พิมพ์หน้านี้ - ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: zusuki ที่ 18-09-2011 22:37:52

หัวข้อ: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 18-09-2011 22:37:52
ติดตามประกาศเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆนะครับ จะอัพเดทบ่อยๆ
ถ้าผู้ใดตั้งกระทู้ไปแล้ว รบกวนแก้ไขโดยการกด modify ที่รีพลายแรกหน้าแรกของกระทู้ตัวเอง
จะเข้าไปแก้ไขรีพลายและชื่อกระทู้แรกได้นะครับ

1.นักเขียน  นักโพสทุกท่านกรุณานำข้อความใต้เส้นขึ้นต้นเรื่องด้วยนะครับ
จะได้เป็นการเตือนให้คนอ่าน รู้และตระหนักถึงความสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบนะครับ
จะได้ไม่มีเรื่องผิดใจ อื่นๆตามาภายหลังนะครับ

2.กรณีที่เป็นเรื่องสั้น  ให้ขึ้นต้นหัวกระทู้ว่า (เรื่องสั้น) ทุกเรื่องนะครับ   เรื่องสั้นเอาแค่ว่าใช้กับเรื่องที่ยาวไม่มาก

3.ถ้า เป็นเรื่องที่ไม่ได้แต่งเอง ให้ขออนุญาตคนเขียนจนกว่าคนเขียนจะอนุญาตจึงจะนำมาโพส และให้ต่อท้ายด้วย by ชื่อคนเขียน เช่น by somebazaay

****************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
     
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
     
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลง

มาตามลำดับ

      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น

            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบ

จริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





บทที่ 1 – คุณชาย vs ประธาน



   “เลิกยุ่งกับฉันเสียที” หนุ่มน้อยร่างสูงเพรียว ผิวขาว ดวงตาคมกลมโตพูดกับเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่า เธอไม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น มีเพียงน้ำตาเอ่อคลออยู่ที่ดวงตาเท่านั้น

   “มิลค์ทำอะไรก็ผิดตลอด ไม่เคยถูกใจภีมเลยสักอย่าง” เธอตัดพ้ออย่างน้อยใจ ตลอดเวลาหนึ่งปีที่คบกันเขาไม่เคยทำหน้าที่คนรักที่ดีของเธอเลยสักครั้ง

   “รู้ตัวนี่ เธอทำอะไรก็ไม่ถูกใจฉันสักอย่าง ต่อไปเธอไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก” ภีมตะโกนใส่สาวน้อยตรงหน้าที่กำลังสะอื้นอยู่อย่างโมโห

   “ไอ้บ้า คนบ้า นายมันบ้า ฉันเป็นถึงดาวโรงเรียนเชียวนะ”

   “แล้วยังไง ก็แค่ดาวโรงเรียน ไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้เลย” ภีมถลึงตาใส่มิลค์

   “ไอ้คนเลว ฉันเกลียดนาย” มิลค์วิ่งหนีไป

   ภีมส่ายหัวอย่างแรงครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อนหลังโรงเรียน ที่นั่งประจำของเขา

   ภีมเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่พ่วงด้วยความสามารถในการเล่นดนตรี ไม่ว่าจะเป็นเปียโน กีต้าร์ ไวโอลิน หรือแซ็กโซโฟน แต่สิ่งที่ภีมไม่ถนัดเลยจริงๆคือเรื่องเรียน

   เสียงออดซึ่งเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาเข้าเรียนวิชาแรกดังขึ้น ภีมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นจะไปเรียนอย่างคนอื่น เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ

   เนิ่นนานอย่างนั้น จนกระทั่งใครคนหนึ่งเรียกชื่อเขา “ภีม”

   ภีมหันไปตามเสียงเรียกนั้น “นายเองเหรอ นึกว่าใคร”

   “ทำไมไม่เข้าเรียน” เสียงทุ้มเรียบเฉยของคนมาใหม่สร้างโทสะให้คนเลือดร้อนอย่างภีมเป็นที่สุด

   “แล้วนายจะมาสะเออะ-อะไรกับเรื่องของฉันวะ ไอ้ประธานนักเรียนขี้เหม็น” ภีมตะคอกใส่หนุ่มร่างสูง ทว่าดูกำยำกว่าเขาหลายเท่าตัว

   “ฉันก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ ถ้าไม่บังเอิญเห็นสารวัตรนักเรียนกำลังมาทางนี้” เขาพูดพลางเหล่ตาไปอีกทางหนึ่ง ภีมมองตาม เขาไม่ได้โกหกจริงๆ

   “ไอ้ประธานนักเรียนขี้เหม็น” ภีมพูดใส่หน้าเขาก่อนจะคว้ากระเป๋าเรียนเดินหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะหันมาแลบลิ้นใส่

   คนถูกว่าเป็นประธานนักเรียนขี้เหม็นยังมีสีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม ไม่นานนักสารวัตรนักเรียนก็เดินมาทางที่เขายืนอยู่

   “เมื่อกี้คุยอยู่กับใครหรือครับประธาน” สารวัตรนักเรียนชื่อเบสท์ถามขึ้น

   “อ๋อ เพื่อนน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”

   “แล้วเย็นนี้...”

   “มีประชุมที่สระว่ายน้ำใหญ่ บอกสารวัตรนักเรียนทุกคนด้วย” น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยดุจเดิม

   “ครับ”

   ประธานนักเรียนหนุ่มเดินไปเรียนตามปกติ ระหว่างทางก็คิดถึงเรื่องเด็กหนุ่มที่ชื่อภีมขึ้นมา อยู่ดีดีเขาต้องสนใจหมอนี่ทำไมกัน ทั้งๆที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว (ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ม.6)

   เขาสะบัดศีรษะแรงๆไล่ความคิดนี้ไปก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปเรียนให้เร็วที่สุด

   “สวัสดีจ้ะฟิน ทำไมวันนี้มาเรียนสายนักล่ะ” เพื่อนร่วมห้องที่ชื่อเพลงทักขึ้น

   “บังเอิญต้องไปทำธุระเรื่องกองทุนของโรงเรียนน่ะ” ฟินตอบเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อยังคงไร้รอยยิ้ม เขาเป็นคนไม่ชอบยิ้มมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ว่าจะกับใครก็ตาม

   “แล้วเย็นวันนี้เราจะไปประชุมกันที่ไหนดีล่ะ”

   “ที่สระว่ายน้ำใหญ่ของโรงเรียน วันนี้จะมีรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว เข้าร่วมการประชุมด้วย”

   เพลงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ

   เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน ฟินและกรรมการนักเรียนทุกคนเดินไปยังสระว่ายน้ำใหญ่ของโรงเรียน

   รุ่นพี่มารออยู่แล้ว ฟินเดินเข้าไปทักทายรุ่นพี่อย่างมีมารยาท ทว่าสีหน้ายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

   “ฟินจ๊ะ พี่ขอดูรายละเอียดการจัดงานเลี้ยงรุ่นหน่อยสิจ๊ะ” รุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งพูดขึ้น เธอพูดพลางเดินเข้าไปใกล้หนุ่มน้อยอย่างช้าๆ ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มชวนมอง

   “ได้ครับ” ฟินส่งแฟ้มเอกสารที่ถืออยู่ให้เธอก่อนจะเขยิบตัวออกห่างไปสามก้าวพลันสายตาก็เหลือบเห็นร่างสูงคุ้นตากำลังทำลับๆล่อๆอยู่ที่หลังโรงเรียน

   “บอล ฝากเป็นหัวหน้าการประชุมนี่พักนึง เดี๋ยวฉันมา” ฟินพูดพลางยัดกระดาษสองสามแผ่นให้กับบอลก่อนจะวิ่งไปที่หลังโรงเรียนอย่างรวดเร็ว

   ร่างสูงคุ้นตาที่ว่าไม่ใช่ใคร ภีมนั่นเอง...

   ฟินยืนมองภีมอยู่ห่างๆ เขาต้องการดูให้แน่ใจก่อนว่าหมอนี่คิดจะทำอะไรอีก

   ภีมเปิดกระเป๋าเป้หยิบฮาโมนิก้าสีเงินขึ้นมาเป่า จังหวะที่เป่านั้นบอกไม่ได้ว่าเป็นจังหวะอะไรเพราะมันฟังไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ภีมถนัดเล่นดนตรีหลายชนิดแต่สำหรับฮาโมนิก้าเขารู้สึกว่ามันช่างเป่ายากเหลือเกิน

   “เป่ายากไปไหน...” ภีมบ่นอุบพลางลองเป่าอีกครั้งอย่างใจเย็น

   แต่ยังคงเหมือนเดิม

   “อะไรวะเนี่ย” แล้วเมาท์ออร์แกนก็ถูกปาลงพื้นเรียบร้อย

   “นักดนตรีอย่างนายไม่น่าเชื่อว่าจะเป่าเจ้านี่ไม่เป็น” ฟินหยิบฮาโมนิก้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะเป่ามันด้วยท่าทางสบายๆ
   
   ฟินเป็นคนเก่ง ทั้งเรื่องเรียน เล่นกีฬา ทำกิจกรรมและอะไรหลายๆอย่าง แต่สำหรับเรื่องดนตรีแล้วเขาไม่ถนัดจริงๆแต่ก็ยังมีเม้าท์ออร์แกนนี่ล่ะ ที่เขาสามารถเป่ามันได้

   ภีมมองหนุ่มร่างสูงตรงหน้าอย่างตกใจ

   ไอ้หมอนี่มันจะเก่งทุกอย่างเลยหรือไงเนี่ย

   “ต้องเป่าอย่างใจเย็น” ฟินว่าพลางส่งฮาโมนิก้าคืนให้ภีม

   “ไสหัวไปไกลๆเลย ใครสั่งให้นายมาสั่งสอนฉันเนี่ย”

   “พูดดีๆกับคนอื่นไม่เป็นรึไง คุณชายภีม” ฟินพูดเสียงเย็นชาก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ภีม

   หนุ่มร่างสูงอีกคนรีบกระโดดหนีแทบจะทันที ไม่เคยเห็นประธานนักเรียนคนนี้จู่โจมกะทันหันเลยรู้สึกตกใจ

   “นายจะทำอะไร”

   “สั่งสอนนายให้รู้จักพูดดีๆกับคนอื่นบ้างน่ะสิ” ฟินว่าแล้วเดินเข้าไปใกล้อีก

   “ไอ้บ้าเอ๊ย...” ภีมปล่อยหมัดไปสู่ใบหน้าหล่อของฟินอย่างแรงโดยที่ไม่รู้ตัว

   “ต่อยฉันทำไม” ฟินใช้มือเช็ดเลือดที่อยู่ตรงมุมปากก่อนจะเดินหนีไปดื้อๆ ส่วนภีมก็ได้แต่นิ่งอึ้งตกใจในการกระทำของตนเอง

   “แล้วเราไปต่อยมันทำไมหว่า” ภีมพูดกับตัวเอง แต่พอมานั่งคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่สมควรทำแล้ว

   ก็ไอ้ประธานขี้เหม็นดันมายุ่งกับเขาทำไมกัน ต่างคนต่างอยู่มาตั้งสองปีแล้ว อยู่ดีดีเกิดจะมาหาเรื่องเขาในปีสุดท้ายเสียนี่มันก็สมควรแล้ว




 :z6: :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 1 - คุณชาย vs ประธาน
เริ่มหัวข้อโดย: เจริญพร ที่ 18-09-2011 22:41:07
 :3123:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 1 - คุณชาย vs ประธาน
เริ่มหัวข้อโดย: silverphoenix ที่ 18-09-2011 22:45:01
ต้อนรับเรื่องใหม่จ้าาา

ต้องแปะกฏไว้ที่รีแรกด้วยน้า  ดูได้จากเรื่องอื่นๆ

คุณประธานนี่เป็นพระเอกใช่ม้าาา  ชอบอ้ะ  555
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 2 - คุณชายภีม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 18-09-2011 22:49:34




บทที่ 2 - คุณชายภีม




   “ยัยบ้าเอ๊ย ถ้าทำไม่เป็นก็อย่ามายุ่ง” ภีมตวาดใส่สาวใช้ตัวเล็กที่กำลังตัวสั่นเทาเพราะความกลัว เธอเพิ่งเข้ามาทำงานในคฤหาสน์หรูของตระกูลพิริยะวันเดียวแต่ต้องมาถูกเจ้านายอารมณ์ร้อนคนนี้ตวาดใส่ด้วยสุ้มเสียงอันดัง เพียงเพราะเธอทำผมให้เขาผิดแบบ

   “ขอโทษค่ะคุณภีม คือว่า...”

   “ไม่ต้องมาพูด ขี้เกียจฟัง ออกไปจากห้องฉันเลย” ภีมชี้ไปที่ประตูห้อง ใบหน้าคมซีดลงด้วยความโมโห

   “ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่างคนบ้านนี้”

   ภีมเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลพิริยะ พ่อและแม่ของเขาเป็นนักธุรกิจค้าเพชรพลอยชื่อดังของประเทศ รวมถึงนอกประเทศด้วย แต่ทั้งสองไม่มีเวลาให้ลูกชายมากนักเพราะต้องเดินทางไปโน่นมานี่อยู่ตลอดเวลา ภีมจึงต้องอยู่ลำพังกับบรรดาสาวใช้

   และพี่สาวคนโตที่ดูบ๊องส์ๆบวมๆ เธอจะกลับบ้านเฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น

   อย่างเช่นวันนี้...

   ภูรดาเดินเข้าบ้านมาอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง จะไม่เหวี่ยงได้อย่างไรไหว ในเมื่อน้องชายตัวดีโดดเรียนบ่อยเสียจนมีจดหมายจากฝ่ายปกครองส่งไปถึงที่ทำงานของเธอ

   “เจ้าภีม เจ้าน้องตัวดี อยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลย” สาวร่างใหญ่ตะโกนลั่นบ้าน บรรดาสาวใช้ต่างก็แตกตื่นตกใจที่คุณหนูใหญ่ของบ้านอารมณ์ร้ายดุจพายุที่พัดติดต่อกันสามวันสามคืน

   “มีอะไรกับผมหรือครับคุณพี่” ภีมเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นที่อยู่อีกทางหนึ่งด้วยสีหน้ายียวนกวนอารมณ์

   “ทำไมไม่เข้าเรียนมิทราบไอ้ตัวแสบ เห็นมั้ยนี่อะไร” ภูรดายื่นจดหมายให้ภีม เขารับมาแต่โดยดีก่อนจะคลี่รอยยิ้มสวยออกมา “ก็แค่จดหมายธรรมดา”

   “อีกเรื่อง ผลการเรียนของแกที่มันจะตกแหล่มิตกแหล่”

   “แล้วยังไง”

   “ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ พี่จะขนเครื่องดนตรีในบ้านทิ้งไปให้หมด แกจะได้ตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียว” ภูรดายื่นคำขาด

   “พี่ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเครื่องดนตรีของผม” ภีมตะคอกใส่พี่สาวอย่างลืมตัว

   “แล้วทำไมแกถึงไม่ตั้งใจเรียนเลย นี่ใกล้สอบแล้ว ไหนจะเอ็นทรานซ์อีกล่ะ” ภูรดาน้ำเสียงอ่อนลง แม้ภายนอกเธอจะไม่แสดงออกว่ารักน้องชายแค่ไหนแต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าข้างในแล้วเธอมีความรักให้กับน้องชายขี้โมโหคนนี้อย่างสุดหัวใจ

   “ผมเบื่อโรงเรียน เบื่อครู เบื่อทุกอย่าง”

   “ชีวิตคนเราไม่ได้มีแค่ดนตรี มันมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่แกต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน”

   “ผมไม่สน...” ภีมเสมองไปอีกทาง

   “ไม่สนไม่ได้หรอก พี่จะไม่ยอมให้แกเติบโตไปเป็นคนที่ไร้ประโยชน์เด็ดขาด”

   “พี่กลัวเสียชื่อตระกูลใช่มั้ยล่ะ”

   “พี่กลัวว่าแกจะเสียใจต่างหาก เสียใจที่ทำไมตอนนั้นแกไม่ตั้งใจเรียน”

   “ผมไม่เสียใจหรอก”

   “พี่จะจ้างครูพิเศษมาสอนวันเสาร์อาทิตย์ 3 เดือนต่อจากนี้แกต้องเรียนพิเศษและตั้งใจสอบเอ็นทรานซ์ให้ได้” ภูรดาพูดก่อนจะเดินลิ่วๆออกจากบ้านแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

   ภีมมองตามอย่างเศร้าสร้อย คนอย่างเขาก็ต้องอยู่คนเดียววันยังค่ำนั่นล่ะ

   ทุกคนล้วนแล้วแต่คาดหวังกับเขาอย่างโน่นอย่างนี้ แต่ไม่เคยคิดจะใส่ใจในความเป็นเขาเลย

   ภีมฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะปาทิ้งด้วยความโมโห

   ร่างสูงเดินขึ้นบันไดเกลียวกว่าสี่สิบขั้นเพื่อไปยังห้องดนตรีที่อยู่ชั้นสามของบ้าน ชั้นนี้ไม่มีใครขึ้นมายุ่งกับชีวิตของเขาได้ จะไม่มีแม่บ้านคนไหนขึ้นมาได้ถ้าเขาไม่อนุญาต เพราะที่นี่เป็นของเขาคนเดียว เป็นที่ระหว่างเขาและดนตรี

   ภีมเดินไปหยุดอยู่ที่เปียโนหลังใหญ่สีดำมันวาวก่อนจะใช้มือสัมผัสมันเบาๆอย่างรักใคร่ นี่คือเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เขาเล่นมัน

   นอกจากเปียโนแล้ว ในห้องนั้นยังมีกีต้าร์สีดำอีกสองตัววางอยู่ที่มุมห้องด้านซ้ายมือ ตัวแรกเป็นกีต้าร์ไฟฟ้า อีกตัวเป็นกีต้าร์คลาสสิก ถัดมาจากกีต้าร์คือกลองชุดสีดำ ภีมไม่ชอบตีกลองแต่นี่คือของขวัญที่ผู้เป็นพ่อซื้อให้ตอนวันเกิด มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากนึกถึงเพราะพ่อของเขาซื้อมาอย่างไม่ตั้งใจ

   การซื้อของที่คิดว่าลูกชายน่าจะชอบจากการเดาสุ่มไม่ใช่สิ่งที่น่าประทับใจนัก ภีมคิดเสมอว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่น่าจะรู้ดีว่าลูกชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร แต่พ่อแม่ของเขาไม่ใช่เลย ทั้งสองไม่รู้กระทั่ง ภีมเป็นอย่างไรเสียด้วยซ้ำ

   เครื่องดนตรีอีกชิ้นที่ภีมชอบคือแซ็กโซโฟน มันถูกจัดวางอย่างสวยงามในตู้กระจกใส แซ็กโซโฟนชิ้นนี้พี่สาวเขาเป็นคนซื้อให้เนื่องในโอกาสที่เขาสอบเข้ามัธยมต้นได้ ผ่านมาหลายปีแล้วแต่แซ็กโซโฟนตัวนี่ก็ยังดูสวยเสมอ

   ในตู้กระจกใสนั่น นอกจากจะมีแซ็กโซโฟนแล้วยังมีไวโอลินสีดำที่สั่งทำขึ้นพิเศษจากเมืองนอกอีกหนึ่งตัววางอยู่ใกล้กัน ภีมรักไวโอลินชิ้นนี้มากเช่นกันเพราะมันเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เขาเก็บเงินซื้อด้วยตัวเอง

   ภีมมองไปรอบๆห้อง เขาไม่มีวันยอมให้เครื่องดนตรีเหล่านี้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ไหนก็ได้ตามใจชอบหรอก ถ้าใครคิดจะทำแบบนั้นต้องข้ามศพเขาไปก่อน



 :m31: :m31: :m31: :m31: :m31:


หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 1 - คุณชาย vs ประธาน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 18-09-2011 22:52:18
 :3123:พาลแล้วอีหนู
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 3 - ประธานนักเรียน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 18-09-2011 22:58:29



บทที่ 3 - ประธานนักเรียน




   ฟินกำลังง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายในห้องให้เข้าที่ดังเดิม การที่เขาต้องย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่มาอยู่คอนโดเพียงคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อเขาเป็นเด็กต่างจังหวัดนี่

   ฟินย้ายมาอยู่คอนโดที่พ่อซื้อให้ได้เกือบสามปีแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเงียบเหงาอยู่บ้างเพราะไม่ได้เห็นหน้าพ่อแม่และน้องสาวที่น่ารักเหมือนเช่นทุกวัน

   ฟินต้องออกมาอยู่คนเดียวเพราะที่นี่อยู่ใกล้โรงเรียน สะดวกต่อการเดินทางไปไหนมาไหน ครอบครัวของฟินมีฐานะดีแต่ก็ไม่ถึงกับร่ำรวยอะไร พ่อและแม่ของเขาเป็นเจ้าของฟาร์มโคนมชื่อดังที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

   คอนโดราคาสูงแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยามีวิวสวยงามทั้งยังสะดวกต่อการเดินทาง แม่ของเขาเป็นคนเลือกที่นี่ ฟินไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักเพราะสิ้นเปลือง น่าจะเอาเงินไปทำอย่างอื่นมากกว่า

   แต่ในเมื่อเป็นความสบายใจของพ่อและแม่เขาก็ต้องยอมรับมัน

   ฟินจะหางานพิเศษทำเสมอแต่งานที่เขาถนัดที่สุดคือการสอนพิเศษ ตอนนี้ฟินจึงทำงานเป็นครูสอนพิเศษที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง

   และวันนี้คือวันทำงานที่ปวดหัวที่สุด

   “ครูฟิน ดูข้อนี้ให้กิฟท์หน่อยสิคะ” สาวน้อยชื่อกิฟท์พูดพลางชี้ไปที่การบ้านข้อหนึ่งที่ฟินดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเกินความสามารถของเด็ก ม.4

   “สมการข้อนี้ต้องใช้สูตรนี้ครับ” เขาพูดพลางชี้ไปที่สูตรสมการที่อยู่ทางด้านขวาของกระดาษ

   “แล้วต้องทำยังไงคะ” เธอถามต่อ

   “ทำตามสูตรได้เลยครับ ข้อนี้ครูว่าเป็นข้อที่ง่ายมากๆเลยนะ” ฟินพูด เขายังคงไม่ยิ้มเช่นเดิม

   “แต่กิฟท์ทำไม่ได้นี่ ครูก็ทำให้ดูหน่อยสิคะ”

   “มันยากตรงไหนกับการที่แทนตัวเลขลงในสูตรนี้” ฟินพูดพลางหยิบปากกามาขีดๆเขียนๆอะไรบางอย่างลงในกระดาษ

   “ทำแบบนี้” ฟินไสกระดาษกลับคืนไปให้สาวน้อยที่ทำหน้ามุ้ยอยู่ตรงหน้า

   “ไม่อยากเรียนแล้ว เบื่อครูฟินที่สุด” ว่าแล้วสาวน้อยก็สะบัดหน้าหนีหายไปไม่มาเรียนอีกเลย มิหนำซ้ำพ่อแม่ของเธอยังมาต่อว่าเขาอีก

   “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆครับ” ฟินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามแบบฉบับ หัวหน้าสถาบันกวดวิชามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเข้าใจ กรณีนี้เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วแต่วันนี้แย่หน่อยที่มีผู้ปกครองมาต่อว่าถึงที่

   “ผมเข้าใจนะฟิน เด็กเหล่านี้อาจต้องการการใส่ใจจากคุณ”

   “แต่ผมอยู่ในฐานะครู มีหน้าที่ให้ความรู้ ไม่ใช่ให้สิ่งอื่น ผมตามใจเด็กทุกคนไม่ได้หรอกครับ”

   “อืม ผมเข้าใจ”

   “คุณอยากไล่ผมออกหรือเปล่า”

   “ไม่ล่ะ คนเก่งๆอย่างฟิน ผมไม่กล้าไล่ออกหรอก ว่าแต่ปีนี้เอ็นท์แล้วใช่มั้ย”

   ฟินพยักหน้ารับเบาๆ

   “แล้วยังอยากจะทำงานนี้อยู่หรือเปล่าล่ะ”

   “อยากครับ ผมชอบงานนี้”

   “อืมม...ผมมีงานๆนึงให้คุณทำ ไม่เห็นว่ามีใครเหมาะสมเท่าคุณ” หัวหน้ายิ้มน้อยๆก่อนจะบอกออกมา “ไปสอนพิเศษนอกสถานที่ สนใจมั้ยล่ะ”

   “ที่ไหนครับ” ในน้ำเสียงนั้นไม่มีแววแตกตื่นตกใจเลยสักนิดเดียว

   “ที่บ้านของเด็กคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับฟินนี่ล่ะ คือพี่สาวของเด็กคนนี้เป็นเพื่อนของผมและก็ขอร้องให้ผมหาครูสอนพิเศษที่น่าจะเข้าถึงจิตใจเด็กคนนี้ให้หน่อย”

   “แล้วทำไมต้องเป็นผมล่ะ”

   “ผมคิดว่าคนอายุใกล้กันน่าจะพูดจากันรู้เรื่องมากกว่า”

   “ไม่มีปัญหาครับ ผมรับงานนี้”

   หัวหน้ายื่นรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับงานนี้ให้ฟิน มีทั้งแผนที่บ้าน วิชาที่ต้องการให้สอนรวมถึงรายละเอียดเรื่องค่าจ้างและสัญญาว่าจ้าง

   “ผมต้องเขียนสัญญานี่ด้วยหรือครับ ในเมื่ออย่างไรผมก็เป็นคนของที่นี่”

   “เพื่อนของผมต้องการแบบนี้น่ะ ฟินก็เขียนๆไปเถอะ” หัวหน้าบอกปัดๆไป จะให้บอกความจริงได้อย่างไรล่ะว่าที่ต้องมีสัญญานี้ก็เพราะเด็กคนนั้นเป็นคนขี้โมโห อารมณ์ร้าย เกิดครูทนไม่ได้ลาออกกลางคัน เธอก็ต้องเสียเวลามาหาครูพิเศษคนใหม่อีกน่ะสิ

   ฟินลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยอมเซ็นต์สัญญานั้นโดยดีโดยที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดให้ชัดเจน

   เป็นอันว่า “สัญญาสมบูรณ์แล้ว ต่อจากนี้ฟินเป็นครูสอนพิเศษที่นั่นอย่างไม่ต้องสงสัย”



 o18 o18 o18 o18 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 1 - คุณชาย vs ประธาน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: artit ที่ 18-09-2011 23:00:18
 :mc4: :mc4: :mc4: อย่าลืมกฎนะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 4 - ครูสอนพิเศษ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 18-09-2011 23:08:53




บทที่ 4 - ครูสอนพิเศษ



   ฟินใช้เวลาเดินทางมาคฤหาสน์หลังใหญ่นานพอสมควรเพราะหลงทาง ไม่น่าเชื่อว่าคฤหาสน์หลังงามนี้จะตั้งอยู่ในที่ที่บดบังความสวยงามไปสิ้นอย่างในป่า และไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่าในกรุงเทพฯยังมีป่าที่รกทึบแบบนี้อยู่อีก

   เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันงามไว้ที่หน้าคฤหาสน์ก่อนจะลงมากดกริ่งหน้าบ้านอย่างใจเย็น

   ไม่นานนัก แม่บ้านวัยกลางคนก็ออกมาเปิดประตูแล้วเชิญเขาเข้าไปข้างในด้วยท่าทางเรียบร้อย “คุณชายรออยู่ในห้องแล้วค่ะ”

   เธอว่าพลางเดินนำไปที่ชั้นสองของบ้าน พาเขาไปยังห้องเขียนหนังสือส่วนตัวของคุณชาย

   ฟินรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่คฤหาสน์หลังใหญ่นี้มีแต่ของสวยๆงาม ตั้งแต่ตัวคฤหาสน์ที่มีความหรูหราสไตล์ยุโรปแต่กลับอยู่ในที่ที่ปกคลุมไปด้วยพรรณไม้ใหญ่ทำให้ความสวยถูกกลืนกินไปหมด แล้วยังเฟอร์นิเจอร์ที่ดูหรูหรานั่นอีกเล่า มันดูใหม่เหมือนกับไม่เคยมีใครนั่งมาก่อน

   แม่บ้านหยุดฝีเท้าลงที่ประตูใหญ่สีเขียวสดก่อนจะหันมายิ้มให้ฟิน “คุณชายอยู่ข้างในแล้วค่ะ โชคดีนะคะคุณ” แล้วเธอก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ฟินได้เอ่ยถามอะไรเลย

   ฟินเคาะประตูสามครั้งตามมารยาทแล้วรอให้เจ้าของห้องตอบรับ

   เงียบ...

   ก๊อกๆๆ  ฟินเพิ่มแรงเข้าไปอีก

   “ก็เข้ามาสิ จะมีมารยาทไปทำไมครับคุณครู” เสียงตอบรับนั้นคุ้นหูฟินเหลือเกิน มันฟังดูยียวนจนน่าโมโห

   ฟินเปิดประตูห้องเบาๆ พบร่างสูงยืนหันหลังล้วงกระเป๋าอยู่ริมหน้าต่างอย่างไว้ตัว

   “คุณคือนักเรียนของผม” ฟินถามเรียบๆแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาจึงวางแฟ้มเอกสารที่เตรียมมาลงบนโต๊ะ ใบหน้าหล่อฉายแววสงสัย ดวงตาคมจับจ้องอยู่ที่ร่างสูงนั้น รอคอยให้เขาหันมา

   “รู้ไหมว่าคุณคิดผิด” น้ำเสียงยังคงยียวนดุจเดิม เขาแค่นเสียงหัวเราะครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ที่เลือกมาสอนคนอย่างผม”

   “แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น เอาล่ะ...เรามาเริ่มเรียนกันได้แล้ว” ฟินเปลี่ยนประเด็นไป

   ร่างสูงหันหน้ามาเผชิญกับครูคนใหม่ ใบหน้ายียวนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนที่ตกใจสุดขีด “เฮ้ย ทำไมเป็นนายไปได้”

   เสียงร้องของเด็กหนุ่มทำให้ฟินละสายตาจากเอกสารตรงหน้า เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่งแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม

   “นายนี่เอง ภีม” รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากสวยของฟินโดยที่ไม่รู้ตัว ภีมถลึงตามองใบหน้าหล่อนั่น ก่อนจะขยี้ตาแรงๆ

   เราตาฝาดหรือเปล่าวะ ที่เห็นหมอนี่มันยิ้ม

   “ไม่มีจะกิน ขนาดต้องมาทำงานพิเศษเลยเหรอ” ภีมพูดกลั้วหัวเราะ พลางมองคนตรงหน้าอย่างประเมินฐานะและชนชั้น “ก็อย่างว่าล่ะนะ โรงเรียนเอกชนชื่อดังแบบนี้ ใครๆก็อยากเรียนกันทั้งนั้น ต่อให้จนแค่ไหนก็ตาม”

   “ฉันทำงานนี้ก็เพราะรักในการสอน ไม่ใช่อยากได้เงิน” ฟินพูดเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ทว่ากำมือแน่นอย่างสะกดอารมณ์

   ภีมเดินวนรอบโต๊ะช้าๆก่อนจะหยุดลงที่ข้างหลังของฟิน ใบหน้าคมชะโงกหน้ามองไปยังเอกสารที่ฟินเตรียมมา “เป็นคนที่วางแผนอย่างรอบคอบ สมแล้วที่เป็นประธานนักเรียน”    

   “หยุดกวนประสาทฉันได้แล้วภีม” ฟินหันหน้าไปทางที่ภีมชะโงกมา ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงคืบ

   ใบหน้าของฟินแดงระเรื่อ ดูน่ามองไม่น้อยเมื่อใบหน้าเย็นชามีสีเลือดฝาด ภีมมองใบหน้าหล่อที่ดูแปลกตาอย่างชั่งใจ “นายจะหน้าแดงทำไม”

   “เปล่านี่”

   “เฮอะ นายนี่มันไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้เลย” ภีมพยายามพูดกวนอารมณ์ของคนตรงหน้า

   “แล้วนายล่ะ เป็นอะไรดี” ฟินย้อนเข้าให้

   ภีมชะงักไปครู่หนึ่ง พยายามคิดว่าจะมีคำพูดใดบ้างที่สามารถยั่วโทสะประธานนักเรียนคนนี้ได้โดยที่ไม่ถูกย้อนกลับมา

   ใบหน้าคมบิดเบี้ยวไปนิดนึงอย่างใช้ความคิด

   “เอาล่ะ หมดเวลาไร้สาระแล้ว นั่งลงเดี๋ยวนี้” ยังไม่ทันที่ภีมจะนึกอะไรออก ฟินก็พูดแทรกขึ้นก่อน

   “เรียนก็เรียน” ภีมทวนประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง “ทำไมช่วงนี้ฉันกับนายต้องมาเกี่ยวข้องกันบ่อยๆ มันน่าแปลกจริงๆ” ภีมพูดขึ้นลอย เหมือนจะพูดกับตัวเอง แต่ว่าสายตากลับไปหยุดอยู่ที่ฟิน
   
   “นั่นสินะ ฉันก็เคยสงสัยเหมือนกัน เห็นนายมาตั้งหลายปีไม่ยักกะน่าสนใจเท่าตอนนี้” ฟินยักไหล่อย่างไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ

   แต่คำพูดนั้น...ทำให้ใบหน้าของภีมร้อนผ่าวขึ้นมา “นายหมายความว่ายังไง” ภีมหรี่ตามองฟิน อย่างขอคำตอบ

   “นายอยากรู้ไปทำไมล่ะภีม” ฟินยิ้มมุมปากออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาของภีม

   “ฉันก็แค่ถามความเห็นนายเฉยๆ คนอย่างฉันไม่คิดจะสุงสิงกับพวกคณะกรรมการนักเรียนอยู่แล้ว” อยู่ดีดีภีมก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

   “ทำไมนายถึงไม่ชอบพวกเรา”

   “แล้วทำไมพวกนายต้องดึงคนจากชมรมดนตรีให้ออกไปอยู่ชมรมอื่นล่ะ มีเหตุผลอะไร” ภีมพูดไปพูดมาก็เข้าเรื่องชมรมดนตรีที่ตนเป็นหัวหน้าชมรมอยู่เสียอย่างนั้น

   “นายไม่คิดเหรอว่าคนพวกนั้นเขาอยากออกไปเอง” ฟินย้อนถามภีม ดวงตาคมจับจ้องที่ดวงหน้าของภีมอย่างจริงจัง ฟินกำลังใช้สายตาคาดคั้นความรู้สึกและความคิดของภีม

   “มีคนอย่างฉันเป็นหัวหน้าชมรม เขาจะอยากออกไปไหน” ภีมพูดอย่างถือดี

   “ก็เพราะมีนายเป็นหัวหน้านี่ล่ะ พวกเขาถึงได้ออกไป” ฟินจ้องภีมด้วยแววตาที่อ่อนลงแต่น้ำเสียงยังคงเย็นชาเช่นเดิม

   ภีมเลือดขึ้นหน้าแทบจะทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของฟิน เขากระชากร่างสูงที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นอย่างแรงก่อนจะปล่อยหมัดไปที่ใบหน้าหล่อของฟิน

   เป็นครั้งที่สองแล้วที่ภีมใช้กำลังกับฟิน และก็เป็นครั้งที่สองเช่นกันที่ฟินไม่ได้ตอบโต้อะไร  แต่เลือดที่ขมปร่าอยู่เต็มปากนี่สิทำให้เขารู้สึกอยากจะพ่นมันออกมา

   “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงวะ ไอ้ประธานนักเรียน” ภีมตวาดใส่คนที่ตัวโตกว่าอย่างโมโห ไม่เคยมีใครเคยพูดจาแบบนี้ใส่เขามาก่อน ฟินเป็นคนแรก

   ฟินยกมือขึ้นปาดเลือดที่อยู่บนริมฝีปากออกก่อนจะมองหน้าภีมโดยที่ไม่พูดอะไร ส่วนภีมเมื่อถูกจ้องแบบนั้นนานๆก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่

   ภีมดันร่างสูงให้เซถลาไปจนชิดประตูห้องสีเขียวสด เขาใช้แขนขวาพาดทับที่ลำคอของฟิน แล้วกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงอันดัง
   “ฉันให้โอกาสนายพูดอีกครั้ง ไม่งั้น...นายตายแน่”

   ฟินยังคงไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของภีม “ที่ทุกคนออกจากชมรมดนตรีก็เพราะว่ามีหัวหน้าที่ดีแต่ใช้กำลังแบนี้ไงล่ะ นายอยู่กับเสียงดนตรีไม่น่าจะเป็นคนที่หยาบกระด้างแบบนี้เลยนะ”

   หยาบกระด้างเหรอ หมอนี่เป็นใครถึงกล้ามาว่าฉันแบบนี้  ภีมสั่นหน้าไม่ยอมรับกับคำพูดนั้นของฟิน

   “ไม่จริง ฉันไม่ใช่คนหยาบกระด้าง” น้ำเสียงปฏิเสธของภีมสั่นเครือ เขารู้สึกว่ายิ่งปฏิเสธก็ยิ่งเหมือนกับมันเป็นความจริง

   “แต่มันก็ยังไม่สาย ถ้านายจะปรับตัว” ฟินพูดแทรกขึ้นมา

   “หุบปากไปเลย ใครให้นายมาสั่งสอน” ภีมตวาดใส่ฟินก่อนจะเพิ่มแรงที่แขนให้มีน้ำหนักมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว

   ฟินเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก คิดในใจว่า ภีมคงไม่โกรธถึงขนาดที่ต้องฆ่าเขาหรอกมั้ง

   แต่เหมือนฟินจะคิดผิด เวลาที่คนอย่างภีมโมโหใครเขาจะลืมตัวเผลอทำเรื่องร้ายแรงอยู่เสมอ อย่างเช่นตอนนี้

   “ภีม ปล่อยฉันก่อน” ฟินละล่ำละลักพูดออกมาเพราะหายใจไม่ออก

   ภีมหอบหายใจถี่ เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาค่อยๆลดมือลงก่อนจะถอยห่างออกมาจากฟินสามก้าว

   ฟินรู้สึกเจ็บที่คอเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้คือคนที่กำลังยืนตัวสั่นระริกอยู่เบื้องหน้า

   “ภีม...” ฟินเดินเข้าไปใกล้ภีมแล้ววางมือลงบนบ่าเขาเบาๆ แต่ภีมรีบปัดออกทันที

   “ฉันไม่ต้องการครูอย่างนาย ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้” ภีมตวาดเสียงกร้าว

   “ฉันออกไม่ได้ ยังไงสามเดือนนี้เราก็ต้องเจอกันทุกอาทิตย์” ฟินเว้นจังหวะนิดหนึ่ง “เพื่อตัวของนายเอง”

   “ออกไป”

   “มีเหตุผลหน่อยภีม ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

   “บอกให้ออกไป” ภีมถลันตัวเข้าใกล้ฟินหวังจะประเคนหมัดให้เขาอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ฟินเร็วกว่า

   ฟินจับมือของภีมไว้ทั้งสองข้างด้วยแรงทั้งหมดที่มี เขาเพิ่งค้นพบว่าผู้ชายร่างสูงเพรียวคนนี้ ฤทธิ์มากแค่ไหน

        “จะไม่เลิกอาละวาดใช่มั้ย” เสียงของฟินทุ้มต่ำกว่าเดิม

        “ปล่อยนะเว้ย” ภีมร้องเสียงดัง พยายามสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมนั้นแต่ยิ่งสะบัดเท่าไรก็ดูเหมือนมันจะยิ่งแน่นขึ้น

        ฟินมองภีมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ผู้ชายคนนี้ต้องได้รับบทเรียนเสียบ้างแล้ว..........



 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 5 - บทเรียนเรื่องแรก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 18-09-2011 23:21:08


บทที่ 5 - บทเรียนเรื่องแรก




        “ตอนนี้ฉันเป็นครู ไม่ใช่ประธาน” ฟินพูดเสียงเรียบ “แล้วนายก็คือนักเรียน” ดวงตาคมกริบมองเข้าไปในดวงตาของภีม

   “แต่ฉันเป็นคนจ่ายเงินโว้ย” ภีมตะคอกใส่ นัยน์ตาแข็งกร้าว

   “พี่สาวนายต่างหาก ไม่ใช่นาย” ฟินแก้ให้

   ภีมนิ่งไปพักหนึ่ง...

   “นายนี่มันเด็กจริงๆเลยภีม” ฟินพูดกวนโทสะของภีม รู้สึกอยากแกล้งผู้ชายคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

   “แก ไอ้ประธานนักเรียนเฮงซวย ปล่อยนะโว้ย” ภีมสะบัดมือเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมฟินอีกครั้ง แต่แรงของผู้ชายคนนี้มีมากกว่าที่เขาคิด

   “จะยอมเรียนดีๆมั้ยล่ะ” ฟินถามอย่างให้โอกาส เขาอยากให้เด็กหนุ่มคนนี้คิดได้เสียที

   “ไม่โว้ย” ภีมยังคงไม่ยอม ตอนนี้ใบหน้าขาวของเขาแดงฉานด้วยความโมโห

   ฟินส่ายหน้าอย่างระอาแล้วเหวี่ยงร่างของภีมไปอีกทางจนแนบชิดติดกับผนังห้อง ฟินตรึงมือเรียวบางของภีมไว้ให้อยู่เหนือศีรษะ

   แล้วฟินก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำตลอดชีวิต...

   จูบกับผู้ชาย...

   ฟินประทับริมฝีปากของตนเข้ากับริมฝีปากที่เผยอออกน้อยๆของภีม (ภีมกำลังจะเอ่ยปากด่าฟินแต่โดนเขาปิดปากเสียก่อน)

   ร่างสูงกว่าของฟินเบียดร่างของภีมที่แนบอยู่กับผนัง ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ตลอดชีวิตไม่คิดจะโหยหาของคนทั้งคู่ลุกพรึ่บดั่งไฟโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจุด

   ฟินจู่โจมริมฝีปากได้รูปของภีมอีกครั้งอย่างค้นหา ความหอมหวนรัญจวนใจคล้ายกระแสไฟฟ้าพุ่งวาบไปถึงสมองและค่อยๆไหลลงมาตามร่างกายทีละส่วนช้าๆอย่างเร่าร้อน

   ภีมครางในลำคอโดยที่ไม่รู้ตัว...ร่างสูงกึ่งผลักไสกึ่งสนองตอบ แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะร่างของภีมแอ่นรับกับร่างของฟินที่เพิ่มแรงเบียดจนแน่น

   ฟินพอใจกับเสียงและท่าทางนั้นของภีม เขาเพิ่มน้ำหนักบนริมฝีปากให้กดลึกลงไปหาความหวานอย่างไม่สิ้นสุด
เนิ่นนาน...

   ฟินหยุดความดูดดื่มเพียงแค่นั้น ริมฝีปากบวมแดงของเขาขบย้ำริมฝีปากแดงระเรื่อได้รูปของภีมอย่างได้ใจ

   “อืมมมม......” ภีมครางเบาๆ

   ริมฝีปากของฟินเปลี่ยนไปจู่โจมติ่งหูซึ่งมีรอยเจาะอยู่สามรู ตั้งแต่ปีกหูจนถึงติ่งหู ฟินใช้ลิ้นสัมผัสความนุ่มนิ่มที่ติ่งหูสวยราวผู้หญิงของภีมก่อนจะขบเม้มไปตามรอยเจาะที่อยู่บนใบหูจนครบทุกรอย

        ร่างของภีมแอ่นขึ้นอีกครั้งด้วยความกระสันรัญจวนที่ปั่นป่วนไปทั่วทั้งร่างกาย ร่างของฟินและภีมแนบชิดกันจนจะกลายเป็นเนื้อเดียว

        ทั้งคู่ลืมทุกอย่างไปชั่วขณะแล้วจมดิ่งอยู่ในห้วงความรักแปลกใหม่ที่ตลอดชีวิตคิดไว้ว่าไม่น่าจะทำได้

        ภีมลืมความโกรธที่มีอยู่ก่อนหน้านี้จนไม่หลงเหลือ ตอนนี้เขารู้สึกเพียงรสชาติความหวานที่กำลังลิ้มลองอยู่ มันหวานเสียจนเหลือเชื่อ

        เนิ่นนานอย่างนั้น จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น

        ภีมผลักอกของฟินออกทันที ฟินหลับตาลงก่อนจะเดินเซมานั่งที่เก้าอี้ของตน ส่วนภีมเดินไปเปิดประตู

        คนมาใหม่คือ ภูรดานั่นเอง

        ใบหน้ายียวนของภีมซีดเซียวราวกับคนป่วย ร่างสูงมีอาการสั่นเทาจนเห็นได้ชัด

        “เป็นอะไรหรือเปล่าภีม ทำไมหน้าซีดอย่างนี้” ภูรดาเดินเข้ามาในห้องพร้อมลากตัวน้องชายมานั่งที่เก้าอี้

        “เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร ห้องมันร้อนๆน่ะแล้วผมก็อารมณ์ไม่ค่อยดี” ภีมพูดกับพี่สาว ทว่าหางตาเหลือบไปยังฟินที่กำลังก้มหน้าก้มตาซ่อนรอยยิ้ม

        “เป็นยังไงบ้างจ๊ะฟิน เหนื่อยมั้ยกับการสอนภีม” ภูรดาถามเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งก้มหน้างุดๆ

        “ไม่เหนื่อยครับ รู้สึกดีด้วยซ้ำ” ฟินพยายามกดเสียงให้ทุ้มต่ำอย่างเคยแต่ก็ทำไม่ได้ เสียงที่ออกมาจึงเหมือนกับการกลั้นหัวเราะแล้วพูด

        ภีมแทบอยากลุกไปต่อยหน้าฟินอีกรอบ ไฟโทสะที่หายไปลุกขึ้นอีกครั้ง

        “แล้วจะก้มหน้าทำไมล่ะจ๊ะ” ภูรดาทัก “เงยหน้าพูดกันดีดีสิ”

        ฟินปรับสีหน้าให้เย็นชาดังเดิมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา

        “ตายแล้ว หน้าไปทำอะไรมา เขียวเชียว” ภูรดาเอามือทาบบนหน้าอกเพราะตกใจที่เห็นรอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าหล่อดุจเทพบุตรของฟิน

        ฟินและภีมมองหน้ากัน ทั้งคู่ลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้าที่จะทำอะไรๆกันได้ผ่านการลงไม้ลงมือมาแล้วรอบหนึ่ง

        ภูรดาลุกขึ้นไปหาฟิน ประคองใบหน้านั้นไว้อย่างทะนุถนอม “ใครทำฟินจ๊ะเนี่ย ดูสิ...ดูเหมือนเพิ่งช้ำได้ไม่นานนี่เอง แล้วดูปากสิ...บวมอย่างกับจะแตกออกมาแน่ะ”

        ทันทีที่ได้ยินคำพูดของพี่สาว ภีมก็รีบปิดปากของตนเองไว้อย่างร้อนตัว ฟินแทบจะหลุดขำกับท่าทางนั้นของภีม

        ไม่น่าเชื่อ...ว่าคนอย่างเขาจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของคนเลือดร้อนอย่างภีม  ฟินคิดในใจ

         “มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยครับ ผมก็เลย...” ฟินพูดยังไม่ทันจบ ภูรดาก็ยกมือห้ามเสียก่อน

         “เอาล่ะๆไม่ต้องพูดแล้ว หายไวๆนะจ๊ะ เสียดายหน้าตาหล่อๆ” สาวร่างใหญ่พูดกับฟิน จากนั้นเธอก็หันมาพูดกับน้องชายต่อ “ตั้งใจเรียนล่ะภีม   วันนี้พี่มาดูว่าแกจะอาละวาดอะไรหรือเปล่า แล้วนั่นจะปิดปากทำไมกัน”

        ภีมยักไหล่ไม่ยอมบอก

        “บ้าแล้วน้องฉัน อยู่ดีดีก็อยากปิดปาก แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้เลิกต่อปากต่อคำกับคนอื่นเขาเสียที” ภูรดายิ้มอย่างอารมณ์ดี

        “ตั้งใจเรียนล่ะ พี่ไปก่อน พรุ่งนี้จะแวะมาดูใหม่” ภูรดาสวมกอดน้องชายครั้งหนึ่งก่อนจะออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วเช่นเคย

        ในห้องเข้าสู่ความเงียบ...

        ฟินและภีมมองหน้ากันไปมาคล้ายหยั่งเชิงกันและกัน

        ในที่สุดคนที่ทนไม่ไหวก็คือภีม จะทนได้อย่างไรล่ะในเมื่อฟินเอาแต่จ้องสลับกับยิ้มเหมือนคนโรคจิตแบบนี้

        “ไอ้จิตวิปริต” น้ำเสียงของภีมทุ้มลงกว่าเดิม เขาถลึงตามองฟินที่นั่งยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนด้วยความโมโห

        “น่ารังเกียจ” ภีมพูด...

   “ทุเรศ” ภีมพูด...

   “สกปรก” นี่ก็ภีม...

   “ผิดปกติทางจิต แกน่าจะไปหาหมอซะบ้าง” และนี่ก็ภีม...

   “ที่พูดมาน่ะ บอกกับตัวเองเถอะ” ฟินพูดเรียบๆ ในดวงตาคมคู่นั้นมีแววขบขันระคนอยู่

   ภีมอึ้งไปกับคำย้อนนั้น เขาลุกขึ้นกระชากคอเสื้อของฟินไว้ “แกหมายความว่าไง”

   “ไม่น่าจะไม่เข้าใจนี่นา”

   ภีมเดือดถึงขีดสุดกับคำพูดที่เหมือนจะว่าเขา ไม่ใช่สิ...มันว่าเขาชัดๆ

   “ฉันไม่ใช่พวกผิดเพศโว้ย แกนั่นล่ะที่เริ่มก่อน”

   “แล้วทำไมต้องตอบสนองล่ะ ถ้าไม่ได้ต้องการ” ฟินจับมือของภีมออกจากคอเสื้อก่อนจะจัดให้มันเรียบร้อยดังเดิม “ทีหลังก็หนีสิ อย่าจูบตอบแล้วก็อย่ารับทุกสิ่งที่ฉันให้ไป”

   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเย็นชาของฟิน

        แต่ในสายตาของภีมมันเป็นรอยยิ้มปิศาจชัดๆ

        ฟินมองภีมอย่างคนที่ได้ชัยชนะ “แล้วก็อย่าร้องเสียงแบบนั้นด้วย เพราะมันทำให้ฉันคิดว่า...” ฟินเว้นจังหวะนิดนึงก่อนจะพูดต่อ “นายชอบ...”

        แล้วฟินก็ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง เป็นรอยยิ้มที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้ว่ามันงดงามแค่ไหน

แต่...ภีมเห็นรอยยิ้มนั้น ความรู้สึกแปลกแล่นเข้ามาในหัวอีกครั้ง เขาพยายามสลัดมันทิ้งไปแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

        “บทเรียนแรกจบไปแล้ว ทีนี้ได้เวลาเริ่มบทเรียนต่อไปอย่างจริงจังซักที” ฟินพูดกับภีม ก่อนจะเปิดเอกสารตรงหน้าเพื่อเข้าสู่บทเรียนในตำราของจริง

        “ทำไมฉันต้องซวยมาเจอกับคนอย่างแกด้วยวะ” ภีมพูดอย่างหัวเสีย ใจนึงก็โกรธแต่อีกใจนี่สิ...สับสนจนน่าขนลุก

        “ถ้าไม่มานั่ง ฉันจะสอน...” ฟินทำหน้าเจ้าเล่ห์

        “หยุดพูดไปเลย ไม่งั้นแกตาย”

        “ก็มานั่งเรียนดีๆสิ ไม่อยากเอ็นท์ติดหรือไง” น้ำเสียงของฟินอ่อนลง แววตาฉายแววเป็นห่วงออกมา

        “เออ...เรียนก็เรียนวะ”



 :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kp ที่ 18-09-2011 23:44:19
หวัดดีครับครูฟิน สงสัยเรื่องนี้จะยาว
อีกคนเรียกหาความรักความเอาใจใส่
อีกคนกำลังจะรู้ใจและความต้องการ
ของตนเอง เมื่อสองสิ่งมาเจอกัน
อะไรจะเกิดนอกจาก....
 :n1: :n1: :n1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: howru ที่ 18-09-2011 23:58:05
ยังไม่สอนยังขนาดนี้ แล้วถ้าสอนกันแล้วก็คง...
น่าติดตามจัง เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 6 – ชมรมดนตรี /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 19-09-2011 00:53:38




บทที่ 6 – ชมรมดนตรี



   “ฉันไม่ยอมยุบชมรมเด็ดขาด” ภีมตบโต๊ะเสียงดัง หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมยุบชมรมนี้แน่นอน

   “แต่ว่าชมรมดนตรีของเรามีคนไม่ครบตามข้อกำหนด” เพื่อนร่วมชมรมคนสุดท้ายท้วงขึ้น

   “ฉันจะไปหาเอง” ภีมยืนยันด้วยแววตาที่มุ่งมั่น ข้อกำหนดของการตั้งชมรมต้องมีสมาชิกไม่ต่ำกว่าสิบคน ภีมต้องหาสมาชิกให้ครบสิบคน

   “แต่ว่า...”

   “หุบปากไปเลย เธอก็อยากไปอยู่ชมรมอื่นใช่มั้ยล่ะ” ภีมพูดอย่างรู้ทัน

   “ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ”

   “เชิญเลย ฉันไม่ห้าม แต่อย่าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีก” ภีมไล่เพื่อนร่วมชมรมคนสุดท้ายออกจากห้องไป

   สุดท้ายชมรมดนตรีก็มีภีมคนเดียว...

   “บ้าเอ๊ย...ไสหัวกันไปให้หมดเลย” ภีมตะคอกไล่หลังอดีตเพื่อนร่วมชมรมอย่างหัวเสีย ดวงตาคู่สวยแข็งกร้าวขึ้น

   ต้องเป็นเพราะชมรมรักษ์โรงเรียนแน่ๆที่มาดึงตัวคนจากชมรมดนตรีไป โธ่โว้ย...ไอ้พวกคณะกรรมการนักเรียนชั่ว ฉันจะจัดการกับพวกแกเอง

   คิดได้ดังนั้นภีมก็เดินลิ่วๆไปที่ห้องคณะกรรมการนักเรียนทันที “ไปเรียกประธานนักเรียนมาคุยกับฉัน” ภีมพูดกับกรรมการนักเรียนคนหนึ่งที่อยู่หน้าห้อง

   “ฟินอยู่ข้างในน่ะ ภีมเข้าไปได้เลย แต่ระวังตัวหน่อยนะ” กรรมการนักเรียนหญิงทำท่าทางหวาดกลัว เหงื่อเม็ดโตค่อยๆไหลจากใบหน้าลงมาสู่ลำคอ

   “ระวังทำไม”

   “ก็ฟินเพิ่งโดนพวกรุ่นพี่ว่ามาเรื่องงานเลี้ยงโรงเรียนน่ะ ฟินอยากให้เป็นแบบนี้แต่พวกพี่เขาอยากให้เป็นอีกอย่าง ก็เลยมีปากเสียงกันแล้ว...” เธอพูดยังไม่ทันจบก็ถูกเสียงทุ้มที่อยู่ในห้องตะโกนกลับมา

   “มาหาฉันไม่ใช่เหรอ เข้ามาสิ”

   สาวน้อยที่ยืนเหงื่อตกพยักหน้าให้ภีมก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

   ภีมเปิดประตูอย่างแรง บานประตูจึงกระแทกเข้ากับโต๊ะวางของด้านในจนเกิดเสียงดังสนั่น

   “ทำอะไรเบาๆไม่เป็นหรือไงภีม” ฟินเตือนเบาๆ ใบหน้าหล่อเครียดขึ้งจนน่ากลัว

   “เรื่องของฉัน” ภีมยืนกอดอกอยู่ที่หน้าประตูที่เปิดออกอย่างนั้น

   “ปิดประตูด้วย” ฟินพูดเบาๆ ฟังดูก็รู้ว่าพยายามใจเย็นกับคนดื้อรั้นอย่างภีมจนถึงที่สุด

        ภีมอยากวิ่งไปชกคนที่ทำหน้าเบื่อโลกให้มันหายโกรธเสียเดี๋ยวนั้น บังอาจมากที่มาสั่งสอนคนอย่างเขา แต่ก็ได้แค่คิด...ไม่กล้าทำจริง

        สุดท้ายก็ได้แต่ ปิดประตูเบาๆด้วยสีหน้าไม่พอใจ

        แต่อย่าคิดนะว่าฟินไม่เห็นทุกกิริยาของภีม ฟินเห็นทุกอย่างที่ภีมทำ ตั้งแต่หน้าห้องจนในห้อง

        “มีเรื่องอะไร” น้ำเสียงทุ้มของฟินกระตุ้นโทสะของภีมอีกแล้ว ภีมรู้สึกว่าน้ำเสียงนี้กำลังกดดันเขาอยู่

        "ชมรมดนตรีของฉันมีคำสั่งให้ยุบ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนายใช่มั้ย” ภีมเดินเข้าไปตบโต๊ะของฟินจนเกิดเสียงดัง

        ฟินเงยหน้าจากกองหนังสือที่อยู่บนโต๊ะมาสบตากับภีม “ทำไมต้องคิดว่าอะไรๆก็เป็นเพราะฉันคนเดียว คนอื่นสั่งไม่ได้หรือไง”

        “ก็นายเป็นประธานนักเรียนนี่ เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องที่คณะกรรมการนักเรียนจัดการ แล้วนายก็ใหญ่สุดไม่ใช่เหรอ” พูดไปพูดมา ภีมก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน

   “ใช่มั้ง คณะกรรมการนักเรียนทุกคนมีสิทธิ์สั่งยุบชมรมได้ทุกคนถ้าชมรมนั้นมีคุณสมบัติไม่ครบห้าข้อของการตั้งชมรม” ฟินพูดเรียบๆ คิ้วหนาเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่าสงสัยอะไรอีกไหม

   “แล้วพวกคณะกรรมการนักเรียนมายุ่งอะไรกับชมรมดนตรีของฉันวะ” ภีมเริ่มพาลอย่างไม่มีเหตุผล

   “ชมรมนายมีคนไม่ครบ แล้วยังปล่อยปละละเลยเรื่องการทำกิจกรรมของชมรมอีก”

   ภีมนิ่งไปเพราะฟินพูดถูกทุกอย่าง

   “แต่ฉันมีข้อเสนอ” ฟินพูดขึ้น

   “อะไร” ความหวังเริ่มเปล่งประกายขึ้น ภีมหันควับไปที่ฟินทันที

   “มาช่วยงานของคณะกรรมการนักเรียนในช่วงงานเลี้ยงรุ่นที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วฉันจะช่วยหาคนเข้าชมรมให้นาย”

   “ไม่มีทาง เรื่องหาคนเข้าชมรม ฉันมีปัญญาหาโว้ย”

   “งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าสนใจข้อเสนอนี้ก็มาหาฉันได้ทุกเมื่อ” ฟินพูดยิ้มๆ เพราะรู้ว่าอย่างไรภีมก็ต้องย้อนกลับมาที่นี่อีกแน่นอน

   ภีมตบโต๊ะอีกครั้ง ดวงตาคมจ้องเขม็งไปที่ฟินอย่างแค้นใจ

        “ฝากไว้ก่อนเถอะ” ภีมชี้หน้าฟินก่อนจะเดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูเสียงดังปัง

   ฟินส่ายหน้าอย่างระอาให้กับภีม เมื่อไหร่ที่ผู้ชายคนนี้จะเลิกโมโหร้ายเสียที
   

สามชั่วโมงต่อมา เวลา 18:30 น.

   ร่างสูงเพรียวเดินลิ่วๆกลับมายังห้องคณะกรรมการนักเรียนอีกครั้งอย่างขุ่นเคืองในอารมณ์ แค่หาคนมาเข้าชมรมทำไมมันยากอย่างนี้วะเนี่ย

   ภีมหยุดฝีเท้าที่หน้าห้อง ถอนหายใจเล็กน้อย ควบคุมอารมณ์ให้เย็นลงเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปโดยที่ไม่ได้เคาะ

   ภาพที่ฟินเห็นคือประธานนักเรียนจอมวายร้ายนอนฟุบอยู่บนโต๊ะทำงานท่ามกลางเอกสารหลายอย่างที่สุมๆกันอยู่

   ภีมชะงักไปเล็กน้อย น่าแปลก...ที่ความรู้สึกโกรธค่อยๆจางหายไปอย่างไม่มีเหตุผล ความเงียบเข้าปกคลุมในห้อง ภีมได้แต่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าอย่างนั้นราวต้องมนตร์สะกด

   สักพักหนึ่ง ฟินก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาคมคู่นั้นมีเสน่ห์ดึงดูดใจเหลือเกิน ยิ่งตอนที่มันยังลืมไม่เต็มที่ด้วยแล้ว ยิ่งน่าสนใจ...

   ภีมสะบัดหน้าไปทางอื่น พยายามระงับความตื่นเต้นที่กำลังเกิดขึ้น อีกทั้งพยายามหยุดความทรงจำที่มันกำลังนึกย้อนไปในวันก่อนที่เขาและฟินเคย.....

