวนพลางชูกำปั้นขึ้นสูง “ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆจะสร้างเรื่องได้วุ่นวายขนาดนี้”

   ผู้หญิงทางซ้ายมือของภีมตัวสั่นระริกส่วนอีกคนยังทำใจดีสู้เสืออยู่

   “ไปนอนคุกซักวันนึงเป็นเพื่อนตาแก่นั่นก็แล้วกัน” ภีมเลิกคิ้วให้แล้วลากทั้งสองมาโยนไว้ที่ร่างของชายที่อ้างตัวว่าเป็นนักเลง

   “เขาทำเพื่อเธอขนาดนี้ เชื่อคำพูดเธอทุกอย่าง แล้วเธอจะทิ้งเขาลงเหรอ” ภีมโยนปืนลงกลางลำตัวของคนที่สลบอยู่

   “ผู้หญิงอย่างพวกเธอ ต่อให้ตาย... ฉันก็ไม่เอา” ภีมทิ้งท้ายเสียงดัง ดวงตาคมยิ่งคมกว่าเดิมเมื่อมองไปยังผู้หญิงทั้งสอง คนหนึ่งตัวสั่นด้วยความกลัวอีกคนหนึ่งแสดงแววตาแข็งกร้าวออกมาอย่างชัดเจน

   ภีมไม่สนใจคนพวกนั้นอีกแล้ว เขาหันมาหาพี่สาวเป็นคนแรก ส่วนไข่หงส์รีบประคองฟินให้นั่งบนเก้าอี้ ขนุนฟื้นขึ้นมาพอดี เขาจับนักเลงรับจ้างทั้งห้ามัดเข้าไว้ด้วยกันกับนายจ้างชายตัวต้นเรื่อง ส่วนผู้หญิงสองคนนั้นก็ปล่อยให้เธอนั่งอย่างสบายๆรอตำรวจมาถึง

   แต่คนที่ดูจะอาการหนักที่สุดเห็นจะเป็นติณณ์...

   “พาไปโรงพยาบาลเถอะ” ภีมบอก “พี่ภูก็ต้องไป เป็นแผลเต็มหน้าเลย” ภีมหันไปหาฟิน “นายก็ด้วย ไปกันให้หมดเลย”

   ภีมพาทุกคนไปโรงพยาบาล ส่วนไข่หงส์และขนุนต้องรอตำรวจอยู่ที่ร้าน

   หลังจากที่ภีมไปโรงพยาบาลครู่หนึ่ง ตำรวจก็มาสอบปากคำและรวบตัวเหล่านักเลงไปรับโทษ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ไข่หงส์และขนุนก็ตามไปที่โรงพยาบาล

   ติณณ์ดูท่าจะอาการหนักอย่างที่คิด เพราะศีรษะแตกและอวัยวะภายในบอบช้ำ ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการ

   ภูรดาเป็นแผลที่ใบหน้าสองสามแห่ง เนื่องมาจากเศษไม้ที่กระเด็นเข้าใส่ โชคดีที่ไม่เข้าตา ไม่อย่างนั้น เรื่องคงยุ่งกว่านี้

   ส่วนฟินเองก็เจ็บอยู่ไม่น้อยเพราะนอกจากจะหัวแตกและหน้ายับเยินแล้ว ยังเจ็บหน้าท้องอีกต่างหาก

   ส่วนภีมที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย ก็มีรอยช้ำประดับใบหน้าอยู่หลายแห่ง และที่สำคัญข้อต่อนิ้วเคลื่อน

   เป็นอันว่าทุกคนล้วนต้องนอนโรงพยาบาลเหมือนกัน

   ไข่หงส์และขนุนปิดร้านไปหลายวันเพราะมาดูแลเพื่อนและน้องๆผู้น่ารักทั้งสาม เมื่อภูรดาหายดีแล้วจึงกลับไปเปิดร้านตามเดิม

   ฟินและภีมออกจากโรงพยาบาลในอีกสองวันถัดมา ส่วนติณณ์ยังคงต้องอยู่ต่ออีกสองวันเพราะต้องรอดูผลตรวจจากคุณหมอว่ามีอวัยวะภายในอะไรที่ผิดปกติหรือเปล่า

   “เฮ้อ... ทริปนี้สนุกอย่างที่ผมคาดไว้จริงๆด้วย” ติณณ์พูดเสียงแหบ

   ในช่วงนี้ฟินและภีมมาดูแลเขาที่โรงพยาบาล ส่วนภูรดาไปช่วยงานขนุนและไข่หงส์ที่ร้าน

   “สนุกกับผีแกน่ะสิ ไม่ตายก็บุญแล้ว” ภีมวางชามข้าวลงบนโต๊ะอย่างขุ่นเคือง

   “อย่าหงุดหงิดสิครับ ว่าแต่... ป้อนข้าวผมหน่อยสิ มือไม่มีแรงเลย” ติณณ์ทำหน้าบุ้ย ปากที่เคยมีสีแดงขาวซีดด้วยความอ่อนเพลีย

   “ทำไม่เป็น” ภีมบอกแล้วเดินไปหาฟินที่กำลังยืนสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ที่ระเบียงห้อง “ฟิน ไปป้อนข้าวไอ้ติณณ์หน่อยซิ”

   “มันให้นายป้อนไม่ใช่เหรอ” ฟินถามโดยไม่มองหน้าและคล้ายจะไม่สนใจ

   “มันไม่ได้เจาะจงใครทั้งนั้นล่ะ นายก็ไปทำให้มันหน่อยสิ เร็วๆเข้า” ภีมเร่ง

   ฟินถอนหายใจเบาๆแล้วหมุนตัวเดินเข้ามาในห้อง “ป้อนข้าวแค่นี้ ก็ทำไม่เป็น” ฟินบ่นภีมเบาๆ พลางตักข้าวส่งเข้าปากของติณณ์

   “คำมันใหญ่ไปนะพี่ฟิน ผมยังเจ็บปากอยู่เลย” ติณณ์ชี้ที่มุมปาก มันยังเป็นแผลจริงๆด้วย

   “ขอโทษที” ฟินบอกแล้วตักใหม่ให้น้อยกว่าเดิม “ใช้ได้ยัง”

   “เยี่ยมที่สุด พี่ฟินนี่เก่งจริงๆไม่เหมือนคนบางคน” ติณณ์จงใจพูดกระทบภีม

   “แกว่าใครวะ” ภีมหันมาทำหน้าเอาเรื่องใส่

   “เปล่า พูดลอยๆ” ติณณ์ยักไหล่อย่างยียวน

   ฟินไม่อยากให้สงครามน้ำลายเกิดขึ้นอีกจึงรีบตักข้าวยัดใส่ปากของติณณ์ไว้ “ป่วยอยู่นะติณณ์ ยังไม่วายจะกวนคนอื่น เดี๋ยวก็ได้ปากฉีกอีกรอบหรอก” ฟินพูดยิ้มๆ

   “เกิดมายังไม่เคยโดนกระทืบเลย ครั้งแรกเลยนะเนี่ย เป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ” ติณณ์พูดอย่างภูมิใจ แล้วเขาก็สัญญากับตัวเองแล้วว่า กลับบ้านไปต้องรีบเขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ให้เร็วที่สุด

   แต่ฟินยังคงคาใจเรื่องปืนปลอมนั่นอยู่ดี “รู้ได้ไงว่าปืนปลอม”

   “ของง่ายๆ ดูแวบเดียวก็รู้”

   “ไม่เห็นต่างกันตรงไหน”

   “ก็ไม่รู้ล่ะ ฉันรู้ละกันว่าของปลอม มันดูออกเองน่ะ” ภีมเก็บเรื่องที่ตัวเองเคยเรียนยิงปืนไว้เป็นความลับ ไม่ยอมบอกให้ฟินรู้

   “ถึงว่า... ทำไมนายดูใจกล้าจัง”

   “ฉันกล้าอยู่แล้วเฟ้ย ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น” ภีมพูดเสียงเข้ม

   “เฮอะ” ฟินแค่นหัวเราะ ซึ่งเป็นท่าทางที่หาดูได้ยากมาก “นายนี่มันเก่งจริงๆ”

   “แน่นอนอยู่แล้ว ให้มันรู้ซะบ้างว่าใคร”

   ฟินยิ้มบางๆ ชีวิตที่มีสีสันแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ แม้ว่าต้องแลกด้วยการเจ็บตัว แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอยากเจ็บแบบนี้อีกหลายๆครั้ง เจ็บให้มันถึงที่สุด จนรู้ว่าตัวเองจะทานทนกับความเจ็บนั้นได้มากน้อยแค่ไหน


 :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 31 – รับน้องใหม่!   


   กลับจากหัวหินได้หนึ่งสัปดาห์ ฟินและภีมก็ต้องทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยเกือบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน วันแรกของกิจกรรมรับน้องใหม่

   ฟินและภีมมาที่มหาวิทยาลัยพร้อมกัน พอถึงเวลาก็แยกไปตามคณะของตัวเอง ตอนแรกภีมคิดว่าจะไม่ทำกิจกรรมนี้ เพราะไม่ชอบถูกสั่งและไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ฟินก็หาเหตุผลร้อยแปดมาพูดหว่านล้อมให้ภีมเข้าร่วมกิจกรรมเพราะนอกจากภีมจะได้รู้จักคนมากขึ้นแล้ว ยังได้ร่วมทำกิจกรรมกับคนอื่นด้วย และที่สำคัญที่สุด มันดีต่อตัวของภีมเองในภายภาคหน้า

   คณะสัตวแพทยศาสตร์ของฟินมีนักศึกษาปีหนึ่งราวสามสิบคน กิจกรรมรับน้องของคณะจัดขึ้นที่บริเวณลานชั้นล่างของตึกคณะ

   ฟินที่อยู่ในชุดนักศึกษายืนมองบรรดารุ่นพี่ที่ยืนล้อมน้องปีหนึ่งอยู่ จะให้เข้าไปตอนนี้ก็กระไรอยู่ ทำไมวันแรกเขาดันมาสายซะได้นี่

   ฟินยืนตรงนั้นได้ไม่นาน รุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งก็ตะโกนเรียกเขาเข้าไปหา “ปีหนึ่งสินะ เข้ามาเร็วๆสิ วันแรกก็สายแล้ว”

   ฟินเดินดุ่มๆเข้าไปด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม

   “เอาล่ะ ถือเป็นความผิดครั้งแรก งั้นก็แนะนำตัวให้เพื่อนๆรู้จักหน่อยสิ”

   ตอนนี้ฟินยืนอยู่กลางวงและเป็นจุดเด่นของลานไปแล้ว ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ “ฟิน... อชิตะ ก้องกิตติกุลครับ มาจากโรงเรียนเอกชนXXX”

   รุ่นพี่ที่ยืนอยู่รอบๆตัวเขายิ้มไปตามๆกัน เพราะใบหน้าเรียบเฉยนั้นชวนมองเหลือเกิน

   “น้องฟิน ทำไมมาสายครับ” รุ่นพี่ฝ่ายสันทนาการถามขึ้น

   ฟินเผยรอยยิ้มบางๆที่มุมปาก “รถติดครับ” สาเหตุที่ฟินยิ้มเป็นเพราะเขานึกถึงภีมขึ้นมา ภีมเป็นคนทำให้เขาต้องมาสายเพราะมัวแต่อิดออด จะไม่ไปท่าเดียว จนเขาต้องเสียเวลาเกลี้ยกล่อมเป็นนานสองนาน

   “บ้านอยู่แถวไหนคะ” รุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งในฝ่ายสันทนาการถามบ้าง

   “แถวๆริมน้ำเจ้าพระยาครับ” จบคำตอบเสียงซุบซิบก็เกิดขึ้น ฟินพยายามแล้ว พยายามจะไม่ทำตัวเด่น แต่ยิ่งพยายามเท่าไรก็ยิ่งเด่นมากขึ้นเท่านั้น

   ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสันทนาการหรือการเข้าร่วมแข่งขันต่างๆ ฟินก็เข้าร่วมด้วยความเต็มใจ กระทั่งเรื่องตัวแทนประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย ฟินยังได้รับเลือกจากเพื่อนๆและพี่ๆในคณะให้ลงประกวด แม้ว่าเขาจะหาเหตุผลมาหักล้างความเหมาะสมที่รุ่นพี่และเพื่อนๆพูดกัน ก็ยังไม่สามารถหลุดไปจากภาระนี้ได้

   “ทำไมไม่อยากลงประกวดล่ะ เราว่าฟินก็หน้าตาดีนะ แล้วยังเก่งด้วย” ตัวแทนดาวคณะชื่อทิชาเอ่ยถาม

   “ไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้เท่าไหร่ มันดูวุ่นวาย” ฟินตอบแค่นั้นแล้วหันไปทางอื่น

   ทิชายิ้มบางๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกถูกชะตาขึ้นมา ไม่คิดว่าจะได้เป็นตัวแทนประกวดดาวเดือนด้วยกัน “ไม่วุ่นวายหรอกน่า คิดมากเกินไปแล้ว”

   ฟินไม่พูดอะไรต่อและทำท่าคล้ายจะไม่สนใจทิชา

   แต่ทิชาอยากคุยและรู้จักกับผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น เหมือนที่ทุกๆคนในคณะอยากจะทำ กว่าเธอจะได้มานั่งคุยกับฟินสองคนที่ตรงนี้ได้ก็ต้องรอเวลาอยู่นานพอสมควร เพราะมีคนเข้ามาทำความรู้จักกับฟินไม่หยุดหย่อน

   “ทำไมอยากเรียนคณะนี้ล่ะ”

   คำถามสิ้นคิดจริงๆ วันนี้มีคนถามแบบนี้กี่คนแล้วนะ... ฟินคิดในใจจนลืมตอบคำถามของทิชา เธอจึงย้ำคำถามเดิมกับเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางอยากรู้เต็มแก่

   “แล้วทำไมเธออยากเรียนคณะนี้ล่ะ” ฟินถามกลับเสียอย่างนั้น

   ทิชาเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจแล้วกล่าวว่า “ฉันรักสัตว์น่ะ อยากเป็นคุณหมอรักษามันให้หายจากโรคต่างๆ”

   ฟินดูไม่ค่อยสนใจกับคำตอบของทิชามากนัก เพราะเอาแต่มองไปรอบๆตึกคณะ

   “แล้วเธอล่ะ” ทิชายังถามไม่เลิก เธอตั้งปณิธานไว้ในใจว่าต้องเอาเขามาเป็นเพื่อนให้ได้ภายในวันนี้

   ฟินถอนหายใจบางๆแล้วหันมองหน้าทิชา เธอตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อได้สบตากับเขา

   “เหตุผลเดียวกับเธอนั่นล่ะ แต่เพิ่มตรงที่ครอบครัวฉันทำฟาร์มโคนมแล้วก็เลี้ยงม้า”

   ทิชาพยักหน้ารับแล้วยิ้มเจื่อนๆ ไม่นะ... เราจะคิดกับเขาแค่เพื่อนเท่านั้น เพื่อน เพื่อน เพื่อน

   “มีอะไรอยากจะรู้อีกหรือเปล่า” ฟินประชดประชันออกมาทางคำพูดและแววตา

   แต่ทิชากลับดูไม่ออก “ถามได้หมดเลยเหรอ อยากรู้เยอะแยะเลย”

   ฟินถอนหายใจอีกครั้งอย่างหนักหน่วงแล้วกล่าวว่า “ถามมาสิ”

   “มีแฟนหรือยัง” ถามจบทิชาก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ตอนแรกเธอจะถามคำถามนี้เป็นข้อสุดท้ายแต่ไม่คิดว่าปากไม่รักดีจะไวกว่าสมอง

   แล้วฟินก็ตอบอย่างไม่ลังเล “มีแล้ว”

   ทิชาหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนจะตั้งสติได้ “เหรอ ดูท่าทางมีคนสนใจฟินเยอะดีนะ ทั้งรุ่นพี่และก็เพื่อนๆ”

   “เธอด้วยหรือเปล่า” ฟินจ้องตากับทิชา ในดวงตาเขานั้นมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไรเคลือบแฝงกับคำถามนั้นเลย แต่ทิชากลับหลุบตาลงอย่างรวดเร็วด้วยความอาย

   “ก็นิดนึง อยากเป็นเพื่อนกับฟินน่ะ” ทิชาพูดเสียงสั่น ทำไมคำตอบและคำถามของเขาทำให้เธอเสียความมั่นใจได้ถึงเพียงนี้

   “เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ต้องเรียนด้วยกันตั้งหกปี ไม่เป็นเพื่อนกันก็แย่น่ะสิ”

   “ก็คงใช่ เออ... ได้ข่าวว่าอยู่โรงเรียนเก่าเป็นประธานนักเรียนเหรอ” ทิชาเปลี่ยนเรื่องคุย

   ฟินพยักหน้ารับ

   “แล้วจะแสดงอะไรดีล่ะ ตอนประกวด”

   คำถามนี้ฟินเองก็ยังไม่รู้คำตอบเช่นกัน เขาจึงส่ายหน้าไปมา

   ทิชาคิดในใจว่า ทำไมผู้ชายคนนี้ไม่ช่างพูดให้มากกว่านี้ แต่ถ้าช่างพูดมากกว่านี้คนก็คงมาชอบเยอะ ขนาดไม่พูดอะไรเท่าไหร่ เดินไปไหนยังมีแต่คนมองและเข้ามาพูดคุยไม่มีเว้น

   “ไปก่อนนะ พวกนั้นเรียกฉันน่ะ” ฟินพูดขึ้นแล้วเดินไปหากลุ่มเพื่อนชายสี่ห้าคนที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของตึก

   ทิชามองตามด้วยแววตาสับสน เพื่อน เพื่อน เราจะคิดแค่นี้จริงๆ

   แม้ว่าจะบอกกับตัวเองอย่างนั้น แต่ทำไมในใจกลับรู้สึกอยากได้เขามาครอบครอง ทิชาไม่ชอบความสับสนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้เลย เธออยากให้เขาเป็นแค่เพื่อนจริงๆ



   กิจกรรมรับน้องคณะดุริยางคศาสตร์เป็นไปด้วยความคึกคักและอึกทึก จนภีมอยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีกลับบ้านไปเสียดื้อๆ แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว

   ภีมจึงตัดสินใจทำตัวเนียนไปกับคนอื่น แต่กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของรุ่นพี่ไปได้ ภีมถูกเรียกมายืนที่หน้าแถวท่ามกลางเพื่อนๆและพี่ๆ

   “สุดหล่อขา วันแรกก็มาสายเลยนะคะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจริตของรุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งพูดขึ้น “เอาล่ะ...แนะนำตัวกับเพื่อนๆหน่อยค่ะ คนอื่นเขาแนะนำกันไปหมดแล้ว”

   ภีมยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มกระชากใจสาวๆในแบบที่เขาชอบใช้ประจำ “ผมชื่อภีมครับ นามสกุลพิริยะ มาจากโรงเรียนเอกชนXXXครับ เครื่องดนตรีที่ถนัดที่สุดคือเปียโนครับ”

   พอทุกคนรู้ว่าภีมเป็นใครต่างก็ปรบมือให้เพราะชื่อของเขาดังกระฉ่อนไปทั่ววงการนักดนตรี เนื่องจากเขาเป็นแชมป์การแข่งขันเปียโนถึงสามปีซ้อน

   “ปรบมือทำไมเหรอครับ” ภีมถามอย่างุงนงง

   “เอกดนตรีสากลมีคนเก่งๆอย่างนี้ ไม่ให้ปรบมือได้ยังไงล่ะ” รุ่นพี่คนเดิมยิ้มพราว ภีมรู้สึกตงิดๆกับรอยยิ้มนั้นเหลือเกิน หวังว่าเธอคงไม่อยากสานสัมพันธ์กับเขาหรอกนะ

   แต่แล้ว... สิ่งที่ภีมเพิ่งคิดไปก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้

   เมื่อทุกคนในเอกกำลังทำกิจกรรมสันทนาการกันอยู่ ภีมก็ถูกเรียกออกไปพูดคุยกับรุ่นพี่เป็นการส่วนตัวที่ห้องชมรมถัดจากลานกิจกรรมประมาณสิบเมตร

   ภีมเปิดประตูเข้าไป พบรุ่นพี่คนนั้นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง

   “นั่งสิจ๊ะภีม” เธอผายมือไปที่เก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ

   ภีมยิ้มอย่างรู้ทัน วันแรกก็มีคนมายุ่งวุ่นวายกับเขาเสียแล้ว... “มีอะไรหรือครับ ผมทำอะไรไม่ถูกใจพี่หรือเปล่า หรือว่าเป็นเรื่องที่ผมมาสาย”

   “เปล่าหรอกจ๊ะ พี่ชื่อนัทตี้นะ อยากรู้จักกับภีมให้มากขึ้นน่ะ” เธอบอกชื่อเองเสร็จสรรพพลางส่งยิ้มให้ภีมอีกครั้ง

   ภีมมองเธออย่างพิจารณา รุ่นพี่คนนี้หน้าตาสะสวย สูง ขาว และอึ๋ม พอมองถึงช่วงอกเขาก็ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว ก็คุณเธอเล่นใส่เสื้อรัดติ้วจนกระดุมแทบจะขาดออกจากกันอยู่แล้ว

   นัทตี้กระแอมเบาๆให้ภีมรู้สึกตัว “มองอะไรอยู่จ๊ะ”

   ภีมยังคงยิ้มอยู่ “มองไปเรื่อยๆน่ะครับ ก็มันน่ามองนี่นา”

   นัทตี้ยิ้มพราว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าภีม “พี่ชอบเธอ เรามองคบกันดีมั้ยจ๊ะ”

   เจอประโยคแบบนี้เข้าไปตรงๆภีมถึงกับวางตัวไม่ถูกเลยทีเดียว “เอ่อ... ผม”

   นัทตี้โน้มตัวเข้ามาใกล้ภีมพลางจับหัวไหล่เขาไว้ “ว่ายังไงจ๊ะ”

   ภีมพยายามไม่มองเนินอกอวบขาวที่อยู่ตรงหน้า “ใจเย็นๆก็ได้ครับพี่ เราจะเริ่มกันตรงนี้เลยน่ะเหรอ ผมยังเด็กอยู่นะครับ”

   “เรียนมหาลัยแล้ว ไม่เด็กหรอก โตพอจะเรียนรู้อะไรตั้งเยอะ” เธอทำท่าจะนั่งลงบนตักของภีม

   “เสียใจครับ ผมมีแฟนอยู่แล้ว” ภีมบอกแล้วผลักร่างของเธอลงพื้น

   นัทตี้มองอย่างตกตะลึง ได้แต่กระพริบตาปริบๆมองภีมเดินออกไปจากห้องและเฝ้าคิดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องอะไรถึงถูกปฏิเสธ

   ภีมเดินออกมาอย่างอารมณ์ดีและมาเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนในเอกอย่างสนุกสนาน ด้วยความขี้เล่นและยิ้มง่าย ทำให้ภีมเป็นที่สนใจของรุ่นพี่และเพื่อนๆ

   จนกระทั่งมีการเสนอชื่อเข้าประกวดดาวเดือนคณะคุริยางคศาสตร์ ภีมได้รับการเสนอชื่อให้ลงประกวดและได้รับเสียงโหวตอย่างเป็นเอกฉันท์

   ภีมยิ้มรับอย่างไม่เต็มใจนัก... ทำไมชีวิตเขาต้องวุ่นวายด้วยก็ไม่รู้

   “น้องภีมครับ ตอนนี้เป็นตัวแทนเดือนของเอกดนตรีสากล น้องภีมต้องขึ้นเวทีคัดเลือกเป็นตัวแทนของคณะในสัปดาห์หน้า ส่วนสัปดาห์ต่อไปจะเป็นการประกวดใหญ่นะครับ ดาวเดือนของทุกคณะต้องมาขึ้นเวทีประกวดอีกทีเพื่อชิงตำแหน่งดาวเดือนมหาวิทยาลัยของปีนี้” รุ่นพี่ชื่อเก่งที่เป็นเดือนปีก่อนอธิบายให้ภีมฟัง

   “หลายขั้นตอนจังเลยนะครับ”

   “ครับ คณะเรามีหลายเอกน่ะ ก็ต้องมาคัดกันอีกทีว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นตัวแทนของคณะ”

   “พี่ไม่ลองหาคนอื่นดูล่ะครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมเท่าไหร่” ภีมพยายามบ่ายเบี่ยง

   “ภีมนั่นล่ะ เหมาะสมที่สุดในโลกเลย ทั้งหน้าตาและความสามารถ รับรองว่าชนะทุกเวทีชัวร์”

   ยอเข้าไป... ภีมคิดในใจ

   “คิดการแสดงที่จะใช้ประกวดมาด้วยนะ แล้วก็ทำความรู้จักกับเบสท์ไว้ด้วย เธอเป็นดาวคู่กับภีมน่ะ” เก่งชี้ไปที่ผู้หญิงผมสั้นประบ่าคนหนึ่งซึ่งภีมมองไม่เห็นหน้าเพราะเธอหันหลังให้เขา

   พอพี่เก่งแยกไป ภีมจึงเป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับเธอก่อน

   “เบสท์” ภีมเรียกชื่อเธอ

   เจ้าของชื่อหันมาตามคำเรียกแล้วยิ้มบางๆ ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนเมื่อสบตากับเขา “กำลังจะเข้าไปคุยด้วยพอดีเลยภีม”

   “จะทำอะไรดีในวันประกวด” ภีมตรงเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว

   “ไม่รู้สิ เราก็ทำอะไรไม่เป็นนอกจากเล่นดนตรี” เบสท์ยิ้มแหยๆ

   ภีมหรี่ตาด้วยความสงสัย “จริงเหรอ”

   “จริงสิ ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกเอกนี้หรอก ชีวิตเราก็มีแต่ดนตรีนี่ล่ะ เรียนก็ไม่เก่ง ทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง นอกจากเล่นไวโอลินนี่ล่ะ” เบสท์ค่อนข้างอายเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเธอไม่เก่งอะไรจริงๆนอกจากเล่นดนตรี

   ภีมรู้สึกถูกชะตากับเธอขึ้นมา อาจเพราะความที่ไม่เก่งอะไรเหมือนกันนอกจากดนตรี “โป๊ะเชะ เราเป็นเพื่อนซี้กันได้แน่นอน เพราะไม่เก่งอะไรนอกจากดนตรี”   

   เบสท์ทำหน้าตกใจ แต่แล้วก็หัวเราะออกมาในที่สุด “เจ๋งมาก มาเป็นเพื่อนซี้กันเถอะ”

   “ไม่ชอบเปียโนเหรอ” ภีมถาม

   “ก็ชอบอยู่ แต่เล่นได้ไม่ดีเท่าไวโอลิน ประกวดทีไรไม่เคยได้ที่หนึ่งเลย ปีที่แล้วลงประกวดไวโอลินก็ดันแพ้ให้เด็กรุ่นน้องขี้เก๊กคนหนึ่ง” เบสท์พูดพลางนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เธอไม่น่าแพ้ให้กับเด็กคนนั้นเลย

   “รุ่นน้องที่ว่าชื่อติณณ์ใช่มั้ย” ภีมถามอย่างขบขัน โลกกลมจริงๆ

   “ใช่ๆ โคตรจะเก๊กเลย แถมยังบอกว่าไวโอลินของฉันน่ะราคาถูก ไม่น่าจะกล้าเอามาแข่งโชว์คนอื่นเขา แล้วก็อวดไวโอลินของตัวเอง แหวะ... ฉันล่ะเกลียดไอโอลินสีขาวจริงๆ” ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเปลี่ยนไป ตอนแรกภีมคิดว่าเบสท์เป็นคนเรียบร้อย แต่จากการที่ได้พูดคุยกันทำให้เขารู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย ภายใต้ใบหน้าน่ารัก อ่อนหวานนั้น กลับห้าวเสียยิ่งกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก

   “หมอนี่เป็นรุ่นน้องฉันเอง ปากก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วมันเป็นคนดีคนหนึ่งเลย” ภีมยิ้มบางๆ

   “ก็ไม่รู้ล่ะ แต่มันดูถูกลูกตาลของฉัน ให้อภัยไม่ได้” เบสท์พูดถึงไวโอลินสีเบจของเธอที่ถูกติณณ์ดูถูกเมื่อครั้งประกวดแข่งขันไวโอลินระดับประเทศครั้งก่อน

   “ไว้วันหลังจะพาเจ้านั่นมาขอโทษเธอถึงที่เลย” ภีมบอก

   “พามาเลย ขอต่อยปากให้หายเจ็บใจซักที” เบสท์พูดอย่างไม่จริงจังนัก

   “ไปทางนั้นดีกว่า มีเพื่อนที่ต้องทำความรู้จักอีกเยอะ” เธอพูดพลางโอบไหล่ภีมเดินไปด้วยกัน ท่าทางมาดแมนของเบสท์ขัดแย้งกับใบหน้าอ่อนหวานเป็นอย่างมาก แต่สิ่งนี้ล่ะ... ที่ทำให้เธอโด่ดเด่น

   และใครๆต่างก็คิดว่า... สองคนนี้เหมาะสมกันที่สุด

   ภีมรู้จักเพื่อนร่วมเอกจนครบทุกคน โดยปกติ แม้ภีมจะเป็นคนขี้เล่นขนาดไหนแต่ก็ไม่ชอบคบเพื่อนมากนักเพราะมันวุ่นวาย แต่ตอนนี้... ภีมกลับมีเพื่อนมาร่วมสร้างความวุ่นวายเต็มไปหมด

   แต่มันก็น่าสนุกดีนะ... สี่ปีที่แสนวุ่นวายในรั้วมหาวิทยาลัย


 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 32 – เจ้าหญิงและเจ้าชาย


   ช่วงเวลาของการรับน้องผ่านพ้นไป เข้าสู่สัปดาห์ของการประกวดดาวเดือนของคณะดุริยางคศาสตร์ ผู้ชนะทั้งสองจะได้เป็นตัวแทนของคณะลงประกวดในระดับมหาวิทยาลัย

   “พรุ่งนี้แล้วอ่ะ ไม่อยากไปเลยว่ะ” ภีมบ่นให้ฟินฟัง เป็นการบ่นประโยคเดิมครั้งที่สามสิบในรอบของวันนี้ และฟินก็ตอบไปอย่างที่ตอบเหมือนทุกครั้งว่า “ไม่อยากก็ต้องไป ทำได้อยู่แล้วล่ะ”

   “ทำไมฉันต้องซวยทุกทีเลย อุตส่าห์อยู่เฉยๆแท้ๆกลับมีคนมาโยนภาระหน้าที่ให้เฉยเลย ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ให้ตายสิ”

   ฟินอดคิดถึงเรื่องของตัวเองไม่ได้ เขาก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ได้ทำอยู่ร่ำไป “ฉันก็ต้องประกวดเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่มีประกวดยิบย่อยเหมือนของนาย”

   “เมื่อวานเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าเบสท์เล่นไวโอลินเก่งมากไม่ใช่เหรอ” ฟินถามขึ้น เขาได้รู้จักกับเบสท์เมื่อสองวันก่อน ภีมเป็นคนแนะนำให้รู้จัก และทั้งสามคนก็เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

   “เก่งสุดๆเลย เก่งกว่าติณณ์อีก แต่ทำไมไม่ได้เป็นแชมป์ก็ไม่รู้” ภีมพูดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฝีมืออย่างเบสท์พลาดตำแหน่งผู้ชนะเลิศไป

   “มันคงมีเหตุผลหลายๆอย่างนั้นล่ะ ฉันว่าติณณ์ก็เล่นเก่งใช่ย่อยนะ” ฟินแสดงความเห็น

   ภีมคล้อยตาม “ช่างมันเถอะ ว่าแต่วันนี้ไปนอนบ้านฉันแล้วกัน จะได้เล่นเปียโนให้นายฟัง”

   “ได้สิ แล้วจะติชมให้” ฟินยิ้มบางๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปจัดกระเป๋า ช่วงบ่ายทั้งคู่จึงเดินทางมาถึงบ้านของภีม

   บรรดาคุณแม่บ้านของพิริยะยังคงให้การต้อนรับฟินอยู่เหมือนเดิม ทุกคนต่างรู้สึกว่าฟินเป็นส่วนหนึ่งของบ้านพิริยะไปแล้ว

   “นับวันยิ่งหล่อขึ้นนะคะ คุณฟินของป้า” แม่นมของภีมเอ่ยทักทายฟินที่เดินเคียงคู่มากับคุณชายของบ้านพิริยะ

   ฟินยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เพราะเขาก็ผูกพันกับคนที่นี่เหมือนกัน “ขอบคุณครับป้า ป้าก็สวยขึ้นทุกวันเหมือนกัน”

   “แหม... รู้จักเอาอกเอาใจคนแก่ซะด้วย คุณฟินก็...” เธอว่าพลางลูบแขนตัวเองอย่างเขินๆ

   ภีมมองดูอย่างขบขัน “ไม่มีใครชม ก็ชมกันเองเนอะ คนบ้านนี้”

   “คุณชายก็พูดไป ก็ดูคุณฟินน่ารักขนาดนี้ ไม่ให้ชมได้ไงไหวล่ะคะ ถ้าป้าเกิดช้ากว่านี้ซักสามสิบปีก็ดีสินะ คุณฟินจะได้มาจีบป้า”

   “ไม่เห็นจะหล่อตรงไหนเลย ผมหล่อกว่าตั้งเยอะ” ภีมมองฟินอย่างท้าทายแล้วเดินขึ้นข้างบนไปก่อน

   ฟินยิ้มบางๆ “ไปนะครับป้า ตอนนี้คุณชายของป้าน่ารักขึ้นกว่าเดิมมากเลย”

   แม่นมคนเดิมยิ้มอย่างมีความสุข เพราะความสุขของเธออยู่ที่คุณชายอารมณ์ร้ายคนนี้ “ป้าก็ว่าอย่างนั้นล่ะค่ะ ฝากดูแลคุณชายด้วยนะคะ”

   “ไม่ต้องห่วงครับป้า ผมจะดูแลเขาให้ดีเลย” ฟินรับปากแล้วเดินตามภีมไป

   ภีมนั่งรอฟินอยู่ในห้องดนตรีที่ชั้นสาม ไม่นานนักฟินก็ตามขึ้นมา ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

   ภีมทำเป็นไม่สนใจ เขาทาบนิ้วมือบนเปียโนแล้วเริ่มบรรเลงเพลงที่มีจังหวะรุนแรงและเร่าร้อนราวกับพลุที่ถูกจุดขึ้นฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน

   ฟินมองดูอย่างชื่นชม เมื่อภีมเล่นเสร็จก็หันหน้ามามองฟินอย่างขอความเห็น

   “ฟังแล้วหัวใจจะวาย ตื่นเต้น ไม่มีจังหวะให้พักเหนื่อย มันเหมือนว่าทำให้คนฟังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็รุนแรงมากในเรื่องของโทนเสียง” ฟินบอก

   ภีมพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แล้วมันดีหรือเปล่าล่ะ”

   “ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือเปล่า” ฟินทำหน้าลังเล เขาบอกไม่ถูกหรอกว่ามันดีหรือไม่ดี เขารู้เพียงแต่ว่าท่วงทำนองแบบนี้มันทำให้คนฟังอึดอัดและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

   “เบสท์บอกว่าคนอื่นคงน่าจะเล่นเพลงช้าๆกัน เราสองคนก็เลยคิดจะแหวกแนวด้วยการเล่นเพลงแบบนี้ ทำให้คนดูต้องตะลึง อะไรประมาณนี้ล่ะ” ภีมขมวดคิ้วแล้วลองเล่นเพลงเดิมอีกครั้ง แต่ลดอัตราเร็วของจังหวะให้น้อยลง

   ฟินรู้สึกได้ว่ามันน่าฟังขึ้น ไม่รุนแรงจนเกินไปและไม่น่าเบื่อจนอยากจะหลับ

   “แล้วแบบนี้ล่ะ” ภีมถามเมื่อเล่นจบ

   ฟินเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างขบคิด ครู่หนึ่งจึงตอบออกมา “ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้เข้าใจ แต่ว่าแบบนี้ดีกว่า มันฟังแล้วรู้สึกลุ้นไปกับเพลงแต่ก็มีช่วงเวลาให้ได้พักบ้าง”

   ภีมพยักหน้าเบาๆ “งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน รับรองว่าเจ๋งชัวร์”

   ดวงตาดำขลับของฟินเป็นประกายขึ้นมา ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ภีมจะบ่นอยู่ร่ำไปว่าไม่อยากทำและเบื่อที่จะรับภาระนี้เอาไว้กับตัว แต่เขาก็ตั้งใจและดูมีความสุขทุกครั้งที่ซ้อมดนตรีเพื่อนำไปประกวดบนเวทีในวันพรุ่งนี้ แล้วสุดท้ายความตั้งใจของเขาก็ทำให้ผลงานออกมาดี ถึงฟินจะไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรีอะไรเท่าไรนัก แต่ก็กล้ายืนยันว่ามันยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ

   และเมื่อสุดยอดนักเปียโนโคจรมาพบกับสุดยอดนักไวโวโอลิน รับรองว่า ผลงานต้องออกมาสุดยอดเกินคาดอย่างแน่นอน
 
   เช้าวันรุ่งขึ้น ภีมและฟินมาที่มหาวิทยาลัยแต่เช้าเพื่อเตรียมตัว ทางด้านหลังเวทีเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนดูอึดอัด ภีมสงสัยว่าทำไมถึงอนุญาตให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการประกวดเข้ามาด้านหลังเวทีเยอะขนาดนี้

   “จะไปแต่งตัวตรงไหนล่ะภีม ไม่มีที่ว่างเลย” ฟินเอ่ยขึ้น เมื่อมองดูภาพตรงหน้า มันชุลมุนวุ่นวายจริงๆ

   “เดี๋ยวโทรหาเบสท์ก่อน” ภีมรีบกดโทรศัพท์หาเพื่อนทันที ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่เข้ามาข้างใน จากนั้นไม่นาน เบสท์ก็มาพร้อมผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง

   ฟินและภีมมองเบสท์อย่างตกตะลึง เพราะการแต่งตัวที่คล้ายผู้ชายของเธอและยังท่าทางมาดแมนนั่นอีก แล้วยังจับมือกับผู้หญิงข้างๆเสียแน่น ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นแฟนกัน

   “อ้าปากกันใหญ่” เบสท์พูดกลั้วหัวเราะแล้วบีบคางฟินและภีมคนละที “หุบปากได้แล้วเพื่อน”

   “ทำไมแต่งตัวแบบนี้” ภีมถามอย่างงุนงง

   เบสท์หันหน้าไปมองผู้หญิงข้างๆแล้วก้มลงมองตัวเอง เธอไม่เข้าใจว่ามันน่าตกใจตรงไหน “ก็แต่งแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่”

   “วันก่อนยังแต่งเป็นผู้หญิงอยู่เลย” ฟินพูดบ้าง

   “ไม่รู้สิ ก็แต่งแบบนี้มานานแสนนานแล้ว”

   ฟินและภีมพยักหน้าพร้อมกัน

   แล้วเบสท์ก็แนะนำผู้หญิงที่มาพร้อมกับเธอให้ฟินและภีมรู้จัก พอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทั้งสองก็ต้องอ้าปากซ้ำอีกรอบ แถมยังอ้ากว้างกว่าเดิมเสียด้วย

   “แฟนเหรอ” ฟินและภีมพูดออกมาพร้อมกัน

   เบสท์แทบอยากจะมุดดินหนีหายไปจากตรงนั้น ก็สองคนนี้เล่นตะโกนจนเสียงดัง คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็มองมายังจุดเกิดเหตุเป็นตาเดียว “จะตะโกนกันทำไมฟะ อายนะโว้ย”

   “เบาๆก็ได้ อินก็เริ่มจะอายเหมือนกัน” อินตาจับมือเบสท์จนแน่น ใบหน้าขาวเริ่มมีสีเลือด

   “ฮ่าๆ ขอโทษที ตกใจน่ะ ไม่คิดว่าเบสท์จะเป็นเลสเบี้ยน” ภีมพูดไปหัวเราะไป

   ฟินเพียงแต่ยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไร

   ทั้งสี่คนยืนคุยกันได้ไม่นาน รุ่นพี่ที่ประกวดดาวเดือนปีที่แล้วก็เดินมาหา แล้วเดินนำเข้าไปข้างใน “โชคดีที่จองที่ไว้แล้ว ความจริงเขาอนุญาตให้เข้าแค่สี่คนต่อหนึ่งคู่ แต่ทำไมปีนี้ไม่กำหนดอะไรเลย ยุ่งไปหมด” ลลิลบ่นขึ้นเมื่อถึงห้องที่กั้นไว้เพื่อแต่งตัว

   “ผมก็ว่ามันดูยุ่งๆยังไงก็ไม่รู้” ภีมบ่นด้วยอีกคน

   “ยุ่งจนน่ารำคาญ เบสท์ว่าพี่ลิลไปประกาศบอกพวกเขาเองเลยดีกว่า ไม่งั้นแย่แน่ จะซ้อมอะไรก็ไม่ได้เลย เพราะเสียงดังและวุ่นวายมากๆ” เบสท์บ่นด้วยอีกคน

   มีแต่ฟินและอินตาเท่านั้นที่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ

   ครู่หนึ่งหลังจากนั้น กรรมการประจำคณะก็ประกาศบอกให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการประกวดออกจากด้านหลังเวที ดาวและเดือนแต่ละสาขาวิชาจะมีผู้ดูแลได้เพียงสี่คนเท่านั้น

   ฟินและอินตาต้องออกไปนั่งรอที่หน้าเวที ผู้ดูแลของภีมและเบสท์คือรุ่นพี่ที่ประกวดดาวเดือนปีที่แล้ว ช่างแต่งหน้าหนึ่งคน และช่างทำผมอีกหนึ่งคน ส่วนเรื่องเสื้อผ้า รุ่นพี่คนอื่นในเอกก็เตรียมให้พร้อมแล้ว

   “เหลือเวลาหนึ่งชั่วโมง ช่างแต่งหน้ายังไม่มาเลย” ลลิลบ่นอย่างหัวเสีย ผู้เข้าประกวดคนอื่นก็แต่งตัวกันเกือบจะเรียบร้อยแล้ว บางเอกถึงกับซ้อมการแสดงบนเวทีอยู่

   “ใจเย็นๆสิ เราก็เกือบเสร็จแล้วนี่ เหลือแค่แต่งหน้าอย่างเดียว เดี๋ยวก็เสร็จ” ภูมิพูดให้เพื่อนคลายใจ

   “เรื่องเครื่องดนตรีพร้อมแล้วใช่มั้ย” ลลิลถามอีก ภูมิพยักหน้ารับ “เรียบร้อยทุกอย่างแล้ว”

   “แค่ประกวดของคณะยังยุ่งเลย”

   “เออน่า รับรองว่าเอกเราชนะชัวร์” ภูมิพูดอย่างมั่นใจ

   ภีมและเบสท์มองหน้ากันแล้วส่ายหน้า เพราะว่าทั้งสองไม่มั่นใจนักว่าจะเป็นไปตามความมั่นใจที่รุ่นพี่ทั้งหลายบอกไว้

   ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนการประกวด ช่างแต่งหน้าก็มา โชคดีที่ภีมไม่ต้องแต่งอะไรมากนัก ทำให้ขั้นตอนนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดีและรวดเร็ว

   ทำไมคอนเซปต์การประกวดปีนี้ต้องเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย... ภีมบ่น

   ภีมมองดูตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจเบาๆ นี่เขากลายเป็นเจ้าชายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เบสท์มายืนมองตัวเองด้วยอีกคน เธอถอนหายใจเสียยืดยาวแล้วบ่นออกมาเพียงลำพังว่า “ให้ตายสิ ชาตินี้เพิ่งเคยแต่งตัวเป็นเจ้าหญิง อินเห็น... คงขำตายเลย”

   ภีมนึกถึงฟินบ้าง “มันจะขำฉันมั้ยวะเนี่ย”

   “พูดถึงใครเหรอ” เบสท์ทำหน้าอยากรู้ขึ้นมา

   “เปล่า ไม่มีอะไรซักหน่อย” ภีมโบกมือปฏิเสธ

   เบสท์หรี่ตามองอย่างจับผิด “รู้น่าว่าหมายถึงใคร” เธอพูดยิ้มๆ

   ภีมร้อนตัวขึ้นมาทันที “อะไร ใครที่ไหน บ้าหรือเปล่า”

   “เขินเหรอ หมายถึงฟินใช่มั้ยล่ะ” เบสท์ยิ้มกว้าง เธอรู้อะไรมากกว่าที่ภีมคิด...
 