   “ว่ายังไงภีม หาคนไม่ได้ใช่มั้ย” ในน้ำเสียงเย็นชานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย

   ภีมพยักหน้าไปส่งๆ โดยที่ไม่มองคนถาม

   “แค่มาช่วยงานนิดเดียวเอง นายทำได้อยู่แล้ว” ฟินยืดตัวขึ้น บิดขี้เกียจไปมาสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินมายืนข้างๆภีม

   “ตกลงมั้ย” ฟินแตะไหล่ภีมเบาๆ ภีมรีบสะบัดหนีในทันทีเพราะรู้สึกได้ว่าสัมผัสนั้นมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่

   “ฉันไม่สนใจข้อเสนอของนายเลย แค่อยากมาขอร้องเรื่องหนึ่ง” ภีมขยับตัวออกห่างจากฟินไปสามก้าว

   “ว่ามาสิ” ดวงตาของฟินดูมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องที่ภีมกำลังจะพูด

   “อย่าเพิ่งยุบชมรมดนตรี ภายในสองอาทิตย์ฉันจะหาหัวหน้าชมรมคนใหม่ ฉันมีเวลาอีกสามเดือนที่จะใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียน สามเดือนเท่านั้น” น้ำเสียงของภีมอ่อนลง เมื่อพูดถึงเรื่องดนตรีเขาจะเศร้าแบบนี้เสมอ

   “ถึงมีหัวหน้าชมรมคนใหม่ แต่ชมรมดนตรีก็ยังมีคุณสมบัติไม่ครบห้าข้ออยู่ดี ไหนจะสมาชิก กิจกรรม การเข้าร่วม แล้ว...” ฟินหยุดพูดแค่นั้นเพราะภีมโบกมือห้าม

   “จะสาธยายทำไมวะ รู้อยู่แล้ว ตอกย้ำอยู่ได้ นายนี่ชอบซ้ำเติมคนเหมือนกันนะ” ภีมพูด คิ้วหนาเลิกขึ้นเป็นเชิงถามแต่ไม่ต้องการคำตอบ

   “ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น” ฟินพูดเสียงเรียบ ดวงตาที่มีชีวิตชีวาเมื่อครู่จางหายไปแล้ว “มีอะไรอีกหรือเปล่า”
   “ตกลงจะยุบชมรมฉันมั้ย”

   “ฉันไม่สามารถออกคำสั่งกับเรื่องนี้ได้ มันเห็นกันชัดๆอยู่แล้ว”

   “โธ่เว้ย...แค่นี้ช่วยกันหน่อยไม่ได้หรือไง บ้านฉันให้งานนายทำนะ” ภีมทวงบุญคุณ เลือดในกายเริ่มร้อนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อการตกลงไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

   “ตอนนี้ฉันเป็นประธานนักเรียนไม่ใช่ครูสอนพิเศษ ฉะนั้นอย่ามาทวงบุญคุณ” ฟินพูดอย่างใจเย็น กับคนอย่างภีม ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบไว้เป็นดี

   “วันนี้ฉันไม่ต่อยนายหน้าหงายให้มันรู้ไป” ภีมหอบหายใจแรง ปล่อยให้ความโกรธนำพาการกระทำต่างๆที่สนองความต้องการของตนเองเข้ามามีส่วนร่วม

   มือขวาที่กำอยู่ของภีมกำลังจะไปประทับอยู่บนแก้มเนียนของฟิน

   ฟินไม่หลบ

   “เลิกทำตัวงี่เง่าซักทีภีม ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับนายหรอกนะ ฉันต้องทำงาน” หมัดนั้นของภีมถูกฟินสกัดเอาไว้ด้วยมือซ้าย “ออกไปจากห้องฉัน”

   “อาทิตย์นี้ไม่ต้องมาสอนแล้ว ฉันไล่นายออก” ภีมตวาดใส่ฟิน รู้สึกถึงศักดิ์ศรีที่หล่นหายไปเมื่อถูกฟินออกปากไล่

   ฟินยังคงใจเย็นกับภีม เขาพยายามจะทำให้ผู้ชายคนนี้รู้จักคิดบ้าง ไม่ใช่ทำตามใจตัวเองอย่างเดียว แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ “นายไม่มีสิทธิ์ไล่ฉันออก นายต้องเรียนกับฉันสามเดือน แล้วหลังจากนั้นมันก็เรื่องของนาย เข้ามหา’ลัยได้ไม่ได้ ฉันก็จะไม่ยุ่ง”

   น้ำเสียงของฟินเฉียบขาดจนภีมรู้สึกถึงการประชดประชันที่อยู่ในน้ำเสียงนั้น ปกติภีมไม่ชอบคนอวดดีอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอคนอวดดีเกินความคาดหมายอย่างฟินยิ่งทำให้ต่อมโทสะทำงานอย่างรวดเร็ว

   “เห็นแก่เงินจริงๆเลยโว้ย ประธานนักเรียนคนนี้ ให้มันได้อย่างนี้สิ” ภีมเปลี่ยนโหมดอารมณ์มาเป็นยียวนกวนประสาทแทน เพราะโมโหไปก็เท่านั้น คงทำอะไรประธานนักเรียนเย็นชาคนนี้ไม่ได้

   “แล้วแต่นายจะคิด” ฟินไม่สนใจคำพูดของภีม ตอนนี้ภีมเริ่มโกรธจริงๆเสียแล้ว ยียวนกวนอารมณ์คนๆนี้ไม่ได้เลยจริงๆ

   “ถ้าแกยุบชมรมฉัน ฉันเอาตายแน่” ภีมผลักหน้าอกของฟินอย่างหาเรื่อง “ฉันไม่ยอมให้ดนตรีของฉันต้องจบลงแบบนี้หรอก ไม่มีทาง” อารมณ์ของภีมเปลี่ยนไปมาจนฟินเริ่มสับสน

   “จบอย่างไรก็อยู่ที่ตัวนายทั้งนั้น นายทำให้มันเป็นแบบนี้” ฟินพูดช้าๆเน้นๆ “ตั้งแต่ต้น”

   สิ้นประโยคของฟิน เขาก็ล้มลงไปกองบนพื้นเรียบร้อยแล้ว

   ภีมยืนหอบหายใจอยู่ที่เดิม ตัวสั่นเทิ้ม มือขวาที่กำอยู่กำแน่นขึ้นกว่าเดิม “กำลังว่าใครอยู่”

   “นายน่าจะคิดเองได้ ปีนี้ก็จะเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้วยังทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต” ฟินพูดพลางลุกขึ้นยืน รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ภีมหมัดหนักไม่ใช่เล่น กี่ครั้งแล้วนะที่เขาต้องโดนหมอนี่ต่อย

   แผลเก่ายังไม่ทันหาย แผลใหม่ก็เพิ่มขึ้นมาอีก

   “พอใจแล้วก็ออกไปจากห้องซะ แต่ถ้านายไม่ออก ฉันคงต้อง...” ฟินหยุดพูดแค่นั้น ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นเคร่งขรึมเหมือนเดิม

   “อย่ามาทำวิปริตกับฉัน ไอ้ทุเรศ” ภีมตะคอกใส่

   ฟินส่ายหน้าน้อยๆ มือเรียวสวยทว่าแข็งแรงทาบลงไปบนหน้าอกของภีมก่อนจะออกแรงผลักจนร่างสูงเพรียวเสียหลักไปประชิดติดกับโต๊ะทำงาน

   “ถ้าไม่ใช้กำลังก็ใช้ปากด่าว่าคนอื่น” ฟินฉวยคอเสื้อของภีม “วันนี้ฉันยุ่งมาก นายไม่เห็นเลยหรือไง” ฟินว่าพลางมองไปที่กองเอกสารที่อยู่ข้างหลังภีม

   “ฉันอยากช่วยเลยยื่นข้อเสนอให้ แต่นายก็ไม่เอา ยังมาโวยวายจะเอาโน่นเอานี่” ฟินหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมสบเข้าที่ดวงตาแข็งกร้าวแต่สับสนของภีม “หัดยอมรับคนอื่นซะบ้าง ไม่ใช่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งของทุกสิ่ง เลิกซะทีนิสัยแบบนี้”

   “หุบปากไปเลย แกดีนักหรือไง” สรรพนามใช้เรียกของภีมเปลี่ยนไปอีกครั้งตามอารมณ์ “คิดว่าเป็นประธานนักเรียนแล้วจะยุบชมรมไหนก็ได้ตามใจชอบ อย่าคิดนะว่าฉันจะยอม”

   “ฉันไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกฎระเบียบ” แม้น้ำเสียงจะเรียบเฉยแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ฟินกดภีมให้นอนราบไปตามแนวโต๊ะทำงาน

   “ปล่อยนะโว้ย” ภีมร้องเสียงดัง ดิ้นขลุกขลักไปมาเพื่อให้รอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายนี้

   “เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างนะภีม”

   จบประโยคดังกล่าว ฟินก็ก้มลงฝังริมฝีปากเข้าที่ลำคอของภีม “บางทีการใช้กำลังก็ทำให้คนเรามีจุดจบที่ไม่น่าดูเลยซักนิดเดียว”

   ฟินยิ้มออกมาอย่างเย็นชาก่อนจะเลื่อนริมฝีปากมาหยุดอยู่ที่ปากเม้มสนิทของภีม

   ชัยชนะรออยู่เห็นๆสำหรับฟิน

   “ทำไมตอนนี้เงียบได้ล่ะ เก่งนักไม่ใช่เหรอ” ฟินเยาะเย้ย

   ภีมแค้นจนเลือดแทบกระอัก อยากจะลุกขึ้นวิ่งไปห้องน้ำแล้วอ้วกออกมาให้หมดไส้หมดพุงกับสถานการณ์ที่น่าเกลียดแบบนี้

   ไม่ต่างอะไรกับฟินที่รู้สึกขนลุกกับการกระทำของตนเอง ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เกิดเรื่อง ฟินเฝ้าถามตัวเองตลอดเวลาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีดีถึงรู้สึกสนใจคนอย่างภีมที่เห็นกันมากว่าสองปีเข้าไปได้

   “ฉันจะพยายามยื้อไว้ไม่ให้ชมรมดนตรีถูกยุบ” ฟินพูดแล้วปล่อยมือออกจากภีมก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน

   ภีมทรงตัวให้เป็นปรกติ เขามองหน้าฟินอย่างขุ่นเคืองแล้วเดินออกไปจากห้องโดยที่ไม่หันกลับมามอง

   ฟินฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้งด้วยความสับสน นี่เรากำลังทำอะไรอยู่

   ห้องคณะกรรมการนักเรียน เวลา 19:45น. ประธานนักเรียนกำลังนั่งคิดหาเหตุผลต่างๆนานากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หลังจากที่หนุ่มร่างสูงเพรียวอีกคนได้เดินออกไปด้วยท่าทางโกรธเคือง

   ไฟในห้องสว่างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งสามทุ่ม    



 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ต่ายน้อย ที่ 19-09-2011 03:18:18
มาเป็นกำลังใจฮับ :L2:
อ่านไปอ่านมา  กลัวฟินอ่ะ :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: wichaiP ที่ 19-09-2011 13:32:50
สนุกมากครับ ตบจูบตบจูบ นางเอกต่อย พระเอกต่อยคืนด้วยปาก เยี่ยมมมมมม
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 19-09-2011 17:02:56

ได้รับอนุญาตจาก จขร. ยังเอ่ย?
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: LalaBam ที่ 19-09-2011 19:07:17
 :z13:จิ้มเจ๊สอง



รอต่อจ้า
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: forever-yunjae ที่ 19-09-2011 19:50:20
ชอบจร้า าา า :)
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 19-09-2011 21:13:30
เราเป็นเจ้าของเรื่องเอง แต่ว่าใช้ชื่อล็อกอินอีกชื่อหนึ่ง ^^
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 7 – คณะกรรมการนักเรียน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 19-09-2011 21:23:19




บทที่ 7 – คณะกรรมการนักเรียน




   วันศุกร์

วันที่คณะกรรมการนักเรียนต้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือเรื่องงานเลี้ยงรุ่นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า

หลังเลิกเรียน คณะกรรมการนักเรียนทุกคนต้องไปประชุมที่ห้องประชุมใหญ่ของทางโรงเรียน นี่จะเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายเพื่อหาข้อยุติในเรื่องต่างๆ โดยมีรุ่นพี่เข้าร่วมประชุมด้วย

ฟินและคณะกรรมการนักเรียนทุกคนเดินมาที่ห้องประชุมใหญ่อย่างรีบร้อน เพราะเลยเวลาที่นัดรุ่นพี่ไว้แล้ว

“ขอโทษที่มาสายครับ พวกผมเพิ่งเลิกเรียน” ฟินเปิดประตูเข้ามาเป็นคนแรกพร้อมคำขอโทษที่แสนสุภาพ เขาเดินนำทุกคนมานั่งที่หัวโต๊ะแล้วเปิดแฟ้มเอกสารอย่างรวดเร็ว

“เริ่มกันเลยนะครับ”

การประชุมเริ่มต้นขึ้นเมื่อทุกคนนั่งประจำที่ หัวข้อแรกที่พูดถึงคือรูปแบบของงาน

“ครั้งก่อนที่ประชุมกัน ทุกคนลงความเห็นว่า ‘ราตรีสีมืด’ เหมาะสมที่สุด” ฟินพูดแล้วเงยหน้าขึ้นจากเอกสารมองหน้าผู้เข้าร่วมประชุมกว่าสี่สิบคนเพื่อขอความเห็น “มีใครอยากเสนออะไรใหม่หรือเปล่าครับ”

เงียบ...

“เป็นอันว่า ‘ราตรีสีมืด’ คือธีมของงานนี้” ฟินขีดเครื่องหมายถูกลงไปในกระดาษพร้อมกับจดรายละเอียดเพิ่มเติมไปอีกเล็กน้อย เขาไม่ค่อยพอใจกับธีมในครั้งนี้นักเพราะมันฟังดูเหมือนงานการกุศลไม่มีผิด แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นรุ่นน้องที่ไม่ว่าจะพูดหรือให้เหตุผลอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชนะพวกรุ่นพี่ได้

จากนั้นหัวข้ออื่นๆก็ถูกยกขึ้นมาหารือจนเกือบครบ จนกระทั่งถึงหัวข้อสุดท้าย

การแสดงดนตรีของนักเรียน...

คนแรกที่ฟินนึกถึงคือภีม แต่เขาก็เงียบไว้อย่างนั้นไม่พูดออกไป รอให้ทุกคนเสนอชื่อกันเรียบร้อยก่อน

“พี่ขอเสนอชื่อค่ะ” รุ่นพี่คนหนึ่งพูดขึ้น ทุกคนหันไปมองเธออย่างให้ความสนใจ “ภีม  พิริยะ พี่ว่าภีมเหมาะที่จะเป็นตัวแทนของรุ่นพวกเธอที่สุด”

“ทำไมล่ะครับ ผมขอเหตุผล” ฟินพูดเรียบๆ พยายามเก็บอารมณ์พึงพอใจเอาไว้

“ภีมได้รับรางวัลมากมายจากการแข่งขันดนตรี แล้วเขาก็เล่นได้หลายอย่างมาก ทั้งเปียโน กีต้าร์ ไวโอลิน หรือแซ็กโซโฟน พี่ว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งมากๆ แล้วที่สำคัญ ภีมหน้าตาน่ารัก ถูกใจพี่ที่สุด” รุ่นพี่สาวสวยพูดจบก็ยิ้มหวานออกมาเรียกเสียงฮาจากผู้เข้าร่วมประชุม

“ทุกคนคิดว่าภีมเหมาะสมมั้ยครับ” ฟินถามขึ้น

ทุกคนในที่ประชุมพยักหน้าพร้อมกัน

“เป็นอันว่าการแสดงดนตรีเปิดและปิดท้ายงานเป็นของภีม  พิริยะ” ฟินสรุป

คณะกรรมการนักเรียนคนหนึ่งยกมือถามขึ้นมา “แล้วภีมจะยอมเหรอคะประธาน”

“ยอมสิ เรื่องนี้ผมจัดการเอง ทุกคนไม่ต้องห่วง” ฟินรับประกันกับทุกคนก่อนจะกล่าวจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้

รุ่นพี่ที่มาเข้าร่วมประชุมแยกย้ายกันกลับไป ส่วนคณะกรรมการนักเรียนต้องอยู่ประชุมต่อในเรื่องการจัดงาน งบประมาณ และเรื่องจิปาถะต่างๆ

“สถานที่ในการจัดงานครั้งนี้คือสระว่ายน้ำใหญ่ของโรงเรียน อาหารเป็นบุฟเฟ่ต์ของโรงแรมxxx ธีมของงานคือราตรีสีมืด มีการประกวดการแต่งกาย มีดนตรีเปิดปิดงานของภีม แล้วก็มีการเต้นรำ” ฟินปิดแฟ้มเอกสารนั้นก่อนจะหยิบแฟ้มอีกอันหนึ่งขึ้นมา

“หลังจากที่งานเลี้ยงรุ่นของเราผ่านไปแล้วก็จะมีงานเลี้ยงประจำปีของโรงเรียนต่อ เราจะใช้งานนี้ขอบคุณรุ่นพี่ทุกคนที่ให้คำปรึกษาในเรื่องงานต่างๆของโรงเรียนมาตลอดหนึ่งปีเต็มและถือโอกาสฉลองจบการศึกษาของพวกเราไปในตัวด้วย” ฟินพูดขึ้น มองหน้าทุกคนในห้องอย่างขอความคิดเห็น

“เจ๋งไปเลย จะได้ไม่เปลือง จะได้มีรุ่นน้องสวยๆมาแสดงความยินดีด้วย ไม่ใช่มีแต่รุ่นเรา” คณะกรรมการนักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย

“รุ่นเรานี่โชคดีได้ฉลองสองงานรวด ทั้งเลี้ยงรุ่นแล้วก็งานประจำปี ตัดชุดกันให้เรียบร้อยล่ะ” ฟินพูดยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากในความคิดของคณะกรรมการนักเรียนทุกคน เพราะปกติประธานนักเรียนคนนี้จะประหยัดรอยยิ้มเอาไว้อย่างสุดชีวิต

แต่วันนี้มาแปลก...

ฟินยิ้มให้กับทุกคนในห้อง

“มืดมากแล้ว แยกย้ายกันกลับบ้านเถอะ แล้วเจอกันวันจันทร์” ฟินพูดพลางเก็บเอกสารที่อยู่บนโต๊ะให้เข้าที่

“อย่าลืมเรื่องภีมนะครับประธาน” เสียงของคณะกรรมการนักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น

“ไม่ลืมอยู่แล้ว” ฟินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส ทำเอาทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นงงไปตามๆกันกับท่าทางที่ดูมีความสุขของฟิน

ถึงจะ...งง...

แต่ทุกคนก็ชอบประธานนักเรียนแบบนี้

ยิ้มบ้าง...ไม่ใช่เอาแต่ทำหน้าขรึม เรียบเฉย ไปวันๆ

ฟินออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย ร่างสูงเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มที่หาได้ยากในรอบสามปี เสียงผิวปากดังขึ้นไปตามทางเดินที่เขาเดินไป

ฟินมีความสุขเพราะอะไร...ไม่มีใครรู้ เพราะ...

แม้แต่ตัวฟินเอง

ก็ยังหาคำตอบไม่ได้




 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 19-09-2011 21:30:36
ขี้โมโหจังงงภีม  *-*
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 8 – ขอร้อง /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 19-09-2011 21:50:43




บทที่ 8 – ขอร้อง




   สัปดาห์ที่สองของการเรียนพิเศษ ภีมเบื่อหน่ายอย่างยิ่งกับข้อกำหนดที่พี่สาวตั้งขึ้นมา ภีมต้องตื่นนอนตอนเจ็ดโมงเช้าเพื่อออกกำลังกาย

   เจ็ดโมงครึ่ง...อาบน้ำ

   แปดโมงครึ่ง...ทานข้าว

   เก้าโมงตรง...ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำก่อนเข้าเรียน

   สิบโมงตรง...เข้าเรียน

   ภีมถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือ

   9:00 น.

   ร่างสูงเพรียวขึ้นบันไดไปที่ชั้นสามอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องดนตรี

   ภีมหยิบกีต้าร์ขึ้นมาเล่นอย่างมีความสุข ร่างสูงวิ่งไปทางมุมโน้นที มุมนี้ที เสียงดนตรีทำให้ภีมมีความสุขขึ้นมาทันตาเห็น

   ไม่นานนัก กีต้าร์ก็ถูกวางลงที่เดิม ภีมเดินมานั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าเปียโนสีดำมันวาว เขาลูบมันช้าๆ แผ่วเบาราวกับว่านี่คือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต

   นิ้วเรียวยาววางทาบลงบนเปียโน

   แล้วเริ่มบรรเลงเพลง...

   ภีมตกอยู่ในภวังค์ของเสียงดนตรี เขาหลับตาลงนึกภาพว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ เสียงเปียโนดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

   เสียงอันไพเราะ ท่วงทำนองอ่อนหวานทว่าเปี่ยมไปด้วยความเศร้าสร้อย...
   เสียงที่ทำให้ใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเคลิบเคลิ้มและเดินเข้ามาในห้วงแห่งความหวานนี้อย่างไม่รู้ตัว

   ภีมยังคงเล่นอยู่อย่างนั้นไม่รู้เบื่อ นิ้วเรียวยาวกดลงไปบนคีย์เปียโนด้วยท่วงท่างดงาม พลิ้วไหว เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกันมาแสนนาน

   ร่างสูงที่ยืนฟังอยู่นานราวต้องมนต์นั้น ขยับฝีเท้าเบาๆเพื่อเข้าใกล้คนที่กำลังเล่นเปียโนอยู่

   เข้ามาใกล้เรื่อยๆ

   และร่างสูงนั้นก็ยืนอยู่เบื้องหลังของภีม มองดูนิ้วเรียวยาวที่พลิ้วไหวไปตามจังหวะดนตรีอย่างช่ำชอง

   เสียงดนตรีหยุดไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เพลงใหม่ที่ภีมบรรเลงนี้มีทำนองและคำร้องที่เศร้าเป็นอย่างมาก ภีม
พยายามสะกดตัวเองไม่ให้ร้องคลอไปในท่วงทำนองนั้น

   “ดาวที่เปล่งประกายอยู่บนฟ้า
   โปรดบอกฉัน...ว่าความเหงาที่อยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร
   แล้วรู้ไหม...ว่าฉันเหงาแค่ไหนกับการที่ต้องมองดาวอยู่ลำพัง   
โปรดตอบฉัน...จะมีไหมสักวัน
   ที่จะมีใครมานั่งอยู่ด้วยกัน...ตรงนี้
   ตรงที่ที่เราจะได้มองดวงดาวด้วยกัน”

   “มีเพียงฉันและเธอ” เสียงทุ้มดังขึ้นเบื้องหลังของภีม เขาหยุดนิ้วที่พลิ้วไหวนั้นทันทีก่อนจะหันไปยังต้นเสียง

   แก้มของภีมชนเข้ากับแผ่นอกแข็งแรงนั้น

   “ฉันชอบเพลงนี้มาก แม่ชอบเล่นให้ฟังบ่อยๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง มันนุ่มนวลราวปุยเมฆ

   ภีมพยายามสะกดกลั้นความอายที่แล่นวาบขึ้นสู่ใบหน้า บอกตัวเองว่าผู้ชายด้วยกันจะอายทำไม แต่ยิ่งคิดอย่างนั้นก็ยิ่งอายขึ้นไปอีก ก็เพราะผู้ชายด้วยกันนี่ไง ถึงต้องอาย

   “นายขึ้นมาที่นี่ได้ยังไง” ภีมฝืนใจพูดออกไป

   “ตามเสียงเปียโนขึ้นมา”

   “ทำไมไม่รออยู่ในห้อง นี่มันเสียมารยาทชัดๆ”

   “รอมาตั้งเป็นชั่วโมง ไม่เห็นนายจะมาสักที”

   “ตอนนี้กี่โมงแล้ว” ภีมถามออกไป ไม่กล้าแม้แต่จะยกนาฬิกาขึ้นดู

   “สิบเอ็ดโมงสิบห้านาที”

   ภีมถอนหายใจเบาๆ ลืมไปเลยว่าต้องเรียนพิเศษ

   “ฉันเพลินไปหน่อย ขอโทษที” ภีมพูดเบาๆ เพราะอายที่จะต้องขอโทษใคร “วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะเรียนหรอก นายกลับไปเถอะฟิน”

   “ยังไงก็ต้องเรียน” ฟินพูดเรียบๆ ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น ข้างหลังภีม

   “ฉันไม่ค่อยสบาย ไม่อยากเรียน นายกลับไปเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาสอน” ภีมพูดโกหกออกไปคำโต ใบหน้าแดงระเรื่ออีกครั้ง

   ฟินเดินไปข้างๆภีมแล้วคุกเข่าลงบนพรมหนานุ่ม ก่อนจะเอามือมาอังที่หน้าผากของภีม

   ภีมสะดุ้งในทันที ความร้อนแล่นวาบขึ้นสู่ใบหน้าอีกครั้ง

   “ตัวก็ไม่ร้อนนี่ เงยหน้าขึ้นหน่อยสิ” นี่เป็นประโยคคำสั่งของฟิน

   “อย่ามายุ่งกับฉันนักได้ไหม นายกำลังทำให้ฉันรู้สึก...” ภีมหยุดประโยคที่กำลังจะพูดไว้แค่นั้น

   “รู้สึกอะไร ฉันเป็นห่วงนายเฉยๆ ผิดตรงไหน” ฟินพูดยิ้มๆ

   “เอามือออกไปจากหน้าฉันเดี๋ยวนี้” นี่เป็นประโยคคำสั่งของภีม

   “รู้สึกอะไรล่ะ” ฟินถามย้ำ สายตาจดจ้องไปที่ไรผมของภีมก่อนจะยกมือขึ้นลูบมันอย่างแผ่วเบา ทะนุถนอม

   “เอามือออกไปเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของภีมเจือไปด้วยความโมโหที่เจ้าตัวพยายามสะกดกลั้นอยู่

   “ก็แค่เป็นห่วง จะโมโหทำไม” ฟินจ้องเข้าไปในดวงตาที่กำลังสับสนระคนโมโหของภีม

   “ไม่ต้องมาเป็นห่วง นายจะยุ่งกับฉันทำไมนักหนา น่ารำคาญ” ภีมตวาดเสียงดัง เขาระงับโทสะไม่ได้เลยเมื่อคุยกับผู้ชายคนนี้

   “เลิกทำเป็นเก่งสักทีภีม” ฟินพูดอย่างใจเย็น เขารู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ภายนอกดูแข็งแกร่ง ก้าวร้าวแต่ภายในนั้นกลับบอบบางยิ่ง

   “อย่ามายุ่ง” ภีมสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง อยากจะลุกขึ้นเดินหนีไปเฉยๆแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด “ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้”

   ฟินส่ายหน้ากับท่าทางของภีม ผู้ชายคนนี้ไม่เคยยอมอะไรกับสิ่งที่ขัดใจตัวเองเลยจริงๆ มันน่ามั้ยล่ะ

   “นักดนตรีที่ไหนเขาอารมณ์ร้ายแบบนายบ้างเนี่ย” ฟินพูดติดตลก “วันนี้ฉันยอมไม่สอนนายก็ได้ แต่นายต้องเล่นดนตรีให้ฉันฟัง ตกลงมั้ย” ฟินแกล้งยื่นข้อเสนอเล่นๆ คิดใจใจว่าอย่างไรภีมคงไม่ยอมแน่ๆ

   แต่...

   “ตกลง” ภีมตอบทันที แค่คำว่าเล่นดนตรีก็อยู่เหนือเงื่อนไขทุกสิ่งแล้ว

   “ทุกชิ้น” ฟินพูดเพิ่มเติม ภีมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วแล้วพูดซ้ำคำของฟิน “ทุกชิ้น”

   ฟินยิ้มอย่างพอใจ ยืนขึ้น จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับภีม

   ภีมเกือบจะลืมตัวปล่อยหมัดใส่ใบหน้าของฟิน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนยื่นข้อเสนอดีๆให้ก็ยับยั้งชั่งใจเอาไว้อย่างทันท่วงที

   “อยากให้เล่นอะไรก่อนล่ะ” ภีมถามโดยที่ไม่หันมองคนข้างๆ

   “เล่นเพลงเมื่อกี้ให้ฉันฟังอีกรอบได้ไหม” ฟินพูด

   “ได้สิ นั่นก็เป็นเพลงโปรดฉันเหมือนกัน” ภีมพูดพลางบรรเลงเพลงขึ้นช้าๆด้วยท่วงทำนองที่ไม่ผิดแผกจากเดิมเลยแม้แต่น้อย

   ฟินจดจ้องไปที่นิ้วเรียวยาวที่พลิ้วไหวไปตามท่วงทำนองเศร้านั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม วินาทีนั้นฟินรู้สึกเหมือนกับว่าเกราะกำบังที่กุมหัวใจอยู่ได้หลุดหายไปทีละน้อยๆ

   ฟินมองไปที่ใบหน้าของภีม ดวงตาคมคู่นั้นของภีมปิดสนิทราวกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า

   ในอีกมุมของคนใจร้อนอย่างภีมก็มีที่ว่างไว้สำหรับเสียงดนตรี ฟินยิ้มไปกับภาพที่ได้เห็น

   เขาแทบไม่ได้ฟังเพลงเลยเพราะมัวแต่มองคนข้างๆ

   เสียงเปียโนของภีมอ่อนหวานและอ่อนโยนเสียยิ่งกว่าเสียงเปียโนใดๆที่ฟินเคยได้ยินมา

ท่วงทำนองและคำร้องเพลงเศร้าดังขึ้นอีกครั้ง ดังขึ้นในใจของฟินและภีม ทั้งคู่ร้องเพลงนี้ไปพร้อมกัน

   แม้คำร้องจะดังก้องอยู่เพียงในใจของแต่ละคน  แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ร้องเพลงเดียวกัน

   ...เพลงดาว...

   “ดาวที่เปล่งประกายอยู่บนฟ้า
   โปรดบอกฉัน...ว่าความเหงาที่อยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร
   แล้วรู้ไหม...ว่าฉันเหงาแค่ไหนกับการที่ต้องมองดาวอยู่ลำพัง
โปรดตอบฉัน...จะมีไหมสักวัน
   ที่จะมีใครมานั่งอยู่ด้วยกัน...ตรงนี้
   ตรงที่ที่เราจะได้มองดวงดาวด้วยกัน...

   มีเพียงฉันและเธอ”

   “ทำไมนายถึงชอบเพลงนี้ล่ะ” ฟินถามขึ้นหลังจากเพลงจบ

   ภีมเสมองไปทางอื่น ไม่อยากตอบคำถามนี้แต่อีกใจหนึ่งก็อยากระบายให้ฟินได้รับรู้

        ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ภีมอยากให้ผู้ชายที่แสนเฉยชาคนนี้เข้าใจในความเป็นเขา

        “มันตรงกับชีวิตฉันมั้ง ชีวิตน้ำเน่า ใครจะเชื่อว่าคนอย่างฉันที่มีทุกสิ่งที่คนโหยหากลับไม่มีบางสิ่งที่คนทั่วไปเขามีกัน” เสียงถอนหายใจของภีมดังขึ้นเมื่อประโยคจบลง มันน่าขายหน้าสิ้นดีที่ต้องเปิดเผยสิ่งที่เป็นให้คนๆนี้รับรู้

        “คนเราไม่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่างหรอก มันเรื่องธรรมดาของโลก การที่เราไม่มีอะไรก็ไม่ได้หมายความว่ามันแย่เสียหน่อย นายยังมีโอกาสตามหาสิ่งที่ขาดไปในชีวิตอีกเยอะ” ฟินหันหน้าไปมองภีมด้วยความเห็นใจ

        “ช่างมันเถอะ อย่ามาสงสารหรือเห็นใจฉันเชียวนะ เพราะฉันไม่ชอบ มันอนาถตัวเอง” ภีมยิ้มเยาะ

        “ภีม ฉันมีเรื่องอยากให้นายช่วย” ฟินโพล่งออกมา คิดว่าตอนนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว
ภีมพยักหน้าช้าๆ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย

        “งานเลี้ยงรุ่นของเราที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ อยากให้นายไปเล่นเปียโนตอนเปิดและปิดงานได้ไหม” ฟินพูดออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกับคำตอบที่กำลังจะได้รับ

        ภีมชะงักไปพักหนึ่ง สีหน้าคลายใจเมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นความโมโห “ที่นายมาพูดดีกับฉันอย่างโน้นอย่างนี้เพราะอยากได้ความช่วยเหลือจากฉันใช่มั้ย”

        ฟินก็ชะงักไปเช่นกันเพราะสิ่งที่ภีมพูดไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”

        ภีมพยักหน้าอีกครั้ง ริมฝีปากได้รูปนั้นเหยียดตรง “ประธานนักเรียนนี่มันหวังผลประโยชน์กันทุกคนมั้ยเนี่ย น่าหัวเราะเยาะจริงๆ”

        ฟินนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่พูดแก้ตัวอะไร ปล่อยให้ภีมได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้หมด

        “ถึงขนาดละเลยหน้าที่ที่ควรทำเพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง” ภีมพูด

        “ไม่เคยเห็นใจใครถ้ามันไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยว” นี่ก็ภีม

        “ทุเรศสิ้นดี ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลย” ภีมอีกเช่นกัน แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นอย่างชัดเจน

        “นายพูดจบแล้วใช่มั้ย” ฟินพูด ลุกขึ้นยืนแล้วพิงเปียโนหลังใหญ่ “ฉันพอใจที่จะไม่สอน พอใจที่จะได้ยินเสียงดนตรีของนาย ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น”

        ภีมนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม หันหน้าเข้าหาฟินที่ยืนพิงเปียโนอยู่ ภีมคล้ายกำลังทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีบ้างแล้ว

        “และที่ฉันอยากให้นายช่วยมันก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว นายก็เป็นส่วนหนึ่งของรุ่น นายจะไม่ทำเพื่อรุ่นบ้างเหรอ”

        ภีมคิดตามคำพูดของฟิน...

        คิดแต่ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม

        “ส่วนหนึ่งของรุ่นเหรอ” ภีมเลิกคิ้ว “แล้วทำไมถึงยุบชมรมฉัน”

        “ยังไม่ได้ยุบซักหน่อย ฉันยังไม่ยอมให้ยุบง่ายๆหรอกน่า” ฟินเอามือลูบศีรษะตัวเองป้อยๆแก้เก้อ “ถ้าฉันขอร้องให้นายเล่นเปียโนล่ะ นายจะยอมมั้ย”

        ภีมเงยหน้าขึ้นมองฟินที่ส่งสายตาขอร้องมาให้อย่างพิจารณา “ขอร้องฉันเหรอ” ภีมพูดขึ้นลอยๆ ดวงตาคมกลอกไปมาอย่างยียวน

        ฟินรู้ว่าภีมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว แม้จะเลือดร้อน ขี้โมโหขนาดไหน แต่ภีมก็ยังคงเป็นคนๆหนึ่งที่มีหลากหลายอารมณ์ในตัว
ฟินไม่เคยใจเย็นกับใครมากเท่านี้มาก่อน...

        “ฉันขอร้องให้นายเล่นเปียโนเปิดและปิดงานขอให้นายเข้าร่วมงานนี้ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของรุ่น นายคือรุ่นของเรา นายคือความภูมิใจของรุ่น ฉะนั้น ช่วยเล่นเปียโนในงานนี้ด้วยเถอะนะ” ฟินพูดยิ้มๆ เป็นคำขอร้องที่กล่าวด้วยความสุขใจเป็นที่สุด

        “พูดได้แค่นี้เองเหรอ”

        “จะเอามากแค่ไหนล่ะ อยากให้พูดแบบไหน ฉันจะพูดให้ตามที่นายต้องการเลย” ฟินยิ้มกริ่ม ภีมมองรอยยิ้มปิศาจนั่นด้วยความขนลุก

        “เอาเป็นว่าฉันตกลง แล้วนายก็ออกไปจากเปียโนของฉันซักที” ภีมพยักเพยิดหน้าไปที่ฟิน

        “นายเป็นคนดีนะภีม แต่พยายามทำตัวให้เลวร้าย ฉันไม่รู้ว่านายทำไปเพื่ออะไร แต่ว่าฉันเข้าใจ” ฟินพูดยิ้มๆ เท้าแขนบนเปียโนอีกครั้ง

        “ไม่ต้องมายอ” ภีมพูดพลางมองดูท่าทางของฟินที่กำลังเท้าแขนลงบนเปียโนของเขาอย่างสบายอารมณ์ “เฮ้ย...เอาตัวออกไปให้ห่างจากเปียโนของฉันเลย”

        ภีมลุกขึ้นยืนบ้างหวังจะผลักคนตัวสูงกว่าให้ออกไปจากเปียโนหลังงาม แต่ดันพลาดท่าเสียหลักเข้าสู่อ้อมแขนของฟินเสียอย่างนั้น

        ฟินกอดรัดร่างเพรียวบางนั้นไว้ “ทำอะไรระวังหน่อยสิ”

        ให้ตายสิน่า นี่ฉันกับมันทำเวรกรรมอะไรนักหนาถึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้บ่อยๆ ภีมคิดในใจ “ปล่อยซะทีสิ มันขนลุกโว้ย”

        “พี่สาวนายรักนายมากนะแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่รักนาย ทำไมชอบคิดว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลก” ฟินยื่นหน้าเข้าไปใกล้ภีม อ้อมแขนที่โอบภีมอยู่แน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

        “แล้วจะมายุ่งทำไมเนี่ย ไอ้โรคจิต” ภีมเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ร่างทั้งร่างถูกฟินกอดรัดจนแน่นไปหมด “ปล่อยนะเว้ย”

        “ฉันดีใจที่นายตกลง” ฟินพูดพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

        ภีมละล่ำละลักจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ก็ช้าไปแล้วเมื่อริมฝีปากของคนตัวสูงกว่าก้มลงมาประทับบนริมฝีปากของตน ภีมเม้มปากไว้แน่น หลับตาปี๋อย่างไม่ยอม แต่ฟินก็ยังพยายามทำให้ภีมโอนอ่อนผ่อนตาม

        มือเรียวยาวของฟินลูบไล้ไปตามแผ่นหลังบอบบางของภีม ภีมสะดุ้งเฮือกกับสัมผัสอันร้อนรุ่มที่จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
จากนั้นฟินก็เข้าครอบครองริมฝีปากของภีมอย่างง่ายดาย ภีมพยายามผลักไส ต่อต้าน แต่ก็ไม่เป็นผล ทว่ากลับทำให้จุมพิตนั้นลึกล้ำขึ้นไปอีก

        ยิ่งเนิ่นนาน ยิ่งเพิ่มแรงปรารถนามากขึ้น ฟินกดร่างของภีมลงกับเปียโน ภีมร้องอู้อี้ด้วยความเจ็บ แต่ฟินไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วนอกจากเสียงหัวใจของตนเอง

        ฟินเบียดร่างของตนให้แนบแน่นกับร่างของภีม มือเรียวยาวสอดเข้าไปในเสื้อของภีม จากนั้นก็มอบจุมพิตที่ร้อนแรงให้ร่างที่สั่นสะท้านนั้นอีกครั้งอย่างไม่หยุดหย่อน

        ฟินพรมจูบไปทั่วลำคอขาวของภีมก่อนจะเลื่อนริมฝีปากมาที่หัวไหล่ต่ำลงไปจนถึงหน้าอก

        “อืมม...” ภีมร้องครางออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนจะใช้มือจิกไปที่หัวไหล่ของฟินอย่างแรงเพื่อบรรเทาความรู้สึกแปลบปลาบที่แล่นไปทั่วกาย

        ฟินเลื่อนมือมาข้างหน้าเพื่อปลดกระดุมเสื้อของภีม

         เม็ดที่หนึ่ง...

         เม็ดที่สอง...

         เม็ดที่สาม...

         จนกระทั่งเม็ดสุดท้าย...

         ฟินไม่ใช่คนใจเย็นอีกต่อไป

         “ฉันชอบนาย ภีม”




 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 19-09-2011 22:28:06
แรง
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kp ที่ 20-09-2011 00:23:27
มาก
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kp ที่ 20-09-2011 00:26:05
ฉันก็รักเธอสองคน
ฟิน&ภีม
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ramgaythai ที่ 20-09-2011 05:19:11
และคนเขียนชอบทำให้ค้าง    :m31:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 20-09-2011 06:37:51
ค้างงงงงงงง :m31:

 :call:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 20-09-2011 08:02:20
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Mookkun ที่ 20-09-2011 09:28:12
โฮะ! มาต่อเดี๋ยวนี้นะ T^T
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: minchy ที่ 20-09-2011 15:13:10
คืออ่านแล้วสงสัยค่ะ

"ประธานนักเรียนหนุ่มเดินไปเรียนตามปกติ ระหว่างทางก็คิดถึงเรื่องเด็กหนุ่มที่ชื่อภีมขึ้นมา อยู่ดีดีเขาต้องสนใจหมอนี่ทำไมกัน ทั้งๆที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว (ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ม.6)"

แล้วพอจัดงาน ราตรีสีมึดนี่  ทำไมถึงมีรุ่นพี่อีกหล่ะคะ   เข้าใจว่า เรียนอยู่ม.6 กันแล้ว กำลังจะเอนฯ

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-09-2011 19:30:41
 :haun4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-09-2011 20:15:12
ชอบอ่ะ อ่านรวดเดียวมาจบตรงที่ค้างพอดี
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 21-09-2011 22:00:09
ต่อเร็วๆเหอะน้าาาาาาา  :sad4: :sad4: ค้างสุดๆ กำลังได้ที่เลยอ่า :-[
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 21-09-2011 23:33:52
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 21-09-2011 23:49:45
รุ่นพี่เป็นรุ่นที่จบไปแล้วน่ะ แต่ว่ายังมีส่วนร่วมงานโรงเรียนอยู่
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 9 – รุกเร้า /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 22-09-2011 00:10:26




บทที่ 9 – รุกเร้า




โลกทั้งโลกคล้ายหยุดหมุนไปชั่วขณะ ดวงตาของภีมเบิกโพลงด้วยความตกใจ สติที่กระเจิดกระเจิงไปเมื่อครู่นี้กลับมาแทบครบถ้วน

“นาย...” ภีมพูดออกมาอย่างยากเย็น แม้สติจะกลับมาแล้วแต่ก็ยังตกใจกับคำพูดของฟิน

“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเมื่อไหร่” ฟินพูดช้าๆ เสียงที่เปล่งออกมานุ่มนวลน่าฟัง

ภีมส่ายหน้าอย่างสับสนแล้วจ้องมองฟินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในใจของภีม ฉันไม่ใช่พวกผิดเพศ ไม่ใช่ ไม่คิดจะใช่ ฉันไม่ใช่คนพวกนั้นเด็ดขาด แต่ทำไมฉัน...ฉันถึง...

ภีมรวบรวมกำลังทั้งหมดผลักฟินให้พ้นไปจากร่าง ในใจเต็มไปด้วยความสับสนแต่ในส่วนลึกแล้วก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับคำพูดนั้น

“ภีม ฉัน...” ฟินพยายามอธิบายความในใจ ส่วนภีมก็พยายามจะไม่ฟัง มือเรียวสวยบีบหัวไหล่ของฟินจนแน่นก่อนจะออกแรงผลัก
แต่ก็ไม่สำเร็จ ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้แรงกดเพิ่มมากขึ้น

“โอ๊ย...” ภีมร้องออกมาเพราะเจ็บหลัง เสียงเปียโนดังขึ้นติดต่อกันอย่างไม่เป็นจังหวะเมื่อร่างของภีมดิ้นไปมาบนคีย์

“เจ็บเหรอภีม” ฟินถามเบาๆพร้อมกับหยุดการกระทำทุกอย่าง เขาอุ้มร่างบอบบางนั้นลงจากเปียโน “นั่งตรงนี้ละกัน” ฟินวางภีมบนเก้าอี้ตัวเล็กหน้าเปียโน

“ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ทำไมฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย” ภีมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา สองมือกำแน่นอย่างสะกดอารมณ์

“ขอโทษ” ฟินพูดเบาๆ คงไว้ในน้ำเสียงนุ่มนวล แล้วเขาก็คุกเข่าลงตรงหน้าภีมก่อนจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะของภีมอย่างเอ็นดู

“นายเป็นคนน่ารักมากนะภีม บางทีนายอาจจะไม่รู้” ฟินยืดตัวขึ้นจนร่างอยู่เสมอกับภีม จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงบนลำคอขาวที่เกร็งจนสั่นของภีม ฟินใช้มือโอบรอบตัวของภีมเอาไว้ก่อนจะลูบไล้ไปตามผิวเนียนละเอียดนั้นอย่างเบามือ

ภีมสะดุ้งเฮือกกับการจู่โจมของฟิน “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” ภีมพูดเสียงสั่น สูญเสียสติไปอีกครั้งหนึ่ง

ร่างของภีมสั่นสะท้านเมื่อจุมพิตเลื่อนลงมาตามแผงอก ต่ำลงมาจนกระทั่งหน้าท้อง ภีมเกร็งลำตัวเอาไว้ ทั้งร่างกายสั่นสะท้านไปกับความวาบหวิวที่แผ่กระจายไปทั่ว จุมพิตนั้นเลื่อนขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากได้รูปที่กำลังสั่นระริก มันเผยอ...ออกน้อยๆคล้ายกำลังรอรับสัมผัสที่แปลกใหม่ ไม่คุ้นชิน

ฟินโลมไล้กลีบปากนุ่มนั้นอย่างหลงใหล ก่อนจะดันลิ้นเข้าไปในปากของภีมแล้วซึมซับความหวานที่อยู่ข้างในบ้าง

จุมพิตที่อ่อนหวาน เนิ่นนาน ชวนหลงใหล ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ทำให้ภีมต้องพิศวง

ไม่ใช่ว่าภีมเพิ่งเคยจูบเป็นครั้งแรก ภีมเคยทำอย่างนั้นมาหลายครั้งแล้วแต่นั่นทำกับผู้หญิง ส่วนครั้งนี้ทำกับผู้ชาย

ภีมไม่ได้ผลักไสฟินแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองเพราะในใจเต็มไปด้วยความสับสน ส่วนร่างกายที่สั่นสะท้านอยู่ตอนนี้จะห้ามอย่างไร มันก็ห้ามไม่ได้จริงๆ

ภีมหลับตาลงอย่างอ่อนใจ...อยากจะร้องไห้กับเรื่องที่เกิดอยู่ตอนนี้

มันทุเรศสิ้นดี

ฟินเลื่อนมือมาประคองใบหน้าของภีมไว้แล้วจูบลงบนเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ รอยจูบนั้นไล้มาเรื่อยๆจนถึงใบหูอ่อนนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยเจาะมากมาย ฟินขบเม้มใบหูนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม

ส่วนภีม...ร่างที่สั่นสะท้านอยู่แล้วยิ่งสั่นขึ้นไปอีกเมื่อฟินขบเม้มใบหูนั้นอย่างกระหาย

“อืมม...” เป็นอีกครั้งที่ภีมครางออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว

แต่...ฟินได้ยินชัดเจน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของคนเย็นชา

ฟินจู่โจมภีมอีกครั้งอย่างได้ใจ มือเรียวยาวกดลงไปที่หน้าท้องของภีมแล้วระดมจูบลงไปที่ริมฝีปากอย่างรวดเร็วจนไม่มีช่วงเวลาให้พักเพื่อหายใจ

จนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน...

ฟินจึงปล่อยภีมให้เป็นอิสระ ทั้งคู่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีใครมองหน้าใครจนกระทั่งเสียงเรียกของแม่บ้านคนหนึ่งดังขึ้น

“คุณชายคะ อยู่ไหนคะ คุณพี่ภูมาหาแน่ะค่ะ” เสียงเรียกของแม่บ้านวัยกว่าสี่สิบปีเรียกคุณชายของบ้านเสียงดัง

“เดี๋ยวลงไป บอกให้พี่ภูรออยู่ที่ชั้นล่างนั่นล่ะ” ภีมพูดเสียงสั่น ก่อนจะหลับตาลงเพื่อเรียกสติที่วิ่งหนีไปให้กลับคืนมา ร่างสูงเพรียวลุกขึ้นยืนพร้อมกับติดกระดุมเสื้อที่หลุดลุ่ยให้เป็นระเบียบ

“ฉันช่วย” ฟินลุกขึ้นบ้างเพื่อช่วยภีม

“อย่ายุ่ง...” ภีมจงใจเน้นคำพูดนั้น ก่อนจะเดินหนีไปอีกทางหนึ่งเพื่อจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินลงไปข้างล่างโดยที่ไม่หันกลับมามองในห้องดนตรี

“รออยู่ในห้องนี่ล่ะ ไม่ต้องออกไปไหน ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นนายในสภาพแบบนี้” คำพูดทิ้งท้ายของภีมที่พูดกับฟิน

ฟินก้มลงดูเสื้อผ้าของตัวเอง มันหลุดลุ่ยและยับยู่ยี่จนน่าสงสัยว่าไปทำอะไรมา เลือดที่ไหลซิบอยู่บนหัวไหล่ทำให้เขาต้องเข้าไปในห้องน้ำเพื่อถอดเสื้อผ้าออกดู  มันเป็นรอยเล็บของภีมที่จิกลงมา ฟินเอาน้ำลูบเบาๆที่รอยแผลนั้นก่อนจะใส่เสื้อดังเดิมแล้วเดินออกมารอภีมอยู่ที่เก้าอี้เปียโนสีดำมันวาว

ส่วนภีมที่รีบวิ่งลงไปหาพี่สาวที่รออยู่ที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างนั้นพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปรกติ ภีมยิ้มมาแต่ไกลก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่สาวบนโซฟา

“ว่าไงคุณชายภีม ตั้งใจเรียนหรือเปล่า” ภูรดาลูบศีรษะน้องชายอย่างเอ็นดู

“แน่นอนอยู่แล้วว่าตั้งใจ” ภีมตอบ เสมองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้มีพิรุธ

อย่างไรก็ตาม แม้ภีมจะไม่แสดงพิรุธใดๆออกมาแต่หลักฐานที่อยู่บนลำคอและริมฝีปากมันชัดเจนอยู่แล้ว

ภูรดาเชยคางของภีมขึ้นสูงเพื่อดูร่องรอยที่ลำคอนั้นให้ชัดขึ้น มันมีสีแดงจ้ำๆเหมือนกับว่า... “ไปทำอะไรกับใครมาภีม” ภูรดาถามเสียงแข็ง

ภีมผงะกับคำถามนั้น เขาอ้ำอึ้งอยู่นานก่อนจะตอบออกมา “ก็ผมไป เอ่อ...ไปเจอแมลงเข้าน่ะ จับมาเล่นแล้วมันก็ต่อยเอา”

ภูรดาทำหน้าไม่เชื่อ เธอรู้อยู่แล้วว่านี่มันรอยจูบชัดๆ “โกหก ไปทำอะไรมา”

“เบื่อสุดๆ พูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อเลย ทีหลังถ้าไม่เชื่อกันก็ไม่ต้องถาม” ภีมทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อนเรื่องราว

แต่มีหรือที่พี่สาวอย่างภูรดาจะไม่รู้ “ไม่บอกก็ตามใจแต่อย่าให้มันเลยเถิดนัก เข้าใจมั้ย แล้วฟินอยู่ไหน”

“มัน...เอ่อ...อยู่ข้างบนครับ” ภีมหน้าแดงขึ้นมาเมื่อพูดถึงฟิน

“ไปเรียกเขาว่ามันได้ยังไงกันไอ้น้องคนนี้นี่ ไปเลยขึ้นไปเรียน พี่แวะมาดูเราเท่านั้นล่ะ ตั้งใจเรียนล่ะภีม เพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อใคร” ภูรดาพูดจริงจัง แววตาของเธอดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน

ภีมพยักหน้าเบาๆ สวมกอดพี่สาวครั้งหนึ่งก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนห้องดนตรีอย่างรวดเร็ว

ภูรดามองน้องชายจนลับตาก่อนจะขับรถออกไปทำงาน

ภีมรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้องดนตรีอย่างกระหืดกระหอบ ฟินที่นั่งนิ่งอยู่ทำเป็นมองไม่เห็นภีมที่วิ่งเข้ามา

“แกนี่สมควรตายจริงๆ” ว่าแล้วภีมก็เดินเข้าไปใกล้ฟิน ชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายอย่างเต็มแรง

“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับแกเว้ย ฟังนะ...ไอ้ประธานจอมวิปริต” ภีมหยุดหายใจนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ฉันเป็นผู้ชาย ผู้ชายทั้งแท่ง ฉันไม่มีทางสกปรกอย่างแกหรอก”

“ทุกคนมีความต้องการที่ต่างกันมันไม่ผิดเลยที่คนเราจะเป็นอย่างไร” ฟินพูดเรียบๆ

“แต่แกผิดที่มายุ่งกับฉันนี่ล่ะ ฉันไม่ใช่พวกนั้นเว้ย ไม่ใช่ ไม่ใช่...” ภีมตะโกนเสียงดัง สับสน ปั่นป่วน หลายความรู้สึกเวียนวนในสมองจนน่าปวดหัวไปหมด

“เพราะฉันรู้ไงว่านายเป็น...”

“เงียบปากไปเลย ฉันไม่ใช่ ไม่มีทางเด็ดขาด” ภีมถลันเข้าไปกระชากคอเสื้อของฟิน “อย่ามายุ่งกับฉันอีก ไอ้ทุเรศ”

ฟินยิ้มเยือกเย็น ทำสีหน้าคล้ายกับผู้ชนะที่ขึ้นรับรางวัล

“แก...” ภีมโมโหจนแทบจะฆ่าคนได้ เขาเกลียดท่าทีอวดดีของผู้ชายคนนี้ที่สุด “ถ้ายังไม่เลิกทำแบบนี้กับฉันอีก อย่าหวังว่างานเลี้ยงรุ่นฉันจะโผล่หน้าไปหา”

ฟินยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตานั้นฉายแววขบขันอยู่ “ตกลง ฉันไม่ยุ่งกับนาย แค่นี้ก็คุ้มเกินจะคุ้มแล้ว” ประโยคสุดท้ายฟินแกล้งพูดเพื่อกระตุ้นโทสะของภีม แต่คิดไม่ถึงว่าจะนำพาหมัดที่หนักหน่วงกว่าเดิมมาเข้าที่เบ้าตาขวา

“โอ๊ย...” ฟินอ้าปากร้องเสียงดัง สองมือยกขึ้นกุมเบ้าตาเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด

ภีมยิ้มอย่างสะใจ “จำคำพูดเอาไว้ ไอ้ประธานจิตป่วง จำไว้ๆ”

แล้ววันนั้นฟินก็ต้องขอตัวกลับก่อนเพื่อไปหาหมอรักษาเบ้าตาที่เขียวช้ำเป็นหมีแพนด้าทั้งสองข้าง

ภีมรีบอนุญาตในทันทีแล้วยังให้เขาลาหยุดพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน บรรดาแม่บ้านสาวน้อยสาวใหญ่ต่างเข้ามาถามไถ่เรื่องรอยเขียวช้ำนั้นอย่างเป็นห่วง

ทั้งๆที่ทุกคนต่างก็รู้ดีแก่ใจว่าคนสร้างรอยช้ำที่ว่าคือคุณชายของบ้าน

คุณชายตัวร้ายแห่งคฤหาสน์พิริยะ...

คุณชายภีม...




 o22 o22 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ramgaythai ที่ 22-09-2011 07:57:56
น่ารักอ่า ^^  :-[

ปล.เวลาลงแล้วช่วยแก้ชื่อเรื่อง แล้วเขียนตอนล่าสุดด้วยได้มั้ยอ่า
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 22-09-2011 08:53:19
ติดตามตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 22-09-2011 10:06:20
น่าสงสารเนอะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: MooZee ^6^ ที่ 22-09-2011 11:43:46
ภีมน่ารัก กกก
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Infinite Love ที่ 22-09-2011 14:16:58
ภีมเขินโหดว่ะ  :m3:
ส่วนฟินเนี้ย หื่นเงียบนะ ง่ะ! น่ากัว  o3
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 22-09-2011 16:28:44
น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก >///< :o8: :o8: o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 23-09-2011 10:32:51




บทที่ 10 – เมินเฉย




เช้าวันจันทร์...

ภีมไปโรงเรียนอย่างมีความสุขที่สุดในรอบหลายสัปดาห์เพราะวันหยุดที่ผ่านมาเขาไม่ต้องเรียนพิเศษกับฟิน

วันนี้สมองจึงปลอดโปร่งเป็นพิเศษ

ภีมสะพายกระเป๋าสีดำใบโปรดแล้วเดินไปตามสนามหญ้าอย่างอารมณ์ดี เดิมทีภีมคิดจะแวะไปนั่งเล่นที่โต๊ะหินอ่อนหลังโรงเรียนแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเวลาว่างที่มีอยู่น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ จุดมุ่งหมายใหม่ของเขาก็คือ ห้องชมรมดนตรี

ระหว่างทางที่เดินไปยังชมรม ภีมได้พบกับฟิน ใบหน้าคมบูดบึ้งแทบจะทันทีที่เห็นหน้าของฟินซึ่งตอนนี้มีรอยช้ำอยู่ที่รอบดวงตาทั้งสองข้าง มันจางไปบ้างแล้วแต่ก็ยังปรากฏรอยให้เห็นอยู่

ภีมคิดว่าฟินต้องพูดจากวนโมโหตนเป็นแน่แต่กลับผิดความคาดหมายไปโดยสิ้นเชิง

เพราะ...ฟินเดินผ่านภีมไปโดยที่ไม่พูดอะไร ซ้ำยังไม่มองมาที่เขาแม้แต่หางตา

ภีมลูบท้ายทอยด้วยความงุนงงระคนแปลกใจ

ทำไมวันนี้หมอนี่มันแปลกๆวะ ไม่พูดจากวนโอ๊ยสักคำเลย ภีมคิดในใจ แล้วเดินต่อไปยังห้องชมรมดนตรี

ทั้งชมรมมีภีมเพียงคนเดียว...

ร่างสูงวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็กหน้าเปียโน ภีมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมสมาธิ

จากนั้น...บทเพลงก็ถูกบรรเลงขึ้น

แม้ท่วงทำนองจะไพเราะและหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลงแต่ก็ขาดความมีชีวิตชีวาไปโดยสิ้นเชิง

บทเพลงนี้คล้ายว่าจะบรรเลงไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้ หาใช่ออกมาจากหัวใจของผู้เล่นแม้แต่น้อย

ภีมรับรู้ถึงสิ่งที่ขาดหายไปนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าขาดสิ่งนี้ไปได้อย่างไร

ความมีชีวิตชีวาในเสียงเพลง...

นิ้วเรียวยาวหยุดการเคลื่อนไหวในทันทีที่ไม่สบอารมณ์ในท่วงทำนองนั้น คิ้วหนาขมวดเป็นปมอย่างขัดใจเมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำไมถึงขาดสิ่งนี้ไป

“โธ่เว้ย...อะไรกันวะเนี่ย แค่เล่นเปียโนทำไมทำให้ดีไม่ได้ ไอ้บ้าเอ๊ย” ภีมต่อว่าตัวเองด้วยเสียงอันดัง ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกไปจากห้องเสียดื้อๆด้วยความโมโห


“อีกสามวันงานจะเริ่มแล้ว ขอให้ทุกคนจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แม้มันไม่ใช่งานใหญ่อะไร แต่มันก็แสดงถึงศักยภาพของรุ่นเรา” ฟินพูดเรียบๆ แฟ้มเอกสารตรงหน้าถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว

ร่างสูงลุกขึ้นยืนตรงก่อนจะเผยรอยยิ้มที่นานๆทีจะมีให้เห็นไปยังเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ยืนจ้องมองด้วยความงุนงง
ประธานนักเรียนเปลี่ยนไป...

ฟินเดินออกจากห้องคณะกรรมการนักเรียนแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนทันที

ระหว่างทางสายตาพลันสะดุดเข้าที่ประตูห้องชมรมดนตรีที่เปิดอ้าอยู่ ฟินเดินเข้าไปแล้วมองรอบๆห้อง

ไม่มีใครสักคนเดียว...

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องและไม่ลืมที่จะปิดประตูให้เรียบร้อย

พลันความคิดก็แล่นไปถึงเจ้าของห้องชมรมดนตรี แม้เจ้าตัวจะเป็นคนใจร้อน ขี้โมโหแค่ไหนแต่กับสิ่งอันเป็นที่รักอย่างห้องดนตรีนี้ไม่น่าจะละเลยไปได้

คิดแล้วก็แปลกใจว่าทำไมภีมไม่ปิดห้องให้เรียบร้อยก่อนจะออกไป...

แต่นอกจากความแปลกใจแล้วยังมีความเป็นห่วงแฝงอยู่ด้วย
ภีมเป็นอะไรหรือเปล่า

ร่างสูงวิ่งตรงไปยังห้องเรียนของภีม มองผ่านหน้าต่างไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นเงาของคนที่ตามหา ฟินจึงวิ่งไปที่หลังโรงเรียนซึ่งเป็นที่ประจำของภีม

“แฮ่กๆๆ” ฟินหอบหายใจเสียงดังกว่าจะวิ่งมาถึงหลังโรงเรียน มันไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆเลยจากตึกเรียนมายังหลังโรงเรียนนี้
โต๊ะหินอ่อนว่างเปล่า...

ภีม นายหายไปไหนเนี่ย ฟินคิดอย่างหัวเสีย ทั้งโมโหและเป็นห่วงปนๆกันไป

ในที่สุด ฟินก็แทบไม่ได้เข้าเรียนเพราะมัวแต่เดินตามหาภีม ฟินอยากจะตามไปบ้านของภีมเพื่อดูว่าเขายังอยู่ดีหรือเปล่า แต่ก็ไม่กล้าเพราะสัญญาไว้ว่าจะไม่ทำเรื่องวุ่นวายให้ภีม

มิเช่นนั้น...วันงาน ภีมอาจจะไม่ยอมมาปรากฏตัว

คิดแล้วก็กลุ้มใจ ฟินต้องเมินเฉยอย่างนี้ไปอีกสามวัน
ตั้งสามวัน ฟินย้ำในใจกับตัวเอง


วันต่อมา ภีมต้องเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการนักเรียนในเรื่องการขึ้นแสดงดนตรี ทุกคนให้ความสนใจกับหนุ่มน้อยมากความสามารถคนนี้ ทั้งรุ่นพี่และเพื่อนๆต่างก็ชื่นชมในความสามารถของเขากันทุกคน ยกเว้นฟินที่ทำหน้าเรียบเฉย และยืนนิ่งอยู่ตรงมุมห้องเพียงลำพัง

เสียงปรบมือและรอยยิ้มมีให้ภีมไม่ขาด แม้เขาจะเป็นคนอารมณ์ร้ายแต่เมื่อได้อยู่ใกล้กับดนตรีแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนภีมจะยิ้มได้เสมอ

ยกเว้นในกรณีของฟินเพียงคนเดียว...

ภีมค่อนข้างแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ฟินไม่ทักทายหรือไม่พูดอะไรกับเขาเลยสักคำ และนั่นทำให้ภีมคาดเดาไปต่างๆนานาว่าเป็นเพราะเหตุใด

โกรธที่เราชกหน้างั้นเหรอ...

หรือว่าโกรธที่เราไม่ยอมเรียน...

หรือมันคิดจะลาออกก็เลยเมินเราแบบนี้...

หรือว่ามันคิดได้ว่าไม่สมควรทำลามกอนาจารก็เลยอาย ไม่กล้าสบตา พูดคุย... เมื่อนึกถึงข้อสันนิษฐานนี้แล้ว ภีมอดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรงและรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า

“ภีมจ๊ะ เป็นอะไรหรือเปล่า พี่เรียกตั้งนานแล้ว ภีมก็เอาแต่นั่งเหม่อ คิดอะไรอยู่เหรอ” เสียงเรียกภีมดังขึ้นจากรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง

“ครับ” ภีมสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นก็รีบกำจัดความรู้สึกร้อนที่อยู่ในใจให้ออกไปแต่ดูเหมือนมันจะโหมกระพือมากขึ้นเมื่อสายตาคมของฟินจับจ้องมาที่เขา

ภีมหลบดวงตาคมคู่นั้นที่จ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แม้มันจะเป็นสายตาธรรมดาที่เจ้าตัวใช้มองทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายแต่สำหรับภีม มันเป็นสายตาที่ซ่อนไปด้วยเล่ห์กลอันตรายมากมายที่คนอื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้

ภีมไม่เคยกลัวสายตาคู่ไหนเท่าสายตาคู่นี้ของฟินเลย...