   “ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไปนั่งดีกว่า” ภีมเดินหนีไปนั่งที่เก้าอี้ของผู้ประกวดที่ทางคณะจัดไว้ให้ ระหว่างที่เดินไปเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนโดยที่ไม่รู้ตัว

   เบสท์เลียริมฝีปากแล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็เดินตามภีมไป

   ใครๆก็มองดาวเดือนของเอกดนตรีสากลด้วยความสนใจ เพราะโดดเด่นด้วยกันทั้งคู่ ทั้งหน้าตาและความสามารถ เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันยิ่งสร้างความกดดันให้กับผู้เข้าประกวดเอกอื่นยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทั้งคู่ช่างดูเหมาะสมกันเหลือเกิน

   “ฟินดูรักภีมมากเลยนะ” เบสท์พูดแล้วนั่งลงข้างๆภีม

   ภีมอ้าปากอีกครั้งด้วยความตกใจ “หมายความว่ายังไง”

   “เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ” เบสท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ภีมไม่ตอบอะไร รู้สึกเหมือนหัวใจไร้โลหิตที่ไหลเวียน มันโล่งจนมืด และเต้นแรงจนแทบจะหยุดเต้น

   “เฮ้ย... เป็นอะไรไป หน้าซีดเชียว ไม่ใช่แฟนกันหรอกเหรอ” เบสท์ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองคาดการณ์ผิดไป

   “รู้ได้ยังไง” ภีมพูดออกมาในที่สุด

   “ตกลงว่าเป็นใช่มั้ยล่ะ”

   ภีมพยักหน้าออกมาแทนคำตอบ ทำไมการยอมรับกับคนอื่นในเรื่องนี้ มันทำให้เขารู้สึกอายและสูญเสียความเป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้

   “ดูแววตาของนายสองคนก็พอจะรู้ แล้วยังท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของฟินอีก ดวงตาของฟินเวลามองภีม มันดูเป็นประกายมากผิดกับเวลาที่เขามองคนอื่น นัยน์ตาจะมีแต่ความเฉยชา” เบสท์พูดยิ้มๆ

   “มันดูง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ” ภีมถามพลางถอนหายใจ

   “ง่ายมาก” เบสท์ยอมรับ “แล้วทำไม ภีมต้องทำหน้าเศร้าด้วยล่ะ ไม่อยากให้เบสท์รู้เรื่องนี้เหรอ” เธอถาม

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ เขากลัวว่าเธอจะรับไม่ได้ต่างหาก

   “เราเป็นเพื่อนกันนะ แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่เบสท์ก็รู้สึกว่าสนิทกับภีมและฟินมากๆเลย มันก็น่าแปลกนะ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่อยากจะเปิดเผยอะไรกับใคร แต่พออยู่กับนายสองคนแล้วกลับรู้สึกเหมือนว่าเราเป็นเพื่อนกันมานาน นานจนอยากจะเล่าเรื่องของฉันให้นายฟังทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ก็อยากรู้เรื่องของภีมเหมือนกัน” เบสท์สารภาพออกมา แต่ก่อนเธอไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือพรหมลิขิตอะไร แต่พอรู้จักกับฟินและภีม เธอกลับเชื่อมันอย่างสนิทใจ ใครไม่พบเจอกับตัวเองคงไม่เชื่อและคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้

   “ความรู้สึกมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ภีมถามอย่างไม่เชื่อ แต่ในใจของตัวเองก็รู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น ทั้งๆที่ความจริงแล้วภีมไม่อยากจะเข้าใกล้ผู้หญิงเท่าไรนัก

   “จริงๆนะ มันรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมานาน เอ๊ะ... หรือว่าเราจะเป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันหว่า” เบสท์แกล้งพูด

   ภีมหัวเราะออกมา “แม่ฉันมีลูกแค่สองคนเท่านั้น ยัยบ้าเอ๊ย”

   “ล้อเล่นน่า ว่าแต่ทำไมดูภีมไม่ค่อยจะรักฟินเลย” เบสท์ถามอีก ส่วนภีม เจอคำถามนี้เข้าไปถึงกับอึ้ง ท่าทางของเขามันเป็นอย่างนั้นหรือ

   เบสท์จ้องมองปฏิกิริยาของภีมเงียบๆ เธอปล่อยให้ภีมได้คิดทบทวนทุกอย่างก่อนเพื่อจะได้เลือกคำตอบที่ตรงกับหัวใจมากที่สุดมาตอบกับเธอ รวมถึงตอบกับตัวเองด้วย

   ในระหว่างที่ภีมกำลังนั่งทบทวนคำตอบของคำถามที่เบสท์ให้ไว้ บนเวทีก็เป็นการแสดงของดาวเดือนคู่ที่ห้าจากเอกดนตรีไทย

   พอคู่ที่ห้าลงจากเวทีก็ถึงคิวของคู่สุดท้ายที่ทุกคนรอคอย ภีมและเบสท์

   “ขอเชิญพบกับดาวเดือนจากเอกดนตรีสากลที่มาพร้อมเรื่องราวความรักของเจ้าหญิงเจ้าชายผู้คลั่งไคล้ในเสียงดนตรี ขอเชิญพบกับพวกเขา ณ บัดนี้” สิ้นเสียงของพิธีกรบนเวที ภีมและเบสท์ก็จูงมือกันเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างามสมกับบทบาทของเจ้าหญิงและเจ้าชาย

   ก่อนที่ภีมจะแยกไปนั่งที่เปียโน เขาก็กระซิบบอกกับเบสท์ว่า “รักสิ ทำไมจะไม่รัก ฉันก็เป็นแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่เคยรักแต่ความจริงแล้ว... ฉันรัก...” ภีมยังพูดไม่ทันจบ เบสท์ก็ผลักฟินออกไป แล้วพูดกลับมาว่า “ไปบอกกับเขาเองดีไหมคำว่ารักเนี่ย”

   ภีมยิ้มบางๆแล้วเดินไปนั่งประจำที่ เบสท์ถือไวโอลินอยู่อีกมุมหนึ่งของเวที เธอช่างดูงดงามสมกับชุดเจ้าหญิงเสียจริงๆ ทั้งใบหน้าที่อ่อนหวานและดวงตากลมโตคู่นั้น

   เบสท์เริ่มต้นเรื่องราวด้วยเสียงไวโอลินที่อ่อนหวาน งดงามจนน่าหลงใหล จากนั้นก็เพิ่มระดับความรุนแรงของทำนอง จนกลายเป็นความดุดัน โมโหร้าย และบ้าคลั่งราวพายุในท้องทะเล ทำเอาผู้ชมต่างก็ตกใจไปตามๆกัน

   และนั่นยิ่งทำให้เธอฮึกเหิมยิ่งขึ้นไปอีก เบสท์เร่งจังหวะขึ้นจนถึงขีดสุดแล้วค่อยๆลดลงจนกลายเป็นเสียงอ่อนหวานเช่นเดิม จากนั้น เสียงเปียโนของภีมก็ดังขึ้น เป็นท่วงทำนองที่น่าตื่นเต้นจนสามารถตรึงผู้ชมให้หยุดสายตาไว้ที่นิ้วเรียวยาวที่พลิ้วไหวไปตามทำนองเพลง

   ฟินมองดูอย่างชื่นชม ในขณะที่อินตาอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นเก็บภาพที่น่ามองนี้ ฟินเห็นเข้าจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็เอากล้องมา “ถ้าอินไม่ถ่ายรูป ฟินคงลืมไปแล้วว่าเอากล้องมาด้วย”

   อินตาหัวเราะเบาๆ ส่วนฟินก็ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายอย่างเดียว สุดท้ายทนไม่ไหวที่ต้องถ่ายติดศีรษะคนอื่นมาด้วย เขาจึงลุกเดินไปเก็บภาพที่หน้าเวทีเสียเลย โดยมีอินตาเดินตามออกไปด้วย

   เมื่อภีมบรรเลงเพลงจบ เสียงไวโอลินก็ดังขึ้น เป็นทำนองอ่อนหวานสลับกับร้อนแรง ไวโอลินบรรเลงไปได้สักพัก เสียงเปียโนก็ดังขึ้น จนผสมผสานกลายเป็นเสียงเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกเสียงปรบมือของผู้ชมให้ดังกระหึ่มไปทั้งหอประชุม

   เมื่อดนตรีชุดที่สองจบลง ชุดที่สามก็เริ่มขึ้น ภีมหยิบไวโอลินสีดำที่อยู่ข้างๆเปียโนมาถือไว้ แล้วเดินไปยืนตรงกลางเวที เบสท์เดินออกมาสมทบ แล้วทั้งสองก็ดวลไวโอลินกัน นี่ก็เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมและกรรมการได้เช่นกัน

   ชุดที่สามจบลง ชุดสุดท้ายที่ใช้ปิดการแสดงคือ ทำนองพลิ้วไหวของไวโอลินที่กลมกลืนกับทำนองเปียโนอันรวดเร็วดังพายุ

   จากนั้นภีมก็ลุกจากเก้าอี้แล้วถือไวโอลินมายืนเคียงคู่กับเบสท์ซึ่งเป็นเจ้าหญิง ทั้งสองมองตากันแล้วบรรเลงเพลงอันไพเราะด้วยไวโอลินของแต่ละคน

   เมื่อเพลงจบลง ภีมก็วางไวโอลินของตัวเองลงบนพื้น แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเบสท์ จากนั้นก็สวมแหวนให้เธอ ฉากสุดท้ายนี้เรียกเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดจากผู้ชมได้อย่างท่วมท้น ทำเอาภีมและเบสท์แทบจะลอยขึ้นฟ้าเพราะเสียงที่ดังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดของทุกคนในที่นั้น

   ฟินและอินตาแทรกตัวเข้ามาที่หน้าเวทีที่มีช่างภาพมากมายยืนออกันอยู่เต็มไปหมด พอจะถ่ายก็ถูกผลักออกมา ทั้งสองจึงถอดใจเดินกลับไปนั่งที่เดิม ไว้รอถ่ายตอนงานเลิกแล้วแทน

   หลังจากการแสดงของทั้งหกวิชาเอกผ่านพ้นไป ก็เป็นช่วงเวลาของการตอบคำถาม แน่นอนว่า คู่ที่ได้รับความนิยมจากกรรมการและผู้ชมคือคู่สุดท้ายของการประกวด

   “แนะนำตัวเองหน่อยครับดาวและเดือนของเรา” พิธีกรชายส่งไมโรโฟนให้เบสท์

   “สวัสดีค่ะ ชื่อเบสท์ บัณทิตา เลิศเกียรติสกุลค่ะ จากเอกดนตรีสากล เครื่องดนตรีที่ถนัดไวโอลินค่ะ สิ่งที่ถนัดที่สุดในชีวิตคือการเล่นดนตรีค่ะ” พูดจบด็ส่งไมค์ให้ภีมต่อ ภีมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก้อนจะกล่าวออกมา “สวัสดีครับ ผม... ภีม พิริยะ จากเอกดนตรีสากล ชอบเล่นเปียโน ไวโอลิน กีต้าร์ แซ็กโซโฟน กลองชุด สรุปคือชอบเล่นดนตรีสากลทุกชนิดครับ แต่ดนตรีไทยก็พอเล่นได้นะครับ”

   แล้วเสียงจากผู้ชมก็ดังขึ้นพร้อมๆกันว่า ชอบเล่นอะไร

   “ผมเล่นระนาดเอกแล้วก็ฆ้องได้ครับ”

   แค่เพียงแนะนำตัวก็มีเสียงโห่ร้องไม่หยุด ไม่ว่าทั้งคู่จะพูดอะไรก็จะมีคนคอยส่งเสียงเป็นกำลังใจให้ตลอด

   “สงสัยงานนี้ต้องมีแฟนคลับแน่ๆ” อินตาพูดติดตลก

   “ก็ว่างั้น เด่นกันทั้งคู่เลยนี่” ฟินพูดกลั้วหัวเราะ

   จากนั้น พิธีกรก็ส่งกล่องคำถามให้เบสท์ เธอหยิบขึ้นมาหนึ่งคำถามแล้วส่งให้พิธีกร

   “ถ้าพรุ่งนี้คุณตื่นมาแล้วพบว่าไม่มีเจ้าชายที่คุณรักอยู่ข้างๆ คุณจะทำเช่นไร” เมื่อพิธีกรอ่านคำถามจบ ผู้ชมก็ส่งเสียงกันลั่นสนั่นหอประชุม

   เบสท์ยิ้มบางๆ คำถามปัญญาอ่อนมากถึงมากที่สุด “ก็หาเจ้าหญิงสวยๆสักคนสิคะ ไม่เห็นต้องสนใจเจ้าชายเลย บางทีเจ้าหญิงก็น่าจะคู่กับเจ้าหญิงบ้างนะคะ”

   คำตอบของเบสท์ทำเอาผู้ชมทุกคนกรี๊ดสนั่นไม่หยุด เพราะมันฟังแล้วกำกวมและขัดแย้งกับบุคลิกของเธอเหลือเกิน คงมีแต่ภีมและฟินเท่านั้นที่รู้ว่าคำตอบของเบสท์หมายถึงอะไร

   “หาเจ้าหญิงแทนเจ้าชาย เอาเป็น... เจ้าหญิงคู่เจ้าหญิงเลย ดีดี แปลกดี” พิธีกรหญิงอีกคนพูดบ้าง แม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจคำตอบก็ตามที

   เมื่อเบสท์ตอบคำถามไปแล้วก็ถึงคิวของภีม ภีมเลือกมาหนึ่งคำถามและคำถามนั้นมีอยู่ว่า “สมมติว่าคุณเป็นเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ แต่บังเอิญไปรักกับคนที่ไม่สมควรรักหรือไม่เหมาะสมกับคุณเลย ทางท่านพ่อและท่านแม่จึงเอ่ยปากให้คุณเลือกระหว่างทรัพย์สมบัติมีค่าที่ใช้ไปร้อยชาติก็ไม่หมดกับคนที่คุณรัก”

   ภีมก้มหน้าลงมองพื้น ผู้ชมอาจจะคิดว่าเขากำลังเขินอยู่

   ฟินจ้องมองภีมอย่างคาดหวัง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าหวังอะไร

   “ผมก็ต้องเลือกคนที่ผมรักอยู่แล้ว เพราะถ้าผมตายก็คงอยากตายอยู่กับคนที่ผมรักไม่ใช่ตายอยู่บนกองเงินกองทอง” ภีมยังคงก้มหน้าอยู่

   “แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมให้คุณสองคนรักกันล่ะ จะทำอย่างไร” พิธีกรหญิงถามต่อ

   ภีมค่อยๆเงยหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตาค้นหาฟิน แต่คนที่อยู่ในนี้มากมายเหลือเกิน แม้ภีมจะไม่เห็นฟิน แต่ฟินกลับเห็นภีมอย่างชัดเจน

   ทำไมเลือกคำถามได้ตรงกับชีวิตจริงขนาดนี้เนี่ยภีม... ฟินคิดในใจ

   “ผมก็จะทำตามความต้องการของตัวเอง ถ้าเขาไม่ยอมให้รัก ผมก็ไม่ยอมเลิกรักเหมือนกัน” ภีมตอบเสียงเรียบ ไม่มีแววตาของความขี้เล่นเหมือนเคย ฟินยิ้มบางๆ เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคำตอบนั้น และตอนนี้เขาก็กำลังตอบคำถามเดียวกับภีมอยู่ และที่สำคัญ... เป็นคำตอบที่เหมือนกับภีมทุกประการ

   แล้วสุดท้าย ดาวและเดือนที่ชนะเลิศก็คือภีมและเบสท์จากเอกดนตรีสากล ทั้งสองต้องเป็นตัวแทนของคณะดุริยางคศาสตร์เข้าประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยในสัปดาห์หน้า

   เมื่องานเลิกแล้ว ภีมและเบสท์ได้รับความสนใจจากทุกคนเป็นอย่างมาก มีคนมาขอถ่ายรูปและเข้ามาพูดคุยไม่หยุด กว่าทั้งสองจะได้ปลีกตัวมาเปลี่ยนชุดกลับบ้านก็เย็นย่ำ

   “ไปก่อนนะฟินภีม” เบสท์โบกมือลาเพื่อนทั้งสอง

   “โชคดีนะ” ภีมบอก

   “อย่าลืมบอกคำว่า... ให้ฟินรู้ล่ะ” เบสท์ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างรู้กันกับภีม ภีมอยากจะจับเธอมาทุ่มลงพื้นสักสองครั้งให้หายอาย

   “แล้วเจอกันนะ” อินตาพูดบ้าง

   “อาทิตย์หน้ามาดูด้วยนะ ประกวดครั้งใหญ่เลย ฟินก็ประกวดด้วย” ภีมบอก

   “จริงเหรอ งั้นอินจะมาดูก็แล้วกัน”

   เมื่อเบสท์กับอินไปแล้ว ภีมก็ทำท่าจะเดินไปบ้าง แต่ถูกฟินรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน

   “บนเวทีน่ะ พูดจริงเหรอ” ฟินถาม ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขัน

   ภีมนึกย้อนกลับไปว่าตัวเองตอบคำถามน้ำเน่าแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน มันไม่น่าจะตอบไปอย่างนั้นเลย

   “ตอบมาสิ” ฟินเร่ง

   ภีมส่ายหน้าไม่ยอมบอก ฟินจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง “ตอนที่นายกำลังตอบ ฉันก็กำลังตอบคำถามนั้นเหมือนกัน แล้วสุดท้ายเราก็ตอบเหมือนกันจริงๆ”

   ภีมเงยหน้ามองฟินแล้วยิ้มออกมา “ฉันคิดอย่างที่ตอบไปจริงๆ”

   “ห้ามเปลี่ยนใจนะ กลัวว่าถึงวันนั้นจริงๆแล้วนายจะทำอะไรที่มันตรงข้ามกับคำตอบในวันนี้น่ะสิ” ฟินพูดแล้วจับมือภีมเดินออกไป

   วันนี้ก็คือวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน... แค่วันนี้เราทำดีที่สุด พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรื่องราวอะไรให้ต้องกังวล


 :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 33 – การแข่งขัน



   หลังจากการประกวดดาวเดือนของคณะดุริยางคาสตร์ผ่านพ้นไป ภีมก็ต้องเตรียมตัวซ้อมการแสดงใหม่เพื่อใช้บนเวทีประกวดดาวเดือนครั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ภีมไม่เป็นกังวลเท่าไรนักเพราะเขาและเบสท์จะแสดงเหมือนครั้งก่อน เพียงแต่ปรับระดับของดนตรีให้ยากขึ้น

   แต่ฟินนี่สิ... ไม่รู้จะเอาอะไรไปโชว์บนเวที อีกหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น แต่เขาและทิชายังไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักอย่าง

   ฟินจึงคิดว่าวันนี้ต้องคุยเรื่องการแสดงให้รู้เรื่องจงได้

   วันนี้ดาวเดือนของทุกคณะต้องมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอแนะนำตัว ทางกองประกวดนัดเจอทุกคนที่หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย เวลาเก้านาฬิกาตรง

   กว่าดาวเดือนทั้งยี่สิบหกคนจากสิบสามคณะจะมาครบก็ปาเข้าไปสิบนาฬิกาตรงแล้ว และแน่นอนว่าคนที่มาช้าที่สุดก็คือฟินและภีม

   แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ ทั้งสองคนกลับไม่ถูกตำหนิเลยสักนิดเดียว

   หน้าหอประชุมใหญ่มีการจัดพื้นที่ไว้สำหรับถ่ายรูปผู้เข้าประกวดแต่ละคน

   “เราจะถ่ายรูปเดี่ยวของแต่ละคนก่อนนะ จากนั้นจึงจะถ่ายเป็นคู่” รุ่นพี่ประจำกองประกวดพูดขึ้น “แพทย์มาก่อน มา มา” เขาว่าพลางกวักมือเรียกดาวและเดือนของคณะแพทยศาสตร์ ต่อด้วยคณะพยาบาลศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จนถึงคณะสัตวแพทยศาสตร์

   ทิชายิ้มให้ฟินก่อนจะเดินเข้าไปถ่ายรูป

   “เอียงคอหน่อยครับ แล้วยิ้มหวานๆ” ช่างภาพบอกกับเธอ ทิชาทำตามแต่ภาพที่ออกมาก็ยังไม่ถูกใจคุณช่างภาพคนนี้เสียที เธอหันมามองฟินและหวังว่าเขาจะให้กำลังใจด้วยการยิ้มออกมาสักนิดนึง แล้วฟินก็ทำอย่างที่เธอหวังจริงๆ

   เขายิ้มให้เธอบางๆ และนั่นก็เป็นแรงใจเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ทิชาผ่านพ้นการโพสต์ท่าบ้าบอนี้ไปได้

   เมื่อทิชาถ่ายเสร็จแล้ว ฟินก็เดินเข้าไปอย่างรู้หน้าที่ ไม่ต้องรอรุ่นพี่เรียก แค่เพียงยืนนิ่งๆธรรมดา เขาก็ดูดีแล้ว งานนี้จึงเป็นกลายเป็นเรื่องหมูๆไปเลย

   การถ่ายภาพดำเนินไปเรื่อยๆจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็เป็นการถ่ายรูปคู่ของดาวเดือนแต่ละคณะ กว่าจะเสร็จสิ้นก็กินเวลาจนถึงช่วงเที่ยงวัน

   ทุกคนมีเวลาพักทานข้าวหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นต้องมาถ่ายทำวิดีโอแนะนำตัว

   “ไปกินข้าวด้วยกันนะฟิน” ทิชาเอ่ยชวนขึ้นทันที

   ฟินพยักหน้า “เอาสิ แต่รอเพื่อนฉันอีกสองคนก่อน”

   ทิชาหน้าซีดไปทันที เธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่อยากจะครอบครองผู้ชายคนนี้ “คนไหนเหรอ”

   ฟินชี้ไปที่ภีมและเบสท์ที่กำลังคุยกับรุ่นพี่อยู่ ทิชามองตาม “ดาวเดือนของดุริยางค์นี่”

   “อืมม์ เพื่อนฉันเอง” ฟินพูดแล้วยิ้มออกมา

   ทิชารู้สึกถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นภายในใจ ทำไมเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับสองคนนี้เอาเสียเลย ทั้งๆที่เพิ่งเคยเจอกันแท้ๆ ยิ่งผู้หญิงคนนั้นด้วยแล้ว เธอยิ่งรู้สึกไม่ชอบเข้าไปใหญ่

   “หวัดดี ทิชาใช่มั้ย เธอน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย” เบสท์เอ่ยขึ้นก่อน ทิชาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

   “ทิชา” ฟินเรียก “คนนี้ภีมนะ ฉันรักเขามากเลย”

   ทิชาไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดนั้น เธอคิดแค่ว่าคงรักกันตามประสาเพื่อนผู้ชายธรรมดา “หวัดดีจ๊ะ” เธอยิ้มให้ภีมบางๆ

   “น่ารักอย่างที่เบสท์บอกจริงๆด้วย” ภีมยิ้มให้ทิชาก่อนจะหันไปตบไหล่ฟินที่พูดจาบ้าๆแบบนั้นไป

   “งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะ” เบสท์พูดขึ้น ทิชามองดูท่าทางของเบสท์แล้วก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เธอกำลังสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ช่างแก่นเซี้ยวผิดกับหน้าตาอย่างสิ้นเชิง

   ทิชารอให้ฟินออกเดิน เพื่อที่ว่าเธอจะเดินไปพร้อมกับเขา แต่ฟินยังคงยืนข้างๆภีมและรอให้เบสท์และทิชาเดินไปก่อน

   “มาเดินกับฉันดีกว่า ให้พวกผู้ชายเขาได้อยู่ด้วยกัน” เบสท์ยิ้มหวานแล้วจูงมือของทิชาเดินนำออกไป

   มือนุ่มจังเลยแฮะ... หน้าตาก็น่ารัก แล้วยัง... เบสท์คิดแล้วก็อมยิ้มออกมาคนเดียวตลอดทางจนถึงโรงอาหาร

   ทั้งสี่คนใช้เวลาทานข้าวเพียงครึ่งชั่วโมงก็เดินกลับมาที่หน้าหอประชุม เบสท์และภีมเดินคุยกันมาตลอดทาง ส่วนทิชาก็ได้เดินกับฟินสมใจ แต่ฟินกลับเงียบตลอดทาง พอทิชาชวนคุย เขาก็ตอบสั้นๆหรือไม่ก็พยักหน้าเพียงอย่างเดียว

   พอมาถึงที่หน้าหอประชุม ฟิน ภีมและเบสท์ก็ถูกช่างภาพเรียกตัวไป ทิชาจึงต้องนั่งอยู่คนเดียวและมองพวกเขาทั้งสามด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

   อิจฉาหรือ... เราไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนั้นสักนิดเดียว จนกระทั่งตอนนี้ เหมือนว่าพวกเขาอยู่สูงกว่าเรา ทั้งๆที่แต่ก่อนเรามักจะเป็นที่สนใจของทุกคน แต่ตอนนี้กลับมีคนที่น่าสนใจกว่าเราอยู่... ทิชาต่อต้านความรู้สึกในใจสุดชีวิต มันเป็นการยากที่คนเราจะยอมรับความรู้สึกแท้จริงของตนเอง

   ฟิน ภีม และเบสท์ถูกเรียกไปถ่ายภาพเป็นกรณีส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการประกวดแต่อย่างใด

   “พี่จะเอารูปพวกเราไปทำไมครับ” ภีมถามขึ้นคนแรก หลังจากถ่ายเสร็จแล้ว

   ช่างภาพหนุ่มวัยยี่สิบห้าปียิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เอาไปส่งให้โมเดลลิ่ง หน้าตาดีไม่หยอกเลย ทั้งสามคน”

   พอได้รับคำตอบ ทั้งสามคนก็ทำหน้าบูดพร้อมๆกัน ใครเขาขอร้องให้ถ่ายกันล่ะ... ไม่ได้อยากเข้าวงการบันเทิงสักหน่อย

   “เงียบกันเลยเหรอ อยากเป็นดารากันใช่มั้ย” พี่ช่างภาพแกล้งแซว

   ฟินยิ้มแล้วเดินหนีไป ส่วนภีมและเบสท์ก็ยักไหล่ก่อนจะเดินตามฟินมา

   “ไม่เห็นอยากเป็นตรงไหนเลย ดาราอะไรเนี่ย” เบสท์เป็นคนพูดขึ้นก่อน

   “นั่นสิ ไม่มีใครอ้อนวอนเลยสักนิด” ภีมพูดบ้าง

   ส่วนฟินนั่งยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไร แต่ทิชานั้นกลับรู้สึกถึงความด้อยค่าของตัวเอง ทำไมคนที่ได้รับโอกาสแบบนี้ไม่ใช่เธอ

   ไม่มีเวลาให้ทิชาได้คิดน้อยใจในโอกาสของตัวเอง เพราะทางกองเรียกทุกคนไปนั่งรวมกันตรงกลางลานหน้าหอประชุม

   “เป็นอะไรไป เหม่อเชียว” ฟินแตะที่หัวไหล่ของทิชาเบาๆ

   “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่หน้ากลับซีดเผือด ฟินรู้ดีว่าเธอโกหก แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้

   “เขาเรียกแล้ว ไปกันเถอะ” ฟินเดินนำไปก่อน ทิชาก้าวเท้าให้ถี่ขึ้นเพื่อตามเขาให้ทัน

   กรรมการจากกองประกวดคนหนึ่งรับหน้าที่อธิบายคิวการถ่ายทำให้ทุกคนได้ทราบ “เรียงตามคณะเลย พี่จะดึงเข้ามาถ่ายทีละคนก่อน สิ่งที่ต้องพูดก็คือ แนะนำตัว บอกคณะ ความสามารถพิเศษ คติประจำใจ ชอบหรือไม่ชอบอะไร ประมาณนี้ ใครคิดอะไรได้นอกจากนี้ก็พูดๆไป จากนั้นก็จะถ่ายเป็นคู่ ให้คิดท่าที่จะโพสต์ด้วยนะ จากนั้นเราก็จะถ่ายรวมๆ”

   เมื่ออธิบายจบก็เริ่มการถ่ายทำ ทุกขั้นตอนราบรื่นไปด้วยดี

   ทิชาค่อนข้างจะสับสนกับฟินไม่น้อย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆที่ประหยัดรอยยิ้มเหลือเกิน แต่พอเข้ากล้องเท่านั้น เขากลับรู้หน้าที่และปฏิบัติตนตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นทุกประการ ยิ่งตอนที่ถ่ายคู่กันแล้ว ฟินยิ้มออกมาบ่อยมาก

   “สมกับที่เป็นฟิน เฟคได้โล่เลย” ภีมบ่นกับเบสท์เมื่อการถ่ายทำจบสิ้น “หมอนี่นะ ถ้าไม่มีความสุขจริงๆมันไม่ยิ้มหรอก”

   เบสท์หรี่ตามองแล้วร้องกิ๊วก๊าวจนเสียงดังไปทั่วลาน

   “จะร้องทำไมฟะ” ภีมกัดฟันพูดเบาๆแล้วก้มหน้างุดด้วยความอาย

   “รู้ใจกันดีจริงๆเลยนะ แล้วตอนอยู่กับภีมสองคน ฟินไม่ยิ้มจนปากฉีกเลยเหรอ” เบสท์พูดไปขำไป ยิ่งนึกภาพตามไปด้วยแล้ว ยิ่งน่าขำ

   “หุบปากเลย ไม่ขำสักนิด ยัยบ้า” ภีมผลักศีรษะเบสท์เบาๆ

   คนรอบข้างๆต่างจับตามองสองคนนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าดูเหมาะสมกัน ยิ่งทั้งคู่แสดงท่าทางสนิทสนมกันแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นที่จับตามองมากขึ้น และหนึ่งในนั้นที่กำลังมองอยู่คือ ทิชา

   “ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่า” ฟินถามเรียบๆ เมื่อเห็นว่าทิชาเอาแต่มองภีมและเบสท์ ไม่สนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่เลย

   “ฟังๆ ฟินบอกว่าจะเล่นกีต้าร์และให้ทิชาเป็นคนร้องเพลง”

   ฟินพยักหน้า “ทิชาอยากร้องเพลงอะไรล่ะ”

   “แล้วแต่ฟิน ฟินอยากเล่นเพลงอะไรล่ะ”

   ฟินตอบไม่ถูก เล่นอะไรดี... เขาเล่นกีต้าร์ไม่เป็นเสียหน่อย นี่ก็กะว่าหนึ่งสัปดาห์ที่เหลือจะให้ภีมเป็นคนสอน “เลือกมาสิ ว่าอยากร้องเพลงไหน”

   ทิชาหยุดคิดไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ขอดาว ของ Portrait”

   ฟินนิ่งไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะตอบตกลงออกมา

   “ได้ เอาเพลงนี้ ก่อนวันประกวด เรามาเจอกันอีกที” ฟินบอกแล้วขอตัวกลับก่อนโดยไม่ลืมที่จะขอเบอร์โทรศัพท์ของทิชาไว้ “ไว้จะโทรไปหา ฉันไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีแต่โทรศัพท์บ้าน”

   แค่นั้นทิชาก็ยิ้มออกมาทั้งวันแล้ว หลังจากวันนั้น เธอก็ฝึกร้องเพลงนี้ตลอด ไม่ว่าจะกิน นอน หรือเข้าห้องน้ำ ว่างเมื่อใด เธอก็จะร้อง ร้อง และร้อง

   ส่วนฟินก็ต้องให้ภีมช่วยสอนเล่นกีต้าร์เพลงนี้ แต่พรสววรค์ทางด้านดนตรีของฟินมีอยู่น้อยเหลือเกินจนภีมแทบถอดใจ

   “ทำไมแค่นี้เล่นไม่ได้นะฟิน” ภีมบ่นออกมาอย่างเหลืออด วันทั้งวันฟินยังเล่นอินโทรไม่ได้เลย “มันต้องตีคอร์ดแบบนี้” ภีมคว้ากีต้าร์ไปเล่นให้ฟินดูเป็นรอบที่สิบ ซึ่งฟินก็พยักหน้ารับเช่นทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังเล่นไม่ได้อยู่ดี

   “ฟิน ทำไมแค่นี้เล่นไม่ได้” ภีมแสร้งทำหน้าจริงจัง

   ฟินถอนหายใจออกมา ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้ วันที่ต้องกลายเป็นผู้เรียนของภีม “ก็มันเล่นไม่ได้จริงๆนี่ อะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ”

   ภีมส่ายหน้าแล้วเอามาเล่นให้ดูอีกครั้ง “ต้องเล่นแบบนี้ จับจังหวะให้ได้ วันทั้งวันยังเล่นอินโทรไม่ได้เลยนะ แล้วก็ยังจับคอร์ดผิดอีกด้วย”

   “รู้แล้วๆ มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปสิ คนไม่เคยเล่นนี่นา” ฟินทำหน้ามุ้ย ความจริงแล้วพ่อของเขาก็เคยสอน แต่เขาไม่มีความสามารถทางนี้จริงๆ สอนเท่าไรก็ไม่เข้าหัว ผิดกับฟางข้าวที่เล่นเปียโนได้ตั้งแต่เล็กๆ

   “เออๆ ไม่เป็นไร จับคอร์ดทั้งหมดให้ถูกก่อน ค่อยว่ากัน” ฟินใช้เวลาในการเรียนรู้คอร์ดกีต้าร์ของเพลงนี้สองวันเต็มๆจึงจำได้ว่าคอร์ดนี้จับอย่างไร แล้ววันต่อๆไปที่เหลือ ภีมก็สอนให้ฟินเล่นเป็นทำนองเพลง สอนเทคนิคการเปลี่ยนคอร์ดและการตีคอร์ดที่เหมาะสมกับเพลงที่ฟินเลือกมา

   แล้วความพยายามก็สำเร็จในวันที่หก ฟินสามารถเล่นเป็นเพลงได้อย่างสวยงาม

   “จับกีต้าร์แล้วดูดีมาก” ภีมเผลอชมออกไปโดยไม่รู้ตัว

   “ขอบคุณที่ชม” ฟินยิ้มบางๆแล้วเริ่มเล่นเพลงนี้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีภีมทำหน้าที่เป็นนักร้อง

   เช้าวันที่เจ็ด ฟินโทรไปหาทิชาแล้วนัดเธอมาเจอที่ลานกิจกรรมของคณะสัตวแพทยศาสตร์ ฟินชวนภีมไปด้วยกันแต่ภีมปฏิเสธเพราะว่าขี้เกียจ ฟินจึงต้องไปคนเดียว

   เมื่อฟินมาถึงก็พบว่าทิชามารออยู่ก่อนแล้ว

   “กีต้าร์ของฟินเหรอ” ทิชาถามขึ้นเมื่อฟินนั่งลงข้างๆเธอ

   ฟินส่ายหน้า “ของภีมน่ะ ยืมมาใช้”

   “กีต้าร์สวยดีนะ” เธอเอ่ยชม

   “ฉันก็ว่าสวยเหมือนกัน” ฟินยิ้มบางๆ แล้ววางกีต้าร์ลงบนตัก เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมแล้ว

   ทิชามองผู้ชายข้างๆอย่างเขินอาย เขาดูดีไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม “เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”

   ฟินเริ่มเล่น จากนั้นพอถึงช่วงเนื้อเพลง ทิชาก็ร้องออกมา เสียงของเธอไพเราะ สดใส อยู่ไม่น้อย และที่สำคัญ มันเข้ากับทำนองเพลงเป็นอย่างดี

   เมื่อเพลงจบทั้งคู่ก็มองหน้ากัน แต่มองกันคนละความหมาย ฟินมองเพื่อถามความเห็น ส่วนทิชามองเพราะอยากมอง

   “ทิชาร้องเพลงเพราะมาก ฟังแล้วเคลิ้มเลย” ฟินพูดชมออกมา ทิชาเขินจนหน้าแดงปลั่ง ฟินเริ่มรับรู้ปฏิกิริยาดังกล่าว ไม่ใช่ว่าเขาจะดูไม่ออกว่าเธอคิดอย่างไร

   “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้ รอบแรกแท้ๆ” ทิชาพูดบ้าง

   ฟินเพียงพยักหน้ารับเบาๆ แล้วตีหน้าเรียบเฉย เขาต้องระมัดระวังการแสดงออกกับเธอให้มากกว่านี้ เพราะไม่อยากให้เรื่องยุ่งยากตามมาทีหลัง

   “ซ้อมอีกสองรอบก็แล้วกัน” ฟินพูดแล้วเริ่มเล่น

   เมื่อซ้อมจนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ฟินก็ขอตัวกลับทันที แม้ว่าทิชาจะชวนเขาไปทานข้าวเย็นต่อก็ตาม

   แล้วคำพูดสุดท้ายที่ทิชาได้ยินจากปากของฟินก็คือ “ขอโทษ”

   เธอจะทำอะไรได้ นอกจากยอมรับและตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร”

   วันประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย

   ดาวและเดือนคณะทั้งยี่สิบหกคนมารวมตัวกันที่อาคารรับรองหลังหอประชุมใหญ่ เพื่อเตรียมตัว ทุกคนใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกันหมด

   ส่วนนักศึกษาปีหนึ่งคนอื่นๆก็ต้องลงทะเบียนหน้าหอประชุมเพื่อเป็นหลักฐานว่าเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ หอประชุมที่มีขนาดใหญ่กลับดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อบรรดานักศึกษาว่าหนึ่งพันคนนั่งลงตามที่นั่งของคณะตัวเอง

   ก่อนจะเริ่มการประกวด ได้มีการเปิดวิดีโอแนะนำดาวเดือนของแต่ละคณะให้ทุกคนในหอประชุมได้ดู ต่างคนก็ต่างมีคนที่ชอบอยู่ในใจ แต่คู่ที่ดูจะเป็นที่สนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ภีมและเบสท์จากคณะดุริยางคศาสตร์

   หลังจากวิดีโอจบลง ดาวเดือนทั้งยี่สิบหกคนจากสิบสามคณะก็ออกมาเดินอวดโฉมบนเวที เสียงร้องเชียร์ดังลั่นสนั่นไปทั้งหอประชุม หลังจากนั้นเป็นช่วงของการแสดงของดาวเดือนแต่ละคณะ บางคู่แสดงมายากล บ้างก็สาธิตการทดลองทางวิทยาศาสตร์ บ้างก็เล่นดนตรี มีหลากหลายต่างกันไป เมื่อแสดงครบทุกคู่แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงของการตอบคำถามและแนะนำตัวเองเพิ่มเติม

   ซึ่งทุกคู่ต่างก็ทำได้ดี จนทำเอาคณะกรรมการหนักใจ

   “เราชนะชัวร์” เบสท์กระซิบกับภีมแล้วหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข แต่ภีมกลับไม่คิดอย่างนั้น “ฉันว่าเธอได้เป็นดาว แต่ฉันคงไม่ใช่เดือนแน่นอน”

   “ทำไมล่ะ” เบสท์หยุดหัวเราะพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   “ไม่รู้สิ ฉันว่ามีคนที่เหนือกว่าฉันอยู่ แล้วเขาก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ด้วย” ภีมพูดแค่นั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเลย แม้ว่าเบสท์จะเพียรถามซ้ำๆว่าคนที่เหมาะสมคนนั้นคือใคร แต่ภีมก็ไม่ยอมบอก

   เมื่อรวบรวมคะแนนจากคณะกรรมการและคะแนนโหวตจากผู้ชมแล้ว ผู้เข้าประกวดทั้งยี่สิบหกคนก็เดินออกไปโชว์ตัวเรียกเสียงกรี๊ดกันอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะหยุดยืนรวมกันที่กลางเวที

   พิธีกรชายหญิงที่อยู่ริมเวทีเริ่มพูด “รายชื่อของดาวและเดือนในปีนี้อยู่ในมือของดิฉันแล้วนะคะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคนที่ทุกท่านคิดอยู่หรือเปล่า”

   “เอาล่ะครับ เรามาประกาศรายชื่อดาวที่ชนะเลิศกันดีกว่านะครับ”

   “และดาวมหาวิทยาลัยในปีนี้ได้แก่” พิธีกรหญิงเว้นจังหวะเพื่อความระทึกของผู้ชมก่อนจะกล่าวต่อ “นางสาวบัณทิตา เลิศเกียรติสกุลชัย จากคณะดุริยางคศาสตร์ค่ะ” สิ้นเสียงประกาศก็ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องอย่างดีใจของบรรดาผู้ชม

   เบสท์ก้าวออกมาข้างหน้าห้าก้าวและยืนรอผลการประกาศต่อไป

   “และเดือนที่จะมาคู่กับดาวในปีนี้ได้แก่” พิธีกรชายพูด “นายอชิตะ ก้องกิตติกุล จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ครับ” เสียงปรบมือและเสียงกู่ร้องดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

   ภีมยิ้มบางๆ เขารู้อยู่แล้วว่าฟินต้องได้รับตำแหน่งนี้ ก็เพราะเขาเหมาะสมที่สุดน่ะสิ

   ฟินก้าวมายืนเคียงคู่กับเบสท์ วินาทีนั้นทิชาแทบอยากจะปล่อยโฮออกมา ทำไมคนที่ยืนตรงนั้นกับฟิน ไม่ใช่เธอ...

   “เดี๋ยวก่อนครับ เรายังมีรางวัลป๊อบปูล่าโหวตอีกครับ”

   “และปีนี้นะคะ เรามีผู้ที่ได้รับรางวัลถึงสองคนค่ะ”

   คำประกาศของพิธีกรเรียกความฮือฮาจากผู้ชมในห้องส่ง รางวัลนี้เป็นรางวัลจากการโหวตของนักศึกษาปีหนึ่งทั้งหมด

   “และผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ได้แก่ นายอชิตะ ก้องกิตติกุลและนายภีม พิริยะ”

   ภีมดูจะงงๆกับคำประกาศนั้น เมื่อตั้งสติได้จึงเดินออกออกไปยืนข้างๆกับเบสท์ “งงอิ๋บอ๋าย พลาดโน่นแต่ได้นี่” ภีมกระซิบเบาๆแต่ได้ยินกันทั้งสามคน

   “ใครจะไปเหมือนฟิน เอามาตั้งสองรางวัล ไม่แบ่งใคร” เบสท์พูดตอบอย่างขบขัน

   “เรายืนอยู่กลางเวทีนะ มีคนมองอยู่ ทำตัวให้สมกับรางวัลที่ได้หน่อยสิ” ฟินเอ่ยเสียงเรียบ ทำเอาคนอารมณ์ดีทั้งสองคนหุบปากเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

   หลังจากมอบรางวัลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็ต้องยืนโพสต์ท่าให้ช่างภาพมืออาชีพและมือสมัครเล่นได้เก็บภาพ กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจก็กินเวลามาถึงช่วงเย็น

   ฟินและเบสท์ถือถ้วยรางวัลถ่ายรูปคู่กัน โดยภีมเป็นคนถ่าย เมื่อภีมหันมาเห็นทิชาจึงเรียกเข้าไปถ่ายด้วย แต่เธอปฏิเสธ ภีมจึงต้องใช้วิธีขู่บังคับจนเธอต้องยอม

   “ทิชาไปยืนข้างๆฟินสิ” ภีมบอก ทิชาทำตามเพราะเธอก็ไม่อยากยืนข้างเบสท์อยู่แล้ว

   “เอาล่ะนะ หนึ่ง สอง สาม” ภีมกดชัตเตอร์รัวสองครั้ง “คราวนี้ชูถ้วยขึ้นสูงๆซิ”

   ฟินและเบสท์ทำตามที่ภีมบอกอย่างร่าเริง ทิชาปลีกตัวออกมายืนมอง ฟินร่าเริงเมื่ออยู่กับสองคนนี้ แต่เวลาอยู่กับเธอ... เขาจะเป็นอีกคนหนึ่ง

   “ทิชากลับก่อนนะ คุณแม่มารับแล้ว” ทิชาฝืนยิ้มออกมาแล้วสบตากับฟิน ฟินจ้องตอบ ในดวงตาเขามีแต่ความว่างเปล่า แต่ถึงอย่างนั้น ทิชาก็รู้สึกดีกับมันไม่น้อย

   “กลับดีดีนะทิชา วันนี้เธอสวยมากเลย” เบสท์เอ่ยออกมา แต่ทิชาเพียงผงกศีรษะให้เท่านั้นแล้วก็เดินจากไปทันที

   “ทิชาเป็นอะไรไปหรือเปล่าฟิน” เบสท์หันมาถามฟินด้วยแววตาเป็นกังวล

   “เป็น แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร” ฟินตอบ เขารู้ว่าทิชากำลังน้อยใจในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องเขาแล้วก็เรื่องตำแหน่งในวันนี้
 
   “เสียดายที่อินไม่ได้มาด้วย” เบสท์บ่นขึ้นเรียกความสนใจ

   “ช่างเถอะน่า อินมีงานต้องทำนี่นา” ภีมปลอบไปขำไป “อีกอย่างถ้าอินมาต้องขำเธอแน่ๆ เพราะยัยทอมอย่างเธอดันได้เป็นดาวมหาลัย”

   “ภีมนี่ปากไม่ดีเลย” ฟินพูดเรียบๆ

   “กล้าว่าฉันเหรอวะ” ภีมตวาดย่างไม่จริงจัง

   “ก็นายมันปากไม่ดีจริงๆนี่ ฟินพูดถูกแล้วล่ะ” เบสท์เข้าข้างฟินไปด้วยอีกคน

   ภีมจึงได้แต่ทำหน้ามุ้ย บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว




 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
คนเขียนจะหนีไปพักร้อนที่ไหนหรือเปล่าคะ ลงเรื่องวันนี้เยอะมาก คนอ่านอ่านไม่ไหวแล้วจ้า
ขอลาไปเฝ้าพระอินทร์แล้วนะคะ  :t3:

อ้อ...ตอนนี้อ่านถึงตอนที่มีเรื่องกับพวกนักเลงที่หัวหินค่ะ ขอบอกว่าพออ่านจบแล้วไม่ได้รู้สึกว่าภีมเท่อะไรเลย
เป็นแค่เด็กม.ปลาย ทำไปมีเรื่องกับผู้ใหญ่ ชิชะ
อ่านแล้วเราโกรธภีมมากเลยอะ นิสัยไม่ฟังใครแบบนี้สักวันคงได้เจอของจริงแน่..จริงๆ

ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
คุณ zusuki จัดชุดใหญ่มาก ๆ คนอ่านไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียว

ฟิน กะ ภีม....  Cute อ่ะ!     


อ้างถึง
“ผมโดนปล้ำครับ ช่วยด้วยๆๆ” เสียงร้องที่ฟังดูแล้วคล้ายเสียงตะโกนอย่างขาดสติ

น้องติณณ์ฮาอย่างแรง ถ้าเป็นเค้านะ แล้วได้แซนวิชกับน้องฟินและน้องภีม....