ปกติภีมเป็นคนไม่กลัวใครหน้าไหนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนก็ไม่เคยกลัว แต่ถ้าเป็นฟิน เขากลับมีความรู้สึกที่ว่าต้องออกห่างจากคนๆนี้ไว้ อย่าไปท้าชนเป็นดีที่สุด

“เล่นต่อซีจ๊ะ พี่กำลังเคลิ้มเลย” รุ่นพี่สาวสวยอีกคนหนึ่งพูดเมื่อเห็นว่าดนตรีหยุดบรรเลงไปนาน

และคำพูดนั้นทำให้ภีมหันกลับมาจดจ้องกับเปียโนตรงหน้า นิ้วเรียวยาววางทางลงบนแป้นเปียโนแล้วเริ่มบรรเลงเพลงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

บทเพลงที่ไพเราะ ท่วงทำนองที่พลิ้วไหว และมีชีวิตชีวา

มีชีวิตชีวา...

รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของคนที่ยืนอยู่มุมห้องเพียงลำพัง

เป็นรอยยิ้มของความยินดี...ที่ไม่มีใครได้เห็น แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มอยู่

รอยยิ้มที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว...และ...


ความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหา...

“สุดยอดเลยภีม เพชรน้ำงามของโรงเรียนจริงๆ” รุ่นพี่สาวสวยคนเดิมพูดขึ้น

ภีมไม่ยินดีกับคำชมนั้นเท่าไรนัก เขาเพียงพยักหน้ารับคำชมของเธอคนนั้นเบาๆ “อยากให้ผมเล่นเพลงอะไรในวันงาน” ภีมถาม
 
คณะกรรมการนักเรียนและรุ่นพี่กว่ายี่สิบคนที่ยืนล้อมภีมกันอยู่ทำท่าครุ่นคิด บ้างก็ปรึกษากันไปมา ไม่ได้คำตอบสักที ภีมจึงพูดตัดบทขึ้น “เอาเป็นว่า...ผมขอเลือกเพลงเอง”


ทุกคนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าหนุ่มน้อยคนนี้จะทำอะไรล้วนถูกใจทุกคนเสมอ

ภีมเผลอมองไปที่ใบหน้าเรียบเฉยของฟินที่ยืนอยู่มุมห้องเพียงลำพัง เขายืนอยู่ตรงนั้นในท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาคมมองไปยังประตูห้อง ไม่แม้แต่จะหันมามองที่ภีมเลยแม้แต่น้อย

เมินไปให้ตลอดเถอะ แค่ชกหน้าไปไม่กี่ที ทำเป็นเคือง... ภีมบ่นอุบอิบในใจ คิดไปว่าสาเหตุที่ทำให้ฟินเป็นแบบนี้ก็เพราะเรื่องรอยช้ำรอบดวงตา ภีมลืมคำขู่ของตนเองไปเสียสนิทว่าเคยบอกกับฟินว่าอย่างไร

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ทยอยกันกลับบ้าน ฟินออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย ภีมทำเป็นไม่สนใจเขา แต่พอเห็นว่าฟินกำลังล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร

ฟินค่อยๆล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่พับจนเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆวางไว้บนเปียโน จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลยแม้สักคำเดียว

ภีมมองตามอย่างงงๆ อยากจะวิ่งไปถามให้รู้เรื่องแต่ก็กลัวเสียฟอร์ม จึงทำได้แค่เพียงหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู

ภีมคลี่กระดาษที่พับไว้ออกช้าๆ

แล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษยับๆนั่นก็คือ โน้ตเพลง ท้ายกระดาษเขียนกำกับไว้ว่า ‘ฉันว่าเพลงนี้เพราะและซึ้งใจดี ทุกคนน่าจะชอบ ลองเอาไปเล่นดูแล้วกัน เก็บไว้เป็นตัวเลือกหนึ่งในบทเพลงที่นายจะใช้เล่น’

ลายมือที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของฟินทำให้ภีมปั่นป่วนในท้องแล้วยังโน้ตเพลงที่เขียนด้วยลายมือทั้งหมดนั่นอีกเล่า

ภีมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แค่เพียงเห็นลายมือของเขาเท่านั้นทำไมรู้สึกอย่างกับว่าเขาวนเวียนอยู่ข้างๆกาย และจับจ้องมองดูอยู่

ภีมรีบพับกระดาษแผ่นนั้นแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อของตนเองทันที... รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ขยำทิ้งไปหรือคืนให้กับเจ้าของเดิม

ถึงจะแปลกใจอย่างไรแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่านี่คือความหวังดีที่ได้รับจากประธานนักเรียนคนหนึ่งที่ชอบทำหน้าเฉยเมยต่อสรรพสิ่งรอบข้างเป็นนิจ

และสิ่งที่ภีมสมควรทำคือ...

ขอบคุณ

สิ่งแรกที่ภีมทำเมื่อกลับถึงบ้านแล้วคือการเล่นเปียโน ร่างสูงเพรียววิ่งตรงดิ่งไปยังห้องคนตรีที่ชั้นสามของบ้านอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าแต้มรอยยิ้มของภีมทำให้บรรดาแม่บ้านพลอยยิ้มตามไปด้วยที่เห็นคุณชายแห่งพิริยะมีความสุข

“ระวังนะคะคุณชาย รีบมากเดี๋ยวตกบันได” เสียงพูดไล่หลังของแม่บ้านวัยกลางคนทำให้ภีมต้องชะลอฝีเท้าของตัวเองลงหน่อยเพราะกลัวจะตกลงบันไดไปจริงๆ

“ขอบคุณครับ” ภีมกล่าวด้วยน้ำเสียงทะเล้น ไม่เคยรู้สึกสดชื่นอย่างนี้มานานแล้ว

เพราะทุกวันหลังเลิกเรียน ภีมจะกลับบ้านด้วยความห่อเหี่ยวใจเสมอ...

ไม่มีใครรอต้อนรับหรือไถ่ถามความเป็นไปในแต่ละวัน นอกจากแม่นมและแม่บ้าน

แต่วันนี้ภีมรู้สึกเหมือนมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ...

ทำเพื่อ...คนส่วนรวม เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้ม

ภีมคลี่กระดาษโน้ตเพลงที่ฟินให้แล้วกางไว้เบื้องหน้า...

มันไม่ใช่เพลงพิเศษหรือพิสดารอะไรเลย หากแต่เป็นเพลงธรรมดาที่อยู่ในท่วงทำนองที่แปลกใหม่

...เพลง ดาว...

นิ้วเรียวยาวทาบลงบนคีย์เปียโน ท่วงทำนองแรกเริ่มขึ้น...

สายตาของภีมไล่ไปตามโน้ตเพลงแต่ละตัวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่...ทำนองใหม่

แต่...เพลงเดิม

ท่วงทำนองของเพลงนี้เศร้าและสะเทือนใจอยู่แล้ว...

ไม่น่าจะเศร้าไปมากกว่านี้อีก...

แต่...ทำนองใหม่ที่ฟินให้มากลับเศร้ากว่าเดิมเป็นเท่าทวี

ใครเป็นคนคิดทำนองเพลงนี้ขึ้นมากันนะ คำถามนี้เวียนวนอยู่ในหัวของภีมและเจ้าตัวคงไม่สบายใจนักถ้ามันไม่ได้รับการคลี่คลายอย่างเร่งด่วน

ภีมคิดจะโทรหาฟินเพื่อสอบถามปัญหาที่คับข้องใจ ว่าไปเอาทำนองเพลงนี้มาจากไหน แต่ก็นึกได้ว่า ช่วงนี้ฟินดูแปลกไป แม้แต่หน้าภีมก็ยังไม่มอง พูดก็ไม่พูด

นี่เป็นสัญญาณของการตัดขาดกันชัดๆ... ภีมคิด

ท้ายที่สุดแล้ว ภีมจึงอดทนเก็บปัญหานี่ไว้กับตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ภีมเชื่ออย่างแน่นอนก็คือ ฟินไม่มีทางเขียนทำนองเพลงนี้ขึ้นมาเองเด็ดขาดเพราะเขาไม่มีความรู้เรื่องนี้นี่ จะเขียนได้อย่างไร

แม้แต่ภีมที่รอบรู้เรื่องดนตรี ต้องยอมรับกับตัวเองอย่างเงียบๆว่า ทำไม่ได้

สรุปว่า ทั้งสัปดาห์ก่อนงานเลี้ยงรุ่น ภีมและฟินต่างก็ไม่พูดจากันเลยแม้แต่คำเดียว





 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-09-2011 11:32:01
 :laugh: :laugh:

เชิ่ด ค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 23-09-2011 14:48:56
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 23-09-2011 16:37:22
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 23-09-2011 16:50:11
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 23-09-2011 18:12:14
น่าติดตามมาก แม้ว่าช่วงแรกๆจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วแล้วก็ค่อนข้างงงแต่ตอนหลังๆสนุกขึ้นจ้ะ
เดาอารมณ์ฟินไม่ถูกเหมือนกัน น่ากลัว จู่ๆก็รักมาอีกวันเมินเลย
แล้วจบงานไปฟินจะทำยังไงนะ อยากรู้ๆ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 23-09-2011 21:00:52
ในอนาคต ภีมอาจจะกลายเป็นเคะ มาดราชินีก็เป็นได้ คิคิ :o8:

จบงานนี้ ฟินจับกดเลยค้าบบบบ!!!!  o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 23-09-2011 22:13:04
 :o8:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kp ที่ 24-09-2011 00:42:44
ตายหล่ะ ทำงัยละทีนี้
รีบๆมาต่อนะ
อยากรู้เรื่องของชาวบ้านอย่างแรง
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 24-09-2011 01:15:57
สู้ต่อป๊าย 555
อยากรู้แล้วว่าเมนทำไม?
หรืองอนไรกันแน้ เรียกร้องความสนใจอ่ะเปล่า หึหึ :)
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ramgaythai ที่ 24-09-2011 19:09:47
 :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 11 – งานเลี้ยงรุ่น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 24-09-2011 20:59:41




บทที่ 11 – งานเลี้ยงรุ่น




‘ราตรีสีมืด’ เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้

เสียงพลุดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดเป็นสัญญาณบอกว่างานเลี้ยงรุ่นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก รุ่นปัจจุบันได้เริ่มขึ้น(อย่างไม่เป็นทางการ)แล้ว

บรรดานักเรียนในรุ่นแต่ละคนเดินเข้างานกันอย่างรื่นเริง บ้างก็ควงแขนมากับคนรู้ใจ บ้างก็มากับกลุ่มเพื่อน แต่ที่น่าเศร้าใจก็เห็นจะเป็นคนที่มาเพียงลำพัง

งานจัดขึ้นที่สระว่ายน้ำใหญ่ของโรงเรียน เปียโนสีดำสวยงามตั้งไว้ตรงกลางของพื้นที่ทั้งหมด  ส่วนทางด้านซ้ายและขวาเป็นมุมของอาหารที่วางเรียงรายให้เลือกสรรกันได้ตามใจชอบ และในพื้นที่รอบๆที่เหลือเป็นพื้นที่สำหรับการเต้นรำ

และยังมีมุมนั่งเล่นที่จัดไว้สำหรับคนที่อยากนั่งผ่อนคลาย พูดคุย

รอบๆงานประดับประดาไปด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด เริ่มตั้งแต่ซุ้มประตูเข้างานที่ประดับด้วยไม้เลื้อยอย่างเถาไอวี่

ดอกกุหลาบหลากสีที่มีอยู่ทั่วทุกมุมในงาน ทั้งบนโต๊ะอาหาร ลานเต้นรำ ซุ้มลงทะเบียน ลานเกมส์ นอกจากดอกกุหลาบแล้วยังมีดอกกล้วยไม้ เดซี่ เยียบีร่า ลิลลี่

เพิ่มสีสันให้งานด้วยลูกโป่งหลากสีที่ประดับเคียงคู่กับเหล่าดอกไม้ ในงาน

ธีมของงานในครั้งนี้คือราตรีสีมืด ผู้ร่วมงานจึงใส่ชุดสีดำเสียส่วนมาก

พวกผู้ชายมักไม่ค่อยพิถีพิถันกับเรื่องเสื้อผ้าเท่าไรนักจึงไม่มีใครที่โดดเด่นเป็นพิเศษในงานนี้(แต่พวกผู้ชายเหล่านี้ก็มักมั่นใจในหน้าตาของตัวเองเอาเสียมากๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว)

ผิดกับพวกผู้หญิงที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการแต่งตัวและการเข้าสังคม แม้จะเป็นงานเล็กๆพวกเธอเหล่านั้นก็ยังคงคิดว่าจะให้เสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด ชุดของบรรดาคุณหนูแต่ละคนจึงมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันไปตามสไตล์ คงจะเหมือนกันแต่เพียงสีของชุดเท่านั้น

   ครึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากการเปิดงานอย่างไม่เป็นทางการด้วยพลุหลากสีสันแล้ว ก็เข้าสู่ช่วงการเปิดงานอย่างเป็นทางการเสียที

   คนสำคัญของงานอย่างภีมเดินออกมาจากห้องแต่งตัวที่อยู่ทางด้านหลังของสระว่ายน้ำด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าเขาจะผ่านการแข่งขันมานับไม่ถ้วน ต้องพบเจอกับผู้คนที่ล้นหลามมากกว่านี้ยังไม่ตื่นเต้นเท่างานเล็กๆแบบนี้เลย

   ภีมเดินมาถึงหน้าประตูแล้วหยุดอยู่แค่นั้นเพราะไม่กล้าโผล่หน้าออกไป ภีมประสานมือไว้ด้วยกันที่หน้าอกแล้วรวบรวมลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่

   ยังมีผู้ชายอีกคนยืนอยู่อีกฝั่งของห้องแต่งตัวแล้วคอยมองทุกอิริยาบถของภีม รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากนั้น

   ภีมไม่ได้สนใจมองไปที่อื่นเลยนอกจากเปียโนสีดำที่ตั้งอยู่กลางงาน มันโด่ดเด่นจนทำให้เขารู้สึกเขิน แก้มสีขาวของภีมแดงปลั่งขึ้นไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

   “ได้เวลาแล้ว ออกไปเถอะภีม” เสียงที่ดังมาจากฝั่งตรงข้ามทำให้ภีมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก่อนเขาไม่เคยขวัญอ่อนและตกใจง่ายขนาดนี้แต่พออะไรหลายๆอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปเลยพลอยทำให้ความเป็นเขา เปลี่ยนไปด้วยทีละน้อยๆ

   ภีมสบตากับเจ้าของเสียงนั้น ทิฐิในใจเกิดขึ้นแทบจะทันที

   วันก่อนยังทำเมินเฉยอยู่เลย มาวันนี้ทำเป็นพูดดี...

   “ทุกคนรออยู่นะภีม ออกไปเถอะ” น้ำเสียงที่นุ่มนวลและแผ่วเบานั้นทำให้ภีมหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก เขาพยายามปฏิเสธความรู้สึกแปลกที่เกิดขึ้นในใจทุกวิถีทาง

   ไม่จริง ไม่ใช่ ฉันไม่ใช่...แบบนั้น

   สมาธิที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นค่อยๆหายไป ความมั่นใจที่มีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วยิ่งลดทอนลงไปอีก “นายจะเอายังไงกับฉันกันแน่ แน่จริงก็เลิกยุ่งกับชีวิตฉันไปเลยสิ”

   “ฉันทำตามความต้องการของนายแล้ว” ฟินพูดเรียบๆ รอยยิ้มที่มีอยู่ค่อยๆจางหายไป

   ภีมงุนงงกับคำพูดนั้น นึกสงสัยว่าคนอย่างเขาเคยเรียกร้องอะไรจากประธานนักเรียนคนนี้ด้วย “ฉันเคยต้องการอะไรจากนายด้วยเหรอ”

   “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้นายมีหน้าที่ที่ต้องทำ แล้วนายก็ต้องทำมันให้เต็มความสามารถด้วย” ฟินพูดเรียบๆ ร่างสูงเดินมายังฝั่งที่ภีมยืนอยู่ “ออกไปเดี๋ยวนี้”

   ภีมไม่พอใจกับคำสั่งนั้นของฟินเป็นที่สุด... หมอนี่กล้าดียังไงมาสั่งคนอย่างฉันวะ

   และเขาก็ขัดคำสั่งด้วยการนิ่งเฉย...

   ฟินพยักหน้าสองครั้งเป็นเชิงรับรู้การขัดคำสั่งนั้นของภีม “ตกลงกันแล้วไงว่าจะทำ” ความใจเย็นที่มีอยู่มากมายจนเหลือเฟือของฟินมันเหลืออยู่น้อยนิดมากเมื่อเจอกับคนอย่างภีม

   “ฉันไม่ชอบให้ใครมาสั่ง ฉันจะทำก็ต่อเมื่อฉันเต็มใจ” ภีมพูด

   “ฉันไม่ได้สั่งนาย แต่นี่เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ” ฟินเดินเข้าไปใกล้ภีมมากขึ้น

   “เพราะนายเป็นคนบอกว่าจะทำมัน” ใกล้เข้าไปอีก

   “แต่ถ้าไม่ทำ...” ใกล้จนทำให้ภีมหน้าเสีย

   “ฉันก็จะ...” ใบหน้าของฟินก้มลงไปหาใบหน้าของภีม

   “ตกลง...ฉันจะทำ” ภีมละล่ำละลักพูดออกมา ใบหน้าแดงปลั่งด้วยความอาย
   เป็นอีกครั้งที่ภีมต้องยอมให้กับฟิน...

   “ทุกคนรอนายอยู่” ฟินถอยหลังออกห่างภีมไปสามก้าวเพื่อเปิดทางเดินให้กับเขา

   เมื่อภีมเดินเข้ามาในงาน ทุกคนต่างจับจ้องมาที่เขา ร่างสูงเพรียวในชุดสูทสีดำเดินมายังเปียโนที่อยู่กลางงานอย่างสง่างาม

   เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อร่างสูงนั้นทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้แล้วทาบนิ้วเรียวงามลงบนเปียโน

   บทเพลงที่มีท่วงทำนองสนุกสนาน ครื้นเครงดังขึ้น

   เสียงปรบมือก็ดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม...

   ภีมกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในงาน

   เปลือกตาของภีมปิดสนิท ศีรษะเล็กโคลงไปมาตามท่วงทำนอง และรอยยิ้มก็เกิดขึ้นที่ริมฝีปากได้รูปนั้น มันชวนมองเสียจนทำให้ใครบางคนถึงกับยิ้มออกมาและเป็นรอยยิ้มที่กว้างที่สุดที่เจ้าตัวเคยยิ้มมา

   ...ฟิน...

   ฟินไม่พยายามเป็นจุดสนใจในงานนี้ แม้ใครต่อใครจะถามถึงเขามากมาย แต่เขาก็จงใจที่จะอยู่เบื้องหลังของงาน มีก็แต่คณะกรรมการนักเรียนด้วยกันเท่านั้นที่ได้เห็นหน้าประธานนักเรียนสุดเนี้ยบของโรงเรียน

   และภีม...

   ฟินยืนพิงประตูทางออกของห้องแต่งตัวมองดูภีมที่กำลังเล่นเปียโนด้วยท่าทางของคนที่มีความสุข ฟินรู้สึกมีความสุขไปกับภาพที่ได้เห็น


   ทำไมกันนะ...เวลาที่เห็นผู้ชายคนนี้มีความสุข รู้สึกว่าพลอยมีความสุขไปกับเขาด้วย ราวกับว่าความสุขนั้นเป็นของตัวเราเอง

   ฟินหัวเราะกับตัวเองเบาๆราวกับคนบ้า นี่เขาบ้าไปหรือเปล่า...ดูท่าจะบ้าไปจริงๆแล้วด้วย

   บทเพลงแรกจบลง เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงโห่ร้องและชมเชยของผู้ร่วมงาน ดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่แทนคำขอบคุณของทุกคนมอบให้ภีมด้วยอาจารย์คนหนึ่งในโรงเรียน

   “ขอบคุณครับ...”ภีมพูดอย่างเขินอาย อายที่นึกชื่ออาจารย์คนนี้ไม่ออก ก็ภีมเข้าเรียนบ่อยเสียที่ไหนกัน...

   “นวลพรรณจ๊ะภีม พิริยะ เห็นไหมครูยังจำชื่อเธอได้เลย” อาจารย์นวลพรรณพูดพร้อมรอยยิ้ม จะไม่ให้จำได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อทุกครั้งที่เช็คชื่อ ภีม พิริยะ มักจะหายไปอยู่เสมอ

   “เอ่อ...ครับ” ภีมย้ำกับตัวเองในใจว่าจะไม่ลืมชื่อนี้อีกเลยตลอดชีวิต

   เมื่อรับช่อดอกไม้จากอาจารย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภีมก็แสดงความขอบคุณให้ทุกคนด้วยรอยยิ้ม เป็นการขอบคุณที่ธรรมดาแต่ตราตรึงอยู่ในใจของผู้คนไปอีกนาน

   เพราะไม่บ่อยครั้งนัก ที่จะมีใครเห็นรอยยิ้มของพ่อหนุ่มน้อยคนนี้

   ภีมถือช่อดอกไม้เดินเข้ามาที่ห้องแต่งตัวด้วยรอยยิ้ม แต่พอพบกับคนที่ยืนขวางทางอยู่ก็ทำเอารอยยิ้มนั้นหายไปเสียดื้อๆ
   “ไม่มีที่อื่นจะสิงหรือไง” ภีมพูดเรียบๆ

   “ก็ฉันอยากอยู่ตรงนี้” แต่ฟินพูดด้วยรอยยิ้มและยียวน “กับ...” ฟินเว้นช่องว่างเอาไว้เพื่อให้คนตรงหน้าได้เติมคำเอาเอง ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววซุกซนจนน่าตกใจ

   ภีมถอยหลังโดยอัตโนมัติ ช่อดอกไม้ที่ถือด้วยมือขวาเพียงมือเดียวเปลี่ยนมาถือด้วยมือสองข้างแทน ภีมอุ้มมันไว้ข้างหน้าของตน

   “ถอยไปไอ้โรคจิต ฉันจะเข้าห้อง” เหตุการณ์เริ่มยืดเยื้อ ภีมเริ่มโมโห

   “อยากไปก็ไปสิ ที่ว่างเหลือตั้งเยอะ” ฟินมองไปยังพื้นที่ว่างที่เหลืออยู่น้อยนิดทางด้านซ้ายขวาของตัวเอง

   ภีมแทบอยากบีบคอเขาในทันที มันแทบไม่มีที่ว่างให้เดินเลยต่างหาก ถ้าจะเดินไปจริงๆมันก็ต้อง...

   เอาวะ...เดินก็เดิน ภีมขี้เกียจคิดว่าจะต้อง...อะไร ร่างสูงเดินตรงเข้าไปในที่ว่างเพียงน้อยนิดนั้น ภีมเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อให้ถูกตัวฟินเพียงนิดเดียว

   แต่เสียดาย...ภีมตกหลุมพรางฟินเข้าแล้ว

   จังหวะที่ภีมเดินเข้ามาใกล้ๆ ฟินก็หันตัวไปทางเดียวกันแล้วกางมือทาบไว้กับผนังกั้นภีมเอาไว้

   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่ริมฝีปากของฟิน “ไม่ได้คุยกันหลายวันเลยนะภีม” ฟินพูดพลางก้มหน้าดอมดมดอกกุหลาบที่อยู่ในอ้อมอกของภีม

   ความร้อนแล่นขึ้นสู่ใบหน้าของภีมในทันที ภาพเหตุการณ์ที่น่าตกใจในช่วงสัปดาห์ก่อนปรากฏขึ้นในมโนภาพจนชัดเจน
 
   เขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นอีก...

   ภีมทำหน้าเคร่งขรึมใส่ฟิน หวังจะให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นี้

   แต่เสียดายที่ฟินไม่ได้สนใจว่าภีมจะทำหน้าแบบไหน เพราะความสนใจของฟินอยู่ที่ริมฝีปากได้รูปที่กำลังเชิดขึ้นอย่างถือดีนั้นของภีมต่างหาก

   “นายทำดีมาก ฉันอยากให้รางวัล” ฟินพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ จังหวะนั้นภีมนึกอยากจะเปิดโปงธาตุแท้ของประธานนักเรียนคนนี้ให้โลกได้รับรู้โดยทั่วกันว่ามันไม่ใช่คนเงียบๆอย่างที่คิด

   มันเป็นปิศาจชัดๆ...

   “กำลังว่าฉันอยู่ล่ะสิ” ฟินพูดอย่างรู้ทัน

   “แสนรู้อย่างกับ...” คำพูดต่อว่ามากมายที่ภีมกำลังจะมอบให้ฟินถูกดูดกลืนไปพร้อมกับริมฝีปากของคนพูด

   จุมพิตที่ร้อนแรงเริ่มขึ้น...

   ฟินเบียดร่างของตนเข้ากับร่างของภีม ดอกกุหลาบช่อโตตกจากมือคนถือเมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ร่างของทั้งสองแนบชิดติดกันเสียแล้ว

   ภีมทาบมือลงที่หน้าอกของฟินเพื่อผลักไสแต่จุมพิตนี้เร่าร้อนจนแรงต่อต้านหายไปเกือบหมด ภีมอยากจะร้องไห้กับสภาพที่เผชิญอยู่ตอนนี้เสียจริงๆ

   ฟินดูดกลืนริมฝีปากของภีมอีกครั้ง มือทั้งสองค่อยๆเลื่อนลงมาโอบรอบเอวของภีมไว้อย่างทะนุถนอม

   ภีมเริ่มหายใจไม่ออกกับจุมพิตที่ไม่มีช่วงเว้นวรรคให้หายใจ “อื้อ...” ภีมร้องประท้วงในลำคอ ฟินหยุดริมฝีปากแค่นั้น

   ทันทีที่เป็นอิสระ ภีมรีบหายใจเอาอากาศเข้าสู่ปอดอย่างรวดเร็ว เขาจะตายเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

   “ฉันมีของจะให้” ฟินเป็นฝ่ายพูดก่อน ภีมมองอย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าฟินจะมาไม้ไหนอีก

   ฟินล้วงกระเป๋ากางเกงที่อยู่ข้างหลังแล้วส่งของสิ่งนั้นให้ภีม...


   ...ฮาโมนิก้า...

   ภีมมองดูด้วยความประหลาดใจ นี่มันฮาโมนิก้าที่เขาทิ้งไปนานแล้วนี่ มาอยู่ที่หมอนี่ได้ยังไง

   ภีมกำลังจะเอ่ยปากถามแต่ฟินก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน “ฉันเห็นนายปาทิ้งอย่างไม่ใยดีเมื่อเดือนก่อน แค่เป่าไม่ได้ไม่เห็นต้องทิ้งนี่ คนเก่งอย่างนายซักวันก็ต้องเป่าเป็น ของที่เล่นยากกว่านี้ยังทำได้เลย นับประสาอะไรกับของแค่นี้”

   “อย่ามารู้ดี” ยังไม่วายที่ภีมจะต่อปากต่อคำ

   “จะเอามาคืนนายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ลืมทุกที” ฟินยื่นให้ภีม

   “ของที่ทิ้งไปแล้ว ฉันไม่มีทางเก็บขึ้นมาใช้อีกหรอก” ภีมพูดอย่างไม่ใส่ใจ

   ใจเย็นกับคนแบบนี้ไม่ได้จริงๆ ฟินคิด

   “ไหนบอกว่ารักนักไม่ใช่เหรอ เครื่องดนตรีพวกนี้น่ะ พอเอาชนะมันไม่ได้ก็ทิ้งมัน นี่น่ะเหรอ...คนที่บอกว่ารักดนตรี นายก็แค่อยากเอาชนะมันเท่านั้นล่ะ” ฟินพูดประชด ในชีวิตไม่เคยต้องพูดกับใครแบบนี้มาก่อน

   “เฮ้ย...อะไรวะ มาว่าแบบนี้เดี๋ยวเจอดีหรอก” ภีมคงลืมมองไปว่าตอนนี้ตัวเองตกอยู่ในสภาพไหน ถูกเขาล้อมตัวอยู่ยังจะกล้าพูดมาก

   “นายจะมีดีสักเท่าไหร่เชียว ก็ดีแต่ปากนี่ล่ะที่เที่ยวว่าคนโน้นคนนี่เขาไปทั่ว” นอกจากไม่เคยพูดประชดแล้วยังไม่เคยพูดจาอะไรยาวเหยียดเท่านี้มาก่อนอีกด้วย

   “ออกไปให้ห่างฉันเลย ออกไป๊” ภีมตวาด

   แม้จะเป็นคนใจเย็นและรู้จักควบคุมอารมณ์ แต่ฟินก็ยังเป็นคนที่มีขีดจำกัดในทุกๆเรื่อง ถ้ามันมากไป คำว่าใจเย็นคงใช้ไม่ได้อีกกับผู้ชายคนนี้

   “หยุดนิสัยแบบนี้ซักที ใช้สมองให้มากกว่าอารมณ์ได้มั้ย” ฟินตวาดกลับ ใบหน้าหล่อเคร่งเครียดในทันที

   “แล้วมายุ่งกับฉันทำไมล่ะ ต่างคนต่างอยู่มาตั้งนาน เกิดประสาทอะไรตอนนี้วะ ไอ้บ้าเอ๊ย...ถ้านายไม่มายุ่งกับฉันชีวิตฉันคงมีความสุขมากกว่านี้ ฉันทำเวรทำกรรมอะไรกันวะ” ภีมไม่ยอมให้กับฟิน แม้จะตกใจอยู่บ้างกับคำตวาดนั้น

   ฟินในอีกมุมที่ไม่มีใครรู้ นอกจากภีม...(มุมโมโห – ปกติฟินไม่ใช่คนพูดมากเกินความจำเป็นแต่พอมาเจอกับคนอย่างภีม ฟินต้องเปลืองคำพูดและสมองไปมากพอตัว)

   พอเจอคำพูดของภีมเข้า ฟินถึงกับผงะไป ร่างสูงถอยห่างออกมาจากภีมในทันที ถอยออกมาจนชิดกับผนังอีกฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกัน

   “นั่นสิ ต่างคนต่างอยู่มาตั้งสองปี แต่ทำไมตอนนี้ฉันถึง...” ฟินพูดเบาๆคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่า

   แต่...ภีมได้ยิน

   “อยากอยู่ใกล้นาย” ประโยคนี้แผ่วเบาเหลือเกิน แต่สำหรับภีมมันกลับก้องอยู่ในหัวราวกับเสียงตะโกน

   “บ้าไปแล้ว ฉัน...โธ่เว้ย อะไรกันวะเนี่ย” ภีมนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง ไม่ใช่โมโหฟิน แต่โมโหความรู้สึกตัวเองที่พอใจกับคำพูดของฟิน

   “ตอนปิดงานอย่าลืมว่านายต้องเล่นเปียโนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เม้าท์ออแกนอันนั้น อย่าทิ้งมันไปอีกล่ะ เพราะสักวันนายอาจจะเสียใจที่ทำไมไม่เก็บมันเอาไว้” ฟินพูดเบาๆน้ำเสียงยังคงไว้ในความอ่อนโยน

   แล้วฟินก็เดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่หันกลับมามองภีมอีกเลย

   งานเลี้ยงรุ่นที่แสนสนุกสุขสันต์สำหรับใครหลายคน แต่มันกลับเศร้าสำหรับคนสองคนที่กำลังหันหลังให้กัน

   ฟินเดินออกไปจากห้องด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและแววตาที่ไร้ความรู้สึก แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ความว่างเปล่าที่แสดงออกมานั้นกลับเต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึกที่ยุ่งยากมากมายเกินจะคาดคิด

   ภีมมองร่างสูงที่เดินออกไปจนลับตา...จากนั้นความคิดของเขาก็จมอยู่กับความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงในใจ เขาควรจะดีใจที่หมอนั่นไปสิ...ไม่ใช่มานั่งเศร้าอยู่แบบนี้

   จนกระทั่งงานเลิก...

   พิธีกรของงานประกาศเรียกภีม

   คำพูดของฟินก้องอยู่ในหัวของภีมทุกประโยค ภีมลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปหน้างาน...

   มีผู้หญิงมากมายที่ตั้งความหวังว่าจะได้เต้นรำกับเขา แต่ก็หมดหวังกันถ้วนหน้าเพราะภีมไม่ปรากฏตัวออกมาจากข้างหลังเลย

   ร่างสูงสง่างามในชุดสีดำเดินมายังเปียโนช้าๆ สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา ไม่มีใครพูดคุยและทำสิ่งใดให้เกิดเสียง

   ทุกคนรอฟังบทเพลงปิดท้ายงานครั้งนี้...

   ภีมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วทาบนิ้วลงบนเปียโน

   เขาสูดลมหายใจเข้า...

   แล้วบทเพลงก็เริ่มขึ้น...

   ท่วงทำนองที่แสนเศร้า...ถ้าใครเคยได้ฟังเพลงนี้คงจะรู้ว่ามันเศร้าอยู่แล้ว เมื่อเพลงนี้มีท่วงทำนองใหม่ที่เศร้ากว่า มันจะกินใจผู้คนได้สักเพียงไหน

   ทำนองที่บาดลึกในใจ เนื้อเพลงกลายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้เพลงสมบูรณ์เท่านั้น ตอนนี้มันไม่ได้มีความสำคัญเลย

   ท่วงทำนองที่แสนเศร้านี้ต่างหาก...ที่สำคัญ

   ทำนองที่เขียนขึ้นใหม่โดยใครสักคนที่มีฝีมือและหัวใจที่อ่อนโยน ใครสักคนที่ภีมคิดว่าต้องไม่ใช่ฟินแน่ๆ

   ทุกคนในงานราวกับต้องมนตร์สะกด เพลงที่แสนธรรมดากลับมีเวทมนตร์สะกดคนได้ถึงเพียงนี้ ฟังดูไม่น่าเชื่อ...

   แต่...มันก็เป็นไปแล้ว

   เมื่อถึงท่อนของเนื้อร้อง ทุกคนในงานต่างก็พยายามร้องตาม ยิ่งคิดว่าอีกสองเดือนข้างหน้าต้องแยกย้ายกันไปเรียนที่อื่นยิ่งพาให้น้ำตาจะไหลออกมา (ทั้งๆที่เนื้อเพลงไม่ได้เศร้าอะไรปานนั้นเลยสักนิด ทำนองต่างหากที่เศร้า แต่ความความรู้สึกของคนยามนี้มักจะอ่อนไหวเป็นธรรมดา ยามที่ต้องคิดว่าต้องจากลาคนที่เรารัก)

   ใครว่าโรงเรียน...ไม่สำคัญ

   ถ้าไม่สำคัญ...ทำไมคนถึงมีน้ำตาเมื่อต้องจากมันไป

   ท่ามกลางเสียงร้องของทุกคนในงาน ยังมีอีกเสียงหนึ่งที่กำลังร้องเพลงนี้ออกมาอย่างแผ่วเบา

   เขากำลังจะกลับอยู่แล้ว แต่พอได้ยินทำนองนี้ก็ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจหยุดฟังอยู่ที่ข้างนอกงาน

   เขาไม่คิดว่าจะได้ยินเพลงนี้ในงานนี้ ไม่คิดว่าเพลงนี้จะเป็นเพลงที่ภีมเลือก

   เพลงธรรมดา...กับทำนองธรรมดา...

   ที่เขาเป็นคนเขียนขึ้นเอง

   ...ฟิน...

   “ค่ำคืนที่ใครต่างมองบนท้องฟ้า
   ค่ำคืนที่ฟ้าพร่างพราวด้วยแสงดาว
   ค่ำคืนที่ฉันต้องอยู่กับความเหงา
   เพราะไม่มีใครสักคน

   ดาวอาจไม่เหงาเพราะว่าดาวมีเต็มฟ้า
   บนฟ้าไม่เหงาเพราะว่าฟ้าไม่ได้อยู่...ลำพัง
   แต่ฉันคนนี้นั่งอยู่ตรงนั้น...นั่งอยู่เพื่อมองดาว

ดาวที่เปล่งประกายอยู่บนฟ้า
โปรดบอกฉัน...ว่าความเหงาที่อยู่บนโลกนี้เป็นอย่างไร
แล้วรู้ไหม...ว่าฉันเหงาแค่ไหนกับการที่ต้องมองดาวอยู่ลำพัง
   
โปรดตอบฉัน...จะมีไหมสักวัน
   ที่จะมีใครมานั่งอยู่ด้วยกัน...ตรงนี้
   ตรงที่ที่เราจะได้มองดวงดาวด้วยกัน...

   มีเพียงฉันและเธอ”



 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 10 – เมินเฉย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Infinite Love ที่ 24-09-2011 21:13:21
ฟินคร้าบ หมายความว่าหลังจากจบงานนี้ก็จะกลับไปเจ๊าะแจ๊ะกะภีมเหมือนเดิมอะดิ  :laugh3:
เอ๊ะ! รึจะรุกหนักกว่าเดิน  :laugh: ถ้าได้อย่างนี้ก็  o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 11 – งานเลี้ยงรุ่น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 24-09-2011 21:30:39
เศร้าจัง
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 11 – งานเลี้ยงรุ่น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-09-2011 00:23:02
 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 11 – งานเลี้ยงรุ่น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: forever-yunjae ที่ 25-09-2011 00:35:17
ยังไงกันแน่จร่ะ ฟิน :)
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 11 – งานเลี้ยงรุ่น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 25-09-2011 08:26:40
ติดตามตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 25-09-2011 08:55:17




บทที่ 12 – สารภาพ





   ฟินนั่งมองโทรศัพท์อย่างชั่งใจอยู่นานกว่าจะยกหูแล้วเรียกสายปลายทางไปยังสถาบันกวดวิชาที่เขาทำงานอยู่

   “สวัสดีค่ะ สถาบัน(.....)ยินดีรับใช้ค่ะ” เสียงของพนักงานประชาสัมพันธ์ที่ปลายสายพูดขึ้นมา

   “ผมฟินเองครับ ผมขอยกเลิกตารางการสอนในวันเสาร์อาทิตย์แล้วกลับไปสอนในตารางเดิมเหมือนแต่ก่อน” ฟินพูดเบาๆ พยายามระงับความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ

   “สักครู่นะคะน้องฟิน กรณีพิเศษแบบนี้ต้องปรึกษาผู้จัดการก่อนนะคะ” ประชาสัมพันธ์บอกเสียงหวานก่อนจะต่อสายไปที่ผู้จัดการคนที่เสนองานนี้ให้กับฟิน

   เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ฟินก็ได้รับคำตอบ..

   “ไม่ได้เด็ดขาดเลยค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

   “ทำไมล่ะครับ” ฟินถามอย่างงุนงง นึกสงสัยว่าทำไมไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงตารางงานของตัวเอง

   “สัญญามันผูกมัดค่ะ น้องฟินจะออกจากงานนี้ไม่ได้จนกว่าจะครบสามเดือน” เธอพูดอย่างใจเย็น

   ฟินยิ่งงงขึ้นไปอีก สัญญาอะไรกัน เขาเคยเซ็นสัญญาอะไรที่มีข้อผูกมัดบ้าๆนี้ด้วยเหรอ

   แต่พอได้รับคำอธิบายจากคุณประชาสัมพันธ์ ฟินก็ร้อง...อ๋อ ขึ้นมาทันที

   สัญญางานที่เขาตกลงรับงานสอนพิเศษภีมนี่นา งานที่ภูรดาเป็นคนจ้าง ฟินนึกแล้วก็ต้องถอนหายใจ จะโทษใครได้เล่าในเมื่อเป็นความสะเพร่าของตัวเองที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดและข้อตกลงต่างๆให้ชัดเจน

   “ผมทำอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ย นอกจากทำใจจนกว่าจะครบสามเดือน” ฟินถามเรียบๆ

   “อย่างงั้นแหละค่ะน้องฟิน ทนหน่อยเถอะนะคะ อีกสองเดือนเอง” คุณประชาสัมพันธ์พูด ในน้ำเสียงนั้นคล้ายกับปลอบใจฟิน
   “มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” ฟินวางหูโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย

ตอนแรกเขาไม่มีความคิดที่จะเลิกทำงานนี้ จนกระทั่งได้เห็นท่าทีรังเกียจและคำพูดที่น่าสงสารนั้นของภีม เลยทำให้ฟินตัดสินใจที่จะออกห่างจากผู้ชายคนนี้

ไม่ใช่ไม่อยากอยู่ใกล้...

แต่ไม่อยากให้ภีมเกลียดเขาไปมากกว่านี้ต่างหาก

ฟินถอนหายใจพลางเดินไปนั่งบนโซฟาที่หันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ เขานึกขอบคุณพ่อและแม่ที่มองการณ์ไกลเลือกที่สวยๆแบบนี้ให้โดยที่ไม่สนใจว่าราคาจะแพงแค่ไหน
ฟินนั่งเหม่อมองตึกระฟ้าที่เรียงรายกันอยู่รอบๆแม่น้ำ นั่งอยู่อย่างนั้นจนนาฬิกาตีบอกเวลา 10:00 น.


ร่างสูงวิ่งลงบันไดจากชั้นสามลงมายังห้องเรียนหนังสือที่อยู่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว

ได้เวลาเรียนพิเศษของคุณชายแห่งพิริยะแล้ว...

ภีมหวังว่าเปิดประตูห้องเข้าไปจะได้เจอครูสอนพิเศษที่มีใบหน้าขรึมนั่งรออยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางเอกสารประกอบการสอนมากมาย

แต่...พอเปิดเข้าไปจริงๆกลับไม่มีใคร

มีเพียงเก้าอี้ที่ปราศจากคนนั่ง

แวบแรกของความรู้สึกคือผิดหวัง

ภีมพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ทำไมวันนี้มาช้า ไม่เคยผิดเวลานี่”

ภีมมีเรื่องมากมายอยากคุยกับเขา...

ร่างสูงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ของตัวเองที่หันหน้าเผชิญกับเก้าอี้ของครูพิเศษ

ภีมตัดสินใจรอ...

เป็นครั้งแรกที่ภีมเลือกจะรอ...

ในชีวิตของคุณชายภีมแห่งพิริยะ ตระกูลใหญ่ชื่อดังที่แสนจะมีชื่อเสียงไม่เคยต้องรอใครและก็ไม่มีใครที่ทำให้เขาต้องรอ

นอกจากเป็นครั้งแรกที่ภีมต้องรอแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่คิดจะเอ่ยคำขอบคุณและขอโทษในเวลาเดียวกัน

ภีมนั่งรออย่างใจเย็น ไม่เคยมีครั้งไหนที่คนอย่างเขามีความอดทนเท่านี้มาก่อน

ชั่วโมงแรกของการรอผ่านไป ความใจเย็นที่พยายามสร้างขึ้นก็เริ่มหายไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ชั่วโมงที่สาม ความอดทนของเขาก็สิ้นสุดลงในทันที

เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงที่ภีมนั่งรออยู่ในห้องโดยปราศจากเงาของฟิน ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกดโทรศัพท์ไปยังพี่สาวทันที

“ว่าไงจ๊ะภีม จะโทรมาถามว่าทำไมวันนี้พี่ถึงไม่ไปดูเราใช่มั้ย คือวันนี้พี่ไม่ว่างมีประชุม ลืมโทรบอกไปน่ะ แล้วเรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ” ภูรดาพูดเองตอบเองเสียยืดยาว

“ไม่ใช่เรื่องนั้นซักหน่อย พี่ไม่มาน่ะดีแล้ว วุ่นวาย” ภีมพูดเสียงห้วน คนเป็นพี่ผงะไปเล็กน้อย นึกสงสัยว่าน้องชายไปโกรธใครมาอีกแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป

“วันนี้ครูสอนพิเศษของพี่น่ะ เบี้ยวงาน” ภีมพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

ภูรดารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะจากคำบอกเล่าของเพื่อนซี้ที่เป็นผู้จัดการสถาบันการสอนแล้ว ฟินเป็นเด็กดีและไม่เคยหยุดงานถ้าไม่จำเป็น หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟิน ภูรดาคิดพลางร้องออกมาอย่างลืมตัว “หรือว่า...”

“หรือว่าอะไร อยู่ดีดีก็ร้องเสียงดัง บ้าหรือเปล่า” ภีมไม่วายต่อว่าพี่สาว

“แกน่ะเงียบไปเลย ฟินไม่เคยหยุดงานถ้าไม่จำเป็นนี่นา หรือว่าเขาอาจเป็นอะไรไป หรือ...” ภูรดาคิดไปต่างๆนานา ภีมเริ่มหงุดหงิดกับคำสันนิษฐานมากมายของพี่สาว

“หยุดคิดไปเองได้แล้วพี่ภู ฟินมันก็คนนะ มันอยากหยุดงานขึ้นมาวันนี้ใครจะไปรู้ล่ะ เข้าข้างอยู่ได้ รู้จักกันดีก็ไม่ใช่”
“งั้นก็ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก็คงมาสอนเองล่ะ พี่ไปทำงานก่อนนะ” ภูรดาทำท่าจะวางสาย แต่มีหรือที่ภีมจะยอมง่ายๆ ก็เรื่องสำคัญยังไม่ได้ถามออกไปเลยนี่นา

“มีที่อยู่ของฟินมั้ย” ภีมถามห้วนๆ คล้ายไม่ใส่ใจอะไรแต่ข้างในกลับปั่นป่วนไปด้วยเรื่องของเขา

ภูรดาแปลกใจกับคำถามของน้องชาย แต่ก็ยอมให้ที่อยู่ไปแต่โดยดี

“จะไปหาเขาหรือไงภีม” ภูรดาถามน้องชายซึ่งกำลังจดที่อยู่ที่พี่สาวบอกลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆที่อยู่บนโต๊ะ

“คงอย่างนั้นล่ะมั้ง อยากถามอะไรหมอนั่นนิดหน่อย” แล้วภีมก็วางสายภูรดาไปเสียดื้อๆ

ถ้าวันนี้คุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่คุณชายภีมแล้วล่ะ ภีมตัดสินใจจะไปหาฟินตามที่อยู่ที่ภูรดาให้ไว้

คอนโด(...) ชั้น 19  ห้อง 1901...

“คุณชายจะไปไหนครับ” คนขับรถวัยสี่สิบปีเอ่ยถามคุณชายของบ้านอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะปกติแล้ว วันเสาร์อาทิตย์ ภีมจะไม่ออกไปไหนจะใช้เวลาซ้อมดนตรีอยู่กับบ้านมากกว่า แต่วันนี้มาแปลก

ภีมมองคนขับรถที่เลิ่กลั่กไปมาจนน่ารำคาญ “ผมหน้าเหมือนผีหรือครับ ทำไมต้องกลัวขนาดนั้นด้วย” น้ำเสียงยียวนแกมประชดของภีม ทำให้คนขับรถยิ้มออกมาได้บ้าง

“ไปตามที่อยู่นี้ ให้เร็วที่สุดล่ะ” ภีมพูดพลางยื่นแผ่นกระดาษเล็กๆให้กับคนขับรถ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีดำคันงามก็จอดอยู่เบื้องหน้าคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ภีมมองอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อว่าคนอย่างฟินจะอยู่ในที่หรูหราขนาดนี้เพราะดูอย่างไรเขาก็เป็นคนที่แสนจะธรรมดา

คอนโดหรูที่มีความสูงประมาณสามสิบชั้น มีที่จอดรถเป็นสัดส่วนทางด้านขวา มีมุมพักผ่อนที่โอ่อ่าทางด้านซ้าย และยังมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม กว่าภีมจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในคอนโดได้ก็ต้องคุยอยู่นาน ทางพนักงานขอโทรไปบอกเจ้าของห้องก่อนแต่ภีมขอไว้โดยบอกเหตุผลว่าต้องการจะเซอร์ไพรส์วันเกิดเพื่อนคนนี้

กว่าจะได้รับความยินยอมให้ขึ้นมาได้ ภีมก็แทบถอดใจ

นิ้วเรียวสวยกดลิฟท์ไปยังชั้น 19 รู้สึกเหนื่อยกับการใช้สมองคิดเหตุผลเมื่อครู่

“ติ๊ง” ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้น 19

ความเงียบรอบตัวกดดันภีมอย่างบอกไม่ถูก เขานึกสงสัยว่าทำไมถึงได้เงียบขนาดนี้ พื้นทางเดินที่ปูพรมอย่างดีมีความหนานุ่มจนทำให้เสียงที่เกิดขึ้นจากฝีเท้าหายไป ภีมเดินไปทางซ้ายมือของลิฟต์

ไปยังห้องที่หนึ่งของชั้นสิบเก้า

1901 หมายเลขหน้าห้องแรกสุดของชั้น

ภีมเคาะประตูดังๆสามครั้ง แล้วจังหวะการเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก ภีมรู้สึกอยากหันหลังแล้ววิ่งหนีหายไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเหมือนตัวเองไม่เคยมาที่นี่

มาหาฟิน...

แต่ถึงอย่างนั้น ต่อให้ภีมวิ่งเร็วเท่าไหร่ก็คงไม่ทัน เพราะเจ้าของห้องเปิดประตูออกมาแล้ว

ฟินในชุดนอนลายทางสีฟ้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงและมีใบหน้าซีดเซียว ทำให้ภีมชะงักไปพักหนึ่ง ทั้งนี้เพราะภีมไม่เคยเห็นฟินในสภาพนี้มาก่อน เขาดูไม่มีมาดของประธานนักเรียนเลยสักนิดเดียว

ฟินมองคนมาเยือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ

ภีมมองเข้าไปในห้องของฟินโดยไม่รู้ตัว อดคิดไม่ได้ว่าภายในห้องจะเป็นอย่างไร ฟินเหมือนจะรู้ความคิดนั้น ร่างสูงที่ดูสูงขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ในชุดนอนกางเกงขายาวเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้ภีมเดินเข้ามาข้างใน

ภีมรู้สึกตัว เขาดึงสายตากลับมาที่ใบหน้าเรียบเฉยนั้นทันที “ทำไมไม่มาสอน” ภีมถามออกไป

ฟินไม่พูดอะไร นอกจากมองหน้าเจ้าของคำถาม นายน่าจะชอบไม่ใช่เหรอที่ไม่ต้องเห็นหน้าฉัน แล้วทำไมนายถึง...

“ฉันถาม ทำไมไม่ตอบ” ภีมตวาดเสียงดังก้องไปทั่วทั้งชั้น

“ถ้าจะมาแหกปากโวยวายก็กลับไปซะ” ฟินบอกเสียงเรียบก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาตัวโปรดในโซนนั่งเล่นที่อยู่ทางขวามือของห้อง “แต่ถ้าจะคุยก็เข้ามานั่งคุยกันดีดี”

ภีมหอบหายใจแรงด้วยความโมโห คิดจะกลับตัวเดินไปขึ้นลิฟต์แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวเข้าไปในห้องเสียนี่ ซ้ำร้ายยังปิดประตูให้เสียเสร็จสรรพ

ห้องของฟินเป็นห้องชุดที่แบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจน มีห้องนอน ห้องครัว และมุมนั่งเล่น ภีมมองไปรอบๆห้องอย่างตะลึง

สมกับที่เป็นประธานนักเรียนจริงๆ ทุกอย่างเนี้ยบไปหมด

ทั้งความสะอาด และความเป็นสัดส่วนของสิ่งต่างๆที่อยู่ในห้อง

ภีมเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวเยื้องกับโซฟาตัวที่ฟินนั่ง ทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ภีมรู้สึกปลอดโปร่ง ยิ่งบริเวณนั้นกั้นด้วยกระจกใสๆไม่มีอะไรมาบดบังด้วยแล้วยิ่งทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับทิวทัศน์เบื้องหน้าขึ้นไปอีก

“นายจะมาขอบคุณฉันใช่มั้ยที่ไม่ไปสอน” ฟินพูดขึ้นก่อน ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าที่หันมาเพียงเสี้ยวของภีม

ภีมคิดจะบอกปฏิเสธแต่ด้วยทิฐิจึงทำให้เลือกที่จะพูดประชดกลับไป “ก็อย่างนั้นล่ะมั้ง ขอบคุณที่ไม่ไปสอนแล้วถ้าจะให้ดีไม่ต้องไปอีกเลย จะเป็นพระคุณมาก” ภีมพูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอย่างที่พูดจริงๆ

แต่...ฟินไม่รู้ว่าภีมคิดอย่างไรกับคำที่พูดมา

“เมื่อเช้าฉันโทรไปยกเลิกงานนี้มาแล้ว” ฟินพูดพร้อมกับมองตาของภีม คล้ายรอดูปฏิกิริยาตอบรับของเขา

ส่วนภีมก็ชะงักไป รู้สึกเหมือนถูกชกหน้าอย่างจัง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวฉายแววสงสัยระคนเสียใจอยู่แวบหนึ่ง แวบเดียวเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นแวบเดียว...แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฟินไปได้ หัวใจที่แฟบลงกลับพองโตขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ดีมาก ฉันจะให้รางวัลอะไรดีล่ะ รถเบนซ์สักคันดีไหมที่นายอุตส่าห์ลาออกจากงานนี้” ภีมพูดประชด ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยเป็นคนชอบพูดประชดประชัน ออกจะเกลียดเสียด้วยซ้ำ มาวันนี้กลับกลายเป็นคนชอบประชดไปเสียนี่

ฟินไม่พูดอะไร แต่ดวงตากลับฉายแววขบขันออกมา

“หรือว่าอยากได้เงิน” ภีมแกล้งมองไปรอบๆห้องอย่างชื่นชมก่อนจะเบ้ปากเย้ยหยันออกมา “แต่ดูแล้วนายก็ไม่ใช่คนจนที่กระหายเงินเลยนี่ ข้าวของที่ใช้ก็แบรนด์เนม ที่อยู่ก็แสนจะหรูหรา แล้วยังจะมาทำงานทำไม สู้นั่งกินนอนกินไม่ดีกว่าหรือ”

ฟินยังคงไว้ในใบหน้าเรียบเฉย ทว่าความจริงแล้วแทบกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ประชดเก่งจังเลยนะภีม ดูซิ...จะพูดอะไรอีก

“อืม...หรือว่านายอยากได้บ้านสวยๆสักหลังแทนคอนโดนี้ อะไรดีล่ะที่จะแทนคำขอบคุณของฉันที่นายอุตส่าห์ลาออกจากงาน” พูดไปพูดมาเริ่มถึงทางตัน ภีมไม่รู้จะพูดอย่างไรเพื่อให้คนอย่างฟินเจ็บช้ำน้ำใจ

“หรือว่านายอยากได้ตัวฉันล่ะ” ภีมโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ฟินนิ่งไปในทันที ส่วนภีมก็นิ่งไปเช่นกัน สมองส่วนที่ใช้ประมวลผลของภีมเริ่มทำงานประมวลผลความอายที่เกิดขึ้นจากคำพูดนั้นในทันทีที่รู้สึกตัว

“ถ้าอยากได้แล้วจะให้มั้ยล่ะ” ฟินตอบกลับไป ในเมื่อชอบประชดนักเขาก็จะสนองตอบเอง “พูดออกมาแล้วนะ” ดวงตาคมสบเข้ากับดวงตาภีมที่ตอนนี้ถลึงขึ้นด้วยความตกใจ

“ฉัน...” สมองของภีมแทบโล่งว่างเพราะไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพูดแก้ตัว เขานึกอยากจะเย็บปากตัวเองเอาไว้กับสมองเผื่อว่าคราวหน้าคราวหลังจะได้คิดก่อนแล้วค่อยพูด ไม่ใช่มานั่งแก้ไขคำพูดเอาตอนนี้ “ฉันพูดไปอย่างนั้น นายก็อย่ามาเล่นด้วยสิ”

“แต่ถึงนายจะให้ ฉันก็ไม่รับหรอก” ฟินเหยียดริมฝีปากคล้ายไม่ใส่ใจ ภีมรู้สึกอับอายยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นใบหน้าของฟิน “เพราะว่าสัญญาที่ฉันเซ็นต์ไปมันผูกมัดอยู่ ฉันจะลาออกจากงานนี้ไม่ได้จนกว่าจะครบสามเดือน”

ภีมยิ่งอับอายขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินดังนั้น คนคิดสัญญาบ้าๆนี้ขึ้นมาจะเป็นใครได้ นอกจากพี่สาวตัวแสบของเขา ‘ภูรดา’

“สรุปก็คือ ถึงฉันอยากจะออกก็คงไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำงานให้ครบสามเดือนตามสัญญา” ฟินพูดเรียบๆ

“แต่ถ้านายอยากจะเลิกทำจริงๆฉันจะช่วย” ภีมพูดเรียบๆ ก่อนจะก้มหน้ามองพื้น “ฉันก็ไม่อยากเรียน นายก็ไม่อยากสอน เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะบอกพี่ภูเอง”

“อีกสองเดือน นายจะทนไม่ได้เลยเหรอ มันลำบากมากนักหรือไงกับการที่ต้องอยู่ใกล้คนอย่างฉัน” ความใจเย็นของฟินเริ่มจะหายไปเมื่อภีมยังคงดื้อรั้นและเชื่อแต่ตัวเองเพียงอย่างเดียว

“ลำบาก ลำบากใจมาก” เป็นอีกครั้งที่พูดออกไปโดยที่ไม่ได้คิด ภีมเม้มปากเก็บความรู้สึกขัดแย้งที่มันวิ่งวนอยู่ในใจ

ฟินแค่นเสียงหัวเราะอย่างผิดหวังก่อนจะมองใบหน้าของภีมด้วยความสงสัย “แล้วนายจะมาที่นี่ทำไม มาหาฉันทำไม ทำไมไม่เลิกยุ่งไปเลย ในเมื่อฉันคิดจะเลิกยุ่งกับนายเพื่อตัดปัญหาทุกๆอย่าง...”

ฟินยังพูดไม่จบประโยค ภีมก็พูดแทรกเสียก่อน “หยุดพูดได้แล้ว ฉันมาหานายก็เพื่อ...” ภีมตั้งใจจะทำตามจุดประสงค์ที่วางไว้

แต่พอเอาเข้าจริงก็พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น เมื่อความรู้สึกกดดันเริ่มขึ้นร่างของภีมจึงเริ่มสั่นระริกตามไปด้วย

“ถือซะว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วกัน พูดออกมา” ฟินพูดเป็นเชิงบังคับ แม้น้ำเสียงจะฟังนุ่มนวลแต่ทว่าแฝงไปด้วยความกดดัน

คิ้วของภีมขมวดเข้าหากัน จะให้ถือซะว่าไม่อยู่ได้ไงวะ นั่งข้างๆตัวเบ้อเริ่มขนาดนี้ ไอ้นี่...ท่าจะบ้าเว้ย

“ไม่คิดว่านายจะเล่นเพลงนั้นปิดงาน” อยู่ดีดีฟินก็เปลี่ยนเรื่องพูดเสียเฉยๆ ภีมเงยหน้ามองคนที่นั่งนิ่งข้างๆอย่างงุนงง

“ได้ยินด้วยเหรอ นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก” น้ำเสียงของภีมอ่อนโยนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ฟินเริ่มเห็นความหวังลางๆอีกครั้งหนึ่ง

แต่...ฟินก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าภีมอาจจะคิดเหมือนเขาอยู่ในตอนนี้

คิดเรื่องความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

“ก็กำลังจะกลับ แต่ว่าได้ยินซะก่อนก็เลยอยู่ฟัง อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าใช้เปียโนเล่นจะเพราะแค่ไหน” ฟินพูดยิ้มๆ พลันนึกถึงตอนที่แต่งทำนองเพลงดาวใหม่ด้วยเม้าท์ออแกนของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแต่งทำนองเพลงเองโดยเฉพาะคนที่มีความรู้เรื่องดนตรีเพียงน้อยนิดอย่างฟิน

“นายไปเอาทำนองเพลงนี้มาจากไหน” ภีมถามออกมา เป็นคำถามที่คาใจเขามานานแล้ว

ฟินยิ้มอ่อนโยน ภีมคล้ายต้องมนตร์เมื่อมองดูรอยยิ้มนั้น “จากหัวฉันนี้ล่ะ เทียบเสียงเอากับเจ้านั่นน่ะ” ฟินพยักเพยิดหน้าไปทางเม้าท์ออแกนที่วางอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ข้างๆภีม

“นายนี่นะ แต่งเพลงได้” ภีมถามอย่างไม่เชื่อ

“แต่งได้แต่เพลงนี้นั่นล่ะ” รอยยิ้มของฟินกว้างขึ้นอีก

“ไม่น่าเชื่อ” ภีมพึมพำกับตัวเอง ระหว่างนั้นฟินลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ฟินมองดูตัวเองในกระจก เป็นครั้งแรกที่ฟินยอมรับกับตัวเองอย่างชัดเจนว่า...

เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว และอาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เปลี่ยนไปเพราะผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างนอก

เปลี่ยนไปเพราะภีม...

ในช่วงที่ฟินอยู่ในห้องน้ำเพื่อสงบใจนั้น ภีมก็ลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบๆห้อง มุมนั่งเล่นนี้เป็นบริเวณเดียวที่กั้นด้วยกระจกใส มันโปร่งเสียจนคล้ายไม่มีอะไรมากั้นอยู่ นอกจากโซฟาหรูหราแล้วยังมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ ทีวีพลาสมาและโฮมเธียร์เตอร์รุ่นล่าสุด บริเวณที่นั่งหน้าทีวีนั้นเต็มไปด้วยเบาะรองนั่ง ผ้าห่ม หมอนหนุน หมอนข้างซึ่งของแต่ละชิ้นล้วนเข้าชุดกันกับชุดที่ฟินใส่อยู่
และจากการเดินสำรวจเพียงมุมนี้มุมเดียวทำให้ภีมรู้ว่า เจ้าของห้องนี้ชอบสีฟ้า...

แล้วฟินก็เดินไปที่โซนห้องครัวที่แสนเรียบร้อยคล้ายกับไม่เคยมีคนใช้งาน จะมีก็แต่ไมโครเวฟเท่านั้นที่มีรอยเปรอะเปื้อนคราบอาหาร

ถัดไปเป็นห้องนอนที่ประตูปิดสนิท ภีมจึงไม่เข้าไปยุ่ง ร่างสูงหมุนตัวจะเดินกลับไปยังที่เดิมแต่ด้วยความรีบร้อนจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของคนที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำพอดี

ราวกับนาฬิกาหยุดหมุนไปชั่วขณะ...ฟินและภีมยืนนิ่งอยู่กับที่

มีแต่เสียงหัวใจเท่านั้นที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้ยิน

ใบหน้าภีมชนเข้ากับแผ่นหลังของฟิน มันแข็งแกร่งเสียจนภีมรู้สึกเจ็บ แม้จะรู้สึกอย่างนั้นแต่ภีมก็ไม่ได้หันหน้าหนีหรือขยับตัวออกห่างแต่อย่างใด

ฟินยืนนิ่งคล้ายรูปปั้น ดวงตาคมมองตรงไปเบื้องหน้า ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะหันกลับไปแล้วกอดร่างของภีมเอาไว้ให้แน่นที่สุด
ลมหายใจของภีมรดแผ่นหลังของฟิน สำหรับฟินแล้วลมหายใจนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเชื้อไฟชั้นดีเลย
โชคดีที่แปรงฟันแล้ว... ฟินคิดในใจ

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของฟิน เขารู้สึกว่าพักนี้ตัวเองยิ้มบ่อยขึ้น...

ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้...ภีมซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างของฟิน “ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยาก แต่ทำไมฉันถึง...” ภีมสารภาพออกมาด้วยเสียงสั่นเทา

“ฉันก็เหมือนกัน ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนี้” ฟินสารภาพออกมาเช่นกัน

“ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้ ไม่อยากเลยจริงๆ” ไม่เพียงแต่น้ำเสียงเท่านั้นที่สั่นแต่ร่างของภีมก็สั่นตามไปด้วย

ฟินหันกลับมาแล้วโอบกอดภีมเอาไว้ มือข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมาประคองศีรษะเล็กของภีมแล้วลูบเบาๆอย่างปลอบใจ “ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้หรอกภีม แต่หัวใจของคนเราน่ะ มันเลือกไม่ได้ว่าจะรักใคร”

“ฉันไม่รู้ตัวเลย ฉันไม่อยาก...” ภีมคล้ายจะร่ำไห้กับคำสารภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับกับตัวเองว่าเขาหลงรักผู้ชาย

ฟินสงบนิ่งราวกับรูปปั้น ในยามนี้ที่พึ่งของภีมต้องแข็งแกร่ง ฟินเลือกที่จะแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนที่อยู่ในอ้อมอก

แต่...ฟินยิ่งแข็งแกร่งเท่าใด ความอ่อนแอของภีมยิ่งเพิ่มขึ้น ภีมไม่เคยกอดใครมานานแล้ว ทั้งพ่อแม่หรือพี่สาว นานแล้วกับความรู้สึกที่ไม่เคยถูกใครรักอย่างจริงใจ

และนานแล้วอีกเช่นกันกับความรู้สึก...รักใครสักคน

“ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่” ฟินใช้มือกดศีรษะภีมให้ซบลงบนไหล่กว้างของตน “แต่ตอนนี้ฉันรักนายเหลือเกิน” ประโยคท้ายแผ่วเบาราวสายลมที่พัดผ่าน

แต่กลับดังก้องในหัวใจของภีม...

ริมฝีปากของภีมเริ่มขยับ “ฉัน...”

“ช่างเถอะ...ฉันรักนายคนเดียวก็พอ”




 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:       :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 25-09-2011 09:35:00
 :impress2: :impress2:

น่ารักอ่ะ


“ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้หรอกภีม แต่หัวใจของคนเราน่ะ มันเลือกไม่ได้ว่าจะรักใคร
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 25-09-2011 09:40:57
ภีมบอกไปดิ
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 25-09-2011 11:58:34
อ่านช่วงบนๆ บอกได้เลยว่า  ปากแข็ง!!!!!
แต่พอมาอ่านช่วงล่างๆน๊า อ๊าย ย >///< เขินแทน
รอตอนต่อไปจ้า +1 +เป็ด
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: nine-poo ที่ 25-09-2011 15:09:35
ฟินแมนดีว่ะ

หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kp ที่ 25-09-2011 15:24:06
เฮ้ยยยยยย
เกือบลืมวันนี้มีสอนพิเศษ
ไปแล้ว
โชคดีครับครูฟิน
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 25-09-2011 16:13:20
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากๆเลย
ฟินดูอบอุ่นดี มาต่อเร็วๆนะค่ะ
เป็นกําลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-09-2011 17:47:45
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 25-09-2011 18:31:46
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 25-09-2011 20:22:02
บอกรักแล้วอะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 12 – สารภาพ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 25-09-2011 20:45:50
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: เขินนนนนนนน>////< อ่านแล้วอินอ่ะ รีบๆมาต่อนะ  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 13 – ยอมรับในตัวเอง /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 25-09-2011 21:11:26




บทที่ 13 – ยอมรับในตัวเอง




   ภีมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาคมของฟิน ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นทรงพลังบางอย่างจนทำให้เขาร้อนรุ่ม

   โชคดีที่แปรงฟันแล้ว... ฟินคิดในใจอีกครั้งพร้อมกับมอบจุมพิตร้อนแรงที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ฟินช้อนร่างบอบบางขึ้นแล้วเดินไปยังโซฟา ระหว่างนั้นก็ยังไม่หยุดริมฝีปากของตัวเอง

   ฟินวางภีมลงบนโซฟาตัวใหญ่อย่างเบามือก่อนจะขึ้นคร่อมร่างบางนั้นไว้แล้วพรมจูบที่ใบหน้าของภีมอย่างอ่อนโยน

   นุ่มนวล อ่อนโยน ราวกับสายลม ภีมหลับตาปล่อยหัวใจไปกับความนุ่มนวลที่ได้รับ

   ฟินแนบชิดร่างของตัวเองกับภีม ร่างที่อยู่ข้างล่างสั่นสะท้านคล้ายกลัวกับสัมผัสที่กำลังจะได้รับ หลังจากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อของภีมออกทีละเม็ดๆ

   จนกระทั่งเม็ดสุดท้าย ฟินค่อยๆถอดเสื้อของภีมออกจากร่างกายโดยยังไม่หยุดจุมพิต

   ร่างท่อนบนของภีมเปลือยเปล่า

   ฟินถอดเสื้อของตัวเองออกบ้าง

   ร่างท่อนบนของทั้งคู่เปลือยเปล่า

   ฟินกดมือข้างหนึ่งลงบนหน้าท้องของภีม ภีมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะใช้มือโอบรอบคอของฟินเอาไว้

   ฟินจูบที่ลำคอของภีม ร่างทั้งร่างที่อยู่เบื้องล่างสั่นสะท้าน มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของฟินเลื่อนไปอยู่ที่กางเกงของภีมก่อนจะปลดกระดุมกางเกงออกช้าๆโดยไม่ให้ภีมรู้ตัว

   ฟินเพิ่มน้ำหนักจุมพิตที่ลำคอให้แรงขึ้น ภีมเกร็งร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านไปตามอารมณ์ที่ร้อนขึ้น แต่ฟินก็เก่งเหลือเกิน...ในการปลุกอารมณ์ความรู้สึกของภีมให้ร้อนแรง

   ฟินยังไม่หยุดจุมพิต ในขณะเดียวกันก็ใช้มือดึงกางเกงออกจากร่างกายของภีม

   “ไม่...อย่าถอดกางเกง” ภีมร้องประท้วงเสียงแผ่ว “ฉันยังไม่อยาก...”

   ฟินหยุดทุกการกระทำไว้เพียงเท่านั้น มือข้างหนึ่งเสยผมที่ลงมาปรกหน้าให้ออกไป ใบหน้าหล่อที่ไม่มีอะไรบดบังดูมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้น ภีมผงะไปกับภาพนั้น

   ภีมเพิ่งรู้สึกว่าฟินเป็นคนหล่อมากคนหนึ่ง และยังเพียบพร้อมสมบูรณ์ทุกคุณสมบัติ “ฉันว่านายออกไปจากตัวฉันดีไหม” ภีมพูดเสียงแผ่วก่อนจะใช้มือดันที่หน้าท้องของฟินเบาๆ

   ฟินยิ้มให้กับคำพูดนั้นก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ปากของภีมเบาๆ “อยากอยู่แบบนี้มากกว่า ถ้ารู้ว่าไม่ไปสอนแล้วนายจะมาหาถึงที่ ฉันไม่ไปนานแล้ว”

   “พูดมากน่า” ภีมปรามเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวเพื่อหนีใบหน้าของฟิน แต่ฟินไม่ยอมให้ภีมทำแบบนั้นหรอก...

   “จะไปไหน” ฟินยึดหัวไหล่ของภีมเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

   ภีมละล่ำละลักไม่กล้าพูดออกมา และยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของฟินด้วยแล้วยิ่งทำให้ความกล้าที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในใจหายไปเกือบหมด “จะไปใส่เสื้อ”

   “ยังไม่หมดเวลาเรียนเลย จะไปได้ยังไงกัน” ฟินจุมพิตบนริมฝีปากของภีมอีกครั้ง

   “พอแล้ว ฉันจะไปใส่เสื้อ” ภีมย้ำความต้องการอีกครั้ง เสียงเข้มกว่าเดิม

   แต่...เรื่องอะไรที่ฟินจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ฟินกดร่างของตัวเองเข้ากับร่างของภีม มันแนบชิดเสียจนทั้งคู่เกือบหายใจไม่ออก

   ฟินไม่เปิดโอกาสให้ภีมได้โวยวาย เขาปิดริมฝีปากที่เผยอออกของภีมอย่างรวดเร็วก่อนจะดันลิ้นเข้าไปเพื่อซึมซับรสชาติของริมฝีปากสวย ภีมร้องครางออกมา ขาทั้งสองข้างบิดไปมาเพื่อไล่ความรู้สึกสะท้านที่วิ่งวนไปทั่วร่างกาย

   แต่อย่างที่บอกไว้...ฟินเก่งเหลือเกินในการปลุกอารมณ์ความรู้สึกของภีม

   ร่างทั้งร่างของภีมสะท้านยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อฟินเลื่อนริมฝีปากลงมาที่ลำคอระหงที่ตอนนี้บิดเกร็งไปตามความรู้สึก ฟินจุมพิตบริเวณนั้นอยู่นานจนภีมทนไม่ไหวร้องโวยวายออกมา “ไม่ไหวแล้ว ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” มือเรียวสวยกุมศีรษะของฟินเอาไว้ก่อนจะออกแรงผลัก

   แต่เรี่ยวแรงของภีมแทบไม่เหลือเลย มันอ่อนระทวยไปหมด ทั้งร่างกายและจิตใจ

   ฟินยิ้มอีกครั้ง จุมพิตสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้เป็นรอยสีแดงบนลำคอขาวของภีม จากนั้นเขาก็ถอนริมฝีปากออก แต่ร่างกายยังคงทาบทับอยู่บนร่างบอบบางนั้น ฟินไล้มือไปตามไรผมที่ปรกหน้าของภีมอย่างเบามือ “เคยสงสัยอยู่ว่าทำไมคนถึงชอบนายกันนัก”

   “ก็เพราะฉันรวยมั้ง” ภีมตอบ

   “เปล่าหรอก เด็กที่เรียนที่นี่มีใครจนบ้างล่ะ” ฟินพูดเป็นเชิงถาม

   “ก็นายไง ดูจนและธรรมดา” ภีมย้อนเข้าให้

   “ก็ไม่จนนะ แต่ก็ไม่ได้รวยอะไร” ฟินพูดอย่างไม่ใส่ใจ

   ภีมแกล้งทำเป็นมองไปรอบๆห้องก่อนจะแสร้งทำหน้าตกใจ “เรียกว่าจนเหรอ คอนโดที่นายอยู่ไม่ต่ำกว่าห้าล้านแน่ๆแล้วยังเฟอร์นิเจอร์นำเข้านั่นอีก แล้วเสื้อผ้าของใช้ของนายก็เป็นแบรนด์เนมทุกอย่าง แล้วยัง...”

   ฟินก้มลงปิดริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ภีมจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ และเมื่อฟินกำลังจะถอนริมฝีปากก็ถูกภีมกัดเข้าให้จนห้อเลือด

   “โอ๊ย...ทำอะไรเนี่ยภีม” ฟินร้องออกมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบที่ริมฝีปากบวมช้ำของตัวเอง “มันเจ็บมั้ยเนี่ย กัดเข้ามาได้”

   “ก็อยากให้เจ็บไง นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว” ภีมทำหน้าบูดบึ้ง คิดสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงได้ยอมอะไรใครง่ายๆขนาดนี้ โดยเฉพาะคนที่ว่านั้นคือฟิน ประธานนักเรียนขี้เก๊กและแสนจะนิ่งยิ่งกว่าน้ำ

   “ยังอยากให้ฉันเป็นครูสอนพิเศษอยู่มั้ย” ฟินถามขึ้น ในน้ำเสียงนั้นจริงจังเหลือเกิน

   ภีมไม่ตอบอะไร อยากปล่อยให้คนที่บอกว่าตัวเองเป็นครูเป็นผู้คิดเองว่าสมควรจะสอนหรือไม่ แต่ถึงคราวที่ฟินน่าจะรู้ใจภีม
   เขากลับไม่รู้เสียนี่...

   ฟินผละออกจากภีมในทันที ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเสื้อสีฟ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมาใส่พลางพูดว่า “ไม่อยากเรียนก็ไม่เป็นไร”

   ภีมรู้สึกอยากจะโกรธผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมถึงไม่รู้ ร่างสูงเพรียวดีดตัวมาอยู่ในท่านั่งแล้วคว้าเสื้อของตัวเองมาใส่บ้าง จากนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปที่ตอนนี้บวมเป่งคล้ายจะแตกออกมา

   ภีมมองร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม ทำไมเขารู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้เข้าไปได้ ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่ชอบขี้หน้าเอามากๆ
 ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือได้รวดเร็วปานนี้

   ทั้งสองคนเงียบอยู่นาน จนฝ่ายที่ทนไม่ไหวอย่างภีมต้องเริ่มพูดก่อน “ฉันบอกเหรอว่าไม่อยากเรียนกับนาย”

   เมื่อประเด็นถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ผู้เข้าร่วมถกเถียงอย่างฟินจึงหันหน้ากลับมาเพื่อเข้าร่วม “เห็นท่าทางก็พอจะเดาได้ แล้วยิ่งไม่พูดอะไรเลย...”

   แต่...ภีมก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน “ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะ โง่จริงๆ คนอย่างนายเก่งทุกเรื่องไม่ใช่เหรอไง”

   “ไม่หรอก ฉันมีตั้งหลายอย่างที่ทำไม่ได้”

   ภีมนั่งคิดไปต่างๆนานาว่าอะไรหนอ...ที่คนอย่างฟินจะทำไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะคิดออกเจ้าตัวก็เฉลยออกมาเสียก่อน

   “ฉันเล่นดนตรีไม่ได้ เล่นได้แค่ฮาโมนิก้าอย่างเดียว” ฟินพูดเบาๆ พลางนึกถึงเรื่องที่คล้ายจะเป็นปมด้อยนี้ ครอบครัวของฟินทุกคนสามารถเล่นเปียโนและเครื่องดนตรีอื่นๆได้หลายอย่าง ทั้งพ่อ แม่ หรือน้องสาวของเขา แต่สำหรับฟินแล้ว ทำไมมันช่างยากเหลือเกิน ไม่ว่าจะฝึกสักเท่าใดก็ทำไม่ได้ สุดท้ายแล้วเครื่องดนตรีที่สามารถเล่นได้ดีเพียงอย่างเดียวก็คือฮาโมนิก้า

   “แค่เล่นดนตรีไม่ได้แค่นี้เนี่ยนะ” ภีมแค่นหัวเราะพลางนึกถึงเรื่องของตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่างนอกจากเล่นดนตรี โชคดีที่พระเจ้ายังประทานพรสวรรค์อันงดงามนี้มาให้เขา ทุกครั้งที่ภีมเล่นดนตรีจึงไม่เคยลืมที่จะนึกถึงพระเจ้าและกล่าวคำขอบคุณสำหรับพรสวรรค์อันวิเศษนี้

   ภีมเล่นเครื่องดนตรีได้มากมายหลายชนิด จะมีก็แต่ฮาโมนิก้านี่ล่ะ...ที่ฝึกอย่างไรก็ไม่ได้สักที คิดแล้วก็พาให้หงุดหงิดใจ

   “นายก็เก่งตั้งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เล่นกีฬา โน่นนี่หลายๆอย่าง ยังไม่พอใจอีกเหรอ” ภีมพูดพลางนึกอิจฉาคนที่สมบูรณ์พร้อมอย่างฟิน “ส่วนฉันไม่มีดีสักอย่าง ถ้าวันนี้ฉันเล่นดนตรีไม่ได้ อยากจะรู้จริงๆว่าคนอย่างฉันจะมีค่าอะไร”

   ฟินสะดุดกับคำพูดที่แสดงความน้อยใจนั้น ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างภีมก่อนจะโอบไหล่บางนั้นไว้แล้วบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ

“คนเรามีค่าในตัวเองเสมอ คนที่รักนายมีตั้งเยอะแยะ ทั้งพ่อแม่ พี่สาวแล้วก็คุณแม่บ้านทั้งหลาย” ฟินหยุดพูดไปนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเพื่อรวบรวมความกล้าพูดประโยคต่อไป “รวมทั้งฉันด้วย”

ฟินรู้สึกกระดากกับคำพูดนั้นของตัวเอง เขาก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความร้อนผ่าวที่อยู่บนใบหน้า ส่วนภีมก็ตื่นเต้นไปกับคำพูดนั้นของฟิน ภีมมองฟินในอีกมุมหนึ่งและพยายามเปิดใจของตัวเองให้กว้างขึ้น

เพราะบางทีคนเราก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันผิดแผกหรือแตกต่าง แต่ถ้าการแตกต่างนั้นคือตัวเราก็สมควรยอมรับไม่ใช่หรือ ภีมกำลังพยายามยอมรับในข้อนี้อยู่

แม้ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรในเมื่อหัวใจเราเต้นแรงเพราะความรู้สึกรักไปแล้ว

“เห็นหน้ากันมาตั้งแต่ ม.4 ทำไมเพิ่งมารู้สึกอะไรตอนนี้ นายก็ดูมี...คนมาติดพันเยอะไม่ใช่เหรอ” เดิมทีภีมคิดจะใช้คำว่าผู้หญิงแทนคน แต่มันรู้สึกแปลกๆก็เลยเลี่ยงใช้คำนี้แทน

“เหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลย ส่วนเรื่องนาย...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่” ฟินพูดอย่างไม่ใส่ใจ คนนิ่งเฉยเย็นชาอย่างเขาจะสนใจอะไรไปมากกว่าการเรียนและกิจกรรม

ภีมเบ้ปากกับท่าทางไม่ใส่ใจของฟิน “นายก็ดูเป็นที่สนใจของทุกคนนี่ ทั้งเรียนเก่งและก็...” ภีมกลืนคำว่าหน้าตาดีกลับเข้าไป

   “และก็อะไร พูดมาให้จบ” ฟินพูดเป็นเชิงบังคับ ดวงตาคมจ้องมาราวกับหมาป่าจ้องมองเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

   “ลืมว่าจะพูดอะไร อย่าไปใส่ใจเลย” ภีมโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน อย่างไรเสีย...จะให้ชื่นชมหมอนี่ต่อหน้าต่อตาเจ้าตัวก็ยังคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอยู่ดี

ฉะนั้น...เลี่ยง เป็นดีที่สุด

“ไม่เชื่อหรอกว่าลืม ถ้าไม่บอกฉันจะ...” ฟินพูดพลางทำท่าจะกระโจนเข้าใส่เหยื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ภีมรีบหยิบหมอนอิงใบเล็กมากันไว้ในทันที

คนใจร้อนก็ต้องมาเจอคนแบบนี้ล่ะ...ถึงจะสมกัน

“จะบอกมั้ย” ฟินให้โอกาสอีกครั้งพร้อมกับเว้นระยะห่างให้น้อยกว่าเดิม

ภีมทำท่าจะไม่ยอมแต่พอนึกถึงเรื่องราววาบหวิวที่กำลังจะตามมาทำให้คิดว่า ได้ไม่คุ้มเสียเป็นแน่ ดังนั้น...หนุ่มน้อยขี้โมโหจึงพูดออกไป “และก็หน้าตาดี”

ฟินยิ้มรับอย่างพอใจ ใครชมเขาว่าหน้าตาดียังไม่มีความสุขเท่ากับคนๆนี้เอ่ยชม “ขอบคุณที่ชม ไม่คิดว่าในสายตาคนอย่างนายฉันจะดูดีเหมือนกัน”

“ก็แค่บอกว่าหน้าตาดี ไม่ใช่ดูดี ฉันยังไม่ขี้โอ่เท่านี้เลยนะ ทั้งๆที่ฉันก็หล่อกว่านาย” ภีมคล้ายภูมิใจกับคำพูดนั้น

“ฉันยอมให้นายหน้าตาดีกว่า หน้าตามันกินไม่ได้สักหน่อย ภูมิใจไปทำไมกัน” ฟินยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะกลับมานั่งในท่าเดิม...หลังตรง หน้านิ่ง

ภีมมองดูอย่างขบขัน นึกสงสัยว่านี่คือภาพลักษณ์ที่จงใจสร้างขึ้นมาหรือว่าเป็นแบบนี้จริงๆ
“กี่โมงแล้ว” ภีมถามขึ้น

ฟินมองดูนาฬิกาที่อยู่หน้าห้องนอน “บ่ายโมงครึ่ง เลยเวลาเรียนมาครึ่งชั่วโมง” ฟินต่อความให้เสร็จสรรพ

“หิว มีอะไรให้กินมั้ย” ภีมถามพลางมองไปที่ห้องครัวที่แสนจะเรียบร้อยนั้น

“ก็มีอยู่ อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวทำให้กิน” ฟินพูดพลางยืดตัวขึ้นแล้วเดินไปยังโซนห้องครัว

ภีมแปลกใจขึ้นมาว่าคนอย่างเขาทำอาหารเป็นด้วยหรือ ถ้าทำเป็น...ทำไมเครื่องครัวต่างๆยังดูใหม่เหมือนไม่ได้ผ่านการใช้งานเลย “ทำเป็นด้วยเหรอ”

ฟินหันมายิ้มให้คนถามที่ทำหน้าคล้ายกับว่านี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก “เป็นสิ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรในตู้เย็นที่พอเอามาทำได้บ้าง ขอดูก่อน” ฟินพูดพลางเปิดตู้เย็นสีน้ำเงินออกแล้วรื้อค้นวัตถุดิบที่พอจะเอามาทำอาหารได้ออกมาวางไว้บนพื้นที่ว่างข้างๆอ่างล้างจาน

ภีมมองดูภาพตรงหน้าด้วยความอบอุ่นใจ รอยยิ้มเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่เจ้าตัวไม่รู้

ฟินรื้อค้นอยู่นาน แล้ววัตถุดิบที่กองอยู่ตรงหน้าก็มี ไข่ไก่สด มะเขือเทศ เนื้อไก่ เต้าหู้ไข่ และผักอีกสองสามชนิด

“สงสัยจะเลือกไม่ค่อยได้แล้วล่ะ ว่าอยากกินอะไร” ฟินเปรยขึ้นก่อนจะหันหน้ามาขอความเห็นของภีม
“อยากทำอะไรก็ทำมา หิวจะตาย”

“ต้มจืดเต้าหูแล้วก็ไข่เจียว กินได้มั้ย” ฟินถามด้วยความเป็นห่วง

ภีมคล้ายจะโมโหกับคำถามนั้น หมอนี่เห็นเขาเป็นคุณชายที่กินได้แต่อาหารฝรั่งหรือยังไง

“ถามเฉยๆ เผื่อว่าไม่ชอบ” ฟินรับรู้ความโกรธนั้นจากใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปของภีม “จะได้ทำอย่างอื่นแทน จะโกรธทำไมกัน” แล้วฟินก็เลิกสนใจภีม ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่อาหารตรงหน้าเท่านั้น

อันดับแรกที่ฟินทำคือหุงข้าว จากนั้นก็ต้มน้ำรอไว้แล้วก็จัดการกับวัตถุดิบอื่นๆจนพร้อมที่จะใส่ลงหม้อน้ำที่ต้มจนเดือด

   จากนั้นก็หันมาจัดการทอดไข่เจียวด้วยความรวดเร็ว

   ภีมกระตือรือร้นอยากจะช่วยแต่พอนึกถึงความยุ่งยากที่จะตามมาแล้วทำให้เขาถอดใจไปในที่สุดและคอยนั่งมองร่างสูงที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหาร

   ปกติฟินไม่ใช่คนรีบร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ยิ่งเรื่องทำอาหารด้วยแล้วเขาจะพิถีพิถันเป็นพิเศษ แต่วันนี้...ต่างไปจากเดิม

   ตรงที่คนหิวข้าวคือภีม เขาไม่อยากให้ภีมรอนาน ทุกอย่างจึงดูวุ่นวายแบบนี้ ทำโน่นทำนี่ไปพร้อมๆกัน

   ไม่นานนัก อาหารทุกอย่างก็ถูกยกมาวางที่โต๊ะกินข้าว

   ข้าวหนึ่งจาน ไข่เจียวแล้วก็หม้อต้มจืดเต้าหู้วางอยู่บนโต๊ะ แล้วน้ำเปล่าเย็นๆก็ถูกยกมาวางไว้ภายหลัง

   ฟินปาดเหงื่อที่ไหลตามรูปหน้า ไม่เคยเหนื่อยกับการทำอาหารเท่าวันนี้เลย

   ภีมลุกเดินมานั่งบนเก้าอี้แล้วชวนให้ฟินนั่งกินด้วยกัน แต่ฟินปฏิเสธบอกว่ากินแล้ว ภีมจึงนั่งกินคนเดียวพลางมองร่างสูงที่กำลังเก็บกวาดครัวให้สะอาดดังเดิม

   เมื่อฟินกินเสร็จ ฟินก็จัดการกับห้องครัวเสร็จพอดี แล้วภีมก็ทราบว่าทำไมเครื่องครัวถึงสะอาดเรียบร้อยราวกับไม่เคยผ่านการใช้งาน

   เพราะของเหล่านั้นเป็นของฟินนี่เอง ฟินคนที่ดูแลใส่ใจในของทุกๆอย่าง

   ฟินเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับภีม “อิ่มหรือเปล่า” คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

   ภีมพยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว ไม่พูดอะไรต่อ

   “อิ่มก็ดีแล้ว” ฟินพูดพลางเก็บของที่อยู่บนโต๊ะเอาไปทำความสะอาดจนเรียบร้อย ภีมมองตามด้วยความเกรงใจ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความเกรงใจเป็นอย่างไร

   “ฉันจะกลับแล้ว” ภีมพูดขึ้นเมื่อเห็นฟินจัดการทุกอย่างในห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

   “รอสิบนาที เดี๋ยวลงไปส่ง” แล้วฟินก็รีบวิ่งเข้าห้องนอนเพื่อไปอาบน้ำในทันที ประตูห้องนอนเปิดค้างไว้ มันเชิญชวนให้ภีมอยากรู้เหลือเกินว่าในห้องนั้นมีอะไร

   เข้า...หรือ...ไม่เข้า

   ภีมถอยหน้าถอยหลังอยู่นาน จนสำนึกสุดท้ายบอกว่า...นั่นมันเสียมารยาทชัดๆ เจ้าของห้องยังไม่อนุญาตเสียหน่อย

   ภีมจึงถอยออกมาแล้วกลับไปนั่งที่โซฟาด้วยใจที่เต้นแรง

   สิบนาทีต่อมา (ตรงเวลาเป๊ะ) ฟินเดินออกมาจากห้อง ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นประมาณเข่าสีดำ

   “เร็วจังเลยวุ้ย” ภีมพูดกลั้วหัวเราะ สิบนาทีก็สิบนาทีไม่ขาดไม่เกินเลยจริงๆ มีเรื่องไหนที่เขาคนนี้จะพลาดบ้างหรือเปล่า

   “ใครพามาที่นี่” ฟินถามสั้นๆ

   “คนขับรถที่บ้าน” ภีมก็ตอบสั้นๆเช่นกัน

   “นึกว่ามาเอง”

   “คนอย่างฉันจะไปไหนได้ ไม่รู้ทางอะไรเลยสักนิดเดียว”

   “ไป ฉันลงไปส่ง” ฟินพูดพลางเดินนำไปยังประตู

   เมื่อภีมเดินตามมา ฟินก็จุมพิตที่ริมฝีปากของภีมอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณที่มาหา แล้วก็สารภาพความจริงออกมา”

   ฟินยิ้มกริ่มก่อนจะเดินนำออกไป...

   เมื่อทั้งคู่ลงมายังชั้นล่าง ประชาสัมพันธ์สาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “สุขสันต์วันเกิดนะคะ น้องฟิน”

   ฟินงุนงงกับคำพูดนั้น เขาหันมาหาภีมเป็นเชิงถามว่าเรื่องอะไร แต่ภีมก็ยิ้มแหยๆแล้วรีบเดินหนีออกไปในทันที

   ฟินจึงเข้าใจว่าทำไม ตอนแรกก็แปลกใจอยู่ว่าภีมขึ้นไปห้องเขาได้อย่างไรโดยที่ประชาสัมพันธ์และยามไม่ว่าอะไร ซ้ำยังไม่โทรบอกล่วงหน้าอีกต่างหาก

   ฟินหันไปผงกศีรษะให้กับประชาสัมพันธ์สาวอย่างขอบคุณก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความขบขันว่า “เขาบอกอย่างนั้นเหรอ ผมก็เพิ่งรู้นี่ล่ะ...ว่าผมเกิดวันนี้”




 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 13 – ยอมรับในตัวเอง /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 25-09-2011 21:34:45
น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก น่ารัก

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก 

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก 

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก 

ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

 :call:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 13 – ยอมรับในตัวเอง /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 25-09-2011 21:40:30
 :impress2:

น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 13 – ยอมรับในตัวเอง /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 25-09-2011 22:13:44
^
^
^
ตามนั้นเลยค๊า
รอดูว่าจะ..เมื่อไหร่ >///<
+1 +เป็ดต้า สู้ๆ :)
 :L2: :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 14 –ตั้งใจซึ่งกันและกัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 25-09-2011 22:34:46



บทที่ 14 – ตั้งใจซึ่งกันและกัน




   เช้าวันอาทิตย์...

   เก้าโมงตรง

   ภีมเดินขึ้นไปห้องดนตรีที่ชั้นสามด้วยท่าทางกระตือรือร้น บรรดาคุณแม่บ้านของพิริยะต่างก็ยิ้มให้กับคุณชายของพวกเธอที่ตอนนี้อารมณ์ดีจนน่าสงสัย

   ภีมตรงไปที่เปียโนสีดำมันวาว ทรุดตัวลงนั่งช้าๆที่เก้าอี้แล้วเริ่มบรรเลงเพลงที่มีเพียงทำนอง เพลงที่ฟินเขียนขึ้น...

   ภีมฝึกซ้อมเพลงนี้เพียงสองรอบก็สามารถจำตัวโน๊ตทุกตัวของเพลงนี้ได้ ซ้ำยังเล่นได้อย่างไพเราะและกินใจเป็นอย่างมาก

   นิ้วเรียวยาวพลิ้วไหวไปตามท่วงทำนอง เปลือกตาของภีมปิดสนิท แล้วเขาก็ปล่อยหัวใจไปตามทำนองนั้น

   แม้จะเป็นทำนองเศร้า...แต่ทำไมตอนที่เล่นเพลงนี้

   รู้สึกมีความสุขเหลือเกิน

   เมื่อพอใจกับการเล่นเปียโนแล้ว ภีมก็เดินไปหยิบกีต้าร์ออกมาจากตู้กระจกแล้วเริ่มเกาตัวโน๊ตเพลงดาวออกมา ภีมคิดว่าใช้กีต้าร์เล่นแล้วไม่ไพเราะเท่าเปียโน

   เขาจึงเปลี่ยนมาเป่าแซ็กโซโฟนบ้าง แต่มันก็ไม่เพราะอยู่ดี

   ช่วงเวลานั้น ภีมนึกถึงเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่ง ฮาโมนิก้า มันจะไพเราะสักแค่ไหนกัน

   เครื่องดนตรีธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มันเป่าได้ แต่ทำไมคนอย่างภีมถึงเป่าไม่ได้...

   คิดแล้วก็พาลให้หงุดหงิด ภีมจึงกลับมานั่งที่เปียโนดังเดิม...แล้วบรรเลงเพลงอื่นไปเรื่อยๆตามที่ใจคิด

   เพลงแล้ว เพลงเล่า...

   จนกระทั่งสิบโมงเช้า

   เวลาเข้าเรียน...

   ภีมปิดฝาครอบเปียโนก่อนจะเดินลงมาที่ชั้นสองอย่างช้าๆ แม้จะอยากเจอหน้าครูพิเศษสักแค่ไหนก็แพ้ความเกียจคร้านที่มีต่อการเรียนอยู่ดี

   ความกระตือรือร้นของภีมจึงหายไปเมื่อคิดว่าต้องเรียนหนังสือ...

   เรานี่เกิดมาเพื่อโง่จริงๆเลยวุ้ย...

   ภีมเปิดประตูห้องเรียนด้วยความมีมารยาท เขาไม่ลืมที่จะเคาะประตูก่อน...

   คนที่อยู่ภายในห้องยิ้มออกมา คล้ายจะดีใจกับการกระทำที่มีมารยาทนั้น

   ภีมทำหน้ายียวนกวนประสาทเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ของตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกับครูพิเศษ

   “ตรงเวลาดีนี่” ฟินพูดพลางยกมือขึ้นดูนาฬิกา “เอาล่ะ เริ่มเรียนกันได้แล้ว” จากนั้นก็เปิดเอกสารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

   ภีมร้องเฮ้ย...ออกมาอย่างตกใจ นี่เขายังไม่ได้พักหายใจเลยนะ...จะเริ่มเรียนได้อย่างไรกัน

   แต่...ยังไม่ทันที่ภีมจะเอ่ยประท้วงใดๆ ฟินก็ยื่นเอกสารอะไรบางอย่างมาตรงหน้า “รายละเอียดสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ xxxxx เอาไปอ่านดู เผื่อว่าจะสนใจ”

   ภีมรับมาดูอย่างงุนงง

   เอกสารนั้นระบุคุณสมบัติของผู้สมัครสอบและเอกสารที่ต้องนำมายื่นในการสอบ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับคณะที่เปิดรับสอบตรงของมหาวิทยาลัยนั้น

   “เอามาให้ฉันทำไม” ภีมพูดอย่างไม่ใส่ใจ นึกถึงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยทีไรเป็นต้องอารมณ์เสียทุกที

   ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

   “ลองไปสอบดูก่อน” ฟินพูดเรียบๆ กระชับ ทว่าในดวงตาคมนั้นฉายแววบบังคับอย่างชัดเจน

   “ไม่สอบ ขี้เกียจดิ้นรน รอเข้าเอกชนดีกว่า” อีกครั้งกับคำพูดไม่ใส่ใจของภีม

   “ทำไมไม่ลองพยายามบ้าง” ฟินพูดพร้อมกับมองหน้าคนที่ทำท่ายียวนอยู่เบื้องหน้า “ฉันจะติวให้ทุกอย่างที่จะออกสอบ”

   “ไม่จำเป็น ไม่อยากสอบ แล้วใครหน้าไหนก็จะมาบังคับฉันไม่ได้ด้วย” ท้ายเสียงของภีมเข้มขึ้นจนคล้ายกับตวาด

   แต่ฟินก็ยังคงใจเย็นและยึดเหตุผลเป็นหลัก...

   “คณะดุริยางคศาสตร์ เอกดนตรีสากล สอบตรงปฏิบัติและข้อเขียนอย่างละ 50% สนใจมั้ย” ฟินยื่นเอกสารไปที่ภีมอีกครั้ง

   “ทำไมต้องเป็นมหา’ลัยนี้” ภีมถามขึ้นมาทันทีที่ฟินพูดจบ

   ฟินลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา “ฉันจะสอบเข้าที่นี่”

   เป็นคำตอบสั้นๆ แต่มีความหมายมากมายเหลือเกิน

   ภีมเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ แต่คนอย่างเขาหรือจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแบบนี้ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด

   “เชิญสอบไปคนเดียวเถอะ อย่ามายุ่งกับฉันเลย” ภีมไสเอกสารคืนกลับที่เดิม

   ฟินถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “นายทำได้อยู่แล้ว ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ส่วนความรู้เรื่องอื่นฉันจะติวให้ เอาแบบเป๊ะๆเลย”

   “บอกว่าไม่ไงเล่า” ภีมตวาดเสียงดัง “อยากเข้าก็เข้าไปคนเดียวสิ”

   “หวังว่านายจะเห็นว่ามันเป็นตัวเลือกหนึ่งนะภีม” ฟินพูดเรียบๆ แล้วกวาดเอกสารสมัครเรียนไปไว้ทางซ้ายของโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่บทเรียน

   ภีมไม่ตั้งใจฟังที่ฟินพูดเท่าไรนัก เพราะจิตใจมัวแต่คิดเรื่องที่ฟินพูดเมื่อกี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากพยายาม แต่ถ้ารู้ว่าพยายามไปแล้วก็ล้มเหลวจะพยายามไปเพื่ออะไร...

   ภีมคิดอย่างนั้น...

   และความคิดนั้นก็บั่นทอนความพยายามของภีมไปเสียสิ้น

   “ฟังอยู่หรือเปล่าภีม” ฟินพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตาของภีมมองไปที่อื่นที่ไม่ใช่หนังสือเรียน

   “ฟังอยู่” ภีมตอบสั้นๆ

   “เมื่อกี้พูดว่าอะไร” ฟินถามเรียบๆ ใบหน้าคมนิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์

   ภีมนิ่งไปเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ก็ไม่ได้ฟังจะให้ตอบอะไรล่ะ...

   ฟินไม่ว่าอะไร แต่กลับอธิบายเรื่องนั้นซ้ำอีกครั้ง แต่ภีมก็ยังคงไม่ฟังอีกเช่นเคย

   “เข้าใจหรือยัง”

   เงียบ...

   เปลือกตาของภีมปิดสนิทไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้...

   “ภีม” ฟินเรียกซ้ำอยู่หลายครั้งกว่าเจ้าของชื่อจะรู้สึกตัว “ทำไมไม่ฟังให้เข้าใจ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็อธิบายเรื่องเดิมซ้ำอีกรอบหนึ่ง

   แต่ภีมก็ยังคงไม่ฟังอีกเช่นเคย...

   หนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบห้านาทีผ่านไป

   ฟินยังคงอธิบายเรื่องเดิม...

   “เข้าใจหรือเปล่า” ครูผู้ใจเย็นถามขึ้นหลังจากอธิบายเรื่องเดิมซ้ำเป็นรอบที่แปดจบลง

   “จะอธิบายอีกสิบรอบฉันก็ไม่รู้เรื่องหรอก ฉะนั้น...เปลี่ยนเรื่องซะ สอนให้จบๆซักที” ภีมพูดไปหาวไป

   ฟินจะทนได้อีกสักแค่ไหนกัน...

   “ถ้าเรื่องนี้ไม่เข้าใจ เรื่องอื่นจะเข้าใจได้ยังไง” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็อธิบายเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าจริงจังดุจเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

   “เข้าใจหรือเปล่าภีม” ฟินถามเมื่อการอธิบายสิ้นสุดลง

   “สมองอย่างฉัน อธิบายให้ตายก็เสียเวลาเปล่า” ภีมยักไหล่ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ

   ฟินไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำ ยากที่จะหยั่งถึง...

   แต่ก่อนแววตาลึกล้ำนี้อาจจะทำให้ภีมโมโหถึงขั้นประเคนหมัดไปที่ใบหน้าหล่อๆและอวดดีนั่นสักสองสามหมัด แต่ตอนนี้...บางสิ่งในตัวภีมคล้ายจะเปลี่ยนไป

   ไม่เพียงแต่ไม่อยากใช้กำลัง แต่ยังไม่อยากให้คนๆนี้ต้องเกิดความรู้สึกผิดหวังและเสียใจในตัวเขา

   แต่...

   แม้ว่าจะรู้สึกอย่างนั้น แต่ภีมก็คือภีมที่ยังยึดมั่นในความเป็นตัวเอง เขารู้ว่าอะไรที่ทำได้และทำไม่ได้

ถ้ารู้ว่าทำได้ เขาจะทำมันจนถึงที่สุด ที่สุด และที่สุด

ตรงกันข้าม ถ้าทำไม่ได้ เขาจะไม่ใส่ใจ ไม่ขวนขวาย ไม่พยายามทำอะไรจนถึงที่สุด ที่สุด และที่สุด

ในตอนนี้...ภีมรู้ตัวว่าทำไม่ได้ เขาจึงไม่พยายามที่จะฟัง ฟัง และฟัง

แม้ว่าคนๆนั้นจะมีแรงดึงดูดที่ทำให้เขาอยากตั้งใจฟังมากแค่ไหนก็ตาม

แต่แรงดึงดูดนั้นยังคงพ่ายแพ้ให้กับความเป็นภีม ที่หลอมรวมมาแต่เด็กจนโต

“มองจนหมดเวลาได้ก็ดี” ภีมพูดขึ้นพร้อมกับจ้องตอบดวงตาคู่นั้น

ฟินยังคงนิ่งและสงบราวภูเขาน้ำแข็ง เปลือกตาที่มีแพขนตาหนาและยาวนั่น น้อยครั้งนักที่จะกระพริบลงเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้ดวงตา ฟินนั่งนิ่งไม่ไหวติงและมองภีมด้วยสายตาดังเดิม

“เออ...มองไปเลย” ภีมกัดฟันพูด เว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มองให้ตลอด อย่าคิดหยุดเชียว ให้มันตายไปข้างหนึ่ง”

แล้วภีมก็ตัดสินใจลงสนามแข่งขันประชันสายตากับฟิน...

เกือบชั่วโมงที่ทั้งคู่นั่งอยู่อย่างนั้น

และคนที่ทนไม่ไหวก็คือ...ภีม

แต่ก็น่าแปลกใจอยู่ว่าคนใจร้อนอย่างนี้ สามารถนั่งเฉยๆและจ้องหน้าคนได้นานเกือบชั่วโมงเลยเหรอ...

คำตอบคือ...ได้

“พอกันที ฉันจะไม่บ้าตามนายอีกแล้ว” ภีมตบโต๊ะเสียงดังแล้วยืนขึ้น แม้น้ำเสียงจะฟังไม่รื่นหูเท่าไรนัก แต่นั่นกลับทำให้ฟินพอใจ
ใบหน้าหล่อที่ดูนิ่งเฉยราวน้ำแข็งเมื่อครู่ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นทีละน้อยๆ

“นั่งจ้องหน้าฉันนานเกือบชั่วโมงยังทำได้เลย ทั้งๆที่คนอย่างนายใจร้อนจะตาย แล้วทำไมเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย นายจะทำไม่ได้” ฟินพูดยิ้มๆ

ภีมงุนงงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของฟิน “มันคนละเรื่องกัน”

“มันคนละเรื่องเดียวกัน เอาล่ะ...ขอแค่ตั้งใจให้สุดๆ นายต้องทำได้แน่” ฟินยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มละลายใจคนเห็นแน่แท้ แต่ก่อนภีมอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับรอยยิ้มนั่น แต่ตอนนี้...มันเปลี่ยนไปแล้ว

ภีมนั่งลงอย่างช้าๆราวต้องมนต์...

แล้วแรงดึงดูดก็ชนะความเป็นภีม พิริยะ จนได้

“เรื่องเดิม รอบที่สิบแล้ว หวังว่ารอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายแล้วก็เป็นใบเบิกทางเพื่อผ่านไปสู่บทเรียนอื่นๆ” ฟินพูดไปอย่างนั้น ถ้าภีมยังไม่เข้าใจจริงๆ เขาก็ตั้งใจว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ภีมเข้าใจจนได้

แล้วบทเรียนเรื่องเดิม รอบที่สิบก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง...

บนความตั้งใจซึ่งกันและกันของคนสองคน

คนหนึ่งพูด...

อีกคนหนึ่งฟัง...

“เข้าใจหรือเปล่า” ฟินถามยิ้มๆ

ภีมไม่กล้าตอบออกไปว่าไม่เข้าใจ เพราะกลัวที่จะเห็นสายตาดูถูกจากเขา ภีมจึงนั่งเงียบๆ เฉยๆ

แต่อย่างที่ทุกคน(ท่านผู้อ่านที่รัก)น่าจะเข้าใจกัน...

บางครั้งฟินก็เก่งที่จะเดาใจคนอย่างภีม

ฟินพยักหน้ารับรู้กับท่าทางนั้นของภีม เขายิ้มอ่อนๆก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องเดิม รอบที่สิบเอ็ดให้หนุ่มน้อยที่กำลังเปิดใจให้กว้างรับฟังอย่างเข้าใจที่สุด

“นายอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ งั้นฟังอีกรอบ” ฟินพูดขึ้นเมื่อเห็นภีมเงียบไปหลังจากที่อธิบายจบ แต่ภีมรีบโบกมือห้ามก่อนจะยอมรับออกมาว่าเข้าใจแล้ว

“เข้าใจแน่นะ” ฟินถามย้ำ

“ชัวร์ที่สุด” ภีมตอบอย่างมั่นใจ ไม่อยากจะเชื่อตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้กับเขาด้วย

แล้วบทเรียนใหม่ก็เริ่มขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้สอนและความพยายามในการเรียนรู้ของผู้เรียน

ฉันอยากให้นายได้เข้าเรียนที่นี่ เพราะนอกจากมันจะดีกับตัวนายแล้ว มันยังดีต่อ...หัวใจของฉันด้วย ฟินพูดในใจก่อนจะยิ้มออกมาเพียงลำพัง




 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 14 –ตั้งใจซึ่งกันและกัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-09-2011 22:36:35
 :o8: :o8: :o8: :o8:


ใสๆๆ
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 14 –ตั้งใจซึ่งกันและกัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 25-09-2011 22:43:23
น่ารัก !! ^^
สู้ๆจ้าภีม ต้องทำได้อยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 14 –ตั้งใจซึ่งกันและกัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 25-09-2011 23:04:56
น่ารักกกกกกกบอกได้คำเดียวว่าน่รักกกกก

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 13 – ยอมรับในตัวเอง /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: forever-yunjae ที่ 25-09-2011 23:24:20
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: ชอบอ่า ๆ
"เขาบอกอย่างนั้นเหรอ ผมก็เพิ่งรู้นี่ล่ะ...ว่าผมเกิดวันนี้"  :-[ :-[

:) น่ารักจังเลย ๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 25-09-2011 23:35:10



บทที่ 15 – ช่วงเวลาของการพยายาม




   เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ที่ใกล้ถึงวันสอบไปทุกที ภีมต้องตั้งใจหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพราะนอกจากจะต้องเตรียมสอบเอ็นทรานซ์แล้วยังต้องเตรียมตัวสอบตรงอีก

   ภีมสมัครเข้าคณะดุริยางคศาสตร์ เอกดนตรีสากล ส่วนฟินเลือกเข้าคณะสัตวแพททย์ศาสตร์

   คนละคณะ แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน...

   “ทำไมถึงเรียนสัตวแพทย์ มันต้องเรียน 6 ปีเลยไม่ใช่เหรอ” ภีมเคยถามคำถามนี้กับฟินเมื่อตอนส่งใบสมัคร

   ฟินยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบออกมา “บ้านของฉันทำฟาร์มโคนมน่ะ แล้วฉันก็รักพวกมันมาก เวลาแค่ 6 ปีแลกกับเวลาอีกหลายปีของพวกมัน คุ้มอยู่นะ”

   ภีมนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะเพิ่งรู้ว่าครอบครัวของฟินประกอบอาชีพอะไร ภีมรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ฟาร์มโคนมเหรอ...มันเจ๋งที่สุดเลย

   “บ้านเป็นฟาร์ม สุดยอด” ภีมแกล้งยกนิ้วโป้งให้ฟิน “พ่อนายก็เป็นคาวบอยล่ะสิ”

   “คงงั้นมั้ง เป็นกันทั้งบ้านล่ะ” ฟินหัวเราะออกมา แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมอง วันหนึ่ง...ใช่ วันหนึ่ง เขาจะพาภีมไปที่ฟาร์มโคนม

   “อยากไปเที่ยวบ้านนาย” ภีมพูดขึ้น ฟินชะงักไปนึดหนึ่งคล้ายเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้

   ใจตรงกันหรือนี่....

   หัวใจของฟินเต้นเร็วขึ้น มือไม้ที่แข็งทื่อก็สั่นระรัว “อยากไปบ้านฉัน” คำพูดนั้นฟินพูดกับตัวเอง

   ภีมมองฟินอย่างงุนงง “ทำไมเหรอ ไม่อยากให้ไปก็บอก ไม่เห็นต้องอึ้งเลย” ภีมเดินหนีไปอีกทาง แล้วซ่อนใบหน้าที่แสดงความเสียใจออกมาให้มิดที่สุด

   “ไม่ใช่อย่างนั้น” ฟินพูดขึ้น “ฉันแค่ตกใจที่เรากำลังคิดเรื่องเดียวกัน”

   คราวนี้ภีมเป็นฝ่ายใจเต้นแรงบ้าง ความเสียใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นดีใจ “อย่างนั้นเหรอ”

   “อืม” ฟินทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ผลสอบออกมาเมื่อไร ฉันจะพานายไปที่ฟาร์ม ไปเที่ยวกัน”

   และนั่นทำให้ความพยายามในการสอบของทั้งคู่เต็มเปี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก

   ฟินตั้งใจสอนบทเรียนต่างๆให้ภีมอย่างสุดความสามารถ ส่วนภีมก็พยายามจะเข้าใจในบทเรียนอย่างเต็มที่

   จนกระทั่งวันสอบฟินและภีมเดินทางไปสอบด้วยกันที่มหาวิทยาลัย แต่ตึกสอบต้องแยกกันไปตามคณะที่สมัครสอบ ภีมไปคณะดุริยางคศาสตร์ ฟินไปคณะสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งสองคณะนี้อยู่ห่างกันมากทีเดียว

   “เปียโนของชอบอยู่แล้วนี่ นายทำได้แน่นอนภีม” ฟินตบบ่าของภีมเบาๆอย่างให้กำลังใจ

   “นายก็เหมือนกัน เก่งไปซะทุกอย่าง เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋วอยู่แล้ว” ภีมพูดก่อนจะรีบเดินแยกไปอย่างรวดเร็วเพราะขืนยืนอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้ไปสอบกันพอดีเพราะมัวแต่ผลัดกันพูดให้กำลังใจอยู่

   “โชคดีภีม แล้วเจอกันที่โรงอาหารนะ” ฟินพูดไล่หลังก่อนจะเดินไปที่ตึกสอบของตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ใครต่อใครเห็นแล้วต้องหัวใจกระตุก   

   ภีมผ่านฉลุยในครึ่งแรกที่สอบปฏิบัติ ไม่ว่าเครื่องดนตรีอะไรภีมก็สามารถเล่นได้เป็นดีโดยไม่มีที่ติ ส่วนครึ่งหลังเป็นทฤษฎี นี่ก็ผ่านอีกเช่นกัน สรุปแล้วสอบเข้าครั้งนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

   ส่วนฟินเป็นสอบข้อเขียนล้วนๆ ทำเอาคนที่เก่งไปเสียทุกอย่างต้องนั่งเครียดจนเกือบทำข้อสอบไม่ทัน ต่อให้มีความรู้ในหัวมากเท่าไหร่ก็ยังไม่ครอบคลุมข้อสอบที่ออกอยู่ดี จนกระทั่งหมดเวลาสอบฟินก็ทำเสร็จพอดี

   ภีมนั่งรอฟินอยู่ก่อนแล้วที่โรงอาหาร สักพักหนึ่งฟินจึงตามมา

   สีหน้าของฟินไม่สู้ดีนักเพราะฤทธิ์ข้อสอบที่บั่นทอนปัญญาอันชาญฉลาดของเขา “เฮ้อ...เหนื่อยชะมัดเลย” ฟินพูดพลางทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับภีม “มันยากกว่าที่คิด”

   เห็นสีหน้าของฟินแล้วภีมก็เชื่อสนิทว่ามันคงต้องยากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคนที่เก่งไปเสียทุกอย่างเช่นฟินคงไม่มีสีหน้าแบบนี้ “ทำไม่ทันเหรอ”

   “ก็เกือบไม่ทันอยู่ ยากกว่าที่คิดเอามากๆเลย เฮ้อ...หมดแรง” ฟินซบหน้าลงกับโต๊ะทันที สมองของเขาต้องการการพักผ่อนเสียแล้ว

   ข้อสอบอะไรก็ไม่รู้...ยากโคตรๆเลย ฟินบ่นกับตัวเองในใจ   

   “กินข้าวก่อนแล้วจะพากลับคอนโด” ภีมสะกิดที่ศีรษะของฟินเบาๆ แต่ฟินก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา “เอาอย่างนี้ละกัน เดี๋ยวไปซื้อข้าวมาให้”

   ฟินเงยหน้าขึ้นแทบจะทันที ภีมจะไปซื้อข้าวให้ ไม่จริง ภีมเนี่ยนะ...

   “ไม่ต้อง” ฟินรีบพูดขึ้น

   “ทำไม” ภีมทำท่าหาเรื่องทันที

   “ไปด้วยกันนี่ล่ะ” ในที่สุดฟินก็ต้องทานข้าวจนได้

   ทุกกิริยาของเด็กหนุ่มทั้งสองถูกจับตามองจากทุกคนที่อยู่ในโรงอาหาร อาจเป็นเพราะความโดดเด่นของหน้าตาและความสูง ทั้งยังเครื่องแบบนักเรียนที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเด็กของโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่ใครไม่แน่จริง...เข้าไม่ได้เด็ดขาด

   เสียงซุบซิบดังมาเป็นระยะๆตลอดทางที่ทั้งคู่เดินผ่าน บ้างก็หัวร่อต่อกระซิก บ้างก็ทำท่าขัดเขิน บ้างก็หน้าแดงเวลาที่สบตากับสองหนุ่มนี้

   ภีมมักจะยิ้มตอบเวลาที่ผู้หญิงยิ้มให้ ส่วนฟินจะนิ่งเฉยราวกับไม่เห็นทุกรอยยิ้มที่ผู้คนส่งมา ภีมมองใบหน้าเย็นชานั้นอย่างหมั่นไส้ “ทำไมไม่ยิ้ม สาวๆอุตส่าห์ยิ้มให้นายนี่นา”

   “ไม่มีเหตุผลที่ต้องยิ้ม” ฟินตอบแค่นั้นก่อนจะลงมือทานข้าว

   แค่ยิ้มมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ...ภีมคิดในใจก่อนจะลงมือทานข้าวบ้าง   

   หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ภีมบอกให้คนขับรถไปส่งฟินที่คอนโด ฟินชวนภีมขึ้นไปที่ห้องก่อนแล้วค่อยกลับ ภีมทำท่าจะปฏิเสธ ฟินจึงยื่นข้อเสนอหยุดเรียนให้หนึ่งวัน ภีมจึงตอบตกลง

   ภีมมาคอนโดของฟินเป็นครั้งที่สอง และยังคงตื่นเต้นเช่นเคยเมื่อก้าวเข้ามาในห้องของฟิน

   “เหนื่อยนักก็นอนสิ จะให้ฉันขึ้นมาทำไม” ภีมถามพลางเดินไปนั่งบนกองที่นอนในมุมนั่งเล่น

   “มีอะไรจะให้” ฟินเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบอะไรบางอย่างติดมือออกมาด้วย

   ภีมพยายามระงับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น แต่มันทำได้ยากเหลือเกิน อย่าหันไปมองนะภีม...เสียงส่วนลึกในใจบอกอย่างนั้น ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอก ถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ฟิน

   ภีมหันไปมองฟินที่กำลังเดินมาทางนี้ เขาถืออะไรสักอย่างอยู่...

   แล้วฟินก็นั่งลงบนฟูกหนานุ่มข้างๆภีม “ฉันให้”

   นาฬิกาหนังสีดำธรรมดา แต่ว่าราคาแพง... ทำไมภีมจะดูไม่ออกว่านาฬิกาที่ดูเหมือนจะธรรมดาๆนี้มันมีราคาแพง ก็เพราะมันเป็นยี่ห้อที่ภีมกำลังใช้อยู่น่ะสิ

   “เฮ้ย...ไม่เอา แพงนะเว้ยเฮ้ย เรือนนี้” ภีมพูด

   “ฉันตั้งใจจะให้แล้ว ถ้าไม่เอาก็ทิ้งไปเลย” ฟินที่เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์กลายเป็นคนไม่เสียดายของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

   “ฉันซื้อใช้เองได้”

   “แต่นี้ฉันให้” ฟินบอกเสียงเรียบ “ยื่นมือมา” แล้วก็ออกคำสั่ง

   ภีมไม่ทำตามอย่างแน่นอน “ไม่เอาเว้ย ซื้อเองได้”

   “ไม่อยากก็ต้องอยาก ยื่นมือมา” ฟินไม่รอให้ภีมทำตาม เขาดึงมือของภีมมาไว้บนตักแล้วจัดการใส่นาฬิกาไว้ที่ข้อมือของภีมอย่างรวดเร็ว “เหมาะกับนายสุดๆ”

   ภีมรีบดึงมือกลับทันที อยากจะถอดนาฬิกาทิ้งเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ลง จึงต้องยอมใส่ไปอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้...แต่มันทำตัวไม่ถูกต่างหาก

   ภีมนึกอยากจะพูดคำว่าขอบคุณ แต่พอจะพูดออกไปจริงๆกลับทำไม่ได้ “เอ่อ...คือ” จึงได้แต่ละล่ำละลักอยู่อย่างนั้น

   “ไม่ต้องพูดหรอก ฉันอยากให้ นายไม่ได้ขอสักหน่อย” ฟินพูดยิ้มๆก่อนจะดึงตัวภีมเข้ามากอดไว้อย่างหลวมๆ “ทำดีแล้ว พี่ภูต้องดีใจถ้านายสอบติด แล้วพ่อแม่ของนายจะได้สบายใจไปด้วย”

   ช่องว่างในใจคล้ายกลับได้เติมเต็มจนเกือบไม่เหลือพื้นที่ว่างอีกแล้ว ภีมยื่นมือที่กำลังสั่นเทาของตัวเองเพื่อกอดตอบฟิน “ขอบใจ ถ้าไม่มีนาย ฉันคงแย่”

   “ขอบคุณพี่ภูด้วยล่ะ เพราะว่าเธอรักนายเหลือเกิน” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน

   “รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาบอก” ภีมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

   “อีกสองอาทิตย์ ผลสอบก็จะออก เราจะไปสอบสัมภาษณ์พร้อมกัน” ฟินบอกกำหนดการ

   เราจะไป...พร้อมกัน ภีมรู้สึกว่าประโยคนี้มันจั๊กจี้หัวใจพิกล

   “แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากเลยภีม ขอนอนก่อนนะ” แล้วฟินก็หลับตาลงอย่างนั้น ภีมไม่รู้จะต่อว่าอย่างไรจึงค่อยๆพยุงร่างของฟินให้นอนลงบนฟูกด้วยท่าทางที่สบายที่สุด

   “หลับให้เต็มที่ นายเหนื่อยกับฉันมาเยอะแล้ว” ภีมยิ้มให้ฟิน ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ

   แล้วช่องว่างที่เคยมีอยู่ของคนทั้งสองก็ค่อยๆหายไป หายไป




 :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 25-09-2011 23:53:21
 :-[
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 26-09-2011 00:10:30
 o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 26-09-2011 02:02:08
อ๊ากกกก  ทำไมถึงเพิ่งจะได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ น่ารักมากกกกกกกกกกกก
บวกเป็ดเป็นกำลังใจให้นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: punn-love ที่ 26-09-2011 02:35:28
ตามคุณเฉาก๊วยมา

ชอบจังเลยยยยยย น่ารักไปหมด

อยากลองเขียนแบบตัวเองเป็นบุคคลที่สามบ้างจังเลย

หึหึ ว่าแล้วลองหน่อยดีกว่า แต่คงไม่ได้ ตอนนี้เราเขียนไปแล้วง่า ชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 26-09-2011 09:38:28
น่ารักมากกกกกก
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ae4593 ที่ 26-09-2011 11:14:10
ชอบมากคัฟน่ารักมากอ่านไปยิ้มไปคัฟอยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆจังคัฟ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 15–ช่วงเวลาของการพยายาม /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 26-09-2011 11:19:10
น่ารักมากกกกกกกกกกกก


ชอบบบบบบบบบบบบบ

 :L2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 16 – เรื่องที่น่ายินดี /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 26-09-2011 13:27:58



บทที่ 16 – เรื่องที่น่ายินดี



   หนึ่งสัปดาห์หลังจากวันสอบเป็นวันประกาศผลสอบ

   วันเสาร์นี้ภีมไม่ได้เรียนพิเศษเพราะฟินให้สัญญาว่าจะไม่สอนหนึ่งวัน

   ฟินรีบมาที่บ้านของภีมแต่เช้าเพื่อดูผลสอบ...เขารู้สึกกังวลใจเล็กน้อยเพราะไม่มั่นใจนักว่าจะสอบติดตามที่ตั้งใจไว้

   ทั้งคู่อยู่ในห้องเรียนและกำลังตรวจดูรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์...

   “ดูของนายก่อนแล้วกันฟิน ติดอยู่แล้วนี่” ภีมแกล้งพูด แต่ฟินไม่ขำด้วยเพราะกำลังกดดัน “งั้นดูของฉันก่อนก็ได้” แล้วภีมก็เปิดรายชื่อของนักเรียนที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์เข้าคณะดุริยางคศาสตร์

   ผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ 10 คน

   ภีมใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เขาไล่สายตาจากอันดับที่หนึ่ง สอง สาม...

   “ฉันสอบได้เฉยเลยว่ะ” ภีมพูดด้วยความประหลาดใจ ชื่อของเขาอยู่ในลำดับที่สาม

   ฟินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ความกดดันของตัวเองหายไปเกือบหมดเมื่อรู้ว่าภีมมีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ “เก่งมากภีม”

   “อยู่แล้วว่ะ ภีมซะอย่าง ติดได้ไงเนี่ย” ภีมพูดอย่างขบขัน ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในสิบคนจากหลายร้อยคนที่เข้าสอบ “ดูของนายดีกว่า หมอฟิน”

   “ยังไม่ใช่ซักหน่อย” ฟินแก้ให้ ใบหน้าคมเครียดลงอีกครั้ง

   รายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์คณะสัตวแพทยศาสตร์ จำนวน 10 คน

   หนึ่งในสิบ จากเกือบพันคน มันน่ากดดันน้อยอยู่ที่ไหนกัน...