แอร๊ยส์.....  สวรรค์ของเจ้     


ส่วนเรื่องนักเลงอ่ะ... น่าจับนายภีมมาตีก้นนัก     

     ทำอะไรไม่รู้จักคิด แล้วมีนึกถึงหัวอกของฟินบ้างรึเปล่า ถ้าเป็นอะไรไป น้องฟินจะทำยังไง   


ชอบเบสท์จัง รออ่านตอนที่ภีมลากนายติณณ์ตัวดีมาศิโรราบแทบเท้าหนูเบสท์


อยากฟังเพลงที่ภีมดวลกับเบสท์อ่ะ แค่อ่านที่บรรยาย ก็รู้สึกว่ามันจะต้องสึโค่ยมาก ๆ


หวั่น ๆ ว่าหนูทิชาจะต้องนำความเท๊าฮิ๊งเวียนเฮ่ดมาสู่คู่เอกเราแน่ ๆ ขึ้อิจฉาเสียขนาดนั้น


ขอบคุณคนแต่งมาก ๆ ฮะ สำหรับการอัพฯ โบนันซ่าครั้งนี้



ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
คนเขียนจัดเต็มมาก
และแน่นอนว่าคนอ่านก็ชอบมากกกกก *-*

ยัยทิชานี่จะมาทำให้เรื่องราววุ่นวายอีกมั้ยเนี่ย
แค่คุณพ่อคนเดียวก็วุ่นพอละ
อย่ามาอีกเลยนะ


ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
ภีมเท่มากอ่ะ

น่ารักสุด ๆ

 o13 :haun4:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ 34 – Freshy # 1



   เมื่อการประกวดดาวเดือนผ่านพ้นไป ก็เข้าสู่ช่วงเริ่มการเรียนการสอน ในปีแรกของการเรียน นักศึกษาทุกคนต้องเรียนวิชาพื้นฐานที่หลักสูตรกำหนดมาควบคู่ไปกับวิชาเอกของตัวเอง
   ฟินและภีมได้เรียนด้วยกันเพียงวิชาเดียว นั่นคือ คอมพิวเตอร์ วิชาพื้นฐานอื่นๆก็แตกต่างกันไป ฟินจะเรียนวิชาจิตวิทยาและวิชาการเรียนรู้สารสนเทศซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานบังคับ ส่วนภีมจะเรียนวิชานันทนาการและประวัติศาสตร์ไทย
   แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันล้นเหลือเช่นเดิม เพราะภีมแทบจะย้ายตัวเองไปอยู่กับฟินอยู่แล้ว เหตุผลสำคัญที่ภีมทำอย่างนั้นก็เพราะ ใกล้มหาวิทยาลัย ภีมสามารถตื่นสายได้และเหตุผลอีกข้อหนึ่งคือ ให้ฟินช่วยทำรายงาน
   “รายงานของฉัน เสร็จแล้วใช่มั้ย” ภีมเดินหาวออกมาจากห้องนอน ในขณะที่ฟินนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์รายงานให้กับภีม เกือบตีสองแล้วแต่ฟินยังไม่ได้นอน
   “ใกล้แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ทำเอง” ฟินบ่นไปพิมพ์ไป
   “ใครจะไปทำได้ล่ะ งานแรกก็เจองานหินซะแล้ว อาจารย์นี่ท่าจะบ้า เทอมแรกแท้ๆให้วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ไทย เด็กปีหนึ่งนะเว้ย... ไม่ใช่นักศึกษาปริญญาโท” ภีมนึกแล้วก็โมโหที่อาจารย์ประจำวิชาให้งานยากๆแบบนี้กับนักศึกษาปีหนึ่ง
   “ก็เลยเอามาโยนให้ฉันสินะ” ฟินพูดเรียบๆก่อนจะหยุดเคาะแป้นพิมพ์ จากนั้นก็หยิบแว่นตามาใส่ อยู่หน้าคอมพ์นานๆก็เริ่มปวดตาขึ้นมา...
   “จะตีสองแล้ว เร่งมือเข้าสิ” ภีมมองฟินตาปรือ เขาง่วงเต็มทีแล้ว
   “แล้วใครใช้ให้มาปั่นก่อนส่งแบบนี้เล่า” ฟินถามแล้วหันมองภีมอย่างขุ่นเคือง คนที่ไม่ค่อยจะโมโหใครอย่างเขา ชักเริ่มโมโหภีมนิดๆ “แทนที่จะบอกกันแต่เนิ่นๆ มาบอกเอาวันนี้ โชคดีที่ฉันยังไม่มีงาน ไม่งั้น...”
   “ครับๆ ขอโทษครับ ทีหลังจะบอกแต่เนิ่นๆเลย” ภีมแกล้งยกมือไหว้จนสูงท่วมหัว
   “ไม่มีทีหลังแล้ว ครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งต่อไปก็หัดทำเอง” ฟินบอกเสียงเข้ม
   “รู้แล้วน่า ทีหลังจะทำเอง”
   ฟินไม่เชื่อคำพูดของภีมเลยสักนิดเดียว กระทั่งยังรู้ด้วยว่าภีมพูดไปอย่างนั้น พอถึงเวลาเข้าจริงๆก็จะวานให้เขาช่วยทำรายงานให้อีก
   แล้วเวลานั้นก็มาถึงจริงๆ หลังจากส่งรายงานวิชาประวิติศาสตร์ไปแล้วราวๆหนึ่งเดือน รายงานวิชาคอมพิวเตอร์ของภีมก็มากองรวมกันอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์อีกจนได้
   “ภีม” ฟินเรียกเสียงดัง ภีมรีบวิ่งออกมาจากห้องแทบไม่ทัน
   “กลับมาแล้วเหรอ เป็นไง... วิชาเอกหนุกมั้ย” ภีมแกล้งพูดเรื่องอื่น วันนี้ภีมกลับก่อนฟินเพราะฟินต้องอยู่เรียนวิชาเอกต่อจนเย็น
   “ไม่ต้องมาเฉไฉ รู้อยู่แก่ใจว่าฉันกำลังจะพูดเรื่องอะไร” ฟินปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก ใบหน้าของเขาอิดโรยไปมากเพราะวิชาพันธุศาสตร์ทำพิษ
   ภีมยังทำไม่รู้เรื่อง ลอยหน้าลอยตา ยั่วโมโหคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
   ฟินพยายามอดทน วันนี้เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว “กลับมาก่อนทำไมไม่มานั่งทำรายงาน”
   ภีมพ่นลมหายใจออกแรงๆแล้วกล่าวว่า “ชี้เกียจ ง่วงนอนมากกว่า ก็เลยไปนอน”
   “มานั่งทำรายงานซะ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม” ฟินพูดอย่างใจเย็น ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายกันแน่ที่ภีมมาอยู่ด้วย เพราะตอนนี้ภีมเหมือนกับคนที่ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว กระทั่งเขียนหนังสือก็แทบจะลืมเลือนไปแล้ว วันๆเอาแต่เล่นดนตรี วิชาพื้นฐานอื่นๆก็ไม่สนใจ โดดเรียนมันท่าเดียว
   ตัวเองโดดคนเดียวยังไม่พอ ยังชวนเพื่อนคนอื่นโดดอีกต่างหาก
   “สองอาทิตย์ที่ผ่านมาโดดเรียนตลอดเลยใช่มั้ย” ฟินถาม
   ภีมสงสัยว่าฟินรู้ได้อย่างไร
   “ฉันรู้แล้วกัน อย่าทำเหมือนตอนมัธยมได้มั้ยภีม ฉันเป็นห่วงนายจริงๆ ทำไมไม่เริ่มต้นใหม่ล่ะ เริ่มทำในสิ่งที่นายเคยหนีมันมาตลอด” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน
   ถ้าเป็นเมื่อก่อนภีมคงโมโหไปแล้ว แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงความห่วงใยและหวังดีที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น
   “ไม่ไหวจริงๆ เรียนไม่รู้เรื่อง” ภีมส่ายหน้าเบาๆอย่างอ่อนใจ ภีมไม่ชอบทำอะไรฝืนความรู้สึกตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
   “นายเป็นคนหัวดีมากๆนะ อย่าเอาคำว่าไม่ไหวมาอ้าง” ฟินพูดพลางเช็ดเหงื่ออีกครั้งหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าไม่ไหว แต่นายไม่สนใจต่างหาก”
   “ก็ไม่รู้ล่ะ โดดไปแล้วนี่ ครบสามครั้งแล้วด้วย” ภีมสารภาพออกมา
   ฟินอยากจะล้มตัวลงนอนบนพื้นมันเดี๋ยวนั้น ให้เหงื่อไหลออกมาให้หมดตัวเสียเลย “ยังไม่ได้สอบมิดเทอมก็ขาดครบสามครั้งแล้วเหรอเนี่ย”
   ฟินเริ่มเป็นห่วงในสวัสดิภาพในการจบของภีมตั้งแต่ต้นเทอม รวมไปถึงตัวเองด้วย ขืนยังเป็นแบบนี้อีกต่อไป ไม่ภีมก็เขาต้องกระเด็นออกจากมหาวิทยาลัยไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน
   “ทำรายงานให้เสร็จ พรุ่งนี้ต้องส่งแล้ว” ฟินบอกพลางนั่งลงบนพื้นแล้วรื้อกระเป๋าหยิบเอารายงานของตนที่ทำเสร็จแล้วส่งให้ภีม “เอาไปดูเป็นตัวอย่าง ลอกได้... แต่ต้องลอกอย่างมีชั้นเชิงด้วยนะ ไม่ใช่สักแต่ว่าลอกอย่างเดียว”
   ภีมรับมาแล้ววางไว้กับกองรายงานของเขาที่ยังทำไม่เสร็จ “ขอบใจ แล้วนายจะทำอะไรต่อล่ะ”
   ฟินชูสมุดเลกเชอร์ให้ภีมดู “อ่านหนังสือ วันนี้เรียนไม่รู้เรื่องเลยแต่ยังโชคดีที่จดทัน ไม่งั้น... ตายแน่” ฟินพูดพลางนึกถึงคาบเรียนที่ผ่านมา วิชาพันธุศาสตร์ยากจริงๆ
   “ขนาดนั้นเลยเหรอ ของฉันไม่เห็นมีไรต้องเรียนเลย อาทิตย์นึงมีเรียนแค่ช่วงเช้าเอง” ภีมไม่เห็นว่าวิชาที่ตัวเองเรียนอยู่จะสาหัสเท่าของฟินเลย วันๆมีแต่เล่นดนตรี เรียนทฤษฎีพื้นฐานของดนตรี ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาที่ภีมถนัดแทบทั้งสิ้น ยกเว้นอย่างเดียว วิชาพื้นฐานที่แสนน่าเบื่อ
   เวลาผ่านไป จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสอบมิดเทอมของภาคเรียนที่ 1 ผลจากการเพียรพยายามมาตลอดสองเดือนก็ทำให้ฟินมีคะแนนสอบที่สูงลิ่วกว่าใครในคณะ ส่วนภีมก็ไม่น้อยหน้า แม้วิชาพื้นฐานจะร่อแร่แต่ก็ยังมีวิชาเอกที่ทำคะแนนได้ดี

   “ฟิน อธิบายเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยสิ” ทิชายื่นหน้าเข้ามาใกล้ฟินพลางไสสมุดเลกเชอร์ของตัวเองไปอยู่ตรงหน้าเขา
   ทุกคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับทั้งสองต่างก็ยิ้มไปตามๆกัน “เฮ้ย...ฟิน อธิบายข้อนี้ให้ฟังบ้างดิวะ อธิบายให้แต่ทิชาคนเดียวเลย” ม๊อก เพื่อนที่สนิทที่สุดของฟินแกล้งแซวขึ้น
   “ฉันก็อธิบายให้ฟังทุกคนนั่นล่ะ ไม่ได้ใส่ใจกับใครเป็นพิเศษ” ฟินพูดเรียบๆ แต่นั่นกลับทำให้ทิชาหน้าเสียไป เธอรู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดนั้น
   ฟินหันกลับมาหาทิชา “เรื่องนี้ใช่มั้ย”
   ทิชาพยักหน้ารับ “อืมม์ ชนิดของไวรัสที่มีอยู่ในโคเนื้อ”
   ฟินอธิบายเรื่องดังกล่าวด้วยความชัดถ้อยชัดคำเพราะตัวเขาเองนั้น เข้าใจแตกฉานแล้ว ระหว่างที่ฟินอธิบายอยู่นั้น ทิชาก็เอาแต่ลอบมองใบหน้าของเขา ไม่ค่อยได้ฟังสิ่งที่ฟินพูดออกมาเท่าไรนัก
   “แต่ถ้าเป็นไวรัสชนิดนี้ จะทำให้โคเกิดความผิดปรกติทางพันธุกรรมได้แล้วถ้าเชื้อนี้เกิดขึ้นตอนที่โคกำลังตั้งท้อง ลูกของมันก็จะได้รับเชื้อไปด้วย มันอาจจะมีรูปร่างผิดปกติ”
   “เข้าใจแล้ว” ทิชาพูดเบาๆแล้วลุกเดินออกจากโต๊ะไป
   “ทิชาไปไหนวะ” ม๊อกขมวดคิ้วอย่างงุนงง “เมื่อกี้ยังยิ้มแย้มอยู่เลย”
   ฟินส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อไป
   ภาคแรกของการศึกษากำลังจะผ่านพ้นไป คงไม่มีใครปฏิเสธคำกล่าวที่ว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เพียงชั่วอึดใจเดียวก็สอบปลายภาคแล้ว
   หนึ่งสัปดาห์ก่อนการสอบ ฟินเอาแต่หมกตัวอยู่ในคอนโดแล้วอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว ส่วนภีมก็เอาแต่นั่งเล่นกีต้าร์และร้องเพลงอย่างมีความสุข
   แม้ว่าฟินจะหนวกหูกับเสียงดนตรีของภีมจนขาดสมาธิในการอ่านหนังสือแต่เขาก็ไม่อยากออกปากว่าอะไร เพราะนั่นคือความสุขของภีม แต่ยิ่งนานเข้า ภีมก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความดังจนฟินต้องหยิบเอาสำลีมาอุดหู
   แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก
   “ภีม เบาๆหน่อยได้ไหม ฉันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย” ฟินพูดเสียงอ่อน
   ภีมทำหน้าเหรอหรา “ไม่เห็นจะเสียงดังตรงไหนเลย” ว่าแล้วก็เล่นต่อไป
   ฟินถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วขนหนังสือเดินเข้าห้องนอนไป ภีมยิ้มบางๆอย่างได้ใจ สิ่งที่ภีมเห็นแล้วหงุดหงิดลูกตาเป็นที่สุดคือการเห็นคนฉลาดตั้งใจเรียนหนังสือ
   ตกเย็นของวันนั้น ฟินเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าอิดโรย ร่างสูงเดินตรงเข้าไปในห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นหยิบไข่ไก่ออกมาสามใบ
   เขาจะทำไข่เจียว...
   ภีมเดินเข้ามา คิดว่าเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง แต่ฟินกลับบอกว่าให้ไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
   ครู่หนึ่งผ่านไป ฟินก็ถือจานข้าวออกมาสองจาน ตามด้วยไข่เจียว
   ภีมนั่งมองอาหารบนโต๊ะตาปริบๆ ฟินเหล่ตามองแล้วยิ้มออกมา “ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลยนอกจากไข่ กินไปก่อนละกันนะ”
   “ไม่มีปัญหา ฉันน่ะ... กินง่ายอยู่ง่าย” ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่ใบหน้ากลับรันทดอย่างยิ่ง
   “ไว้สอบเสร็จค่อยไปซื้อของมาเข้าตู้แล้วกันนะ” ฟินยิ้ม
   “เออ... ก็ดี หวังว่าคงสอบเสร็จไวๆ” ภีมถลึงตาแล้วลงมือกินข้าวด้วยความสุข
   ฟินยิ้มบางๆ อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ภีมได้จากการอยู่กับเขาคือการรู้จักที่จะยอมคน
   หลังจากสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่งผ่านพ้นไปแล้วจะเป็นช่วงปิดภาคเรียนระยะสั้นสามสัปดาห์
   สิ่งแรกที่ทั้งคู่ทำด้วยกันคือการไปซื้อของเข้าตู้เย็น ฟินพาภีมไปที่ฟู้ดแลนด์ที่อยู่ใกล้คอนโด เมื่อซื้อเสร็จแล้วฟินก็นำมาจัดวางใส่ตู้เย็นจนเป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่ภีมเอาแต่บ่นว่าเหนื่อย
   “พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วนะ นายอยู่คนเดียวได้มั้ย” ฟินถามขึ้น
   “ที่โรงเรียนกวดวิชานั่นน่ะเหรอ นึกว่าเลิกทำไปแล้วซะอีก”
   “ก็ว่าจะเลิกอยู่ แต่เดี๋ยวไม่มีข้ออ้างบอกพ่อกับแม่ เรื่องที่ไม่ยอมกลับบ้าน”
   ภีมหัวเราะออกมา “นึกว่าอะไร”
   ฟินทำหน้ามุ้ย “มันน่าขำตรงไหน ฉันเครียดจะแย่”
   “ไม่เห็นมีอะไรต้องเครียดเลย”
   “ใครจะไปเหมือนนายล่ะ”
   ฟินไปทำงานหกวัน หยุดวันอาทิตย์วันเดียว ส่วนภีม... ตอนที่ฟินไม่อยู่ก็เอาแต่เล่นเกมและออกไปดูหนัง วันดีคืนดี ติณณ์ก็มาอยู่ด้วย อ้างว่าขี้เกียจอยู่บ้าน
   ยิ่งไปกว่านั้น เบสท์ก็ขอมาอยู่ด้วยอีกคน จนคอนโดของฟินไม่ต่างอะไรไปจากสถานสงเคราะห์ผู้ไม่อยากอยู่บ้าน แล้วเรื่องวุ่นๆก็เกิดขึ้นในวันนี้
   เมื่อเบสท์ได้พบกับติณณ์...
   “สวยขึ้นนะพี่ ว่าแต่เปลี่ยนไวโอลินหรือยังครับ” ติณณ์พูดยียวนไปเรื่อยตามนิสัย
   เบสท์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้
   ติณณ์เห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซว “แหม ทำหน้าอย่างกับยักษ์เชียว” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปหยิกแก้มขาวๆของเบสท์
   “น้อยๆหน่อยติณณ์ แกเล่นไม่ดูเลยนะ” ภีมปรามเข้าให้
   เบสท์กำมือแน่นหมายจะชกคนปากดี หน้าตายียวนให้หายแค้นสักหน่อย แล้วเธอก็ทำอย่างที่คิดจริงๆ
   “อุ๊บส์” ติณณ์กุมท้องแน่นแล้ววิ่งไปหาภีมเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ภีมไม่สนใจเพราะกำลังเล่นเกมอยู่
   เบสท์ไม่รอช้า เธอเดินดุ่มๆไปลากคอเสื้อของติณณ์ออกมา “ปีก่อน แกว่าไวโอลินของฉัน”
   “ขอโทษครับ” ติณณ์ยกมือไหว้ ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรอกนะ เพียงแต่ไม่อยากทำร้ายผู้หญิงก็เท่านั้นเอง
   “ไอ้เด็กบ้า ฉันขอต่อยแกอีกสักครั้งเถอะ” เบสท์ปล่อยหมัดออกไป ติณณ์หลับตาปี๋ด้วยความกลัว ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะมายอมแพ้ให้ผู้หญิงคนหนึ่ง
   “เลิกไร้สาระกันได้แล้ว” ฟินกุมกำปั้นของเบสท์ไว้แน่น “ติณณ์มันก็บ้าบอไปอย่างนั้นล่ะ ไม่มีพิษมีภัยอะไร”
   เบสท์มองฟินอย่างงงๆ ก่อนจะปล่อยมือออกจากติณณ์ “เออ ไม่ถือสาคนบ้าก็ได้ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
   “เมื่อกี้นี้เอง แล้วคอนโดฉันกลายเป็นสถานสงเคราะห์ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ฟินพูดยิ้มๆ แล้วเดินมานั่งที่โซฟา แล้วกวาดสายตาไปรอบๆห้องที่เต็มไปด้วยเศษขยะและสิ่งของต่างๆที่ถูกรื้อออกมาแล้วไม่มีใครเก็บเข้าที่ “รกสุดๆ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็ลงมือทำความสะอาดห้อง
   ไม่ใช่คนทำสกปรกแท้ๆแต่กลับต้องมาจัดการให้เกิดความเรียบร้อย
   นับว่าติณณ์และเบสท์ยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง จึงช่วยฟินเก็บข้าวของ แต่ภีมนี่สิ... กลับนั่งเล่นเกมอย่างเมามันส์ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   แล้วเรื่องยุ่งๆที่เกิดขึ้นในวันที่ฟินออกไปทำงานยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้...
   ติณณ์มาที่คอนโดของฟินแต่เช้า ตามมาด้วยเบสท์ ทั้งคู่ต่างก็ซื้อของติดไม้ติดมือมามาคนละสองสามอย่าง
   “ซื้อไรมาวะติณณ์” ภีมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกม
   “ขนมถุงอ่ะพี่” ติณณ์พูดแล้วเหล่ตามองถุงขนมของเบสท์ที่มีทั้งขนมปัง ขนมเค้ก และของหวานอีกหลายอย่าง “แต่ของพี่เบสท์นี่สิ... น่ากินชะมัด”
   เบสท์หรี่ตามองติณณ์แล้วหยิบถุงขนมของตัวเองไปไว้ที่อื่น “ฉันไม่ให้กินหรอกย่ะ ไอ้เด็กบ้า”
   ติณณ์หัวเราะแหะๆ ด้วยความอยากกินขนมจึงลงทุนเอ่ยปากงอนง้อเบสท์ “โธ่พี่ครับ ยกโทษให้ผมเถอะนะ อย่าโกรธผมเลย ผมมันก็ปากไม่ค่อยดีไปงั้นล่ะ แค่ความจริงแล้ว... ผมเป็นคนที่น่ารักมากเลยนะครับ”
   เบสท์เบ้ปากแล้วทำท่าอาเจียน “แกเนี่ยนะ.... น่ารัก มองตรงไหนก็ยังไม่เห็นเลยสักนิดเดียว”
   “พี่ก็ตั้งใจมองสิครับ” ติณณ์ว่าพลางทำตาปริบๆ
   เบสท์ชักรำคาญจึงโยนถุงขนมให้ติณณ์ไป แล้วเดินไปเล่นเกมกับภีม
   ครู่หนึ่งต่อจากนั้น เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ทุกคนต่างก็สงสัยว่าใครมา แล้วดวงตาทั้งสามคู่ก็จับจ้องไปที่ประตู
   “ติณณ์ ไปเปิดซิ” ภีมบอกติณณ์ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูมากที่สุด
   ไม่ใช่ใคร... นทีและอาภานั่นเอง
   คนแรกที่สะดุ้งสุดตัวคือภีม เพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไร
   “ใครเหรอภีม” เบสท์ถามเบาๆ
   “พ่อกับแม่ฟินน่ะ” ภีมตอบเบาๆ หน้าถอดสีไปเรียบร้อยแล้ว
   ส่วนนทีก็ใช้สายตาอันเฉียบคมจ้องมองภีมอย่างเดียว บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความกดดันและอึดอัด ทุกคนในห้องอึดอัดไปตามๆกันโดยที่ไม่มีสาเหตุ
   “ฟินไปทำงานเหรอจ๊ะหนูๆ” อาภาเป็นคนพูดทำลายความเงียบ และนั่นทำให้ภีม เบสท์และติณณ์ รีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
   “ครับผม” ภีมตอบเบาๆ แล้วหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับเบสท์ ตอนแรกเบสท์ไม่ยอมแต่พอภีมสัญญาว่าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง เธอก็ตกลงทันที
   “แนะนำตัวให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยสิจ๊ะ” อาภาพาสามีเดินไปนั่งที่โซฟา
   ติณณ์เป็นคนพูดก่อน “ผมติณณ์ครับ เป็นรุ่นน้องของพี่ฟินกับพี่ภีมครับ สนิทกันมากเลย”
   อาภายิ้มหวานแล้วเลื่อนสายตามาที่เบสท์ ส่วนนทีก็เอาแต่มองภีมอย่างเดียว ภีมพยายามทำตัวให้เป็นปรกติ เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   เบสท์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้งแล้วยิ้มออกมาให้หวานที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้ “สวัสดีค่ะ หนูชื่อเบสท์นะคะ เป็นแฟนของฟินค่ะ”
   เมื่อเบสท์พูดจบทุกคนก็งงไปตามๆกัน ติณณ์ทำท่าจะพูดแย้งออกมาแต่ภีมหันไปขยิบตาให้ เขาจึงเงียบไป ส่วนนทีก็หันมองเบสท์อย่างงงๆ แต่ในที่สุดแล้วก็ยิ้มออกมา “คบกับฟินงั้นเหรอ” เขาพูดอย่างไม่เชื่อ แต่ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ
   สองสามีภรรยาใช้สายตาพิจารณาเบสท์ด้วยรอยยิ้ม ในความคิดของนทีนั้น ผู้หญิงคนนี้มีความเหมะสมกับลูกชายของเขามากที่สุด
   แม้ใบหน้าของเบสท์จะประดับไปด้วยรอยยิ้มแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เธอก็พอจะเดาเรื่องราวอะไรบางอย่างออกบ้างจากท่าทีของนทีที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบภีม
   “คบกันนานหรือยังล่ะ” นทีถามขึ้น
   “ตั้งแต่รับน้องน่ะค่ะ คือเบสท์กับฟินเป็นดาวเดือนคู่กัน” เบสท์ยิ้มแห้งๆ
   “ไม่เห็นฟินพูดอะไรให้พ่อฟังเลยสักอย่างเดียว พักหลังๆมานี่ชอบทำตัวมีความลับ” นทีพูดพลางถอนหายใจ “บ้านก็ไม่ยอมกลับ บอกว่ามีงานยุ่งตลอด”
   เบสท์รีบสนับสนุนคำพูดของนทีอย่างรวดเร็ว “ใช่ค่ะ  ฟินเรียนหนักมากแล้วยังต้องทำงานด้วย เยอะแยะไปหมดเลย หนูก็เลยต้องมาดูแลเขาน่ะค่ะ”
   “แล้วภีมล่ะ มาทำไม” นทีหันมาหาภีม อาภามองสามีด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีอคติกับภีมนัก ทั้งๆที่ตอนแรกก็ดูจะเข้ากันได้ดี
   “ทำไมใช้สายตาแบบนี้มองภีม” อาภากระซิบเบาๆที่ข้างหูสามี นทีไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่กระแอมครั้งหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ตอบมาสิ”
   ภีมเม้มริมฝีปากด้วยความกดดัน “มาเป็นเพื่อนเบสท์ครับ ผมกับเบสท์เรียนคณะเดียวกัน”
   “แล้วไป”
   อาภาหยิกแขนสามีเบาๆ “ทำไมชอบพูดจาแปลกๆกับภีมล่ะพ่อ”
   นทีไม่ตอบอีกเช่นเคย
   นทีและอาภานั่งรอจนถึงช่วงเย็น เมื่อฟินเข้ามาในห้องก็ตกใจจนหน้าถอดสี “พ่อกับแม่มาได้ไงครับ” ฟินเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงแล้วยกมือไหว้พ่อและแม่ ฟินอดไม่ได้ที่จะสบตากับภีม
   “เหนื่อยมั้ยลูก” อาภาลุกขึ้นกอดลูกชาย “แม่ซื้อของมาเยอะแยะเลย แบ่งกันกินนะจ๊ะ”
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆแล้วหันไปหานที ฟินรู้สึกได้ว่าพ่อของเขามีท่าทีแปลกไป
   “มองพ่ออย่างนั้นหมายความว่ายังไงน่ะฟิน” นทีพูดเสียงเรียบ
   “เปล่าครับ”
   ภีมสะกิดเบสท์เบาๆที่ต้นแขนก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างกับเธอ จากนั้นเบสท์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปอยู่ข้างๆฟิน “วันนี้เราต้องเป็นแฟนกันนะ เข้าใจมั้ย” เบสทท์กระซิบบอกเบาๆ ฟินจับมือเบสท์เป็นเชิงบอกว่าตกลง
   “คบกันนานหรือยัง” นทีถามขึ้น
   ฟินไม่รู้จะตอบว่าอะไร เบสท์จึงกัดฟันพูดเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน “รับน้อง”
   “รับน้องครับ” ฟินตอบออกไป พยายามทำสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด
   “ดีแล้ว พ่อชอบยัยหนูคนนี้นะ น่ารักดี” นทีพูดแล้วยิ้มบางๆ
   ฟินมองหน้าผู้เป็นพ่อแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วนะ... ที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ ฟินไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เลย มีเรื่องที่ต้องปกปิดเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
   นทีและอาภาอยู่กับฟินเพียงชั่วโมงเดียวก็กลับบ้านไป....
   “อธิบายมาให้หมดเลย” เบสท์และติณณ์ตะโกนออกมาพร้อมกัน
   ฟินและภีมนั่งคอตกอยู่ที่โซฟา ทั้งสองคนไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว
   “เล่ามาเลยนะฟินภีม” เบสท์เข้าไปนั่งข้างภีม แล้วเขย่าแขนเขาเบาๆ
   “นั่นสิครับพี่ เล่ามาให้หมดเลยนะครับ” ติณณ์นั่งลงข้างๆฟิน
   ในที่สุดแล้ว... ฟินและภีมก็ต้องช่วยกันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ติณณ์และเบสท์ฟัง เบสท์รับฟังด้วยความตั้งใจ เธอเข้าใจในสถานการณ์แบบนี้ดี มันไม่ง่ายนักหรอกที่พ่อกับแม่จะยอมรับและเข้าใจในลูกของตัวเอง
   ติณณ์ก็รู้สึกห่อเหี่ยวในใจเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด แต่ก็ยังอดพูดออกมาไม่ได้ “พี่สองคนก็นะ... ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้ออยู่เรื่อย”
   “ก็ไอ้บ้านี่ล่ะ... คนเดียวเลย” ภีมโยนความผิดไปให้ฟิน
   ฟินแค่นหัวเราะออกมา “ก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็น”
   “แล้วจะเอาไงต่อไป ถ้าเกิดวันหนึ่ง... ความลับมันแตก” เบสท์ถามขึ้น
   ฟินและภีมถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ไม่อยากจะคิดถึงวันข้างหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
   เบสท์เห็นท่าทางของคนทั้งสองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเอง แต่เบสท์โชคดีกว่ามากนักที่มีครอบครัวที่เข้าใจในตัวตนแท้จริงของเธอ เบสท์ทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ ไม่มีใครคอยจับผิดหรือหวาดระแวง
   “เอาไว้ถึงวันนั้นแล้วค่อยคิดแล้วกัน” เบสท์เป็นคนพูดประโยคนี้ออกมา
   ฟินและภีมมองหน้ากันแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
   มันต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยหรือ...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






zusuki

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ 35 – วันเกิด


   ภาคเรียนแรกผ่านไปเข้าสู่ภาคเรียนที่สอง ฟินเรียนหนักขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่าตัว สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน ฟินต้องเรียนถึงหกวันด้วยกัน ส่วนภีมนั้นแตกต่างกับฟินอย่างสิ้นเชิง เพราะสัปดาห์หนึ่ง เขาเรียนเพียงสี่วันเท่านั้น
   “ทำไมมันเรียนเยอะอย่างนี้ก็ไม่รู้” ฟินบ่นขณะเรียงหนังสือที่ซื้อมาเข้าตู้ “วันนี้หมดเงินซื้อหนังสือไปหลายพันเลย แย่จริงๆ”
   ภีมเดินมาช่วยฟินเรียงพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วอ่านชื่อหนังสือ “อินทรีย์เคมี” จากนั้นก็รีบวางในชั้นทันที ภีมรู้สึกว่าแค่ชื่อหนังสือก็สามารถทำให้เขาหลับได้แล้ว
   “เดือนหน้ามีค่ายอาสาพัฒนาฯจะไปที่ตาก นายจะไปมั้ย” ภีมถามขึ้น
   ฟินหยุดจัดหนังสือแล้วมองหน้าภีมยิ้มๆ “แล้วอยากให้ไปหรือเปล่าล่ะ”
   ภีมแสร้งถอนหายใจยาว “แล้วแต่... ไม่ได้บังคับ บังเอิญว่าเบสท์กับฉันอยู่ชมรมนี้ก็เลยถามดู”
   “ไปสิ แต่ว่าถ้ามีค่ายของชมรมถ่ายภาพเมื่อไหร่ นายต้องไปด้วยนะ” ฟินบอก
   “เอาสิ...”      
   วันต่อมา ภีมก็ลงชื่อสมัครเข้าร่วมกิจกรรมให้ฟิน ค่ายนี้รับผู้ร่วมกิจกรรม 50 คนจากทุกชั้นปี    แต่ชั้นปีหนึ่งมีคนเข้าร่วมกิจกรรมเพียงสิบสองคนเท่านั้น ประธานชมรมจึงบอกให้หัวหน้าชั้นปีหนึ่งอย่างภีมเป็นผู้หาคนมาเข้าร่วมค่ายในครั้งนี้เพิ่มอีกแปดคน
   และสาเหตุนี่เองที่ทำให้ภีมต้องมายืนอยู่ที่หน้าหอสมุดกับเบสท์เพื่อแจกใบปลิวเชิญชวนเข้าร่วมค่ายที่ทั้งสองช่วยกันทำขึ้น
   “มันจะได้ผลเหรอภีม” เบสท์ถามเสียงยานคาง “ทำไมไม่ค่อยมีคนอยากไปค่ายนี้กันเลยนะ ไปช่วยสร้างห้องสมุดให้เด็กๆที่นั่น น่าสนุกจะตาย”
   “เขาก็คงคิดว่ามันลำบากล่ะมั้ง” ภีมพูดพลางยื่นใบปลิวให้คนที่เดินผ่าน
   “ทำไมไม่เข้าเรียน” เสียงของคนที่เพิ่งรับใบปลิวของภีมพูดขึ้น
   “อ้าวฟิน... มาทำอะไรที่ห้องสมุด” เบสท์ทักขึ้นก่อน
   ฟินมองทั้งสองคนไปมาแล้วหันไปมองเพื่อนๆที่เดินตามมาทีหลัง “อาจารย์ให้มาหาข้อมูลน่ะ กำลังจะกลับคณะพอดี” ฟินตอบแล้วถามต่อ “ทำไมไม่เข้าเรียน คาบนี้ต้องเรียนดนตรีปฏิบัติไม่ใช่เหรอ”
   ภีมทำหน้าเหยเก ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจที่ฟินจำตารางสอนของเขาได้อย่างแม่นยำ
   “ก็เล่นได้แล้ว ไม่รู้จะเรียนไปทำไม อาจารย์ก็สอนแต่เรื่องเดิมๆ” ภีมตอบแล้วเลิกคิ้วให้เบสท์เป็นเชิงว่าช่วยพูดหน่อย
   “ใช่ๆ สอนอะไรเดิมๆ เรียนมาตั้งนานแล้ว”
   ฟินส่ายหน้าเบาๆ แล้วขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ “ไปเข้าเรียนซะ ทำอะไรให้ถูกที่ ถูกเวลาหน่อย ตอนนี้เป็นเวลาเรียน ไม่ใช่เวลามาแจกใบปลิว” น้ำเสียงของฟินค่อนข้างดุและจริงจัง พอพูดจบก็เดินไปกับเพื่อนๆในคณะ
   ภีมและเบสท์มองตามอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมฟินต้องทำหน้าโกรธขนาดนั้น
   “ทำไมต้องทำเสียงแข็งใส่ด้วยวะ” ภีมสบถเบาๆแล้วมองฟินจนลับตา ทำไมนับวันยิ่งรู้สึกว่าห่างกันไปทุกที ทั้งๆที่อยู่ด้วยกัน ยิ่งฟินอยู่ในกลุ่มเพื่อนแล้วด้วย ยิ่งรู้สึกว่าฟินเป็นที่สนใจของทุกคน โดดเด่น และสง่างาม แค่เพียงฟินหยุดคุยกับเรา ทุกคนก็หยุดรอเขา เสมือนว่าเขาเป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้
   ภีมถอนหายใจกับความรู้สึกนั้น “ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้ขี้เกียจเรียนแล้ว” ภีมเอ่ยปากชวน และแน่นอนว่าเบสท์ต้องไม่ปฏิเสธ
   ภีมพาเบสท์มาที่ร้านขนมเค้กที่อยู่ถัดจากมหาวิทยาลัยมาสองป้ายรถเมล์ ภีมอยากจะมาที่ร้านนี้หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสมาสักครั้ง วันนี้จึงกลายเป็นโอกาสดีที่ทำให้ภีมได้มาที่ร้านนี้เป็นครั้งแรก
   ทั้งคู่เลือกที่นั่งด้านในสุดของร้าน ยังไม่ทันที่เบสท์จะเปิดเมนู ภีมก็กวักมือเรียกพนักงานแล้วสั่งเอาๆลูกเดียว
   “กินหมดเหรอภีม สั่งไม่คิดเลย” เบสท์พูดเมื่อภีมสั่งจบ
   “หมดสิ ไม่หมดเธอก็ต้องช่วย” ภีมพูดแล้วมองออกไปยังริมถนนมองดูรถเมล์ที่วิ่งผ่านไปผ่านมา
   “เคืองฟินใช่มั้ย” เบสท์พูดแล้วถอนหายใจ
   ภีมไม่ตอบอะไร เบสท์จึงไม่อยากเซ้าซี้
   ส่วนฟิน เมื่อเดินกลับมายังห้องเรียนแล้วก็อดเป็นห่วงภีมและเบสท์ไม่ได้ กลัวว่าทั้งสองคนจะไม่เข้าเรียนตามที่เขาบอก
   อยากจะโทรศัพท์ไปถาม ตัวเองก็ดันไม่มีโทรศัพท์ ฟินนั่งเรียนไปได้สักพักก็ทนไม่ไหว ขออนุญาตอาจารย์ลงมาโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะข้างล่างตึกเรียน
   ฟินโทรเข้าเครื่องของภีมแต่วันนี้ภีมไม่ได้เอาโทรศัพท์มา ฟินโทรอยู่นานก็นึกขึ้นได้ เขาจึงเปลี่ยนเป็นโทรหาเบสท์แทน