   “ติดชัวร์ จะหน้าเครียดไปทำไม” ภีมแกล้งพูดเพราะมั่นใจว่าคนเก่งอย่างฟินต้องสอบติดอยู่แล้ว

   รายชื่อทั้งหมดปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนทั้งสอง

   ชื่อที่หนึ่งผ่านไป...สอง...สาม...สี่

   ไม่มีชื่อของฟิน...อชิตะ   ก้องกิตติกุล

   จนชื่อสุดท้ายก็ไม่มี

   ความเงียบเข้าครอบคลุมในห้อง ฟินนั่งนิ่งไปแล้ว ส่วนภีมได้แต่ร้องเฮ้ย...อยู่ในใจ

   “มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว” ฟินพึมพำออกมาเบาๆ ภีมมองดูโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร ปลอบใจหรือ...คนอย่างภีมทำไม่เป็น

   ให้กำลังใจ...ก็ไม่เคยทำ

   ภีมจึงนั่งเฉยๆ ไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำพูดมากมายที่แย่งกันเข้ามาเป็นตัวเลือกให้ภีมเลือกใช้พูดออกไป แต่เขาก็ยังคงนั่งเงียบอยู่เช่นเดิม

   ฟินรู้สึกคล้ายตัวเองพลาดเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตไป อดถามตัวเองไม่ได้ว่ายังพยายามไม่พออีกหรือ

   เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนเก่งกว่าฟินมีอยู่มากมาย

   “ฉันก็ปลอบใจคนไม่เก่งหรอกนะ แต่ก็ช่างมันเถอะ โอกาสยังมีนี่” ภีมพูดออกไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะช่วยเหลือจิตใจของฟินได้สักเท่าไหร่

   ฟินถอนหายใจออกมา โอกาสยังมีจริงๆด้วย ถ้าเขาทำคะแนนสอบได้ดีก็สามารถใช้ยื่นเพื่อเข้าคณะนี้ได้ แต่มันก็คงต้องลุ้นกันหน่อยล่ะ

   “ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงๆอย่างที่คาดไว้” ฟินพูดออกมา พยายามฝืนยิ้มให้ภีมเห็น

   “คาดว่าจะสอบไม่ผ่านน่ะเหรอ”

   ฟินพยักหน้ารับ “ข้อสอบมันยากมากๆ ฉันคิดว่ารู้เกือบทุกอย่างแล้ว พอเอาเข้าจริงยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ยังไม่รู้”

   “แล้วถ้านายไม่ได้เข้าเรียนที่นี่ล่ะ” ภีมถามขึ้น

   ฟินยิ้มกว้าง “ต้องได้สิ ยังไงฉันก็จะเรียนที่นี่” ฟินเอื้อมมือไปโอบไหล่ภีมเอาไว้ “จะได้อยู่ด้วยกันไงภีม”

   ภีมหัวเราะแหะๆ ไม่รู้ว่าความมุ่งมั่นของฟินจะดีสำหรับตัวเองหรือเปล่า “ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ว่ะ อยู่ด้วยกัน” ภีมหยิบมือของฟินออกจากไหล่ “พอเถอะ ขนลุก”

   ฟินหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “น่ากลัวขนาดนั้นเชียว”

   “เออสิ...” ภีมรับทั้งๆที่ตัวเองก็หัวเราะตามฟินไปด้วย

   สัปดาห์ต่อมาภีมไปสอบสัมภาษณ์ ฟินตามไปด้วยเพราะเป็นห่วง กว่าสองชั่วโมงที่การสอบสัมภาษณ์จะจบลง

   ภีมเดินหน้าเครียดลงมาจากตึกคณะ แล้วนั่งลงบ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย “สัมภาษณ์แค่ห้านาที ให้ฉันไปนั่งรอเป็นชั่วโมง บ้าเอ๊ย...คนพวกนี้ บอกนักเรียนว่าอย่ามาสาย ตัวเองดันมาสายซะเอง อย่างนี้ก็แย่ดิวะ อุตส่าห์ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมานั่งรอเนี่ยนะ ใหญ่มาจากไหนกัน...ครูพวกนี้มันน่า...”

   ฟินรีบเอามือปิดปากภีมอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เดินลงมาจากตึก “พอแล้วภีม ไปบ่นที่บ้าน”

   “โธ่เว้ย...ก็มันโมโหนี่หว่า นั่งรอจนจะบ้าตาย สัมภาษณ์แค่สิบคน นัดซะเช้าเลย บ้า...” ฟินไม่ยอมปล่อยมือ แถมยังปิดแน่นกว่าเดิม เพราะอาจารย์กำลังมองมาทางนี้

   “พอแล้วภีม อาจารย์มอง” ฟินเตือนเบาๆ

   “ไม่สนเว้ย...” ภีมพยายามพูดอีกครั้ง

   “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะนักเรียน” อาจารย์คนหนึ่งเดินเข้ามาหาฟินกับภีม

   “มีสิ...” ภีมบอกเสียงดัง

   “ไม่มีครับ” ฟินแก้ “เขากลัวจะสัมภาษณ์ไม่ผ่านก็เลยโวยวายนิดหน่อย” ฟินพูดเรียบๆ

   อาจารย์พยักหน้ารับรู้แล้วเดินจากไปกับอาจารย์ท่านอื่น

   พอเห็นว่าพ้นจากสายตาของบรรดาคณาจารย์แล้ว ฟินจึงปล่อยมือ “พูดไม่รู้เรื่อง บอกให้พอก็พอสิ”

   “ก็มันโมโหนี่หว่า...ฉันรอนานมาก สัมภาษณ์แค่ห้านาที แล้วจะนัดมาแต่เช้าทำไม” ภีมพูดอย่างหัวเสีย

   “แล้วที่ฉันกับพี่คนขับรถนั่งรอนายล่ะ มันนานเท่ากันหรือเปล่า” ฟินถาม “ก็รอเหมือนกันใช่มั้ย”

   “อย่ามาพูดจาให้ฉันหงุดหงิดได้มั้ย” ภีมสะกดอารมณ์ของตัวเอง เขาไม่อยากโมโหฟินไปด้วยอีกคน

   “หัดเป็นคนที่รู้จักอดทนซะบ้าง แล้วก็รู้จักรอให้เป็น ทีนายให้คนอื่นรอไม่เห็นคนอื่นเขาจะว่าสักคำ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็รีบเดินไปที่รถทันที

   คนขับรถของบ้านพิริยะ เดินตามฟินไปอย่างงงๆ เริ่มสงสัยว่าใครเป็นนายกันแน่

   “เฮ้ย...นี่ฉันผิดเหรอวะเนี่ย” แล้วภีมก็เดินตามไปอย่างงงๆเช่นกัน

   หลังจากวันสอบสัมภาษณ์แล้ว ก็ถึงเวลาทำตามสัญญาที่พูดกันไว้ ไปเที่ยวฟาร์ม...

   ภีมขออนุญาตภูรดาในทันทีที่บอกผลสอบกับเธอ ส่วนภูรดาเมื่อรู้ว่าฟาร์มที่น้องชายว่านั้นเป็นบ้านของฟินก็อนุญาตอย่างรวดเร็ว

   “เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ หนุ่มน้อยทั้งสอง เที่ยวเผื่อพี่ด้วยล่ะ อ่อ...ฝากสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของฟินด้วยนะจ๊ะ” ภูรดาบอกสองหนุ่มว่าอย่างนั้น ใบหน้าอิ่มยิ้มกว้างกว่าเดิมเป็นสองเท่าเมื่อรู้ว่าน้องชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ก็ผิดคาดนิดหน่อยที่ฟินพลาดในการสอบครั้งนี้ไป

   ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต ภีมก็สั่งให้แม่บ้านรีบจัดกระเป๋าอย่างเร่งด่วน แต่ฟินเข้ามาขวางไว้แล้วบอกให้ภีมลงมือจัดกระเป๋าด้วยตัวเอง

   คุณแม่บ้านมองหน้าคุณชายของบ้านอย่างขอความเห็น “ไม่ต้องไปสนใจหมอนี่ จัดไป”

   คุณแม่บ้านกำลังหยิบกระเป๋าออกมาจากตู้เสื้อผ้า

   “ไม่ต้อง” ฟินพูดพร้อมกับมองหน้าภีม

   “อะไรกันนักหนา ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำเอง แต่คนมันทำไม่เป็นนี่ จะให้ทำไง” ภีมบอก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ
   คุณแม่บ้านหันหน้ามาขอความเห็นภีมอีกครั้ง

   “ฉันจัดเองก็ได้” ภีมโบกมือให้แม่บ้านครั้งหนึ่งก่อนจะลงมือจัดกระเป๋า

   แต่สำหรับฟิน...สิ่งที่ภีมกำลังทำอยู่ไม่ได้เรียกว่าจัด นั่นมันเรียกว่ายัด น่าจะเข้าท่ากว่า

   ฟินส่ายหน้าอย่างระอา ชีวิตคุณชายถ้าสุขสบายแบบทำอะไรไม่เป็นเลยก็แย่นะ...

   “เดี๋ยวจัดให้” ฟินรื้อของในกระเป๋าออกแล้วลงมือจัดเข้าไปใหม่ด้วยความเรียบร้อย ภีมมองตามด้วยความหมั่นไส้

   เมื่อจัดกระเป๋าของภีมเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ออกเดินทาง ภีมไม่ยอมให้คนขับรถไปส่งเพราะว่าอยากนั่งรถทัวร์

   ในชีวิตของคุณชาย...ไม่เคยสัมผัสกับรถทัวร์มาก่อนในชีวิต นี่เป็นครั้งแรก

   ฟินสะพายเป้ของตัวเองเดินนำขึ้นรถทัวร์ที่จองไว้ก่อนแล้วจึงลงมาช่วยภีมขนกระเป๋าอีกรอบ “เอาอะไรมาเยอะแยะก็ไม่รู้” ฟินแกล้งพูด

   “นั่นสิ...ตอนหยิบออกมาก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้”

   “แล้วนี่มันสมควรจะเอามามั้ยเนี่ย” ฟินมองกีต้าร์ที่อยู่ในมืออย่างขบขัน เขาบอกภีมแล้วว่าที่บ้านก็มีกีต้าร์ให้เล่น แต่ภีมก็ตอบกลับว่าเคยชินกับตัวนี้ จะทำไม

   “เมารถหรือเปล่า” ฟินถามเมื่อวางของเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ต้องนั่งสี่ชั่วโมง”

   “ไม่รู้สิ” ภีมตอบ แล้วนั่งบนที่นั่งติดกับหน้าต่าง “กี่โมงแล้ว”

   ฟินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “บ่ายสามโมง มีอะไรหรือเปล่า”

   “กว่าจะถึงก็ทุ่มนึงพอดีล่ะสิ งั้นขอนอนก่อนเลยละกัน” ภีมหาววอดๆก่อนจะหลับตาลงนอนตามที่พูดจริงๆ

   ฟินยิ้มให้กับภาพที่เห็น ก่อนจะหลับตาลงบ้าง

   รถทัวร์วิ่งออกจากรุงเทพฯแล้ว...

   วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆเพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา

   บ้านของฟิน...



 :t3: :t3: :t3: :t3: :t3:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 16 – เรื่องที่น่ายินดี /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 26-09-2011 13:39:10
สองคนนี้รักกันแบบเบาๆ  :กอด1:
ก็ดีแล้ว ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ละกันเนาะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 16 – เรื่องที่น่ายินดี /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: MinKKniM ที่ 26-09-2011 14:33:33
ภีมน่ารักขึ้นเยอะเลยอ่ะ   :m1:

ฟินสอบให้ได้นะ จะได้อยู่ใกล้ๆภีม

รอไปเที่ยวโคราชบ้านฟิน  :m7:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น>>>บทที่17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม "กิตติกุล/By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 26-09-2011 15:17:47



บทที่ 17 – ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม “กิตติกุล”



   ฟาร์ม “กิตติกุล”

   ป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าตรอกทางเข้าคือสัญญลักษณ์บ่งบอกว่าถึงที่หมายแล้ว

   ฟินและภีมนั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าทางเข้าก่อนจะเดินเข้าไปภายในฟาร์ม แต่เดินไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องยอมแพ้เสียก่อนเพราะของที่ภีมนำมาด้วยเยอะเกินความสามารถที่จะขนไปจริงๆ

   ฟินกดโทรศัพท์หาพ่อและแม่เพื่อให้ส่งคนออกมารับที่หน้าฟาร์ม ทั้งสองนั่งรอเพียงครู่เดียวเท่านั้น รถสองแถวคันเล็กสำหรับรับส่งคนในฟาร์มก็วิ่งออกมา

   “คุณฟินคนไหนครับผม” ลุงสม คนขับรถของบ้านชะเง้อถามสองหนุ่ม ฟ้ามืดลงมากแล้วและไฟที่อยู่รอบๆสองข้างทางก็เสียพอดี ทำให้ตอนนี้ทางเข้าฟาร์มมืดเสียจนน่ากลัว

   “คนนี้ครับ” ฟินยกมือขึ้นก่อนจะรีบขนของขึ้นรถ ภีมช่วยด้วยอีกคน และลุงสมก็ลงมาช่วยด้วยเช่นกัน

   “ขนอะไรมาเยอะแยะครับเนี่ย เห็นคุณฟินกลับบ้านทีนึงไม่ค่อยจะมีของอะไร รอบนี้มาแปลก” ลุงสมพูดด้วยความแปลกใจเพราะทุกครั้งที่ฟินกลับบ้านจะสะพายเป้มาใบเดียวเท่านั้น

   “ของเพื่อนผมครับ” ฟินยิ้มแล้วมองไปที่ภีม ลุงสมมองตามแล้วกล่าวทักทายหนุ่มน้อยอีกคนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่

   “หวัดดีครับผม ลุงมองไม่เห็นหน้าเราเลย” ลุงสมเพ่งสายตามองไปที่ภีม “แต่ก็พอจะรู้ล่ะว่าหล่อ ฮ่าๆ” แล้วลุงสมก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

   ภีมทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว คนที่นี่ดูแปลกๆอย่างไรก็ไม่รู้ ภีมคิด แต่ในอีกมุมหนึ่งเขาก็อยากจะรู้จักกับความแปลกนี้ให้มากขึ้น “ขอบคุณครับ ลุงคิดถูกแล้วล่ะ”

   ฟินยิ้มให้กับภีมอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถ ภีมขึ้นตามไป แล้วลุงสมก็ออกรถพร้อมกับร้องเพลงลูกทุ่งให้สองหนุ่มฟังด้วยน้ำเสียงไพเราะ

   ไม่นานนัก รถก็วิ่งเข้าสู่ฟาร์ม “กิตติกุล” ฟาร์มขนาดกลางที่มีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตนมวัวที่ดีมีคุณภาพ

   กลิ่นไอของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัวทำให้ภีมและฟินสดชื่นเป็นอย่างมาก ทางด้านหน้าของฟาร์มเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่สำหรับเลี้ยงม้าหรือทำกิจกรรมอื่นๆที่ต้องใช้พื้นที่กว้างๆ เช่น ขี่ม้า วิ่งรถเข้าไปอีกหน่อยจะเป็นส่วนของบ้านพักที่แบ่งแยกระหว่างเจ้าของฟาร์มและคนงาน

   รถหยุดลงเพียงเท่านี้ แม้ภีมอยากจะให้รถวิ่งต่อก็เถอะ

   “ถึงแล้วภีม” ฟินสะกิดภีมเบาๆ ภีมพยักหน้ารับแล้วเดินลงจากรถไปช่วยลุงสมขนของเข้าบ้าน

   บ้านไม้หลังใหญ่สองชั้นที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่บดบังรายละเอียดของตัวบ้านไปเสียเกือบหมด แต่กระนั้น ก็ยังคงความสวยงามอยู่ไม่น้อย ไฟสีส้มหน้าบ้านทำให้บ้านดูสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ถัดไปประมาณสี่สิบเมตรเป็นบ้านพักของคนงานที่สร้างไว้อย่างเป็นสัดส่วน แยกกันชัดเจนเป็นหลังๆ ครอบครัวหนึ่งก็อยู่บ้านหลังหนึ่ง

   “เข้าบ้านกัน” ฟินแตะที่แขนของภีมเบาๆก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป ทันทีที่ฟินก้าวเข้าบ้าน เด็กหญิงวัย 6 ขวบก็วิ่งเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว

   “ไชโย พี่ฟินกลับมาแล้ว” เธอร้องเสียงดังพลางตะโกนเรียกพ่อและแม่ลั่นบ้าน

   “เสียงดังทำไมฟาง เค้านอนกันหมดแล้ว” ฟินปรามน้องสาวเบาๆ

   “นอนที่ไหนกัน พ่อแม่ยังนั่งเล่นบิงโกกันอยู่เลย” ฟางข้าว เด็กหญิงตัวน้อย น่ารักซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายพี่ชายเป็นอย่างมาก พยักเพยิดหน้าไปทางซ้ายมือของบ้านที่เป็นห้องนั่งเล่น

   “ก็นั่นล่ะ มันหนวกหู” ฟินพูดยิ้มๆก่อนจะอุ้มน้องสาวเอาไว้ ในตอนนั้นเอง ฟางข้าวจึงได้สังเกตว่ามีผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนหน้าบูดบึ้งอยู่ข้างหลังพี่ชาย

   “พี่ฟินพาใครมาด้วย หล่อจังเลย” ฟางข้าวพูดเสียงใส ฟินปล่อยเธอลงก่อนจะแนะนำน้องสาวให้รู้จักกับภีม

   “หนูชื่อฟางค่ะ เป็นน้องสาวของพี่ฟิน” ฟางข้าวแนะนะตัวเองอีกครั้งอย่างฉะฉาน  ภีมยิ้มบางๆก่อนจะขยี้ศีรษะเล็กของฟางข้าวอย่างเอ็นดู “ความจริงพี่ก็ไม่ชอบเด็กนักหรอกนะ แต่ยกให้เธอคนหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ”

   “งั้น...ฟางก็เป็นคนที่โชคดีมากเลยสิ ไชโย...พี่ภีมชอบฟาง” ฟางข้าวร้องดังลั่นบ้านก่อนจะกระโดดกอดภีม “ไปหาพ่อแม่กัน”

   ฟางข้าวจูงมือภีมเดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น ฟินเดินตามทั้งคู่ไป ใบหน้าคมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

   พ่อและแม่ของฟินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น กำลังนั่งเล่นเกมบิงโกอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ทันทีที่ภีมก้าวเข้าไปก็ได้รับรอยยิ้มจากคนทั้งสองด้วยไมตรี

   “ภีมใช่มั้ยเอ่ย” แม่ของฟินทักขึ้นก่อน ภีมพยักหน้ารับ

   “หล่อนี่หว่า พี่ฟินมีคู่แข่งซะแล้ว ฟางข้าวเอ๋ย” ผู้เป็นพ่อมองหน้าภีมครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเกาะภีมไม่ห่าง

   “หล่อทั้งคู่นั่นล่ะ คุณพ่อนี่ไม่รู้เรื่องเลย” ฟางข้าวพูดอย่างโกรธๆ เธอไม่อยากให้ทั้งสองคนแข่งกันเพราะว่าต่างคนต่างก็หน้าตาดีทั้งคู่ ฟางข้าวคิดอย่างนั้น

   “มาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนไป แม่จัดห้องไว้ให้แล้ว นอนด้วยกันนั่นล่ะนะ” อาภา (แม่ของฟิน) บอกลูกชายก่อนจะเรียกเข้ามาใกล้ๆเพื่อสวมกอด “นึกว่าจะไม่กลับมาแล้ว เห็นบอกว่าต้องเตรียมตัวสอบ”

   เมื่อผู้เป็นแม่พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฟินก็เปลี่ยนไปทันที “ผมสอบไม่ได้ครับแม่” เขาพูดเรียบๆก่อนจะหันไปมองนที ผู้เป็นพ่อ

   “ช่างมันเถอะ...ยังมีโอกาสอยู่ไม่ใช่เหรอไง เราน่ะ...ชอบเครียดเกินเหตุ เรียนๆไปให้มันจบก็พอ อย่าไปเครียดอะไรนักเลย” นทีพูดให้กำลังใจ

   พ่อและแม่ของฟินจะรู้ไหมหนอ ว่าตลอดเวลาสามปีที่เรียนอยู่ เขาแบกรับภาระยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทั้งเป็นประธานนักเรียน ทั้งทำงานพิเศษ และไหนจะเรื่องเรียนที่เจ้าตัวเอาจริงเอาจังเหลือเกิน

   “ไปๆ พักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวดึกๆจะให้คนยกอาหารขึ้นไปให้” อาภาพูดอย่างนุ่มนวล เธอมองดูลูกชายด้วยความรัก ฟินคือความภาคภูมิใจของครอบครัว คือทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ ฟินไม่เคยทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนเลยสักครั้ง

   ข้าวของที่นำมาถูกยกขึ้นไปไว้ข้างบนเรียบร้อยแล้ว ภีมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินตามฟินขึ้นไปบนห้องโดยมีฟางข้าวเกาะแขนตามไปด้วย

   ห้องสุดท้ายที่อยู่สุดทางเดินคือห้องของฟิน...

   ประตูห้องเปิดออกช้าๆ ฟินก้าวเข้าไปในห้องที่เปิดไฟไว้อยู่แล้ว ภายในห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง จะเปลี่ยนไปก็ตรงประตูหน้าต่างที่เปลี่ยนจากไม้เป็นกระจกใส

   ภีมเดินตามเข้าไป ความเกรงใจที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ทำให้ภีมรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังหดเล็กลงเหลือตัวนิดเดียว

   “ฟางไปอยู่กับพ่อแม่เถอะ พี่ภีมจะพักผ่อน” ฟินพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของภีมไม่สู้ดีนัก ฟินคิดว่าภีมกำลังรำคาญฟางข้าว

   “ไม่เอา จะอยู่กับพี่ภีม” ฟางข้าวทำหน้ามุ้ย

   “ไม่ได้” ฟินพูดพลางเดินไปแกะมือน้องสาว “ไปอยู่กับพ่อแม่เลย”

   “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้รำคาญเด็กคนนี้อย่างที่นายคิดหรอกนะ” ภีมพูดขึ้นบ้างเพราะรู้ว่าฟินกำลังคิดอะไรอยู่

   ฟินยิ้มออกมา “นึกว่านายจะรำคาญเด็กดื้อคนนี้ซะแล้ว”

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่หรอก”

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฟางต้องไปอยู่กับพ่อแม่อยู่ดี” ฟินหันไปพูดกับน้องสาว “เพราะว่าพี่จะนอนแล้ว”

   “ไม่ไป” ฟางข้าวเกาะภีมแน่นกว่าเดิม ฟินมองภีมอย่างขอความช่วยเหลือ

   ภีมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะพูดออกมา “ไปก่อนนะฟางข้าว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาเจอกันใหม่”

   ภีมพูดแค่นั้น ฟางข้าวก็เดินออกไปทันที ฟินแทบอยากจะวิ่งไปตีก้นน้องสาวตัวดียิ่งนัก ทีพี่พูดล่ะไม่ฟังกันเลย...

   เมื่อฟางข้าวออกไปแล้ว บรรยากาศรอบๆห้องก็เงียบลงอย่างผิดหูผิดตา ภีมและฟินต่างก็ยืนอยู่คนละมุมห้อง ฟินยืนอยู่หน้าประตู ส่วนภีมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง

   มันอึดอัดชอบกล... ภีมคิด

   ไม่ใช่ภีมคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด ฟินก็รู้สึกแบบเดียวกัน  แต่อย่างที่ทุกคนน่าจะทราบกันว่าคนที่มักทนสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหวก็คือภีม

   “ฉันว่าที่นี่สวยดีนะ” แต่ภีมก็พูดได้แค่นั้น

   “อืม ดีใจที่นายชอบ” ฟินตอบก่อนจะเดินมานั่งบนเตียงแล้วล้มตัวลงนอน เขาตั้งใจไว้แล้วว่ากลับบ้านครั้งนี้จะไม่คิดถึงเรื่องที่สอบไม่ติดเด็ดขาด แต่แล้วก็ทำไม่ได้

   ภีมหันไปมองฟินที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง มันยิ่งอึดอัดกว่าเดิมเสียอีก...ภีมคิด

   “คิดอะไรนักหนาล่ะนั่น คิ้วนี่เป็นปมเลย” ภีมแกล้งแซว หวังให้คนที่หลับตาอยู่ร่าเริงขึ้นมาบ้าง แต่เห็นท่าแล้วจะยากเอาการอยู่

   “เฮ้อ...อยู่ดีดีมันก็ทำใจไม่ได้ซะงั้น” ฟินตอบ เปลือกตายังคงปิดอยู่

   “ช่างมันเถอะน่า พ่อนายก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเครียด” ภีมลุกขึ้นเดินมานั่งที่เตียงบ้าง

   “ฉันคงหวังไว้สูงเกินไป คิดว่ายังไงๆก็ต้องสอบติด แต่มันดันไม่ติดซะนี่” ฟินพูดแล้วแค่นหัวเราะในตอนท้ายของประโยค

   “ช่างมันเถอะน่า นายนี่ก็พูดไม่รู้ฟังเหมือนกันนี่หว่า” ภีมบอก

   “ก็เหมือนนายล่ะมั้ง พูดไม่รู้ฟังพอกัน” ฟินย้อนพลางดีดตัวขึ้นมานั่งข้างๆภีม “แต่ตอนนี้นายคงรู้จักฟังมากขึ้นแล้วล่ะ ฉันว่า” ท้ายเสียงนั้นแปร่งๆชอบกล

   ภีมหลุบตาลง ไม่มองตอบดวงตาของฟินที่ฉายแววซุกซน มันโคตรจะอึดอัดเลยว่ะ...ภีมคิด

   “ง่วงนอนหรือเปล่า” ฟินถามขึ้น ความจริงคือถามไปอย่างนั้น ไม่ได้ต้องการคำตอบเท่าไร แค่อยากให้ภีมเงยหน้าขึ้นเป็นพอ

   “ไม่ง่วง” ภีมตอบทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่

   “งั้นเรามาหาอะไรทำกันดีไหม” ฟินพูดอย่างขบขัน ส่วนภีมเลือดขึ้นหน้าแทบจะทันที ไม่ได้โมโหแต่มันรู้สึกร้อนไปทั้งตัวต่างหาก

   “ไปเดินเล่นกัน”

   วืด...ภีมเงยหน้าขึ้นในทันใด “ไปสิ...ฉันก็นึกว่า...เฮ้อ”

   “นึกว่าอะไรเหรอ” ฟินถามงงๆและยิ่งเห็นใบหน้าของภีมที่แดงอย่างกับมะเขือเทศด้วยแล้วยิ่งอดสงสัยไม่ได้

   “เปล่า ไม่มีอะไร” ภีมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปรกติเพราะกลัวถูกจับได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

   “แล้วจะไปหรือเปล่า” ฟินขอคำตอบ

   ภีมลังเลพักหนึ่งก่อนจะตอบตกลง “ไปสิ”

   “ขอค่าจ้างล่วงหน้าก่อน” ฟินยิ้มกริ่ม ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยเลศนัยมากมายที่ภีมพอจะเดาออกว่าค่าจ้างนั้นคืออะไร

   “ถ้าต้องมีค่าจ้าง ฉันก็ไม่ไป” ภีมบอก

   “ถึงไม่ไปฉันก็จะคิด” ฟินขยับตัวเข้าใกล้ภีมอย่างรวดเร็วก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากของภีม

   ริมฝีปากสัมผัสกันคล้ายจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว นานแล้วเหมือนกัน...ที่หายไปจากสัมผัสนี้ ฟินประคองศีรษะของภีมเอาไว้ก่อนจะเพิ่มแรงจุมพิตลงไปอีก ส่วนภีมก็ได้แต่ยอมรับในรสจุมพิตนั้น ครึ่งหนึ่งในใจบอกไม่ต้องการแต่อีกครึ่งหนึ่งกลับเรียกร้องเสียนี่

   ฟินถอนริมฝีปากออกครู่หนึ่งเพื่อผ่อนลมหายใจ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น...เขาก็จุมพิตลงไปที่ริมฝีปากของภีมอีกครั้ง ครั้งนี้เร่าร้อนและรุนแรงกว่าเดิม

   ภีมส่งเสียงเบาๆในลำคอและตอบรับจุมพิตของฟิน

   ฟินดีใจที่ภีมตอบรับริมฝีปากของเขา ดังนั้น จุมพิตที่เร่าร้อนอยู่แล้วยิ่งเร่าร้อนขึ้นไปอีกเป็นทบทวี

   จุมพิตที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล...

   ร่างของทั้งคู่แนบชิดกันในทันทีที่อุณหภูมิความร้อนของร่างกายเพิ่มขึ้นจนเกือบจะถึงขีดสุด ฟินเป็นฝ่ายกดร่างของภีมให้นอนลงแล้วจากนั้นก็ทาบร่างของตัวเองลงไป

   ทั้งคู่ลืมเลือนเรื่องราวทั้งหมดไปชั่วขณะ เมื่ออารมณ์ความต้องการเพิ่มขึ้นจนยากที่จะหยุด ทั้งคู่จะทำอย่างไรได้ นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามที่หัวใจต้องการ

   ฟินค่อยๆเปลื้องเสื้อผ้าของภีมออก พยายามใช้จุมพิตเป็นตัวล่อไม่ให้ภีมสนใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

   ภีมก็ดูเหมือนจะไม่สนใจจริงๆว่าฟินกำลังทำอะไรเพราะมัวแต่กำลังตอบรับจุมพิตอย่างตั้งใจ

   ฟินค่อยๆถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก แล้วจากนั้นก็พยายามถอดกางเกงของภีม แต่ถอดเท่าไรมันก็ไม่ออกเสียที

   ทำไมค้องใส่กางเกงพอดีตัวแบบนี้ด้วยภีม... ฟินคิดในใจ

   แล้วก็พยายามถอดอีกครั้ง แต่คราวนี้ภีมรู้สึกตัว “กำลังจะทำอะไรไม่ทราบ”

   ภีมถามเรียบๆ

   “ก็รู้อยู่ แล้วจะถามอีกทำไม” ฟินตอบเรียบๆเช่นกัน

   “บอกก็ได้ ไม่เห็นต้องถอดเองเลย” ภีมกลั้วหัวเราะแล้วจัดการถอดกางเกงของตัวเองออก ฟินเป็นฝ่ายที่ชะงักไปด้วยความสงสัย

   “ปิดไฟเถอะ ฉันอายว่ะ” ภีมพูดก่อนจะเดินไปปิดไฟเสียเอง “ส่วนนายก็ถอดซะ” ภีมสั่ง

   ฟินเงอะงะอยู่พักหนึ่งก่อนจะทำตามที่ภีมบอก...

   หลังจากนั้น...ทั้งคู่ก็ล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง

   ฟินลูบไล้ไปตามลำคอขาวเนียนของภีมอย่างเบามือ แล้วมอบจุมพิตอีกครั้งลงบนริมฝีปาก จากนั้นก็เลื่อนตำแหน่งมาที่ใบหู

   ร่างทั้งร่างของภีมสั่นสะท้านไปกับสัมผัสนั้น ร่างกายของทั้งคู่เบียดกันจนแน่น

   ฟินควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว...

   แต่...ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“พี่ฟิน คุณแม่ให้ฟางยกอาหารมาให้”

ฟินอยากจะฆ่าตัวตายในบัดดล ส่วนภีมก็รีบผลักฟินออกไปอย่างรวดเร็วแล้วรีบใส่เสื้อผ้าของตัวเอง สติสตังค์ที่คล้ายจะไปตามสายลมวิ่งกลับมาสู่ภีมอีกครั้ง

ฟินล้มตัวลงนอนก่อนจะคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างของตัวเองไว้ “ไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆภีม” ฟินพูดได้แค่นั้น เพราะตอนนี้อารมณ์ของฟินเตลิดไปไกลจนยากจะเรียกกลับมา

ภีมผ่อนลมหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตู “ว่าไงฟางข้าว”

“คุณแม่ให้ฟางยกอาหารมาให้ค่ะ แล้วทำไมปิดไฟมืดอย่างนั้นล่ะคะ พี่ฟินนอนแล้วเหรอ แล้วทำไมพี่ภีมดูเหนื่อย ตาปรือๆแล้วยังหัวฟูอีกต่างหาก” ฟางข้าวพูดเป็นชุด ทำเอาภีมอยากจะล้มตัวลงนอนไปกับฟินด้วยคนเพราะขี้เกียจตอบคำถาม

“พี่ฟินนอนแล้ว ส่วนพี่ก็กำลังจะนอน” ภีมตอบไปหัวเราะไป นี่เขากำลังหลอกเด็กอยู่หรือ...

“งั้นฟางยกเอาไปไว้ข้างในให้นะคะ” ฟางข้าวทำท่าจะเดินเข้าไปแต่ภีมขวางเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวพี่ยกเข้าไปเอง ฟางไปนอนเถอะ ขอบคุณมากนะครับ”

ภีมพูดจาหวานใส่เข้าหน่อย ฟางข้าวก็รีบถอยในทันทีเพราะเขินอาย “บอกพี่ฟินว่าราตรีสวัสดิ์ค่ะ แล้วก็ฝากจูจุ๊บพี่ฟินด้วย” ฟางข้าวพูดยิ้มๆก่อนจะวิ่งหนีไป

ภีมรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆเดินคลำทางเพื่อเอาถาดอาหารไปวางบนโต๊ะ ภีมไม่กล้าเปิดไฟเพราะไม่อยากเห็นหน้าของฟินตอนนี้ และรู้ดีว่าฟินก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน แต่กระนั้น...ก็ยังมีแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง พอให้ภีมได้เห็นทางเดินรางๆและเห็นว่าฟินกำลังนอนคลุมโปงอยู่

ถาดอาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

ภีมค่อยๆเดินมานั่งบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มออกพอให้เห็นใบหน้าของฟิน “มันแย่มากเลยเหรอ”

ฟินไม่ตอบอะไร แต่กลับดึงตัวของภีมลงมานอนด้วยกัน “มันจะไม่แย่เลย ถ้าเราได้เริ่มต้น...อีกครั้ง” ฟินประกบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับภีมอย่างรวดเร็ว

สติที่เพิ่งกลับมาของภีมหลุดลอยไปอีกครั้ง...

ฟินพยายามถอดเสื้อของภีมออก แต่มันถอดยากเหลือเกิน สุดท้ายฟินจึงกระชากเสื้อตัวนั้นออกเป็นชิ้นๆ ภีมตกใจกับการกระทำนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ถอดกางเกงได้มั้ยภีม” ฟินพูดทั้งๆที่ยังหอบ

ภีมไม่ตอบอะไรแต่ทำตามที่ฟินพูดทุกอย่าง

เมื่อร่างของทั้งคู่เปลือยเปล่า อารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในก็ปลดปล่อยออกมาด้วยเช่นกัน ฟินจุมพิตอีกครั้งที่ริมฝีปากของภีม จากนั้นก็เลื่อนมาที่ลำคอ แล้วไล้ลงไปเรื่อยๆตามหน้าท้อง แล้ว...

ทุกอย่างก็คล้ายกับความฝัน...

ภีมรับสัมผัสที่แปลกใหม่เข้ามาในร่างกาย มันแปลกเสียจนตัวเขาเองนึกพิศวง...

“ฉันเจ็บ...” ภีมพูดได้แค่นั้นเพราะรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งร่างกาย หน้าท้องที่กระเพื่อมไปตามลมหายใจนั้นบิดเกร็งอย่างรุนแรงเมื่อฟินทำตามความต้องการของตัวเองเป็นครั้งที่สอง

“โอ๊ย...เจ็บ” ภีมร้องออกมาเสียงดัง พยายามพลิกตัวเพื่อผลักไสร่างที่อยู่เหนือร่างกายให้ออกไป แต่เรี่ยวแรงที่เคยมีหายไปไหนไม่รู้...

ส่วนฟินก็คล้ายจะไม่ได้ยินเสียงของภีม...

เพราะในเวลาแบบนี้...ฟินไม่ใช่คนใจเย็นอีกต่อไป

“เจ็บ...” ภีมร้องอีกครั้งเพราะทนความเจ็บที่เกิดขึ้นในตัวไม่ไหว มันเจ็บเสียจนชาไปทั้งตัว ภีมพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่พลิกร่างกายเพื่อหลบฟิน

แล้วก็สำเร็จ...

ฟินคล้ายจะรู้สึกตัวเมื่อภีมกระถดหนีไปอีกฝั่งของเตียง แล้วนอนนิ่งอย่างอดกลั้นความรู้สึกชาที่เกิดขึ้นในร่างกาย
“ภีม...” ฟินเรียกคนที่นอนนิ่งอยู่

ภีมไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับริมฝีปาก ความเจ็บแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย บั้นท้ายที่เพิ่งใช้งานไปนั้นระบมราวกับมันจะฉีกขาดเสียให้ได้

ไม่ไหวแล้ว...เจ็บโคตรๆเลยวุ้ย...ภีมบ่นในใจ แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้

“มันเจ็บมากใช่มั้ย” ฟินไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากถามคำถามโง่ๆที่เจ้าตัวก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

“ลองมั้ยล่ะ...จะได้รู้” ภีมกลั้นใจตอบออกมา ฟินล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวบ้าง “แป๊บเดียวเองเนอะ” ฟินกลั้วหัวเราะ
ภีมพลิกตัวหันมามองหน้าคนข้างๆ “แค่นี้ก็เจ็บทั้งตัวแล้วเฟ้ย”

“ไม่คิดว่านายจะยอมฉันแบบนี้” ฟินพูดขึ้นอีก

“เลิกพูดได้มั้ย มันรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งถูกข่มขืนเลยว่ะ” ภีมบอกพลางลูบที่บั้นท้ายของตัวเองที่ช้ำและระบมเพราะแรงของฟิน

“ไม่ได้เรียกว่าข่มขืนสักหน่อย” ฟินกระซิบที่ข้างหูของฟินเบาๆ “เรียกว่าสมยอมต่างหาก”

“พอทีเถอะฟิน จะอ้วกเว้ย ถ้าพ่อแม่แล้วก็พี่ภูรู้มีหวังฆ่าฉันตายแน่ๆ” ภีมพูดโดยที่ไม่คิดอะไรเพราะรู้ว่าต่อให้พ่อแม่หรือพี่สาวรู้ก็คงไม่กล้าว่าเขาอยู่ดี ตั้งแต่เล็กจนโตพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าภีมจะเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหน

ส่วนฟินไม่คิดแบบนั้น ถ้าพ่อแม่รู้เหรอ...ฟินไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ถ้าพ่อแม่รู้...

จะเป็นอย่างไร...

‘ฟินเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อและแม่นะจ๊ะ เป็นลูกชายที่ดี เป็นพี่ที่น่ารักของฟางข้าว เป็นสุภาพบุรษ เป็นความหวังของทุกคนที่นี่ แม่รักลูกที่สุด’ คำพูดของแม่ที่ก้องขึ้นมาในหัว

‘ลูกผู้ชายมันต้องเข้มแข็งแล้วก็เป็นที่พึ่งให้กับสุภาพสตรีได้ เรื่องเรียนก็อย่าไปเครียดกับมันนัก เรียนจบก็หาผู้หญิงสวยๆสักคนแล้วก็แต่งงานไปอยู่ที่ฟาร์ม ช่วยกันดูแลฟาร์ม มีลูกสักสี่คนห้าคนก็พอ ฮ่าๆๆ’ คำพูดของพ่อก็ก้องขึ้นในหัวของเขาเช่นกัน

คำพูดที่ฟังแล้วอบอุ่นและตลกขบขันเมื่อกาลก่อนกลายเป็นคำพูดที่แสนกดดันไปแล้วสำหรับฟิน

ฟินไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย... นึกถึงหัวอกของคนเป็นพ่อและแม่

แต่จะทำอย่างไรได้...ในเมื่อตอนนี้เขารักภีมไปแล้ว

“ใส่เสื้อผ้าเถอะภีม” ฟินกระซิบบอกเบาๆ แต่ภีมหลับไปแล้วเพราะเหนื่อยเหลือเกิน ฟินจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ไม่ลืมที่จะใส่ให้ภีมด้วย

ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที...ฟินหลับตาลงนอนพลางโอบกอดภีมเอาไว้




 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >บทที่ 17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม“กิตติกุล" By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 26-09-2011 16:08:45
ชอบบบ บบบบ บ บ บบ


มาต่อเร็ว ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >บทที่ 17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม“กิตติกุล" By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 26-09-2011 18:53:35
น่ารักอ่าาาาาาาา  :-[ :-[ :-[ ติดแล้วเรื่องนี้ๆ กรี๊ดดดดดด  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >บทที่ 17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม“กิตติกุล" By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 26-09-2011 19:22:47
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคจิต เพราะพออ่านมาถึงคำว่า "ครั้งที่สอง" มือก็ลากเม้าท์เลื่อนไปหาว่า "ครั้งที่ 1" มันอยู่ตรงไหนวะทันที   :m28: :haun4:

ว่าแต่..หงัยเพิ่งมาบ่นว่าเจ็บตอนจะทำครั้งที่ 2 ล่ะจ๊ะภีม ไม่บ่นแต่แรกฟินก็เลยนึกว่าชิวชิวอะสิ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >บทที่ 17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม“กิตติกุล" By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 26-09-2011 19:34:50
น่ารักดีค่ะ ครอบคัรวสุขสรร
นิวว่ายังอธิบายงงๆอยู่นะ มันยังไม่เข้าถึงอารมณ์
หรือนิวอ่านไม่รู้เรื่องเอง 55
นิวอยากให้อธิบายฉากนั้นมากกว่านี้อ่ะ >///<
(คิดได้เนาะ อีนิวเอ๊ย ย)
สู้ๆค๊า รอตอนต่อไป :) +1 +เป็ด
 :L2: :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >บทที่ 17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม“กิตติกุล" By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 26-09-2011 20:36:20
รักต้องไม่มีอุปสรรคสู้นะ

 :call:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >บทที่ 17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม“กิตติกุล" By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 26-09-2011 21:31:30
เนื้้อเรื่องเริ่มเครียส หรือว่ามันเครียสมาแต่เริ่มเรื่องกันนะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >บทที่ 17–ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม“กิตติกุล" By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-09-2011 21:36:31
 :o8:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 18 – ฟาร์ม “กิตติกุล” /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 26-09-2011 23:54:35



บทที่ 18 – ฟาร์ม “กิตติกุล”




   แสงแดดยามเช้าลอดผ่านพุ่มไม้เข้าสู่หน้าต่างที่เปิดไว้ ตามด้วยเสียงนกร้องและเสียงฝีเท้าของม้าที่หน้าบ้าน
 
   ภีมค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วพยายามขืนตัวลุกจากเตียงเพื่อจะไปยืนริมหน้าต่าง แต่พอลุกขึ้นนั่งเท่านั้น ภีมก็ต้องนอนลงอีกครั้ง

   มันระบมจนภีมแทบอยากจะร้องออกมาให้ลั่นบ้านเพื่อระบายความเจ็บ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะฟินยังคงหลับอยู่

   ภีมจึงทำได้เพียงนอนมองนกตัวแล้วตัวเล่าที่บินผ่านหน้าต่างไป แต่ยิ่งนานเข้าดวงอาทิตย์ยิ่งส่องกระทบกับหน้าต่างจนเกิดประกายแดดจ้าเข้าตาภีมอย่างจัง

   แล้วโชคก็เข้าข้างภีม...เมื่อฟินตื่นขึ้นมาพอดี

   “ช่วยไปเอาม่านลงหน่อยสิ” ภีมหันไปบอกฟินที่กำลังขยี้ตาเพื่อขจัดความง่วง

   ฟินพยักหน้ารับยิ้มๆก่อนจะเดินไปดึงม่านลงพลางมองดูนาฬิกา

   แปดโมงตรง... ฟินจะตื่นเวลานี้ประจำแล้วก็ตื่นตรงเวลาทุกครั้ง

   “อาบน้ำแล้วลงไปกินข้าวกัน” ฟินพูดพลางฉุดร่างที่นอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มให้ออกมา

   “เจ็บนะเว้ย ไม่ไป ลุกไม่ไหว” ภีมปฏิเสธรวดเดียวจบพลางขืนตัวไว้

   “เจ็บจนลุกไม่ไหวเลยเหรอ” ฟินแกล้งถามทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจ

   “เออสิ...เจ็บทั้งตัวเลย ไอ้บ้าเอ๊ย...ทำอะไรไม่คิด” ภีมต่อว่าฟินเข้าให้ หมอนี่เห็นเขาเป็นอะไร...ทำไมไม่รู้จักถนอมกันเสียบ้าง

   ฟินหัวเราะร่าก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วกอดเอวภีมเอาไว้ “ทีหลังจะเบาๆกว่านี้ ตอนนั้นมันลืมคิดไป” เมื่อนึกถึงตอนนั้นที่ว่า ฟินก็รู้สึกอยากจับน้องสาวที่น่ารักมาตีก้นสักหลายทีให้สมกับความผิดที่เข้ามาขัดจังหวะ

   “คงไม่มีทีหลังแล้วล่ะ เพราะเจ็บเว้ย” ภีมแกล้งทำเป็นหงุดหงิด พลางผลักศีรษะของฟินเบาๆ

   “แน่ใจเหรอ” ฟินพูดพลางขึ้นคร่อมภีมเอาไว้ ภีมรีบใช้มือดันหน้าอกของฟินไว้ทันที

   “พอเถอะ เจ็บจริงๆ” ภีมพูดคล้ายกับจะขอร้องให้ฟินหยุดเรื่องเจ็บๆแบบนี้เสียที

   ฟินหัวเราะอีกครั้งก่อนจะผันตัวกลับมานอนเคียงข้างภีม “ลุกไม่ไหวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะบอกพ่อกับแม่ว่านายไม่สบาย คงพาไปดูฟาร์มไม่ได้ เลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้แทน”

   “บอกอย่างนั้นล่ะ ขอโทษพ่อกับแม่ด้วย” ภีมพูดก่อนจะแกล้งหลับตาเพื่อให้ฟินรู้ตัวว่าสมควรลงไปทำตามที่พูดได้แล้ว

   แต่ฟินก็ยังไม่ลง เขายืนกอดอกมองดูภีมอย่างนั้นเป็นเวลานาน แล้วคนที่ถูกจ้องตลอดอย่างภีมก็เป็นฝ่ายข่มตาไม่หลับเสียเอง

   “มองอะไรนักหนาเนี่ย คนนะเว้ยไม่ใช่หมู มองอย่างกับจะกิน” ภีมพูดจริงจัง
   ฟินยิ้มกับคำเปรียบเปรยนั้น หมูเหรอ...ฟินไม่ชอบหมูแต่ถ้าภีมเป็นหมูเขาก็คงต้องกิน

   “จะพาไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน” ฟินพูดอย่างขบขัน พลางเดินเข้ามาพยุงตัวของภีม

   “ไอ้นี่ก็...ไม่บอกให้รู้เรื่องตั้งแต่แรก ปล่อยให้แกล้งหลับตั้งนาน” ภีมพูดอย่างหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับฟิน

   ...ไม่เคยคิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าหน้านิ่งๆอย่างฟินจะแรงมหาศาลขนาดทำเขาเจ็บระบมไปทั้งตัวได้!...   
ฟินประคองให้ภีมนั่งลงในอ่างอาบน้ำ แล้วจัดการป้ายยาสีฟันลงบนแปรงส่งให้ภีมและให้ตัวเอง  เมื่อจัดการล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ฟินก็พาภีมมานั่งบนเตียงอย่างเดิม

   “ไปได้หรือยังล่ะ” ภีมออกปาก

   “ได้แล้วมั้ง” ฟินก้มลงจูบที่ริมฝีปากของภีมครั้งหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ภีมนั่งก่นด่าอยู่ในใจกับความร้ายกาจของเขา

   หมอนี่มันชักจะเหิมเกริมไปใหญ่แล้ว...

   ฟินบอกพ่อและแม่ตามที่พูดไว้ทุกประการ อาภาเป็นห่วงภีมและขอขึ้นไปดูอาการโดยมีฟางข้าวตามไปด้วย ฟินคิดจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะแม่และน้องสาวตัวดีรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนนทีก็จัดการหาหยูกยาพร้อมกับตักอาหารที่อาภาทำไว้ใส่จานเป็นที่เรียบร้อย

   “ส่วนเราก็มานั่งกินข้าวก่อน เดี๋ยวพ่อยกขึ้นไปข้างบนให้” นทีพูดพลางตักอาหารให้ลูกชาย

   ฟินลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “เดี๋ยวผมยกขึ้นไปเองครับ คุณพ่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”

   นทีหัวเราะออกมา “เหนื่อยอะไรกันเล่า แค่ยกข้าวขึ้นไปให้ภีม เพื่อนลูกก็เหมือนลูกคนหนึ่งเหมือนกัน”

   ฟินไม่อยากขัดความตั้งใจของพ่อจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างรวดเร็วเพื่อจะตามพ่อขึ้นไปบนห้อง

   ทางด้านของภีม...นอนหลับตาได้ครู่เดียวเสียงฝีเท้าก็ดังลั่นบ้าน ประตูห้องถูกเปิดออกหลังจากฟินออกไปไม่นาน แล้วคนที่เข้ามาก็คืออาภาและฟางข้าว

   ภีมยิ้มบางๆให้กับคนทั้งสอง

   อาภาและฟางข้าวรีบวิ่งเข้ามานั่งบนเตียงทันที “เป็นอะไรมากมั้ยลูก เห็นฟินบอกไม่สบายหนักจนลุกไม่ไหวเลย” เธอพูดพลางเอามืออังที่หน้าผากของภีมอย่างเป็นห่วง “ดูสิ...หน้าซีดเชียว”

   วินาทีนั้นความอบอุ่นวิ่งวาบไปทั่วในหัวใจ...แล้วภีมก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบผู้หญิงตัวเล็กข้างๆกับผู้หญิงร่างเล็กทว่าทะมัดทะแมงกว่าที่อยู่อีกทวีปหนึ่ง

   ถ้าผมไม่สบายแล้วแม่จะทำอย่างนี้ไหม วิ่งมาหาผมทันทีที่รู้ว่าผมป่วย แตะหน้าผากของผมแล้วถามว่าเป็นอะไร แม่จะทำอย่างที่ผู้หญิงคนนี้ทำกับผมหรือเปล่า...ภีมได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจด้วยความปวดร้าว

   สักพักหนึ่งประตูก็เปิดออกอีกครั้ง ภีมนึกว่าครั้งนี้จะเป็นฟิน ปรากฏว่าเป็นนที พ่อของฟิน ชายร่างสูงใหญ่ กำยำ ถือถาดอาหารพร้อมยาและน้ำเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะนั่งริมหน้าต่าง

   “มาวันแรกก็ไม่สบายเลย” นทีพูดพลางหัวเราะ เขามองใบหน้าของภีมครั้งเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกผู้ลากมากดีอย่างแน่นอน “เอาล่ะ ลุกขึ้นมากินข้าวปลาก่อน” นทีพูดพลางยกชามข้าวขึ้น “แล้วก็กินยาต่อ” มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ยกขวดยาขึ้นชู

   ภีมผงะไปในทันที ยาเหรอ...ไม่กิน ไม่แน่นอน

   “ผมไม่ชอบกินยาครับ” ภีมพูดพลางเบือนหน้าไปอีกทาง

   “เหมือนเจ้าฟินเลยนะเรา รายนั้นถ้าไม่จับกรอกล่ะก็ อย่าหวังว่าจะกิน” นทีพูดพลางหัวเราะ “งั้นคงต้องจับกรอกอีกคน”

   ผู้ชายคนนี้ก็ร่ำรวยเสียงหัวเราะเสียจริงๆ ทำไมฟินถึงไม่ได้ในส่วนนี้ของพ่อมาเลย...

   แล้วภีมก็หัวเราะไปกับเรื่องที่นทีพูดให้ฟัง ไม่น่าเชื่อ...ว่าคนอย่างฟินจะกินยาไม่เป็น

   ไม่นานนัก ฟินก็วิ่งขึ้นมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบจนอาภาและนทีสงสัยว่าลูกชายเป็นอะไร ทำไมต้องลุกลี้ลุกลนอย่างกับคนทำความผิดแล้วปิดบังเอาไว้

   ทุกคนในห้องมองฟินเป็นตาเดียว ภีมส่ายหัวให้กับความรีบร้อนจนเกินเหตุของฟิน เขาจะรู้เรื่องกันหมดก็เพราะนายนี่ล่ะ...ทำพิรุธจนน่าสงสัย

   “ทำไมพี่ฟินต้องรีบขนาดนั้นด้วยคะ ตั้งแต่เกิดมา...ฟางยังไม่เคยเห็นพี่ฟินวิ่งขึ้นบันไดเลย” ฟางข้าวถามพี่ชายสลับกับมองหน้าของภีม ภีมส่ายหน้าไม่รู้ ส่วนฟินก็เงอะงะ ตอบอะไรไม่ถูก

   “เป็นอะไรไปฟิน ดูลุกลี้ลุกลนตลอดเวลาเลย ตั้งแต่ตอนลงไปข้างล่างแล้ว” นทีถามลูกชายด้วยความขบขันระคนสงสัยในท่าทางที่แปลกไป เพราะปกติฟินไม่ใช่คนรีบร้อนอะไร ออกจะเฉื่อยชาเสียด้วยซ้ำ

   “เอ่อ...คือ ผมต้องรีบขึ้นมาดูแลภีมไง เพราะพี่ภูบอกว่าต้องดูแลให้ดี เพราะอ่อนแอ ป่วยบ่อย แล้วที่สำคัญผมก็เป็นคนพาภีมมา ก็ต้องรับผิดชอบให้ดี...แล้วก็...” ฟินสาธยายไปเรื่อยตามแต่ใจจะคิดออก

   ส่วนภีมก็ได้แต่หัวเราะในใจแล้วยิ้มออกมาทางหน้าตา เอาเข้าไป...ยิ่งพูดยิ่งน่าสงสัย ฉันอ่อนแอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ป่วยครั้งสุดท้ายเมื่อตอน ม.1 แล้วที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะนายเลย...ฟิน

ภีมคิดพลางฟังคำอธิบายมากมายที่ออกมาจากคนพูดน้อยอย่างฟิน

   “พอแล้วๆ ตอบยาวเลย เมื่อก่อนไม่เห็นพูดมากอย่างนี้เลยนี่ ถามสิบประโยคตอบกลับแค่สองคำ ท่าจะเพี้ยนเว้ยเฮ้ย...ลูกเรา” นทีหันไปพูดกับอาภาพลางหัวเราะกันอยู่สองคน

   ฟินใจหายใจคว่ำในความพิรุธของตัวเอง

   “อ้าว...แม่ หนุ่มๆเขาอยากดูแลกันเองตามประสาผู้ชาย ออกมานี่เลยมา” นทีพูดพลางเดินมาดึงภรรยาให้เดินออกไปด้วยกัน “ฟินมันจะดูแลใครได้ล่ะเนี่ย” นทีพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป

   พ่อและแม่ออกไปแล้ว จะเหลือก็แต่ก้างชิ้นโตแต่ตัวเล็กจิ๋วอย่างฟางข้าวนี่ล่ะ...ที่ไม่ยอมออกไปเสียที ฟินทำหน้าดุเดินมาใกล้น้องสาว “เมื่อคืนทำอะไรผิดไว้”

   ฟางข้าวทำท่าครุ่นคิด ทำผิดเหรอ...ทำไมไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าผิด ทำอะไรล่ะ...ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เมื่อคิดทบทวนในใจเรียบร้อยแล้วพบว่าตัวเองไม่ผิดอย่างแน่นอน ฟางข้าวก็ยืดอกตอบอย่างห้าวหาญ “ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิดเดียว”

   “แน่ใจ” ฟินถามเสียงดุ จนฟางข้าวชักไม่แน่ใจ

   “แน่มั้ง ฟางยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ฟางข้าวทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

   “เมื่อคืน” ฟินพูด

   ฟางข้าวคิดต่อไป เมื่อคืน...ทำไม...

   “เข้ามาในห้องตอนที่พี่กับพี่ภีม...” ฟินกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกภีมรั้งให้ลงมานั่งด้วยกันแล้วปิดปากเอาไว้ทันทีเพื่อไม่ให้พูดอะไรไปมากกว่านี้อีก

   “แล้วไงต่อคะ” ฟางข้าวถาม

   “ไม่มีอะไรแล้วฟางข้าว ตอนนี้พี่ง่วงมากเลย ขอนอนก่อนนะ แล้วเย็นๆเรามาเจอกันใหม่” ภีมรีบพูดออกมา ฟินแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่กับท่าทางลุกลี้ลุกลนนั้น ว่าแต่เข้าอิเหนาเป็นเองแท้ๆ

   “งั้นฟางไปก่อนนะคะ แล้วเย็นๆจะขึ้นมาหาพี่ภีมใหม่” ฟางข้าวยิ้มหวานก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป ฟินรีบลุกขึ้นไปล็อคประตูทันที

   “เดี๋ยวเขาก็รู้กันหมดหรอก ไอ้บ้าเอ๊ย...” ภีมแกล้งสบถ

   “ใครจะรู้ล่ะ ฟางข้าวเหรอ...” ฟินหัวเราะครั้งหนึ่งพลางเอนตัวยืนพิงประตูเอาไว้ “เมื่อกี้ฉันจะบอกว่า...เข้ามาในห้องตอนที่พี่กับพี่ภีมกำลังจะ...” ฟินหยุดพูดไปนิดหนึ่งเพื่อกวนโทสะภีม

   “ไอ้นี่...วอนซะแล้ว” ภีมทำท่าจะเขวี้ยงขวดยาไปที่ฟิน

   “ใจเย็นสิ...ฉันบอกว่ากำลังจะนอนต่างหาก” ตอบเองก็หัวเราะเอง ฟินดูจะบ้าไปแล้วจริงๆ

   “เป็นคนแบบนี้นี่เอง มาทำเป็นนิ่ง...ความจริงร้ายกาจสุดๆ” ภีมว่าพลางปาขวดยาใส่ฟิน

   แต่มีหรือคนอย่างฟินจะรับไว้ไม่ได้ มือข้างซ้ายรับขวดยาไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะตกลงพื้น “เล่นอะไรไม่รู้เรื่องเลยภีม” ฟินว่าพลางเดินไปวางขวดยาไว้ที่เดิมแล้วส่งข้าวให้ภีม

   “กินซะ แม่ฉันทำอาหารอร่อยสุดๆเลย” ฟินพูดยิ้มๆ ส่วนภีมหน้าเศร้าไปในทันที อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบแม่ของฟินกับแม่ของตัวเอง

   ฟินมองภีมอย่างงุนงง เมื่อกี้เขายังร่าเริงอยู่นี่...ทำไมตอนนี้ “ภีม” ฟินเรียกเบาๆ

   ภีมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างรวดเร็ว เมื่อกินเสร็จแล้ว...ฟินก็เทยาลงในมือสองเม็ดแล้วส่งให้ภีมพร้อมกับน้ำ “เพื่อความสมจริง”

   ภีมแค่นหัวเราะเบาๆ นี่เขาต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ... คำตอบคือ ไม่เด็ดขาด

   “ไม่กิน ทิ้งๆไปเถอะ หรือไม่ก็เก็บเข้าไปตามเดิม นายไม่บอก ฉันไม่บอก แล้วใครจะรู้” ภีมยิ้มเจ้าเล่ห์

   นั่นสิ...ฟินยิ้มให้กับความคิดนั้นก่อนจะเก็บยาเข้าไปในขวดตามเดิม “ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ”

   “ก็เพราะนายมันโง่ไง ฮ่าๆๆ” ภีมหัวเราะร่า รู้สึกร่าเริงขึ้น ในขณะที่ฟินก็หัวเราะตามไปด้วย

   แล้ววันทั้งวัน...ฟินกับภีมก็ขลุกอยู่แต่ในห้องโดยมีฟางข้าวแวะเข้ามาก่อกวนบ้างเป็นครั้งคราว

   เช้าวันต่อมา ความช้ำระบมที่เกิดขึ้นค่อยๆคลายไปบ้าง ภีมจึงสามารถลุกออกไปไหนมาไหนกับฟินได้อย่างอิสระ โดยมีฟางข้าวตามติดแจอยู่ตลอดเวลา ภารกิจแรกที่เลือกทำคือเที่ยวชมฟาร์ม

   ฟาร์ม “กิตติกุล” เป็นฟาร์มขนาดกลาง มีเนื้อที่ประมาณ 90 ไร่ ถัดจากบ้านพักไปทางด้านหลังประมาณ 100 เมตรจะพบโรงเรือนและโรงรีดนมวัวซึ่งกั้นแยกกันอย่างชัดเจน โรงเรือนจะอยู่ทางขวามือของทางเดิน และมีพื้นที่มากกว่าโรงรีดนมสองเท่า

   ทางด้านหน้าของโรงเรือนแยกพื้นที่เป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกสำหรับเก็บอาหารข้นและหยาบของโคนม ฝั่งถัดมาเป็นบ่อน้ำสะอาดสำหรับใช้ในฟาร์ม

   ประตูทางเข้าโรงเรือนและโรงรีดนมนั้นมีอ่างน้ำยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับจุ่มเท้าก่อนเดินเข้าไป

   “จะไปดูโรงไหนก่อน” ฟินถามขึ้น

   “โรงนี้ก่อนแล้วกัน” ภีมชี้ไปที่โรงเรือนที่อยู่ทางขวามือ

   คนงานส่วนใหญ่ของที่นี่อยู่ในวัยกลางคนและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเลี้ยงวัวและรีดนมวัวเป็นอย่างดี ในทุกๆปี นทีจะจัดส่งคนไปอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือและสร้างความรู้ใหม่ๆให้กับคนงานเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเองที่ต้องคอยหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีการเกษตรสมัยนี้ล้ำหน้าไปมากและเขาก็ต้องตามให้ทัน

   ฟินเดินนำเข้าไปในโรงเรือนตามด้วยภีมและฟางข้าว สองพี่น้องเจ้าของฟาร์มเคยชินกับการเดินเข้าที่นี่มาตั้งแต่เด็กจึงเดินเข้าอย่างสบายและไม่เกร็ง ส่วนภีมนั้นค่อยๆก้าวเข้าไปเพราะกลัวลื่น

   “ไม่ลื่นหรอก มันเป็นพื้นคอนกรีตขัดมัน” ฟินหัวเราะพลางหยุดฝีเท้าเพื่อรอภีม

   “ใหญ่มาก แล้วก็ดูสะอาดด้วย” ภีมกล่าวชม พลางหันไปยิ้มให้กับคนงานที่กำลังเทอาหารลงในรางหน้าคอกเลี้ยงโค “คุณพ่อกับคุณแม่ใส่ใจทุกรายละเอียดค่ะ” ฟางข้าวพูดอย่างอารมณ์ดี

   “พื้นที่ในนี้จะแบ่งเป็นสัดส่วนแล้วก็กั้นพื้นที่ไว้สำหรับโคแต่ละรุ่น” ฟินพูดก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าคอกวัวแรกที่อยู่ขวามือ “คอกนี้สำหรับโคสาว คอกถัดไปสำหรับโครุ่น แล้วก็คอดสุดท้ายโน่นสำหรับลูกโคแรกเกิด”

   ภีมมองดูด้วยความประหลาดใจ มันเจ๋งที่สุดเลย...

   ฟินอธิบายต่อ “ส่วนคอกทางซ้ายมือ คอกแรกสำหรับโครีดนม ต่อมาก็โคแห้งนม คอกสุดท้ายสำหรับโคที่กำลังท้องอยู่แล้วก็จะคลอด”

   โรงเรือนเลี้ยงของฟาร์ม “กิตติกุล” แบ่งสัดส่วนและพื้นที่อย่างชัดเจน พื้นที่มีความลาดเอียงและระบายน้ำได้ดี ทำให้น้ำไหลลงบ่อพักน้ำเสียได้อย่างสะดวก สรุปแล้วโรงเรือนของที่นี่มีความเป็นระเบียบดีเยี่ยม

   ฟิน ภีมและฟางข้าวเดินจนทั่วโรงเรือนแล้วก็เปลี่ยนมาเข้าโรงรีดนมวัวบ้าง ฟินเดินนำเข้าไปภายในก่อนโดยเอาเท้าจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อที่อยู่ด้านหน้า สองคนที่เดินตามหลังทำตาม

   ในโรงรีดนมที่คนงานกำลังรีดนมวัวกันอย่างขันแข็ง ทันทีที่ฟินเดินเข้ามาเสียงทักทายก็ดังขึ้นเป็นระลอกๆ

   ฟินชี้ให้ภีมเห็นกรรมวิธีต่างๆกว่าจะมาเป็นนมวัวให้คนได้ดื่มกัน...

   ทางขวามือนั้นเป็นที่สำหรับรีดนมโคซึ่งกั้นแบ่งเป็นคอกไว้สำหรับโคหนึ่งตัวต่อหนึ่งคอก ทางด้านซ้ายมือมีห้องอยู่สองห้อง ห้องแรกใช้เก็บเวชภัณฑ์ต่างๆ และห้องสุดท้ายสำหรับเก็บอุปกรณ์รีดนมและพื้นที่เหลือต่อจากห้องนั้นเป็นที่สำหรับทำความสะอาดอุปกรณ์รีดนมก่อนจะนำเก็บเข้าห้องตามเดิม

   ภีมเดินดูโรงรีดอยู่นานด้วยความสนใจ...

   คนงานของที่นี่ส่วนหนึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับการรีดนม บางคนก็ยกถังนมที่รีดแล้วขึ้นรถเพื่อส่งต่อไปยังโรงผลิต ทุกคนดูวุ่นวายและตั้งใจกับงานที่ทำเป็นอย่างมาก แต่แม้จะยุ่งวุ่นวายสักเพียงใดคนเหล่านั้นก็ไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้ภีม

   ภีมยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

   “พี่ภีมอยากลองดูมั้ยคะ” ฟางข้าวถามขึ้น “ฟางกับพี่ฟินเคยทำทุกอย่างเลยค่ะ พ่อกับแม่สอนให้ทำเป็น ฟางนะ เข้าโรงเรือนตั้งแต่สามขวบ” ฟางข้าวคุยเรื่องตัวเองเป็นการใหญ่

   “แล้วนายล่ะ” ถีมหันไปถามฟินหลังจากที่ฟางข้าวพูดจบ

   “ฉันเข้าตั้งแต่สามขวบเหมือนกัน เข้ามาเดินเล่น พอหกขวบพ่อก็ให้รีดนม ให้อาหารโค บางทีก็ให้ล้างโรงเรือนทั้งหลัง แล้ววันดีคืนดีก็ให้ฉันเอาอึโคไปตากแห้ง” ฟินพูดพลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่พ่อฝึกให้เขาทำทุกอย่างเกี่ยวกับฟาร์มนี้

   “ลูกชายคนเดียวของก้องกิตติกุลมันก็ต้องทำทุกอย่างให้เป็นสิ เอ้า...เอาไป” นทีพูดพลางส่งถุงมือยางคู่หนึ่งให้ลูกชายพร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาด “ทำความสะอาดโรงเลี้ยงให้เรียบร้อยล่ะ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด” นทีพูดแค่นั้นแล้วก็ทิ้งให้เด็กชายคนหนึ่งทำความสะอาดโรงเรือนเลี้ยงเพียงลำพัง

   กว่าจะทำเสร็จก็กินเวลาไปกว่า หกชั่วโมง

   “คิดอะไรอยู่ฟิน” ภีมสะกิดเบาๆที่ต้นแขนของฟิน

   “คิดไปเรื่อยๆน่ะ ไม่ได้เข้ามาที่นี่นานเหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่เปลี่ยนเลย” ฟินพูดพลางเดินนำออกไป “ดูแค่นี้ก็พอ โรงอื่นๆไม่มีอะไรแล้ว ร้อนด้วย”

   “มีสิ ยังมีอีก” ฟางข้าวแย้งขึ้น ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ “โรงม้าไงพี่ฟิน ลืมได้ยังไง ป่านนี้เจ้าฟ้าครามมันงอนแล้วเนี่ย”
   ‘ฟ้าคราม’ ฟินลืมม้าคู่ใจตัวนี้สนิทเลย

   “ใช่ พี่เกือบลืมฟ้าครามไปแล้ว น่ารักมาก...ฟางข้าว” ฟินพูดพลางอุ้มน้องสาวแล้วเดินไปขึ้นรถสองแถวรับส่งในฟาร์ม ภีมตามไปอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกอิจฉาชีวิตของฟินเป็นที่สุด

   “ไปโรงม้าครับ...ลุงสม” ฟินบอกพลขับ ลุงสมยิ้มตาหยีแล้วขับรถไปที่โรงม้าหลังฟาร์มทันที

   “ฟางข้าวดูแลฟ้าครามดีหรือเปล่า” ฟินถามน้องสาวพลางก้มลงจูบที่หน้าผากกลมมนนั้น

   “อยู่แล้ว ช่วงนี้ฟ้าครามมันเศร้าๆ คงรู้ตัวล่ะมั้ง...ว่าเจ้านายลืมมันแล้ว” ฟางข้าวแกล้งพูด ฟินมองน้องสาวอย่างขบขัน ไม่เจอกันแค่สี่เดือน ฟางข้าวพูดเก่งขึ้นเป็นกอง

   ภีมมองดูสองพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ฟางข้าวคล้ายฟินในร่างผู้หญิงไม่มีผิด

   “ยิ้มอะไรคะพี่ภีม” ฟางข้าวพูด ฟินละสายตาจากใบหน้าน้องสาวไปมองภีมแทน มองด้วยสายตาโลมเลียสุดชีวิต ภีมแทบอยากจะชกหน้าฟินสักทีเพื่อหยุดสายตาแบบนี้

   “ยิ้มไปเรื่อย มีความสุขก็ยิ้ม” ภีมตอบพลางใช้มือจิกเข้าที่หัวไหล่ของฟินอย่างแรง “ใช่มั้ยฟิน”

   “ใช่มั้ง” ฟินยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น แม้จะรู้สึกเจ็บที่หัวไหล่แต่เขารับรองกับตัวเองว่า ความเจ็บครั้งนี้ภีมต้องได้รับผลตอบแทนแน่

   ฟ้าครามร้องเสียงดังเมื่อได้ยินฝีเท้าของนายเดินใกล้เข้ามา มันยกขาหน้าขึ้นสูงอย่างดีใจ ฟินรีบเปิดประตูคอกม้าทันทีเพื่อปลดปล่อยมัน

   “ไง ฟ้าคราม โกรธฉันหรือเปล่า” ฟินพูดพลางซบหน้าลงกับแผงคอนุ่ม ฟ้าครามร้องเสียงดังแทนคำตอบ

   “ฉันก็คิดถึงนายเหมือนกัน” แล้วฟินก็เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม

   ภีมจับจ้องอยู่ที่ภาพนั้นแน่วนิ่งราวต้องมนตร์ ฟินควบม้าให้วิ่งรอบตัวภีมและฟางข้าว พลางยิ้มอย่างสง่างาม ภีมไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้านั้นได้เลย

   รู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงขึ้นมาอยู่บนม้าด้วยกันกับฟินเสียแล้ว “เฮ้ย...ทำอะไรเนี่ย เดี๋ยวมีคนมาเห็น”

   “แล้วยังไง ไม่มีใครมาที่นี่หรอก” ฟินพูดอย่างไม่ใยดี พลางใช้มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวของภีมไว้ “นิ่งไว้...ถ้าไม่อยากตก”

   “พี่ฟินเอาฟางข้าวขึ้นไปด้วย” ฟางข้าวร้องเสียงดังพลางชูมือขึ้นเป็นสัญญาณ

   “ไม่ได้หรอก พี่ภีมนั่งอยู่ ไม่เห็นเหรอ” ฟินพูดพลางหัวเราะ ภีมหันไปว่าฟินในทันที “ไอ้บ้า...ปล่อยฉันลงเหอะว่ะ แล้วเอาฟางข้าวขึ้นมาแทน”

   “ไม่ให้ลง ไม่อยากอยู่กับฉันหรือไง” ฟินก้มลงกระซิบเบาๆ ภีมขนลุกซู่กับคำพูดนั้น ที่สำคัญ ภีมกลัวว่าคนอื่นจะมาเห็นภาพนี้เข้า...ใครกันจะไม่สงสัย

   “จะลงโว้ย” ภีมโวยวายยกใหญ่ ฟินกอดเอวคนตรงหน้าให้แน่นขึ้นพลางก้มลงจูบที่ลำคอขาวเนียนของภีม “อยู่นิ่งๆสิ”

   “ไอ้นี่...เดี๋ยวคนเห็น”

   “มีแต่ฟางข้าว ไม่เห็นมีใครเลย” ฟินแก้ให้ก่อนจะหยุดม้าแล้วมองซ้ายมองขวา เห็นเพียงฟางข้าวที่อยู่หน้าคอกม้านั่งเด็ดหญ้าเล่นรอพี่ชาย

   “พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว อยากอยู่ที่นี่นานๆจัง” ฟินแกล้งทำเป็นเศร้า จังหวะนั้นมือข้างที่จับบังเหียนม้าอยู่ก็เลื่อนมาอยู่ที่รอบเอวภีมแทน “คิดเหมือนกันไหม”

   “ไม่คิดอะไรทั้งนั้นล่ะ ปล่อยฉันลงเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็น” ภีมพูดอย่างกระวนกระวาย

   “ไม่มีใครเห็นหรอก” ฟินพูดอย่างขบขัน

   “ฉันจะลง” ภีมบอกเสียงแข็ง

   “ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ” ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์

   “ไอ้คนโลภมาก” ภีมผินหน้าหันไปว่าฟิน แต่ฟินกลับใช้จังหวะนั้นรั้งใบหน้าของภีมไว้แล้วประทับจูบลงไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความเงียบสงบหลังคอกม้าและท้องฟ้าที่กำลังอ่อนแสงลง ยังมีคนๆหนึ่งยืนมองเด็กหนุ่มทั้งคู่อยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ริมคอกม้าตะลึงงันไปทันทีที่เห็นภาพนั้น... ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าผู้ชายบนหลังม้าคนนั้น ไม่ใช่ฟิน...

   ลูกชายของเขา



 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 18 – ฟาร์ม “กิตติกุล” /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-09-2011 00:13:21
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 18 – ฟาร์ม “กิตติกุล” /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 27-09-2011 00:19:05
อ๊าย ย~~~~ เอาหล่ะสิๆๆๆ
จะเป็นยังไงหล่ะทีนี้ งานเข้าหล่ะ
รอตอนต่อไปว่า พ่อแม่จะยอมหรือจะร้าย :)
 :L2: :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 27-09-2011 00:29:05



บทที่ 19 – ทางเลือก



   ฟินเดินเข้ามาในบ้านพร้อมภีมและฟางข้าว อาภาและนทีนั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น อีกคนหนึ่งมีสีหน้ายิ้มแย้มในขณะที่อีกคนมีสีหน้าคร่ำเคร่ง

   คนที่มีสีหน้าคร่ำเคร่งนั้นคือ นที

   ทุกก้าวย่างที่ฟินเดินเข้ามามีสายตาของผู้เป็นพ่อตามติดอยู่เสมอ ฟินรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเพราะปกตินทีเป็นคนร่าเริงและไม่เคยเครียดกับอะไรง่ายๆ แม้ว่าสถานการณ์นั้นจะร้ายแรงเพียงใด

   แต่เวลานี้...มันมีอะไรบางอย่างแปลกไป เพียงแต่ฟินไม่รู้ว่าสิ่งที่แปลกไปนั้น...คืออะไร

   อาภายังคงยิ้มแย้มและดูมีความสุขเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เธอยิ้มให้ลูกชายครั้งหนึ่งก่อนจะหันมาภามภีมอย่างเอ็นดู “เป็นยังไงบ้างภีม เหนื่อยหรือเปล่า”

   ภีมกำลังจะเอ่ยปากตอบ นทีก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน “ขึ้นไปคุยกับพ่อบนห้อง...ฟิน”

   ทุกคนในห้องเงียบไปตามๆกัน นทีลุกขึ้นก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนห้อง ฟินมองหน้าผู้เป็นแม่ก่อนจะลุกขึ้นตามไป

   แกร๊ก...ประตูห้องนอนของฟินเปิดออก

   “พ่อมีอะไรหรือครับ” ฟินพูดเรียบๆ

   นทีมองหน้าลูกชายด้วยแววตาผิดหวังระคนเสียใจ “อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้เรื่องที่ฟินกำลังทำอยู่ตอนนี้” นทีเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตอนเย็นพ่อไปที่คอกม้ามา”

   ฟินใจเต้นแรงกับประโยคที่กำลังจะตามมา แค่คำว่าคอกม้าก็พอทำให้หัวใจของฟินเต้นผิดจังหวะได้แล้ว

   “รู้ไหม...พ่อเห็นอะไร” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ น้ำใสๆไหลรื้นรอบดวงตาของนที ฟินชาไปทั้งตัวกับภาพที่เห็น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นพ่อคนนี้ร้องไห้สักครั้งเดียว

   “พ่อ...” ฟินพูดพลางเดินเข้าไปหา แต่นทีกลับถอยห่างออกไป

   “อย่าฟิน...อยู่ตรงนั้นล่ะ อยู่ตรงนั้นแล้วบอกพ่อว่าผู้ชายที่อยู่บนหลังม้าไม่ใช่เรา” น้ำเสียงของนทีอ่อนแอเหลือเกิน “บอกพ่อ...ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ฟิน”

   ฟินหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ ไม่คิดว่าวันนั้นที่เขาเพิ่งนึกถึงจะมาเร็วถึงเพียงนี้

   “คนบนหลังม้า คือผมเองครับพ่อ” ฟินพูดอย่างแน่วนิ่ง

   “ฟินเป็นอะไรไปแล้ว พ่อไม่น่าส่งลูกไปเรียนกรุงเทพฯเลย”

   “ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้นล่ะครับพ่อ มันเป็นที่ตัวผมเอง ผิดที่ผมคนเดียว ทุกอย่างมันเกิดเพราะผม ผมทั้งนั้น” ฟินพูดเรียบๆ สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือ ยอมรับทุกอย่างกับพ่อ

   “ฟินเป็นผู้ชายนะลูก ผู้ชายที่ต้องคู่กับผู้หญิง” เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากลำคอของนที

   “จำเป็นด้วยเหรอครับที่ต้องเป็นอย่างนั้น” ฟินพูดเรียบๆ ประโยคนั้นของเขาทำเอานทีควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าลูกชายไปทีหนึ่ง

   ฟินไม่พูดอะไรอีก นอกจากยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไป

   “ไม่อายคนอื่นหรือยังไงที่เป็นแบบนี้ ไม่คิดถึงหัวอกพ่อกับแม่บ้างเหรอ แล้วถ้าแม่แกรู้จะเป็นอย่างไร เลิกยุ่งกันไปซะ” นทีพูดเป็นครั้งสุดท้าย

   ฟินไม่หันกลับมามองและไม่พูดอะไรอีก เขาเดินออกจากห้องช้าๆ หัวใจของฟินแทบหลุดลอยไปแล้ว

   มื้อค่ำสุดท้ายก่อนที่ภีมและฟินจะกลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เมื่อหัวหน้าครอบครัวอย่างนทีปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโต๊ะครั้งนี้ ไม่ว่าอาภาจะเกลี้ยกล่อมถามความอย่างไร เขาก็ไม่ตอบท่าเดียว เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง

   ส่วนฟินที่เคยร่าเริงก็เงียบไป บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงเงียบเชียบ ต่างคนต่างกิน เสร็จแล้วก็แยกย้ายขึ้นไปนอน ฟางข้าวไม่ก่อกวนอะไรเหมือนเคย เธอเพียงกอดฟินและภีมคนละครั้งก่อนจะเข้าห้องนอนของตัวเอง

   อาภาเข้าไปช่วยภีมและฟินจัดกระเป๋า เมื่อจัดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับห้องนอนของตนเองไป

   ภีมไม่สบายใจอย่างมากที่เห็นความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของนทีและฟิน สองพ่อลูกคู่นี้มีเรื่องอะไรต้องปิดบังทุกคน ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย แต่ภีมไม่อยากถามออกไปตอนนี้เพราะสีหน้าของฟินไม่สู้ดีนัก

   “ภีม” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงนั้น ฟินนั่งนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่างแล้วมองมาที่เขา ภีมเดินเข้าไปหาพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆโดยที่ไม่พูดอะไร

   “ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ” ฟินพูดแล้วซุกหน้าลงกับหัวไหล่ของภีม แม้ภีมจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ฟินพูดคือเรื่องอะไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างแน่นอน

   “จะเป็นแบบไหนก็ช่างมันเถอะ แค่เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรก็พอแล้ว” มือเรียวสวยลูบไปตามศีรษะของฟินเบาๆ “นายไม่ใช่คนคิดมากนี่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”

   “ชีวิตคนเรานี่มันไม่ง่ายเลยเนอะ” ฟินพูด

   “แต่มันก็ไม่ยากนี่ เพราะยังไงมันก็ชีวิตเรา เราเป็นคนเลือก” ภีมไม่คิดว่าตัวเองจะพูดอะไรดีดีกับเขาเป็นเหมือนกัน

   “เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้รักนาย” ฟินยิ้มออกมา “ขอกอดหน่อยนะ” แล้วฟินก็โถมกอดภีมเต็มแรง “เจ็บนะเว้ย...เบาๆหน่อย”

   สองชีวิตที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่...กับสิ่งที่ต้องเลือก

   หนึ่งชีวิตที่ไม่เคยขัดคำสั่งใคร จะขอขัดคำสั่งสักครั้งเพื่อเลือกทางของตัวเอง มันคงไม่ผิดมากกระมัง

หนึ่งชีวิตที่กำลังจะเดินไปตามเส้นทางของตัวเองกับอีกหนึ่งชีวิตที่มีแต่การแหกกฎ ต่อให้เดินเส้นทางอะไรก็คงไม่มีใครสนใจ

   สองชีวิตที่กำลังจะเดินไปพร้อมกัน...บนเส้นทางที่ตัวเองเป็นคนเลือก



   สัปดาห์ใหม่เริ่มต้นขึ้น...นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทุกคนต้องเตรียมตัวสอบวัดความรู้ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า

   วันนี้ฟินต้องเข้าประชุมร่วมกับคณะกรรมการนักเรียนและรุ่นพี่ เพื่อหารือเรื่องงานประจำปีของโรงเรียนที่จะจัดขึ้นหลังเสร็จสิ้นการสอบวัดความรู้

   การประชุมเริ่มต้นขึ้นและจบลงด้วยดี มติจากที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่องที่ฟินเสนอออกมา ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน ฟินนั่งรวบรวมเอกสารต่างๆไว้เป็นหมวดหมู่แล้วเก็บใส่แฟ้ม ครู่หนึ่งภีมก็เดินเข้ามาพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่ง

   “ฝีมือนายใช่มั้ย” ภีมใสกระดาษที่ถือมาไปให้ฟิน แม้น้ำเสียงจะเฉียบขาดแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประดับอยู่

   ฟินกวาดสายตาไปในกระดาษแผ่นนั้น


‘ชมรมดนตรี หัวหน้าชมรมรุ่นที่ 2 นายติณณ์  วิชญเศษ
สมาชิก นายนิวัตต์  กาญจนศิริ.........
...........................................ฯลฯ’


“นึกว่าอะไร ก็แค่ชมรมดนตรีมีรุ่นน้องสืบทอดแล้ว” ฟินพูดยิ้มๆพลางส่งกระดาษคืนให้ภีม

“ไปหาคนมาจากไหน แล้วเขายอมมาเข้าชมรมได้ยังไง” ภีมถามด้วยความสงสัย

“ก็มาจากวันที่นายขึ้นเล่นเปียโนในงานเลี้ยงรุ่นนั่นล่ะ น้องๆเขาอยากมีรุ่นพี่แบบนายไงก็เลยเลือกเข้าชมรมนี้” ฟินเฉลยออกมาก่อนจะเล่าเรื่องต่อ “นายติณณ์คนนี้น่ะ เป็นถึงแชมป์ไวโอลินระดับประเทศปีล่าสุดเชียวนะ เก่งไม่แพ้นายเลย อาจจะแพ้ตรงที่เล่นเปียโนสู้ไม่ได้ก็เท่านั้น”

“เก่งขนาดนั้นเชียว” ภีมแสร้งทำเป็นตกใจ

“แน่นอน นอกจากจะเล่นดนตรีเก่งแล้ว ยังเป็นนักกีฬาฟันดาบอีกต่างหาก คราวนี้ชมรมดนตรีดังเป็นพลุแตกแน่ มีหัวหน้าชมรมเทพๆแบบนี้” ฟินพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก มืดแล้วนะ” ฟินถามภีมพลางลงมือเก็บกวาดขยะที่อยู่ในห้อง

“รอนายอยู่นั่นล่ะ” ภีมตอบพลางก้มลงช่วยเก็บขยะบ้าง “ช้าโคตรๆเลย”

“หัดรอคนอื่นเขาเป็นบ้างแล้วล่ะสิ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่คนอย่างนายรอฉัน” ฟินแกล้งพูดยั่วโมโห แต่ภีมกลับยิ้มตอบออกมา “อย่ามาพูดดี มีเรื่องให้ช่วยต่างหากเล่า ไอ้บ้า”

“อะไรล่ะ บอกมาสิ” ฟินพูดโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง   

ภีมทำหน้าดีใจสุดขีด “ทำรายงานให้หน่อย”

ฟินวางถุงขยะลงก่อนจะยืนกอดอกมองภีมอย่างพิจารณา คนถูกมองทำหน้าบูดคล้ายกำลังมีโทสะ “มองทำไม”

“ทำไมไม่ทำเอง” ฟินพูดพลางมัดถุงขยะ “แค่รายงานจบการศึกษา”

ภีมทำหน้าตกใจ “รู้ได้ยังไง”

“ฉันก็ต้องทำเหมือนกันน่ะสิ” ว่าแล้วฟินก็หัวเราะออกมา ภีมหน้าเหยเกไปแล้ว “ทำไมต้องทำด้วยเนี่ย ไม่ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหว่า”

“ก็ไม่จบไง สั้นๆง่ายๆ” ฟินเดินไปปิดหน้าต่างๆ ก่อนจะหยิบถุงขยะไปทิ้งแล้วกลับมารับภีม “กลับกันได้แล้ว” ฟินคว้าข้อมือภีมมากุมไว้แล้วเดินออกจากห้องไปด้วยกัน

“เดี๋ยวไปส่งที่บ้าน” ฟินสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์สีดำก่อนจะสวมหมวกกันน็อค “ขึ้นมาสิ”

ภีมยิ้มแหยๆแก้เก้อ เกิดมาไม่เคยนั่งรถมอเตอร์ไซค์...แต่เอาวะ...ขึ้นก็ขึ้น ภีมรีบกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว ฟินดูก็รู้ว่าเขาไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์มาก่อน

เมื่อส่งภีมที่บ้านเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมาที่คอนโดของตน เหลือเวลาอีกสองสัปดาห์เท่านั้นก็จะสอบ สอบครั้งนี้ฟินต้องทำคะแนนให้ดีที่สุดเพื่อยื่นเข้าคณะสัตวแพทยศาสตร์

ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังรออยู่แล้ว

“ฟินพูดครับ”

“แม่เองนะลูก ฟินทำอะไรให้พ่อโมโหหรือเปล่า ช่วงนี้พ่อเขาอารมณ์แปรปรวนไปหมด” อาภาบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ฟินไม่อยากเล่าความจริงให้ผู้เป็นแม่รู้ เพราะไม่อย่างนั้นเรื่องมันจะยิ่งไปกันใหญ่ ฟินจึงตัดสินใจที่จะโกหกออกไปคำโต เป็นคำโกหกแรกในชีวิตที่ฟินเคยพูด

“บอกคุณพ่อว่า...” ฟินสูดลมหายใจเข้าก่อนจะพูดต่อ “ผมทำตามความต้องการของพ่อแล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

“มันเรื่องอะไรกันน่ะฟิน เล่าให้แม่ฟังหน่อยซิลูก”

อย่าเลยครับแม่...แม่คงไม่อยากมองลูกคนนี้เปลี่ยนไปเหมือนอย่างที่พ่อกำลังมองผมหรอก ผมอยากเป็นฟินคนเดิมในสายตาของแม่...

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่เรื่องสอบเข้ามหา’ลัยน่ะ” ฟินโกหกอีกแล้ว

“เรื่องแค่นี้เอง พ่อนี้นะ เครียดอะไรเกินเหตุจริงๆ ไปนอนเถอะลูก ดึกแล้ว”

หลังจากวางสายโทรศัพท์ ฟินก็ไม่มีอารมณ์จะทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้แต่แรก มันถูกหรือเปล่า...กับสิ่งที่เลือกไป

ฟินซบหน้าลงกับท่อนแขนแล้วปล่อยให้น้ำตาเป็นตัวสลายความรู้สึกกดดันที่เอ่อล้นอยู่ในตอนนี้ “ผมต้องทำยังไงครับแม่ ผมไม่รู้เลยจริงๆ”



   ไม่เฉพาะแต่ฟินเท่านั้นที่ต้องเจอปัญหา ภีมก็มีปัญหาเช่นกันและเป็นปัญหาที่ใหญ่เสียด้วย

   ภูรดาเดินเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ไม่พูดไม่จาอะไรกับใคร “เรียกภีมมาพบฉัน” เธอสั่งแม่บ้านคนหนึ่ง ไม่นานนักภีมก็ลงมาจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

   “มาแต่เช้าเลยพี่ภู ผมต้องไปเรียนหนังสือนะ” ภีมแกล้งพูดเล่น พลางสวมกอดพี่สาว ภูรดามีสีหน้าลำบากใจ เธอลูบหลังน้องชายเบาๆก่อนจะดันตัวเขาออก “พี่ก็ไม่รู้ว่าแม่เขาคิดอะไรอยู่เหมือนกัน ถึงทำกับเราแบบนี้”

   เพียงคำพูดโปรยเข้าเรื่องของพี่สาว ภีมก็รู้ทันทีว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะแม่ของเขาทำอะไรที่เหนือความคาดหมายอยู่เสมอ “แม่ทำอะไรอีกครับ”

   ภูรดาแหงนหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอรักน้องชายคนนี้เกินกว่าจะยอมให้ผู้เป็นแม่ทำกับเขาเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ

   “เป็นอะไรไปพี่ภู” ภีมฝืนยิ้ม เขย่าตัวพี่สาวเบาๆ “พูดมาเถอะ ชีวิตผมเจอมาเยอะแล้ว”

   “ภีม” ภูรดาสวมกอดน้องชายอีกครั้ง “เดือนหน้าแม่จะกลับมา”

   “กลับมาแล้วยังไง กลับมาก็อยู่ไม่ติดบ้าน เห็นหน้าลูกไม่เกินสองนาทีก็ต้องไปทำธุระต่อ จะสร้างบ้านให้ใหญ่โตทำไมก็ไม่รู้” ภีมพูดอย่างไม่ใส่ใจ เพราะความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ แล้วที่ภีมพูดมาก็จริงทุกประการเสียด้วย

   “มันไม่เหมือนครั้งอื่น แม่จะเอาภีมไปด้วย”

   ภีมยังคงยิ้มอยู่ “ปล่อยผมให้เดินเองมาห้าปีแล้ว เพิ่งคิดได้ว่าสมควรจะจับให้หัดเดินหรือไง”

   “ไม่ตลกเลย พอพี่บอกว่าภีมสอบติดดุริยางค์เท่านั้น แม่ก็โมโหใหญ่เลย บอกไม่ยอมให้เรียนท่าเดียว” ภูรดาทำหน้าอึดอัด
   “เพิ่งจะไม่ยอมเอาตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ แม่น่ะ...หมดสิทธิ์ในชีวิตผมไปนานแล้ว”

   ดวงตาเฉียบคมของภีมแน่วนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้านี่คือทางที่ต้องเลือก เขาก็เลือกที่จะแหกกฏอีกครั้ง ...เลือกที่จะเดินไปตามทางของตัวเอง



   ผ่านไปสองสัปดาห์ เข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของการสอบวัดความรู้ ฟินและภีมไม่ค่อยมีเวลาเจอกันเท่าไรนัก จะเจอกันก็วันเสาร์และอาทิตย์ แต่ก็อีกนั่นล่ะ...

   เพราะฟินตั้งหน้าตั้งตาติวข้อสอบอย่างเดียว ไม่ออกนอกลู่นอกทางให้เสียเวลาสักวินาทีเดียว พอสอนเสร็จก็รีบกลับทันทีเพราะต้องไปอ่านหนังสือสอบ ภีมเคยบอกว่าให้ฟินขนหนังสือมาอ่านที่นี่ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางกลับ แต่ฟินก็ปฏิเสธลูกเดียว โดยให้เหตุผลว่า... “ถ้าทำอย่างนั้นมีหวังฉันไม่ได้อ่านหนังสือหรอก คงมานั่งเล่นจ้ำจี้กับนายทั้งวันทั้งคืนล่ะ อยู่ใกล้กันแล้วมันร้อนทุกที คงอยู่นิ่งๆแล้วทำใจให้อ่านไม่ได้ กลับไปอ่านที่ห้องน่ะ...ดีแล้ว” เมื่อฟินพูดอย่างนั้น ภีมก็เลยไม่ห้าม ปล่อยให้ฟินได้ทำตามใจตัวเอง

   ฟินตั้งใจกับการสอบครั้งนี้มาก คะแนนทุกวิชาของต้องออกมาดีถึงดีที่สุด...ฟินบอกกับตัวเองว่าอย่างนั้น

   ส่วนภีม ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตั้งใจเลย...พอสอบตรงติดดุริยางคศาสตร์ สิ่งอื่นใดที่ต้องใช้สมองก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป จะได้คะแนนเท่าไรก็ช่างมัน

   สองความแตกต่างบนเส้นทางเดียวกัน...

   แล้วสัปดาห์ที่อัดแน่นไปด้วยความตั้งใจก็พ้นไป สัปดาห์ใหม่ที่แสนมาราธอนก็เริ่มต้นขึ้น

   ฟินดูเครียดเกินกว่าปกติเพราะการสอบครั้งนี้ต้องออกมาดีถึงดีมากเท่านั้น

   “นั่นๆ หน้าจะแก่แล้วนั่น ขมวดคิ้วทั้งวันทั้งคืน ไม่เมื่อยรึไง” ภีมแกล้งแซวพลางนั่งลงข้างๆ ผู้คนที่เดินไปมารอบๆตัว ถ้าไม่ถือหนังสือก็นั่งไหว้พระคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองมีที่ยึดเหนี่ยวใจ จะมีก็แต่ภีมนี่ล่ะ...ที่ดูสบายใจอยู่คนเดียว

   “ไม่เห็นรู้ตัวเลย” ฟินว่าแล้ววางหนังสือลงกับตัก “กี่โมงแล้ว”

   ภีมยกนาฬิกาขึ้นดู “แปดโมงครึ่ง”

   ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์ เหลืออีกครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าสอบ...น่าเสียดายที่ภีมไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นของฟิน “ไปกับฉันหน่อย”

   ฟินลากภีมให้เดินตามไปยังหลังห้องน้ำชาย บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเท่าหน้าตึกสอบ

   “จะทำอะไร” ภีมถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ

   ฟินยิ้มแทนคำตอบพร้อมทาบมือลงบนผนังห้องน้ำกั้นตัวภีมเอาไว้ “ส้รางกำลังใจก่อนเข้าสอบดีไหม”

   “ฉันไม่มีก็เข้าสอบได้ว่ะ” ภีมบอกพลางแลซ้ายแลขวา กลัวคนมาเห็นเข้าจับใจ

   ส่วนฟินก็ยังคงทำอะไรไม่สนใจใครอีกเช่นเดิม “ไม่ได้ทำอะไรกันเลยตั้งสามอาทิตย์ ฉันไม่มีกำลังใจเลย”

   “ไอ้บ้า นี่มันโรงเรียนนะเว้ย” ภีมยังคงวอกแว่ก ซ้ำร้ายใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะอีก ทั้งกลัวคนจะมาเห็นและหวั่นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

   “ใครจะเดินมาตรงนี้กันล่ะ” ฟินมองไปรอบๆอย่างขบขัน “เพราะมันแทบจะกลายเป็นป่าอยู่แล้ว”

   แต่ถึงจะเหมือนป่า แต่ก็เป็นป่าหลังห้องน้ำ...

   ไม่ว่าจะสรรหาเหตุผลใด ฟินก็ไม่สนใจแล้ว ร่างสูงกว่าโน้มตัวลงมาหาร่างเล็กที่อยู่ในวงแขน ก่อนจะใช้ริมฝีปากบดขยี้ที่กลีบปากสีสวยนั้นพลางดันลิ้นเข้าไปในปาก

   ภีมตอบรับลิ้นของฟินด้วยความร้อนแรงไม่แพ้กัน ฟินค่อยๆเลื่อนมือลงมาที่เป้ากางเกงของภีมส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ประคองศีรษะของภีมไว้

   ภีมอยากจะขัดขืนอยู่เหมือนกัน เพราะว่าใกล้จะเข้าสอบแล้ว แต่ทว่าตอนนี้อารมณ์มันเตลิดไปไกลเกินกว่าจะเรียกกลับมาแล้ว

   ไฟที่สุมอยู่ในกายร้อนขึ้นจนน่าแปลกใจ ต้องเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เท่านั้น...

   ฟินถอดกางเกงของภีมลงเพียงครึ่งเดียว เสร็จแล้วก็ถอดกางเกงของตัวเองบ้าง ภีมคล้ายจะรู้แล้วว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ร่างสูงพลิกตัวหันหน้าเข้าผนังห้องน้ำ โดยมือข้างหนึ่งดันผนังไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับมือฟินอยู่

   ฟินขยับกายครั้งแรกด้วยความอ่อนโยน (ฟินกลัวภีมจะร้องเสียงดัง) ภีมกำมือแน่นด้วยความเจ็บ เหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าลงมาตลอดลำคอ

   เมื่อจังหวะแรกผ่านไป ฟินก็เพิ่มแรงเข้าไปอีก ภีมร้องครางออกมาเบาๆ ฟินขยับบั้นท้ายให้เร็วขึ้น เร็วขึ้น...จนความร้อนในร่างกายถึงขีดสุด

   ฟินจึงหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองพลางสวมกอดภีมเอาไว้แล้วจุมพิตลงไปที่ลำคอขาว ภีมครางออกมาอีกเช่นเคย สองขาบิดไปมาเพื่อขจัดความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในร่างกาย

   ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น จนภีมเป็นฝ่ายนึกได้ว่าจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของวันนี้คือการเข้าสอบ

   “เก้าโมงสิบแล้ว” ภีมพูด

   “เวรกรรม” ฟินพูดแค่นั้นแล้วคว้ามือของภีมวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำความสะอาดร่างกาย เพียงครู่เดียวเท่านั้น ฟินก็กลับมาเป็นประธานนักเรียนมาดเท่ห์คนเดิม “เสร็จแล้วใช่มั้ย ไปกันเถอะ”

ภีมทำหน้าดุแล้วมองฟินอย่างโมโห “ไปได้ยังไงเล่า ซิปมันแตกเนี่ย เห็นมั้ย”

“เอาเสื้อมาคลุมไว้” ฟินพูดพลางดึงเสื้อออกมานอกกางเกง “ใช้ได้”

“บ้าแล้ว นี่มันวันสอบนะ แล้วเขาจะยอมให้ฉันเข้าสอบมั้ยเนี่ย”

ฟินทำหน้านึกขึ้นได้ เขาลืมไปสนิทเลย ตอนแก้ก็ว่าเบามือแล้วนะ...

“เดี๋ยวฉันบอกอาจารย์ให้” ฟินพูดพลางฉุดข้อมือภีมให้วิ่งไปด้วยกัน เพราะถ้าช้ากว่านี้มีหวังเข้าสอบไม่ทันแน่ แต่โชคยังดีที่ทั้งคู่ได้สอบห้องเดียวกัน

พอเดินขึ้นตึกสอบ ฟินและภีมก็แยกกันเดิน ฟินเดินนำไปก่อน ภีมเดินตาม แล้วฟินก็เข้าไปอธิบายเหตุผลที่มาช้ากับอาจารย์ผู้คุมสอบ ภีมไม่รู้ว่าฟินพูดอะไรไปบ้าง แต่ด้วยท่าทางน่าเชื่อถือและน้ำเสียงจริงจังของประธานนักเรียนคนนี้ สามารถทำให้อาจารย์เชื่อในเหตุผลนั้นและยินยอมให้ทั้งคู่เข้าไปนั่งสอบ ทั้งๆที่เกินเวลาสอบไปแล้วยี่สิบนาทีและทั้งๆที่ภีมแต่งตัวไม่เรียบร้อย

“โชคดีนะภีม แล้วเจอกันหน้าห้อง” ฟินหันมาบอกภีมก่อนจะเดินไปยังที่นั่งสอบของตัวเอง

ภีมไม่พูดอะไรแต่ใบหน้านั้นยิ้มออกมาแทนคำตอบแล้ว ร่างสูงเดินลิ่วๆไปที่นั่งสอบของตัวเองที่อยู่อีกมุมห้องหนึ่งซึ่งไกลกับฟินเหลือเกิน

แล้ววันสอบวันแรกก็เริ่มขึ้นด้วยความรีบเร่ง รวดเร็ว และทุลักทุเล ประการฉะนี้แล...




 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-09-2011 00:39:58
 :laugh: :laugh: :laugh:

มี เอ้าดอร์ ด้วยน่ะ

ฟิน นี่ร้ายลึก น่ะ แอบมันส์ใน เบาๆ
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kp ที่ 27-09-2011 01:19:33
อ่านไม่ไหวแล้วต่อพรุ่งนี้แล้วกัน
ง่วงมากกกกกกกก
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 27-09-2011 02:01:57
ฟินอะเกือบทำภีมเข้าสอบไม่ทันซะแล้ววว  :really2:

เห็นใจคนเป็นพ่อเนอะ ความผิดหวังเสียใจทำให้คนเราเปลี่ยนท่าทีไปได้มากเลยเชียว เป็นกำลังใจให้ทั้งฟินและภีมจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: wichaiP ที่ 27-09-2011 02:12:49
ง่ะ ก่อนสอบเลยเหรอ แร๊งงงง
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 27-09-2011 09:08:36
 :haun4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 27-09-2011 15:37:49
สุดยอด อ อ    o13

อยากอ่านอีกแล้วรับมาต่อนะ

จุ๊บ  ๆ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 27-09-2011 15:57:16
ก่อนสอบก็ยังจะ โฮกกก :jul1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 27-09-2011 16:16:41



บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น



   สัปดาห์แห่งการสอบวัดความรู้เพื่อแอดมิดชั่นนั้นผ่านพ้นไปแล้ว

   ฟินหมดสัญญาในการเป็นครูสอนพิเศษของภีมอย่างเป็นทางการ

   “รวยเลยล่ะสิ” ภีมแกล้งพูดเมื่อเห็นฟินกำลังเปิดสมุดบัญชีดูยอดเงิน

   “สอนสามเดือนได้มาสองหมื่นก็เยอะอยู่นะ สอนต่อดีมั้ยเนี่ย” ฟินแกล้งพูดบ้างพลางโน้มตัวไปจูบภีมที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่

   แม้ว่าจะไม่มีบทบาทของนักเรียนและครูสอนพิเศษแล้ว แต่ฟินก็ไม่ยอมปล่อยให้ภีมอยู่ห่างตัวโดยเด็ดขาด ภีมจะต้องมาหาฟินที่คอนโดทุกวันเสาร์และอาทิตย์...และนั่นคือข้อกำหนดที่ฟินตั้งขึ้น

   ตอนแรกฟินคิดว่าอย่างไรเสีย...ภีมก็คงไม่ยอม แต่กลับผิดคาด ภีมตอบตกลงหน้าตาเฉย โดยสาเหตุที่แท้จริงคือ ภีมไม่อยากอยู่บ้าน ยิ่งวันที่แม่กลับมาบ้านด้วยแล้ว ยิ่งไม่อยากอยู่เข้าไปใหญ่

   ฟินก็อยู่กับภีมทุกวันไม่ได้ เพราะวันจันทร์ถึงศุกร์ต้องไปสอนพิเศษ จะมีเวลาว่างอยู่ด้วยกันก็วันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น

   “ถามอะไรหน่อยสิ...ฟิน” ภีมพูดขึ้น ฟินวางสมุดบัญชีลงแล้วหันหน้ามาหาภีม “ว่ามา”

   “เอ่อ...” ภีมละล่ำละลัก พอจะพูดจริงๆกับไม่กล้า “เอ่อ...คือเรื่องที่นายชอบฉันน่ะ ทำไมถึงชอบ” กว่าจะพูดจบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรียบร้อยแล้ว

   ฟินยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะกระเถิบตัวเข้าไปใกล้ๆภีมพลางโอบไหล่ไว้ “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คงเป็นเพราะโชคชะตาล่ะมั้ง”

   “แล้วนายเป็น เอ่อ...” เรื่องนี้ก็เหมือนกัน จะถามออกไปภีมก็กระดากใจอยู่ไม่น้อย จะให้กล้าพูดตรงๆได้อย่างไรว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

   “ถามมาเถอะ ป่านนี้แล้วมีอะไรต้องเกรงใจกันอีก” ฟินยิ้มกว้างขึ้น

   นั่นสินะ... “เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

   ฟินเงียบไป

   “ไม่เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย คือว่า...”

   “เข้าใจ” ฟินตอบพลางมองหน้าภีม “ก็ตั้งแต่ตอนที่รู้สึกตัวว่าเห็นหน้านายแล้วมันตื่นเต้นผิดปกติล่ะมั้ง”

   “ตื่นเต้น” ภีมทวนคำนั้น “ยังไงว้า”

   “ก็ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปไง ทั้งๆที่คุยก็ไม่ได้คุย แต่ว่าอาจจะเป็นเพราะดนตรีมั้ง ฉันเห็นนายเล่นดนตรีทีไร มันตื่นเต้นทุกทีเลย มารู้ตัวอีกที...ฉันก็อยากจะอยู่ใกล้นายซะแล้ว” ฟินยิ้มบางๆ เวลาพูดคล้ายคนกำลังมีความสุขอย่างไม่ปิดบัง   

   แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ในใจกลับคิดไปถึงคนที่อยู่บ้าน นึกถึงคำโกหกที่ตัดสินใจพูดออกไปเพื่อความสบายใจของผู้เป็นพ่อ นึกถึงเวลาที่แม่รู้ความจริง นึกถึงวันหลายๆวันที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า วันที่เขาและภีมต้องจากกัน...

   “พรุ่งนี้แม่ฉันจะกลับมา” ภีมพูดขึ้น ใบหน้าทะเล้นเปลี่ยนเป็นใบหน้าบูดบึ้งทันที “โชคดีเป็นวันอาทิตย์ จะได้อยู่ที่นี่”

   แต่ฟินกลับไม่คิดอย่างนั้น “กลับไปอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ นานๆทีแม่จะกลับมาไม่ใช่เหรอ แล้วพ่อล่ะ กลับหรือเปล่า”

   ภีมส่ายหน้าแทนคำตอบ “อย่าว่าแต่เรื่องกลับเลย ป่านนี้ลืมไปแล้วมั้ง...ว่ามีลูกสองคนอยู่ที่นี่ เห็นวันๆสนใจแต่เรื่องหาเพชรหาพลอยเข้าร้าน”

   “อย่าพูดถึงพ่อแม่อย่างนั้นสิ มันไม่ดี” ฟินปราม

   “ก็มันจริงนี่หว่า ตั้งแต่ฉันเข้าเรียน ม.ปลาย ไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย เชื่อมั้ยล่ะ” ภีมหัวเสีย ยิ่งพูดยิ่งโมโห “เปลี่ยนเรื่องเหอะ มันหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ”

   ฟินขยี้หัวภีมเบาๆ “ใจเย็นๆสิ”

   “วันก่อนมีเบอร์แปลกโทรหาฉันด้วยล่ะ พอรับก็ไม่พูด ไอ้เราก็อุตส่าห์โทรกลับ แต่ก็ดันตัดสายทิ้ง”

   ฟินรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรพิกลกับเรื่องที่ภีมเล่าให้ฟัง เบอร์แปลกเหรอ...

   “ให้เบอร์ใครไปหรือเปล่า” ฟินตั้งข้อสงสัย

   “ไม่ค่อยได้พกโทรศัพท์นานแล้ว ถ้าให้ก็ให้แม่นายไปนั่นล่ะ”

   ฟินนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เป็นไปได้ไหมว่า...พ่อของเขาจะขอเบอร์ภีมกับแม่ แล้วโทรมาหาภีมเพื่อจะถามเรื่องทั้งหมด รวมทั้งเรื่องที่ฟินโกหกออกไปด้วย แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าพูด...

   “ฟิน เป็นอะไร” ภีมเขย่าตัวฟินเบาๆ ร่างของเขาชาไปแล้ว “ฟิน ฟิน” ภีมเรียกอีกครั้ง

   ฟินสะดุ้งอย่างคนรู้สึกตัว น้ำใสๆเอ่อคลอรอบดวงตา เขารีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดออกไปอย่างรวดเร็ว “ขอดูเบอร์หน่อย”

   “ไม่ได้เอาโทรศัพท์มา” ภีมบอก “มีอะไรหรือเปล่า”

   ฟินรีบปฏิเสธในทันที “ไม่มีอะไร” แต่ท่าทางนั้นลุกลี้ลุกลนจนภีมก็เริ่มสงสัยว่าฟินต้องปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน

   “บางทีถ้าเล่าให้ฉันฟัง อะไรๆมันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ” ภีมพูดน้ำเสียงจริงจัง ฟินมองหน้าเขาอย่างพิจารณา ฉันไม่คิดอย่างนั้นเลยสักนิดเดียว มันยิ่งจะแย่ไปกันใหญ่น่ะสิ...

   “ว่าไง” ภีมรบเร้า

   “ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง นายนี่...จริงๆเลย” ฟินพูดพลางลุกขึ้นเดินเข้าห้องไป ภีมมองตามก่อนจะหันไปเล่นเกมต่อ

   เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ฟินก็กดโทรศัพท์หาผู้เป็นพ่อทันที “สวัสดีครับพ่อ”

   [………..]

   “แม่บอกพ่อแล้วใช่มั้ยว่า...”

   [...บอกแล้ว...]

   “แล้วพ่อโทรไปหาภีมอีกทำไมครับ ผมกับเขาเลิกยุ่งกันไปแล้วนะ” ฟินพูดเรียบๆ

   [แล้วถ้าเลิกกันจริงๆ แกจะรู้ได้ยังไงว่าฉันโทรไปหาภีม]

   ฟินนิ่งอึ้งไป นี่เขาตกหลุมพรางพ่ออย่างนั้นหรือ...แต่มันต้องมีทางออกสิน่า “ผมเจอกับภีมวันสอบวัดความรู้น่ะ คุยกันเฉยๆ”

   แต่ฟินคงลืมไปว่า “การโกหก” เป็นการกระทำที่ยิ่งเพิ่มความยุ่งยากให้กับชีวิต ยิ่งโกหก ปมปัญหาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แล้วฟินก็ต้องตามแก้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

   แต่ ณ เวลานี้ ฟินคิดว่าไม่มีอะไรที่จะแก้ไขปัญหาได้ดีไปกว่าการโกหกอีกแล้ว เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เป็นพ่อสบายใจที่ได้ลูกชายคนเดิมกลับมา ยังทำให้ตัวฟินเองได้มีความสุขกับช่วงเวลาที่มีภีมอยู่

   [ถ้ายืนยันอย่างนั้นก็แล้วไป ฟินไม่ใช่คนโกหก พ่อรู้...] เสียงของนทีอ่อนลง

   คำพูดนั้นเสียดแทงใจฟินอย่างจัง พ่อยังคงเชื่อใจเขาอยู่...

   ทำไมนะ...การโกหกครั้งนี้มันกลับทำให้เขาไม่สบายใจเลย

   [ทำอะไรก็คิดถึงพ่อกับแม่ด้วย พ่อเลี้ยงเราให้เป็นผู้ชายก็ต้องเป็นผู้ชาย]

   “ครับ” ฟินรับคำเบาๆก่อนจะวางสายโทรศัพท์แล้วเดินออกมาหาภีมด้วยท่าทางอ่อนแรง

   “ไปไหนมา” ภีมถาม ความตั้งใจยังคงอยู่กับเกมที่เล่นอยู่

   ฟินมองอย่างน้อยใจ ขนาดนี้แล้วยังห่วงเล่นเกมอยู่อีก “หยุดเล่นก่อนไม่ได้เหรอ”

   “ไมอ่ะ กำลังหนุกเลย” ภีมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นต่อไป

   “ฉันเล่นเคลียร์ไปนานแล้ว ไม่เห็นสนุกเลย เกมอะไรไม่รู้ ไม่น่าซื้อมาเลย” พูดจบก็เอื้อมมือไปดึงปลั๊กออกเสียดื้อๆ ภีมมองตาค้าง....

   “ทำงี้ได้ไง...เห็นมั้ยว่าเล่นอยู่” ภีมว่า

   “ก็เห็นไงว่าเล่นอยู่ เลยถอดปลั๊กออก” ฟินพูดเรียบๆ รู้สึกตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำอะไรที่ไร้เหตุผลสิ้นดี ภีมจะโกรธมันก็สมควรอยู่

   แต่เรื่องกลับตรงกันข้าม ภีมไม่โกรธ แต่กลับพูดอะไรที่แทงใจฟินอย่างจัง “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายมีเรื่องอะไรให้คิดมากถึงต้องมาลงที่ฉัน เพราะในเมื่อนายไม่คิดจะบอก ต่อให้ฉันอยากช่วยนายเท่าไหร่ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร” ภีมพูดพลางลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โซฟา

   ฟินรู้ว่าตัวเองผิดเต็มๆ ภีมไม่รู้เรื่องอะไรตั้งแต่แรก ฟินผ่อนลมหายใจเบาๆก่อนจะเดินไปหาภีมแล้วกล่าวคำขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอโทษ”

   ภีมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนนิ่งราวท่อนไม้ แต่ท่อนไม้อะไรจะมีใบหน้าสำนึกผิดได้น่ารักขนาดนั้น ภีมยิ้มให้ก่อนจะชกแขนฟินเบาๆ “เออ...ไม่ได้โกรธสักหน่อย แต่มีเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังสิ ไม่ใช่มาเครียดคนเดียว”

   ถึงภีมจะพูดอย่างนั้น แต่ฟินก็ไม่ยอมบอกอยู่ดีเพราะไม่อยากให้ภีมเครียดไปด้วย “ไม่มีอะไร กลัวว่าสอบจะได้คะแนนน้อย แค่นั้นล่ะ”

   “ไอ้บ้า...ไร้สาระสุดยอด เครียดทำไมล่ะ...นายเก่งอยู่แล้ว”

   ฟินยิ้มกลบเกลื่อนเรื่องราวในใจ แต่มีหรือที่ภีมจะไม่รู้ เพราะคนอย่างฟินแม้จะเย็นชาเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีหัวใจ ถ้ารู้สึกไม่สบายใจหรือมีอะไรปิดบังอยู่ ถ้าไม่แสดงออกทางสีหน้าก็ออกทางแววตาหรือไม่ก็ท่าทาง

   แต่ถึงภีมจะรู้...แต่ก็ไม่อยากถามให้มากความ รอให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายบอกเองดีกว่า



   เช้าวันอาทิตย์ ภูรดาโทรเข้าเบอร์โทรศัพท์ของฟิน ฟินรับสายทั้งๆที่ยังงัวเงียอยู่ “ฟินพูดครับ”

   “พี่ภูเองนะ ภีมตื่นหรือยัง” ภูรดาถามอย่างร้อนรน

   “ยังครับ พี่ภูมีอะไรหรือเปล่า”

   “บอกให้ภีมกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลย นะ แม่กลับมาแล้ว” ภูรดาพูดแค่นั้นก่อนจะวางสายไป

   ฟินเขย่าร่างภีมเบาๆให้รู้สึกตัว แต่ไม่ว่าเขย่าเท่าไรเจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่น ความจริงแล้วภีมตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงโทรศัพท์แล้วแต่แกล้งหลับต่อ

   ฟินปลุกภีมอยู่นานจึงรู้ว่าคนที่นอนนิ่งข้างๆนั้นแกล้งหลับ “ตื่นได้แล้วภีม” ฟินพูดเสียงเรียบ

   ภีมยังคงนอนนิ่งอย่างนั้น ไม่สนใจ

   “ไม่ต้องมาแกล้งหลับ ลุกขึ้นอาบน้ำ เดี๋ยวไปส่งบ้าน” ฟินดึงแขนภีมให้ลุกขึ้น

   “ยังง่วงอยู่เลย ขอนอนก่อนนะ” ภีมพูดเสียงอ่อน ก่อนจะแกะมือของฟินออกอย่างรวดเร็วแล้วล้มตัวลงนอนต่อ

   “ง่วงแค่ไหนก็ต้องกลับ แม่นายรออยู่ที่บ้าน”

   ก็เพราะแม่รออยู่น่ะสิ....ถึงไม่อยากตื่นไง ภีมคิดในใจ

   “จะหนีปัญหาไปถึงเมื่อไหร่ น่าเบื่อจริงๆ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไปจากห้องนอนทันที ไม่ใช่ว่าประโยคนั้นจะพูดแล้วผ่านเลย ตรงกันข้ามมันทำร้ายตัวผู้พูดเองด้วย เพราะฟินก็เข้าข่ายของคนหนีปัญหาคนหนึ่ง หนีแบบลูกโซ่เสียด้วย หนีต่อไปไม่มีวันจบ

   ภีมดีดตัวลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ฟินไม่เคยพูดกับเขาแบบนี้ ทั้งยังไม่เคยหงุดหงิดกับเรื่องที่สามารถคุยกันได้ เขาเป็นคนใจเย็นมาก แต่วันนี้...

   น่าเบื่อจริงๆ ทำไมคำนี้ถึงก้องอยู่ในหูภีมราวกับเป็นคำสาปที่ต้องจดจำ

   ความรู้สึกน้อยใจ ผิดหวัง และคำถามมากมายผุดขึ้นมาในความคิด ภีมลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจฟิน ฟินเดินตามบอกจะไปส่ง แต่ภีมยามนี้ไม่มีอะไรให้ต้องรออีกแล้ว

   พอออกจากคอนโดได้ก็เรียกแท็กซี่กลับบ้านทันที

   ฟินยืนมองอย่างนั้น นึกโทษตัวเองที่พูดจาไม่รักษาน้ำใจแบบนั้นกับภีม แม้ใจจริงอยากจะตามไปแค่ไหนก็คงทำไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรฟินก็เป็นคนนอกอยู่ดี

   ส่วนภีมพอไปถึงบ้านก็รีบตรงดิ่งไปยังห้องรับแขกทันที แม่ของเขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ภูรดาทำหน้านิ่งคล้ายกำลังกลั้นอารมณ์บางอย่างอยู่

   ภีมยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งลงข้างๆพี่สาว

   ผู้หญิงร่างสูง ปราดเปรียว คนนี้คือแม่ของภีม เธอเป็นนักธุรกิจหญิงดีเด่นของวงการค้าเพชรพลอย และยังมีชื่อเสียงในเรื่องการออกแบบเครื่องประดับส่งออกจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก

   ใบหน้าสวยสง่า และท่าทางไว้ตัวนั้น ทำให้เธอดูสูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก

   “เมื่อก่อนไม่เห็นอยากจะไปค้างบ้านใครนี่” ภีมดาพูดขึ้นเมื่อลูกชายคนเล็กนั่งลงอย่างสงบ

   “เมื่อก่อนที่ว่า...กี่ปีมาแล้วล่ะครับ” ภีมพูดเสียงยียวน

   ภีมดาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ลูกชายของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไรนัก “เข้าเรื่องเลยละกัน” เธอกระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ไปอยู่กับพ่อและแม่ที่อังกฤษ ไปเรียนต่อที่โน่น”

   ภีมยิ้มเยาะ “ไม่ไปครับ”

   “ถ้าไม่ไปก็เรียนเอกชน เรียนบริหารธุรกิจ” นี่คือข้อเสนองั้นหรือ

   “ไม่อีกนั่นล่ะครับ ผมสอบติดที่นี่ด้วยฝีมือผมเอง ผมจะไม่ทิ้งมันไปแน่นอน” น้ำเสียงของภีมจริงจังขึ้นจนน่าตกใจ ภีมดามองหน้าลูกชายอย่างพิจารณาครั้งหนึ่ง “ภีมต้องเลือกสักที่หนึ่ง”

   “แม่กลับมาเพราะเรื่องแค่นี้ใช่มั้ยครับ” ภีมชักเหลืออด คำแรกที่แม่ควรถามลูกน่าจะเป็น สบายดีมั้ยลูก เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่แม่เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ “ผมจะไปแล้ว” ภีมลุกขึ้นยืน

   “ไปไหน” ภีมดาถาม รู้สึกมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว

   “ไปในที่ที่ไม่มีแม่นั่นล่ะ” ภีมเดินหนีออกไป ภีมดาจะเดินตามแต่ภูรดาขวางไว้ก่อน

   “ปล่อยภีมไปเถอะนะคะ แม่บังคับภูคนเดียวยังไม่พออีกเหรอคะ” ภูรดาพูดเสียงแข็ง

   “ภีมมันลูกฉันนะ แล้วมันก็น้องแก จะปล่อยมันได้ยังไง”

   “ปล่อยให้เขาได้เลือกทางเดินของเขาไป แม่อย่าเข้าไปยุ่งเลยค่ะ หนูขอร้อง”

   “ฉันกำลังทำเพื่อมันอยู่” ภีมดายืนยันเสียงแข็ง

   “แม่ทำเพื่อตัวเองต่างหาก ถ้าแม่ทำเพื่อเราจริง ทำไมไม่ให้ภีมได้มีความสุขกับสิ่งที่เขาเลือก”

   “แกอย่ามารู้ดี แล้วถ้าสิ่งที่แกเลือกมันผิดล่ะ”

   “นั่นเป็นบทเรียนค่ะ บทเรียนที่เราเต็มใจที่จะเรียนรู้เอง”

   “บ้าไปกันใหญ่แล้วลูกฉัน” ภีมดาพูดพลางทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที นี่ลูกของเธอเป็นอะไรกันไปหมด...

   ภีมวิ่งขึ้นไปห้องนอนของตัวเองแล้วรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบวิ่งลงมาข้างล่าง ในใจคิดอย่างเดียวว่าต้องออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด

   ภีมดาเป็นลมไปแล้ว ภูรดาเรียกแม่บ้านมาคอยดูแล ส่วนเธอก็จะไปคุยกับภีมให้รู้เรื่องก่อนจะเตลิดไปไกลกว่านี้ แต่พอเดินออกมาเท่านั้น ภีมก็วิ่งผ่านหน้าไปแล้ว ภูรดาวิ่งตามจนทัน

   “ไปไหนภีม” เธอว่าพลางหอบแฮ่ก

   “ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีแม่” ภีมไม่ได้เอาอะไรติดตัวมานอกจากกระเป๋าสตางค์ใบเดิม

   “แล้วจะไปที่ไหนล่ะ”

   ภีมก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจะไปที่ไหน ไปหาฟินเหรอ...ภีมไม่อยากไปแล้วเพราะโกรธที่ฟินพูดอย่างนั้นแล้วที่สำคัญ ฟินคงไม่ยอมให้อยู่หรอก ก็เขารักความถูกต้องเป็นชีวิตจิตใจเลยนี่...

   “งั้นไปอยู่คอนโดพี่ก่อน ให้ลุงชิดขับรถไปส่ง ลุงเขารู้ทาง” ภูรดาว่าพลางส่งกุญแจห้องให้น้องชาย

   “แม่ล่ะ”

   “เป็นลมไปแล้ว ไม่ได้ดั่งใจก็เป็นอย่างนี้ทุกที” ภูรดาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

   “ผมอยากเรียนที่นี่จริงๆ พี่เข้าใจผมนะ” ภีมพูดเสียงอ่อน แววตาและท่าทางถือดีอย่างแต่ก่อนแทบไม่มีอยู่ในตัวแล้ว

   ภูรดาพยักหน้าเข้าใจก่อนจะรุนหลังน้องชายให้ขึ้นรถ ลุงชิดนั่งรออยู่บนรถก่อนแล้ว

   ใครจะว่าเขาหนีปัญหาอย่างไรก็ช่าง ภีมไม่สนอีกแล้ว หรือใครจะเบื่อ รำคาญ ภีมก็ไม่สนใจ ภีมจะไม่สนใจใครอีกแล้ว...




 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 19 – ทางเลือก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 27-09-2011 16:26:47
เง้อ~~~ พ่อไม่รับเหรอเนี่ย เศร้าจังๆ
อยากรู้ว่าฟินไปสอบที่ไหนถึงเข้าไม่ได้ จะได้ไม่ไปสอบ 55555555
ถ้าคนอย่างฟินสอบเข้าไม่ได้ ก็อย่าพูดถึงมันเลย เหอๆๆๆๆ
 :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1:
---------------
นิวเพิ่งอ่านตอน 19 เสร็จ ตอน 20 มาพอดี เย้ๆๆ
ไม่ได้เครียด ไม่ได้เศร้าคนเดียวสักหน่อย - -
เครียดไปอีกคนสะแล้วหล่ะ -.- บู่ๆ รอๆ +เป็ด
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 27-09-2011 16:38:18
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 27-09-2011 17:07:11
ปัญหาของภีมอาจมีมากกว่าฟินก็ได้นะเนี่ย เพราะนี่ยังเป็นเพียงปัญหาเรื่องการเลือกทางเรียน และถ้าหากพ่อแม่พี่สาวรู้เรื่องของฟินอีกล่ะ โอ๊ยยยยย ไม่อยากจะคิด   :z3:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 27-09-2011 17:12:00
 :z3: :z3: :z3: บอกภีมไปเถอะฟิน  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 27-09-2011 17:54:36
สงสารทั้งฟินและภีมเลย


เข้าใจเลยว่าปัญหาแบบนี้มันเครียดขนาดไหน


 :bye2: :mc4 :L1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 20 – ปัญหาที่ไม่จบสิ้น /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: lovely2min ที่ 27-09-2011 22:55:09
มาขอเป็นแฟนคลับเรื่องนี้ด้วยนะจ๊ะ

แบบว่า ดราม่าได้อีกเนอะ ไมที่บ้านสองคนนี้เป็นแบบนี้เนี่ย
พาหนีเลยดีม่ะ
แหม่
สงสารภีมอ่ะ TT
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 27-09-2011 23:39:07

บทที่ 21 – งานประจำปีของโรงเรียน



   หลังจากวันนั้นที่ภีมออกจากคอนโดของฟินไป ทั้งคู่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย

   นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ราวๆ สองสัปดาห์

   วันนี้ฟินมาที่โรงเรียนแต่เช้าเพื่อเตรียมงานเลี้ยงประจำปีที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ บรรดาคณะกรรมการนักเรียนนับยี่สิบชีวิตกำลังวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมและตกแต่งเวทีให้สวยงามและตรงตามรูปแบบของงาน

   รุ่นพี่ที่จบไปแล้วหลายรุ่นก็มาช่วยกันในเรื่องของการจัดซุ้มกิจกรรม ซึ่งดูคร่าวๆแล้วไม่น่าจะต่ำกว่ายี่สิบกิจกรรม

   งานในครั้งนี้จัดขึ้นที่สนามกีฬาของโรงเรียนกินพื้นที่ไปจนถึงตัวอาคารอื่นๆอีกเพราะมีซุ้มกิจกรรมต่างๆ

   นอกจากเรื่องของการจัดงานแล้ว ยังมีเรื่องของที่ระลึกในงานซึ่งตอนนี้กำลังเกิดปัญหาเพราะจัดส่งไม่ทันตามกำหนดที่ตกลงกันไว้

   “ของที่ระลึกส่งให้ไม่ทันล่ะฟิน ทำไงดี” โจ๊ก คณะกรรมการนักเรียนคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาบอกฟิน จะไม่ให้เหนื่อยได้อย่างไรในเมื่อระยะทางจากห้องคณะกรรมการนักเรียนมาสนามกีฬามันยาวไกลอยู่ไม่ใช่น้อย

   ฟินละความสนใจจากการจัดเวทีมาที่โจ๊ก “เอาเงินคืนแล้วไปซื้อของมาแทนเลย”

   “จะเอาอะไรมาเป็นของที่ระลึกล่ะ” โจ๊กถาม

   “เรื่องแค่นี้คิดไม่เป็นหรือไง จัดการด้วยตัวเองบ้างสิ” แล้วฟินกลับไปสนใจกับเรื่องของการจัดเวทีต่อ โจ๊กมองอย่างงุนงง ช่วงก่อนยังเห็นประธานนักเรียนคนนี้ร่าเริงอยู่เลย ทำไมวันนี้มาโหมดเดิมอีกแล้วและดูท่าจะแรงกว่าโหมดเดิมที่เคยเป็นเสียด้วย

   กว่าการจัดเตรียมงานจะเรียบร้อยลุล่วงก็กินเวลาไปจนถึงช่วงเย็น รุ่นพี่ที่มาช่วยจัดเตรียมงานขอตัวกลับก่อน ส่วนคณะกรรมการรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปต้องเข้าประชุมร่วมกันเรื่องกำหนดการของงานในวันพรุ่งนี้

   คณะกรรมการนักเรียนรุ่นปัจจุบันและว่าที่ในรุ่นต่อไปเดินกลับมายังห้องประชุมของกลุ่ม ระหว่างทางที่เดินมาห้องประชุมนั้นต้องผ่านห้องชมรมดนตรีก่อน ประธานนักเรียนร่างสูงใหญ่ที่เดินนำทุกคนมานั้นอยู่ดีดีก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ ทำให้ทุกคนที่เดินตามต่างก็งงไปตามๆกัน

   ในห้องชมรมดนตรีไม่มีเงาร่างของคนที่เขาอยากเจอ มีแต่รุ่นน้องสี่ห้าคนกำลังร้องเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนาน ฟินมองดูเพียงครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะขยับฝีเท้าออกเดินต่อ

   ติณณ์ ประธานคนต่อไปของชมรมดนตรี มองกลุ่มคณะกรรมการนักเรียนเดินผ่านไปจนลับตา ใบหน้าทะเล้นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเคร่งเครียดทันที “ออกมาได้แล้วครับพี่ภีม พวกนั้นไปกันหมดแล้ว”

   สมาชิกชมรมอีกสี่คนซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมด มองตามสายตาของติณณ์ พบร่างสูงร่างหนึ่งค่อยๆยืนขึ้นจากข้างหลังเปียโน

   ภีม...   