   เบสท์ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วกดรับสาย “ฮัลโหล เบสท์พูด”
   “ฟินเองนะ” เบสท์ได้ยินดังนั้นก็รีบเอามืออีกข้างปิดเสียงโทรศัพท์ไว้แล้วกระซิบบอกกับภีม “ฟินโทรมาว่ะ ทำไงดี”
   ภีมยักไหล่ “ไม่เห็นต้องทำไง พูดความจริงก็จบ”
   “ได้โดนด่ากันทั้งคู่น่ะสิ” 
   “ไม่เห็นจะแคร์ บอกไปอย่างนั้นล่ะ” ภีมพูดพลางตักขนมเค้กเข้าปากแล้วเสมองไปข้างนอก
   เบสท์จึงต้องรับภาระอันหนักอึ้งนี้ “มีอะไรเหรอฟิน”
   “ทำอะไรกันอยู่น่ะ ไม่ได้เข้าเรียนใช่มั้ย” น้ำเสียงจริงจังของฟินทำให้เบสท์ไม่กล้าโกหกออกมา “อย่างนั้นล่ะ ไม่มีอารมณ์เรียนน่ะ”
   “ขอคุยกับภีมหน่อยได้มั้ย” ฟินบอก
   เบสท์ยื่นโทรศัพท์ให้ภีม แต่ภีมทำเป็นไม่สนใจ เอาแต่กินท่าเดียว “คุยกับฟินหน่อย”
   ภีมยังคงไม่สนใจ...
   เบสท์พยักหน้าอย่างอ้อนวอน สถานการณ์แบบนี้มันน่าอึดอัดจริงๆ
   ภีมก็ยังคงนิ่ง เบสท์จึงต้องบอกฟินไปว่า “ภีมไม่มีอารมณ์คุย”
   เสียงถอนหายใจดังมาตามสาย จากนั้นฟินก็วางโทรศัพท์ไป
   “ให้ฉันเป็นคนกลางแบบนี้ ไม่ดีนะ” เบสท์พูดแล้วมองหน้าภีม “ทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องล่ะ”
   ภีมวางช้อนเสียงดังแล้วจ้องหน้าเบสท์ “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าอยากจะหนีจากสภาพที่เป็นอยู่”
   “ต้องหนีอะไรอีก... ภีม” เบสท์ถามเสียงอ่อน เธอนึกไม่ออกว่านอกจากหนีความจริงที่ต้องรับมือในอนาคตแล้วยังมีเรื่องอะไรให้ภีมต้องหนีอีก
   “หนีไปให้พ้นจากฟิน”
   เบสท์ถลึงตามองภีมด้วยความตกใจ “หมายความว่ายังไง นายพูดอะไรออกมารู้ตัวมั้ย”
   ภีมไม่พูดอะไรอีก ความสับสนเกิดขึ้นในใจ อีกทั้งความรู้สึกแปลกๆที่รบกวนเขาอยู่ตอนนี้มันทำให้เขาอยากจะอยู่ห่างกับฟินสักพัก ห่างเพื่อคิดอะไรคนเดียว
   เมื่อออกมาจากร้านขนมแล้ว ภีมชวนเบสท์ไปซื้อซีดีเพลง ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ที่ร้านนั้นจนมืดค่ำ แล้วสุดท้ายภีมก็ไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย
   ภีมนั่งรถแท็กซี่ไปส่งเบสท์ที่บ้านแล้วก็นั่งกลับมาที่คอนโดของฟิน
   สามทุ่มตรง
   ภีมเปิดประตูห้องเข้าไป มันไม่ได้ล็อค และฟินก็ยืนอยู่หน้าประตู ภีมเปิดไปก็เจอเขากำลังยืนกอดอกทำหน้าเคร่งเครียดอยู่
   ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วทำท่าจะเดินผ่านไปแต่ฟินก็กางแขนกั้นไว้ทุกทิศทาง “ทำไมไม่ยอมคุยกับฉัน แล้วไปไหนต่ออีกถึงได้กลับมืดค่ำขนาดนี้”
   ภีมไม่อยากพูดอะไรตอบจึงยืนนิ่งๆ
   “โกรธฉันเรื่องอะไร” ฟินเว้นจังหวะไปนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจแล้วกล้าวต่อ “หรือว่าเรื่องที่ห้องสมุด เรื่องที่ฉันว่านาย”
   ภีมถอนหายใจอีกครั้งแล้วมองหน้าฟิน “ฉันว่าพรุ่งนี้จะกลับไปอยู่บ้านแล้ว ไม่อยากรบกวนนายอีกต่อไป” นี่คือสิ่งที่ภีมตัดสินใจแล้ว เขานั่งคิดมาตลอดทางแล้วก็มั่นใจว่าถูกต้อง
   ฟินเอียงคอด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฟินอยากจะรั้งภีมไว้ แต่มันก็เหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอจนทำให้พูดไม่ออก
   “เรื่องค่าย ถ้านายไม่อยากไปก็ถอนชื่อออกได้ที่ชมรมอาสาพัฒนาฯ” ภีมพูดแล้วก็เดินเข้าไปเก็บของใส่กระเป๋า
   ฟินได้แต่ถอนใจและกลืนคำพูดต่างๆนานาที่จะพูดเพื่อรั้งภีมไว้ลงไป ฟินคิดว่าถ้านี่คือสิ่งที่ภีมต้องการเขาก็ไม่อยากขัดใจ ฟินจะทำอะไรได้นอกจากปล่อยภีมให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ
   คืนวันนั้น ฟินหลับคากองหนังสือ ส่วนภีมแทบไม่ได้นอนเพราะสับสนกับการตัดสินใจของตัวเอง ความมั่นใจที่มีนั้น หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ หายไปตั้งแต่เห็นฟินมีท่าทางไม่สนใจ ไม่พูดอะไร และไม่ถามอะไรสักคำ
   ตอนเช้าที่ฟินตื่นมาก็ไม่เห็นภีมแล้ว เพราะภีมออกไปตั้งแต่เช้ามืด
   วันนี้เป็นวันศุกร์ ภีมไม่มีเรียนทั้งวัน แต่เขานี่สิต้องเรียนทั้งวัน วันเสาร์ก็ยังต้องเรียน แถมวิชาที่เรียนก็เป็นวิชาที่หนักๆทั้งนั้น
   ฟินถอนหายใจอย่างเป็นกังวล แล้วจะไปคุยกับภีมให้รู้เรื่องได้ยังไงกันล่ะเนี่ย
   จนกระทั่งวันอาทิตย์ ฟินคิดว่าวันนี้ต้องไปหาภีมที่บ้าน แต่พอเอาเข้าจริง ฟินก็ไม่ได้ไปเพราะอาจารย์ประจำวิชานัดไปเรียนเสริมพิเศษกะทันหัน กว่าจะเลิกก็สองทุ่ม วันนั้นทั้งวัน ทำเอาฟินหมดแรง พอกลับถึงคอนโดก็มุ่งหน้าเข้าสู่ห้องนอนทันทีด้วยความอ่อนเพลีย
   วันเวลาผ่านไป สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า จนกระทั่งถึงวันที่ต้องไปเข้าค่ายอาสาพัฒนาที่จังหวัดตาก รถทัวร์คันใหญ่จอดอยู่ที่หน้าตึกชมรมอาสาพัฒนาชุมชน รุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขานชื่อนักศึกษาที่ลงรายชื่อไว้ออกมายืนที่หน้าประตูทางขึ้นรถ แล้วขานชื่อทีละคน
   ภีมและเบสท์พร้อมทั้งเพื่อนๆในชมรมมากันครบแล้ว จะมีก็แต่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนอื่นที่ค่อยๆทยอยกันมา
   ภีมอดไม่ได้ที่จะมองหาฟิน ปกติเขาไม่ใช่คนมาสายหรือว่าอาจจะถอนชื่อไปแล้วจริงๆ คิดดังนั้น ภีมก็เดินไปหารุ่นพี่ที่ยืนขานชื่ออยู่
   พอดีกับที่รุ่นพี่คนนั้นขานชื่อของฟินออกมา
   “น้องฟิน อชิตะ ก้องกิตติกุล”
   ภีมเงยหน้ามองไปรอบๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของชื่อ แล้วรุ่นพี่ก็ขานชื่ออื่นๆต่อไป ภีมเดินคอตกกลับไปยืนข้างๆเบสท์
   “เชื่อสิ... เดี๋ยวฟินก็มา” เบสท์พูดแค่นั้นแล้วก็ทยอยขนของขึ้นรถ ภีมช่วยขนทั้งๆที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สามสัปดาห์ที่ผ่านมา ภีมไม่ได้คุยกับฟินเลยสักคำเดียวและมันก็ทำให้ภีมรู้จักคำว่าคิดถึงมากขึ้นกว่าเดิม
   ทุกคนทยอยขึ้นรถกันหมดแล้ว แต่ภีมยังยืนอ้อยอิ่งถ่วงเวลาอยู่ข้างล่าง เบสท์มองดูอย่างขบขัน เมื่อคืนเธอโทรไปหาฟิน ทั้งสองคนได้คุยอะไรกันมากมาย ฟินขอร้องให้เบสท์เล่าเรื่องของภีม เบสท์ก็เล่าให้ฟังทุกเรื่อง กระทั่งเรื่องที่ภีมมาบ่นให้เธอฟังเรื่องของฟิน
   ภีมรอจนถอดใจ ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถ เสียงของฟินก็ดังขึ้น
   “รอด้วยสิ รถมันติดก็เลยมาช้า”
   ภีมแค่นเสียงหัวเราะแล้วก้าวขึ้นรถไป ในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี
   ฟินเดินขึ้นรถมาแล้วยกมือไหว้รุ่นพี่ เบสท์ลุกไปนั่งกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทำให้ที่นั่งข้างๆภีมว่าง ภีมอยากจะเรียกเบสท์กลับมานั่งเหลือเกิน แต่ก็สายไปเมื่อฟินนั่งลงตรงที่ว่างนั้นแล้ว
   “ยืนรอฉันอยู่หรือเปล่า” ฟินพูดยิ้มๆแล้วยื่นการ์ดใบหนึ่งส่งให้ภีม
   ภีมรับมาอย่างงงๆ พอเปิดออกดูก็ต้องตกใจ “รู้ได้ไงว่าฉันเกิดวันนี้” ภีมอึ้งไป ขนาดตัวเขาเองยังจำไม่ได้เลยว่าวันนี้คือวันอะไร มิน่า... พี่ภูถึงได้ปลุกเขาไปใส่บาตรแต่เช้า แถมยังบอกจะซื้อรถให้คันหนึ่งด้วย
   “สุขสันต์วันเกิดนะภีม หวังว่านายจะหายเคืองฉันในทุกๆเรื่อง” ฟินยิ้มบางๆแล้วหยิบกล่องของขวัญขนาดย่อมๆจากในกระเป๋าส่งให้ภีม
   ภีมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าฟิน ยิ่งไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรเมื่อไม่ได้เจอกันมานาน “คือฉัน...”
   “แกะดูสิ ที่ผ่านมาฉันต้องไปเรียนทุกวันเลย แม้แต่วันอาทิตย์ก็ยังไม่ได้หยุดพัก เลยไม่มีเวลาไปเดินซื้อของขวัญ” ในขณะที่ฟินพูด ภีมก็เริ่มแกะ
   “อีกอย่างก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีกว่านี้ด้วย” เมื่อฟินพูดประโยคนี้ ภีมก็แกะเสร็จพอดี
   ภีมมองดูอัลบั้มรูปในกล่องสลับกับใบหน้าของฟิน “ฉันตื้นตันใจสุดๆเลยว่ะ” ภีมพูดเบาๆแล้วหยิบอัลบั้มรูปออกมาจากกล่อง
   ฟินลงมือทำอัลบั้มด้วยตัวเองมันจึงออกมาบูดเบี้ยวไปบ้างเพราะไม่ถนัดในงานตัดปะและงานประดิษฐ์สักเท่าไรนัก ภายในอัลบั้มมีรูปของภีมกว่าหกสิบรูปเป็นรูปที่ฟินถ่ายตอนภีมไม่รู้ตัว ทั้งที่หัวหินและตอนงานประกวดดาวเดือน
   เบสท์ด้อมๆมองๆคนทั้งคู่จนพอใจ จากนั้นเธอก็หยิบกล่องของขวัญกล่องเล็กจากกระเป๋าแล้วเดินไปหาฟินและภีมที่นั่งอยู่ข้างหลัง
   “สุขสันต์วันเกิดเพื่อนยาก” เบสท์ยื่นกล่องไปข้างหน้าภีมแล้วยิ้มจนตาหยี
   “ขนาดฉันยังลืมวันเกิดตัวเองเลย ขอบใจมากนะเบสท์” ภีมรับกล่องของขวัญด้วยความตื้นตันใจ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ภีมไม่ได้ใส่ใจกับวันเกิดของตัวเอง ในทุกปีมีเพียงภูรดาและคุณแม่บ้านเท่านั้นที่จำวันเกิดเขาได้ ส่วนพ่อกับแม่ไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะไม่มีแม้แต่คำอวยพร
   “ยังไงก็สู้ของฟินไม่ได้หรอกนะ เพราะของฉันน่ะซื้อเอา ไม่ได้ทำเอง” เบสท์พูดแล้วก็เดินหนีไป ไม่รอให้ภีมตอบกลับ
   “เมื่อคืนฉันคุยกับเบสท์น่ะ” ฟินพูดออกมา
   “แต่ไม่ยอมโทรหาฉัน” ภีมพูดโกรธๆ
   ฟินยิ้มบางๆ “แล้วทำไมนายไม่โทรหาฉันล่ะ นึกจะไปก็ไป ฉันก็พูดอะไรไม่ออกน่ะสิ” ฟินเงยหน้ามองภีมแล้วกุมมือเขาไว้ “แล้วตกลงโกรธฉันเรื่องอะไร เบสท์บอกว่านายอยากจะหนีไปให้พ้นจากฉัน” เมื่อพูดถึงประโยคนี้รอยยิ้มของฟินก็หายไป
   ภีมดึงมือกลับ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน นอกจากคำว่า “ขอโทษ”
   “โกรธที่ฉันว่านายวันนั้นใช่มั้ย”
   ภีมไม่กล้ายอมรับออกมาว่าโกรธฟินเรื่องอะไร เพราะแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมต้องโกรธฟิน หรือว่าทำไมตอนนั้นถึงมีความคิดอยากจะหนีไปจากฟิน พอมาถึงตอนนี้... ภีมก็นึกไม่ออกเสียแล้วว่าทำไมเขาถึงได้คิดอะไรอย่างนั้นออกไป
   “ไม่รู้สิ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ฉันมันงี่เง่าเกินไปล่ะมั้ง” ภีมบอกพลางแกะของขวัญของเบสท์
ในกล่องนั้นมีหนังสือเล่มเล็กขนาดประมาณ 3 นิ้วอยู่สองเล่ม เป็นหนังสือรวบรวมบทเพลงคลาสสิกในยุคก่อน หนังสือชุดนี้เพิ่งพิมพ์ขายเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและจัดทำเพียงหนึ่งร้อยชุดเท่านั้น
“เบสท์ไปซื้อมาได้ยังไงเนี่ย” ภีมพูดยิ้มๆ
“พ่อของเบสท์ทำงานอยู่ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมน่ะ ก็เลยซื้อมาได้” ฟินเฉลยให้
“ขอบใจนะฟิน” ภีมพูดเขินๆ
แต่ฟินกลับหัวเราะออกมา “หน้าแดงเชียว ถ้าอาย... ไม่ต้องพูดก็ได้”
ประโยคนั้นของฟินทำเอาภีมหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม “แกจะพูดทำไมฟะ ไอ้บ้าเอ๊ย” แล้วภีมก็พูดกลบเกลื่อนออกมาด้วยความอาย
ฟินเลื่อนมือไปโอบเอวภีมแล้วซุกหน้าลงที่ท้ายทอย
ภีมขืนตัวเอาไว้แล้วมองคนรอบๆข้าง ยังไงซะภีมก็ไม่อยากจะให้ความลับแตกในที่ชุมชนแบบนี้ “จะทำอะไรอีกล่ะ มันล่อแหลมนะเฟ้ย”
ฟินหัวเราะเบาๆแล้วพูดออกมาว่า “ไม่เห็นจะต้องสนใจใครเลย”
“อย่ามาพูดจาแบบนี้นะเว้ย คนอยู่กันตั้งเยอะ” ภีมมองรุ่นพี่คนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงอย่างสนุกสนานแล้วก็มองไปที่รุ่นพี่อีกคนที่รับหน้าที่ตีกลอง จากนั้นก็ย้อนกลับมามองที่ตัวเอง
มันน่าอนาถใจไหมล่ะ ในขณะที่คนอื่นกำลังร้องเพลงอย่างสนุกสนาน เขากลับต้องมาคอยระแวดระวังการกระทำของฟินอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่ไอ้หมอนี่มันจะเข็ดซักที เข็ดกับเรื่องที่ชอบทำอะไรโจ่งแจ้ง ไม่สนใจคนอื่น
   “ภีม ฉันว่านายตัดผมได้แล้วนะ” ฟินพูดแล้วก็ม้วนผมของภีมเล่น
   “จะมายุ่งอะไรกับหัวฉันวะเนี่ย” ภีมดึงมือฟินออกแล้วจับไว้แน่น “เลิกวุ่นวายได้แล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย” ว่าแล้วก็ทำท่าจะคว้ามืออีกข้างของฟิน แต่ฟินเร็วกว่า... เขารีบซ่อนมืออีกข้างไว้ที่ด้านหลัง
   “นี่มันรถทัวร์นะเฟ้ย มีคนนั่งมองอยู่รอบด้าน” ภีมพูดเตือนสติฟิน
   “ก็ให้เขามองไปสิ” ฟินแกล้งพูด จากนั้นก็เลื่อนมือมาโอบเอวภีมอีก “มีแต่คนสนใจจะร้องเพลง ไม่มีใครมาสนใจเราหรอก”
   “แกจะบ้าหรือไง ถ่างตาดูซิ ขอแค่หันมาเท่านั้นก็เห็นแล้ว” ภีมกัดฟันพูด เขาอยากจะชกหน้าฟินสักครั้งให้หายเจ็บใจ “ถ้าไม่เลิกกวนประสาทล่ะก็... ฉันจะต่อยนาย”
   “โดนมาหลายครั้งแล้ว โดนอีกครั้งจะเป็นไรไป” ฟินพูดพลางเขี่ยผมที่ปิดใบหูของภีมออกแล้วประทับรอยจูบตามลงไป
   “ไอ้ฟิน” ภีมร้องพลางกดหัวฟินลงข้างล่าง
   “โอ๊ย... เจ็บนะภีม” ฟินแกล้งร้องออกมา ความจริงก็ไม่เจ็บเท่าไรนัก แต่ต้องการเรียกร้องความสนใจมากกว่า
   “ถ้ายังไม่เลิก ฉันจะไปนั่งข้างหน้าเดี๋ยวนี้เลย”
   “ไม่ทำแล้วๆ” ฟินแค่นหัวเราะ
   ภีมเคาะกะโหลกแถมไปทีหนึ่งก่อนจะปล่อยฟิน “เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง คิดดูถ้าเมื่อกี้มีคนเห็น จะแก้ตัวว่ายังไง”
   ฟินฉีกยิ้มแล้วมองหน้าภีม “ก็บอกความจริงไปสิ ว่าเราเป็นอะไรกัน”

zusuki

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ 36 – ค่ายอาสาพัฒนา


   เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียนวัดประทานพร จังหวัดตากแล้ว ประธานชมรมก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่โรงอาหาร ซึ่งครูใหญ่ของโรงเรียนและเด็กเล็กๆกว่าห้าสิบคนรออยู่ที่นั่นแล้ว พวกเขามารอต้อนรับคณะอาสาพัฒนาสร้างห้องสมุด
   ฟินมองหน้าเด็กเหล่านั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความหวังและรอยยิ้มไร้เดียงสานั้นทำให้ความรู้สึกอบอุ่นในใจเอ่อล้นออกมา
   เด็กบางคนก็มีผิวดำคล้ำแดด เด็กบางคนก็มีผิวขาวราวปุยนุ่น แต่เด็กเหล่านี้ก็อยู่ร่วมกันได้ ทุกคนนั่งเรียงกันที่โต๊ะกินข้าวด้านหน้า รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่มีคลาย
   ประธานชมรมอาสาพัฒนากล่าวเปิดงานและบรรยายวัตถุประสงค์ในการจัดค่ายครั้งนี้ รวมทั้งแสดงเจตนาอันแรงกล้าที่จะสรรค์สร้างคลังปัญญาความรู้สู่โรงเรียนวัดประทานพร
   เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อประธานชมรมพูดจบ จากนั้นก็ถึงคิวของครูใหญ่โรงเรียนวัดประทานพร ครูใหญ่ของที่นี่อายุราวสี่สิบปี หน้าตาค่อนไปทางใจดีแม้ว่าน้ำเสียงจะดุดันก็ตาม และสิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ครูใหญ่คนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ในเมื่อคนเรามีรอยยิ้ม ใบหน้าก็จะดูอ่อนโยนและอ่อนเยาว์ไม่คลาย
   ที่พักของชาวค่ายอยู่ชั้นสองของอาคารเรียนซึ่งอาคารนี้ก็มีเพียงสองชั้นเท่านั้น ห้องน้ำและห้องสุขาอยู่ทางด้านหลังของตัวอาคาร ถัดจากตัวอาคารก็คือโรงอาหาร และพื้นที่ว่างที่ถัดจากโรงอาหารอีกทีก็คือพื้นที่สำหรับห้องสมุด
   กิจกรรมแรกที่ชาวค่ายทำคือ สันทนาการร่วมกับน้องๆที่ลานกิจกรรมกลางแจ้งซึ่งล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่นานาชนิด ทำให้ดูคล้ายว่ามีรั้วใหญ่คุ้มกันทุกคนอยู่
   เด็กๆมีความสุขที่ได้ร้องเพลงและเต้นรำ ทุกคนมีอิสระ อยู่ที่นี่แล้วทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ชาวค่ายทุกคนร่วมร้องเล่นเต้นกับเด็กๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
   แม้กระทั่งตอนกินข้าวเย็น เสียงพูดคุยก็ยังคงดังไม่หยุดหย่อน เด็กๆที่นี่พูดเก่งกันทุกคน และทุกประโยคที่พวกเขาพูดก็มีแต่ความจริงใจ ไร้เดียงสา พูดในสิ่งที่เขาคิดและเห็น ไม่ปิดบังอะไรให้วุ่นวาย
   ฟินยิ้มบางๆ เขาอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ เด็ก... ไม่ต้องปิดบังอะไรให้วุ่นวาย
   “คิดอะไรอยู่ หน้าดูเศร้าๆ” ภีมพูดพลางตักข้าวเข้าปาก เบสท์ได้ยินเข้าก็หันหน้ามองฟินอย่างสำรวจ
   “มองอะไรกัน ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย กินข้าวไปเลย อย่ามาสนใจฉัน” ฟินพูดรวดเดียวจบแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว
   ภีมกับเบสท์มองหน้ากันแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ
   หลังจากมื้อเย็นผ่านพ้นไป กิจกรรมของชาวค่ายและเด็กๆก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
   บรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่ทำให้ชาวค่ายทุกคนหวนนึกถึงตอนที่เข้าค่ายลูกเสือเมื่อตอนมัธยมต้น ตอนมีกิจกรรมรอบกองไฟ
   กลางลานกิจกรรมมีเวทีเล็กๆอยู่ ประธานค่ายเดินขึ้นไปยืนบนนั้นก่อนเป็นคนแรก จากนั้นรุ่นพี่อีกสามสี่คนที่มีบทบาทสำคัญในค่ายก็เดินตามขึ้นไป ประธานพูดเริ่มต้นกิจกรรมด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ
   จากนั้นก็มีการแสดงบนเวทีของรุ่นพี่ปีต่างๆ กิจกรรมนี้กินเวลาราวหนึ่งชั่วโมง เด็กๆชอบมากและอยากมีส่วนร่วมด้วย ฝ่ายสันทนาการจึงให้เด็กๆที่สนใจขึ้นไปร่วมแสดงกับพี่ๆบนเวที จนกระทั่งเวลาสองทุ่ม
   กิจกรรมทำท่าว่าจะจบลง ทันใดนั้น... ประธานค่ายเดินถือเค้กที่มีเทียนปักอยู่สี่ห้าเล่มออกมาจากหลังเวที เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้น ทุกคนปรบมือให้กับเจ้าของวันเกิดด้วยใจจริง
   ฟินยืนยิ้มบางๆอยู่ข้างภีม ส่วนเบสท์ก็รุนหลังภีมให้เดินออกมา ภีมเดินออกมาด้วยความเขินอาย ประธานค่ายเป็นตัวแทนกล่าวคำอวยพร
   “ขอบคุณครับพี่” ภีมลูบท้ายทอยแก้เก้อแล้วก้มตัวลงเป่าเทียน
   “ตัดเค้กเลย” ประธานค่ายพูดไปหัวเราะไป
   ภีมมองไปรอบตัว เห็นเด็กๆยิ้มตาหวานฉ่ำกันถ้วนหน้า “ผมว่าไม่ต้องตัดแบ่งอะไรหรอก เค้กก็มีอยู่นิดเดียว ยกให้เด็กๆเถอะครับ”
   ทุกคนในค่ายเห็นด้วย เค้กก้อนนั้นเลยตกไปเป็นของเด็กๆ
   ภีมกล่าวขอบคุณทุกคนในค่าย ก่อนจะหันมายักไหล่ให้เบสท์และฟิน “ท่าทางเค้กก้อนนั้นจะเล็กไปว่ะ”
   “ฉันก็ว่างั้น” ฟินเห็นด้วย เขายิ้มบางๆพลางจูงมือภีมให้เดินตามไปอีกทางหนึ่ง เบสท์มองตามยิ้มๆ สองคนนี้มีความสุขเธอก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย
   “จะพาไปไหนฟิน ยุ่งชะมัดเลย” ภีมทำเป็นรำคาญ แต่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   “ถามมากจริงๆ ตามมาเถอะน่า” ฟินลากเสียงยาวแล้วกระชับมือภีมให้แน่นขึ้น
   ฟินพาภีมมาที่ใต้ต้นหูกวางหลังที่พัก “สุขสันต์วันเกิดอีกครั้ง” ฟินพูดแล้วก้มลงประทับรอยจูบโดยที่ภีมยังไม่ได้ตั้งตัว
   แต่ถึงอย่างนั้น... ภีมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เขาเพียงแต่ดันไหล่ฟินไว้เพื่อถ่ายเทน้ำหนักให้สมดุลกัน สายลมแรงพัดมาปะทะแผ่นหลังของภีม แต่เขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิดเดียว ตรงกันข้าม... มันยิ่งอบอุ่นยิ่งกว่าการซุกร่างกายไว้ในผ้าห่มเสียอีก
   “เออ... ขอบใจ” ภีมพูดห้วนๆ สั้นๆ ฟินลูบแผ่นหลังภีมเบาๆ
   “ไม่เป็นไร แต่ฉันมีอะไรจะให้นายด้วย” ฟินบอกแล้วคลายอ้อมกอด ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ภีม
   ภีมรับมาอย่างงงๆ สร้อยทองคำขาวที่มีจี้ตัวอักษร F ห้อยอยู่ สร้อยธรรมดาที่หาได้ทั่วไป แต่ ณ ตอนนี้ กลับมีความหมายเหลือเกิน
   “จะให้ฉันใส่ให้หรือว่านายจะใส่เอง” ฟินถาม
   ภีมทำท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบว่าใส่เอง ภีมนึกภาพฟินใส่สร้อยคอให้ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก แม้จะยอมรับความรู้สึกของตนเองแต่เรื่องแบบนี้ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆปรับตัว ว่าแล้วก็สวมสร้อยคอเส้นนั้นด้วยตัวเอง
   “ขอบใจ แต่ความจริงก็ไม่ได้อยากได้หรอกนะ” ภีมพูดออกไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนี้ภีมเขินจนอยากจะวิ่งหนีไปไกลๆ ไปให้พ้นสายตาคู่นั้นของฟินที่กำลังมองมาที่เขา
   ฟินเดินเข้าไปใกล้ภีม ในขณะที่ภีมก็ก้าวถอยหลัง
   “จะหนีไปไหนอีกล่ะภีม หนีฉันตลอดเลย ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานแล้วนะ” ฟินแกล้งพูดยียวนบ้าง ในชีวิตของเขาไม่ค่อยได้ทำเรื่องแบบนี้สักเท่าไรนัก
   ภีมถอยหลังไปไกลกว่าเดิม เขารู้สึกว่าฟินน่ากลัวมากจนคาดไม่ถึง ทั้งคำพูด ท่าทาง สีหน้า และอารมณ์
   “แล้วนายจะต้อนฉันทำไมเนี่ย” ภีมตวาดใส่ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คืออะไร
   ฟินทำหน้าล้อเลียน ยิ้มกริ่มแล้วตรึงหัวไหล่ของฟินไว้กับต้นไม้ใหญ่ “แค่นี้ก็ไปไหนไม่ได้แล้ว” ท้ายเสียงมีเสียงหัวเราะแถมออกมาเล็กน้อย
   “ไอ้บ้าเอ๊ย... นี่มันที่ไหน รู้มั้ยวะ สมองแกยังดีอยู่มั้ยเนี่ย” ภีมเริ่มฉุนเฉียว เขาเบื่อเต็มทีที่ต้องมาคอยระแวดระวังตัวเมื่ออยู่กับฟิน
   ฟินขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าเข้าไปใกล้ภีม “ไม่เห็นจะสำคัญว่าที่ไหน ไม่สำคัญเลยจริงๆ”
   ริมฝีปากร้อนระอุบดขยี้ลงมาบนกลีบปากที่แดงระเรื่อของภีม ภีมเผยอปากเล็กน้อยเพื่อรับลิ้นอุ่นร้อนที่สอดแทรกเข้ามาอย่างว่องไว จุมพิตที่เร่าร้อนไม่แพ้ครั้งไหนๆก็เริ่มต้นขึ้นอย่างง่ายดาย
   ฟินสอดมือเข้าไปในเสื้อของภีมแล้วลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนละเอียด ด้วยความที่ไวต่อสัมผัส ภีมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเบียดตัวให้แนบชิดกับร่างของฟิน จุมพิตยิ่งร้อนแรงขึ้นไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะควบคุม
   เสียงเพลงของชาวค่ายยังคงมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รสจูบอันร้อนแรงก็ยังคงดำเนินต่อไปตามเสียงเพลงด้วยเช่นกัน
   “ยังไม่ชินอีกเหรอที่ต้องอยู่ด้วยกัน” ฟินถามเสียงแผ่ว ภีมไม่ได้ตอบอะไร แค่เพียงเขาพยายามสะกดอารมณ์ร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ตอนนี้ก็ยากพอดูแล้ว จะให้ใช้สมองมาคิดหาคำตอบอะไรกันอีก    
   “แต่ก็อีกล่ะนะ... ความเคยชินมักทำให้คนเราเคยตัว” ฟินพูดขึ้นมาพลางขบเม้มริมฝีปากของภีมให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นทั้งยังใช้มืออีกข้างหนึ่งล่วงล้ำเข้าไปยังกางเกงของภีม
   ภีมทวนประโยคที่ฟินพูดเมื่อครู่ในใจ ‘ความเคยชินมักทำให้คนเราเคยตัว’ และมันก็ทำให้เขาเคยตัวจริงๆ ภีมชินกับการที่มีฟินอยู่และชินที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ภีมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าความเคยชินนี้หายไป เขาจะทำอย่างไร
   “พอเถอะ... ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน” ภีมโพล่งออกมา
   ฟินหยุดนิ่งการกระทำทุกอย่างทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เขาดีดตัวออกมาให้พ้นจากร่างของภีมพลางไล่สายตาไปยังดวงหน้าที่มีสีแดงจัด ฟินขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ เขากำลังรอให้ภีมขยายความประโยคที่พูดออกมาเมื่อครู่ แต่ดูท่าทาง... เจ้าตัวไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว
   ภีมเพียงถอนหายใจบางๆแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น เขาคิดว่าชีวิตน่าจะเข้าที่เข้าทางดีแล้ว... แค่เพียงคิดว่าวันนี้มีความสุข พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เท่านั้นมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ แต่ทำไมการที่คิดอย่างนั้น กลับไม่ได้ทำให้ภีมรู้สึกถึงความสุขเลย ตรงกันข้าม... เขากลับรู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่กำลังวิ่งไล่เขาอยู่ รอวันเวลาที่เขาเหนื่อยล้า หยุดวิ่งหนี และถูกมันทับตายในที่สุด
   ชีวิตคนมันไม่ได้มีแค่วันนี้ ภีมคิดว่า ต่อให้วันนี้มีฟิน แต่ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มีล่ะ แล้วไหนจะวันต่อๆไปข้างหน้าที่ไม่รู้จะยาวนานถึงเมื่อไหร่ วันต่อไปข้างหน้าที่ภีมจะหลงเหลือเพียงความทรงจำ เพราะอย่างไรเสีย เรื่องราวระหว่างเขาและฟินคงไม่มีทางเป็นไปได้ มันแทบมองไม่เห็นทางเลยด้วยซ้ำไป
   ภีมหลับตาลงเพื่อทบทวนทุกอย่าง มันผิดตั้งแต่ต้นหรือเปล่า ผิดที่เขาไม่ยอมยับยั้งชั่งใจ ผิดที่ยอมให้อะไรๆมันล่วงเลยมาจนป่านนี้
   “ฉันไม่รู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่” ฟินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาของเขาตอนนี้รื้นไปด้วยน้ำตา “แต่ทำไมไม่บอกฉัน ทำไมต้องคิดอะไรอยู่คนเดียว ตัดสินใจอะไรอยู่คนเดียว”
   “มันก็ไม่ต่างกับนายหรอก ที่ชอบคิดหรือทำอะไรคนเดียว นายคิดว่าฉันจะดีใจงั้นเหรอ... ที่นายคอยโกหกเพื่อปกป้องฉัน คิดว่าทุกวันนี้ฉันมีความสุขหรือไง” ภีมตะคอกออกมา ปัญหาที่มีทีท่าว่าจะจบกลับบานปลายลุกลามไปกันใหญ่
   “ฉันเคยคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง แต่วันนี้... ฉันกลับไม่รู้อะไรเลย” ฟินพูดพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ปัญหาบ้าๆนี้ออกไปจากชีวิตเสียที ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พ่อกับแม่ยอมรับ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง “ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
   “ในเมื่อไม่รู้อะไรเลยก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต่อ มันไม่สนุกเลยนะฟิน ชีวิตที่ต้องคอยเก็บความลับ มันเป็นแบบนี้ไปได้ไม่นานหรอก สักวันหนึ่งมันก็ต้องจบลง” ภีมพยักหน้าสองครั้งเป็นเชิงบอกกับตัวเองว่า นี่ล่ะ... คือความคิดที่ถูกต้องที่สุด
   ฟินไม่อาจยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้ได้ “แต่มันต้องจบแบบนี้เหรอ ทำไมเราไม่ปล่อยให้มันเป็นไปในแบบที่มันควรเป็น”
   “แล้วแบบที่มันควรเป็นคือแบบไหนล่ะ” ภีมย้อนถาม
   ฟินเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ฟินรู้คือ... มันไม่ควรจะต้องจบแบบนี้ “เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่... คงไม่มีใครมาขัดขวางเรา”
   ภีมแค่นหัวเราะ “ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ยิ่งต้องคิดอะไรมากกว่าเดิม จะมาทำอะไรตามใจชอบก็คงไม่ได้แล้วล่ะ”
   ฟินเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยิ่งพูดน้ำตาก็พานจะไหล เวลาที่คนเราเจ็บปวดมันรู้สึกอย่างนี้นี่เอง ฟินอยากจะดึงตัวเองและภีมออกจากกฎเกณฑ์บ้าบอของชีวิต เขาไม่เคยคิดว่าความรักจะยิ่งใหญ่เพียงนี้ ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะทำให้คนๆหนึ่งยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อคนอีกคนหนึ่งได้
   “เราเป็นเพื่อนกันดีกว่าไหมฟิน หรือไม่ก็เป็นคนไม่รู้จักกันเหมือนกับตอนแรก” ภีมหลุบตาลงต่ำ ไม่มองหน้าฟิน เขาจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้ ฟินมีใบหน้าที่เจ็บปวดเพียงใด
   ฟินรู้สึกเหมือนร่างกายถูกเหวี่ยงให้ตกลงมาเบื้องล่าง เวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด มันโล่งและว่างเปล่าจนฟินไม่สามารถคว้าอะไรไว้ได้เลย แค่เพียงจะสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดยังทำได้ยาก และความเวิ้งว้างก็สิ้นสุดลงเมื่อน้ำตาหยดแรกไหลออกมา ฟินรู้สึกเหมือนร่างกายที่ถูกโยนลงมาดิ่งลงสู่พื้นล่างเรียบร้อยแล้ว มันตีบตันจนพูดอะไรไม่ได้ แม้แต่จะขยับริมฝีปากยังไม่มีเรี่ยวแรงพอ
   ภีมเงยหน้าขึ้นมองฟินช้าๆ วินาทีแรกที่เห็นน้ำตาของฟิน ภีมแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดออกไป แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ในใจตอนนี้บอกเขาว่า หมดเวลาที่จะเล่นซ่อนหากันแล้ว
   “ให้มันเป็นแบบนี้ล่ะ เป็นแค่เพื่อนหรือไม่ก็คนรู้จักกัน” ภีมบอกเบาๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไป ตลอดทางก็พึมพำกับตัวเองว่า “เป็นแค่นี้ก็พอแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่”
   ฟินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น น้ำตาที่กลั้นอยู่นานทะลักออกมาจากเบ้าตาทั้งสอง เขาคิดอยู่แล้วว่าต้องมีสักวันที่ภีมทนไม่ได้ แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้ วันที่เขาทั้งสองคนเพิ่งได้ปรับความเข้าใจกัน
   “มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อความรู้สึกมันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย” ฟินพูดเสียงเครือ เสียงดนตรีเงียบลงแล้ว แต่ฟินยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหน

   ค่ายอาสาพัฒนายังคงดำเนินกิจกรรมต่อไป ห้องสมุดเริ่มสร้างขึ้นในวันที่สอง เรื่อยไปจนกระทั่งเย็น เป็นแบบนี้ไปจนถึงวันที่ห้า ห้องสมุดก็เสร็จสมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่าง และในวันที่หกก็เป็นวันที่ทุกคนต้องช่วยกันขนหนังสือจากห้องของครูใหญ่ไปไว้ที่หอสมุด จากนั้นช่วงบ่าย พิธีเปิดห้องสมุดก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางความดีใจและเสียงหัวเราะของเด็กๆรวมไปถึงชาวค่ายทุกคน
   มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำหน้าไม่ดีใจอะไรกับเขาเลย ฟินและภีม
   เบสท์ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ หลังจากเกิดเรื่อง ภีมก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้เธอฟังเลย ไม่ว่าจะถามอย่างไร ภีมก็ไม่ยอมบอกท่าเดียว เธอจึงต้องไปถามความจริงจากฟินแทน แต่กว่าฟินจะพูดออกมาได้ก็ใช้เวลาเนิ่นนานพอสมควร กระทั่งวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกันในค่าย ฟินและภีมก็ยังไม่ยอมพูดจากัน ซ้ำร้ายยังทำหน้ามึนตึงอยู่ตลอดเวลา
   เย็นวันที่หกมีงานเลี้ยงขอบคุณที่ลานกิจกรรมเช่นเดิม ทุกคนมีความสุขกันมาก ยกเว้นฟินกับภีม ฟินนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน ส่วนภีมก็นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับฟิน ส่วนเบสท์ก็ได้แต่มองความเป็นไปของคนทั้งคู่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากถอนหายใจไปเรื่อยๆ
   เมื่องานเลี้ยงจบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปยังที่พัก บางคนก็เริ่มเก็บของเข้ากระเป๋า ในขณะที่บางคนล้มตัวลงนอนเพราะความเหนื่อยอ่อน ภีมเป็นหนึ่งคนที่เลือกแบบที่สอง ส่วนฟินเอาแต่นั่งเหม่อลูกเดียว
   จนกระทั่งวันที่เจ็ด วันเดินทางกลับ ภีมหนีไปนั่งกับเบสท์ ส่วนฟินก็ถูกลากไปนั่งกับรุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งที่หมายตาเขาไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาค่าย แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
   ฟินนั่งนิ่งราวกับก้อนหิน ไม่ว่ารุ่นพี่คนนั้นจะพูดจาอย่างไร ฟินก็ไม่สนใจ อย่างดีก็แค่เพียงพยักหน้าหรือพูดว่าครับเท่านั้น นานๆไปเธอก็เริ่มเบื่อกับปฏิกิริยาแบบนี้ของฟินและหยุดพูดมากไปในที่สุด
   รถบัสมาส่งทุกคนลงที่มหาวิทยาลัย ใครที่ไม่ได้อยู่ชมรมอาสาก็สามารถกลับบ้านได้เลย ส่วนใครที่อยู่ชมรมนี้ต้องช่วยกันเก็บข้าวของที่อยู่บนรถกลับไปไว้ที่ห้องชมรมก่อน
   ภีมช่วยทุกคนยกของเข้าไปเก็บในห้องชมรม ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ภีมอาสาไปส่งเบสท์ที่บ้านแต่เบสท์ปฏิเสธบอกว่ากลับเองได้ ภีมจึงไม่อยากเซ้าซี้อะไร
   “กลับดีดีนะ ถึงบ้านแล้วโทรหาฉันด้วย” ภีมสั่ง
   เบสท์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปกับเพื่อนอีกสามสี่คน ส่วนภีมก็นั่งรอรถที่บ้านมารับอยู่ที่หน้าชมรมโดยมีรุ่นพี่อีกห้าคนยืนอยู่ด้วย รวมทั้งฟิน
   ภีมทำเป็นไม่สนใจ ฟินก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นภีม ซึ่งความจริงแล้ว ฟินอยากจะอยู่ส่งภีมต่างหาก หลังจากนั้นไม่นาน รถสปอร์ตสีดำก็วิ่งตรงมายังหน้าตึกของชมรม ภีมหันไปไหว้รุ่นพี่ก่อนจะเดินขึ้นรถไปโดยที่ไม่สนใจฟิน
   ทันทีที่ภีมก้าวขึ้นรถ รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของฟิน “กลับบ้านดีๆนะภีม”

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 37 – ทางแยก


   ปีแรกของการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านพ้นไป ใครที่เคยเป็นน้องใหม่ก็เลื่อนชั้นกลายเป็นรุ่นพี่ ส่วนคนที่เป็นรุ่นพี่อยู่แล้วก็เลื่อนชั้นให้สูงขึ้นไปอีก
   หลังจากกลับจากค่ายเมื่อหลายเดือนก่อน ภีมก็ไม่ได้เจอหน้าฟินอีกเลย ฟินก็เช่นกัน เขาไม่มีแม้เวลาที่จะโทรศัพท์หาใคร กระทั่งเวลาว่างในการพักผ่อนยังแทบไม่มี
   ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ฟินลงเรียนซัมเมอร์เพื่อเก็บหน่วยกิตให้ครบตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ เรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ในช่วงเช้า ส่วนในช่วงบ่ายไปสอนพิเศษที่สถาบันกวดวิชา ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ที่น่าจะเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อน ฟินกลับต้องมานั่งทบทวนเนื้อหาในรายวิชาต่างๆที่ยังไม่เข้าใจ ซึ่งเนื้อหาแต่ละบทก็มีมากมายเหลือเกิน
   ภาคเรียนแรกของปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้น
   “พี่ภีม วันนี้ต้องไปเล่นเปียโนให้พวกเราฟังนะคะ” รุ่นน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาภีมทันทีที่เขาเดินออกมาจากห้องเรียน เบสท์มองหน้ารุ่นน้องสาวสวยที่หน้าตาเกินกว่าวัยแล้วก็อดที่จะกลอกตาไปมาไม่ได้ เธอคิดว่า เด็กสมัยนี้ช่างไวไฟเสียจริง
   ภีมพยักหน้ารับเบาๆ
   “ต้องไม่ลืมนะคะ” เธอส่งยิ้มหวานให้ภีมอยู่นาน จนภีมต้องเป็นฝ่ายขอตัวออกไปจากที่ตรงนั้น ภีมเดินลิ่วๆออกมาพร้อมกับเบสท์
   “ยัยนี่ เกาะนายไม่ปล่อยเลยนะ เห็นส่งสายตาให้ตั้งแต่รับน้อง ไม่คิดว่าจะติดหนึบขนาดนี้ เล่นดักเช้า ดักเย็นแบบนี้ น่ารำคาญชะมัด” เบสท์พูดขึ้น
   “คนเราน่ะนะ ถ้าเกิดชอบใครขึ้นมามันก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด...” ภีมพูดอย่างเหม่อลอย “เพื่อให้ได้เขามาอยู่ในครอบครอง” พอพูดจบก็เดินไปทันที เบสท์ได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง
   เย็นวันเดียวกันนั้น หลังเลิกเรียน ภีมไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับรุ่นน้องปีหนึ่ง ภายในห้องเปียโนขนาดกลางของมหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยนักศึกษาปีหนึ่งกว่าห้าสิบคน
   ภีมเดินเข้าห้องมาเพียงลำพังเพราะเบสท์ต้องไปทำธุระต่อที่อื่นเลยมาเป็นเพื่อนด้วยไม่ได้
   ทันทีที่ภีมเดินเข้ามา เสียงฮือฮาก็ดังขึ้น ภีมยิ้มบางๆแล้วเดินไปนั่งที่เปียโนตัวหนึ่ง เปียโนตัวเดียวที่มีสีเบจ ทุกคนในห้องต่างก็งุนงงไปตามๆกัน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า “ผู้ชายคนนี้จะเล่นเฉพาะเปียโนที่มีสีดำ”
   “อยากฟังเพลงไหนล่ะครับ” ภีมถามเรียบๆ
   เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงหัวร่อต่อกระซิก และตามมาด้วยเสียงเอะอะน่ารำคาญ เมื่อทุกคนในห้องแย่งกันบอกชื่อเพลง ภีมไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี จึงตัดสินใจเล่นเพลง ‘โดราเอมอน’ เสียเลย
   เมื่อเพลงเริ่มบรรเลงเสียงเอะอะโวยวายก็หายไปในทันที บทเพลงของภีมคล้ายมีมนต์สะกดแฝงอยู่ แม้บทเพลงจะสนุกสนานและร่าเริงเพียงใด ทว่าคนเล่นกลับมีสีหน้าที่ตรงกันข้ามไปจากอารมณ์เพลงอย่างสิ้นเชิง
   ภีมเล่นเพลงต่ออีกสองสามเพลงก็ขอตัวกลับทันที ไม่อยู่รอให้ใครกล่าวคำชมหรือคำขอบคุณเลยสักคนเดียว
   หน้าห้องเปียโน...
   ภีมพบใครคนหนึ่งยืนพิงเสาอยู่ เขากำลังก้มหน้าก้มตาราวกับว่ามีบางสิ่งที่ละสายตาไปไม่ได้ ภีมมองอย่างชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านไป
   “ไม่คิดจะพูดอะไรสักคำเลยเหรอ” น้ำเสียงเย็นชาที่แสดงออกชัดเจนถึงความรู้สึกไม่เข้าใจดังขึ้นจากข้างหลัง
   รุ่นน้องปีหนึ่งที่อยู่ในห้องเริ่มทยอยกันออกมา
   “ก็พูดไปหมดทุกอย่างแล้วนี่” น้ำเสียงของภีมก็แสดงถึงความห่างเหินออกมาชัดเจนเช่นกัน ภีมไม่หันมามองฟิน เขาเพียงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ด้วยเสียงอันดังว่า “ฉันรำคาญคนที่ชอบเซ้าซี้ไม่เลิกเป็นที่สุด มันรู้สึกเหมือนกำลังถูกหมากัด แล้วมันก็กัดไม่ยอมปล่อยเสียด้วย มันน่าเบื่อนะ... ที่คนเราต้องคอยพูดอะไรซ้ำๆเดิมๆกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง ในชีวิตของฉัน... ไม่เคยเจออะไรที่น่าเบื่อสุดๆแบบนี้มาก่อนเลย”
   ฟินไม่ได้พูดอะไรอีก หัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้ว กลับยิ่งบอบช้ำขึ้นไปอีก  มันเจ็บจนจะแทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว ฟินเดินก้มหน้าลงบันไดไปโดยไม่สนใจรุ่นน้องกว่าสามสิบคนที่เดินออกมาจากห้องแล้วได้ยินประโยคดังกล่าว
   สำหรับฟินในตอนนี้ ไม่มีอะไรที่น่าอายอีกแล้วเพราะต่อจากนี้ไป เขาจะลืมผู้ชายคนนี้อย่างจริงจังเสียที
   เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เขาจะคิดเสียว่ามันเป็นแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงเวลาที่มีความสุข ช่วงเวลาที่เขาได้เรียนรู้ว่าการได้รักและการถูกรักเป็นอย่างไร ช่วงเวลาที่ใครไม่พบเจอกับตัวเองจะไม่มีทางได้รู้
   ช่วงเวลาที่มี “ความรัก” มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ
   ฟินคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาตลอดทางจนกระทั่งกลับมาถึงคอนโด เขาเดินตรงไปยังโทรศัพท์และต่อสายไปหาเพื่อนอีกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้เขาเสมอมา
   “มันจบจริงๆแล้วล่ะเบสท์” ฟินพูดเสียงสั่น ถ้าให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้รับรองว่าน้ำตาจะต้องไหลออกมาไม่หยุดแน่ๆ
   เสียงถอนหายใจสะท้อนกลับมาเป็นเชิงบอกว่ารับรู้ เบสท์ก็รู้สึกเสียใจไม่แพ้กัน หลายครั้งหลายหนที่เธอพยายามหาโอกาสให้ทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกัน แต่มันก็ไม่สำเร็จสักที ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา
   ล้มเหลวจนไม่เหลือชิ้นดี...
   “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะฟิน เดี๋ยวสักพักฉันกับติณณ์จะไปหานายเอง”
   ครึ่งชั่วโมงต่อมา เบสท์และติณณ์ก็มาถึงคอนโด
   ฟินออกไปเปิดประตูให้ด้วยใบหน้าอิดโรยและหมองคล้ำ ติณณ์รีบปรี่เข้ามาแล้วโอบไหล่ฟินไว้ทันที “ไปนั่งก่อนเถอะพี่” ติณณ์พยุงร่างของฟินไปไว้ที่โซฟา เบสท์เดินตามมาเงียบๆ
   “ขอบใจที่มาหา” ฟินพูดเบาๆ
   ติณณ์ขบฟันอย่างขุ่นเคือง เขาโกรธแค้นแทนฟินจนทำให้ความศรัทธาที่มีในตัวภีมลดลงอย่างรวดเร็ว “เล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้เลยว่าพี่ภีมทำอะไรแย่ๆอีก” ติณณ์เริ่มประเด็นด้วยความโกรธ
   “หุบปากไปเลยติณณ์ ฟินพร้อมเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นล่ะ...” เบสท์ทำหน้าตาจริงจังขึ้นกว่าเดิม
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก ภีมแค่บอกว่า ไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็เท่านั้นเอง”
   เบสท์ทำหน้าไม่เชื่อ “ภีมไม่พูดแค่นั้นหรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านี้”
   “ภีมพูดแค่นี้จริงๆ” ฟินกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ตรงลำคอลงไป แต่มันก็ไม่ได้ช่วยกลั้นน้ำตาไว้ได้เลย ทำไมเขาต้องร้องไห้ มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจขนาดนั้นเลยเหรอ...
   ฟินก้มหน้าร้องไห้ออกมา ติณณ์และเบสท์ทำได้เพียงนั่งอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจฟินเงียบๆ เพราะทั้งสองรู้ดีว่า ถ้าพูดหรือปลอบใจจะยิ่งทำให้ฟินรู้สึกแย่ลงไปกว่าเดิม