   “ทำไมต้องหลบคนพวกนั้นด้วยล่ะพี่ภีม” ติณณ์ตั้งข้อสงสัย

   “พี่ไม่ค่อยถูกกับพวกคณะกรรมการนักเรียนน่ะ ไม่ถูกกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต่อให้หันหน้าเข้าหากันเท่าไร มันก็เหมือนเดิมอยู่ดี...มันเข้ากันไม่ได้หรอก” ภีมพูดเรียบๆ

   ความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากมีส่วนร่วมในงานประจำปีของโรงเรียนครั้งนี้เท่าไรนัก เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยมีส่วนร่วมอยู่แล้วถ้าไม่ถูกบังคับจากคณาจารย์ที่เล็งเห็นในความสามารถด้านดนตรีของเขา

   ถ้าเหล่ารุ่นน้องที่จะเป็นกำลังสำคัญในการรักษาชมรมดนตรีในอนาคตไม่เอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยแสดงดนตรีเปิดงานให้ล่ะก็ อย่าหวังว่าใครจะได้เห็นหน้าของ...ภีม   พิริยะ ในงานนี้เลย

   “สรุปคือผมเล่นไวโอลินก่อนคนแรก” ติณณ์ชี้ไปที่ตัวเองก่อนจะมองไปยังหนุ่มน้อยที่ยืนข้างๆ “ส่วนวิน เป่าแซ็ก”

   วินพยักหน้ารับเบาๆทว่าท่าทางกระตือรือร้นเต็มที่

   ติณณ์พูดต่อ “ส่วนนายก็เป็นคนเปิดม่าน” ติณณ์ชี้ไปที่วัตต์ หนุ่มน้อยหน้าใสที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา “พอม่านเปิดแล้วก็เป็นหน้าที่ของพี่ภีม เล่นเปียโน”

   ภีมพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “แล้วนอร์ทล่ะทำอะไร” ภีมชี้ไปที่หนุ่มย้อยอีกคนที่ยืนหน้าเป็นพิงเปียโนอยู่

   ติณณ์ทำหน้าครุ่นคิด ไม่มีเวลาเหลือให้ทำอะไรได้อีกแล้วเพราะทางคณะกรรมการนักเรียนมอบหมายหน้าที่นี้มาพร้อมเวลาครึ่งชั่วโมง

   สิบนาทีแรกสำหรับการแสดงไวโอลินของติณณ์

   สิบนาทีต่อมาสำหรับเสียงแซ็กโซโฟนของวิน

   และสิบนาทีสุดท้ายสำหรับเสียงเปียโนของภีม

   “นอร์ทและคนอื่นๆก็คอยให้กำลังใจไงครับ พอพี่ภีมแสดงจบ พวกเราชมรมดนตรีก็ออกมาแสดงความขอบคุณที่กลางเวทีกันให้หมดทุกคน” ติณณ์บอกพร้อมกับยิ้มให้นอร์ท “โอเคมั้ย”

   นอร์ทยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เสียดายที่อดโชว์ฝีมือตีกลอง” นอร์ทพูดพลางทำท่าตีกลองอย่างคึกคัก

   “เอาเป็นว่าชมรมดนตรีเจ๋งสุด ยกเลิกการประชุม ณ บัดนี้” ติณณ์ว่าพลางตบมือสามครั้ง

   แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง มีเพียงติณณ์เท่านั้นที่กลับพร้อมกับภีมเพราะบ้านของติณณ์เป็นทางผ่านไปบ้านของภีม

   ภีมไปอยู่คอนโดของพี่สาวได้หนึ่งสัปดาห์ แม่ของเขาก็ต้องบินไปยังต่างประเทศเพื่อจัดการเรื่องธุรกิจค้าเพชรต่อ ภีมจึงกลับเข้าบ้านอีกครั้ง

   “ผมยังชอบเสียงเปียโนของพี่ไม่หายเลย” ติณณ์พูดขึ้นระหว่างทาง

   ภีมยิ้มน้อยๆ ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ “เสียงไวโอลินของนายก็เยี่ยมนี่” ภีมชมไปอย่างนั้น เพราะคิดว่าเสียงไวโอลินของตัวเองไพเราะกว่าอย่างแน่นอน แต่ที่ไม่ลงแข่งขันระดับประเทศเพื่อชิงตำแหน่งชนะเลิศก็เพราะเห็นว่าชนะในเรื่องเปียโนมาแล้ว ดนตรีอย่างอื่นก็แบ่งให้คนอื่นเขาชนะบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าคนอื่นที่ว่าจะกลายมาเป็นรุ่นน้องในชมรมเสียนี่

   “ผมรู้นะ ว่ามันเยี่ยมสู้ไวโอลินที่พี่เล่นไม่ได้หรอก” ติณณ์ยิ้มกว้าง เหลือบมองใบหน้าภีมเป็นระยะๆอย่างสังเกตสีหน้าและการแสดงอารมณ์

   “แล้วรู้ได้ยังไง” ภีมมองไปนอกหน้าต่าง

   “ผมเคยได้ยินเสียงไวโอลินของพี่ที่ห้องชมรม ตอนนั้นก็ยืนฟังอยู่ตั้งนาน แต่ได้ยินครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็ไม่เคยได้ยินอีกเลย พอมาฟังอีกก็ได้ยินแต่เสียงเปียโน” ติณณ์ทำท่าทางเสียดาย

   “เมื่อยคอน่ะ ก็เลยไม่ค่อยเล่น เล่นเปียโนสบายกว่า” ภีมตอบยิ้มๆ

   “ไว้ว่างๆเรามาดวลไวโอลินกันมั้ยครับ” ติณณ์ทำหน้าลุ้นคล้ายกำลังรอคำตอบ

   ภีมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชกไหล่ของติณณ์เบาๆ “เอาสิ...ถ้าไม่กลัวแพ้”

   “ผมไม่กลัวเรื่องนั้นอยู่แล้วล่ะครับ...” ติณณ์บอกก่อนจะยิ้มออกมา

   สัญญาท้าดวลเริ่มต้นขึ้น เค้ารางความยุ่งยากก็ตามมาดุจดังคลื่นกระทบฝั่งที่ซัดสาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไร

   วันที่ลมฟ้าสงบอย่างนั้นหรือ...



   เช้าวันใหม่ที่สำคัญของทุกคนในโรงเรียนแห่งนี้ งานประจำปีที่ทุกคนต่างรอคอย เช้าวันที่แสนวุ่นวายของผู้เตรียมงานทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการนักเรียนที่ต้องเตรียมตัวต้อนรับแขกรวมถึงการแจกของที่ระลึก ประสานงานในด้านต่างๆ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้

   ชมรมดนตรีเองก็มีงานสำคัญที่ต้องทำ คนที่มาถึงชมรมคนแรกคือติณณ์ ว่าที่ประธานชมรมคนต่อไป กระทั่งเข้าช่วงสายๆ สมาชิกคนอื่นจึงทยอยกันมาเพื่อเตรียมตัว

   เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆเริ่มมากันเยอะแล้ว ติณณ์ก็หยิบไวโอลินสีขาวขึ้นวางไว้ที่บ่าด้วยท่วงท่าสง่างาม แล้วสีออกมาเป็นบทเพลงอันไพเราะให้ทุกคนได้ฟังกัน

   เสียงไวโอลินนั้นเรียกความสนใจจากผู้ที่เดินผ่านห้องชมรมได้มากมาย รวมทั้งประธานนักเรียนมาดขรึมที่กำลังจะก้าวผ่านประตูห้องชมรมนี้ มีผู้คนมากมายยืนออกันอยู่ที่ประตูทางเข้า แต่โชคดีที่ฟินเป็นคนรูปร่างสูงจึงสามารถมองเห็นข้างในห้องได้อย่างสบาย

   ทำไมยังไม่มานะ... ฟินคิดอย่างกระวนกระวายใจ

   จนเสียงไวโอลินเงียบลง คนก็เริ่มหายไป ฟินจึงเดินเข้าไปในห้องนั้นก่อนจะเรียกติณณ์ให้มาคุยด้วยเป็นการส่วนตัว

   ติณณ์ปรับสีหน้าให้เรียบเฉยก่อนจะเดินไปหาฟินที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องด้านในสุด

   “มีอะไรหรือครับ ประธานนักเรียน” ติณณ์พูดโดยไม่มองหน้าคนที่พูดด้วย

   ฟินกลอกตาครั้งหนึ่ง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังยั่วโมโหอยู่ “ก็น่าจะรู้ว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร”

   “ไม่ต้องห่วงครับ ชมรมดนตรีไม่ทำเสียหน้าอย่างแน่นอน” ติณณ์ยิ้มบางๆ

   ฟินยิ้มออกมาบ้าง ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดีสักเท่าไรนักในยามนี้ “ภีมอยู่ไหน”

   “ผมจะไปรู้ได้ยังไงครับ ผมก็เป็นแค่รุ่นน้องคนหนึ่ง” ติณณ์จ้องหน้าฟิน ไม่รู้สึกกลัวประธานนักเรียนคนนี้สักนิดเดียว ยิ่งผู้ชายคนนี้นิ่งสักเท่าไร เขาก็ยิ่งไม่กลัวมากขึ้นเท่านั้น

   “เมื่อวานภีมมาที่นี่” ฟินพูดช้าๆ “แล้วทำไมฉันไม่เห็นเขา”

   ติณณ์ยิ้มเยาะ “พี่เป็นอะไรกับพี่ภีมเหรอถึงต้องอยากรู้เรื่องขนาดนี้”

   ติณณ์พูดตรงจุด ฟินนิ่งไปครู่หนึ่ง “ภีมจะมาที่นี่กี่โมง” ฟินจงใจเปลี่ยนคำถาม

   “ผมไม่รู้หรอก มันเป็นเรื่องของพี่ภีม ถ้าพี่อยากรู้ทำไมไม่ถามเองล่ะ มาถามผมทำไม” ติณณ์พูดก่อนจะเดินหนีไปแล้วหยิบไวโอลินมาเล่นต่อ

   ฟินไม่เคยรู้สึกโมโหใครเท่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลย...ในใจอยากจะชกหน้าอวดดีนั่นสักครั้งเพื่อให้ความรุ่มร้อนในใจหายไป แต่ก็ทำไม่ได้ ฟินจึงได้แต่ถอนหายใจสลัดความรุ่มร้อนนั้นทิ้งไปแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อให้ลืมความกังวลที่มีอยู่

   จนกระทั่งช่วงบ่าย...

   ซุ้มกิจกรรมกว่ายี่สิบซุ้มเปิดให้บริการ...

   กองอำนวยการและกองประสานงานต่างๆเข้าประจำที่...

   ทุกอย่างเตรียมพร้อม...

   พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการและการแสดงต่างๆจะเริ่มขึ้นตอนหนึ่งทุ่ม ดังนั้น เวลานี้จึงเป็นหน้าที่ของซุ้มกิจกรรมที่ต้องให้บริการกับแขกที่มาในงาน

   ฟินนั่งอยู่ในห้องประชุมใหญ่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานครั้งนี้ร่วมกัน

   “พอเราพูดประโยคนี้จบ ฟินก็พูดต่อเลย” น้ำหวานว่าพลางมองหน้าพิธีกรชายที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้น “ฟิน เป็นอะไรไปน่ะ” เธอสะกิดต้นแขนของเขาเบาๆ

   ฟินคล้ายรู้สึกตัว “มีอะไรเหรอ”

   “เป็นอะไรหรือเปล่า ดูไม่มีสมาธิเลยนะ งานจะเริ่มอยู่แล้ว ตั้งใจหน่อยสิ” น้ำหวานดุเข้าให้ ก่อนจะเริ่มพูดประโยคของเธอต่อไป

   ฟินถอนหายใจเบาๆ สลัดเรื่องกลุ้มใจที่เวียนวนในสมองออกไปแล้วจดจ่อกับบทพูดตรงหน้า

   บรรยากาศในงานคึกคักเป็นอย่างมาก ผู้คนก็ทยอยเข้างานกันมากขึ้น เสื้อผ้าหลากสีสันของแต่ละคนต่างเฉิดฉายแข่งกัน บางคนก็ใส่ชุดราตรีแสนสวยราวกับเจ้าหญิง บางคนก็แต่งตัวมาดมั่นราวนางร้ายในละคร ผู้ชายบางคนแต่งตัวเลียนแบบเจ้าชายในวรรณคดี บางคนขี้เกียจแต่งตัวก็ใส่ชุดสูทธรรมดาๆมา สรุปแล้ว ต่างคนต่างก็แต่งตัวตามใจชอบ...

   อยากแต่งอะไรก็แต่ง ไม่สนใจธีมของงานเท่าไรนัก

   ภีมเดินเข้างานมาอย่างงุนงง ไม่คิดว่าคนจะเยอะถึงเพียงนี้ เพราะปีก่อนที่ขึ้นเล่นดนตรีก็ไม่เห็นว่าคนจะเยอะเท่านี้เลย ภีมก็เลยแต่งตัวมาธรรมดาสุดๆ โดยสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีดำ กางเกงสกินนี่รัดรูปสีดำ ปิดท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาว สรุปแล้วทั้งตัวภีมมีแต่สีดำและขาว ทั้งๆที่คนอื่นพยายามเลี่ยงใส่สีนี้กัน แต่กระนั้น...ชุดธรรมดาๆนี้พออยู่บนร่างสูง เพรียวบางของภีมก็ทำให้ผู้หญิงทั้งหลายเหลียวหลังมองได้แล้ว เพราะผู้ชายคนนี้น่ารักเหลือเกิน

   ภีมคิดแค่ว่า...พอเล่นเสร็จก็เผ่นกลับบ้านเลย แต่พอเดินเข้างานมาก็รู้สึกว่าตัวเองหดเล็กลงเหลือสองนิ้ว ทุกคนดูอลังการไปเสียหมด

   ภีมรีบวิ่งตรงไปยังห้องชมรมทันที

   “มาช้าจังนะครับ” ติณณ์พูดขึ้นเป็นคนแรก ตอนนี้ทุกคนในชมรมดนตรีอยู่ในชุดสูทสีขาวกันหมดทุกคน

   ภีมทำหน้าเหยเกนิดหนึ่งเมื่อมองรุ่นน้องชายล้วนนับสิบชีวิตที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่ในห้อง “เอ่อ...พี่แปลกกว่าคนอื่นเลยใช่มั้ยเนี่ย”

   ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันเบาๆจากนั้นเสียงหัวเราะก็ตามมา ภีมในชุดธรรมดาที่แปลกกว่าคนอื่น ทำไมกลับดูน่ารักและสง่างามได้เพียงนี้

   หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทุกคนในชมรมดนตรีก็เดินไปยังด้านหลังของเวทีใหญ่เพื่อเตรียมตัวแสดงดนตรีเปิดงาน

   หลังม่านสีเลือดหมูใหญ่นั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เตรียมตัวขึ้นเวที ชมรมดนตรีจึงต้องค่อยๆแทรกตัวเข้าไปข้างหน้าเพราะเป็นคิวแรกที่ต้องทำการแสดง

   ทันทีที่ภีมเห็นร่างสูงคุ้นตาที่ยืนอยู่ตรงทางออกไปหน้าเวทีแล้วก็หยุดฝีเท้าตัวเองทันที “ยืนอยู่ตรงนี้ล่ะ รอให้เขาเรียกก่อนแล้วค่อยเดินออกไป” ภีมหันไปบอกน้องๆ

   ติณณ์มองตามสายตาของภีม พบว่าฟินกำลังยืนเตรียมตัวออกไปหน้าเวทีทำหน้าที่พิธีกรของงานนี้ ร่างสูงนั้นยืนนิ่งไม่ไหวเอน

   จนกระทั่งได้เวลาเปิดงาน ฟินในชุดสูทสีครีมกับหญิงสาวในชุดราตรีสีครีมที่เข้ากันก็เดินออกไปยังหน้าเวทีด้วยท่วงท่าสง่างามและมั่นใจ

   ภีมไม่มอง แต่กลับหลับตาลงอย่างใช้สมาธิ...

   ติณณ์จับจ้องมองภีมตลอดเวลา ดูคล้ายว่ากำลังจับผิด แต่แท้จริงแล้ว...ใครจะรู้ว่าเขาผู้นี้กำลังอ่อนไหวไปกับใบหน้าน่ารักนั้นต่างหาก

   พิธีกรกล่าวเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนขึ้นเปิดงาน ทันทีที่กล่าวเปิดงานแล้ว ติณณ์ก็ก้าวเท้าออกไปพร้อมไวโอลินสีขาว พิธีกรหนุ่มสาวกลับเข้ามาหลังม่าน ครั้งนี้ฟินสบตาเข้ากับภีมอย่างจัง

   ภีมนั่งอยู่หน้าเปียโนสีดำสนิท ทั้งยังไม่ได้ใส่ชุดสูทเหมือนคนอื่นอีก ฟินขยับฝีเท้าจะเดินเข้าไปหาแต่ถูกน้ำหวานดึงไว้แล้วฉุดให้เดินเข้าไปหลังเวที

   ด้านหลังม่านสีเลือดหมูจัดวางเปียโนสีดำไว้ ทันทีที่เสียงแซ็กโซโฟนจบลง ม่านนี้ก็จะเปิดขึ้น

   ภีมนั่งสงบอยู่หลังม่านนั้นเพียงลำพัง เพราะต้องทำสมาธิ รุ่นน้องคนอื่นๆต่างก็ต้องยืนอยู่หลังม่านอีกชั้นหนึ่ง แต่พอได้สบเข้ากับดวงตานั้น สมาธิที่มีก็ค่อยๆหายไป

   การแสดงของติณณ์จบลงแล้ว ร่างสูงเดินกลับเข้ามาหลังเวทีสวนกับวินที่ถือแซ็กโซโฟนตัวใหญ่ออกไป ติณณ์หยุดยิ้มให้ภีมครั้งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหลังเวที

   เสียงแซ็กโซโฟนของวินฟังดูเข้มแข็งทว่าอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ภีมรู้สึกชื่นชมรุ่นน้องคนนี้ขึ้นมาบ้าง แต่สำหรับติณณ์แล้ว ภีมคิดว่าเสียงไวโอลินนั้นมันขาดความเป็นตัวเองอย่างไรชอบกล กล่าวคือ ไม่มีความเป็นธรรมชาติเอาเสียเลย

   ภีมกำลังคิดอะไรอยู่เพลินๆม่านก็เปิดออกเสียอย่างนั้น เขาผงะไปเล็กน้อย...การแสดงแซ็กโซโฟนของวินจบไปเมื่อไรกัน ทันทีที่ตั้งสติได้

   ปลายนิ้วเรียวยาวก็บรรเลงเพลงขึ้น...

   ‘Tempest Sonata’ ของ Beethoven (Sonata ในบันไดเสียง D minor, op. 31, no.2: ‘Tempest’)

   เพลงนี้มีด้วยกันสามกระบวนท่า กระบวนท่าแรก Largo - Allegro [ช้าเหลือเกิน - เร็ว], กระบวนท่าที่สอง Adagio [ช้ามาก], กระบวนท่าที่สาม Allegretto [เร็วปานกลางกำลังพอดี]

   ภีมเลือกที่จะข้ามกระบวนท่าแรกไปแล้วเริ่มบทเพลงที่กระบวนท่าที่สองที่มีท่วงทำนองสงบนิ่ง ทิ้งความรู้สึกให้จมดิ่งอยู่กับความเงียบ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่กำลังปะทะใบหน้า เมื่อกระบวนท่าที่สองจบลง กระบวนท่าที่สามก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดหย่อน นิ้วเรียวสวยของภีมดูท่าจะช่ำชองกับบทเพลงนี้ไม่น้อยเพราะมันดูพลิ้วไหวและน่ามองเสียเหลือเกิน

   ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีคล้ายต้องมนต์ไปกับความพลิ้วไหวของบทเพลงและฝีมือของผู้เล่น จนกระทั่งเพลงบรรเลงจบ เสียงปรบมือก็ดังขึ้นราวสายฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ

   บางคนลุกขึ้นยืนปรบมือและแสดงสีหน้าชื่นชม บางคนเดินมาที่หน้าเวทีพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ ภีมลุกขึ้นไปยืนกลางเวทีแล้วโค้งคำนับแสดงความขอบคุณด้วยท่วงท่าสง่างามก่อนจะเดินไปริมเวทีเพื่อรับช่อดอกไม้มากมายที่ผู้คนมอบให้

   ติณณ์วิ่งออกมาจากหลังเวทีพร้อมกับพิธีกรสองคน เขาแบ่งรับช่อดอกไม้ในมือภีมมาถือไว้เสียเอง ภีมยิ้มให้เป็นการขอบคุณ

   ฟินเดินหน้าชาเคียงคู่มากับน้ำหวาน “เราต้องสัมภาษณ์ภีม” น้ำหวานกระซิบบอกบทฟินที่ยืนนิ่งราวรูปปั้น

   “ไม่เห็นมีในสคริปนี่” ฟินพูดเบาๆ

   “อาจารย์เพิ่งบอกมา” น้ำหวานพูดแล้วก็เดินเข้าไปขนาบภีมทางด้านซ้าย ฟินไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเดินไปอยู่ทางด้านขวา

   ภีมผงะไปนิดนึงเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

   “แนะนำตัวหน่อยค่ะ คนเก่งของเรา” น้ำหวานเริ่มพูดก่อน แล้วส่งไมค์ให้ภีม

   ภีมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร จะให้วิ่งเข้าไปหลังเวทีตอนนี้ก็ขายหน้าแย่ เขาจึงต้องรับไมค์มาถือไว้อย่างงงๆแล้วเริ่มแนะนำตัวเอง

   “ฟิน พูดอะไรบางสิ” น้ำหวานกัดฟันกระซิบบอกฟินเบาๆ

   “แล้วทำไมถึงเล่นเพลงนี้ล่ะครับ” ฟินพูดออกไป

   ภีมตอบออกมาทันทีโดยที่ไม่หันมองหน้าคนถามคำถามเลย

   แล้วการสัมภาษณ์พูดคุยก็ยุติลงเพียงคำถามที่สอง ภีมเดินกลับเข้าไปหลังเวทีอย่างรวดเร็ว

   “ไม่เห็นเป็นไปตามที่บอกเลยติณณ์” ภีมพูดขึ้นเมื่อเห็นรุ่นน้องทำหน้าเศร้าที่ไม่ได้ออกไปโชว์ตัวหน้าเวที

   “ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ สงสัยพี่ภีมจะดังแล้วงานนี้ มีแต่คนอยากรู้เรื่องของพี่ทั้งนั้น วิ่งวุ่นมาที่หลังเวทีไม่หยุด” ติณณ์พูดยิ้มๆ

   ภีมส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “บ้าไปแล้ว”

   “พี่ภีมเล่นเปียโนเก่งนี่นา แถมยังเป็นแชมป์เปียโนอีกต่างหาก” ติณณ์พูดต่อ

   “เป็นแชมป์มาหลายปี เพิ่งจะมาสนใจปีนี้ คนเรานี่ท่าจะบ้า” ภีมไหวไหล่น้อยๆ “พี่กลับก่อนนะ อยู่นานเดี๋ยวเรื่องยาว” ภีมพูดพลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายแล้วเดินเลี่ยงออกไป

   ติณณ์คิดจะตามไปแต่ก็ต้องอยู่จัดการเรื่องทางนี้ เขาจึงทำได้เพียงมองด้วยแววตาเศร้าๆ

   ทันทีที่หมดหน้าที่ของพิธีกร ฟินก็เดินหาภีมไปทั่ว ติณณ์เห็นท่าทางกระวนกระวายนั้นก็กระซิบบอกเบาๆว่าภีมหนีกลับไปแล้ว

   ฟินถอดเสื้อนอกวางไว้ก่อนจะรีบวิ่งตามไปทันที น้ำหวานเรียกเท่าใดก็ไม่หันกลับมา

เขามั่นใจว่าภีมยังอยู่ในโรงเรียนนี้ แต่อยู่ที่ไหนล่ะ.......

   ฟินวิ่งไปที่ห้องชมรมดนตรีเป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่พบภีม วิ่งย้อนกลับมาที่ซุ้มกิจกรรมแล้วเดินดูทีละซุ้ม แต่ก็ไม่พบ...

   จนเกือบจะถอดใจนั่นล่ะ จึงเห็นร่างสูงเพรียวบางกำลังถือปืนเล็งไปที่ส่วนหัวของเป้าเงารูปร่างคน ฟินยิ้มออกมาด้วยความดีใจก่อนจะเดินไปอยู่ทางด้านหลังของภีม

   วันนี้ภีมแม่นปืนดีเหลือเกิน ยิงแต่ละนัดล้วนแล้วแต่ถูกที่สำคัญ ภีมกัดฟันแล้วยิงนัดสุดท้ายออกไป หัวไหล่ซ้ายคือตำแหน่งที่ลูกปืนฝังอยู่

   ภีมวางปืนลงช้าๆก่อนจะยิ้มรับของรางวัลที่รุ่นพี่ส่งให้ ปืนสั้นของเล่นอันหนึ่ง... ภีมเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะหันหลังมาพบกับใครบางคนที่ยืนนิ่งอยู่

   ภีมแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินหนีทันที

ฟินเดินตามไปติดๆ

ภีมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ฟินก็เร่งฝีเท้าจนตามทัน

“หยุดคุยกันก่อน” ฟินรั้งต้นแขนของภีมไว้

“ปล่อยเหอะว่ะ...ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ภีมพูดเสียงแข็ง แล้วขยับฝีเท้าเพื่อเดินต่อ แต่แรงของฟินเยอะเหลือเกิน ภีมจึงก้าวไปไหนไม่ได้

   “มันเสียเวลานักหรือไงกับการที่เราต้องคุยกัน” ฟินพูด ยังคงจับต้นแขนของภีมไว้แน่น

   “เออ...เสียเวลามาก คุยไปอะไรๆมันก็ไม่ดีขึ้นหรอก ฉะนั้น...ปล่อยแขนเหอะว่ะ” ยิ่งพูด โทสะยิ่งขึ้น ภีมไม่อยากให้ตัวเองเป็นจุดสนใจของคนในงานเท่าไร

   “เราต้องคุยกัน” ฟินยังไม่ยอมปล่อย

   “ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว ชัดมั้ย” ภีมสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมนั้น ก่อนจะเดินลิ่วๆไปที่ลานจอดรถหน้างานอย่างรวดเร็ว ฟินเดินตามออกไป ระหว่างทางก็ถูกเพื่อนๆเรียกเอาไว้ถามว่าจะไปไหน แต่ฟินก็ไม่สนใจใครอีกแล้วนอกจากภีม

   “ถ้าไม่คุยจะรู้เรื่องได้ยังไง” ฟินพูดขึ้น

   ภีมหันมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วยิ้มเยาะ “รู้เรื่องแล้ว ทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้ว ฉะนั้น...จบ”

   “ฉันขอโทษ มีเรื่องให้คิดมากไปหน่อยก็เลยพูดแบบนั้น” ฟินยอมรับผิด แววตาคล้ายคนกำลังจะร้องไห้เมื่อคิดหาทางออกที่ดีในเวลานี้ไม่ได้เลย

   ภีมแสร้งทำเป็นถอนหายใจ อะไรก็ตามที่ภีมคิดว่าไม่มีวันเหมือนเดิมมันก็ยากที่จะต่อติดอีกแล้ว เช่นเดียวกับคำพูดของคน ในเมื่อมันหลุดออกมาจากปาก มันก็ยากที่จะทำใจให้คิดว่า คำพูดนั้นเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ...

   ยิ่งคำพูดนั้นออกมาจากปากของฟิน...คนที่ไม่เคยผิดพลาดอะไรสักอย่าง ยิ่งทำให้ภีมเชื่อในถ้อยคำที่เขาพูดออกมายิ่งขึ้นไปอีก

   “แล้วกันไปเถอะ” ภีมโบกมือประกอบคำพูด ก่อนจะเดินตรงไปยังรถบีเอ็มสีดำที่มีคนขับรถนั่งรออยู่แล้ว

   “ต้องการอะไรอีกภีม จะให้ทำยังไงถึงจะเป็นเหมือนเดิม” ฟินพูดอย่างท้อแท้ใจ มันไม่สมควรจบลงด้วยคำพูดที่เขาไม่ได้ตั้งใจเพียงคำเดียว ไม่สมควรเลยจริงๆ

   ภีมหันกลับมาอีกครั้ง “ยังไงก็ไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกของฉันมันเปลี่ยนไปแล้ว”

   “มันไม่เปลี่ยนง่ายอย่างนั้นหรอก” ฟินพูดเสียงเบา หยุดฝีเท้าเพียงแค่นั้น แล้วมองดูภีมจากไป

   ฟินรู้ดียิ่งกว่าใคร แม้ภีมจะพูดอย่างนั้น...แต่มันก็ไม่ได้ตรงกับใจที่แท้จริงของเจ้าตัวเลยสักนิดเดียว

   ท่ามกลางความเงียบรอบกาย ภีมนั่งเหม่อมองออกไปนอกกระจกรถ นึกถึงคำขอโทษที่ออกมาจากริมฝีปากคู่นั้น นึกถึงใบหน้าสำนึกผิดและเต็มไปด้วยความสับสน และนึกถึงหัวใจของตัวเองที่กำลังสั่นไหวคล้ายกับต้นไม้ที่ต้องลมพายุครั้งแล้วครั้งเล่า

   แม้ว่าลมพายุครั้งนั้นจะไม่ได้แรงเท่าลมพายุครั้งก่อนแต่ก็สามารถทำให้ต้นไม้ที่ตรากตรำลมฝนมานานปีหักโค่นลงได้

   ภีมก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากต้นไม้ต้นนั้นเลย...



 :sad11: :sad11: :sad11: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน // By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 28-09-2011 01:01:21
รักกัน แต่ยังเข้าใจกันไม่มากพอหรือเปล่า
คงต้องเข้มแข็งกันมากกว่านี้นะ อุปสรรคข้างหน้ายังมีอีกเยอะ   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน // By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: forever-yunjae ที่ 28-09-2011 01:44:51
เศร้าเลยอ่า ๆ TT"
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน // By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 28-09-2011 04:33:56
ไม่เอาอุปสรรคนะ :monkeysad:

 :call:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน // By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 28-09-2011 05:14:06


อ่า... เหมือนจะมีอุปสรรคเยอะเลย อดทนนิดนึง...

 :a5: :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน // By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 28-09-2011 07:56:37
สองคนนี้อุปสรรคเยอะเหลือเกิน
ขอให้ตอนผ่านอุปสรรคทั้งหมดมาแล้วมีแต่ความสุข
มีแต่ตอนหวานๆนะค้า ><
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน // By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: lovely2min ที่ 28-09-2011 13:22:45
โอย ทะเลาะกันแบบนี้ไม่ดีเลย
เคลียร์กันเร็วๆนะ
TT
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่21–งานประจำปีของโรงเรียน // By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 28-09-2011 15:54:54
น่าสงสารทั้งสองคน ทั้งๆที่รักกันแท้ ๆ

อยากอ่านต่อแล้วอ่า   :z3:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 28-09-2011 16:31:45



บทที่ 22 – ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง



   “ถ้าไม่กลัวแพ้ก็มาเลย ที่บ้านฉัน...สิบโมงเช้า” ภีมพูดกับคนปลายสายด้วยท่าทางที่เหนือกว่า ในเมื่อรุ่นน้องคนนี้คิดอยากจะดวลไวโอลิน เขาก็ไม่ขัดศรัทธา

   “ผมพาเพื่อนไปด้วยได้มั้ยครับ”

   ภีมหยุดคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบตกลงออกไป “พามากี่คนก็เชิญ ถ้าไม่กลัวขายหน้าล่ะก็”

   “ขอบคุณครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ติณณ์วางสายโทรศัพท์ลงพร้อมกับเผยรอยยิ้มมุมปาก เขาอยากเปรียบเทียบฝีมือตัวเองกับฝีมือของภีมมานานแล้ว และตอนนี้...มีโอกาส เขาจะไม่ปล่อยให้มันผ่านไปอย่างแน่นอน



สิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น ติณณ์มาที่คฤหาสน์ของภีมพร้อมไวโอลินสีขาวคู่ใจ ภีมนั่งรออยู่แล้วที่ห้องรับแขก

   “ตรงเวลาดีมาก” ภีมพูดเสียงใสก่อนจะเดินนำขึ้นไปยังชั้นสามของตัวคฤหาสน์ ติณณ์เดินตามไปอย่างช้าๆ รู้สึกว่าคฤหาสน์หลังนี้โอ่อ่าและหรูหราเหลือเกิน

   “บ้านพี่ไฮโซมากกกกกกก” ติณณ์ลากเสียงยาว สายตาซอกแซกที่มุมนี้ที มุมโน้นที

   “ก็ไม่อยากให้ใครขึ้นมาที่นี่เท่าไรนัก แต่ช่างมันเถอะ ชั้นนี้เงียบๆดี ไม่มีใครมายุ่งได้” ภีมพูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามายังห้องดนตรี ติณณ์เดินตามไป รู้สึกเจียมตัวมากขึ้น

   ทันทีที่เห็นเครื่องดนตรีมากมายวางเรียงกันรอบๆห้อง เขาก็อ้าปากกว้างด้วยความทึ่งไปแล้ว นอกจากจะรวยแล้วยังเล่นดนตรีได้หลายอย่างอีก... ติณณ์ยิ่งทึ่งในตัวภีมเข้าไปใหญ่

   “เริ่มเลยดีมั้ย” ภีมพูดพลางหยิบไอโอลินสีดำของตัวเองออกมาจากตู้กระจกแล้ววางบนไหล่ด้วยท่วงท่าสง่างาม

   ติณณ์ยิ้มเกรงๆแต่ก็ยังทำใจสู้ เขาค่อยๆเปิดกล่องไวโอลินของตนแล้วหยิบมันขึ้นมาวางไว้บนบ่าด้วยท่วงท่าสง่างามไม่แพ้กัน

   “นายเริ่มก่อน” ภีมพูดขึ้นพลางหลับตาลง ติณณ์นิ่งอึ้งไปกับท่าทางของภีม

   ติณณ์เริ่มบรรเลงเพลงขึ้นก่อน จังหวะเพลงที่รวดเร็วทำให้ยากที่จะรู้ว่าตัวโน๊ตที่ใช้นั้นมีอะไรบ้าง แต่สำหรับภีมแล้ว...มันง่ายเสียยิ่งกว่าการท่องสูตรคูณเสียอีก

   ทันทีที่ติณณ์หยุดมือ ภีมก็เริ่มบรรเลงท่อนเพลงที่ติณณ์เล่นไปแล้วต่อด้วยท่อนใหม่ที่ยากขึ้นไปกว่านั้น นิ้วเรียวยาวกดสายถี่ยิบ แทบเดาไม่ได้ว่าตัวโน๊ตที่เล่นไปคืออะไร

   ติณณ์นิ่งอึ้งไปแล้ว...รวดเร็วและพลิ้วไหวที่สุด

   ไม่นานนัก ภีมก็ปล่อยมือแล้วส่งต่อให้ติณณ์ ติณณ์จำได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะทำนองมีขึ้นๆลงๆ บางทีก็ลากยาวและบางทีก็สั้นจนน่าแปลกใจ ครั้นจะยอมรับว่าเล่นไม่ได้ก็กระไรอยู่ เพราะตำแหน่งแชมป์ไวโอลินมันค้ำคอไว้

   ภีมยิ้มอย่างรู้ทัน เขารู้อยู่แล้วว่าติณณ์เล่นท่อนเพลงนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะกว่าเขาจะฝึกท่อนนี้ได้ก็กินเวลานานอยู่เหมือนกัน

   “จำไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ” ภีมพูดยิ้มๆ

   ติณณ์หน้าแข็งขึ้นมาทันที “ลองดูซักตั้ง” ว่าแล้วก็บรรเลงท่อนเพลงที่ภีมเล่นไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ไปได้เพียงนิดเดียวก็ต้องหยุดมือไว้แค่นั้น แล้วยอมรับออกมาอย่างอายๆว่าเล่นไม่ได้

   “ไม่แปลกหรอกที่เล่นไม่ได้ เพราะมันยากจะตายไป กว่าฉันจะเล่นท่อนเพลงนี้ได้ก็ฝึกอยู่หลายวัน” ภีมเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง “แต่หลายวันที่ว่าก็ทั้งวันทั้งคืนล่ะนะ”

   ติณณ์พยักหน้ารับอย่างอึ้งๆ รุ่นพี่ของเขาคนนี้เก่งกว่าที่เขาคิด เพราะนอกจากฝีมือการเล่นเปียโนที่หาตัวจับได้ยากแล้ว ไวโอลินก็ยังเล่นได้ไพเราะและพลิ้วไหวในเวลาเดียวกัน แล้วความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในหัว...ติณณ์อยากรู้ว่าภีมจะเล่นเครื่องดนตรีอื่นได้ดีขนาดไหน

   “ผมอยากฟังพี่ภีมเล่นอย่างอื่นน่ะครับ” ติณณ์พูด ประโยคคำพูดนั้นคล้ายเป็นคำสั่งนิดๆ ภีมมองหน้ารุ่นน้องอย่างชั่งใจ

   หมอนี่เป็นใคร...ถึงกล้ามาสั่งให้ฉันเล่นโน่น เล่นนี่... “นั่นเป็นประโยคคำสั่งหรือเปล่า” ภีมปรับเสียงให้เข้มขึ้น ไม่ชอบใจเล็กน้อยที่ติณณ์พูดอย่างนั้น

   ส่วนติณณ์ก็รีบปฏิเสธพัลวัน “เปล่าครับ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่อยากเห็นพี่ภีมเล่นดนตรีชิ้นอื่นน่ะครับ”

   ภีมถอนหายใจครั้งหนึ่ง “ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องเล่นให้นายฟัง”

   ติณณ์หน้าเสียไป วินาทีนั้นเองเขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏอยู่ที่ประตูห้อง ติณณ์ยิ้มมุมปาก... ก่อนจะสาวเท้าเดินไปยังจุดที่ภีมยืนอยู่ ถึงเวลาสืบสาวราวเรื่องหาความจริงแล้ว...

   “พี่ภีมครับ” ติณณ์เรียกภีมเสียงดัง ภีมหันมามองอย่างขุ่นเคือง ไม่ชอบนักกับท่าทีที่ติณณ์กำลังทำอยู่

   “มีอะไร” ภีมขานรับหน้างอ

   “พี่กับพี่ฟินเป็นอะไรกัน” ติณณ์พูดออกไป แม้ในใจจะรู้สึกกลัวแค่ไหนแต่นั่นคือสิ่งที่เขาอยากรู้มาตลอด

   ภีมมองติณณ์ด้วยใบหน้าถมึงทึง “ถามทำไม”

   “พี่ตอบมาเถอะครับ” ติณณ์ยังทำใจดีสู้เสือ แต่ภีมนั้นโมโหไปเรียบร้อยแล้ว

   “จะมายุ่งเรื่องของฉันทำไมวะ” ภีมกระชากคอเสื้อของติณณ์ขึ้นสูง ลมหายใจเข้าออกถี่รัวขึ้น ติณณ์ชักหวั่นๆใจอยู่เหมือนกัน “ถ้าไม่อยากตายเลิกพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็หยุดพูดถึงหมอนั่นด้วย”

   ติณณ์ยิ้มน้อยๆ “หรือเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน”

   พลั่ก... ภีมปล่อยหมัดใส่ติณณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

   “ฉันกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น แค่หน้ามัน...ฉันยังไม่อยากมองเลย แล้วอย่าพูดชื่อมันด้วย...ไม่อยากได้ยินเว้ย” ภีมเอะอะโวยวายเสียงดัง แม่บ้านที่อยู่ข้างล่างต่างก็งุนงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างบน

   พลันมีคนเดินลงมาจากบันไดพอดี แม่บ้านวัยกลางคนนางหนึ่งจึงเดินเข้ามาสอบถาม ปรากฏว่าคนๆนั้นคือ ฟิน...อดีตครูสอนพิเศษของคุณชายแห่งพิริยะ

   ฟินก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนใบหน้าซึมเศร้าของตัวเอง “มีอะไรเหรอครับ”

   “เกิดอะไรขึ้นคะคุณฟิน แต่เอ๊ะ...ป้าว่าคุณเพิ่งมานะคะ แล้วทำไมรีบกลับล่ะ” แม่บ้านสาวใหญ่พูดด้วยท่าทางสงสัย

   “ภีมโวยวายไปตามเรื่องน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวสักพักก็คงจะดีขึ้นเองล่ะ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไปจากบ้านทันที
   นี่หรือ...คือสิ่งที่ติณณ์อยากจะให้เขาได้ยิน

ย้อนกลับไปเมื่อวานนี้ ฟินรับโทรศัพท์ของติณณ์ด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่ารุ่นน้องคนนี้ไปเอาเบอร์ของเขามาจากไหน แม้ไม่อยากคุยแต่ก็ต้องจำใจคุย

“พี่ฟินเหรอครับ สิบโมงครึ่งที่บ้านพี่ภีม” ติณณ์พูด

“หมายความว่ายังไง” ฟินยังคงไม่เข้าใจ

“คนฉลาดอย่างพี่น่าจะเข้าใจนะ มาเถอะ...แล้วพี่อาจจะได้ยินอะไรดีดี” ติณณ์พูดแค่นั้นแล้วก็วางสายไป

นี่หรือ...อะไรดีดีที่เด็กคนนี้พูดถึง ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับเราสักนิด มีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้...ทำไมมันมีแต่เรื่องน่าปวดหัวเต็มไปหมด เรื่องนั้นยังไม่ทันจบเรื่องนี้ก็มาอีกแล้ว...

ฟินเดินออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ เดินไปเรื่อยๆ เนิ่นนานกว่าจะถึงป้ายรถเมล์ ฟินไม่มีเรี่ยวแรงจะคิดและทำอะไรอีกแล้ว เรื่องมันยุ่งเกินกว่าความสามารถของ(อดีต)ประธานนักเรียนอย่างเขาจะแก้ไขได้หมด

หรือควรจะปล่อยให้มันเลยตามเลยอย่างนี้...หยุดมันไว้ตรงนี้

ฟินนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น ในหัวเริ่มอื้ออึง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

หรือว่าเขาต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ...ให้มันจบแบบนี้



   หลังจากที่ฟินออกจากคฤหาสน์ได้พักหนึ่ง ภีมกับติณณ์ก็เดินลงมา บรรดาคุณแม่บ้านช่างสงสัยทั้งหลายรอต้อนรับอยู่เชิงบันไดอย่างท่วมท้น

   ภีมส่ายหน้าอย่างระอา...ทำไมมีแต่คนชอบมาสะเออะเรื่องของฉันกันวะ

   “เอะอะโวยวายอะไรกันคะคุณชาย” แม่บ้านคนเดียวกับที่ถามฟินเป็นคนพูดขึ้นก่อนคนแรก

   “ไม่มีอะไร หมอนี่มันปากมากก็เลยสั่งสอนไปน่ะ” ภีมพูดพลางชี้ไปยังคนที่เดินตามหลัง “พาไปทำแผลหน่อย”

   คุณแม่บ้านยกมือขึ้นทาบอกพลางถอนหายใจออกมา “นึกว่าคุณชายทำอะไรคุณฟินเสียอีก เห็นเดินลงมาหน้าเศร้าเลย”

   ภีมชะงักไปในทันที ฟิน... “เกี่ยวอะไรกับฟิน” ภีมถามด้วยความประหลาดใจ

   “ก็คุณฟินมาที่นี่แล้วก็ขึ้นไปที่ห้องดนตรี แต่ขึ้นไปได้แป๊บเดียวก็ลงมาเสียแล้ว แล้วป้าก็ได้ยินเสียงโวยวายของคุณชายพอดี...ก็เลยถามคุณฟินว่า...” ยังไม่ทันที่คุณแม่บ้านจะพูดจบ ภีมก็ยกมือห้ามเสียก่อน

   “พอๆไม่ต้องสาธยาย” ภีมพูดแค่นั้นพลางหันหลังไปหาติณณ์ “แกคิดจะทำอะไรวะ ไอ้ตัวดี” ภีมรู้ทันทีว่าฝีมือใคร ฟินไม่มาที่นี่เองโดยที่ไม่บอกเขาเด็ดขาด “เพื่อนที่แกบอกจะพามาคือหมอนั่นใช่มั้ย” ภีมกำมือทำท่าจะชกติณณ์อีกครั้ง

   “ผม...เอ่อ...” ติณณ์พูดไม่ออก

   “ไสหัวออกไปจากบ้านฉันเลย แล้วต่อจากนี้แกไม่ใช่คนของชมรมดนตรีอีกต่อไป ฉันไม่อยากมีรุ่นน้องนิสัยแบบแก” ภีมตวาดเสียงดัง คุณแม่บ้านที่ยืนอยู่ค่อยๆถอยกันออกไปทีละก้าวๆจนกลายเป็นวงกว้าง ภีมกับติณณ์เลยกลายเป็นจุดเด่น

   “ผมขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้” ติณณ์พูดออกมา เขาก็สับสนตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องอยากรู้...ว่าฟินและภีมเป็นอะไรกัน ทำไมต้องอยากให้ภีมสนใจเขา และทำไมเขาถึงชอบพาตัวเองมาอยู่ใกล้ภีม “ผมก็ไม่รู้”

   “หุบปากไปเลย ขี้เกียจฟังเว้ย...ออกไป” ภีมตะโกนสุดเสียง จนใบหน้าขาวๆเริ่มมีสีเลือด ภีมไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องของตัวเองอยู่แล้วและยิ่งเป็นเรื่องนี้ เรื่องระหว่างเขาและฟิน ยิ่งไม่อยากให้ใครมายุ่งยิ่งขึ้นไปอีก

   “ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่กับพี่ฟินเป็นอะไรกัน” ติณณ์พูดออกมาเบาๆพอที่จะให้ภีมได้ยินเพียงคนเดียว

   ภีมยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ “แล้วมันเรื่องอะไรของแกวะ”

   “มันก็ไม่ใช่เรื่องของผมจริงๆนั่นล่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ติณณ์ดูมึนงงไม่ใช่น้อย เหตุผลแรก ไม่คิดว่าภีมจะอารมณ์ร้ายขนาดนี้ เหตุผลที่สอง ไม่คิดว่าความสัมพันธ์ของฟินและภีมเกินคำว่าเพื่อน ติณณ์ตัดสินจากอะไรน่ะเหรอ...ก็ตัดสินปฏิกิริยาที่ภีมพูดถึงฟินน่ะสิ

   “ไม่คิดว่าแกจะเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ถ้าฟินมันบอกฉันก่อนรับแกเข้าชมรมว่ารุ่นน้องนิสัยแบบนี้ ฉันไม่รับเข้าแน่นอน” ภีมลืมตัวพูดถึงฟิน

   “ผมไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมก็แค่อยากรู้” ติณณ์พยายามแก้ตัว รู้สึกสำนึกผิดเต็มที่ “ผมขอโทษ”

   ภีมถอนหายใจยาวๆครั้งหนึ่ง พยายามกล้ำกลืนฝืนใจทนที่จะให้โอกาสรุ่นน้องคนนี้ได้กลับตัว “เออ...ปรับปรุงตัวเองซะใหม่ละกัน แล้วก็เลิกยุ่งเรื่องของฉันด้วย ไม่ชอบเว้ย”

   ติณณ์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ความรู้สึกกดดันทั้งหมดหายไปทันตาเห็น มันอาจจะเป็นความรู้สึกสับสนชั่วครู่ เราอาจไม่ได้คิดกับพี่ภีมอย่างนั้นก็ได้ ติณณ์บอกตัวเองอย่างนั้น พลันความคิดก็นึกถึงใครอีกคนหนึ่ง คนที่มีแววตาเศร้าสร้อยเสียเหลือเกิน

   ฟิน...

   ติณณ์ยอมรับว่าทำตัวแย่ๆกับฟินไว้เยอะ ทั้งทางวาจาและท่าทาง แม้วันนี้จะไม่รู้ว่าคนทั้งคู่เป็นอะไรกัน แต่เขาก็พอจะรู้จากอาการของคนทั้งสอง...

   “ขอบคุณมากครับพี่” ติณณ์พูดพลางเดินตามแม่บ้านไปทำแผล แต่ยังไม่วายพูดทิ้งท้ายให้ภีมโมโหอีก “ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าพี่สองคนโกรธกันเรื่องอะไร แต่ในเมื่อกับผมพี่ยังให้อภัยได้ แล้วทำไมจะให้อภัยพี่ฟินไม่ได้ล่ะ พี่น่าจะได้เห็นหน้าของพี่ฟินนะ...แล้วพี่จะรู้ว่ามันแย่แค่ไหน”

   “ปัดโธ่เว้ย...ไอ้นี่” ภีมทำท่าจะไล่เตะติณณ์ แต่เจ้าตัวยุ่งดันไวกว่า วิ่งหนีไปในห้องรับแขกเพื่อทำแผลเรียบร้อยแล้ว

   ภีมผ่อนลมหายใจเบาๆ ถ้าเป็นคนอื่นพูดคำนั้นมันคงทำใจยอมรับและให้อภัยได้ แต่นี่คนพูดคือฟิน...ฟินคนที่ภีมคิดว่าเข้าใจเขามากที่สุดแล้ว ฟินคนที่ไม่น่าจะพูดคำนั้นออกมา

   “ปวดหัวโว้ย” ภีมตะโกนเสียงดัง “เอายามากินสักสิบเม็ดซิ...จะได้ตายๆไปเลย เบื่อฉิบหาย เรื่องอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะมากมาย เวรกรรมอะไรของฉันวะเนี่ย”

   เมื่อคุณชายของบ้านตะโกนเสียงดังอย่างนั้น บรรดาคุณแม่บ้านก็รีบหายามาประเคนให้แทบไม่ทัน

   “สิบเม็ดเลยเหรอคะ คุณชาย” แม่บ้านสาวรุ่นนางหนึ่งเทยาใส่ถ้วยสิบเม็ดไม่ขาดไม่เกินแล้วส่งให้ภีม

   ภีมอยากจะพ่นไฟใส่หน้าเธอเหลือเกิน “ฉันประชดเว้ย ประชด...ยัยโง่เอ๊ย ฉันไม่ชอบกินยา รู้ไว้ซะ”

   แล้ววันทั้งวัน ภีมก็หงุดหงิดใส่ทุกคนรอบข้าง ไม่เว้นแม้แต่ภูรดาที่อุตส่าห์ขับรถเพื่อมาทานข้าวเย็นกับน้องชาย ยังไม่วายที่จะถูกภีมโวยวายใส่ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง สรุปแล้วมื้อเย็นที่น่าจะมีความสุขกลับเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของสองพี่น้องอารมณ์ร้ายแห่งพิริยะ


   ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ไฟอัตโนมัติบนท้องถนนเริ่มทำงาน ป้ายรถเมล์สว่างด้วยแสงไฟนีออน แต่ฟินก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น...ความสามารถพิเศษของผู้ชายคนนี้คือ สามารถอยู่นิ่งๆได้นานเป็นวัน...

   ฟินนั่งก้มหน้า กอดอก นั่งอยู่ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่ไม่รู้จะไปไหน เพียงแต่รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเหนื่อยล้าเหลือเกิน ไม่อยากขยับไปไหนอีกแล้ว ขอนั่งอย่างนี้จนกว่าจะพอใจแล้วค่อยลุกขึ้นเพื่อก้าวต่อไป

   ครู่ต่อมา รถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งก็จอดลงที่เบื้องหน้าของฟิน ปรากฏหญิงสาวร่างใหญ่รีบวิ่งลงมาจากรถแล้วฉุดแขนฟินขึ้น “มานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะฟิน ขึ้นรถเร็วเข้า เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

   ฟินเงยหน้าขึ้นมองอย่างคนเฉื่อยชา “พี่ภู”

   “ขึ้นรถก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ภูรดาพูดพลางกึ่งลากกึ่งจูงให้ฟินเดินขึ้นรถ เสียงแตรดังลั่นท้องถนนตามด้วยเสียงก่นด่าระงมของคนขับรถเมล์และกระเป๋ารถเมล์ที่รวมพลังกันออกปากขับไล่ให้รถคันดังกล่าวออกไป

   ฟินกระโดดขึ้นนั่งที่เบาะหลัง ซึ่งมีคนนั่งอยู่ก่อน และบังเอิญเท้ามือไปทับกับมือของเขาจึงเอ่ยขอโทษขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ขอโทษครับ” แล้วทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองว่าเขาคนนั้นเป็นใครก็ต้องตกใจซ้ำอีกรอบ “ภีม”

   คนถูกเรียกชื่อยังนั่งนิ่ง ทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภูรดาเห็นท่าทางนั้นของน้องชายจึงเอ็ดเข้าให้ “ทำไมทำนิสัยอย่างนั้นล่ะภีม คนขอโทษแล้วยังทำหน้าบึ้ง นิสัยไม่ดี”

   ภีมทำท่าจะโต้กลับ แต่เมื่อเห็นว่าพูดไปก็เท่านั้นเลยนั่งอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร

   ฟินจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเสียเอง “จอดตรงนี้แหละครับ”

   “ได้ยังไงกัน วันนี้ไปนอนที่คอนโดพี่แล้วกัน ดูหน้าตาท่าทางอย่างกับคนไม่สบาย” ภูรดาพูดอย่างเป็นห่วง เธอรู้ดีว่าฟินอยู่คอนโดเพียงลำพัง ถ้าเกิดเป็นอะไรร้ายแรงเข้าจะยุ่ง “พี่จะดูแลเธอเอง”

   “ถ้าจะดูแลหมอนี่...แล้วจะให้ผมไปที่คอนโดพี่ทำไม จอดรถเดี๋ยวนี้เลย...ผมจะกลับบ้าน” ภีมโวยวายใส่พี่สาวเสียงดัง
   ฟินมองด้วยความลำบากใจ ในตอนนั้นรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจับใจแต่ก็ยังฝืนใจที่จะพูด “ให้ผมลงตรงนี้เถอะครับพี่ภู ผมกลับเองได้”

   “ได้ยังไงกันล่ะ หน้าซีดขนาดนี้ ถ้าพี่ไม่มาเจอเราแล้วจะทำยังไง” ภูรดาพูดเสียงจริงจัง

   “ถ้ามันไป...ผมไม่ไป” ภีมยื่นคำขาด ในขณะที่ภูรดาหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจของน้องชายคนนี้

   “แกจะบ้าหรือไง” ภูรดาตวาดเสียงดังลั่นรถ ฟินยิ่งรู้สึกปวดหัวเข้าไปใหญ่และยิ่งปวดมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อภูรดาเพิ่มระดับเสียงตวาด “เป็นถึงคุณชายแห่งพิริยะ แต่ไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย ฟินก็เพื่อนแกไม่ใช่เหรอไง มันจะอะไรกันนักหนา แกมันก็ดีแต่อย่างนี้นั่นล่ะ โวยวายคนอื่นเขาไปทั่ว ใครทำอะไรให้ไม่พอใจเข้าหน่อยก็โกรธเขา ว่าเขา ไม่เคยนึกถึงตอนที่ตัวเองทำนิสัยแย่ๆบ้างเลย”

   ภีมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เร่งให้ภูรดาจอดรถท่าเดียว “จอดตรงนี้เลย ผมจะลง...ถ้าพี่ว่าผมอย่างนี้ อย่ามาพูดกันเลยดีกว่า”

   ภูรดาตะโกนเสียงดังขึ้นอีก “เงียบปากไปเลยภีม ถ้าอยากลงนักก็ไปเลย ฉันเบื่อกับคนอย่างแกเหมือนกัน” ภูรดาหยุดรถอย่างแรง

   ภีมนิ่งอึ้งไปกับคำพูดนั้น เบื่อเหรอ...ทำไมใครๆก็เบื่อเขา

   “แกอยากลงนักไม่ใช่เหรอ ลงไปเลย” ภีมไม่เคยเห็นพี่สาวเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ต่อให้เธอจะโกรธเขาแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยพูดจาร้ายๆกับเขาถึงเพียงนี้

   “ได้ ผมจะลง” ภีมพยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ แล้วเดินลงจากรถไป

   แต่ยังไม่ทันที่จะไปถึงไหน เสียงร้องเรียกชื่อฟินก็ดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน...

   ภูรดานั่นเอง

   ภีมสังหรณ์ใจไม่ดีจึงเดินย้อนกลับมา พบภูรดากำลังเขย่าร่างของฟินอยู่ “ฟิน ตื่นๆ เป็นอะไรไปน่ะ” เธอว่าพลางเอามืออังหน้าผาก “ตัวร้อนจี๋เลย”

   “ฟินเป็นอะไร” ภีมเอ่ยถาม น้ำเสียงอ่อนลงไปมากเพราะเห็นสภาพฟินแล้วอดที่จะตกใจไม่ได้

   ภูรดาไม่ตอบอะไร แต่เร่งเครื่องยนต์ ภีมจึงรีบกระโดดขึ้นนั่งแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว จุดมุ่งหมายใหม่ของทั้งสามคนจึงกลายเป็นโรงพยาบาลแทนคอนโด

   “บอกผม ฟินเป็นอะไร” ภีมถามขึ้นอีกครั้งพลางจัดท่าให้ฟินนอนอย่างสบาย

   “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ก็อยู่ด้วยกัน...หันมาอีกทีก็หมดสติไปแล้ว” อารมณ์ของภูรดาตอนนี้ฉุนเฉียวไร้คำบรรยาย เพราะผิดหวังในตัวน้องชายเป็นอย่างมาก

   “มันคงเหนื่อย” ภีมเปรยๆขึ้น

   “แกอย่าเรียกคนอื่นว่า ‘มัน’ ได้มั้ย ฉันไม่ชอบ ไม่น่าเชื่อว่าน้องของฉันจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจแบบนี้ ฉันผิดหวังจริงๆ”

   “ผมขอโทษ ผมโมโหมากไปหน่อย” ภีมยอมรับผิดก่อนจะก้มหน้าลงมองใบหน้าของฟินที่ซีดเซียวไร้สีเลือด มือเรียวสวยลูบไปตามศีรษะได้รูปเบาๆ   

   “แกจะกลับไปก็ได้นะ ฉันจะไม่ห้ามเลย แต่ฉันจะจำไว้ว่าน้องของฉันมันเป็นคนแบบนี้” ภูรดาพูดประชดขณะเลี้ยวรถเข้าสู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

   ฟินถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ภีมนั่งรออยู่หน้าห้อง ส่วนภูรดาทำเรื่องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เธอมั่นใจว่าฟินต้องได้นอนเล่นที่โรงพยาบาลเป็นแน่

   ภีมนั่งรอด้วยความกระวนกระวาย สักพักหนึ่ง แพทย์ที่ทำการรักษาก็เดินออกมา

   “ภูไปไหนล่ะ” คุณหมอถามก่อน ภีมอยากจะเคาะกระโหลกคุณหมอคนนี้สักครั้ง แทนที่จะบอกว่าอาการเป็นยังไงกลับถามถึงภูรดาเสียนี่...