   นับจากวันนั้น ฟินและภีมก็ไม่ได้คุยหรือพบกันอีกเลย วันเวลาล่วงเลยเป็นสัปดาห์ เรื่อยผ่านมาจนกลายเป็นเดือน ครบเดือนก็สะสมเข้าจนกลายเป็นปีและในที่สุดก็ครบสองปี
   สองปีที่ทั้งสองคนไม่ได้ติดต่อกัน
   การเป็นรุ่นพี่ปีสี่ก็ไม่ใช่ว่าจะสบายอย่างที่ใครๆคิด
   คณะดุริยางคศาสตร์...
   “กำหนดการเสนอศิลปนิพนธ์คืออีกสามเดือนข้างหน้า เมื่อเทอมที่แล้วเราได้มีการสัมมนาดนตรีไปแล้ว หวังว่าทุกคนคงได้รับความรู้มากขึ้น บางคนอาจจะต่อยอดความคิดในหัวข้อที่ได้สัมมนาไป แต่อย่างไรก็ตาม อาทิตย์หน้า ขอให้พวกคุณทุกคนร่างโครงการศิลปนิพนธ์ของแต่ละคนมาส่งด้วย เพื่อให้ผมได้พิจารณาว่าเป็นหัวข้อที่เหมาะสมหรือไม่” อาจารย์ประจำภาควิชากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   “เมื่อเทอมที่แล้ว ผลการฝึกงานของทุกคนเป็นที่น่าพอใจมาก พวกคุณผ่านการประเมินในทุกข้อกำหนดและที่น่าภูมิใจอีกเรื่องก็คือ เราได้รับคำชมจากสถานที่ฝึกงานที่พวกคุณไปทำมามากมาย” อาจารย์กล่าวต่อพลางเขียนข้อความบางอย่างลงบนกระดาน
   ‘โชคดี’ คำสั้นๆแต่ได้ใจความ อาจารย์ผู้ชายท่านนี้ แม้ว่าจะพูดไม่เก่งหรือมีอารมณ์ขันเท่าคนอื่น แต่ตลอดระยะเวลาสี่ปี เขาก็ทำหน้าที่ของอาจารย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปราศจากอคติ เขาเหมาะสมกับความเป็นครูอย่างแท้จริง
   “ขอให้พวกคุณโชคดี ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเหลืออีกเพียงสี่เดือนกว่าๆเท่านั้น แล้วต่อจากนี้คุณก็จะได้เดินไปตามเส้นทางใหม่ที่คุณได้เลือกเอาไว้ เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของคุณเอง โลกภายนอกกำลังรอคุณอยู่” อาจารย์ยิ้มบางๆ แล้วเดินออกไป
   เบสท์ถอนหายใจออกมาอย่างคนปลงตก “ไม่อยากเรียนจบเลยแฮะ สี่ปีนี่เร็วจนไม่น่าเชื่อเลย”
   “เชื่อเถอะ เพราะสัปดาห์หน้าต้องขึ้นแสดงดนตรีที่หอประชุมใหญ่แล้ว และที่สำคัญฉันยังไม่ได้ซ้อมเลย” ภีมพูดเรียบๆ
   “อย่างนายยังต้องซ้อมอะไรมิทราบ สมองสั่งการให้เล่นมั่วๆยังออกมาเป็นเพลงได้เลย” เบสท์แกล้งพูด
   ภีมเคาะกระโหลกเบสท์ไปทีหนึ่ง “พูดมากน่า”
   เบสท์แกล้งร้องโอดโอย ในตอนนั้นเองเธอเห็นฟินกำลังเดินอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเบสท์ไม่รู้จัก ภีมมองตามสายตาของเบสท์ไป เขาพยายามสงบจิตใจไม่ให้รู้สึกอะไรกับภาพที่เห็น แต่ยิ่งพยายามเท่าไร ยิ่งร้อนรนมากเท่านั้น
   ท่าทางของฟินกับผู้หญิงคนนั้นดูสนิทสนมกันมากจนน่าสงสัย
   “มองอะไรอยู่ได้ ไร้สาระจริงๆ กลับกันได้แล้ว” ภีมลากแขนเบสท์ให้เดินตามเขาไป เบสท์พอรู้มาบ้างว่าตอนนี้ฟินกำลังคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วเธอก็ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับภีมเพราะคิดว่าต่างคนต่างก็มีเส้นทางใหม่ของตัวเองแล้ว
   “ไม่ได้รู้สึกอะไรแน่นะภีม นายเป็นคนเลือกให้มันเป็นแบบนี้เอง ถึงจะรู้สึกอะไรก็คงได้แต่ทำใจ” เบสท์พูดออกมา
   ภีมหันหน้าไปมองเบสท์อย่างขุ่นเคือง “ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ อย่ามาพูดจาแบบนี้กับฉัน” ภีมกัดริมฝีปากอย่างอดทน
   เบสท์มองหน้าเพื่อนรักด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “โอเค แต่ถ้านายอยากจะแก้ไขในสิ่งที่พลาดไปล่ะก็ คุยกับฉันได้เสมอ”
   ภีมเสมองไปทางอื่น “ตอนนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดอีกแล้ว”
   เบสท์พยักหน้าอีกครั้ง “ถ้าคิดอย่างนั้นก็ตามใจ”

   คอนโดของรดา
   “จูบฉันหน่อยได้ไหมฟิน ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้ว่าเธอรักฉันเหมือนที่ฉันรักเธอ” รดาพูดอย่างเหลืออด ตลอดเวลาหกเดือนที่คบกับฟิน เขาไม่แม้แต่จะจับมือเธอ ไม่ทำอะไรสักอย่างนอกจากการไปรับไปส่งที่บ้าน ไม่ยิ้ม ไม่พูดจาอะไรหวานๆแบบที่คนรักกันควรจะเป็น
   รดา เรียนอยู่คณะเภสัชศาสตร์ซึ่งอยู่ติดกับคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ที่ฟินเรียนอยู่ รดาแอบชอบฟินมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง แต่เพิ่งจะได้คุยกันเมื่อตอนอยู่ปีสี่ ตอนที่ไปเข้าค่ายด้วยกัน จากนั้นก็คุยกันเรื่อยมา จนครบสองเดือน รดาตัดสินใจบอกชอบฟินและขอคบกับเขา ฟินตอบตกลง เขาพูดเพียงแค่ว่า “ฉันไม่ได้ดีเลิศอย่างที่เธอคิดหรอกนะ”
   รดาคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ เธอหวังว่าเขาจะเป็นคนที่เข้ามาเต็มเติมชีวิตของเธอให้สมบูรณ์ แต่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้าม เขากลับยิ่งทำให้ชีวิตของเธอขาดสิ่งที่ควรมีไปเสียหมด ขาดกระทั่งเวลาอยู่กับตัวเอง เขาทำให้เธอต้องคอยกังวลกับเรื่องของเขา
   “เธอไม่เคยจับมือฉันก่อนเลย ไม่เคยยิ้มให้ฉัน ไม่เคยทำให้ฉันมีความสุขเลย” รดาพูดแล้วก็ร้องไห้ออกมา
   ฟินไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ผิดที่เข้ามาทำให้ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งต้องวุ่นวาย และผิดที่หลอกตัวเอง...
   “ถ้าฉันจูบเธอแล้วเธอจะมีความสุขใช่มั้ย” ฟินพูดเบาๆแล้วเดินเข้าไปใกล้รดา เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งน้ำตา “แล้วทำได้มั้ยล่ะ จูบกับฉัน”
   ฟินถอนหายใจบางๆ เดินเข้าไปประชิดตัวกับหญิงสาวแล้วโอบกอดเอวของเธอไว้ เขาดึงร่างบอบบางของเธอเข้ามาชิดกับร่างของเขา
   “ถ้ามันทำให้เธอมีความสุข ฉันจะทำ...” พอกล่าวจบฟินก็ประทับริมฝีปากลงไปในทันที ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในจิตใจไม่หยุดหย่อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจถอนริมฝีปากออกได้
   รดาร้อนวูบไปทั้งร่างกาย เป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสรสจูบที่วาบหวาม จูบที่ร้อนแรง หนักหน่วง และเร่งเร้าให้อารมณ์น้อยใจแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการ แต่ในความเร่าร้อนนั้นเธอกลับสัมผัสได้ถึงอีกหนึ่งความรู้สึก
   ความรู้สึกโหยหาและต้องการ... รดารู้สึกได้และเธอก็รู้ด้วยว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับเธอ แต่ในตอนนี้ รดาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอขอเพียงแค่มีเขาอยู่ มีเขาอยู่ก็พอ...
   ฟินยังไม่ถอนริมฝีปากออกไป ตรงกันข้ามเขากลับเพิ่มความรุนแรงบนริมฝีปากให้มากขึ้นไปอีก
   รดาโอบรัดเขาไว้ด้วยสองแขนแล้วเบียดหน้าอกเข้าหาฟินอย่างลืมตัว ฟินสอดมือเข้าไปในเสื้อของเธอก่อนจะลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังแล้วหยุดมือไว้ที่ตะขอชุดชั้นใน
   รดาซุกหน้าลงที่ลำคอของฟิน มือข้างหนึ่งเลื่อนลงมาอยู่ที่หน้าอก เธอปลดกระดุมของเขาออกช้าๆ ใบหน้าสวยแย้มยิ้มคล้ายเชิญชวน จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อของฟินออกจนหมด
   ฟินหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงมือกลับ จากนั้นเขาก็ถอนตัวออกจากรดาในทันที “ฉันกลับก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้จะมารับแต่เช้า”
   รดาอ้าปากค้างอย่างงุนงง เขามาทำให้อารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านขนาดนี้แล้วคิดจะหนีไปง่ายๆเหรอ “นอนกับฉันที่นี่ไม่ได้เหรอ”
   ฟินไม่พูดอะไร เขาก้มหน้าก้มตาติดกระดุมเสื้อ
   รดาพยายามสะกดกลั้นความน้อยใจที่เกิดขึ้น เธอไม่มีเสน่ห์พอให้เขาลุ่มหลงหรืออย่างไร “อย่ากลับเลยนะฟิน” รดาทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ
   ฟินทำเป็นมองไม่เห็น เขาไม่อยากทำร้ายเธอไปมากกว่านี้อีกแล้ว ฟินหมุนตัวจะเดินออกไปแต่รดาเข้ามาขวางไว้
   เธอดันร่างสูงใหญ่ของฟินจนเสียหลักล้มลงบนโซฟา ฟินพยายามจะลุกขึ้นแต่รดากลับนั่งคร่อมบนร่างของเขา “เรามีอะไรกันได้ไหมฟิน”
   ฟินนิ่งอึ้งไปแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยอย่างรดาจะกล้าเป็นฝ่ายขอมีอะไรกับเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมา... รดาเป็นคนเรียบร้อยและอ่อนหวาน ทว่าวันนี้เธอกลับเหมือนกลายเป็นอีกคน คนที่ฟินไม่รู้จักเลย “รดา... ทำไม”
   รดาก้มลงจูบฟิน เขาไม่ได้ขัดขืนอะไร ในสมองตอนนี้มีแต่ความไม่เข้าใจเต็มไปหมด
   “รดารักฟินมากนะ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้คบกันเสียด้วยซ้ำ” เธอกระซิบเบาๆที่ข้างหู ก่อนจะยืดตัวขึ้น เธอค่อยๆปลอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกจนหมดจนเห็นทรวงอกที่อัดแน่นอยู่ในชุดชั้นในสีชมพู
   ฟินเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะกล่าวออกมาเบาๆ “เรามีอะไรกันไม่ได้หรอก...”
   “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเราสองคนรักกัน”
   ฟินหลับตาลงครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด พอลืมตาขึ้นอีกที เขาก็ดันตัวให้ลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง ใบหน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันเพียงนิดเดียว “ออกไปจากตัวฉันเถอะนะ” ฟินพูดเบาๆ
   รดายิ้มเศร้า เธอรักเขามากจนไม่อยากจะถอยไปไหนแล้ว “ไม่ออก”
   “งั้นฉันออกไปเอง” ฟินลุกขึ้นในทันทีโดยที่ไม่สนใจรดา ร่างของหญิงสาวตกลงไปบนพื้น ฟินรีบคว้ากระเป๋าเป้แล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที
   รดามองตามอย่างคนหัวใจแตกสลาย ขนาดเธอยอมเขาขนาดนี้ เขายังไม่คิดจะสนใจเลย “ไม่เคยรักรดาเลยใช่มั้ย... ฟิน”

   หลังจากวันนั้น ฟินกับรดาก็กลายเป็นเพียงคนรู้จักกันเท่านั้น
   ฟินนั่งอ่านหนังสืออยู่กับเพื่อนร่วมคณะอยู่ที่ลานชั้นล่างของคณะ แม้ว่าสายตาจะจดจ้องอยู่ที่หนังสือแต่ในสมองนั้นมีแต่เรื่องของภีมล้วนๆ
   ในตอนนั้นเอง เบสท์ก็เดินเข้ามาหาฟิน เธอขอเวลาคุยกับเขาครู่หนึ่งซึ่งฟินก็ตกลง ฟินเดินออกไปกับเบสท์ ทิชามองตามอย่างสงสัย เธออยากจะวิ่งตามไปดูแต่จิตใต้สำนึกส่วนดีได้สั่งการว่า อย่าทำแบบนั้นเชียวนะเพราะมันจะทำให้ฟินยิ่งเกลียดขี้หน้าเธอเข้าไปใหญ่
   ดังนั้น ทิชาจึงได้แต่นั่งถอนหายใจด้วยความอยากรู้ว่าสองคนนั้น คุยเรื่องอะไรกัน
   “อาทิตย์หน้ามีการแสดงดนตรีที่หอประชุมใหญ่” เบสท์พูดขึ้น
   ฟินทำหน้าเป็นเชิงถามว่า... แล้วยังไง
   “ไปดูสิ... ภีมจะเล่นเปียโน”
   ฟินถอนหายใจบางๆแล้วเสมองไปอีกทางหนึ่ง “ฉันไม่ว่างหรอก... แล้วอีกอย่าง ฉันก็ไม่รู้จะไปทำไมเหมือนกัน”
   “ตามใจละกันนะ แต่อีกสามเดือนจะมีงานแสดงศิลปนิพนธ์ของคณะดุริยางคศาสตร์ งานนี้นายจะไปใช่มั้ย” เบสท์ถามอย่างมีความหวัง
   ฟินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ไม่รู้สิ อาจจะไม่ว่างก็ได้ ฉันต้องเรียนหนักน่ะ ต้องเรียนอีกตั้งสองปีกว่าจะจบ”
   เบสท์ตบไหล่ฟินเบาๆ “ยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าภีมจะไปเมืองนอกหลังจากเรียนจบแล้ว”
   “แล้ววันรับปริญญาล่ะ จะไม่มาเหรอ” ฟินถามอย่างสนใจ
   เบสท์พยักหน้ารับ “ภีมไม่สนใจหรอก เพราะเขามีอนาคตที่ดีรออยู่”
   “หมายความว่ายังไง”
   “ตอนนี้ภีมเขาดังมากเลยที่เมืองนอก แล้วงานแสดงคอนเสิร์ตก็มีไม่หยุดหย่อน พอเรียนจบภีมก็จะบินไปอังกฤษเลย ไปอยู่กับพ่อของเขา” เบสท์พูดเศร้าๆ เธอเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อวานนี้เอง มันเป็นเรื่องกะทันหันที่แม้แต่เจ้าตัวยังดูงงๆกับการกระทำของตัวเอง “ภีมดูแปลกๆ เหมือนไม่อยากไปยังไงก็ไม่รู้ แต่ฉันก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะเดี๋ยวนี้ภีมดูแปลกๆไป ไม่ร่าเริงเหมือนก่อน”
   “ภีมคงโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ฟินพูดพลางก้มหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าผิดหวัง
   “ไม่รู้สิ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เอาล่ะ... ฉันต้องไปแล้ว นายก็ต้องไปให้ได้ซักงานนึงนะ” เบสท์ทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งกลับไปที่ตึกเรียน
   ฟินเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยสีหน้าสับสน ภีมไม่คิดจะบอกเขาจริงๆเหรอ

   ฟินพลาดงานแสดงดนตรีของคณะดุริยางคศาสตร์ไป แต่สำหรับงานนี้เขาไม่พลาดอย่างแน่นอน
   งานแสดงศิลปนิพนธ์ของนักศึกษาปีสี่ คณะดุริยางคศาสตร์
   ฟินยืนอยู่หน้างาน เดินดูบอร์ดแนะนำงานศิลปนิพนธ์ของแต่ละคน เขาเดินมาหยุดอยู่ที่บอร์ดสีดำที่อยู่ริมสุดแต่โดดเด่นกว่าบอร์ดไหนๆ
   บอร์ดนำเสนอผลงานของ ‘ภีม    พิริยะ’
   “ภีมแต่งโซนาต้าเองเหรอ” ฟินพึมพำออกมาอย่างเหลือเชื่อ “Catch Star” ฟินอ่านชื่อโซนาต้าเบาๆแล้วมองไปรอบๆงาน แต่ก็ไม่พบคนที่เขาอยากจะพบ
   ภีมเตรียมตัวอยู่ที่หลังเวที เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการแสดงผลงานศิลปนิพนธ์ครั้งนี้ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะหนีกลับบ้านเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าอาจารย์จะมาให้คะแนนและชมผลงาน
   นักศึกษาแต่ละคนทยอยกันนำเสนองานศิลปนิพนธ์ทีละคนๆ ขนกระทั่งถึงภีม บุคคลที่ได้รับความสนใจที่สุดในเวลานี้
   ภีมก้าวออกมาจากหลังเวทีแล้วนั่งประจำที่ เปียโนที่ภีมใช้เล่นในครั้งนี้คือเปียโนสีเบจที่เขาขอยืมมาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง
   ภีมเริ่มบรรเลงเพลง Catch Star บทเพลงโซนาต้าที่เขาแต่งขึ้นด้วยตนเอง
   ภูรดานั่งอยู่ทางด้านหน้าของเวที เธอมองน้องชายด้วยความภาคภูมิใจ ภีมเป็นคนเก่ง เก่งกว่าเธอเสียอีก เขาเก่งที่สามารถทำความฝันของเขาให้เป็นจริง เก่งที่มีทางเดินเป็นของตัวเอง
   บทเพลงดำเนินไปจนกระทั่งครบทั้งสี่ท่อนอันเป็นส่วนประกอบของโซนาต้า ภีมจบบทเพลงด้วยทำนองที่รวดเร็วจนผู้ฟังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มันรวดเร็วจนทำให้คนฟังจะขาดใจ
   เมื่อจบการบรรเลง ภีมถอนหายใจบางๆแล้วลุกขึ้นมายืนกลางเวที ทำความเคารพผู้ชมและคณาจารย์ก่อนจะเดินเข้าเวทีไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ยอมรับช่อดอกไม้จากใครทั้งนั้น
   พฤติกรรมของภีมสร้างความสงสัยให้กับทุกคนในหอประชุม บางคนถึงกับเอ่ยปากว่าในความหยิ่งทะนงของเขา
   ฟินไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมามอบให้ภีม เพราะเขารู้ดีว่าถึงอย่างไรภีมก็ไม่ยอมรับของจากเขาแน่นอน
   ภีมเดินเข้าไปหลังเวทีแล้วเก็บข้าวของเตรียมตัวจะกลับ เบสท์รีบเรียกไว้เพราะต้องฟังคำวิจารณ์จากอาจารย์อีก
   “จะรีบไปไหนเล่า ยังไม่เสร็จงานเลย เดี๋ยวจะมีคนมาดูงานต่ออีกนะ ภีมต้องอยู่สิ” เบสท์รีบพูด
   ภีมถอนหายใจด้วยความรำคาญ เบสท์ถึงกับงงในกิริยานั้นของเพื่อนรัก
   “เป็นอะไรไปล่ะภีม” เบสท์ถามอย่างไม่เข้าใจ
   ภีมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ไม่ชอบอยู่ที่ที่คนเยอะ ฉันขอกลับก่อนละกัน” ภีมตบไหล่เบสท์เบาๆแล้วเดินออกมาทันที เบสท์ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว นอกจากมองตามแผ่นหลังของภีมไป
   หลังจากงานเลิก ภูรดาวิ่งตามหาน้องชายไปทั่วทั้งงาน จนกระทั่งพบเบสท์ เธอจึงได้รู้ว่า ภีมกลับบ้านไปแล้ว ไม่นานนัก ฟินก็เดินเข้ามาสมทบ เขายกมือไหว้ภูรดาก่อนจะหันหน้าไปหาเบสท์
   “เจ้าของผลงานวิ่งหนีกลับบ้านไปแล้ว” เบสท์บอก
   “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ” ฟินถามต่อ
   “ภีมบอกว่าไม่ชอบคนเยอะ แต่ฉันว่านั่นคือข้ออ้างมากกว่า ตั้งแต่ภีมบอกฉันเรื่องจะไปเมืองนอก เขาก็ดูหงุดหงิดตลอดเวลาเลย”
   ภูรดามีสีหน้าเศร้าลงในทันทีที่เบสท์กล่าวถึงเรื่องนี้ ฟินสังเกตเห็นใบหน้าของเธอแล้วก็เดาได้ทันทีว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
   “มีเรื่องอะไรจะบอกพวกเรามั้ยครับ พี่ภู” ฟินพูด
   ภูรดานิ่งไปคล้ายกำลังใช้ความคิด ครู่หนึ่งต่อจากนั้นเธอจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “แม่ให้ภีมเลือกว่าจะไปอยู่กับใคร ตอนแรกภีมไม่เลือก บอกว่าจะอยู่ที่นี่ทำสิ่งที่เขารัก แต่แม่ก็ยื่นคำขาดบอกว่าต้องไป ไม่อย่างนั้น แม่จะให้ภีมเข้าทำงานที่บริษัท แล้วก็...” ภูรดาเงียบไป
   “แล้วยังไงครับ” ฟินถาม
   ภูรดาผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเครียด “แล้วก็บอกเรื่องของเธอสองคนให้พ่อรู้”
   ครั้งนี้ฟินเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง เขาไม่คิดว่านอกจากพ่อของเขาแล้วยังมีแม่ของภีมอีกคนที่รู้เรื่องนี้ “หมายความว่ายังไงครับ”
   “เธอสองคนไม่คิดจะบอกพี่เลยเหรอ ปล่อยให้พี่รู้จากแม่”
   “ผมไม่คิดว่าพี่จะรับได้” ฟินบอกเสียงแผ่ว
   “แล้วรู้มั้ยว่าแม่รู้จากใคร”
   “ใครครับ” ฟินรู้สึกแปลกพิกลสำหรับคำถามข้อนี้
   “จากพ่อของเธอเอง เขาต้องการแยกเธอสองคนด้วยวิธีนี้”
   “ผมกับภีมไม่ได้คุยกันมาเป็นปีแล้วครับ ครั้งสุดท้ายที่คุยกันก็ตอนอยู่ปีสอง”
   “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็เดือดร้อนไปตามๆกัน แม่หันมาเล่นงานพี่อีกคนเพราะคิดว่าพี่รู้เรื่องนี้มาตลอด แล้วไม่บอก แม่จะยุบบริษัทของพี่ ภีมโมโหมาก เลยบอกว่า จะทำอะไรกับเขาก็ได้ แค่ไม่มายุ่งกับพี่แล้วก็ครอบครัวของฟินเป็นพอ สรุปแล้วภีมก็ต้องไปอยู่กับพ่อที่อังกฤษโน่นล่ะ”
   “นานแค่ไหนล่ะครับ”
   “ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 38 – ความเป็นผู้ใหญ่



   สี่ปีผ่านไป...
   ฟาร์มกิตติกุล
   ฟินกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาละสายตาเจ้าม้าขนสวยที่ชื่อว่า “เปรียว” แล้วมองไปยังประตูทางเข้าฟาร์ม
   บุรุษไปรษณีย์คนเดิมมาส่งจดหมายเหมือนทุกวัน ฟินเรียกคนงานที่อยู่แถวนั้นให้วิ่งออกไปรับจดหมาย
   “พี่ฟิน จดหมายของฟางหรือเปล่า” ฟางข้าวเรียกพี่ชายเสียงดังลั่น ตอนนี้เธออายุ 15 ปีแล้วและมีหน้าตาละม้ายคล้ายพี่ชายจนน่าตกใจ ฟางข้าวมัดผมที่ยาวระแผ่นหลังให้เป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะวิ่งออกมานอกบ้าน เธอถามพี่ชายด้วยประโยคเดิมอีกครั้ง
   “ถามพี่เขาเองสิ” ฟินโบ้ยหน้าไปทางคนงานที่กำลังวิ่งมาทางนี้เพื่อเอาจดหมายมาให้
   “นี่ครับ... จดหมาย”
   “ขอบคุณค่ะ” ฟางข้าวรับจดหมายด้วยความดีใจ จากนั้นก็อ่านชื่อที่จ่าหน้าซองช้าๆ “คุณอชิตะ  ก้องกิตติกุล”
   ฟินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าใครที่ส่งจดหมายมาให้เขา “ไหนขอพี่ดูซิ”
   ฟางข้าวส่งจดหมายให้พี่ชาย ฟินค่อยๆเปิดจดหมาย แต่ยังไม่ทันที่จะเปิด เสียงของผู้เป็นพ่อก็ดังขึ้นเสียก่อน
   “ฟิน ไปดูเจ้ามะเฟืองกับพ่อหน่อย มันไม่ยอมกินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” นทีตะโกนเรียกลูกชายก่อนจะควบม้านำไปยังโรงเรือน
   ฟินรีบยัดจดหมายฉบับนั้นใส่ในกางเกงแล้วขี่ม้าตามไป
   ฟางข้าวทำหน้าเครียด เธอเดินวนไปมาอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านอย่างใช้ความคิด “จดหมายนั่นอาจจะเป็นของพี่ภีมก็ได้” ฟางข้าวพึมพำกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรไปหาที่ปรึกษาอีกคนที่อยู่กรุงเทพฯ

   เครื่องดนตรีกว่ายี่สิบชิ้นทยอยกันบรรจุลงกล่องอย่างรีบเร่งโดยเจ้าของร้านขายเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ
   “เร็วๆได้มั้ยคะ คือว่าต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวจะสอนไม่ทัน” หญิงสาวที่แต่งตัวค่อนไปทางผู้ชายว่าพลางทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความหงุดหงิด
   “ใจเย็นๆสิเบสท์ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยนี่” หญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆแตะแขนคนอารมณ์ร้อนเบาๆ
   “ไม่ต้องพูดดีเลยอิน ถ้าไอ้ติณณ์มันไม่ลืมล็อคอาคารก็คงไม่มีใครกล้าขึ้นมาขโมยของหรอก” เบสท์พูดอย่างหัวเสีย ยิ่งนึกถึงเจ้าตัวต้นเหตุยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปใหญ่
   เมื่อสองวันก่อน โรงเรียนสอนดนตรี ‘Fearless’ ถูกขโมยยกเค้าเครื่องดนตรีไปกว่ายี่สิบชิ้น ทั้งไวโอลิน กีต้าร์ ทรัมเป็ต และอื่นๆอีกมากมาย สาเหตุเกิดจาก ลืมปิดประตูทางเข้าออก และคนที่ทำหน้าที่นั้นคือ ติณณ์
   “ฉันจะไล่แกออกไอ้บ้าเอ๊ย” เบสท์ขบฟันเบาๆ ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “ว่าไงฟางข้าว พี่ว่าไม่ใช่ของภีมล่ะมั้ง ขนาดพี่ยังไม่เคยได้รับจดหมายจากเขาเลย นี่ก็สี่ปีเข้าไปแล้ว ยังไม่คิดติดต่อหาใครเลย ว่าแต่พี่ชายเราน่ะ... ลืมๆเรื่องของภีมไปบ้างหรือยัง ยังอีกเหรอ... อืมๆ เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะ พี่ยุ่งอยู่ บายจ้า” เบสท์วางสายโทรศัพท์แล้วหันหน้ามาคุมงานต่อ ในใจก็คิดอยู่ว่า ภีมทำอะไรอยู่ ไม่คิดจะติดต่อหาเพื่อนคนนี้บ้างเลยหรือไง
ฟางข้าวสั่นศีรษะอย่างอ่อนใจ เธอรู้เรื่องราวของพี่ชายเมื่อสองปีที่แล้ว รู้จากปากของฟินเองและเธอก็ยอมรับมันอย่างง่ายดาย ฟางข้าวยอมรับทุกอย่างที่พี่ชายเป็น เธอรักเขามากและเธอก็รักภีมเช่นกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เคยอยู่ด้วยกันก็ตาม

อังกฤษ
สองเดือนก่อนหน้านั้น...
   ภีตา ชายร่างสูง อายุราวๆหกสิบปีถอนหายใจบางๆก่อนจะวางโปสการ์ดรูปท้องฟ้าสีสดใสไว้บนหัวเตียงในห้องของลูกชาย สี่ปีที่มีลูกอยู่ข้างๆ เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก การได้อยู่กับลูกเป็นความสุขมากกว่าการมีเงินทองมหาศาลเสียอีก เขาครุ่นคิดถึงเวลาที่ผ่านมา เวลาเกือบครึ่งชีวิตที่เขาให้ความสนใจกับงานมากกว่าครอบครัว ณ ตอนนี้ ถ้าย้อนเวลาได้ เขาจะไม่ทำอย่างที่ผ่านมาแน่นอน
   เขาหยิบสมุดสีดำหนาเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือ ในสมุดเล่มนั้นเต็มไปด้วยโปสการ์ดรูปต่างๆมากมายกว่าหกร้อยภาพ ภาพที่เขาถ่ายไว้สำหรับภีม
   “ทำอะไรอยู่ครับพ่อ” เสียงเรียกดังขึ้นเบื้องหลัง ผู้ชายร่างสูง ผมยาวประบ่า เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   “พ่อทำโปสการ์ดใบใหม่มาให้แน่ะ วางอยู่ตรงหัวเตียง ภีมลองดูสิ...” ชายชราพูดพลางถอนหายใจ แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมาสี่ปีแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ช่องว่างของความสัมพันธ์แคบลงเลย ลูกชายของเขายังคงมีทีท่าเย็นชากับเขาเช่นเดิม
   “ทีหลังอย่าเข้ามาในห้องของผมอีก ถ้าไม่จำเป็น” ภีมพูดเสียงแข็งก่อนจะวางกีต้าร์ลงบนเตียง “ผมซื้อขนมเค้กมาฝาก อย่าลืมทานล่ะ”
   แต่ไม่ว่าลูกชายคนนี้จะเย็นชาสักเพียงใด แต่ภายในเขากลับอ่อนโยนเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะทำเหมือนไม่สนใจหรือบางครั้งก็ทำเหมือนกับว่าพ่อไม่มีตัวตน แต่ทุกครั้งที่เขาจะทำอะไร สิ่งแรกที่เด็กคนนี้จะนึกถึงก็คือ พ่อ
   “ไปกินด้วยกันสิลูก พ่อมีอะไรจะคุยด้วยอยู่พอดี” ชายชราเดินนำไปยังโต๊ะตัวเล็กที่อยู่นอกบ้านโดยไม่ลืมถือถุงขนมที่ลูกชายซื้อมาฝากไปด้วย
   “มีเรื่องอะไรหรือครับ” ภีมถามพลางทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามกับผู้เป็นพ่อ
   ภีตายิ้มบางๆ เขาดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีและแสนอาทรเป็นที่สุด ภีมมองใบหน้าของพ่อด้วยความรู้สึกแปลกๆ เขายอมรับว่าพ่อเปลี่ยนไปจากเดิมมาก พ่อไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อนและดูท่าว่าจะเข้าใจเขามากกว่าแม่เสียอีก
   “อยากกลับบ้านมั้ย” คำถามแรกของภีตาทำเอาภีมต้องนิ่งไป “วันก่อนที่ภีมขึ้นแสดงคอนเสิร์ต พ่อไม่เห็นว่าลูกจะมีความสุขเลย ไม่ว่าเพลงจะสนุกสนานสักเท่าไหร่ แต่พ่อก็ยังรู้สึกว่ามันเศร้าอยู่ดี สีหน้าของภีมไม่มีชีวิตชีวาเลย”
   “ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ล่ะครับ พ่อจะมายุ่งทำไม” ภีมกล่าวเสียงแข็ง เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของเขา โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกส่วนตัว
   “มีเรื่องอะไรจะเล่าให้พ่อฟังหรือเปล่า” ภีตาพูดอย่างใจเย็นก่อนจะสบตากับลูกชาย
   ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วเสมองไปทางอื่น “ทำไมผมต้องมีเรื่องอะไรจะเล่าด้วย” ภีมพูดเสียงแข็ง
   ภีตามองลูกชายด้วยความเข้าใจแล้วยิ้มบางๆ เมื่อสองเดือนก่อน เขาได้รู้เรื่องทุกอย่างของลูกชายผ่านทางโทรศัพท์จากภูรดา ลูกสาวคนโต ในตอนแรกเธอไม่ยอมพูดความจริง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมพูด จนภีตาต้องขู่ว่าจะไม่ให้ภีมกลับเมืองไทยอีกเลย เธอจึงยอมเล่าให้ฟัง
   ในตอนแรกภูรดาคิดว่า อย่างไรเสีย ผู้เป็นพ่อต้องโวยวายและแสดงท่าทีไม่ชอบอย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ภีตารับฟังอย่างสงบ แม้จะรู้สึกกระทบกระเทือนใจอยู่บ้างแต่ความรู้สึกในส่วนลึกยังคงเต็มไปด้วยความเข้าใจ มันคล้ายจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากอยู่สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่สำหรับเขา... พ่อที่ไม่ได้เจอกับลูกชายมานานหลายปี ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกชอบอะไร ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว กลับเป็นเรื่องที่ยอมรับได้อย่างไม่ยาก
   สำหรับเขา ภีมก็ยังเป็นภีม เป็นลูกชายที่น่ารักคนเดิม...
   และตอนนี้ ลูกของเขาก็โตพอที่จะใช้ชีวิตด้วยตนเอง คิดด้วยตนเอง กระทั่งทำอะไรตามใจตนเอง เขาซึ่งเป็นพ่อ เคารพในการตัดสินใจของลูกเสมอ แม้ว่าการตัดสินใจนั้นจะทำให้มุมมองของคนรอบข้างเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยืนอยู่ข้างลูกเสมอ
   “ภีม” ภีตาเรียกลูกชายเบาๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อยากทำอะไรก็ทำเถอะนะ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเดือดร้อนอีกแล้ว ทำตามใจที่ภีมอยากทำ ไม่ต้องกลัวแม่เขาหรอก”
   ภีมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “พ่อหมายความว่ายังไง”
   “พ่อรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว และพ่อก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนในสิ่งที่ภีมเป็นเลย”
   ภีมหน้าชาไปในทันที เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าอายเหลือเกิน ความรู้สึกเก่าๆที่เขาพยายามจะลบเลือนไปหวนกลับมาอีกครั้ง สี่ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่เลย มันคล้ายกับว่าช่วงเวลานั้นได้ฝังลึกอยู่ในใจและอยู่ในทุกอณูของความรู้สึก
   ภีมเคยคิดว่า เวลาจะช่วยทำให้เขาลืมและเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ในตอนนี้ เวลากลับกลายเป็นเครื่องทดสอบใจ และตอนนี้มันก็กำลังประมวลข้อมูลที่เก็บมาตลอดระยะเวลาสี่ปีอยู่
   “ผมไม่รู้ว่าพ่อกำลังพูดเรื่องอะไร พ่อรู้อะไรมาผมไม่สน อย่าทำให้ผมวุ่นวายไปมากกว่านี้อีกเลยนะ ขอร้องเถอะครับ” ภีมบอกออกมา
   ภีตายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน เขารู้ว่าลูกชายรู้สึกอย่างไรและเขาจะไม่พูดอะไรอีก นอกจาก... “ไม่ว่าภีมจะทำอะไร จำไว้ ว่าพ่อจะยืนอยู่ข้างลูกเสมอ แม้ว่าเราจะไม่ใช่พ่อลูกที่สนิทกันที่สุด แต่พ่อก็รักลูกที่สุด รักมากเหลือเกิน อะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจ พ่อคนนี้... จะเข้าใจลูกเอง” เขาพูดด้วยความหนักแน่น
   ภีมเม้มริมฝีปากด้วยความเครียด เรื่องมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ พ่อของเขากลายเป็นคนที่รักลูกมากกว่าชื่อเสียงได้อย่างไร มันตลกสิ้นดี
   “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ” ภีมตัดบทแล้วเดินหนีไปทันที
   วันต่อมา...
   ภีมบอกภีตาเรื่องการแสดงคอนเสิร์ตของนักเปียโนชื่อดังระดับโลกคนหนึ่ง เขาจะมาจัดการแสดงที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก และภีมก็ได้รับโอกาสให้ขึ้นแสดงด้วยในฐานะนักเปียโนรับเชิญเพียงคนเดียวของงาน
   เมื่อสองปีก่อนที่ภีมขึ้นแสดงการเดี่ยวเปียโนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ นักเปียโนคนนี้ก็อยู่ในงานด้วย เขาประทับใจในฝีมือและพรสวรรค์ของภีมถึงขั้นออกปากชวนมาเดี่ยวเปียโนแข่งกัน ซึ่งแน่นอนว่าภีมต้องไม่ตกลง เพราะเขาจะไม่ชิงดีชิงเด่นกับใครถ้าไม่จำเป็น แม้ว่าคนๆนั้นจะมีชื่อเสียงกึกก้องสักเพียงใดก็ตาม
   เมื่อภีมไม่ตกลง นักเปียโนผู้นั้นจึงทำทุกวิถีทางเพื่อจะวัดความสามารถทางดนตรีของเขาและภีม โชคเข้าข้างเขาเป็นอย่างมาก เมื่อภีมและเขาได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งให้ไปแสดงดนตรี จากการแสดงครั้งนั้นเอง เขาก็พบว่า ฝีมือการเดี่ยวเปียโนของหนุ่มน้อยชาวไทยคนนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย บางช่วงบางตอนอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
   ภีมทำงานเป็นครูสอนเปียโนที่โรงเรียนดนตรีแห่งหนึ่งใกล้ๆกับบริษัทของพ่อ เขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะแข่งขันอะไรกับใครเพื่อสร้างชื่อเสียงเหมือนกับแต่ก่อน เขารู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว ชื่อเสียงอะไรเขาไม่ต้องการ
   “อีกสองเดือนผมจะกลับเมืองไทย ถ้าพ่ออยากไปดูก็ไปนะครับ” ภีมพูดเสียงเรียบแล้ววางบัตรเชิญเข้าร่วมงานแสดงครั้งนี้ไว้บนโต๊ะทำงานของภีตา
   “ถ้ากลับไปตอนนั้นจะมีเวลาเตรียมตัวเหรอ อีกแค่สองเดือนกว่าๆงานก็จะเริ่มไม่ใช่เหรอไง” ภีตาท้วงขึ้น
   “ไม่เห็นต้องเตรียมตัวอะไรเลย เอาล่ะ... ผมมีเรื่องพูดแค่นี้ล่ะ”
   “พ่อจะไปดู และแม่ของลูกก็ต้องไปเหมือนกัน” ภีตาพูดอย่างหนักแน่น เขานี่ล่ะ... จะเป็นคนเปลี่ยนความคิดภรรยาเอง
   “ถ้าพ่อคิดว่าเอาเขาไปได้ ผมก็ไม่ว่าอะไร” ภีมแค่นหัวเราะท้ายประโยคแล้วหมุนตัวเดินออกไป
   ภีตามองบัตรเชิญสามใบที่อยู่บนโต๊ะก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ สองใบแรกเป็นของเขาและภรรยา ส่วนใบที่สาม...
   เขาหยิบบัตรเชิญใบหนึ่งใส่ซองจดหมาย ปิดผนึก แล้วจ่าหน้าซองถึง...
   คุณอชิตะ   ก้องกิตติกุล
   หน้าซองจดหมายมีแต่ชื่อ ยังไม่มีที่อยู่... ภีตาคิดว่าจะโทรถามภูรดาแต่ก็ลืมโทร จดหมายฉบับนั้นจึงวางอยู่บนโต๊ะเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน กระทั่งภูรดาเป็นฝ่ายโทรมาดาเขาจึงนึกออก
   ในตอนนั้นเอง จดหมายก็จ่าหน้าซองถึงผู้รับจนสมบูรณ์
   หนึ่งสัปดาห์ต่อมา จดหมายก็ถึงมือผู้รับ...
   แต่... น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้เปิดอ่าน

   ‘ฟ้าคราม’ ม้าสีขาว รูปร่างสวยสง่าล้มป่วยลงกะทันหันโดยไม่มีใครทราบสาเหตุและมันก็จากไปในทันทีที่ล่วงเข้าวันที่สองของการป่วย แม้ว่าฟินจะพยายามยื้อชีวิตมันเอาไว้ด้วยยาราคาแพงที่เขาอุตส่าห์ขับรถไปถึงกรุงเทพเพื่อซื้อมา ก็ไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสที่อยู่ในตัวของเจ้าม้าตัวสวยนี้ได้เลย
   เขาฝังเจ้าฟ้าคราม ม้าคู่ใจไว้ที่สวนหลังบ้าน ถ้าเขาดูแลใส่ใจมันมากกว่านี้ ฟ้าครามก็คงไม่ตาย
   “ฟ้าครามมันแก่แล้ว” นทีพูดเบาๆ เขาก็รักฟ้าครามไม่แพ้กัน มันเป็นม้าสีขาวสวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา มันทั้งแข็งแรง สง่างาม และแสนดี “พ่อรู้ว่าฟินเสียใจ”
   ฟินมองหลุมที่ฝังร่างของฟ้าครามแล้วยิ้มทั้งน้ำตา “ผมรักมันมากและคิดว่าจะไม่ยอมให้มันตายแน่ๆ แต่สุดท้ายมันก็ตาย ตายโดยที่ผมยังไม่ได้ช่วยอะไรมันเลย”
   “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะพี่ฟิน พูดเหมือนโทษตัวเอง ฟ้าครามมันแก่แล้ว ภูมิคุ้มกันโรคก็อ่อนลง พอมาเจอเชื้อไวรัสตัวนี้เข้าก็เลยต้านทานไม่ไหว มันไม่เกี่ยวกับพี่เลย” ฟางข้าวช่วยพูดอีกคน
   ฟินมองไปยังดินที่กลบร่างของฟ้าครามพลางคิดว่า... ต่อให้เขาเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถยื้อใครให้หลุดพ้นจากความตายได้ เกียรตินิยมที่ได้มาไม่ได้ช่วยให้ฟ้าครามมีชีวิตรอด
   “พี่เข้าใจแล้ว อย่าพูดมากน่า... รีบไปแต่งตัวซะน้องรัก วันนี้พี่จะขับรถพาเข้ากรุงเทพฯไปหาพี่เบสท์” ฟินลูบหัวน้องสาวเบาๆอย่างเอ็นดู
   ฟางข้าวรีบวิ่งขึ้นไปแต่งตัวทันที ฟินถอนหายใจเบาๆก่อนจะตัดใจไม่มองมันอีก ฟินขึ้นไปแต่งตัวบ้าง เขาหยิบกางเกงยีนส์สีเข้มและเสื้อเชิ้ตลายตารางสีน้ำตาลมาใส่
   เมื่อสองพี่น้องแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็บอกลาพ่อกับแม่ นทีมองลูกชายอย่างภูมิใจ หลายปีมานี้ ฟินไม่ได้สร้างเรื่องราวอะไรให้เขากังวลใจเลย แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ในส่วนลึกของจิตใจก็ยังรู้สึกได้ว่า ฟินไม่ได้มีความสุขเลย ดวงตาก็ว่างเปล่าจนคาดเดาอะไรไม่ได้
   “ไม่ต้องรีบกลับหรอกนะฟิน นานๆทีจะได้ไปหาเพื่อนฝูง” อาภาบอก
   “แต่พ่อว่ารีบกลับก็ดีนะ อยู่กับเพื่อนมากๆเดี๋ยวจะกู่ไม่กลับอีก” นทีพูดเสียงเข้ม อาภามองสามีอย่างไม่เข้าใจ “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะพ่อ”
   “พ่อก็พูดไปเรื่อยๆน่ะ ไม่ต้องมาสนใจหรอก” นทีพูดแล้วก็เดินเข้าบ้านไป
   อาภาถอนหายใจบางๆ บรรยากาศที่ว่าจะเริ่มดีกลับแย่ลงอีกแล้ว “แม่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าฟินกับพ่อน่ะมีปัญหาคาใจอะไรกันหรือเปล่า แต่แม่ว่าน่าจะหันหน้าคุยกันดีกว่าปล่อยให้ปัญหามันยืดเยื้ออย่างนี้”
   ฟินถอนใจบ้าง เบื่อเต็มทีกับเรื่องที่สมควรจะจบแต่กลับไม่จบ “ที่มันยืดเยื้ออย่างนี้ ไม่ใช่เพราะผมหรอกครับแม่”
   ฟางข้าวบีบมือพี่ชายอย่างให้กำลังใจ “ใช่ค่ะแม่ เรื่องมันยืดเยื้อแบบนี้ไม่ใช่เพราะพี่ฟินหรอก เพราะพ่อต่างหาก พ่อน่ะ... ระแวงคนอื่นไปทั่ว ไม่ไว้ใจใครเลย แล้วก็ชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ อะไรที่ลูกชอบ ถ้าพ่อไม่ชอบซะอย่าง ลูกก็ต้องตัดใจ”
   ฟินกระตุกมือฟางข้าวบอกให้เธอหยุดพูด แต่ฟางข้าวก็ยังไม่หยุด “พ่อน่ะ... อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการ ทั้งๆที่ตอนเล็กๆพ่อบอกพวกเราว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรพ่อก็จะรัก แต่พอเอาเข้าจริง พ่อกลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเคยพูดตลอด…”
   “แกพูดจบหรือยัง ฟางข้าว” เสียงตวาดดังมาจากข้างในบ้าน ฟางข้าวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ อาภารีบวิ่งไปหาเจ้าของเสียงในทันที
   “ลูกก็พูดไปอย่างนั้นเอง ทำไมต้องทำเสียงโกรธขนาดนั้นด้วยล่ะพ่อ” อาภาลูบแขนสามีเบาๆ หวังว่าเขาจะระงับความโกรธเอาไว้ได้
   นทีมองหน้าลูกทั้งสองไปมา เขาคิดว่าฟินคงเสี้ยมสอนน้องสาวให้เป็นอย่างนี้ ให้คิดว่าผิดเป็นถูก “แกสองคนปีกกล้าขาแข็งกันนักหรือไง ยังอาศัยอยู่บ้านฉันแต่กลับมาด่าว่าฉันฉอดๆ”
   “ฟางรักและเคารพพ่อมาก แต่พักหลังๆมานี้ พ่อก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน พ่อไม่พยายามมองพี่ฟินในแง่ดีเลย พ่อเอาแต่จะจับผิด...”
   “พอแล้วฟาง จะรื้อฟื้นอะไรกันอีก” ฟินปรามเบาๆไม่อยากให้อาภารู้เรื่องนี้อีกคน เพราะอย่างไรเสีย เรื่องมันก็จบไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาต้องเป็นเสาหลักสำคัญให้กับครอบครัว
   “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทุกคนกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ทำไมแม่รู้สึกเหมือนไม่รู้อะไรอยู่คนเดียว แล้วพ่อล่ะ... บอกแม่ได้ไหม ว่าโกรธฟินเรื่องอะไร ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ทำไมไม่หันหน้าคุยกัน แม่ไม่เข้าใจจริงๆ” อาภาโพล่งออกมาอย่างเหลืออด หลายปีมานี้ ทุกคนในบ้านดูแปลกไปกันหมดคล้ายกำลังปิดบังอะไรอยู่ “เล่ามาให้หมดเลย มันยังไม่ถึงเวลาที่แม่ต้องรู้อีกเหรอ จะรอให้แม่ตายก่อนหรือยังไง”
   นทีแค่นหัวเราะ “อยากรู้นักใช่มั้ย พ่อจะบอกให้รู้ก็ได้ว่าลูกชายคนดีมันไปทำเรื่องอะไรไว้”
   ฟินเข้าไปยืนขวางตรงกลางพ่อและแม่ “ทำไมไม่ลืมมันซักทีครับพ่อ ทั้งๆที่ผมพยายามแล้ว พยายามจะเป็นลูกคนเดิมของพ่อ แต่ทำไมพ่อไม่พยายามมองผมว่าเป็นลูกคนเดิมของพ่อบ้าง”
   อาภามองหน้าลูกชาย เธอมั่นใจแน่แล้วว่าสองคนนี้มีเรื่องค้างคาใจกันอยู่ “ไม่ต้องมาพูดจาวกวนอะไรกันเลย จะยังไงก็ตามวันนี้ก็ต้องเล่าเรื่องที่ปิดบังไว้ให้แม่ฟัง”
   “ไม่มีอะไรครับแม่” ฟินบ่ายเบี่ยง
   “ถ้าเรื่องมันจบไปแล้วจริงๆ แกก็ต้องกล้าเล่าให้แม่แกฟังสิ” นทีท้าทายก่อนจะแค่นหัวเราะอีกครั้ง
   ฟินหลับตาลงช้าๆแล้วกล่าวออกมาเสียงเบา “ก็เพราะว่ามันจบไปแล้วไงครับ ผมไม่อยากรื้อฟื้นอะไรอีก”
   “ก็เพราะว่าแกมันชอบผู้ชายด้วยกันนี่ไง มันถึงต้องระวังกันไว้เป็นพิเศษ แล้วไอ้ผู้ชายคนที่ว่า...”
   “หยุดซักทีเถอะครับพ่อ หกปีที่ผมกับเขาไม่ได้ติดต่อกัน มันยังไม่สมใจพ่ออีกเหรอไง” ฟินโพล่งออกมาแล้วเดินไปขึ้นรถ ฟางข้าวกัดฟันมองหน้าพ่อ “ฟางไม่เคยคิดเลยว่าพ่อจะทำร้ายพี่ฟินได้ถึงขนาดนี้ พี่เขาจะเป็นยังไงแต่เขาก็เป็นลูกพ่อไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็วิ่งตามฟินไปขึ้นรถทันที
   อาภามองลูกทั้งสองขับรถออกไป เธอถอนหายใจบางๆ นี่หรือคือเรื่องที่ทุกคนปิดบังเธอมาตลอด สำหรับอาภาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสักนิดเดียว
   “เรื่องแค่นี้เองเหรอที่ปิดบังกันอยู่ตั้งนาน” อาภาพูดพลางทำหน้าละเหี่ยใจ
   “คุณเรียกว่าเรื่องแค่นี้อย่างนั้นเหรอ” นทีตวาดใส่ภรรยา “ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆอย่างคุณหรอก ฉันเกลียดเรื่องแบบนี้ที่สุด วิปริตผิดเพศ”
   “อย่ามาพูดจาน่าเกลียดว่าลูกอย่างนี้นะพ่อ” อาภาตวาดบ้าง “ลูกมันจะเป็นยังไงก็ช่างมันสิ จะดีจะชั่วมันก็ลูกเรา”
   “ฉันมีลูกชาย ฉันก็อยากให้มันเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง อยากให้มันมีลูก อยากให้มันเป็นเหมือนคนทั่วไป”
   “แล้วฟินไม่เหมือนคนทั่วไปตรงไหน มันดีกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยเห็นมันจะทำเรื่องอะไรให้เราเดือดร้อนเลยสักครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตมันไม่เคยขัดใจเรา แล้วคุณจะเอาอะไรจากมันอีก” อาภาชักจะโมโหเหมือนกัน
   เสียงโวยวายของทั้งสองคนทำเอาคนงานในไร่เกาะกลุ่มกันเป็นไทยมุง นทีหันมาเห็นเข้าจึงรีบไล่ตะเพิดคนเหล่านั้นไปด้วยเสียงอันดัง “ถ้าพวกแกไม่ไปทำงานกันล่ะก็ ฉันจะไล่ออกยกไร่เลย”
   “ไป เข้าไปคุยกันข้างใน อย่าให้อายคนไปมากกว่านี้อีกเลย” นทีฉุดมือภรรยาให้เข้าไปเถียงต่อในบ้าน แต่อาภาสะบัดมือออก เธอไม่คิดว่าสามีจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากถึงเพียงนี้ มันยากตรงไหนกับการที่คนเป็นพ่อแม่จะเข้าใจในตัวลูก มันไม่ยากเลยสักนิดเดียว
   “ฉันจะไปโรงเรือน เชิญคุณคิดมากไปคนเดียวเถอะ” อาภาว่าแล้วก็สะบัดหน้าหนีออกไปทันที นทีมองตามอย่างโมโห เขาอุตส่าห์เฝ้าถนอมน้ำใจภรรยามาตลอด เก็บความลับเอาไว้กลัวว่าเธอจะรู้แล้วรับไม่ได้ แต่วันนี้... เธอกลับยอมรับเรื่องบ้าๆนี้อย่างง่ายดาย มันน่าโมโหมั้ยล่ะ
   “โว้ย... บ้ากันไปใหญ่แล้ว นี่มันเรื่องน่าอับอายชัดๆ” นทีโวยวายตามหลังแล้วนั่งหัวเสียอยู่ตรงนั้นเป็นนานสองนาน



 :m31: :m31: :m31: :m31: :m31:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 39 – ความเป็นผู้ใหญ่ 2


   “แล้วนายก็เดินหนีออกมาดื้อๆเลยเหรอ” เบสท์ถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตลุกวาวราวกับว่าเรื่องที่ได้ฟังเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์นัก
   ฟินพยักหน้าเบาๆพลางถอนหายใจ เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องขบขันอย่างที่ทุกคนคิด ตรงกันข้ามมันเป็นเรื่องที่กดดันใจเขาอย่างมาก “มันน่าขำตรงไหนติณณ์” เขาหันไปถามติณณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆอินตา
   ติณณ์หัวเราะร่า น้ำหูน้ำตาแทบไหล “ก็พี่มีนเคยบอกว่าพี่ฟินน่ะกลัวพ่อมาก ขนาดที่ว่าไม่กล้าเถียงเลยสักแอะ พอมาฟังเรื่องวันนี้ก็เลยขำๆน่ะ นึกภาพไม่ออกเลยว่าพ่อของพี่จะทำหน้ายังไง”
   “จะทำหน้ายังไงล่ะ นอกจากโมโหจนแทบกระอักเลือด” ฟางข้าวเสริม ฟินหันไปทำตาเขียวใส่เธอก่อนจะพูดต่อ “พ่อคงไม่คิดว่าเราสองคนจะกล้าเถียง ลำพังฉันคนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่แม่ตัวดีคนนี้ดันพูดจาไม่เกรงกลัวฟ้าดินออกไปน่ะสิ”
   “เยี่ยมมากสาวน้อย พี่ว่าถึงเวลาที่เราต้องพูดอะไรออกไปบ้างล่ะนะ เพราะบางทีการแข็งข้ออาจจะทำให้พวกผู้ใหญ่ตาสว่างขึ้นมาบ้าง” ติณณ์ขยิบตาให้ฟางข้าว
   ฟินปรายตามองอย่างขัดใจ สองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไรเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทุกที
   อินตาที่นั่งฟังอยู่นานก็แสดงท่าทางเห็นด้วยกับคำพูดของติณณ์ เธอคิดว่า บางครั้งพวกผู้ใหญ่ก็คงต้องการคำแนะนำดีดีจากเด็กอย่างเราบ้าง แต่คิดไปคิดมา... พวกเราๆที่นั่งอยู่ ณ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เด็กกันเสียแล้ว
   “อินว่ามันยากนะที่จะเปลี่ยนความคิดของคนเป็นพ่อเป็นแม่” อินตาบอก
   ทุกคนในวงสนทนาถกเถียงกันไปมาถึงประเด็นนี้ ในขณะที่ฟินก็กำลังขบคิดว่าจะวุ่นวายไปทำไม ในเมื่อเรื่องของเขาและภีมก็จบไปตั้งนานแล้ว ต่อให้ไม่มีอุปสรรคอะไร เขาสองคนก็คงไม่มีวันหวนกลับมาเดินเส้นทางเดิมที่เคยเดินด้วยกันอีกแล้ว
   เพราะตอนนี้ ต่างคนก็ต่างโตขึ้น ต่างก็มีหนทางเป็นของตัวเอง ยิ่งเวลาสี่ปีที่ไม่ได้ติดต่อหากัน มันยิ่งทำให้คิดได้ต่างๆนานา ภีมอาจจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เรื่องที่เคยเกิดขึ้นอาจจะถูกวันเวลาลบเลือนหายไปจนกลายเป็นเพียงภาพอดีตที่ไม่น่าจดจำ
   สี่ปี มันนานเสียยิ่งกว่านาน นานพอที่จะทำให้ความทรงจำต่างๆถูกบิดเบือนไป นานพอจะทำให้คนๆหนึ่งทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังและตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
   แต่... สำหรับฟิน ช่วงเวลาสี่ปีทำให้เขาได้คิดและเข้าใจตัวเองมากขึ้น คนเราถ้าลองได้รักใคร มันจะฝังใจอยู่อย่างนั้นจนยากที่จะลืมเลือน ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่ ความทรงจำนั้นกลับยิ่งตราตรึง ฝังแน่นในใจจนลึกลงไปทุกที
   “คิดอะไรอยู่น่ะ” เบสท์ตบหลังฟินเบาๆ พอให้เขาได้สติ ฟินคงไม่รู้ตัวเองว่าตอนนี้ดวงตาของเขาช่างเคว้งคว้างและล่องลอยมากเพียงใด
   ฟินส่ายหน้าแทนคำตอบ เบสท์ยิ้มบางๆอย่างเข้าใจ ถ้าผู้ชายคนนี้ส่ายหน้าแสดงว่าต้องมีอะไรอย่างแน่นอน “คิดอะไรอยู่ พูดออกมาซะดีดี”
   “ไม่มีอะไรซักหน่อย” ฟินปฏิเสธ
   “เก็บไว้คนเดียวมันดีนักหรือไง มีอะไรก็บอกกันสิ เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เบสท์ทำหน้าจริงจังจนฟินต้องใจอ่อนพูดออกไป
   “คิดอยู่ว่าฉันจะมานั่งกลุ้มใจเรื่องนี้ไปทำไม ในเมื่อฉันกับภีมก็จบกันไปแล้ว ภีมก็อาจจะไม่เหมือนเดิม”
   เบสท์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องแล้วพูดออกมาเบาๆ “ภีมมันลืมยากกว่าที่นายคิดนะ บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังคิดเหมือนที่นายกำลังคิดอยู่ก็ได้ คิดว่าอย่างไรซะ มันคงไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม”
   “แต่ภีมเลือกที่จะไป” ฟินเถียง
   “จำไม่ได้หรือไงว่าทำไมภีมต้องไป ถ้าจำไม่ได้ฉันจะบอกให้ฟังอีกรอบ”
   “ไม่ต้องหรอก แต่ฉันรู้สึกว่าภีมไม่น่าหายไปอย่างนี้ หายไปเหมือนกับว่าจะไม่เจอกันอีกตลอดชีวิต” ฟินพูดแล้วก็ถอนหายใจ การวกวนคิดเรื่องนี้ทำให้เขาจิตตกอยู่ร่ำไป ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้มแข็งขึ้นเลยสักนิดเดียว
   “ฉันว่าภีมคงตั้งใจจะลืมจริงๆนั่นล่ะ ภีมคงอยากตั้งต้นชีวิตใหม่ แต่อยู่ที่ว่า... เขาจะลืมและเริ่มชีวิตใหม่ได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” เบสท์พูดพลางถอนหายใจ
   “แต่ฉันเชื่อว่าคนอย่างภีม ถ้าจะลืม... ก็ต้องลืม” ฟินบอก
   “แต่ฉันก็เชื่อเหมือนกันว่าคนอย่างภีม ยิ่งจะลืม... ก็ยิ่งจำ” จบประโยคนี้ เบสท์ก็ลุกขึ้นเดินหนีไป เธออยากให้ฟินได้อยู่คนเดียวเพื่อใช้ความคิด ความคิดที่มีแต่ความรู้สึกของเขาไม่ใช่เอาความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นมาเจือปนด้วย
   แต่สิ่งที่ฟินคิดอยู่อย่างเดียวตอนนี้ก็คือ มันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
   ภูรดานั่งทำงานอยู่ในห้องอย่างเคร่งเครียด หลายวันมานี้ ยอดขายของบริษัทลดลงไปมากจนน่าตกใจ ทั้งๆที่เป็นบริษัทส่งออกอันดับหนึ่งแท้ๆ แต่ตอนนี้ยอดสั่งซื้อกลับต่ำลงจนน่าใจหาย เช็คไปเช็คมาก็พบว่า ลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากพิริยะ กลับหันไปสั่งซื้อกับอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นคู่แข่งกัน
   มันน่าแปลกที่อยู่ๆลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจกับพิริยะมากว่าสิบปีเลือกที่จะสั่งซื้ออัญมณีจากที่อื่น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายไปยังท่านรองประธาน นั่นก็คือ ภีมดา แม่ของเธอเอง
   ภีมดากำลังง่วนอยู่กับการคัดเลือกแบบสร้อยเพชร เมื่อเลขาส่วนตัวเดินเอาโทรศัพท์มาให้ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที “ใครกัน โทรมาเวลานี้ เธอก็อีกคน ไม่รู้จักพูดออกไปว่าฉันไม่ว่าง”
   “คุณภูโทรมาค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญ” เลขานุการสาวบอกเสียงแผ่วแล้วเดินออกไปจากห้องทันที
   ภีมดาละสายตาจากแบบสร้อยเพชรกว่าหนึ่งร้อยแบบ แล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องที่ลูกสาวกำลังจะพูด เธอคิดว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญล่ะก็ ต้องออกปากว่าลูกคนนี้สักหน่อยนึง
   “มีเรื่องอะไร รู้ไหมว่าฉันกำลังยุ่ง”
   “ไม่รู้ค่ะ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าตอนนี้ลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากเราเปลี่ยนไปซื้อจากที่อื่นแทน ยอดขายของพิริยะก็เลยตกลงไปมาก และถ้าเป็นอย่างนี้ไปอีกสักสองเดือน เงินหมุนเวียนในบริษัทต้องไม่เหลือแน่ๆค่ะ”
   ภีมดาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พิริยะเป็นบริษัทส่งออกอัญมณีที่มั่นคงมาหลายปี จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ต้องมีใครสักคนสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของบริษัทอย่างแน่นอน
   “แล้วโทรไปถามลูกค้าหรือเปล่าว่าทำไมถึงไปสั่งซื้อจากที่อื่น”
   “โทรแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครยอมบอกเหตุผลเลยสักคน”
   “ฉันจัดการเรื่องนี้เอง” ภีมดาบอกลูกสาวก่อนจะวางโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพิริยะเลยสักครั้ง ว่าแล้วภีมดาก็ต่อโทรศัพท์ไปยังสามี
   ทางด้านภีตา พอได้รับโทรศัพท์จากภรรยาก็กระหยิ่มยิ้มย่องราวกับว่าได้ชัยชนะ คนอย่างภีมดา ถ้าไม่ใช่เรื่องธุรกิจเงินทองล่ะก็ อย่าหวังว่าเธอจะโทรมา
   “โทรมาหาผมเองแบบนี้ แสดงว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งๆล่ะสิ” ภีตาพูดเสียงเรียบ พยายามระงับความขบขันไม่ให้เล็ดลอดผ่านน้ำเสียง
   ภีมดาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เธอเบื่อที่สุดคือคนรู้ทัน “บริษัทลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากเรากลับเปลี่ยนไปซื้อจากที่อื่น ที่อังกฤษเกิดเรื่องแบบนี้บ้างหรือเปล่า”
   ภีตายิ้มบางๆ “คุณเพิ่งรู้หรืออย่างไรว่าบริษัทเรามียอดสั่งซื้อลดลงจากเดิมเกือบหกสิบเปอร์เซนต์ ผมรับรองว่าไม่เกินสองเดือนต้องเจ๊งแน่ๆ”
   ภีมดาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าท่านประธานใหญ่ของพิริยะจะพูดจาไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ “คุณพูดเหมือนกับว่าอยากให้มันเจ๊ง”
   “เจ๊งก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้พิริยะก็รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว ฉะนั้นเราสองคนน่าจะหยุดทำงานแล้วกลับไปอยู่กับลูกที่ประเทศไทยได้แล้วนะ หรือคุณว่าไง” ภีตาพูด
   ภีมดารับฟังสามีด้วยความโกรธ เธอไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้หรอก ไม่ยอมแน่นอน “คุณบ้าไปแล้วหรือไงคะ พิริยะจะจบแบบนี้ไม่ได้ ฉันไม่มีวันทิ้งเงินเป็นสิบๆล้านเพื่อไปอยู่กับลูกๆหรอก ไม่มีทางแน่นอน”
   “นี่คุณเลือกงานมากกว่าเลือกลูกๆเหรอ ฟังผมให้ดีนะ เราถึงเวลา...”
   “คุณเงียบไปเลย ชีวิตฉัน งานต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ฉันจะไม่ทิ้งชื่อเสียงและเงินทองไปหรอก” ภีมดากล่าวเสียงแข็ง
   ภีตาขมวดคิ้วอย่างหนักใจ ภรรยาของเขาดื้อดึงเกินกว่าจะกล่าวจริงๆ “พิริยะเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณนั่นล่ะภี คุณลองนึกดูให้ดีสิ ว่าเดือนก่อนคุณทำอะไรไว้”
   ภีมดาทำตามที่สามีบอก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ภีตาจึงเป็นฝ่ายเฉลยออกมา “คุณส่งอัญมณีไม่ได้มาตรฐานให้กับลูกค้าถึงสามแห่งทั้งๆที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าของชุดนั้นมันไม่ได้มาตรฐานแต่คุณก็ยังดันทุรังส่งให้เขาและบอกว่าลดราคาให้สิบเปอร์เซนต์เพราะเห็นว่าซื้อขายกันมานาน”
   ภีมดาเงียบไป ครั้งนี้เป็นความผิดของเธอจริงๆ ภีมดาไม่ทันคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำลายความน่าเชื่อถือของพิริยะได้ถึงเพียงนี้
   “คนเราน่ะนะ ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต แล้วใครจะไว้วางใจเรา คุณอาจจะอ้างว่ามันเป็นความผิดพลาดก็ได้ แต่นั่นมันคือข้ออ้างครั้งแรกสำหรับความผิดที่พอให้อภัยได้ แต่คุณกลับทำมันเป็นครั้งที่สอง ทางลูกค้าโทรมาหาผมแล้วบอกว่าอัญมณีชุดใหม่ที่ได้รับจากคุณมันขนาดเล็กกว่าที่สั่งไปหลายเท่า ร้องเรียนไปกับคุณ คุณก็ไม่สนใจ”
   “ฉันไม่ว่าง คุณก็รู้นี่คะ ว่าตอนนี้ทางเรากำลังง่วนอยู่กับการจัดงานเดินแบบโชว์สร้อยเพชรชุดใหม่ที่ทางบริษัทผลิตขึ้น” ภีมดาอ้าง
   “คุณจะมาพูดชุ่ยๆแบบนี้ไม่ได้นะภี ลูกค้าทำให้เราอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้าคุณยังไม่เลิกเก็บเล็กเก็บน้อยอย่างนี้ล่ะก็ คงกู้สถานการณ์คืนไม่ได้หรอก”
   “คุณต้องช่วยฉันนะคะ ให้ทางลูกค้ากลับมาสั่งซื้อกับเราเหมือนเดิม” ภีมดาพูดอย่างร้อนรน
   ภีตาขอสัญญาจากเธอสองข้อแลกกับการกู้ชื่อเสียงของพิริยะคืนมา ภีมดาอิดออดบอกว่ามันก็เป็นบริษัทของเขาเช่นกัน ทำไมพูดเหมือนกับว่ามันเป็นของเธอเพียงคนเดียว แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ภีตาก็ไม่สนใจ จนในที่สุดเธอต้องยอมรับข้อเสนอนั้น
   “ถ้ามันจะแลกกับเครดิตของพิริยะ บอกฉันมาเถอะค่ะ” ภีมดาพูดอย่างใจเย็นทั้งๆที่ในใจรุ่มร้อนแทบตายยิ่งคิดถึงยอดเงินที่เสียไปในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ ยิ่งทำให้ร้อนรุ่มจนบอกไม่ถูก
   ภีตาถอนหายใจบางๆไม่คิดเลยว่าภรรยาจะเห็นแก่ความสำคัญของเงินมากถึงเพียงนี้ เขาเคยคิดว่าในบั้นปลายชีวิตจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขกับภีมดาที่บ้านเกิดเมืองนอน แล้วขายหุ้นให้กับผู้ที่สนใจ โดยให้ตำแหน่งประธานใหญ่แก่ลูกสาวคนโต แต่ดูท่าจะเป็นไปได้ยากเสียแล้ว ในเมื่อภรรยาของเขาหลงอยู่ในวังวนของธุรกิจอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้
   “ข้อแรก คุณต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ฟังผมนะภี ตอนนี้เรามีเงินมากพอที่จะใช้ไปทั้งชีวิต มากพอที่จะให้ลูกๆของเราอยู่ได้สบายๆ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องโกงใครเพื่อให้ได้เงินมาอีกแล้ว”
   “ตกลงค่ะ บอกข้อสองมาสิคะ ฉันต้องรีบไปดูแบบสร้อยคอต่อ”
   ภีตาถอนหายใจอีกครั้ง “ข้อสอง คุณต้องเลิกบงการชีวิตของลูกๆเสียที ทั้งภูและภีม คุณเคยบังคับยัยภูมาแล้ว ตอนนี้คุณยังจะบังคับภีมอีกเหรอ ลูกโตแล้วและมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
   “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” ภีมดาถาม
   “ผมรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว คุณให้ภีมมาอยู่กับผมเพราะอะไร ผมรู้แล้ว และตอนนี้ ผมจะให้เขากลับไป กลับไปทำในสิ่งที่เขาอยากทำ คุณจะไม่มีวันบังคับเขาได้อีก เขาจะเล่นดนตรี คุณก็ห้ามเขาไม่ได้ หรือว่าเขาจะเป็นอย่างไร คุณก็ไม่มีสิทธิ์บอกให้เขาเลิกเป็น เขาจะเป็นตัวของตัวเอง”
   “คิดดีแล้วหรือคะกับเรื่องขายหน้าพรรค์นั้น ลูกชายคุณทำเรื่องดีดีกับเขาเป็นบ้างมั้ย เกเรก็ที่หนึ่ง ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจเลย”
   ภีตารับฟังอย่างตกใจ เขาเลือกที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน “ถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นคนแบบนี้ คนที่เห็นเงินมีมูลค่ามากกว่าคน ผมจะไม่แต่งงานกับคุณเลย”
   “คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง” ภีมดาตวาดใส่
   “ผมจะวางแล้ว และกรุณาทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยแล้วคุณจะได้รับสิ่งที่คุณต้องการ” ภีตาวางสายทันทีที่พูดจบ เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วกุมขมับด้วยความเครียด โชคดีที่ภีมกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้น เขาต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้ มันไม่ดีแน่นอน
   ส่วนภีมดา เธอตกอยู่ในห้วงความโกรธได้เพียงชั่วครู่ก็หันมาจดจ่อกับงานเหมือนเดิม แน่นอนว่า งานและเงินต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด ยิ่งได้รับโทรศัพท์จากภูรดาเรื่องลูกค้าที่กลับมาสั่งซื้ออัญมณีเหมือนเดิมก็ยิ่งทำให้เธอห่างเหินไปจากครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น

   ฟินไม่ได้เดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ามานานมากแล้ว วันนี้มีโอกาสเขาจึงพาฟางข้างมาซื้อของ ฟางข้าววิ่งไปโน่นไปนี่ไม่หยุดจนเขาตามไม่ทัน สุดท้ายก็คลาดกันจนได้ ฟินยืนงงอยู่ที่หน้าร้านเสื้อผ้าผู้หญิงที่เมื่อกี้ยังเห็นน้องสาววิ่งไปวิ่งมาอยู่ในร้าน
   เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจที่ไม่มีโทรศัพท์มือถืออย่างคนอื่น ฟินยืนรอน้องสาวอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก่อนจะทนไม่ไหวแล้วเดินไปหาประชาสัมพันธ์ที่อยู่ชั้นล่าง
   ในระหว่างนั้นเอง สายตาของเขาพลันสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่อยู่ในร้านขายเครื่องดนตรี ฟินยืนนิ่งอย่างนั้น รอคอยให้คนๆนั้นหันหน้ามา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่หันหน้ามาเสียที ความร้อนรุ่มแล่นปราดเข้าสู่ร่างกายโดยที่ฟินไม่รู้ตัว ทำไมเขาต้องอยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นด้วยนะ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่ตนเองอยากจะพบหน้าแน่ๆ แต่ถึงจะบอกอย่างนั้น ฟินก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่เส้นผมยาวระบ่าลงมาด้วยความตื่นเต้น
   ผู้ชายที่อยู่ในร้านนั้น กำลังตั้งหน้าตั้งตาโซโล่กีต้าร์อย่างไม่คิดชีวิต เขานั่งท่านั้นเป็นนานสองนานกว่าจะขยับตัว
   มือเรียวสวยยกขึ้นเสยผมไปด้านหลัง ก่อนจะหยิบยางรัดผมในกางเกงออกมาเส้นหนึ่งแล้วจัดการรวบผมที่ระแผ่นหลังจนน่ารำคาญให้เรียบร้อย
   “ผมเอาตัวนี้ล่ะครับ” เขาส่งกีต้าร์ไฟฟ้าตัวนั้นให้พนักงานในร้านก่อนจะลุกขึ้นยืน ในวินาทีนั้นที่ขยับตัว คนที่ยืนมองอยู่ข้างนอกร้านก็นิ่งอึ้งไปเสียแล้ว
   แค่เพียงคนในร้านยกมือขึ้นเสยผม เขาก็จำได้ในทันที... และยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อใบหน้านั้นเผยออกมา
   ภีม
   แทนที่จะรู้สึกดีใจ ฟินกลับลนลานอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ต้องเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวคำทักทายอย่างนั้นหรือ
   พลั่ก!
   กระเป๋าสตางค์ใบใหญ่มีตรายี่ห้อชื่อดังตกอยู่เบื้องหน้าเขา ฟินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะก้มลงเก็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
   ต้องเป็นผู้หญิงคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้แน่นอน ฟินคิด
   ฟินมองภีมสลับกับผู้หญิงคนนั้น “มันอะไรกันเนี่ย” เขาสบถเบาๆอย่างหัวเสียก่อนจะกำกระเป๋าสตางค์ใบนั้นเสียแน่นแล้ววิ่งตามเธอไป ในใจก็หวังว่าภีมยังคงอยู่ในร้านนั้น ไม่ออกไปไหนเสียก่อนที่เขาจะวิ่งกลับมา
   ฟินวิ่งกระหืดกระหอบตามหญิงสาวเจ้าของกระเป๋าสตางค์มาจนทัน
   “คุณทำกระเป๋าสตางค์ตกครับ” เขาพูดพร้อมกับยื่นของคืนให้เธอ
   หญิงสาววัยไล่เลี่ยกับเขายิ้มบางๆอย่างมีเลศนัย “ขอบคุณมากค่ะ”
   “ไม่เป็นไรครับ” ฟินพูดแล้วหมุนตัวจะเดินกลับ แต่เธอดันคว้าแขนเขาไว้เสียแน่นจนไปไหนไม่ได้
   “ให้ฉันเลี้ยงอะไรคุณเป็นการตอบแทนดีไหม” เธอบอกพลางส่งยิ้มเชิญชวนไปให้
   ฟินตีหน้าเฉยก่อนจะกล่าวออกมาเบาๆ “อย่าดีกว่าครับ พอดีผมรีบ”
   “รีบอะไรกันคะ ตอนแรกนึกว่าคุณจะไม่เก็บมาคืนซะแล้ว... อุ๊บส์” พูดไปพูดมาก็เปิดเผยความจริงออกมาเองเสียนี่ เธอรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที
   ฟินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ มารยาผู้หญิงนี่มีกี่ร้อยเล่มเกวียนกัน เธอเหล่านั้นจึงขยันงัดขึ้นมาใช้ได้ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่เล่มเกวียนเดียว “เก็บกระเป๋าให้ดีนะครับ คราวหน้าคงไม่มีใครวิ่งตามเอามาคืนคุณแน่นอน” ฟินทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัววิ่งกลับไป หญิงสาวคนนั้นขบริมฝีปากด้วยความอาย
   ฟินรีบวิ่งกลับมาที่ร้านขายเครื่องดนตรีอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ภีมไม่อยู่ในร้านแล้ว “เฮ้อ... หายไปจนได้ ไม่เคยจะตามทันเลย” ฟินบ่นเบาๆไปตามประสาก่อนเดินมาที่ประชาสัมพันธ์ให้ช่วยประกาศเรียกตัวน้องสาวให้ที
   ฟินยืนรอฟางข้าวอยู่ราวสิบนาที แม่น้องสาวตัวดีก็โผล่มาพร้อมกับถุงเสื้อผ้ากว่าสิบถุง “จะซื้ออะไรนักหนา” ฟินถาม
   “ก็มีแต่ของสวยๆทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลยเอามาให้หมด จะได้ไม่ต้องเลือก” ฟางข้าวตอบอย่างอารมณ์ดี
   “เมื่อกี้พี่เจอภีม” ฟินพูดขึ้นมา ฟางข้าวอ้าปากค้างอย่างตกใจก่อนจะปล่อยข้าวของที่อยู่ในมือตกลงพื้น
   “เรื่องจริงเหรอเนี่ย โลกกลมชะมัดเลย” ฟางข้าวพูดอย่างเหลือเชื่อ “แล้วได้คุยกันหรือเปล่า”
   ฟินส่ายหน้า
   ฟางข้าวขมวดคิ้วอย่างขัดใจ “น่าเสียดายจริงๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกล่ะเนี่ย เออ... เอางี้มั้ย บุกไปหาที่บ้านเลย ถ้าพี่ภีมกลับมาที่นี่จริงก็ต้องกลับไปบ้านอยู่แล้ว คงไปที่อื่นไม่ได้หรอก”
   ฟินนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “ตกลง งั้นเราไปหาภีมที่บ้านกันเลยดีกว่า”
   สองพี่น้องเดินเคียงคู่กันออกไป
   ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆโต๊ะประชาสัมพันธ์กล่าวเสียงเย็นชา “ถึงจะไปที่นั่นก็เถอะ นายก็ไม่มีวันเจอฉันหรอก เพราะฉันจะไม่กลับไปที่นั่นแน่นอน”
   และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ภีมไม่ได้กลับไปที่บ้าน

   เมื่อไม่พบภีมที่บ้าน ฟินและฟางข้าวก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที
   “คงไม่ได้เข้ากรุงเทพฯอีกนานเลยเนอะ เพราะพ่อคงไม่ปล่อยมาง่ายๆอีกแล้ว” ฟางข้าวพูดขึ้น
   ฟินไม่พูดอะไรตอบ
   “เฮ้อ... แล้วชีวิตมันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย” ฟางข้าวยังคงพูดต่อ
   ฟินก็ยังเงียบเช่นเคย
   “เอาเถอะนะ เดี๋ยวก็มีเรื่องต้องให้เจอกันอีกนั่นล่ะ”
   ฟินยิ้มบางๆกับประโยคนี้ของน้องสาว ถ้ามันมีเรื่องแบบนั้นเข้ามาในชีวิตก็ดีสิ
   ทันทีที่กลับถึงบ้าน ทั้งสองคนก็รีบเข้าบ้านไปหาผู้เป็นแม่ทันที
   อาภากอดลูกทั้งสองอย่างรักใคร่ “สนุกมั้ย” เธอถาม
   “แน่นอนอยู่แล้ว กรุงเทพฯมันก็มีอะไรดีดีเหมือนกันนะ” ฟางข้าวพูดอย่างร่าเริง ส่วนฟินก็เอาแต่ยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไรในแบบที่เขาเป็น
   “ไปหาพ่อเขาหน่อยสิ อยู่ที่คอกม้าแน่ะ” อาภาหันไปหาลูกชาย ฟินขมวดคิ้วอย่างงุนงงแต่ก็ลุกขึ้นเดินออกไปหาผู้เป็นพ่อ
   ฟางข้าวเงยหน้ามองอาภาด้วยความสงสัย “ระหว่างที่พวกเราไม่อยู่ พ่อกับแม่คุยอะไรกันหรือเปล่า”
   อาภายิ้มบางๆ “ไม่รู้สิ แม่ไม่รู้อะไรเลย” ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความยินดี ฟางข้าวยิ้มตามบ้าง เธอรู้ว่าต้องมีเรื่องอะไรดีดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
    ฟินไปหานทีที่คอกม้า ชายร่างสูงใหญ่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ริมคอกม้า ฟินเดินเข้าไปหาอย่างนอบน้อม
   “สวัสดีครับพ่อ” เขายกมือไหว้
   นทีถอนหายใจอย่างใช้ความคิด ฟินมองดูสีหน้าของผู้เป็นพ่อแล้วก็รับรู้ได้ถึงความกดดัน และคนที่กดดันก็คือพ่อของเขาเอง
   “เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นแทนคำทักทายกลับ นทีหลับตาลงครู่หนึ่งอย่างใจเย็น “ฉันห้ามแกไม่ได้สินะ”
   ฟินมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่คาดหวัง
   นทีเองก็เลิกที่จะคาดหวังแล้วเช่นกัน “วันก่อนพ่อคุยกับแม่น่ะ” น้ำเสียงของนทีเย็นลง “เราคุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น คุยกันทุกๆเรื่องจนกระทั่งเรื่องปัจจุบัน มันทำให้พ่อได้คิดทบทวนอะไรหลายๆอย่าง”
   ฟินมีสีหน้าเรียบเฉย เขาเฝ้าแต่รอคอยว่าพ่อจะกล่าวอะไรอีก
   นทียิ้มบางๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจแบบนี้ สองวันก่อนอาภาพาเขาไปพบหลวงพ่อท่านหนึ่งที่อยู่ในวัดถัดไปจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร
   หลวงพ่อสั่งสอนอะไรมากมายแก่เขา และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องลูก คนเป็นพ่อเป็นแม่ให้ชีวิตลูกก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะควบคุมทุกอย่างที่หลอมรวมมาเป็นลูกได้ ทั้งทางใจและกาย พ่อและแม่ไม่อาจหยุดการเจริญเติบโตทางร่างกายและไม่อาจหยุดการเจริญเติบโตทางจิตใจ ไม่อาจควบคุมจิตวิญญาณและไม่อาจรั้งให้เขาอยู่ข้างกายไปตลอดชีวิต
   เหนือสิ่งอื่นใด ทุกการกระทำของพ่อและแม่ก็ตั้งอยู่บนความรัก แม้บางครั้งอาจจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้างแต่นั่นก็เพราะกลัวว่าลูกจะผิดพลาด เสียใจ
   นทีถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “เหนื่อยมั้ยที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อ” เขาถาม
   ฟินไม่ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้า
   นทีหลับตาลงแล้วหยิบซองจดหมายที่เหน็บไว้ข้างหลังส่งให้ฟิน “แม่เจอในกางเกงตอนที่จะเอาไปซักน่ะ โชคดีที่ยังไม่ได้ซัก”
   “ผมลืมไปสนิทเลยว่าได้รับจดหมายนี้” ฟินเปิดซองจดหมาย ในซองมีกระดาษหนึ่งแผ่นและบัตรเชิญร่วมงานอีกหนึ่งใบ
   ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า
   “ฉันหวังว่าจะได้พบเธอในงานนี้ งานของนักเปียโนระดับโลกชื่อดัง ภีมจะขึ้นเล่นเปียโนเป็นแขกรับเชิญ”
   ฟินรีบหยิบบัตรเชิญขึ้นมาอ่าน มีชื่อของภีมปรากฏอยู่บนบัตรเชิญนั้น แสดงว่าเจ้าของงานคงให้ความสำคัญไม่น้อยกับนักเปียโนรับเชิญคนนี้
   งานจัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม... เวลา 19:00 น.
   “พ่อครับ วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว” ฟินละสายตาจากจดหมายแล้วหันหน้ามามองผู้เป็นพ่อแทน
   “28” นทีตอบสั้นๆ แล้วขยับฝีเท้าเดินไปที่อื่น ฟินรู้ว่าพ่อต้องการอยู่คนเดียว เขายิ้มบางๆ อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคนที่หันหลังให้เขาอยู่ หลังจากนั้นถ้อยคำขอบคุณก็เปล่งออกมาจากริมฝีปาก “ขอบคุณครับพ่อ”
   ฟินไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อทำหน้าอย่างไรเพราะเขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างเดียว ฟินคิดว่าพ่อคงไม่ได้ยิน แต่ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้น “เอาเถอะ เรื่องที่แล้วก็ให้มันแล้วกันไป เริ่มใหม่ยังไม่สายนี่นา”
   นทีหันมายิ้มให้ลูกชายก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง แล้วน้ำตาที่กลั้นอยู่นานก็ไหลออกมา ไม่มีใครรู้ว่าหยดน้ำตานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกอะไร ไม่มีใครรู้นอกจากเขาคนเดียว
   บางครั้งความเป็นผู้ใหญ่ก็ทำให้เรารู้จักที่จะยอมรับและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เคยคิดว่าไม่อาจเข้าใจและยอมรับได้



 o13 o13 o13 o13 o13

zusuki

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ 40 – ลังเล

   29 มีนาคม
   เวลา 19:00 น.
   ณ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
   ทุกที่นั่งภายในหอประชุมเกือบเต็มแล้ว ที่นั่งสองแถวหน้าเป็นที่นั่งของแขกรับเชิญวีไอพี ส่วนถัดมาเป็นที่นั่งของบุคคลที่ซื้อบัตรเข้าชมงานในราคา 8000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงสุดในงานครั้งนี้ ที่นั่งชั้นถัดไปราคาก็ลดลงตามระยะการมองเห็น
   ฟินได้นั่งอยู่แถวที่สองของชั้นที่นั่งแขกวีไอพี กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งบัตรเชิญใบนี้มาให้ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็ได้เอ่ยคำขอบคุณไปหลายครั้งแล้ว
   ครึ่งชั่วโมงต่อมา ที่นั่งข้างๆเขาที่ว่างอยู่ถึงสองที่ก็มีคนมานั่ง ชายชรารูปร่างสูงคนหนึ่งค่อยๆหย่อนกายลงนั่งข้างๆฟินพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ
   ฟินยิ้มตอบบางๆ เช่นกัน
   “มาจนได้นะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ข้างหู ฟินรีบหันไปหาเจ้าของเสียงในทันที ชายชราคนนั้นยิ้มอีกครั้งก่อนจะแนะนำตัว “ฉันชื่อภีตา”
   ฟินพิจารณาใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อภีตา ไม่นานนักเขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง “คุณลุงเป็นพ่อของภีม”
   “เก่งนี่” ภีตากล่าวชม
   “ก็หน้าเหมือนกันขนาดนี้นี่ครับ” ฟินพูดทั้งรอยยิ้ม
   ทั้งคู่สนทนากันได้เพียงครู่เดียว งานก็เริ่มขึ้นด้วยเสียงเปียโนของศิลปินชื่อดังเจ้าของงานนี้ แค่เพียงเพลงแรกที่เปิดตัวก็สะกดอารมณ์คนฟังได้ทั้งหมดทั้งมวล
   Princess บทเพลงที่กล่าวถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงคนหนึ่งซึ่งหลงรักในธรรมชาติและเสียงดนตรีมากกว่าความบันเทิงที่อยู่ในวัง จนวันหนึ่งเธอถูกขับออกจากปราสาทเพราะคำกล่าวหาของขุนนางที่ว่า “เจ้าหญิงเสียสติไปแล้ว” ในตอนท้ายของบทเพลงกล่าวว่า ผู้ที่หลงรักในเสียงเพลงไม่ใช่คนบ้า ทั้งคนที่หลงใหลในธรรมชาติก็ไม่ใช่คนเสียสติ คนที่ไม่รักสิ่งเหล่านี้ต่างหากคือคนเสียสติ
   เสียงเปียโนขับให้มโนภาพของเจ้าหญิงดูเด่นชัดขึ้นมาทันตา ทั้งยังเสียงร้องอันทรงพลังที่ไม่มีผิดเพี้ยนแม้นิ้วมือกำลังบรรเลงทำนองเพลงอยู่ก็ตาม สองสิ่งผสมผสานกันอย่างลงตัว บทเพลงแรกที่ชื่อว่า Princess จึงได้รับเสียงปรบมือและคำชมอย่างท่วมท้นจากผู้คนในงาน
   หลังจากบทเพลงแรกผ่านไป บทเพลงที่สอง สาม สี่ก็ตามมา จนกระทั่งเข้าสู่เพลงที่ห้า ศิลปินเจ้าของงานก็กล่าวแนะนำแขกรับเชิญเพียงคนเดียวของงานซึ่งเขาตื้ออยู่นานกว่าเขาคนนี้จะยอมขึ้นเวทีมาเดี่ยวเปียโนในงานคอนเสิร์ตของเขา
   สิ้นเสียงกล่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ม่านสีดำที่อยู่ด้านหลังก็เปิดออกช้าๆ เปียโนสีดำที่ตั้งอยู่กลางเวทีกลายเป็นจุดเด่นไปพร้อมๆกับชายหนุ่มผมยาวที่นั่งนิ่งอย่างตั้งใจอยู่หน้าเปียโน
   “สวัสดีครับผู้ชมทุกท่าน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้รับเชิญขึ้นเล่นในงานครั้งนี้ หวังว่าทุกคนคงชอบในบทเพลงของผมเหมือนที่ชอบในบทเพลงของศิลปินชื่อดังเจ้าของงานในวันนี้นะครับ” ภีมพูดเสียงเรียบ ในน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทั้งนั้น ไม่มีแม้ร่องรอยของความตื่นเต้น ไม่มีอะไรเลย
   นิ้วเรียวยาวเริ่มบรรเลงเพลง เขาตั้งใจจะเล่นเพลงที่แต่งเองทั้งหมด และเพลงแรกที่ใช้เล่นคือ
   My Place บทเพลงที่ไม่มีคำร้อง มีแต่ท่วงทำนองที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ จังหวะเพลงที่ขึ้นๆลงๆนั้น ฟังดูไพเราะอย่างไม่น่าเชื่อ มันคล้ายกับว่าผู้เป็นเจ้าของกำลังปกป้องสิ่งของอันเป็นที่รักอย่างสุดตัว ในตอนท้ายของบทเพลงเป็นจังหวะน่ารักๆ คล้ายกับบอกว่า ฉันปกป้องของที่ฉันรักได้แล้วนะ
   ภีมเล่นเพลงต่ออีกสองเพลงก็ลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณ ในตอนนั้นที่เขามายืนกลางเวที สายตาก็สบเข้ากับดวงตาคมที่จ้องมาอย่างไม่วางตา
   ภีมทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกล่าวอะไรต่อมิอะไรออกไปอย่างรีบร้อนก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่หลังเวทีด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
   ทางด้านหน้าเวที ฟินค่อยๆลุกขึ้นอย่างคนมีมารยาท เขาโค้งคำนับให้ภีตาอย่างขอตัว ก่อนจะเดินออกไปจากหอประชุมแล้วตรงไปยังห้องแต่งตัวที่ติดกัน
   “ขอโทษนะครับ” ฟินพูดเป็นภาษาอังกฤษกับสตัฟฟ์ชาวต่างชาติคนหนึ่งซึ่งเดินไปมาอยู่แถวนั้น “คุณภีมอยู่ที่ไหนครับ”
   สตัฟฟ์สาวที่ชื่อมาเรียยังไม่วางใจในตัวของฟินพอที่จะตอบคำถามของเขา ฟินจึงหยิบบัตรเชิญวีไอพีในนามของภีม ส่งให้เธอ
   มาเรียดูบัตรนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา “เป็นแขกของคุณภีมนี่เอง ตามมาเลยค่ะ เดี๋ยวจะพาไป” มาเรียเดินนำเข้าไปยังห้องๆหนึ่งที่อยู่ถัดไปจากตรงนั้นประมาณสามสิบเมตร
   “เชิญค่ะ” มาเรียผายมือไปที่หน้าประตูห้องๆหนึ่ง ฟินพยักศีรษะเบาๆแล้วกล่าวคำขอบคุณ การจะเดินเข้าไปในห้องนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฟินสูดลมหายใจเข้าแล้วหลับตาลงช้าๆอย่างรวบรวมความกล้า ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็เปิดประตูเข้าไป
   ดวงตาคมจ้องมองคนที่นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะอย่างแน่วนิ่ง ทว่าภายในแววตานั้นอ่อนโยนเหลือเกิน แววตาของเขาเวลามองภีมไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แม้เวลาจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม
   “ไม่เจอกันนานเลยนะ” เวลานานปีทำให้ถ้อยคำหลายๆคำที่ฟินอยากจะพูดถูกดูดกลืนเข้าไปในกาลเวลา
   ภีมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาเลือกที่จะไม่มองหน้าฟินและเลือกที่จะไม่พูดอะไร
   ฟินหลับตาลงคล้ายกำลังใช้ความคิด เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเช่นกัน แม้ความรู้สึกจะไม่เคยเปลี่ยน แต่เวลาได้จำกัดความสัมพันธ์ของเขาสองคนให้แคบลงไปแล้ว มันแคบลงจนเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักกัน
   ในห้องที่มีแต่ความเงียบ เงาร่างทั้งสองยังคงนิ่งงันอย่างนั้น
   “ไม่อยากพูดอะไรบ้างเลยเหรอ” ในที่สุดฟินก็ต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน
   ภีมยังคงนั่งนิ่งและมองไปข้างหน้า ราวกับว่าฟินไม่มีตัวตน
   “มันคงไม่เหมือนเดิมแล้วสินะ” เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ทั้งๆที่หลายสิ่งหลายอย่างก็เกือบจะลงตัวแล้ว”
   “จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา” ภีมพูดเสียงเรียบ ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับฟิน ในแววตาไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเดียว
   ฟินชะงักไปครู่หนึ่ง ภีมดูเปลี่ยนไปจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ผิดกับเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงและยังการแสดงออกที่แข็งกร้าวนั้นอีก “นึกว่าจะไม่เจอกันตลอดชาติแล้วแท้ๆ ยังต้องมาเจอกันอีกจนได้ เป็นอย่างนี้มันน่าเบื่อจริงๆ”
   ฟินไม่แสดงสีหน้าอะไรนอกจากนิ่งเฉย คล้ายกับว่าทำใจมาก่อนหน้านี้แล้วว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้ “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
   “ก็รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะถามอีกทำไม”
   “ฉันก็อยากทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยเหมือนกัน” ฟินบอก
   ภีมขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วแค่นหัวเราะ “มันชัดเจนไปตั้งนานแล้วนี่ นายจะขุดค้นมันขึ้นมาพูดอีกทำไม”
   “แน่ใจเหรอ... ที่พูดมาน่ะ” ฟินเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฏอยู่ในตัวของภีมก็คือ ปากไม่ตรงกับใจ “เลิกปากแข็งซักทีเถอะน่า ทำไมคิดอะไรไม่พูดออกมาล่ะ”
   “เงียบไปเลย ก็นี่ไงล่ะ... ฉันกำลังพูดในสิ่งที่คิดอยู่” ภีมตวาดเสียงดังอย่างโมโห “เลิกยุ่งกับชีวิตฉันซักทีได้มั้ย ฉันจะไม่มีทางหวนกลับไปเดินทางแบบนั้นอีกแล้ว”
   ฟินเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ มันก็เป็นแค่เรื่องเมื่อก่อนตอนที่เรายังไม่โตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
   “จะพูดซ้ำซากทำไมอีก นายนี่มันน่าเบื่อไม่เคยเปลี่ยนเลย” ภีมชี้หน้าฟินเพื่อตอกย้ำคำพูดของตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “เส้นทางของฉันกับนายมันแยกกันไปนานแล้ว นานพอที่ชีวิตของฉันจะลืมเรื่องเก่าๆแล้วเริ่มต้นจดจำเรื่องราวใหม่ๆ”
   ฟินไม่พูดอะไรตอบ นอกจากมองหน้าภีม มองเพื่อจดจำใบหน้านี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
   “เลิกทำอะไรตามใจตัวเองได้แล้ว เพราะเราคือผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็ก” ภีมจ้องหน้าฟินเช่นกัน
   “แล้วผู้ใหญ่ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยเหรอ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่คนหรือไง” ฟินถามกลับ
   ภีมเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ ทำไมหมอนี่มันยังโง่ไม่เปลี่ยนเลยเนี่ย
   “ฉันไม่รู้หรอกว่านายจะตัดสินใจอย่างไรกับสิ่งที่ฉันจะพูดในตอนนี้ แต่ฉันรู้ว่า... ต้องพูดออกไป เพราะเก็บไว้กับตัวจนตายมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา” ฟินพูดรวดเดียวจบ
   ภีมจ้องหน้าฟินเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
   ฟินยิ้มบางๆ กลอกตาไปมาเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ ทำไมพักนี้เขาอ่อนแอเสียจริง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กระทบจิตใจไปหมด “ฉันคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่ง เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันทนใช้ชีวิตแบบนี้ แบบที่คนรอบข้างต้องการให้เป็น แต่มันรู้สึกแย่มากเมื่อคิดว่าทุกๆวันที่ผ่านไปจะไม่ได้เห็นหน้านาย แล้วยิ่งคิดต่อๆไปถึงวันข้างหน้า มันก็ยิ่งปวดหัวไปหมด วันแต่ละวันที่ผ่านไปหมดไปกับการทำงาน ฉันหวังไว้ทุกวันว่าจะได้พบนายอีกครั้งแล้วเมื่อนั้นทุกคนก็จะยอมรับเรา... และ...”
   “หยุดพูดซักทีได้มั้ย ฉันไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลย ออกไป๊” ภีมร้องตะโกนเสียงดังจนคนที่อยู่ข้างนอกกรูกันเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ
   “เอาไอ้บ้านี่ออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้เลย” ภีมบอกพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง “แล้วอย่าให้กลับเข้ามาในห้องนี้อีก”
   มาเรียยืนงง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน รู้แต่ว่าทั้งสองคนนี้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง
   “ขอให้คุณโชคดีเสมอนะครับ คุณภีม” ฟินทิ้งท้ายเสียงเบาด้วยถ้อยคำที่ห่างเหิน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้นเงียบๆ
   “ออกไปจากห้องนี้กันให้หมด ออกไป” ภีมตวาดเสียงดังใส่คนที่เหลือ ทุกคนรีบวิ่งออกไปจากห้องในทันที พวกเขาเพิ่งรู้ว่า ศิลปินที่แสนอ่อนโยนคนนี้ความจริงมีอารมณ์ร้ายสักเพียงใด
   ภีมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม เขาไม่อยากรักผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
   เขาอยากจะกลับไปเป็นภีมคนเดิม
   คนที่ไม่เคยรู้จักกับผู้ชายที่ชื่อ “ฟิน”
   สำหรับภีม เรื่องราวทั้งหมดได้กลายเป็นเพียงความทรงจำ ณ ช่วงชีวิตหนึ่ง ความทรงจำที่เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันลืม
   ฉันไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ภีมบอกกับตัวเอง แต่ยิ่งบอกเท่าไหร่ ภายในส่วนลึกของจิตใจยิ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
   ภีมไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ภีมยังรักฟินเหมือนเดิม
   คงไม่มีใครเข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้หรอก เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย
   ความลังเลที่เกิดขึ้นภายในใจ ทำให้ความตั้งใจเดิมที่เคยมีมาแทบหายไปหมด สี่ปีที่อยู่อังกฤษ ภีมก็ใช้ชีวิตไปวันๆเช่นกัน ผ่านวันแล้ววันเล่าไปด้วยเสียงดนตรี เขาใช้ดนตรีเป็นเครื่องเยียวยาหัวใจ
   การจะลืมใครสักคน มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ภีมคิดว่าตนเองเข้มแข็งและแข็งแกร่งพอที่จะลืมและกลับมาใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองอยากให้เป็น แต่แล้วความแข็งแกร่งนั้นก็ถูกทำลายลงเมื่อคนที่เราคิดจะลืมกลับมาเวียนวนอยู่รอบตัวอีกครั้ง
   “ฉันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เลยใช่มั้ย” ภีมพูดเสียงเครือก่อนจะซุกหน้าลงกับท่อนแขน