   “จัดการอะไรๆอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้านโน้น” ภีมพูดพลางทำหน้าเซ็งสุดฤทธิ์

   “คนไข้ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการ แล้วหมออยากจะตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วยน่ะ” พอพูดจบภูรดาก็เดินมาพอดี

   “ว่าไงหมอก้อง” ภูรดาถามคุณหมอซึ่งเป็นเพื่อนซี้กับเธอ

   “รอดูอาการก่อน แล้วฉันก็อยากตรวจเพิ่มเติมด้วย”

   “มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ” ภูรดาถามอย่างกังวล

   “ไม่ถึงขนาดนั้น ตอนนี้เข้าข่ายเป็นไมเกรนอยู่ แต่อยากตรวจดูให้แน่ใจ ตรวจไปถึงว่ามีเนื้องอกในสมองหรือเปล่า เอาให้ชัดเจนไปเลย แล้วผู้ป่วยมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า ร่างกายดูอ่อนเพลียมากเลยนะ แล้วไหนจะพักผ่อนไม่เพียงพออีก ดูท่าจะพ่วงเอาโรคกระเพาะมาอีกโรคนะ ฉันว่า”

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ” ภูรดายกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้ “เออๆ ขอบใจมาก เดี๋ยวฉันติดต่อญาติคนไข้เอง”

   คุณหมอแยกไปอีกทาง สักพักฟินก็ถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉินไปยังห้องพักพิเศษที่ภูรดาจองไว้ ภีมรีบเดินตาม ในขณะที่ภูรดาหาเบอร์โทรศัพท์ติดต่อครอบครัวของฟินอย่างเร่งด่วนแต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ

   ใบหน้าของฟินซีดเซียวจนน่าตกใจ ภีมมองดูอย่างวิตก จนกระทั่งบุรุษพยาบาลออกไปจากห้องนั่นล่ะ ภีมถึงเข้าไปยืนใกล้ๆเตียงคนไข้

   “เครียดอะไรนักหนา...ฟิน” ภีมพูดเสียงอ่อนโยนพลางลูบศีรษะของฟินอย่างเบามือ ถ้าภีมรู้ว่าฟินต้องเจอกับเรื่องอะไรมาบ้างก็คงจะดีไม่น้อย ภีมจะได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ภีมจะไปรู้ได้อย่างไรถ้าฟินไม่ยอมบอกและเลือกที่จะเก็บเรื่องราวที่แสนซับซ้อนนั้นไว้เพียงคนเดียว



 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 28-09-2011 17:17:18
ตอนแรกนึกว่าติณณ์จะงี่เง่าซะแล้ว โล่งอกไปหนึ่ง  :เฮ้อ:

มาอ่านตอนนี้ทำให้รู้ว่าภีมอารมณ์ร้ายกว่าที่คิดนะ คำว่า "น่าเบื่อจริงๆ" มันมีอิทธิพลมากพอดูสำหรับภีม
อาจเป็นเพราะคนที่พูดเป็นคนที่ภีมแคร์ก็ได้มั้ง

ตามต่อไปว่าอาการของฟินจะเป็นอย่างไรบ้างจ้า
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 28-09-2011 17:39:38
ไมเกรนพอแล้ววววววว
อย่าไปถึงเนื้องอกเลย
แค่นี้ฟินก็น่าสงสารจะแย่ละ ><

หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: e_new ที่ 28-09-2011 20:01:23
โอ้~~~ ไม่น๊า า!!!
เครียดหนักอ่าดิ ทั้งภีมทั้งครอบครัว
ภีมก็ปากแข็งอ่า เฮ้อ อ สู้ๆจ่ะฟิน :)
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 28-09-2011 20:05:51
ม่ายน๊าาาาา ฟินนนนน
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 23 – คนป่วย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 28-09-2011 20:20:54


บทที่ 23 – คนป่วย



   สองพี่น้องนั่งจุ้มปุ้กอยู่ในห้องพักพิเศษ เฝ้าดูคนที่นอนบนเตียงโดยที่ไม่พูดอะไร ภีมกำลังคิดเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับฟิน ส่วนภูรดาก็นั่งเป็นกังวลเรื่องติดต่อครอบครัวของฟินไม่ได้

   จนเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ภูรดาชวนภีมกลับบ้าน “กลับบ้านกัน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

   ภีมส่ายหน้าเบาๆ “พี่กลับไปเถอะ คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าเอง”

   “ตามใจ งั้นพรุ่งนี้พี่แวะไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านมาให้เราเปลี่ยนแล้วกัน” ภูรดาพูดพลางลูบศีรษะน้องชายเบาๆ “พี่จะมาแต่เช้าเลย เราก็นอนเร็วๆด้วยล่ะ”

   ภีมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ภูรดามองน้องชายอย่างงุนงง ตอนเย็นจะเป็นจะตาย...ดูตอนนี้สิ...อย่างกับคนฟั่นเฟือน ใบหน้าล่องลอยเหมือนคิดอะไรตลอดเวลา “ดูแปลกๆนะเราน่ะ”

   “ไม่เห็นแปลก รีบๆกลับไปเลยพี่ภู น่ารำคาญ” ภีมพูดพลางโบกมือไล่ พี่สาวคนนี้พูดมากเหลือเกิน

   ภูรดากำลังจะอ้าปากพูดต่อ แต่ภีมดันแย่งพูดขึ้นมาอย่างรู้ทัน “กลับไปเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น จะนอนแล้ว” พูดจบ ภีมก็แกล้งล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหลับตาสนิท

   “ฉันเป็นพี่แกนะ ไอ้นี่...ท่าจะบ้า” สาวร่างใหญ่ทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป

   ทันทีที่เสียงปิดประตูสงบลง ภีมก็ค่อยๆลุกขึ้นไปนั่งที่ข้างเตียงคนไข้แล้วกุมมือที่ไร้เรี่ยวแรงของฟินเอาไว้ “ตื่นมาจะถามให้หมดทุกเรื่องเลย ไอ้บ้าเอ๊ย...” ภีมพูดเบาๆ อยากรู้นักว่าฟินมีเรื่องอะไรให้คิดนักหนา ซ้ำยังทำตัวคล้ายกำลังปิดบังอะไรอยู่

   คืนวันนั้นก่อนนอน ภีมจุมพิตที่หน้าผากของฟินอย่างแผ่วเบา แม้จะเป็นสัมผัสที่บางเบาแต่ก็หนักแน่นพอที่จะทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่างหายไปนาน

   ในห้วงความรู้สึกนั้นของฟิน เขากำลังยิ้มให้กับภีม แม้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งคู่จะยิ่งมากขึ้นทุกที ทุกที ฟินพยายามเดินเข้าไปหาภีมแต่ดูเหมือนว่าภีมจะยิ่งห่างไปทุกที แต่พอฟินหยุดเดินกลับพบภีมยืนอยู่ข้างๆ “จะไปไหนอีก ให้ฉันตามตลอดเลย” ฟินพูด

   “ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็ไม่รู้ บางทีคนเราก็เลือกไม่ได้หรอกที่จะไปไหน” ภีมตอบ ในตอนนั้นฟินคิดว่ามันช่างเป็นคำตอบที่กำกวมและน่างุนงงที่สุด

   “ทำไมจะเลือกไม่ได้ ในเมื่อชีวิตมันเป็นของเรา” ฟินพยายามแก้คำตอบของภีม

   “แต่ชีวิตของเราต้องมีคนอื่นอยู่ด้วยนี่” ภีมแย้ง

   “เราอยู่กันสองคนไม่ได้เหรอ ไม่ต้องไปสนใจใครทั้งนั้น” ฟินพูดพลางจับมือภีมจนแน่น

   “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็คงดี มีชีวิตแบบที่ไม่ต้องสนใจใคร” ภีมก้มหน้าลงซ่อนใบหน้าหม่นหมอง

   “เราเป็นอย่างนั้นได้อยู่แล้ว” ฟินยืนยัน

   “แต่รอบตัวเรามีคนมากมายเกินกว่าที่เราจะไม่สนใจ” ภีมพูดอีก

   “ก็ช่างเขาสิ ให้เขามองเราอย่างเดียวก็พอ”

   “เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเขาก็คือส่วนหนึ่งของเรา”

   “ถ้าส่วนหนึ่งมีโดยที่ต้องเสียส่วนหนึ่งไป ไม่เอาได้มั้ย” ฟินปล่อยมือจากภีมแล้วขยับตัวออกห่างไปก้าวหนึ่ง

   ภีมส่งยิ้มบางๆให้ฟินก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วเป็นฝ่ายจับมือของฟินไว้เสียเอง “ทุกส่วนมันต้องสมบูรณ์ สักวันหนึ่ง”

   ฟินทำหน้าไม่แน่ใจ “วันนั้นเหรอ...คงอีกนานเลยนะ”

   “แต่วันนั้นก็ต้องมีอยู่ดี” ภีมพูดพร้อมมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า

   เขาสองคนกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูงชันที่โอบล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีคราม แม้จะสวยงามแต่ก็ยังน่ากลัว

   “ตอนนี้ ตรงนี้ เราอยู่กันสองคน ไม่มีใครเข้ามาในโลกของเรา” ฟินพูด

   “ใช่...ไม่มี” ภีมตอบ

   “ชีวิตของเราน่าจะหยุดตรงนี้” ฟินพูด

   “เร็วไปหรือเปล่า เรายังต้องเดินต่อไปนะ” ภีมแย้ง

   “แค่นี้ก็เดินมามากพอแล้ว” ฟินกระชับมือของภีมให้แน่นขึ้น “พร้อมหรือยัง”

   “เอาสิ...” ภีมตอบ ทั้งสองคนสบตากันก่อนจะก้าวไปเบื้องหน้าทีละก้าวๆ จนสุดหน้าผา

   “ไปกันดีกว่า” ฟินเป็นคนพูด สิ้นประโยคนั้น ร่างทั้งสองร่างก็กระโดดลงจากหน้าผาดิ่งลงสู่เบื้องล่างที่มีแต่น้ำ ห้วงทะเลอันเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตาดูดกลืนร่างของทั้งคู่ให้จมดิ่งลงไป

   ลึกลงไป ลึกลงไป...

   แต่อยู่ในน้ำทรมานเหลือเกิน ฟินพยายามตะเกียกตะกายขึ้นสู่เบื้องบนเพื่อสูดอากาศโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงจับภีมอยู่
   แต่...ลำบากเหลือเกิน

   ไม่ไหวแล้ว...

   ความรู้สึกทรมานนี้

   “ฟิน ฟิน ฟิน ตื่นๆ ฟิน” เสียงเรียกชื่อดังขึ้นติดต่อกัน ร่างของฟินรู้สึกมีชีวิตขึ้นอีกครั้งจากแรงเขย่าของใครบางคน

   ฟินเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากเย็น ก่อนจะพบว่าคนที่ปลุกเขาตื่นจากฝันร้ายคือ ภีม

   “ฝันร้ายเหรอ” ภีมพูดด้วยเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวลเสียจนฟินคิดว่าตัวเองฝันไป ภีมหายโกรธแล้วเหรอ เป็นไปได้ยังไง...หรือเราจะฝันไป

   ภีมมองดูใบหน้าของฟินที่คล้ายกับคนไม่รู้สึกตัวด้วยความเป็นห่วง “ฟิน ตั้งสติหน่อย” ภีมว่าพลางลูบเรือนผมที่ยุ่งเหยิงของฟิน “ทำไมทำหน้าแบบนั้น อย่างกับคนความจำเสื่อมเลย”

   ฟินค่อยๆยิ้มออกมา ฝันดีเหลือเกิน ฟินคิดในใจก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา

   ภีมมองดูนาฬิกา ตีห้าแล้ว...ยังนอนต่อได้อีกหน่อย แต่น่าเสียดายที่ภีมข่มตาอย่างไรก็ไม่หลับเสียทีด้วยเพราะความยินดีที่ได้เห็นว่าฟินตื่นขึ้นมาแล้ว แม้จะดูแปลกๆไปบ้าง แต่ภีมก็มั่นใจว่าคนอย่างฟิน...ต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน

   จนกระทั่งเจ็ดโมงเช้า ภูรดาก็มาถึงโรงพยาบาลพร้อมด้วยข้าวของมากมายที่คนอย่างเธอจะสรรหามาได้ ทั้งขนมนมเนย อาหารแห้ง ดอกไม้สดกระเช้าหนึ่ง ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า และอะไรต่อมิอะไรมากมายเต็มไปหมด เธอไม่อยากปลุกเด็กหนุ่มทั้งสองที่กำลังนอนหลับกันอยู่

   นอนหลับ...เมื่อคืนภีมนอนตรงนี้นี่นา ทำไมตอนนี้

   ภูรดาเดินเข้าไปใกล้เตียงคนไข้ก่อนจะมองดูภาพที่เห็น ภีมกุมมือของฟินจนแน่น เธอแปลกใจเล็กหน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

   ครึ่งชั่วโมงต่อมา ภีมก็ตื่นเสียแล้ว

   “ไปนั่งหลับตรงนั้นได้ยังไง” ประโยคแรกที่ภูรดาพูดขึ้นเมื่อเห็นภีมผงกศีรษะขึ้นมา

   ภีมคล้ายจะยังไม่ตื่นเต็มที่ “ว่าไงนะ”

   “ไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ไหนบอกจะนอนตรงนี้ไง” ภูรดาหรี่ตามองน้องชาย เธอไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอก แค่อยากแกล้งภีมก็เท่านั้นเอง

   ภีมพยายามทำสีหน้าให้เป็นปรกติ “เมื่อคืนหมอนี่ฝันร้ายน่ะ ก็เลยมานั่งปลอบ”

   “ไม่น่าเชื่อว่าภีมจะปลอบคนเป็นกะเขาด้วยแฮะ น้องชายฉันนี่...นับวันยิ่งเพี้ยน” ภูรดาคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่า

   ภีมละความสนใจจากพี่สาวแล้วหันมาหาฟินแทน สงสัยจะอดนอนมาหลายวันแฮะ...ภีมคิดแล้วก็ยิ้มออกมา

   เมื่อข้าวของต่างๆจัดเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ภูรดาก็ขอตัวออกไปหาหมอก้องเพื่อคุยเรื่องของฟิน ภีมบอกให้เธอรีบไป ไม่ต้องห่วงฟิน...เพราะเขาจะดูแลเอง

   “ภีม มีเบอร์ครอบครัวของฟินมั้ย เอาแบบของพ่อหรือแม่นะ เมื่อคืนพี่โทรเข้าสำนักงาน ไม่มีคนรับเลยสักคน พอวันนี้โทรไปใหม่ก็ไม่มีคนรับอยู่ดี” ภูรดาทำหน้าจริงจัง

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ “รอให้ฟินตื่นก่อนแล้วกัน ค่อยถามเอา”

   “เอางั้นก็ได้”

   ภีมมองภูรดาจนลับสายตา เมื่อหันมาหาฟินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเขากำลังลืมตาโพลงอยู่

   “เฮ้ยยย” ภีมร้องเสียงดัง

   ฟินยิ้มบางๆ ที่แท้เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้ฝันไป ทุกอย่างคือเรื่องจริง แต่ว่าตอนนี้ทำไม...ถึงมาอยู่ที่นี่ ที่โรงพยาบาลล่ะ “คำถามเยอะไปหมด ไม่รู้จะถามอะไรก่อน” ฟินบอก

   ภีมถลันตัวลุกขึ้นไปยืนให้ห่างๆเตียง ยังคงไว้ท่าอยู่บ้าง “ฉันก็มีคำถามเหมือนกันว่ะ เยอะด้วย” ภีมทำเป็นวางท่าขรึมทั้งที่ในใจดีใจแทบตายที่เห็นฟินตื่นขึ้นมา

   “ไม่คิดว่าต้องมานอนโรงพยาบาลเลย แค่ปวดหัวเฉยๆเอง” ฟินบอกพลางยื่นมือมายังภีม “มานั่งตรงนี้สิ ยืนห่างแบบนั้นทำไม...มันทำให้ฉันรู้สึกแย่” พูดแล้วก็นึกถึงความฝันเมื่อคืน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจะดีหรือเปล่านะ...

   ภีมลังเลเล็กน้อยก่อนจะจับมือของฟินแล้วนั่งลงที่เดิม ข้างๆเตียง “เครียดอะไรนักหนาเหรอไง ถึงปล่อยตัวเองให้เป็นแบบนี้”

   ฟินทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อนเรื่องต่างๆ “ก็เรื่องนายไง ไม่ยอมดีกับฉันเสียที”

   ภีมหน้าเสียไป ความรู้สึกผิดประดังประเดเข้ามาจนลืมความโกรธที่มีก่อนหน้านี้ไปสิ้น เพราะเขาหรอกหรือ...ฟินถึงต้องเป็นแบบนี้ “เอ่อ...คือ...แบบว่า...ฉัน...ขอโทษ มันโมโหมากไปหน่อย” ภีมพูดพลางลูบท้ายทอยแก้เก้อ

   ฟินยิ้มตาหยี ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วภีมจะดีด้วยแล้ว ฟินจะแกล้งป่วยซะวันละหลายๆรอบเลย “สรุปคือ เราดีกันแล้ว” ฟินเลิกคิ้วถาม

   “ก็งั้นมั้ง ฉันมันก็งี่เง่าเองล่ะ อะไรก็ไม่รู้...เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่” บทจะให้อภัยก็ง่ายจนน่าเหลือเชื่อ

   “ทีหลังอย่าให้ฉันต้องวิ่งตามอีกนะ นายคงไม่รู้...ว่ามันเหนื่อยและท้อมากแค่ไหน” ฟินพูดเสียงเศร้า ในแววตาฉายแววเป็นกังวลขึ้น

   ในตอนนั้นเอง ภีมก็ถามเรื่องที่ไม่ควรถามออกไป “ขอเบอร์ที่บ้านนายหน่อย จะโทรไปบอกพ่อกับแม่ ว่านาย...ป่วย” ภีมแบมือไปตรงหน้าฟิน

   ฟินสะอึกไปในทันที ใครจะไปให้กันเล่า...ถ้าให้ ความลับก็แตกกันพอดีน่ะสิ “ไม่ต้องบอกหรอก เดี๋ยวฉันก็หายแล้ว ไม่อยากให้ใครเป็นห่วง บอกพี่ภูด้วย... ว่าอย่าบอกพ่อกับแม่ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ”

   “ได้ยังไงล่ะ รู้หรือเปล่าว่าหมอจะเอกซเรย์ตรวจเนื้องอกในสมองนายให้ด้วย” ภีมพูดหน้าตาตื่น อากัปกิริยาที่เปลี่ยนแปลงจนคล้ายจะเป็นเหมือนเดิม ทำให้ฟินรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก

   อย่างน้อยเรื่องที่มันยุ่งๆอยู่ตอนนี้ ก็หายไปเรื่องหนึ่งแล้ว...

   “ฉันไม่ได้เป็นหรอก เนื้องงอกอะไรนั่นน่ะ ก็แค่เครียดมากไปหน่อย...มันมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะแยะไปหมด จนไม่รู้ว่าจะคิดเรื่องไหนดี”

   “เล่ามาให้หมด” ภีมทำหน้าดุ “ทุกอย่าง เดี๋ยวนี้”

   ฟินหัวเราะอย่างขบขันกับท่าทางนั้น มันดูตลกมากกว่าน่ากลัวเป็นไหนๆ “พาไปเข้าห้องน้ำก่อน ฉันอยากแปรงฟัน” ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาโดยที่ภีมไม่ทันสังเกต

   “ไปสิ” ภีมลุกขึ้นพยุงฟินด้วยมือข้างขวาส่วนมือข้างซ้ายถือสายน้ำเกลือ “ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”

   ฟินพยักหน้ารับ ความจริงแล้วมันปวดเอามากๆเลยล่ะ ยิ่งเฉพาะเวลาที่ต้องคิดอะไรมากๆด้วยแล้ว ยิ่งปวดจนบอกไม่ถูก

   “นั่งบนชักโครกนี่ล่ะ” ภีมบอกพร้อมกับแขวนสายน้ำเกลือ “เดี๋ยวไปเอาแปรงสีฟันกับยาสีฟันข้างนอกก่อน แป๊บนึง” ภีมบอกแล้วรีบวิ่งไปหยิบของที่ภูรดาซื้อมาให้

   ฟินยิ้มตาม...

   “ยิ้มอะไร บ๊องแล้วนะนายเนี่ย” ภีมพูดด้วยความอายแล้วป้ายยาสีฟันลงบนแปรงส่งให้ฟิน “จัดการซะ แล้วก็บ้วนปากต่อด้วยน้ำยาอันนี้” ภีมชูน้ำยาบ้วนปากให้ฟิน

   “ปากฉันมันแย่ขนาดต้องฆ่าเชื้อหลายๆรอบเลยเหรอเนี่ย” ฟินพูดยิ้มๆ

   “ก็เพื่ออนามัย ไม่รู้อ่ะ...ใช้ๆไปเหอะ พี่ภูอุตส่าห์ซื้อมา” ภีมบอกปัด ก่อนจะลงมือแปรงฟันบ้าง

   เมื่อเสร็จแล้ว ภีมก็พยุงฟินกลับมานั่งบนเตียงดังเดิม

   “เก้าโมงครึ่ง หมอจะมาตรวจ” ภีมบอก

   ฟินพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันไปมองเสื้อผ้าที่แขวนไว้ชุดหนึ่ง “เฝ้าทั้งคืนเลยเหรอ”

   “อืม...”

   “เป็นห่วงฉันหรือเปล่า” ฟินถาม ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบที่ดี

   ภีมยักไหล่แล้วก็ไม่ตอบอะไร แต่ฟินก็พอเดาออก...คนปากแข็งอย่างนี้ต้องเจอเหตุการณ์ที่จวนตัวเท่านั้นล่ะ ถึงจะยอมพูดความจริง “ช่างมันเถอะ นายจะรู้สึกอย่างไรฉันก็ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว”

   “ไม่ต้องมาทำน้อยใจ ถ้าไม่เป็นห่วงแล้วจะมานอนเฝ้าหาซากอะไรเล่า” ภีมโพล่งออกมาอย่างลืมตัว

   ฟินยิ้มบางๆ พอใจในคำตอบนั้น “ก็แค่นั้น เต๊ะท่าอยู่ได้”

   “พูดมากน่า”

   “เช็ดตัวให้หน่อยสิ ร้อนอ่ะ” ฟินบอก

   ภีมทำหน้ามุ้ย มันจะร้อนได้อย่างไรในเมื่ออยู่ในห้องแอร์ “เดี๋ยวพยาบาลจะมาเช็ดให้”

   “ฉันจะให้นายทำ” ฟินยืนยัน

   “มากไปแล้ว คนอย่างฉัน” ภีมชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นให้นาย” พูดจบก็ชี้ไปที่ฟิน “อย่ามาเรียกร้อง”

   “ฉันทำเองก็ได้” ฟินพูดเรียบๆ ก่อนจะดีดตัวให้อยู่ในท่านั่งแล้วทำท่าจะลงจากเตียง

   ภีมมองอย่างขุ่นเคือง ฟินกำลังยั่วเขาอยู่ชัดๆ... “เออๆ ทำให้ นอนอยู่อย่างนั้นล่ะ เรื่องมากเว้ย เสียเงินจ้างพยาบาลไปแล้วแท้ๆ” ภีมบ่นกลบเกลื่อนความอาย

   แต่...ขอโทษที ที่คนอย่างฟินรู้ทัน

   สักพัก...ภีมก็ออกมาพร้อมกะละมังที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งและผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ

   “ถอดเสื้อสิ” ภีมสั่งพลางจุ่มผ้าลงน้ำแล้วบิดพอให้หมาด

   “ถอดให้หน่อย ติดสายน้ำเกลือ” ฟินชี้ไปที่น้ำเกลือ แล้วก็ยิ้มออกมา

   ภีมไม่ชอบใจรอยยิ้มนั้นเอาเสียเลย “เรื่องมากวุ้ย ทำอย่างกับพิการ” ถึงบ่นแต่ภีมก็ทำอยู่ดี

   “อย่าใจเต้นล่ะ” ฟินแกล้งพูด

   “ไอ้บ้านี่...เดี๋ยวไม่เช็ดให้เลย พูดมากอยู่ได้” ภีมดุไปถอดเสื้อไปจนเสร็จ

   ฟินดูผอมลงไปมากทีเดียว จากที่เคยมีเนื้อมีหนังบ้างก็ดูซูบลงไป ภีมมองด้วยความฉงน ฟินจดจ้องทุกอิริยาบถของภีม และรู้ว่าตอนนี้ภีมคิดอะไรอยู่ “มองอยู่ได้ รู้นะว่าคิดอะไร”

   “ไอ้บ้า...ฉันคิดอะไร ทุเรศ ลามก” ใบหน้าของคนพูดค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆ

   ฟินมองอย่างขบขัน ไปกันใหญ่แล้วภีม “นายนั่นล่ะ ลามก...ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย” ฟินหัวเราะออกมา “เรื่องที่ฉันคิดคือ นายรู้สึกว่าฉันผอมไปใช่มั้ยล่ะ”

   ภีมทำหน้าบึ้งด้วยความอาย นี่เขาคิดไปเองอีกแล้วเหรอ... “จะไปรู้เหรอ พูดมากจริงๆ”

   “นายนี่ชอบคิดอะไรแบบนั้นอยู่เรื่อย” ฟินยื่นมือมาโอบเอวภีม “คิดมาก เดี๋ยวก็เจอจริงๆหรอก” แล้วก็ออกแรงรั้งให้ภีมมาอยู่ใกล้

   “ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้อนะ เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ภีมเลิ่กลั่กไปมาพลางแกะมือของฟินออก

   “ใครจะเห็น อยู่ในห้องกันสองคนเอง” ฟินพูด ลืมเรื่องเหตุการณ์ที่คอกม้าไปเสียสนิทว่าเคยมีคนเห็นมาแล้ว “ไม่ได้ทำอะไรๆกันนานแล้วนะ”

   “ไอ้ลามก” ภีมฟึดฟัด ผ้าเช็ดตัวตกลงพื้นไปเรียบร้อยแล้ว “ปล่อยนะเว้ย เดี๋ยวพี่ภูมา”

   “ยังหรอก เรามาทำอะไรๆกันดีกว่า” ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้เจ้าเล่ห์เหลือล้น คนที่เงียบๆอย่างเขาน่ะ...น้ำนิ่งไหลลึกอย่าบอกใคร

   “ไม่เอา ไม่ทำเว้ย” ภีมหนีสุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่กล้าออกแรงมากเพราะกลัวไปถูกสายน้ำเกลือเข้า ฉะนั้น ฟินจึงได้ใจ รั้งไปรั้งมาจนภีมเสียหลักมาจุ้มปุ้กอยู่บนเตียงด้วยกัน

   “ไม่ได้ทำแบบนั้นสักหน่อย” ฟินตีหน้าผากภีมเบาๆ “ดูสภาพฉันสิ จะทำไหวได้ยังไง”

   เออ...จริง ภีมลืมคิดไป ถ้าไหว...มันก็ไม่ใช่คนแล้ว “แล้วจะทำอะไร”

   ฟินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “จูบฉันหน่อย”

   “ไม่เว้ย” ภีมปฏิเสธทันที “ใครจะบ้าไปทำอย่างนั้น”

   “พูดไม่คิดเลยนะ เคยทำตั้งหลายครั้งแล้วนี่” ฟินบอก

   “นายเป็นฝ่ายทำเองทุกที ฉันไม่ได้เรียกร้องเลย”

   “เหรอออออออ” ฟินลากเสียงยาว ดูน่ารักเหลือเกิน ภีมเริ่มใจอ่อนขึ้นมา “นายก็จูบฉันบ้างสิ เอาแบบเฟรนซ์คิสนะ ท้าทายดี” ฟินพูดยิ้มๆ

   ภีมมองอย่างไม่น่าเชื่อ หมอนี่เป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “เมื่อก่อนไม่เห็นจะพูดจาแบบนี้เลย เดี๋ยวนี้พูดมากขึ้นนะ แถมยังชอบพูดอะไรๆที่...” ภีมหยุดคำพูดไว้แค่นั้นแล้วปล่อยให้ฟินไปคิดต่อเอาเอง

   “คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้นี่ เปลี่ยนไปในทางที่ดีก็ดีไม่ใช่เหรอ”

   ภีมทำหน้าเหรอหรา มันดีตรงไหนฟะเนี่ย...ไม่เข้าใจ

   “รีบๆทำซะ เร็วเข้า เดี๋ยวพี่ภูมา” ฟินเร่ง แล้วหลับตาลงรอจุมพิตจากภีม

   ไอ้หมอนี่...มันบ้าไปแล้ว

   แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น...ภีมก็หันไปจูบฟินอยู่ดี

   ยิ่งจูบก็ยิ่งหายใจไม่ทัน จะหยุดพักก็ไม่ได้แล้ว...

   หลังจากตอบรับริมฝีปากและลิ้นอุ่นร้อนนั้นแล้ว ฟินก็เป็นฝ่ายเริ่มเล่นกับปากของภีมบ้าง

   “ก็ทำได้นี่” ฟินพูดเสียงสั่นก่อนจะจู่โจมริมฝีปากนั้นอีกครั้ง มันยังหอมหวานและเย้ายวนเหมือนเดิม

   “อืมม์” ภีมครางเบาๆ สองมือโอบรอบกายของฟินจนแน่น

   ฟินอยากจะดึงสายน้ำเกลือที่ติดอยู่หลังมือทิ้งเหลือเกิน มันทำให้เขากอดภีมตอบไม่ได้ ฟินจึงใช้มือข้างที่เหลือลูบเบาๆที่แผ่นหลังของภีมแทน

   ริมฝีปากของภีมถูกดูดกลืนเข้าไปในปากของฟินเรียบร้อยแล้ว เสียงจ๊วบจ๊วบดังขึ้นไม่หยุดหย่อน มันฟังตลกอยู่เหมือนกันถ้ามีใครสักคนบังเอิญเปิดประตูเข้ามาได้ยิน แต่สำหรับสองคนที่กำลังมีความสุขอยู่คงไม่มีใครสนใจเสียงที่ว่าตลกนั้น

   แม้กระทั่งฟินที่คิดว่าถ้ามีใครสักคนเปิดประตูเข้ามาคงได้ยินแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริง...สมองกลับตกอยู่ในห้วงของความหวานจนไม่รับรู้ว่ามีคนได้เปิดประตูเข้ามาแล้ว

   คนมาใหม่เปิดประตูเข้ามาช้าๆเพราะไม่อยากรบกวนคนป่วย...

   แต่พอเข้ามาในห้องแล้วก็ต้องรีบปิดประตูลงกลอนด้วยความตกใจและไม่อยากให้มีใครมาเห็นภาพนี้เข้า

   ท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงริมฝีปากของคนทั้งสอง ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้เล็ดลอดออกมา เขาตัดสินใจยืนอยู่ตรงนั้นที่หน้าประตูแล้วมองดูคนทั้งสองต่อไป รอให้ทางนั้นเป็นฝ่ายรู้ตัวเองว่ามีคนกำลังมองอยู่

   แต่จนแล้วจนเล่า เขาทั้งคู่ที่อยู่บนเตียงก็ยังคงไม่ถอนริมฝีปากออกจากกันเสียที

   เขาจึงตัดสินใจแกล้งดีดนิ้วดังเป๊าะเพื่อดึงสติที่หลุดลอยไปของคนบนเตียงให้กลับมา

   ถ้าคนที่เข้ามาในห้องตอนนี้ไม่ใช่เขา...อะไรจะเกิดขึ้น

   “เป๊าะ” เสียงดีดนิ้วดังขึ้น

   ภีมเป็นฝ่ายได้สติก่อน เขารีบหันไปยังต้นเสียงในทันที

“เฮ้ย” สิ้นเสียงภีมก็ผลักฟินออกไปอย่างลืมตัวจนฟินแทบตกเตียง แล้วตัวเองก็กระโดดลงมายืนตัวตรงข้างล่างอย่างรวดเร็ว

“ภีม ผลักฉันทำไม เกือบตกเตียงแล้ว เห็นมั้ย” ฟินพูดพลางจับขอบเตียงไว้แน่น ภีมกัดริมฝีปากอย่างโมโหแล้วจ้องมองไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าประตู

ฟินยังคงไม่รู้ว่ามีบุคคลที่สามได้ล่วงเข้ามาในห้องแล้ว จนกระทั่งภีมบอกนั่นล่ะ ถึงได้รู้

“เข้ามาได้ยังไง” ฟินพูดเสียงเรียบ ดวงตาคมจ้องมองคนที่ยืนอยู่ด้วยแววตาเฉียบคม



 o18 o18 o18 o18 o18
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 28-09-2011 20:24:00
 :m15:  :m15: :m15:

สงสารน้องฟินนนนน

 :call:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 28-09-2011 22:34:14

โถ ๆ น้องฟินคนดีถึงกับต้องเข้าโรงหมอ     (http://i269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/01/cute-bear-2-002.gif)     


ขออย่าให้น้องฟินเป็นอะไรร้ายแรงเล๊ย... คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย สาธุ ๆ ๆ      :call:

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 28-09-2011 22:57:33
สงสารฟิน :sad11: อย่าเป็นไรมากนะ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-09-2011 23:31:36
เครียดแทน ง่ะ

 :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: lovely2min ที่ 28-09-2011 23:34:47
ใครคือบุคคลที่สามอ่ะ
อย่าให้ฟินเป็นไรเลยนะจ๊ะ TT
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kp ที่ 29-09-2011 01:18:40
รักเธอสองคนนี้จัง
อยากรู้ว่าจะเกิดรัยขึ้นกับเขาทั้งสองคน
สู้ๆนะครับ   อุปสรรคมีไว้ให้เราข้ามผ่าน
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 29-09-2011 09:11:37
ใครเข้ามาอ่ะ พี่ภูหรอ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 29-09-2011 16:45:40
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 29-09-2011 19:57:47
ใคตน้อเข้ามาขัดจังหวะได้
คนเค้ากำลังสวีทอยู่แท้ๆ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: alonezaxxx ที่ 29-09-2011 22:44:22
ใครง่าาาาา >,,,,,< อิจฉาจัง อยากเห็นมั่ง 555+ :-[ :-[
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: EVE910 ที่ 30-09-2011 15:39:56
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่22–ไวโอลินและสิ่งที่คาดไม่ถึง / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 30-09-2011 16:40:18
 :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >> บทที่ 24 – บุคคลที่สามและความสำเร็จ / Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 30-09-2011 20:11:13



บทที่ 24 – บุคคลที่สามและความสำเร็จ


   ภีมขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ส่วนฟินก็เอาแต่จ้อง จ้อง และจ้องอย่างเยียบเย็น

   คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าคนทั้งคู่ด้วยความสงสัย “มองผมอย่างนั้นทำไมครับ”

   “นายมาที่นี่ได้ยังไง” ฟินถามเสียงเรียบ ยังคงจ้องมองอยู่อย่างรอคอยคำตอบ

   “ผมก็เดินเข้ามานี่ล่ะครับ เดินเข้ามาได้จังหวะพอดีเลย ได้เห็นอะไรดีๆ” เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วทำหน้ายียวนสุดฤทธิ์

   ภีมถลันตัวเข้าไปกระชากคอเสื้อขึ้น “แกมาทำไม ติณณ์”

   “ภีม อย่าทำอย่างนั้น ปล่อยเขาซะ” ฟินปรามเพราะกลัวภีมจะพลั้งมือทำอะไรลงไป

   ภีมค่อยๆปล่อยติณณ์ “ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก”

   ติณณ์ยิ้มบางๆออกมา “ผมไปหาพี่ภีมที่บ้านแต่ดันเจอพี่ภูแทน พี่ภูก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ผมก็เลยมาเยี่ยมพี่ฟินที่นี่ แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็น...” ติณณ์เว้นจังหวะ แล้วทำหน้ากวนประสาท “เห็นพี่สองคนกำลังจู๋จี๋กัน”

   ฟินยังคงไว้ ในสีหน้าเรียบเฉย ส่วนภีมกัดริมฝีปากด้วยความอาย

   “ผมไม่บอกใครหรอก พี่สองคนไม่ต้องห่วง แต่คราวหลังถ้าจะทำอะไรๆกันก็น่าจะดูหน้าดูหลังให้ดีก่อนว่าจะมีคนมาเห็นหรือไม่” ติณณ์พูด สีหน้าดูจริงจังขึ้น จุดมุ่งหมายของติณณ์ในวันนี้คือมาเยี่ยมและขอโทษฟิน แต่บังเอิญมาเห็นบทจูบของทั้งคู่เสียก่อน สิ่งต่างๆที่ค้างคาใจอยู่ ณ ก่อนนั้น คลายปมในทันที สิ่งที่เขาสงสัยเป็นความจริงทุกประการ

   “ผมมาเยี่ยมพี่ฟินแล้วก็มาขอโทษที่เคยทำกริยาไม่ดีใส่พี่” ติณณ์ยิ้มบางๆอย่างจริงใจ แต่กระนั้นมันก็ยังดูยียวนอยู่ดี

   “ทำไมไม่เคาะประตู” ฟินพูด

   “ผมไม่อยากรบกวนพี่น่ะ ก็เลยเข้ามาเงียบๆ”

   “เข้ามานานหรือยัง” ฟินหรี่ตา

   ติณณ์ยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้เตียง “ก็นานแล้วครับ ไม่อยากขัดจังหวะ”

   “นายก็เลยยืนดูงั้นสิ” ภีมแทรกขึ้น

   ติณณ์บิดตัวไปมา นึกภาพเมื่อครู่เขาก็รู้สึกอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ก็งั้นล่ะครับ”

   “ไอ้บ้า แกโรคจิตป่ะเนี่ย” ภีมตวาดเสียงดัง

   “เปล่านะครับ” ติณณ์โบกมือปฏิเสธพัลวัน “ผมก็เคลิ้มๆไปตามพี่สองคนล่ะครับ แบบว่าดูดูดดื่มดี เก่งกันทั้งคู่เลยนะครับเนี่ย”

   “แกเงียบไปเลย ไม่งั้นฉันจะต่อยแก” ภีมขู่

   “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมสงสัยพี่สองคนมานานแล้ว แต่วันนี้ได้รู้ความจริงก็ดีเหมือนกัน แต่ก็อย่ากังวลว่าผมจะบอกใคร ผมไม่บอกใครหรอก ด้วยเกียรติของ...” ติณณ์ยังพูดไม่ทันจบ ฟินก็ยกมือขึ้นห้าม “นั่นมันก็เรื่องของนาย ไม่ต้องให้สัญญาอะไรทั้งนั้น”



   ภีมถอนหายใจแล้วค่อยๆเดินออกไปข้างนอก ฟินไม่ห้ามเพราะเข้าใจดีว่าตอนนี้ภีมรู้สึกอย่างไร ภีมคงอายที่พบว่ามีคนมาเห็นและรู้เรื่องนี้

   “เอ่อ...พี่ภีม” ติณณ์มองตามตาค้างด้วยความงุนงง

   “ภีมอายน่ะที่มีคนมาเห็น” ฟินบอก

   “แล้วพี่ไม่อายเหรอ” ติณณ์ถามกลับ ไม่ได้ตั้งใจจะกวนแต่อย่างใด

   ฟินอยากจะต่อยหน้าติณณ์สักทีหนึ่ง “อายสิ แต่จะให้ลุกไปไหนล่ะ ติดสายน้ำเกลืออยู่”

   “อ่อ...เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ คือผมอยากขอโทษพี่ในเรื่องที่ผ่านๆมา ผมก็ไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่ บางทีพูดไปเฉยๆ คนก็หาว่ายียวน”

   ก็หน้านายมันยวนจริงๆนี่ ติณณ์...ฟินคิด

   “ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็พ่อแม่ให้หน้ามาแบบนี้”

   โทษพ่อแม่เสียอย่างนั้น...

   “ตอนแรกผมก็คิดว่าผมชอบพี่ภีมเหมือนกัน” ติณณ์สารภาพออกมา “และยิ่งวันนั้นเห็นพี่ภีมเล่นดนตรี ยิ่งรู้สึกชอบเข้าไปใหญ่”

   นายจะมาแย่งภีมไปจากฉันไม่ได้หรอก ไอ้หน้าอ่อน...ฟินกระหยิ่มยิ้มย่องในใจภายใต้สีหน้าเรียบเฉย

   “แต่พอเอาเข้าจริง ผมก็รู้ว่าที่ผมชอบคือเสียงดนตรีของพี่ภีมต่างหาก”

   ก็แน่นอนล่ะ...ภีมเล่นดนตรีเก่งจะตาย

   “เรื่องมันก็มีอยู่แค่นี้ล่ะครับ” ติณณ์พยักหน้าน้อยๆแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง “ผมขอโทษครับ”

   ฟินค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่น่ามองมากทีเดียว “ฉันไม่ได้โกรธนายเลย”

   “จริงเหรอครับ พี่ใจกว้างมากกกกกกกกก” ติณณ์ลากเสียงแล้วโผเข้ากอดฟิน “มิน่า...ทำไมพี่ภีมถึงยอมให้พี่คนเดียว”

   “ปล่อยฉันเถอะ ขนลุกยังไงไม่รู้” ฟินพูดกลั้วหัวเราะ

   “แหม...ทำเป็นเขิน ทีกับพี่ภีมนะ จูบเอาๆ” ติณณ์หัวเราะเสียงดัง

   ฟินหัวเราะตามไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอารมณ์ดี ทั้งๆที่แต่ก่อนก็ไม่ค่อยชอบหน้าผู้ชายคนนี้สักเท่าไร

   “ทำไมนายกวนประสาทอย่างนี้เนี่ย” ฟินถามอย่างไม่จริงจังนัก

   ติณณ์ยักไหล่ “ก็นั่นน่ะสินะ ผมก็ไม่ยักรู้ว่าตัวเองชอบกวนประสาทขนาดนี้”

   ฟินนิ่วหน้าอย่างขบขัน การที่ใครสักคนรู้เรื่องของเราแล้วยอมรับได้มันเป็นอะไรที่มีความสุขอย่างนี้นี่เอง “โล่งใจที่คนเข้ามาในห้องวันนี้คือนาย”

   ติณณ์หัวเราะร่า “ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะ ทีหลังก็ล็อคประตูก่อนละกันนะ จะได้มีเวลาตั้งตัว”

   “ฉันก็คงต้องทำอย่างที่นายว่าล่ะนะ แต่อยู่กับภีมทีไร ฉันเลินเล่อทุกที” ฟินพูดไปหัวเราะไป

   ติณณ์รู้สึกดีไม่น้อยที่วันนี้ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของอดีตประธานนักเรียนผู้เคร่งขรึม “พี่ภีมคงอ่อนโยนมากเลยใช่มั้ยครับ”

   ฟินยิ้มบางๆแล้วพยักหน้ารับ “ก็คงอย่างนั้นล่ะ” พูดแล้วก็คิดกลับไปในวันก่อนๆ “แต่ก็อารมณ์ร้ายใช่ย่อย”

   “แล้วพี่ฟินทนได้ยังไงล่ะเนี่ย” ติณณ์ถามอย่างสงสัยเพราะจากสถานการณ์ที่ตนเจอมาเป็นหลักฐานชิ้นเยี่ยมที่บ่งบอกว่าภีมร้ายกาจแค่ไหน

   “ไม่เห็นต้องทนอะไรนี่” ฟินขมวดคิ้ว “แบบนี้ล่ะ...ฉันชอบ”

   “ฮ่าๆๆ พี่สองคนนี้แปลกจริงเลย ยังไงก็ขอให้รักกันนานๆนะครับ” ติณณ์ยิ้มระรื่นก่อนจะบอกลาฟิน “กลับก่อนนะครับ ว่างๆจะมาเยี่ยมใหม่ หวังว่าคงไม่ได้เห็นอะไรๆดีดีอีกนะครับ”

   ฟินส่ายหน้าเบาๆอย่างขบขัน “บ้าแล้วติณณ์...ขอบใจที่มาเยี่ยมนะ เจอภีมก็บอกให้เข้ามาหาฉันด้วย”

   “ครับผม” ติณณ์ยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง

   ภีมยืนก้มหน้าอยู่หน้าห้องด้วยความเครียด ติณณ์รู้เรื่องเข้าแล้ว...ทำไมมันอายอย่างนี้ก็ไม่รู้

   ติณณ์เปิดประตูออกมาพบภีมที่ยืนก้มหน้าอยู่จึงเดินเข้าไปหา “พี่ภีม”

   ภีมเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวซีดค่อยๆแดงขึ้นด้วยความอาย “ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย”

   “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ พี่ยังคงเป็นพี่ที่น่ารักของผมอยู่เสมอ” ติณณ์พูดจริงจังก่อนจะยกมือไหว้ภีมอย่างนอบน้อม “ผมกลับก่อนนะครับ”

   ภีมเพียงพยักหน้ารับเบาๆแล้วเดินกลับเข้าห้องไปหาฟินดังเดิม

   ภีมเดินนิ่งๆเข้าห้องมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายสุดฤทธิ์ แล้วพูดกับฟินอย่างขุ่นเคือง “ติณณ์มันเข้ามาเห็นพอดีเลย ฉันอายแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย”

   ฟินหัวเราะในลำคอ “ติณณ์ไม่บอกใครหรอกและที่สำคัญหมอนั่นน่ะ...ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นเรา”

   “พูดอะไรของนาย เฮ้อ...ทำไมฉันรู้สึกอยากนอนขึ้นมานะ” ภีมพูดแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟา

   ฟินแกล้งเรียกเสียงดัง “อะไรกัน ยังไม่ทันได้เช็ดตัวให้ฉันเลยนะ”

   “ไม่เช็ดแล้วเว้ย ฉันอายจะแย่แล้ว รู้สึกเหมือนแก้ผ้าให้มันเห็นเลยอ่ะ” ภีมดิ้นไปดิ้นมาบนเตียงอย่างน่ารัก ฟินมองดูอย่างขบขัน

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ” ฟินกลั้วหัวเราะ

   “เออสิ...อายโว้ย อาย อาย อายยยยยยยย” ภีมโวยวายเสียงดัง

   “ไม่เอาน่า...รีบมาเช็ดตัวเข้าสิ” ฟินกวักมือเรียกภีม “เร็วๆสิภีม อย่าอายไปเลย”

   “ไม่เช็ดเว้ย รอพยาบาลไปเลย เดี๋ยวก็มาแล้ว” ภีมโบกมือปฏิเสธแล้วซุกหน้าลงกับหมอน “อายโว้ยยยยยยยย”

   ภีมนอนดิ้นอยู่บนโซฟาได้ไม่นาน พยาบาลก็เข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฟิน ระหว่างนั้นภูรดาก็เดินเข้ามาพร้อมกับหมอก้อง เจ้าของไข้

   “ฟิน เป็นยังไงบ้าง” ภูรดาถามภีมที่นั่งหน้ามุ้ยอยู่

   “ก็ดีครับ แต่ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย” ภีมตอบยานคางแล้วสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสติ

   ภูรดามองดูน้องชายอย่างงุนงง

   เมื่อพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฟินเรียบร้อยแล้ว ภูรดาก็ละความสนใจจากภีมไปหาฟินทันที “เป็นยังไงบ้างฟิน”

   ฟินยิ้มบางๆ ดูสดชื่นผิดจากวันก่อนโดยสิ้นเชิง “ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”

   ภูรดาหันหน้าไปขอความคิดเห็นจากหมอก้อง หมอก้องยิ้มตอบ “ยังไงก็ต้องตรวจให้แน่ใจ”

   “ไม่ต้องตรวจหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ก็แค่เครียดมากไปเท่านั้นเอง” ใบหน้าของฟินระเรื่อขึ้นอย่างขบขัน คิดได้อย่างไรว่าคนอย่างเขาจะเป็นเนื้องอก แค่ไมเกรนก็เหลือเชื่อแล้ว...

   “ยังไงก็ต้องตรวจนะฟิน พี่เป็นห่วง” คิ้วของภูรดาขมวดเข้าหากัน “ตรวจเถอะนะ”

   ฟินส่ายหน้าน้อยๆอย่างเกรงใจ ใบหน้าหล่อนั้นมีเค้าของความดื้อดึงอย่างชัดเจน “ไม่ตรวจครับ ผมรู้ตัวเองดี ผมก็แค่เครียดมากไปเท่านั้นเอง”

   “งั้นก็ตามใจ” ภูรดาบอกเสียงอ่อนก่อนจะหันไปหาหมอก้อง “แกว่าไง”

   “ตามใจ ที่ฉันพูดกับแกเมื่อวานก็แค่สันนิษฐานเฉยๆ ร่างกายคนไข้เมื่อวานแย่มาก...” หมอก้องพูดพลางใส่ปรอทวัดไข้ในปากของฟิน

   “แล้วมันจะเป็นอย่างที่แกบอกมั้ยล่ะ” ภูรดาร้อนรน “เนื้องอกอะไรเนี่ย”

   “ฉันก็ไม่รู้ไง...เลยจะตรวจให้แน่ใจ แต่ไมเกรนน่ะ...เป็นชัวร์” หมอก้องเลิกคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะหยิบปรอทออกจากปากฟิน “มีไข้อยู่ อยู่อีกซักสองวันก็แล้วกัน ให้ไข้ลดก่อนแล้วค่อยกลับ”

   ฟินห่อไหล่ในทันที อยู่ต่ออีกสองวันเหรอ...น่าเบื่อจะตาย “วันเดียวไม่ได้เหรอครับ” ฟินต่อรอง

   หมอก้องแสร้งเม้มปากทำเป็นครุ่นคิด ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “อยู่อีกสองวันนั่นล่ะ”

   “ใช่ๆ เดี๋ยวพี่จัดการทุกอย่างให้ ไม่ต้องเป็นห่วง” ภูรดาเสริม

   “แต่...ผม” ฟินจะเอ่ยปฏิเสธแต่ภูรดาก็แย่งพูดขึ้นมา

   “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นล่ะ อยู่ต่อไปเลย เดี๋ยวพี่จะให้ภีมอยู่เฝ้าเอง” ภูรดาบอกโดยไม่ถามความสมัครใจของภีมเลยสักคำ

   คนถูกพาดพิงดีดตัวยืนขึ้นทันที “เกี่ยวอะไรกับผมล่ะ ไม่อยู่หรอก...โรงพยาบาลน่าเบื่อจะตาย”

   “ไม่ต้องพูดมากเลยภีม” ภูรดาไม่สนใจภีม เธอหันไปพูดอะไรกับหมอก้องสองสามคำแล้วก็เดินออกไปด้วยกัน

   ภีมยืนหน้ามุ้ยด้วยความขุ่นเคือง ฟินมองดูอย่างขบขัน... “อยู่กับฉัน...ไม่น่าเบื่อหรอก” ฟินพูดยิ้มๆ

   “ฉันไม่ชอบโรงพยาบาลเว้ย ไม่ไหวหรอก”

   “ดูแลฉันแค่สองวันเอง อยู่เถอะนะ...นะ นะ” ฟินพูดจาออดอ้อนอย่างน่ารักพลางกวักมือเรียกภีมมานั่งใกล้ๆเตียง

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วแลบลิ้นใส่ “ลูกไม้เยอะนะนายน่ะ...”

   “มานั่งใกล้ๆหน่อย” ฟินพูดเสียงหวาน “นั่งตรงนี้” ฟินตบมือลงที่ตักของตนเอง

   ภีมทำหน้าเหวอ “บ้าเหรอ...ไปก็โง่แล้วเฟ้ย”

   “ตามใจ” ฟินถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนเงียบๆโดยไม่พูดอะไรอีก

   เป็นอันว่า ฟินใช้ไม้นี้เข้า ภีมก็ต้องยอมแพ้ให้ “มาทำเป็นนิ่ง เอาแต่ใจตัวเองเกินไปแล้ว” ภีมพูดพลางเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง

   ฟินไล่สายตาจนทั่วใบหน้าของภีมจากนั้นก็หยุดลงด้วยการสบตากับภีม

   ภีมเสมองไปทางอื่นเรื่อยๆแต่พอหันกลับมาทีไรก็เจอดวงตาของฟินจดจ้องอยู่ นานเข้าๆภีมก็อายจนทนไม่ไหว “ถ้ายังมองไม่เลิก ฉันจะกลับบ้านแล้ว”

   ฟินหลุดหัวเราะออกมา “ก็ไม่รู้จะทำอะไรนี่ แค่นี้ก็เขิน”



   “เขินบ้าอะไร ขนลุกต่างหากเล่า” ภีมพูดพลางทำท่าขนลุก

   “ภีม” ฟินเรียก “พรุ่งนี้คะแนนสอบออกแล้ว ดูให้หน่อยสิ”

   ภีมพยักหน้ารับ “ได้สิ เดี๋ยวให้พี่ภูยกโน๊ตบุ๊กมาให้ละกัน”

   “หวังว่าจะไม่กินแห้วซะล่ะ ไม่อย่างนั้น อดเรียนที่เดียวกันแน่ๆ” ฟินพูดอย่างไม่จริงจังนัก แต่ภีมนั้นรู้สึกขุ่นเคืองในใจชอบกล

   “ถ้าไม่ติดที่นี่ ฉันกับนายเลิกคุยกัน” ภีมพูดจริงจัง

   ฟินสะอึกไป “เอ่อ...ติดสิ ยังไงก็ต้องได้เรียนที่นี่อยู่แล้ว”

   “หึ” เสียงสุดท้ายของภีม แล้วทั้งสองก็ต่างคนต่างเงียบ ไม่พูดอะไรกันอีกเลยจนกระทั่งช่วงเย็น

   “จะเอาอะไรหรือเปล่า จะลงไปซื้อของข้างล่าง” ภีมถามเสียงแข็ง ฟินรู้ทันทีว่าภีมกำลังเคืองอะไรเขาอยู่

   “เอาอะไรก็ได้ที่ทำให้นายหายโกรธฉัน” ฟินเย้าเอา เพียงแค่คำพูดเอาใจเพียงประโยคเดียว ภีมก็หายโกรธอย่างง่ายดาย

   “ไม่ได้โกรธอะไรสักหน่อย อยากกินอะไรหรือเปล่า” นัยน์ตาของภีมเป็นประกายขึ้น

   “ไม่เห็นอยากจะกินอะไรเลย ไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ฉันหรอก” ฟินตอบ

   ภีมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ “ตามใจ”

   แม้จะพูดอย่างนั้น แต่พอเอาเข้าจริง ภีมกลับหิ้วของมาเต็มมือ ทั้งผลไม้ ของหวาน น้ำดื่ม และอะไรต่อมิอะไร

   “เหนื่อยว่ะ” ภีมบ่นพลางวางของลงบนโต๊ะ

   “ซื้ออะไรมานักหนา ของๆพี่ภูก็เต็มห้องจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว” ท้ายเสียงลากยาวพลางตวัดสายตาไปรอบๆห้อง อยู่แค่วันเดียว...ของเต็มห้องขนาดนี้ ตอนกลับจะทำยังไงล่ะ

   “ก็มันต้องกินต้องใช้นี่” ภีมเถียงไป จัดของไป

   “ตอนกลับช่วยกันขนตายเลย” ฟินแกล้งพูด

   “พูดมากน่า ตอนกลับก็ทิ้งๆไว้นี่ล่ะ เดี๋ยวก็มีคนมาเก็บเองล่ะ”

   ฟินส่ายหน้า ยังไงภีมก็ยังเป็นคุณชายอยู่ดี...ไม่รู้จักเสียดายเงินบ้างเลย




   เช้าวันใหม่ ภูรดามาโรงพยาบาลพร้อมคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คและเสื้อผ้าชุดใหม่ของภีม แวะมาได้เพียงครู่เดียวก็ต้องกลับไปทำงานที่บริษัทต่อ

   หลังจากที่ฟินเปลี่ยนเสื้อผ้าและตรวจวัดไข้จากหมอก้องแล้ว ก็รีบเช็คผลคะแนนสอบทันที หัวใจที่เต้นเร็วเพราะพิษไข้ยิ่งเต้นเร็วขึ้นไปอีกเมื่อคะแนนค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอคอมพ์

   ภีมนั่งเท้าคางมองอย่างเนือยๆ แค่คะแนนออกจะตื่นเต้นอะไรนักหนา... (ก็ตัวเองติดแล้วนี่)

   “ภีม” ฟินเรียกเบาๆด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

   “อะไรเหรอ” ภีมตกใจกับท่าทางของฟิน จากนั้นก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูที่หน้าจอ

   คณิตศาสตร์ 99...
   วิทยาศาสตร์ 98...
   ภาษาอังกฤษ 99...
   สังคมศึกษา ........ ฯลฯ

   ภีมขมวดคิ้วอย่างงุนงง ก็ได้เยอะนี่หว่า...แล้วมันจะทำหน้าเศร้าทำไมเนี่ย พอภีมเงยหน้าขึ้นก็พบว่าฟินกำลังยิ้มอยู่ เหอะ...โดนแกล้งนี่เอง ร้ายกาจนัก

   “จะทำหน้าเศร้าหาพระแสงอะไร...ฟิน” ภีมพูดเสียงเขียว นับวันหมอนี่ยิ่งมีลูกเล่นมากขึ้น

   “ตกใจไง...ที่มันได้เยอะขนาดนี้” ฟินหัวเราะเสียงดัง พอใจกับผลคะแนนเป็นที่สุด...ไม่ติดก็ให้มันรู้ไปสิ

   “ของฉันไม่ต้องดูหรอกนะ เสียเวลา” ภีมบอกพลางฟุบหน้าลงกับเตียงแล้วนอนหลับอยู่ข้างๆฟิน “ดูไปเดี๋ยวฝันร้ายเปล่ๆ”

   “แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าฉันสอนนายดีหรือเปล่า” ฟินพูดพลางใส่รหัสที่นั่งสอบลงไปเพื่อดูคะแนน

   ภีมยังคงไม่สนใจ

   คะแนนของภีมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่เจ้าตัวคิดเลยสักนิดเดียว

   คณิตศาสตร์ 62...
   วิทยาศาสตร์ 57...
   ภาษาอังกฤษ 78...
   สังคมศึกษา ........ ฯลฯ   

   “คะแนนดีเหมือนกันนี่ภีม” ฟินบอกพลางลูบศีรษะคนที่นอนฟุบอยู่ข้างตัว “โชคดีที่มีฉันเป็นครู”

   ภีมเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว “หลงตัวเองมาก ฉันเก่งด้วยตัวฉันเองต่างหาก”

   ฟินอมยิ้ม “ก็คงงั้นมั้ง” ฟินไม่ต่อความยาวสาวความยืดและยอมแพ้แต่โดยดี “เห็นมั้ยล่ะ นายหัวดีจะตายไป”

   “ทำเป็นพูดดี...”

   สองวันถัดมา ฟินก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปอยู่คอนโด ภูรดาสั่งให้ภีมอยู่เป็นเพื่อนฟินอีกเช่นเคย ของต่างๆที่สองพี่น้องซื้อไว้จนเต็มโรงพยาบาลก็ขนกลับมาไว้ที่คอนโดด้วย ตอนนี้คอนโดของฟินจึงเต็มไปด้วยอะไรต่อมิอะไรมากมายที่กองๆสุมกันอยู่กลางห้อง

   เมื่อขนของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ภูรดาก็กลับไปทำงานทันที

   ในคอนโดจึงมีเพียงฟินและภีมสองคน

   ฟินค่อยๆจัดของแต่ละอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ในขณะที่ภีมนั่งเฉยๆมองดูฟินเก็บของ

   กระเช้าดอกไม้สองกระเช้าที่ภูรดาซื้อมาให้ ฟินก็จัดการรื้อดอกไม้ออกแล้วจัดใส่แจกันนำมาวางไว้ที่โต๊ะแจกันหนึ่ง ที่ห้องนอนแจกันหนึ่ง ส่วนกระเช้าก็เก็บเข้าตู้ ขนมนมเนยต่างๆก็วางไว้อย่างเป็นระเบียบที่เคาน์เตอร์ห้องครัว ของต่างๆถูกจัดให้เข้าที่ทีละอย่างๆจนครบ ฟินไม่ทิ้งอะไรไปเลยสักอย่างเดียว

   พื้นที่กลางห้องกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง

   “บอกแล้วว่าไม่ต้องเอากลับมา” ภีมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะลุกไปนั่งที่โซฟา

   “ทำอย่างนั้นได้ยังไง เสียดายของ” ฟินว่าพลางเดินไปนั่งข้างๆภีม “ไม่เสียดายของบ้างเลยเหรอภีม”

   “ซื้อใหม่ก็ได้นี่”

   “มันไม่เหมือนกันหรอกนะ นายก็หัดเสียดายของซะบ้าง ไม่ใช่ว่าจะซื้อใหม่หรือหาใหม่ลูกเดียว” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน คุณชายอย่างภีมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ

   “ไม่เถียงกับนายละ พูดอะไรก็ไม่รู้” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปเล่นเกม

   แต่ไปได้เพียงสองก้าวก็ต้องเซล้มมานั่งที่เดิมด้วยแรงดึงของฟิน

   “รีบไปไหนเล่า” ฟินพูดอ้อนๆพลางโอบรัดภีมไว้

   ภีมแสร้งทำเป็นนิ่ง “จะไปเล่นเกม”

   “ไม่ให้ไป” ฟินตอบทันควันก่อนจะเพิ่มแรงโอบรัดร่างเพรียวบางนั้นไว้ให้แน่นขึ้น “วันหลังฉันจะเอาเกมพวกนี้ไปทิ้งให้หมดเลย”
   “เพิ่งบอกให้ฉันรู้จักเสียดายของไม่ใช่เหรอ” ภีมเลิกคิ้ว

   “นายก็สนใจฉันให้มากกว่าเกมสิ”

   “ก็ฉันชอบเล่นนี่นา”

   ฟินเหมือนจะนึกอะไรออกจากคำพูดของภีม ชอบเล่นเกมเหรอ...

   “งั้นเรามาเล่นเกมกัน” ฟินเสนอขึ้น

   “ได้สิ” ภีมตกลงอย่างง่ายดายเพราะไม่รู้อุบายของฟิน

   “แต่มีข้อแม้นะ ถ้านายแพ้...ให้ฉันทำอะไรก็ได้” ข้อเสนอของฟินเผยความคิดที่อยู่ในหัวของเจ้าตัวมาจนหมดเปลือก แต่คนอย่างภีมมั่นใจในฝีมือตัวเองเป็นอย่างมาก เรื่องเรียนอาจไม่เก่ง แต่ดนตรีและเกมไม่เป็นรองใครแน่นอน

   “แล้วถ้าฉันชนะล่ะ” ภีมถาม

   “ก็ทำอะไรฉันก็ได้ไง”

   “ตกลง เรามาเล่นเกมกัน” ภีมพูดพลางผลักฟินออกเบาๆแล้วเดินนำไปยังสนามแข่งขันหน้าจอทีวีทันที

   ฟินยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามไปอย่างเกียจคร้าน

   นายมั่นใจเกินไปแล้วภีม ทุกเกมที่นายเล่น ฉันเล่นจนเคลียร์หมดแล้ว... ฟินคิดในใจ



 :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 25 – ก็แค่เกม! /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 30-09-2011 20:23:18


บทที่ 25 – ก็แค่เกม!



   ภีมจับเครื่องเล่นก่อนแล้วนั่งลงทางซ้ายมือของจอทีวี เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าการแข่งขันครั้งนี้ ‘ต้องชนะอย่างแน่นอน’

   ฟินถอนหายใจพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆภีมแล้วหยิบเครื่องเล่นอีกชิ้นหนึ่งมาเป็นของตัวเอง คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นอย่างได้ใจ ฟินเหล่มองภีมเล็กน้อยก่อนจะกดปุ่มเริ่มเกม

   “พร้อมนะภีม” ฟินยิ้ม

   “เอาเลย พร้อมอยู่แล้ว” ภีมตอบรับโดยที่สายตาจดจ้องอยู่หน้าจอทีวี

   ปฐมบททแห่งการต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดนเริ่มขึ้น การจะเป็นที่หนึ่งนั้นต้องมีไหวพริบ เชี่ยวชาญการต่อสู้ และรอบรู้ยุทธศาสตร์ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วสมรภูมิรบ ในขณะที่ต่อสู้กับศัตรูก็ต้องคอยปกป้องดินแดนของตนเองไว้ด้วย

   ดินแดนทางฝั่งซ้ายที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางแร่ธาตุนั้นเป็นของภีม ส่วนดินแดนทางขวาที่เจริญไปด้วยเทคโนโลยีนั้นเป็นของฟิน ป้อมปราการสูงใหญ่ของแต่ละฝ่ายเต็มไปด