   “ไชโย... ในที่สุดเจ้าบานชื่นก็คลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย” ฟางข้าวที่ยืนเชียร์อยู่นอกคอกม้าทำตาลุกวาวเมื่อมองดูเจ้าลูกม้าสีดำสนิทที่เพิ่งคลอดออกมา “ชื่ออะไรดีนะ”
   คนงานกว่าสิบคนที่ยืนอยู่บริเวณคอกม้าต่างพากันคิดตามกับคำถามของฟางข้าวว่าจะให้เจ้าลูกม้าเกิดใหม่ตัวนี้ชื่อว่าอะไร
   นทีครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะบอกออกมาว่า “สีนิล”
   “ไม่เอา แม่ไม่ชอบชื่อนี้” อาภาขัดขึ้นแล้วทำท่าใช้ความคิด
   “ชื่อ ‘พราย’ ได้มั้ยครับ ผมอยากให้เจ้าม้าตัวนี้ชื่อพราย” ฟินพูดขึ้นพลางเดินไปล้างมือ
   เมื่อว่าที่นายใหญ่ของฟาร์มพูดมาขนาดนี้ก็คงไม่มีใครกล้าขัดว่าชื่อนี้ไม่ดี ไม่เหมาะสม สรุปแล้ว เจ้าลูกม้าสีดำเกิดใหม่ตัวนี้จึงได้ชื่อว่า “พราย”
   ฟินสั่งให้คนงานในไร่ดูแล “เจ้าพราย” ให้ดี และกำชับถึงเรื่องอาหารการกินต่างๆ จากนั้นฟินก็เดินไปที่โรงเรือน เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยต่างๆ รวมถึงตรวจสุขภาพโคนมทุกตัว วันทั้งวันของเขาหมดไปกับการทำงานในไร่
   วันแล้ววันเล่า เป็นอย่างนี้เรื่อยไป
   ตอนนี้ฟินไม่ต่างอะไรไปจากหุ่นยนต์เลย
   คนในครอบครัวต่างไม่มีใครกล้าพูดหรือกล้าถามเรื่องราวต่างๆ เพราะตั้งแต่วันนั้นที่กลับจากงานคอนเสิร์ต ฟินก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป เขาสุขุมและเคร่งเครียดกว่าปกติ ทั้งยังไม่อ่อนโยนเหมือนที่เคยเป็น
   แม้แต่อาภาเองยังไม่กล้าที่จะถามลูกชายว่าเป็นอะไร ส่วนนทีก็ไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกไปมากกว่านี้อีกแล้ว เขาคิดว่า... ปล่อยให้ฟินได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง ให้เขาได้คิด และกระทำด้วยตัวเอง โดยที่ไม่มีใครบงการเหมือนแต่ก่อน
   “ปล่อยไปเถอะ ใช่ว่าชีวิตคนเรามันจะราบรื่นเสียเมื่อไหร่ เรื่องนั้นจบไป เรื่องนี้ก็เข้ามา” นทีพูดกับภรรยาอย่างเข้าใจในชีวิต
   อาภางุนงงเล็กน้อยแต่ก็เห็นด้วยในสิ่งที่สามีพูด แต่ถึงจะอย่างนั้น เธอก็ไม่อยากให้ฟินกลายเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่เหมือนไม่มีหัวใจและใช้ชีวิตไปวันๆ
   “แต่แม่คิดว่า...”
   “แม่คิด แต่ลูกมันไม่คิด... มันคิดกันคนละแบบนี่ อย่าไปยุ่งเรื่องของลูกมันเลย ปล่อยให้มันคิดเองตัดสินใจเองนั่นล่ะ เราก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรมันแล้วนี่ ตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวมันนั่นล่ะ... ว่าจะทำยังไงต่อไป” นทีบอก
   อาภาอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าธรรมะจะช่วยขัดเกลาจิตใจคนได้ถึงเพียงนี้ “สาธุ ไม่คิดว่าพ่อจะเปลี่ยนไปขนาดนี้”
   นทีปรายตามองภรรยาแล้วยิ้มบางๆ “ก็พ่อมันแก่แล้วนี่นะ ยิ่งแก่ยิ่งอยากเห็นลูกมีความสุข”
   อาภายิ้มบ้าง เธอเห็นด้วยกับสามี “นั่นสินะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ”

   “ไม่เคยคิดจะติดต่อหาฉันบ้างเลยหรือไงภีม” เบสท์พูดเสียงเครือ เธอจ้องหน้าภีมอย่างผิดหวัง “คิดจะตัดขาดกันเลยหรือไง นี่เราไม่ใช่เพื่อนกันแล้วใช่มั้ย ฉันห่วงแกทุกวัน คิดทุกวันว่าแกจะใช้ชีวิตที่นั่นอย่างมีความสุขหรือเปล่า ในเมื่อแกไปโดยที่ไม่เต็มใจ แล้วดูสิ่งที่แกทำสิ มันสมควรมั้ยที่ฉันต้องเป็นห่วง” จบประโยคน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาจนอาบแก้ม
   ภีมมองหน้าเพื่อนสนิทอย่างเสียใจ ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเพราะพูดไปก็เหมือนกับยิ่งแก้ตัว ภีมเดินเข้าไปใกล้เบสท์แล้วกอดเธอไว้อย่างอ่อนโยน มือเรียวสวยลูบเบาๆที่ศีรษะ “อย่าร้องไห้เลยนะ คนอย่างฉันมันไม่สมควรที่ใครจะมาร้องไห้ให้หรอก”
   “แกมันไม่ได้ไร้ค่าสักหน่อย ทำไมพูดเหมือนตัวเองไม่มีค่าอย่างนั้นวะ” เบสท์สะอื้น
   ภีมวางคางลงบนศีรษะของเบสท์ “ก็ฉันมันเป็นอย่างนั้นจริงๆนี่”
   “ฉันมีเพื่อนสนิทคนเดียวนั่นก็คือแกนะภีม”
   “อืม... ฉันรู้ ฉันก็มีเพื่อนสนิทคนเดียวเหมือนกัน เพื่อนที่เข้าใจฉันมากที่สุด”
   “แกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ไม่งั้นฉันจะเลิกคบแกจริงๆด้วย”
   “เออ... รู้แล้ว ถ้าฉันทำพลาดอีกครั้ง ฆ่าฉันได้เลย” ภีมพูดอย่างจริงจัง
   “เออ... ฉันฆ่าแน่ ไม่ต้องท้าหรอก” เบสท์ก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน
   ภีมคลายอ้อมกอด เบสท์รีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชกเข้าที่แขนของภีมเบาๆ “สี่ปีที่ไม่เจอกัน หล่อขึ้นเยอะนี่หว่า”
   ภีมหัวเราะหึ “งั้นเหรอ... เห็นตัวเองทุกวันไม่ยักรู้ว่าหล่อขึ้น”
   จู่ๆเบสท์ก็ทำหน้าเครียด ภีมรู้ทันทีว่าเบสท์กำลังจะพูดเรื่องอะไร เขาจึงพูดดักคอไว้ก่อน “ถ้าจะพูดเรื่องเก่าๆล่ะก็ ไม่ต้องพูด”
   เบสท์มองหน้าภีมอย่างจับผิด ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าภีมเป็นอย่างไร “อย่ามาพูดจาโกหกตัวเอง ฉันเกลียดคนโกหกตัวเอง” เบสท์พูดเสียงเข้ม
   ภีมถอนหายใจบางๆ “ฉันไม่เคยโกหกตัวเอง ขอร้องทีเถอะ ฉันกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่”
   “ถ้าคิดว่าชีวิตใหม่ที่นายกำลังจะเริ่มมันคือสิ่งที่ต้องการก็ทำไป ฉันไม่ว่า... แต่ถ้านายยังเป็นเพื่อนฉันอยู่ อย่าโกหกตัวเอง คนเรามันไม่ได้เปลี่ยนใจกันง่ายๆหรอกนะ”
   “แต่มันก็ไม่ยากนักหรอก สี่ปีมันไม่นานพอเหรอที่ฉันจะลืมเรื่องแย่ๆไปให้หมด” ภีมเถียง
   เบสท์เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาหรอกภีม มันขึ้นอยู่กับตัวนายเองต่างหาก”
   ภีมนิ่งไปกับคำพูดนั้น
   “จะลังเลอะไรอีก หรือว่านายกลัวว่าสังคมจะมองเป็นตัวประหลาด กลัวทำร้ายจิตใจพ่อแม่ หรือกลัวที่ต้องยอมรับใจตัวเอง นายกลัวอะไร บอกฉันมาสิ” น้ำเสียงของเบสท์อ่อนลง
   “ไม่รู้สิ แต่ฉันอยากใช้ชีวิตในแบบของฉัน ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องสวนทางกับ...” ภีมเลือกที่จะไม่พูดชื่อฟิน เบสท์ถอนหายใจด้วยความรำคาญ “รังเกียจฟินขนาดชื่อยังไม่อยากเรียกเลยเหรอ”
   ภีมไม่ตอบคำถามของเบสท์ “เอาเป็นว่าฉันกับมัน ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
   “เออ... ฉันจะรอดู”

   สองเดือนต่อมา
   ฟินเข้ากรุงเทพฯอีกครั้งเพราะได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ร่างสูงเดินลงจากรถสปอร์ตสีดำพร้อมกับเอกสารประกอบการบรรยายเต็มมือ ฟินอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองตัวเอง
   นี่เขารีบถึงขั้นไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเชียวหรือ?
   ฟินที่อยู่ในชุดกางเกงยีนส์เก่าๆ เสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อน และรองเท้าบูท ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับตัวเองก่อนจะเริ่มออกเดินไปยังห้องประชุมใหญ่
   ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ความประหลาดใจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้ฟังการบรรยายเพิ่มขึ้นกว่าที่ทางมหาวิทยาลัยแจ้งไปเกือบครึ่งหนึ่ง เก้าอี้เสริมกว่าห้าสิบตัวถูกจัดวางลงไปในพื้นที่ว่าง และมีผู้คนนั่งกันอยู่อย่างแออัด
   ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่มีคนสนใจหัวข้อการบรรยายเรื่อง “การทำฟาร์มโคนมเพื่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างคุ้มค่า” แต่เขากลัวว่าผู้คนเหล่านั้นจะขาดอากาศหายใจตายไปเสียก่อนที่จะฟังบรรยายจบ
   “ทำไมคนแน่นอย่างนี้ล่ะครับ” ฟินกระซิบถามเจ้าของงานเบาๆ
   ชายวัยกลางคนเจ้าของงานบรรยายตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกันครับ พอขึ้นป้ายว่าเป็นคุณ คนก็มาเยอะอย่างนี้ล่ะครับ”
   “ก็คนมันดังนี่คะ” เลขาสาวใหญ่คนหนึ่งพูดล้อเบาๆ
   ฟินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “คนดัง”
   เธอยิ้มบางๆก่อนจะขยายความต่อ “ค่ะ คนดัง เก่งไม่ใช่เล่นนะคะที่ทำให้ฟาร์มกิตติกุลเป็นที่รู้จักได้มากขนาดนี้ จากที่ดังอยู่แล้วกลับยิ่งดังขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้... ก็เพราะความเก่งของคุณ ยิ่งคุณกำลังจะรับช่วงต่องานจากคุณนทีด้วยแล้วยิ่งเป็นที่จับตามอง แล้วคุณก็ทำได้ดีมาก ไม่มีพลาดเลยสักครั้ง”
   ฟินยิ้มบางๆอย่างขอบคุณ เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย นอกจากทำไปตามหลักการที่มันควรเป็น แล้วฟาร์มกิตติกุลก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอยู่แล้ว เขาก็แค่เร่งผลิตวัตถุดิบให้เร็วขึ้นและมีคุณภาพขึ้นก็เท่านั้นเอง แต่ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ฟาร์มมีชื่อเสียงถึงขนาดนี้คงหนีไม่พ้น ความตั้งใจและทุ่มเท
   ฟินขอตัวไปทำหน้าที่การบรรยาย ผู้คนที่มาฟังมีหลากหลายอาชีพ ทั้งครู เกษตรกร สัตวแพทย์ นักศึกษา ซึ่งการบรรยายของเขาจะครอบคลุมในทุกเนื้อหา ตั้งแต่การเริ่มต้นทำฟาร์ม ขึ้นตอนต่างๆก่อนจะมาเป็นนมที่มีคุณภาพอย่างทุกวันนี้
   หลังจบการบรรยาย ฟินขอตัวกลับทันทีโดยไม่รีรอ ทำเอาคนในงานที่รอพูดคุยกับเขางงไปตามๆกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเรียกเขากลับมาจึงได้แต่บ่นกันเสียงระงมด้วยความเสียดาย
   ฟินรีบเดินไปยังที่จอดรถอย่างรวดเร็ว แต่ยังเดินไปไม่ถึงก็ได้พบกับคนๆหนึ่งเสียก่อน
   “รีบไปไหนกันล่ะ อยู่คุยกันก่อนสิ”
   ฟินขบริมฝีปากเบาๆก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้



 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป


บทที่ 41 – ความเข้าใจ


   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งถัดไปจากตรงนั้นห้าเมตร เอกสารที่อยู่ในมือถูกวางไว้ตรงหน้าอย่างเป็นระเบียบ ฟินตั้งสติอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวคำทักทายออกไป “สวัสดีครับ”
   ชายชรารูปร่างสูงยิ้มตอบบางๆ “อืม... บรรยายเก่งมาก ไม่นึกว่าจะเป็นหนุ่มไฟแรงขนาดนี้”
   ฟินพยักหน้ารับแทนคำขอบคุณ
   “ดูเหมือนเธอจะเกร็งๆนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถาม
   “ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่... คุณลุงมีธุระอะไรกับผมหรือครับ” ฟินเงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาพิจารณา เขาไม่รู้ว่าที่ภีตามาหาเขาวันนี้มีจุดประสงค์ใดอีก
   ภีตาถอนหายใจบางๆ “ยังไม่ได้คุยกันอีกเหรอ”
   คำถามสั้นๆประโยคเดียว ความโกรธในใจของฟินที่แทบจะมอดไหม้ไปแล้วก็คุโชนขึ้นมาอีก เขาคิดว่าจะตัดเรื่องนี้ออกไปจากสมองแล้วเชียว แต่ทำไมต้องมีคนพูดถึงมันอยู่อีกนะ
   “ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร วันนี้ที่ฉันมาเพราะเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องนี้” ภีตานั่งลงบ้าง ก่อนจะกล่าวต่อไป “ฉันอยากให้เธอช่วยอะไรหน่อย”
   ฟินเสมองไปทางอื่น นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่างเช่นเขาจะมาขอให้ช่วยอะไร
   ภีตาเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะกล่าวออกมา “แต่ก่อนฉันก็มีความฝันเหมือนกัน ฝันว่าอยากจะทำในสิ่งที่ชอบ ฉันอยากมีไร่สวยๆสักไร่หนึ่ง”
   ภีตาเงียบไปครู่หนึ่ง ฟินไม่พูดอะไรตอบ เขาเพียงแต่ถอนหายใจบางๆแล้วรอฟังสิ่งที่ภีตาจะพูดออกมา
   “แล้วตอนนี้ฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ฉันอยากทำแล้ว แต่ฉันคงต้องขอให้เธอช่วย” ภีตาหันมาหาฟิน
   ฟินขมวดคิ้วอีกครั้ง “ช่วยเรื่องอะไรครับ”
   “ช่วยไปดูไร่ของฉันหน่อยได้มั้ยว่ามันดีพอหรือยัง ความจริงแล้วไร่นี้มันเป็นไร่ของพี่ชายฉันน่ะ คนตระกูลพิริยะ ทำอะไรก็ขึ้นหมด ยกเว้นพี่ชายฉันคนนี้ล่ะ เขาเสียไปเมื่อสามปีก่อน แล้วไร่นี้ก็เลยตกเป็นของฉัน แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเท่าไหร่นัก ก็แค่จ้างคนดูแลไปวันๆ แต่พอตอนนี้ ทำไมฉันถึงเห็นค่าของมันขึ้นมาก็ไม่รู้” ภีตาพูดอย่างปลงตก ในบั้นปลายชีวิตจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้อยู่กับสิ่งที่เรารัก
   “ผม...” ฟินหยุดคำพูดไว้แค่นั้นอย่างลังเลและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
   “ฉันอยากให้เธอไปดูไร่ของฉันหน่อย ช่วยฉันได้หรือเปล่า” คราวนี้ภีตาจ้องมาที่ฟินด้วยแววตามุ่งมั่นจนฟินไม่กล้ากล่าวปฏิเสธออกไป
   “ได้ครับ ผมจะไป”
   “ตอนนี้เลยได้มั้ย”
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆ
   ภีตาเดินนำไปขึ้นรถของตนเองแล้วขับออกไป ส่วนฟินก็รีบขึ้นรถของตัวเองแล้วรีบขับตามออกไปเช่นกัน
   เส้นทางไปสู่ไร่ของภีตาเป็นเส้นทางเดียวกับที่ไปบ้านของเขา ขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบว่าไร่ที่ภีตาว่านี้อยู่ใกล้กับฟาร์มกิตติกุลเพียง 3 กิโลเมตร
   ทันทีที่มาถึงฟินก็รีบบอกภีตาทันที “ขับไปข้างหน้าอีก 3 กิโลเมตรก็ถึงฟาร์มของผมแล้ว ไม่คิดว่าไร่นี้จะเป็นของพิริยะ ผมผ่านมาทีไรก็เห็นมันโล่งว่างเหมือนไร่ร้างเลย”
   “แต่ตอนนี้ไม่ร้างแล้วนะ ฉันทำให้มันดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย เดี๋ยวจะพาไปดู” ภีตาบอกให้คนขับรถขับเข้าไปในไร่ ฟินรีบขึ้นรถแล้วขับตามเข้าไปทันที
   ระหว่างทางเข้าไปเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ไกลอยู่เหมือนกันกว่าจะขับรถเข้าไปถึงตัวไร่ ฟินรู้สึกว่ามันดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ เห็นได้จากต้นไม้ต่างๆที่ดูสดชื่นแข็งแรง แล้วไหนยังจะมีเจ้าม้าพันธุ์ Thoroughbred ตัวสวยที่วิ่งไปมาอย่างกับอยู่ในสยามแข่งนับยี่สิบตัว ถนนหนทางที่ตัดเข้าไปในไร่ก็เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
   รถคันใหญ่สองคันจอดลงเมื่อถึงหน้าบ้านหลังเล็กสองหลังที่อยู่ติดกัน ฟินลงมาจากรถอย่างรวดเร็วเพราะสายตาเหลือบไปเห็นเจ้าม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งที่กำลังเดินมาทางนี้ มันเดินราวกับว่ารู้เส้นทางเป็นอย่างดี ท่าทางของมันเชื่องราวกับสุนัขบ้าน
   ฟินมองมันอย่างต้องมนต์ ม้าอะไรสวยขนาดนี้ ฟินตรงเข้าไปลูบหัวมันเบาๆ “สวยจริงๆ”
   “Thoroughbred พันธุ์แท้ เจ้าสนามม้าแข่งที่เมืองนอก มันแข่งชนะม้าสายพันธุ์ดีดีมาแล้วหลายครั้ง แต่น่าสงสารที่เจ้านายของมันดันเป็นคนอารมณ์ร้าย พอแข่งแพ้ครั้งเดียวถึงกับเฆี่ยนซะไม่เหลือดี ฉันเลยขอซื้อต่อมารักษา สภาพของมันตอนนั้นแย่มากเลยทีเดียว” ภีตาบอกพลางนึกถึงภาพเจ้าม้าสีขาวที่เปื้อนเลือดทั้งตัว
   ฟินลูบตัวมันเบาๆจนสะดุดเข้าที่บาดแผลบริเวณท้อง “หมดเงินไปเยอะใช่มั้ยครับ”
   ภีตาพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แค่มันรอดฉันก็ดีใจแล้ว”
   “ว่าแต่คุณลุงไปเอามาสายพันธุ์ดีพวกนี้มาจากไหนครับ เอามาจากเมืองนอกทั้งนั้นเลยหรือเปล่า” ฟินถามพลางลูบใบหน้าเจ้าม้าตัวสวยไปเรื่อยๆ
   “เปล่า ตัวอื่นๆเป็นม้าของที่นี่อยู่แล้ว มันไม่ใช่ Thoroughbred แท้ซะทีเดียวหรอก ผสมกันไปมานั่นล่ะ มีเจ้าตัวนี้ล่ะ แท้ที่สุด” ภีตาบอก
   ฟินอดทึ่งไม่ได้ ม้าอะไรจะผสมได้ไม่มีผิดเพี้ยนไปจากสายพันธุ์เลย “ท่าทางพี่ชายของคุณลุงเก่งไม่เบาเลยนะครับ”
   “อืม เก่งแต่ไม่ชอบเปิดเผยอะไร รายนั้นน่ะ หวงของซะยิ่งกว่าชีวิต ม้าสวยๆแบบนี้คนนอกไม่มีทางได้เห็นหรอก”
   “ทำไมล่ะครับ”
   “ไร่นี้น่ะ แทบจะดูเป็นไร่ร้างเลยใช่มั้ยล่ะ เพราะอะไรรู้มั้ย ก็เพราะพี่ของฉันน่ะเขากลัวว่าจะมีคนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ รู้ว่าเขาสามารถสร้างม้าสายพันธุ์ดีดีแบบนี้ได้ กลัวไปซะทุกอย่าง จนกระทั่งเส้นเลือดในสมองแตกตายนั่นล่ะ” ภีตาถอนใจบางๆ “เอาล่ะ... เข้าไปในบ้านกันก่อน ยืนคุยซะนานเลย”
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเดินตามเข้าไป
   ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน ฟินก็สะดุดเข้ากับเสียงเปียโนที่ดังทั่วทั้งบ้าน ดวงตาคมมองไปยังชายชราที่อยู่ข้างหน้าอย่างขอคำอธิบาย
   ภีตายิ้มบางๆอย่างคนไม่รู้เรื่อง “ฉันลืมบอกไปน่ะ... ว่าภีมก็อยู่ที่นี่ด้วย”
   ฟินถอนหายใจบางๆ ทั้งดีใจและอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก “ก็นี่เป็นบ้านของเขานี่ครับ”
   “ฉันอยากไปเยี่ยมฟาร์มของเธอบ้าง มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า” ภีตาถามขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋อง เขาส่งกระป๋องหนึ่งให้ฟิน
   “ได้สิครับ” ฟินรับมาอย่างงงๆ
   “งั้นคืนนี้ค้างที่บ้านฉันนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปบ้านของเธอ” ชายชราพูดเองเสร็จสรรพ จากนั้นก็กระดกเบียร์ลงคอรวดเดียวจบ
   ฟินถอนหายใจอีกครั้ง เขาคิดอยู่ว่าอายุสั้นไปกี่ปีแล้ว เพราะหลายเดือนที่ผ่านมาเขาถอนหายใจไปวันละไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
   “ดื่มสิ แทนคำขอบคุณ”
   ฟินเงยหน้าขึ้นแล้วดื่มเข้าไปรวดเดียวหมดเช่นกัน ในตอนนั้นเองที่ภีมเดินลงมาจากบันไดแล้วชะงักเข้าเมื่อเห็นหน้าฟิน
   ฟินมองหน้าภีมเพียงแวบเดียวก่อนจะเสมองไปทางอื่น ภีตามองคนทั้งสองอย่างพิจารณาก่อนจะเป็นฝ่ายพูดออกมา “คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวพ่อขอตัวไปดูที่คอกม้าก่อน” พูดจบภีตาก็เดินดุ่มๆออกไปจากบ้านทันที
   ภีมมองตามอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมอย่างเคยชิน “แผนของตาแก่แน่นอน” ภีมบ่นเบาๆก่อนจะทำเป็นมองไม่เห็นฟินแล้วเดินมายังตู้เย็น
   ฟินนั่งไขว่ห้าง ใบหน้าหล่อนิ่งเฉยราวกับรูปปั้น ดวงตาคมมองตรงไปยังหน้าต่าง ฟินไม่ได้หันมองภีมเลยแม้แต่น้อย
   ภีมหยิบเบียร์ออกมากระป๋องหนึ่ง แล้วเหล่ตามองไปยังร่างสูงที่นั่งเยื้องอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ค่อยๆเดินถอยหลังออกมาเพื่อจะนั่งแต่แล้วกลับเดินถอยหลังไปชนกับโต๊ะวางของจนทำให้กระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือกระเด็นไปตกอยู่ตรงเท้าของฟิน
   “เฮ้ย...” ภีมร้องเสียงหลงก่อนจะมองไปยังกระป๋องเบียร์ที่ตกอยู่ใกล้เท้าของฟิน ภีมมองอย่างหงุดหงิดใจ นึกโมโหว่าทำไมฟินไม่หยิบมันขึ้นมาให้เขาหน่อย
   ภีมถอนหายใจอย่างหัวเสียก่อนจะเดินดุ่มๆไปยังโซฟาที่ฟินนั่งอยู่ แล้วก้มลงเก็บกระป๋องเบียร์ จังหวะนั้นฟินก็ก้มลงเก็บมันเช่นกัน ทำให้ศีรษะของทั้งสองคนชนกันอย่างแรง แต่คนที่เจ็บคือภีม ไม่ใช่ฟิน
   “โอ๊ย...” ภีมร้องเบาๆก่อนจะเงยหน้ามองฟิน
   ฟินยังคงทำหน้านิ่ง แต่มืออีกข้างหนึ่งค่อยๆหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ดวงตาคมมองมาที่ภีมครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนทิศทางมองไปที่อื่น
   ภีมรู้สึกใจหายไปนิดหนึ่ง เมื่อดวงตาคู่นั้นมองผ่านเขาไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน มือเรียวยาวที่แตะตรงหน้าผากเปลี่ยนมาคว้าเอากระป๋องเบียร์ที่อยู่ตรงหน้าไปแทน
   จังหวะนั้นเอง ฟินกลับดึงข้อมือภีมเอาไว้ กระป๋องเบียร์หล่นจากมือของภีมแล้วกลิ้งหลุนๆไปใต้โซฟา
   ภีมตกใจไม่น้อยในการกระทำของฟิน แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ไม่ให้เผลอโวยวายออกมา เขาไม่อยากพูดอะไรโดยที่ไม่จำเป็น แม้ว่าใจจะเต้นแรงแค่ไหนก็ตาม
   ฟินก็เช่นกัน แม้ว่ามือจะจับอยู่ที่มือของภีมแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา เขาเพียงใช้สายตาอันเฉียบคมจ้องมองไปยังดวงตาของฝ่ายตรงข้ามด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
   ภีมทำเป็นมองไม่เห็นแววตาคู่นั้น แต่เหมือนยิ่งทำไม่เห็น ความรู้สึกต่างๆยิ่งเอ่อล้นออกมาจนแทบจะท่วมหัวใจ
   เนิ่นนาน... กว่าจะมีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของใครคนใดคนหนึ่ง   
   “หนีไม่พ้นสักที” ภีมพูดพลางถอนหายใจบางๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างใช้ความคิด
   ฟินไม่พูดอะไร นอกจากกระชับมือที่จับภีมอยู่ให้แน่นขึ้นแล้วดึงร่างของคนที่อยู่ข้างล่างให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน
   ริมฝีปากอุ่นๆของเขาประทับลงบนริมฝีปากของภีมทันทีที่ภีมนั่งลง ลิ้นอุ่นร้อนค่อยๆเบียดเข้ามาภายในปากอย่างจงใจ ภีมไม่ได้ขัดขืนการกระทำนี้ของฟิน ตรงกันข้ามภีมกลับตอบรับสัมผัสนี้ด้วยความเต็มใจ ลิ้นอุ่นร้อนของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันไปพร้อมกับร่างที่เบียดกันไปมาอย่างโหยหาซึ่งความอบอุ่น
   เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะๆ ริมฝีปากของทั้งสองยังคงไม่แยกออกจากกัน ยิ่งกว่านั้นยังเพิ่มอุณหภูมิความร้อนและความต้องการมากยิ่งขึ้นไปอีก ภีมร้องครางเบาๆอย่างทนไม่ไหวก่อนจะเลื่อนมือไปโอบรัดแผ่นหลังกว้างที่แสนอบอุ่นของฟิน
   ฟินยินดีในสัมผัสนั้นที่บอกกลายๆว่า ‘เรายังกลับมารักกันเหมือนเดิมได้’
   ภีมเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกแล้วซบหน้าลงที่อกของฟิน “เบสท์พูดถูกทุกอย่าง บางทีเรื่องราวบางเรื่องก็ใช้เวลามาลบไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเราที่เป็นเจ้าของตัวเองก็ยังลบไปไม่ได้เลย ทำไมเวลาเราจะลืมอะไรมันยากกว่าเวลาที่เราจะจำเสียอีก”
   ฟินถอนหายใจบางๆ “ก็เพราะสิ่งที่เราจะลืมนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากลืมจริงๆน่ะสิ”
   “มันอาจจะใช่ก็ได้ ฉันคงไม่ได้อยากลืมจริงๆ ฉันแค่อยากหนี หนีไปให้พ้นจากความเป็นจริงก็เท่านั้น” ภีมบอกพลางขยับใบหน้าออกจากอกของฟิน
   “พรุ่งนี้ไปที่ฟาร์มของฉันนะ” ฟินบอกสั้นๆก่อนจะจูบลงบนริมฝีปากของภีมอย่างอ่อนโยน ภีมทำหน้าลังเล ไม่แน่ใจว่าควรไปที่นั่นดีหรือเปล่า “แต่ฉัน...”
   “ไปเถอะนะ พ่อกับแม่ของฉันคงดีใจที่เห็นภีม” ฟินเปลี่ยนมาเรียกชื่อภีมแทนคำว่า ‘นาย’
   ภีมแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ชอบอยู่เหมือนกันสำหรับคำเรียกนั้น แต่ถ้าย้อนมานึกถึงตัวเอง ให้เปลี่ยนไปเรียกฟินแบบนั้นบ้างก็คงน่าอายไม่ใช่น้อย
   “ไม่รู้สิ... มันยากที่จะเผชิญหน้ามั้ง” ภีมบอกเสียงอ่อย
   ฟินยิ้มบางๆอย่างใจดี “เชื่อสิ... ว่ามันไม่ยากหรอก”
   “นายไม่ได้เป็นฉันนี่ ไม่เข้าใจหรอก” ภีมตัดพ้ออย่างขุ่นเคือง จริงอย่างที่ภีมว่า ใครไม่ได้มาเป็นภีมคงไม่รู้สึกและไม่เข้าใจ
   ฟินโยกศีรษะภีมเบาๆก่อนจะจับมือไว้ “ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะภีม เชื่อฉันและเชื่อใจครอบครัวของฉัน พวกเขารักฉันและพวกเขาก็รักนายด้วยเช่นกัน มันก็เหมือนกับพ่อของนายนั่นล่ะ... ท่านยอมรับและให้โอกาสฉัน”
   “ทำอะไรกันอยู่เหรอเด็กๆ” เสียงของภีตาดังมาแต่ไกล เสียงของเขาดังเข้ามาในบ้านก่อนที่ตัวจะเดินตามมา ภีมและฟินรีบผละออกจากกัน ภีตาเดินเข้ามาในบ้านแล้วเดินผ่านทั้งสองคนไปพร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “รีบเข้านอนซะนะ พรุ่งนี้ตอนสายๆเราจะไปที่บ้านของฟินกัน ภีมก็พาฟินไปนอนด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย”
   ภีมมองผู้เป็นพ่ออย่างขุ่นเคือง ทำไมเขาต้องเจ้ากี้เจ้าการเรื่องส่วนตัวของลูกชายขนาดนี้ก็ไม่รู้ แค่เขาเสียสละเวลามาอยู่ที่ไร่นี้เป็นเพื่อนก็ดีถมไปแล้ว ยังกล้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขาอีก มันชักจะเกินไปจริงๆ “พ่อครับ... คือผมว่าพ่อไม่น่า...”
   อุ๊บส์... ฟินรีบเอามือขึ้นปิดปากภีม เขารู้ดีว่าคนอย่างภีมจะพูดอะไรออกไป
   “ขึ้นไปนอนเถอะครับคุณลุง เดี๋ยวผมกับภีมก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน”
   ภีตาไม่หันหน้ากลับมามองคนทั้งสอง ชายชราร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอและหนักแน่น ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าภีมจะพูดอะไร แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นพ่อที่รู้ใจลูกไปซะทุกอย่าง แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้ว่าภีมเป็นคนอย่างไร “รีบนอนนะลูก พ่อรักลูกมากจริงๆ ภีม” ภีตากล่าวก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที เสียงปิดประตูก็ดังขึ้น
   ฟินหันหน้าไปมองภีมอย่างตำหนิ “โตแล้วไม่รู้จักโตเลยนะภีม”
   “มาว่าฉันทำไม” ภีมทำหน้าหาเรื่อง
   “ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่ปิดปากนายไว้ คำพูดแย่ๆก็จะออกมาจากปากของนายไม่หยุดหย่อน มันบาปนะรู้ไหม... ว่าพ่อว่าแม่” ฟินเตือนเข้าให้ด้วยความหวังดี
   ภีมทำหน้าไม่พอใจก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปนอนได้แล้ว ขี้เกียจฟังเทศน์” ภีมพูดพลางเดินนำขึ้นบันไดไป ฟินลุกขึ้นเดินตามไปช้าๆ
   ภีมเดินผ่านห้องของภีตา เขาหยุดมองเล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านมันไป ในตอนนั้นเอง ฟินก็รั้งข้อมือภีมไว้ “อยากพูดอะไรกับคุณลุงล่ะสิ  พูดซะนะ เดี๋ยวฉันจะไปรอที่ห้อง” ฟินจ้องหน้าภีมอย่างจริงจัง ภีมมองดวงตาคู่นั้นแล้วก็พยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว
   ฟินยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือภีมแล้วเดินไปห้องที่อยู่ถัดจากห้องของภีตา
   ภีมมองฟินเดินเข้าห้องไป จากนั้นเขาก็เดินไปเคาะประตูห้องของภีตา ไม่นานนักประตูห้องก็เปิด ใบหน้าของภีตาโผล่ออกมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะถามอย่างงงๆว่ามีอะไร
   ภีมเอามือลูบท้ายทอยแก้เก้อ การจะพูดขอโทษหรือขอบคุณทำไมมันยากอย่างนี้นะ... ภีมคิด
   “รีบไปนอนเถอะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่อยากตื่นอีกหรอก”
   ภีมมองใบหน้าของผู้เป็นพ่อพลางนึกย้อนถึงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อคนนี้ไม่เคยเห็นลูกสำคัญกว่างาน กระทั่งยังไม่รู้ว่าลูกชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวลูกสักอย่าง มาวันนี้... พ่อคนที่ว่าเปลี่ยนไป กลายเป็นพ่อคนใหม่ในร่างเดิมที่พร่ำบอกคำว่ารักกับลูกและย้ำคำเสมอว่าเข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็น พ่อที่ทิ้งเงินทองและการงานเพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอยากที่เป็น พ่อที่ไม่ต้องร่ำรวยทว่ายิ่งใหญ่ในน้ำใจ พ่อคนใหม่ที่เปลี่ยนไปทุกอย่าง มันไม่สายไปเลยกับการเริ่มต้นนี้ มันไม่สายไปจริงๆ
   ภีมกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เขามองหน้าพ่ออีกครั้งก่อนจะสวมกอดพ่อที่ยืนตรงหน้าด้วยความรัก “ขอโทษครับพ่อ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมก็รักพ่อเหมือนกัน”
   ภีตากอดตอบลูกชายด้วยความสุขที่เอ่อล้นหัวใจ อ้อมกอดมันมีคุณค่ามากกว่าเงินทองนับหมื่นนับพันล้านจริงๆ ต่อให้รวยแค่ไหนก็ซื้อความอบอุ่นไม่ได้ วันนี้เขาเชื่อแล้วจริงๆ เงินไม่ได้ซื้อทุกอย่างเสียหน่อย ใจต่างหากล่ะที่สำคัญกว่าเงินทอง
   “พ่อก็รักลูก รักมากจริงๆ” ภีตาพูดเสียงสั่นพลางกอดลูกชายไว้แน่น เขานึกย้อนกลับไปวันเก่าๆ กระทั่งนึกไปไกลถึงเมื่อครั้งภีมยังเป็นเด็ก พ่ออย่างเขาให้ได้แค่เงิน ไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นเหมือนพ่อคนอื่น ไม่ได้ทำหน้าที่พ่ออย่างสมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็น
   “ผมอยากให้แม่กลับมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ว่าแม่คงไม่ยอม” ภีมพูดเสียงสั่น
   ภีตาตบหลังลูกชายเบาๆ “สักวันแม่เขาก็จะเบื่อชีวิตแบบนั้นเองล่ะ เมื่อคนเราแก่ตัวไปคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวหรอก”
   “ผมก็หวังว่าอย่างนั้นเหมือนกัน หวังว่าแม่จะเลือกพวกเรามากกว่างาน”
   ภีตายิ้มกับคำพูดนั้นของภีม เขาก็หวังให้ภรรยาของเขาเป็นแบบนั้นเช่นกัน แม้ว่ามันจะยากไปเสียหน่อยก็ตาม
   ดูท่าว่าวันนี้อะไรๆมันก็ช่างดีไปเสียหมด ภีตายิ้มอีกครั้ง เกือบชั่วชีวิตของเขาวันนี้ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่าชีวิตคนเราช่างมีค่าเหลือเกิน


 :call: :call: :call: :call: :call:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ 42 – ความเข้าใจ # 2

   ครู่หนึ่งต่อมา ภีมเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสจนฟินอดแซวไม่ได้ “ดีกันแล้วสินะ” ท้ายเสียงมีแววขบขันเล็กน้อย
   ภีมค้อนขวับก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ปลายเตียงแล้วถอนหายใจอย่างแรงด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงเบนสายตาไปยังฟินที่นั่งอยู่บนเตียง “นี่เราโตกันแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆเลยนะ ไม่น่าเชื่อ”
   ฟินยิ้มตอบบางๆ มือที่กอดอกอยู่คลายออกแล้ววางไว้ที่หน้าตักแทน “เชื่อเถอะ เพราะแต่ละวันที่ผ่านไปมันไม่ง่ายเลยจริงๆ”
   เสียงลมพัดดังอยู่นอกหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนกำลังจะตก ภีมลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่างจากนั้นก็เดินไปหยิบหนังสือที่อยู่ในชั้นมาหนึ่งเล่มแล้วส่งให้ฟิน
   ฟินรับมาอย่างงงๆ ก่อนจะไล่สายตาอ่านชื่อเรื่องที่อยู่บนหน้าปก ‘การเดินทางบนกาลเวลา’
   “ลองอ่านดูนะ ฉันคิดว่านายคงจะชอบ” ภีมบอกเบาๆ
   ฟินพลิกหนังสือไปที่ด้านหลังแล้วอ่านคำโปรย

   ‘การเดินทางที่ไม่มีจุดจบและไม่มีที่สิ้นสุดของผู้ชายคนหนึ่งที่เหยียบย่ำอยู่บนเส้นทางสายเดิมที่เขาย่ำมาเกือบตลอดชีวิต ความกลัวที่จะพบกับจุดจบทำให้เขาไม่กล้าเดินออกจากเส้นทางสายเดิม ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวข้ามออกมาเพียงปลายเท้า ท่ามกลางค่ำคืนวันอันเหน็บหนาวและยาวนานไม่ได้ทำให้ใจเขาเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับเด็กหญิงตัวน้อยผู้มาพร้อมกับนาฬิกาแห่งชีวิต เขาจะทำอย่างไรเมื่อเด็กหญิงคนนี้ยื่นข้อเสนอบางอย่างที่ทำให้เขาเดินออกมาจากเส้นทางเดิมๆ’

   ฟินขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าภีมอ่านวรรณกรรมแบบนี้ด้วยหรือ...
   ภีมมองหน้าฟินอย่างไม่ชอบใจ “ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง”
   ฟินยิ้มบางๆแล้วโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่ใช่อย่างนั้น แค่สงสัยว่าอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ”
   ภีมทำท่าทางเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดตอบ “ฉันชอบอ่านวรรณกรรมแบบนี้นะ เคยเห็นเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาไทยสักที ตอนไปอยู่ที่โน่นเลยถือโอกาสซื้อมาซะเลย”
   ฟินเปิดหนังสือเล่มนั้นแล้วกวาดสายตาไปยังหน้าแรกอย่างคร่าวๆ เมื่อพอเข้าใจบ้างแล้วจึงปิดหนังสือลงแล้ววางไว้ที่หัวเตียง เขาคิดว่าเวลานี้ไม่เหมาะสำหรับอ่านหนังสือเลยสักนิดเดียว
   “มานั่งตรงนี้สิภีม” ฟินตบที่นอนทางด้านซ้ายมือพลางส่งสายตาเว้าวอนไปยังภีมที่นั่งหน้ามุ้ยอยู่บนเก้าอี้
   “ฉันพอใจจะนั่งตรงนี้” ภีมพูดเสียงแข็ง เขารู้สึกไม่พอใจที่ฟินละเลยหนังสือเล่มนั้น
   ฟินยิ้มบางๆ “งั้นเหรอ... เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันไปนั่งข้างๆละกัน” เขาพูดพลางดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งข้างๆภีม “ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี ฉันก็ลืมเสียงเปียโนของนายไม่ลงจริงๆ” อยู่ดีดีฟินก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทำเอาภีมทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบดี
   ฟินยิ้มบางๆอย่างคนอารมณ์ดี “นอกจากจะลืมไม่ลงแล้ว ยังอยากได้ยินบ่อยๆด้วย แต่ก็อีกล่ะนะ... พอได้ยินเสียงเปียโน มันก็ทำให้อยากมองหน้าคนเล่นตามไปด้วย”
   “เพ้อเจ้อเป็นเด็กไปได้ นี่อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย” ภีมพูดแก้เก้อ
   “คนเราไม่ว่าจะโตสักแค่ไหนก็ยังคงคิดฝันไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ จะโตสักแค่ไหนก็ยังมีความเป็นเด็ก เผลอๆอาจเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตซะด้วย” ฟินหยุดพูดแล้วหันไปมองภีมพลางลูบศีรษะเบาๆ “อย่างภีมไง”
   ภีมดึงมือของฟินออกทันที “ไอ้บ้า หาเรื่องว่ากันนี่หว่า เดี๋ยวต่อยเลย”
   ฟินถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างขบขัน “เอะอะก็ใช้กำลัง ทำอย่างนี้จะให้เรียกว่าอะไรล่ะ”
   “ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งนั้นล่ะ น่ารำคาญ”
   “เมื่อไหร่จะเลิกพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนซักทีนะ” ฟินพูดขึ้นมา ท่าทางเหมือนจะโกรธ
   ภีมหน้าเสียไป คิดไปคิดมา ตั้งแต่แรกที่เจอกันจนวันนี้ เขาก็พูดจาแบบนี้ตลอดเลย ไม่เคยเปลี่ยน ถ้ามันจะเปลี่ยนเอาตอนนี้ มันก็คง...
   เฮ้อ... คงทำได้ยากมากๆ เพราะคนอย่างภีมมักไม่ค่อยยอมรับความจริงและเบื่อที่จะทำเรื่องที่ตัวเองคิดว่าน่าอาย
   ภีมคิดวุ่นวายไปมาจนลืมสังเกตใบหน้าของคนข้างๆที่กำลังอมยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้แกล้ง คนอย่างภีม...
   “เอาเถอะ อยากพูดอะไรก็พูดไป แต่คนเราน่ะ... มีขีดจำกัดที่จะอดทนนะ” ฟินบอกเสียงเรียบ ภีมยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ว่าเขากำลังโกรธ
   “คนเราน่ะ... หมายถึงตัวนายเองเหรอ” ภีมถามหยั่งเชิง
   “เปล่า ฉันพูดถึงคนรอบๆข้างนายต่างหากล่ะ”
   ภีมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดออกมา “มันแก้ยากว่ะ เรื่องปากของฉันเนี่ย แต่ว่าจะพยายามละกัน” ภีมพูดห้วนๆ
   ฟินหลุดหัวเราะออกมาหลังจากกลั้นมานานเต็มที “ความจริงก็ไม่เห็นต้องเปลี่ยนอะไรเลยเนอะ ก็ฉันรักภีมที่เป็นแบบนี้นี่นา”
   เจอคำพูดแบบนี้เข้าไป ทำเอาภีมเริ่มอยู่ไม่สุข มือไม้สั่นอย่างเห็นได้ชัด
   รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของฟิน เขากำลังมีความสุขที่ได้ทำให้ผู้ชายคนนี้หวั่นไหว “มาอยู่ด้วยกันได้มั้ย”
   จู่ๆฟินก็กล่าวประโยคนี้ออกมา ภีมยิ่งอยู่ไม่สุขเข้าไปใหญ่ ทั้งความรู้สึกดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมาและความคิดที่ว่ามันไม่เหมาะสมกำลังไล่ล่าความรู้สึกแรกมาอย่างกระชั้นชิด เขานิ่งไปก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยากเย็น
   “คนรักกัน จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเหรอ” ภีมพูดประโยคสั้นๆ ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนแยกไม่ออก
   คำพูดประโยคเดียวของภีมทำให้ฟินต้องฉุกคิดในประโยคนี้เหมือนกัน
   ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปนาน จนภีมเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ชีวิตของฉันกับนายมันเดินกันคนละทางอยู่แล้ว ฉันรักอิสระและไม่ชอบการผูกมัด ฉันอยากเล่นดนตรีและอยากทำในสิ่งที่ฉันยังไม่ได้ทำ ส่วนนายก็คงมีชีวิตอยู่ที่นี่และทำในสิ่งที่นายรักอย่างไม่รู้จักเบื่อ”
   “แล้วยังไง” ฟินเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ตามแบบฉบับที่เขาชอบทำ
   ความไม่เข้าใจเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ฟินเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างระงับอารมณ์ ภีมเห็นท่าทางของฟินทุกอย่าง แต่นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะพูดและอยากจะบอกให้ฟินรู้ไว้ ต่อให้ฟินจะรู้สึกอย่างไร เขาก็ต้องบอกออกมา
   “ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วมันมาหากันไม่ได้หรือไง ทำไมนายเป็นคนที่ยึดติดอะไรขนาดนี้เนี่ย ฉันคงอยู่กับนายแบบนี้ไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่ใช่คนที่ยอมรับอะไรง่ายๆ เรื่องบางอย่างมันต้องอาศัยเวลา”
   “แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ เมื่อไหร่จะพร้อมสักที สิบปี ยี่สิบปี หรือไม่มีวันนั้นเลย” ฟินพูดแทรกขึ้นมา
   “เบื่อที่จะพูดกับนายจริงๆ ทำไมคนที่รู้ไปหมดทุกเรื่องอย่างนายกลับคิดเรื่องง่ายๆไม่เป็น” ภีมพูดเสียงอ่อนก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วล้มตัวนอนบนเตียง
   ฟินนิ่งไป ไม่พูดอะไรอีก

   เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศอึมครึมยังคงปกคลุมเหนือไร่ของภีตาเช่นเมื่อคืน ภีมและฟินแสดงอาการมึนตึงใส่กันอย่างเห็นได้ชัด จนคนกลางอย่างภีตาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดตามไปด้วย
   หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ภีตาก็คุยกับฟินเรื่องการเดินทางไปฟาร์มกิตติกุล ฟินอธิบายเส้นทางคร่าวๆและบอกว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ไม่ต้องเป็นห่วง
   “ภีม ไปด้วยกันกับพ่อใช่มั้ย” ภีตาถามลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ
   ภีมถอนหายใจบางๆ มองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามอย่างฟินแล้วตอบออกมาเสียงดังฟังชัด “ไม่ไปครับ”
   ฟินไม่แสดงทีท่าใดๆออกมานอกจากนิ่งเฉย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน “ผมไปรอที่รถนะครับ” ฟินบอกเสียงเรียบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
   ภีตาหันหน้ามองลูกชาย “พ่อไปก่อนนะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินตามฟินออกไป
   ภีมนั่งนิ่งแต่ในใจกลับร้อนรน ในตอนนั้นความน้อยใจก็เกิดขึ้นมา ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันบ้าง ไม่รู้เลยว่าฉันคิดยังไง รู้สึกยังไง ภีมยิ่งคิด ยิ่งขุ่นเคืองใจ
   เขารีบวิ่งขึ้นห้อง คว้ากระเป๋าเสื้อผ้าออกมา แล้วจัดการเก็บเสื้อผ้าบางส่วนลงกระเป๋า ทันทีที่เก็บเสร็จ เสียงสตาร์ทรถก็ดังขึ้นพอดี
   “คงไม่มีวันที่ฉันจะพร้อมหรอก แต่ถ้าฉันพร้อม... ฉันต้องไปหานายอยู่แล้ว” ภีมพึมพำเบาๆอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเดินลากกระเป๋าลงมาจากบันได
   และในวันนั้นภีมก็กลับไปกรุงเทพฯ เมื่อภีตารู้เรื่องเข้าก็รีบเล่าให้ฟินฟัง ฟินเพียงพยักหน้ารับเบาๆแล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
   จากวันนั้นเรื่อยมาจนเวลาล่วงเลยไปกว่าสี่เดือน
   ฟินยังคงใช้ชีวิตในแบบเดิมๆที่เขาเป็นอยู่ที่ฟาร์มกิตติกุล ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและครอบครัว ส่วนภีมก็มีชีวิตไปตามเส้นทางที่เขาเลือก ลูกชายคนเดียวของพิริยะ ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเรื่องอัญมณี กลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ใครๆรู้จักเขาในบทบาทนี้ไม่ใช่นักธุรกิจอย่างที่แม่ของเขาหวังจะให้เป็น
   ภูรดารับหน้าที่สานต่อธุรกิจของครอบครัวโดยพยายามไม่เข้าไปก้าวก่ายในส่วนธุรกิจกลุ่มที่ภีมดาควบคุมอยู่ และดูท่าทางว่าเครือข่ายการส่งออกของภูรดาจะไปได้สวยกว่าผู้เป็นแม่เสียอีก เมื่อภีตาทราบข่าวนี้ก็อดดีใจไม่ได้ เขากำลังรอดูความพ่ายแพ้ของภรรยาตัวเอง เขาอยากสั่งสอนให้เธอได้รู้ว่า แม้จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็สามารถล่มได้ถ้าไม่มีความพอดี
   สี่เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากพอสมควร ไหนจะเป็นเรื่องของเบสท์ที่กลายเป็นเจ้าของสถาบันดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้า และยังมีรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยอย่างติณณ์มาร่วมแชร์ธุรกิจและร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
   เบสท์และอินตายังคงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่มีการแต่งงานหรือทำอะไรให้หวือหวา ทั้งสองคนยังคบกันเหมือนเดิมในแบบที่เคยเป็นมาและดูท่าว่าเขาทั้งคู่จะพอใจกับสถานภาพที่เป็นอยู่และไม่คิดจะเรียกร้องหรือทำอะไรเพิ่มเติมให้มันวุ่นวาย
   และในเดือนหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ก็จะมีพิธีแต่งงานระหว่างติณณ์และมีนา หลังจากใช้เวลาคบหาดูใจมานานกว่า 8 ปี งานแต่งงานของทั้งคู่จะมีขึ้นที่ฟาร์มกิตติกุล

   ร่างสูงกระโดดขึ้นหลังม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วและสง่างาม มือเรียวสวยลูบเบาๆที่แผงคอของเจ้าม้าอย่างรักใคร่ ต่อจากนั้นเขาก็ควบมันออกไปด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทัน
   “คุณฟินเป็นอะไรไปน่ะ อยู่ดีดีก็ลุกขึ้นมาขี่ม้าแต่เช้ามืดเลย แถมยังขี่ซะเร็วเชียว” ลุงเกิด หนึ่งในผู้ดูแลคอกม้าหันไปพูดกับภรรยา
   “สงสัยจะโกรธอะไรมาน่ะสิ” ภรรยาตอบ
   ลุงเกิดขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ลุงเกิดจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วหันไปสนใจกับงานของตนเองแทน
   เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ฟินก็หยุดควบม้า ใบหน้าคมมีคราบเหงื่อไคลอยู่เต็มไปหมด เสื้อผ้าก็เปียกแฉะราวกับไปตากน้ำฝนมา เขานำมาไปไว้ที่คอกตามเดิมก่อนจะเดินกลับไปยังบ้านพัก เป็นจังหวะเดียวกันกับฟางข้าวที่เดินออกมาจากบ้านเพื่อจะไปออกกำลังกาย
   “ไปทำอะไรมาคะพี่ฟิน เหงื่อเต็มตัวเลย” ฟางข้าวทักด้วยความประหลาดใจเพราะปกติฟินไม่เคยตื่นเช้าจนาดนี้
   “ไปขี่ม้า” เขาตอบสั้นๆ
   “เป็นอะไรไปอีกล่ะ เขาหนีไปก็ไม่อยากไปง้อเขาเอง แล้วยังจะมา...”
   “ไม่รู้อะไรอย่าพูด” ฟินพูดเรียบๆก่อนจะเดินจากไป ฟางข้าวได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเพราะไม่เคยถูกดุด้วยคำง่ายๆแต่ทว่าทำร้ายจิตใจถึงเพียงนี้
   “ได้ จะไม่พูดอะไรอีกเลย เชอะ”
   ตอนบ่ายในวันเดียวกันนั้น ติณณ์และมีนาเข้ามาที่ฟาร์มเพื่อคุยเรื่องรายละเอียดการจัดงานแต่งงานพร้อมทั้งเอาบัตรเชิญมาให้ ทั้งสองคนบอกว่า เชิญเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นเพราะงานนี้อยากให้มีเพียงคนสนิทที่มาร่วมงาน
   “ขอบคุณมากครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ฟิน” ติณณ์ยกมือไหว้คนทั้งสามอย่างจริงใจ นทีและอาภาบอกไม่เป็นไร เราคนกันเอง
   “มีนก็เหมือนกับพี่น้องของฉันคนนึง จะแต่งงานทั้งทีก็ต้องแต่งที่นี่ล่ะ” ฟินกล่าว
   มีนาและติณณ์มองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา ติณณ์แกล้งทำเป็นกระซิบกับมีนาสองคน แต่ว่าเสียงดังอย่างกับพูดให้คนทั้งห้องฟัง “เสร็จแล้ว เข้ากรุงเทพฯไปเอาชุดเลยดีกว่า จากนั้นก็แวะไปหาพี่ภีมดีมั้ย”
   “ดีที่สุด หรือว่าจะไปหาภีมก่อนแล้วพามาดูชุดแต่งงานด้วยกัน” มีนาเสนอความคิดเสียงดังไม่แพ้กับติณณ์
   นทีและอาภามองสองหนุ่มสาวอย่างขบขัน มีนาที่เคยเรียบร้อย เมื่ออยู่กับติณณ์ก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ร่าเริงและเปิดเผยมากกว่าเก่า

   แล้ววันเวลาก็ผ่านไปจนบรรจบครบอีกหนึ่งเดือน วันนี้เป็นวันแต่งงานของมีนาและติณณ์ งานแต่งงานจัดขึ้นอย่างง่ายๆตามแบบฉบับชาวไร่ มีเวทีขนาดเล็กสูงเพียง 1 เมตร ประดับประดาด้วยลูกโป่งหลากสีสัน ฉากหลังของเวทีเป็นภาพวาดรูปดอกไม้โทนสีอ่อน ด้านหน้าเวทีมีการใช้ดอกกุหลาบและลูกโป่งมาไว้รวมกัน ส่วนด้านล่างเวที มีโต๊ะสำหรับแขกที่มาในงาน 10 ตัว วางแถวละสามอย่างเป็นระเบียบ เรื่องอาหารมีการจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟต์ มีพื้นที่สำหรับเต้นรำอยู่ทางด้านหลังของโต๊ะจัดเลี้ยง ส่วนวงดนตรีอยู่ทางฝั่งซ้ายของเวที
   อินตาถอยออกมาดูผลงานของตัวเอง งานนี้เธอเป็นคนจัดขึ้นมาตามคำขอร้องของบ่าวสาวทั้งสอง แม้มันจะดูไม่สมบูรณ์อย่างที่มืออาชีพทำ แต่เธอก็มั่นใจว่าต้องสร้างความประทับใจให้แขกที่มางานได้อย่างแน่นอน
   ในช่วงเช้าของวัน ติณณ์และมีนาจูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอ ก่อนจะพากันกลับมาที่ฟาร์มกิตติกุลเพื่อแต่งตัวออกมาต้อนรับแขกเหรื่อที่มาในงาน
   ชุดแต่งงานของมีนาเป็นชุดราตรีสีขาวสะอาดตา มีดอกไม้ดอกเล็กๆติดเป็นระบายอยู่ที่อก ส่วนชุดของติณณ์ก็เป็นชุดสูทสีขาวธรรมดา มีโบว์สีแดงติดอยู่ที่คอ
   ครอบครัวของติณณ์ดูจะเป็นปลื้มกับสะใภ้คนนี้มากเพราะมีนาทั้งสวยและนิสัยดี ทั้งยังมีหน้าที่การงานน่าชื่นชม ผิดกับลูกชายของตนเองที่ทำอะไรไม่เป็นหลักแหล่งสักอย่าง ส่วนทางด้านพ่อของมีนาก็ดูท่าว่าจะชมชอบลูกเขยคนนี้อยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ยกลูกสาวคนเดียวให้แน่นอน
   บ่ายโมงกว่าๆ แขกเหรื่อเริ่มมาที่งาน งานนี้หน้าที่ช่างภาพตกเป็นของชเนศ เพื่อนของติณณ์
   แขกเหรื่อเริ่มทยอยเข้างานมาเรื่อยๆ จนเกือบครบ บรรดาเพื่อนฝูงของบ่าวสาวทั้งสองต่างก็ส่งเสียงเฮฮากันไม่หยุด สร้างความครึกครื้นและสนุกสนานให้งานนี้ไม่น้อย สองชั่วโมงผ่านไป แขกคนสำคัญของติณณ์และมีนาก็มาถึง
   ภีมเดินเข้างานมาพร้อมกับภูรดาและภีตา สามพ่อลูกต่างหอบหิ้วของขวัญมาคนละชิ้นเพื่อมอบให้คู่บ่าวสาว
   ติณณ์และมีนายกมือไหว้ทุกคนก่อนจะเชิญเข้ามาถ่ายภาพร่วมกัน ภีมยังคงแต่งตัวเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนส์ตัวโปรดและปิดท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบ ในขณะที่ภูรดาและภีตามาในชุดสูทสากลอย่างเป็นทางการ
   ติณณ์พาภีมเข้ามานั่งที่โต๊ะทางด้านหน้า โดยให้นั่งรวมกับครอบครัวของฟิน และนั่นทำให้ภีมไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร จะปฏิเสธออกไปก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เขาจึงจำใจยอมรับและนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี
   โชคดีที่ฟินและครอบครัวยังไม่มา ภีมคิดในใจก่อนจะหันหลังกลับไปมองติณณ์ แต่พอหันไปคนที่เขาพบกลับไม่ใช่ติณณ์ แต่เป็นฟิน
   ภีมชะงักไปเพราะฟินก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน นอกจากนั้นยังมี ฟางข้าว อาภา และนที ทุกคนอยู่กันครบ
   ภีมอยากจะหนีไปจากงานนี้เสียแล้ว เขาคงไม่กล้าอยู่สู้หน้าพ่อกับแม่ฟินเป็นแน่
   แต่ยังไม่ทันที่ภีมจะได้ทำอะไร ครอบครัวก้องกิตติกุลก็เดินมายังโต๊ะแล้วกล่าวสวัสดีขึ้นเสียแล้ว
   ภีตาและภูรดาทักทายตอบ ส่วนภีมอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากทักทายกลับไปโดยที่ไม่สบตากับใครทั้งนั้น
   “พี่ฟินนั่งตรงนี้ละกันนะคะ” ฟางข้าววิ่งมาเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับภีมแล้วพยักหน้าให้พี่ชาย อาภาและนทียืนดูอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   ฟินเหล่มองภีมที่นั่งก้มหน้างุดๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่ฟางข้าวเลื่อนให้ สาวน้อยยิ้มอย่างดีใจก่อนจะวิ่งไปเลื่อนเก้าอี้ให้พ่อและแม่ของตน
   “งานวันนี้สนุกจังนะคะ” ฟางข้าวเริ่มชวนคุย ในขณะที่นที อาภา ภีตาและภูรดาเริ่มจับกลุ่มคุยกันเรื่องอื่น ตามประสาผู้ใหญ่
   ฟินและภีมนั่งนิ่งไม่พูดอะไรตอบ ฟางข้าวจึงแกล้งถอนหายใจแล้วพูดต่อ “งานแต่งงานแท้ๆมานั่งทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว โตๆกันและ น่าจะคิดเป็น”
   ฟินมองหน้าน้องสาวอย่างเอาเรื่อง ส่วนภีมก็ได้แต่ก้มหน้าเหมือนเดิม
   “ไม่ยอมคุยกันให้เข้าใจ จะรอจนแก่เลยรึไง” ฟางข้าวพูดอีก และพูดต่อไปเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมา เธอจึงหยุดพูดแล้ววิ่งไปหาของกินแทน
   ผู้ใหญ่ในโต๊ะคุยกันอย่างออกรส จะมีก็แต่ฟินและภีมเท่านั้นที่นั่งเงียบ
   เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ฟินรู้สึกหิวจึงลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปตักอาหาร ในตอนนั้นเองภีมก็จับมือฟินไว้แล้วกล่าวออกมาเสียงเบาว่า “คุยกันหน่อยสิ”
   ฟินมองภีมด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แต่แล้วเขาก็พยักหน้าแล้วเดินนำภีมออกไป ภีมลุกขึ้นเดินตาม ฟินเดินนำหน้าไปเรื่อยๆและมาหยุดฝีเท้าลงตรงสวนหลังบ้านที่ปลอดคน
   ฟินกลับหลังหันมาเผชิญหน้ากับภีมโดยที่ไม่พูดอะไร
   ภีมทำสีหน้าลังเลก่อนจะเบนสายตามายังฟิน จ้องมองเขาด้วยแววตาไม่แน่ใจ “ให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้หรือไง ทำไมต้องโกรธฉันกับเรื่องแค่นี้ แค่ฉันไม่มาอยู่กับนาย”
   ฟินนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ใบหน้ายังคงอยู่ในภาวะไม่แสดงอารมณ์เช่นเดิม
   “ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าเราอยู่ใกล้กันเกินไป ทุกอย่างอาจไม่เหมือนเดิม”
   “ฉันเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล” ฟินตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา
   “ฉันคิดว่านายเข้าใจฉันเสียอีก เข้าใจว่าฉันเป็นคนยังไง เฮ้อ... วันนี้ฉันเพิ่งเห็นว่านายเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้ จำได้ไหม... ที่นายเคยบอกว่าเข้าใจฉัน รู้ว่าฉันเป็นอย่างไร ตอนนั้นฉันดีใจมากแต่ก็พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้น ฉันอายที่จะยอมรับและไม่กล้าที่จะคิดเรื่องแบบนั้น แต่นายกลับแสดงออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย นายกล้าเปิดเผยว่าตัวเองเป็นอย่างไร ผิดกับฉันที่ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง” ภีมพูดไปเรื่อยๆอย่างที่ใจอยากพูด
   “ฉันอยากหนีให้ห่างความรู้สึกบ้าๆนั่นแต่ยิ่งหนีมันก็ยิ่งรู้ว่าฉันคิดกับนายอย่างไร”
   ฟินเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ภีมไม่ทันเห็นรอยยิ้มนั่น
   “พูดไปมันก็เท่านั้น เพราะนายดูไม่ใช่ฟินคนเดิมที่ฉันรู้จักเลย” ภีมเริ่มตัวสั่นเพราะความอัดอั้นที่อยู่ในใจ “แล้วในสายตาของนาย ฉันก็คงไม่ใช่ภีมคนที่นายเคยชอบอีกแล้วล่ะ” ภีมพูดประโยคนี้จบก็รีบเดินหนีไปทันที
   ฟินรีบวิ่งตามไปและกอดร่างของภีมไว้ “ฉันยังเป็นฟินคนเดิม และภีมก็ยังเป็นคนที่ฉันรักอยู่เสมอ” ฟินกระซิบบอกเบาๆ “ฉันยอมรับว่าเห็นแก่ตัว ฉันกลัวว่าถ้าเราไม่อยู่ด้วยกันแล้วนายจะหนีฉันไปอีก”
   ภีมตัวสั่นรุนแรงขึ้นจนฟินอดตกใจไม่ได้ “เป็นอะไรไปน่ะ”
   “ฉันโมโหนาย โมโหที่ไม่ยอมเข้าใจฉันเลย” ภีมพูดเสียงสั่น
   ฟินหัวเราะเบาๆแล้วกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น “ตอนนี้เข้าใจแล้ว เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้เหมือนตอนเราเป็นเด็กๆไง ชอบเล่นซ่อนหากัน”
   “บ้าไปแล้วหรือเปล่า” ภีมว่า
   “พ่อกับแม่ฉันอยากเจอภีมนะ ฟางข้าวก็ชอบภีมมากด้วย ตอนนี้คนบ้านนี้รักภีมกันทั้งนั้น” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน “ส่วนคุณภีตา ท่านก็ดีกับฉันมาก เป็นคนดีที่สุดเลย”
   ภีมนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่เล็กจนโตภีมไม่เคยภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกของภีตาเลย จนกระทั่งช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทำให้เขาได้รู้ว่า ตัวเองคิดผิดไป แท้จริงแล้วภีมคือคนที่โชคดีมากๆต่างหากที่ได้เกิดเป็นลูกของผู้ชายคนนี้
   “ไปหาพ่อกับแม่ฉันเถอะนะภีม ไปคุยกับท่าน” ฟินบอก
   ภีมถอนหายใจแรงๆอย่างตั้งสติก่อนจะตอบตกลงออกมาเสียงเบา
   ฟินคลายอ้อมกอด มองหน้าภีมอย่างรักใคร่ ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนลงไปบนริมฝีปากของภีม


 :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
อย่างซึ้งเลย


ความรักของฟินกับภีมยิ่งใหญ่มาก


น้ำตาไหลเลยอ่า

น่าอิจฉาภีมที่มีคนรักมากขนาดนี้

ออฟไลน์ bobie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-7
น้ำตาไหลเลยอ่า
ความรักของฟินกะภีมยิ่งใหญ่มากเลย
แม้จะเจออุปสรรคมากมายแต่สุดท้ายก็กลับมารักกันได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blanchard

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 376
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-3
คืนดีกันจนได้      :เฮ้อ:

รักภีมเนี่ย... เหนื่อยนะ ก็พยายามจะเข้าใจในมุมของภีมนะ แต่ถ้าเราเป็นฟินนะคงบ๊ายบายยอมแพ้ไปนานแล้ว       :m8:

ภีมโชคดีมาก ๆ ที่ได้รับความรักจากคนอย่างน้องฟิน


คงยังไม่จบใช่มั๊ยฮะคุณ zusuki รอติดตามต่อ   

ออฟไลน์ w1234

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 626
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
อ่านแล้วน้ำตาซึมออกมาเลย

tawan

  • บุคคลทั่วไป
อยากบอกว่าอ่านไปเครียดมากน้ำตาซึมเลย

แต่พอเข้าใจกันโล้งงงงงงงงงงมากเลย

รีบมาต่อนะ

 :call:

butajang

  • บุคคลทั่วไป
เเอบเเละซุ่มอ่านมาหลายวัน เครียด ปวดตับไต ทำไม๊ทำไม ไม่คุยก๊านนนน เเละสุดท้าย เอาภีมไปเก็บขอฟินได้ไม๊อะ เค้าอยากได้อย่างฟินอะ อยากได้ๆ (ลงไปนอนดิ้นๆ) กรี๊ดดด ขอเพิ่มอีกหนึ่ง บวกให้เเล้วนะคะ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
กว่าจะเข้าใจกัน ทำเอาเหนื่อยและน้ำตาร่วงไปหลายรอบ อยากให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันเร็วๆจัง

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ขอเป็น fc น้องฟิน น้องภีม ด้วยคนนะคะ น่ารักดีค่ะ ฝากไปกอดน้องด้วย
สู้ ๆ ค่ะ จัดไปเต็ม ๆ 1 แต้ม อิอิ

zusuki

  • บุคคลทั่วไป

บทส่งท้าย


   คอนโดของฟินยังเหมือนเดิม คือเรียบร้อยอย่างไรก็เรียบร้อยอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง บรรยากาศในห้องก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งเห็น ยิ่งชวนให้นึกถึงภาพเก่าๆ ภาพที่ทุกคนเคยอยู่ร่วมกันเมื่อตอนนั้น
   ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงไม่ทำอย่างที่ผ่านมา หรือว่า... เลือกที่จะทำอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าคนเรารู้อนาคตมันก็คงดี ดีกว่าต้องมานั่งตัดสินใจ ปล่อยให้การเลือกของเราทำร้ายตัวเราเองและคนที่เรารัก
   แต่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร เราต่างก็มีทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเลือกผิดหรือถูก ถ้ามันเป็นทางเดินที่สร้างมาเพื่อเราจริงๆ สักวันเราก็ต้องเดินไปพบกับทางนั้นอยู่ดี
   และตอนนี้ ถ้าคิดไม่ผิด เขาคงกำลังเหยียบย่ำอยู่บนทางเส้นนั้นอยู่
   แม้ว่าที่ผ่านมามันจะทำให้ใครต่อหลายคนเจ็บตัวและเจ็บใจไปบ้าง แต่มันก็คุ้มล่ะนะกับสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ความอดทนแม้จะทำให้เราเจ็บใจแต่มันก็ให้ผลที่คุ้มค่าอยู่เหมือนกัน
   ภีมเสยผมที่ปรกใบหน้าออก ผมของเขายาวเร็วกว่าคนทั่วไป เพิ่งตัดไปได้ไม่นานก็เริ่มยาวจนประบ่าอีกแล้ว
   หลังจากงานแต่งงานของติณณ์และมีนาผ่านพ้นไป ดูเหมือนอะไรๆก็ดีขึ้นไปหมดทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องของเขาและฟิน มันน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่คนเคยเกลียดเราแปรเปลี่ยนมารักเราได้ ภีมกำลังนึกถึงพ่อของฟิน ตอนแรกที่ภีมเห็นหน้านทีก็อดที่จะขัดเขินไม่ได้ มันยากที่จะเผชิญหน้าจริงๆ
   แต่ในเมื่อฟินยืนยันว่ามันไม่มีอะไร เขาก็จะเชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างที่ฟินบอก
   และเขาก็ตัดสินใจถูก เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ นทีทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้น ภีมรู้ดีว่าเขากำลังพยายามลืมและเขาก็อยากให้ภีมลืมด้วย
   ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ภีมก็จะทำ ทำเหมือนว่าเขาไม่เคยพูดหรือทำอะไรเมื่อครั้งก่อนนั้น
   ส่วนอาภา แม่ของฟิน เธอยังคงเป็นผู้หญิงคนเดิมที่มีจิตไมตรี เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ภีมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมากทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ เธอมีสัมผัสของความเป็นแม่อยู่เต็มเปี่ยม
   “มานานหรือยังครับพี่” ติณณ์เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับมีนา สองมือถือข้าวของพะรุงพะรังกันทั้งคู่
   “สวัสดีภีม ฟินยังไม่มาอีกเหรอ” มีนาถามพลางมองไปรอบๆห้อง
   “เห็นบอกว่าขับรถออกมาแล้ว อีกชั่วโมงนึงคงถึง แล้วนั่นซื้ออะไรมาเยอะแยะ” ภีมเดินไปดูข้าวของที่กองอยู่เต็มโต๊ะ
   “อาหารอร่อยๆจากครัวมีนาครับพี่ มีนเข้าครัวเองเลยนะ มีแต่ของชอบของทุกคนเลย” ติณณ์พูดเสียงร่าเริง ตั้งแต่แต่งงานกับมีนา เขาก็เรียกเธอว่ามีนเฉยๆ
   “พี่เบสท์กับอินยังไม่มาอีกเหรอครับ” ติณณ์ถามต่อ
   “อีกแป๊บนึงคงถึง เห็นบอกว่ากำลังซื้อของอยู่ ไม่รู้จะซื้ออะไรนักหนา” ภีมบ่นพลางหยิบขนมที่มีนาจัดใส่จานไว้เข้าปาก
   “แหม นานๆทีจะมีปาร์ตี้ ต้องกินให้คุ้มสิ” ติณณ์พูดเสียงดังจนขนมกระเด็นออกจากปาก ภีมใช้มือฟาดไปที่หัวของเขาเบาๆอย่างตักเตือน
   “ทำอะไรทุเรศไม่เปลี่ยนเลยนะแก แต่งงานแต่งการแล้วแท้ๆ”
   “แหมๆ พี่ภีมก็ว่าไป ตัวเองน่ะ มูมมามกว่าผมอีกนะครับ” ติณณ์ว่าพลางชี้ไปยังมือของภีมที่เลอะเทอะไปด้วยเศษอาหาร
   “อยากโดนเตะใช่มั้ยแกน่ะ” ภีมมองหน้าอย่างหาเรื่อง
   ติณณ์แกล้งยกมือไหว้จนท่วมหัวแล้ววิ่งไปหลบหลังมีนา
   ความวุ่นวายเริ่มได้ไม่นานนัก เบสท์และอินตาก็มาถึงพอดี
   ติณณ์เป็นคนไปเปิดประตู เบสท์ทักทายเขาด้วยมะเหงกลูกใหญ่หนึ่งลูกจนติณณ์ร้องเสียงดังลั่น
   “น้อยๆหน่อย เขกนิดเขกหน่อยทำเป็นโวยวาย” เบสท์ว่าเข้าให้
   “เจ็บนะครับพี่ ลองดูมั้ยล่ะ”
   “หรือจะเอาอีก” เบสท์ถาม
   “พอแล้วครับ พอๆ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว” ติณณ์เดินลูบหัวป้อยๆมาหามีนา
   มีนาส่ายหน้าเบาๆแล้วแถมมะเหงกไปให้อีกที “ร้องเสียงดัง เอะอะโวยวายจริงๆ”
   ติณณ์ทำหน้าเบ้ นั่งหยิบขนมกินคนเดียว ไม่มีใครสนใจเขาเลย
   หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ฟินและฟางข้าวก็มาถึงพร้อมขนมเต็มมืออีกเช่นกัน ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เห็นทีจะถึงเวลาของการเลี้ยงฉลองซักที
   “รอนานมั้ยทุกคน ยัยตัวแสบมัวแต่เลือกโน่นเลือกนี่ไม่หยุด” ฟินบุ้ยหน้าไปทางน้องสาวที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างสบายอารมณ์ “ดูเถอะ ว่าแล้วยังไม่รู้สึกอีก”
   ฟางข้าวเดินนำหน้าพี่ชายเข้ามาพลางจุดเทียนที่อยู่บนเคาน์เตอร์ห้องครัว “มาเริ่มฉลองกันเถอะค่ะ ฟังพี่ฟินบ่น น่าเบื่อจะตาย”
   ภีมยิ้มบางๆกับคำพูดของฟางข้าว เขาเดินเข้ามาหาฟินพร้อมกับชกเข้าเบาๆที่หัวไหล่ “รอตั้งนาน”
   ทุกคนเริ่มเดินเข้าไปหาของกินที่อยู่บนเคาน์เตอร์ เครื่องดื่มต่างๆในวันนี้ล้วนแล้วแต่มีแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจับอะไรเป็นอันต้องได้ลิ้มรสชาติอย่างแน่นอน
   และคนผสมเครื่องดื่มดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ติณณ์... นั่นเอง
   ในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจอยู่กับอาหารการกิน สองหนุ่มในงานก็ค่อยๆปลีกตัวออกมาที่หน้าระเบียง
   ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้สวยสดงดงามกว่าคืนไหน ดาวนับร้อยดวงกระพริบแข่งกันราวกับดวงไฟนับร้อยดวง สีสันของกรุงเทพฯในยามราตรียังคงมีเสน่ห์เช่นเดิม แม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อยไปตามกระแสลม เรือน้อยใหญ่แล่นผ่านลำแล้วลำเล่า
   ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป อะไรหลายสิ่งหลายอย่างก็ยังคงเดิม แต่คนเราก็ไม่อาจรู้อนาคต อีกสิบปีข้างหน้า เมื่อโลกก้าวหน้าขึ้นไปอีก ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้
   เพราะโลกย่อมหมุนไปเรื่อยๆอย่างที่มันควรเป็น วันนี้เหมือนเดิม พรุ่งนี้อาจไม่เหมือนเดิม
   แต่ถ้าเราสนใจจดจ่ออยู่กับความเปลี่ยนแปลง วันนี้ของเราก็จะไม่ได้กระทำอะไรอันเป็นสิ่งที่น่าจดจำเลย
   ภีมทำหน้าทะเล้นพลางวางมือทั้งสองข้างไว้บนไหล่ของฟิน “ฉันอาจจะไม่เคยบอกให้นายรู้แบบชัดๆ แต่วันนี้ฉันคิดว่าน่าจะบอกให้ชัดๆได้แล้ว” ฟินมองหน้าภีมอย่างตั้งใจ ใบหน้าทะเล้นของภีมตอนนี้ชวนให้คิดถึงตอนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ
   ตอนนั้นเขาทั้งสองเหมือนอยู่คนละโลก คนหนึ่งเฉยเมยและตั้งหน้าตั้งตาเรียน อีกคนหนึ่งใจร้อนและเบื่อกับการอยู่ในกรอบที่มีคนขีดไว้
   “มาไม้ไหนอีกล่ะ” ฟินกล่าวอย่างขบขัน
   “นายเป็นคนดีมากๆ ดียังไงก็ดียังงั้น” ภีมบอกพลางจ้องหน้าฟินอย่างจริงจัง
   “แค่นี้เองเหรอ” ฟินกลอกตาไปมา
   “มีอีก ใจเย็นๆสิ มันตื่นเต้นนะเนี่ย” ภีมบอกอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดต่อไปอีก “แล้วนายก็รักฉันด้วย ทั้งๆที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย”
   “แล้วยังไงอีก” ฟินยิ้มได้ใจพลางกระเถิบตัวเข้าหาภีมทีละนิด
   ภีมไม่ทันสังเกตจึงพูดต่อไป “ฉันก็เลยคิดว่า ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้ว”
   “แล้ว...”
   ภีมยังคงจ้องหน้าฟินอยู่ แต่ตอนนี้ในแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนไหว “ฉันก็ควรจะรักนายเหมือนกัน”
   ควรจะ... ควรจะ... ควรจะ...
   ฟินถอยหลังกลับไปทันที ภีมรับรู้ถึงปฏิกิริยานั้น เขาจึงรีบพูดแก้ออกมา “โอ๊ย... ฉันมันก็พูดไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ แต่ฉันรักนายมากนะฟิน”
   ฟินค่อยๆยิ้มออกมา เขายืนนิ่งๆอย่างนั้นแล้วมองหน้าภีม
   ภีมเม้มปากเสียจนเป็นเส้นตรงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขาวิ่งเข้าไปกอดฟินและซุกหน้าลงที่หัวไหล่ “งานเลี้ยงรุ่นปีหน้า เราไปด้วยกันนะ”
   ฟินหัวเราะออกมา “มันใช่เวลาพูดเรื่องอื่นมั้ยเนี่ย”
   “แล้วจะไปมั้ยล่ะ” ภีมย้อนถาม
   “ไปสิ ฉันต้องไปกับนายอยู่แล้ว”
   ฟินให้สัญญาก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
   ท้องฟ้ายามค่ำคืนยังคงเต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อยดวงและมันคงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าโลกจะแตกดับ มันก็เหมือนกับความรัก ตราบใดที่แสงของมันยังไม่มอดดับ ตราบนั้นมันก็ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์


//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


เปิดจองนิยายประจำเดือน ตุลาคม  2554

เปิดจองพร้อมโอนวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม - วันเสาร์ที่  3 ธันวาคม 2554



เรื่อง        คุณชายเเสนร้ายกับนายใจเย็น
เรื่องโดย   mitunayon
ภาพประกอบ sukichan
 
 เรื่องย่อ...
            ประธานนักเรียนแสนเย็นชา(ฟิน)มาเผชิญหน้ากับคุณชายตัวร้าย(ภีม) ฝ่ายคุณชายไม่คิดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกแปลกๆในใจชอบกลทั้งๆที่เห็นหน้ากันมาตั้งสองปี ว่าแล้วโชคชะตาก็ทำให้เขาทั้งสองได้ใกล้ชิดกันในบทบาทของครูและนักเรียน ต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันจนเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น
 
 
 

รายละเอียด
+++ หนังสือเล่มเดียวจบ 415 หน้า โดยประมาณ ขนาด A5
+++ปกกระดาษอาร์ตการ์ด เคลือบมัน เนื้อในกระดาษถนอมสายตา

ราคาเเละค่าส่ง
+++ เล่มละ 390  บาท   ค่าส่ง 45 บาท  รวมทั้งชุด 435 บาท
 
โปรโมชั่นเฉพาะช่วงจอง

+++ตอนพิเศษ ที่เเต่งใหม่ไม่ลงที่ไดๆในโลกนอกจากในหนังสือ

+++สมุดโน๊ต ขนาด A5 เล่ม(เท่ากับนิยาย) หน้าปกเป็นภาพเดียวกับนิยาย เนื้อในเป็นกระดาษถนอมสายตา มีเส้นเเละภาพตัวละคร
ประกอบ
ตัวอย่างปกสมุดโน๊ต

+++ที่คั่นหนังสือ

+++สั่งพร้อม เรื่อง พิมตะวัน ฟรีค่าส่งสินค้า
 
 
 
 
 

เรื่อง         พิมตะวัน
 
เรื่องโดย    anajulia
 
 
 เรื่องย่อ...
             "เชื่อกันว่า...อำพันเป็นเครื่องรางที่จะนำพาความรักมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ...ถ้าพี่จะบอกว่าพี่ที่เป็นเจ้าของเก่าได้พรข้อนี้มา
แล้วเลยมอบมันให้กับดอว์น....ทั้งอำพัน ทั้งความรู้สึกของพี่...ดอว์นจะรับมันไว้รึเปล่า?"
 
               บางครั้งศัตรูของความรักที่น่ากลัวที่สุด...ก็คือความกลัว....
 

ติดตามอ่านต่อที่นี่เลย
 
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19610.0
 
รายละเอียด
+++ หนังสือเล่มเดียวจบ 400 หน้า โดยประมาณ
+++ปกกระดาษอาร์ตการ์ด เคลือบมัน เนื้อในกระดาษถนอมสายตา

ราคาเเละค่าส่ง
+++ เล่มละ 410  บาท   ค่าส่ง 45 บาท  รวมทั้งชุด 455 บาท
 
โปรโมชั่นเฉพาะช่วงจอง

+++ตอนพิเศษ ที่เเต่งใหม่ไม่ลงที่ไดๆในโลกนอกจากในหนังสือ

+++สมุดโน๊ต ขนาด A5 เล่ม(เท่ากับนิยาย) หน้าปกเป็นภาพเดียวกับนิยาย เนื้อในเป็นกระดาษถนอมสายตา มีเส้นเเละภาพตัวละคร
ประกอบ
ตัวอย่างปกสมุดโน๊ต

+++ที่คั่นหนังสือ

+++สั่งพร้อม เรื่อง คุณชายเเสนร้ายกับนายใจเย็น ฟรีค่าส่งสินค้า
 
วิธีการสั่งซื้อ
 
++++สั่งซื้อเรื่องไหน ระบุมาด้วยนะคะ+++

 สั่งซื้อผ่านทาง we love shopping หรือโอนเงินค่าสินค้าเเล้วเเจ้งจองเข้ามา โดยเข้าไปดูเอลที่บัญชีเเละวิธีการสั่งซื้อโดยการ
 
คลิกเเบนเนอร์"สำนักไร้กรอบ"ด้านบนเข้าไปได้เลยค่ะ หรือมีข้อสงสัยอะไร ฝากไว้ที่บอร์ด สำนักไร้กรอบได้เลยนะคะ



 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
สนุกดีค่ะ แต่การเดินทางนี่ยาวนานมากเลย
กว่าที่ฟินและภีมจะได้อยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

¡ииσcэиτ

  • บุคคลทั่วไป
ซึ้งมากเลย
 :monkeysad:

กว่าจะจบทำเอาเสียน้ำตาไปหลายลิตรเลย

 :sad11: :sad11: :sad11:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด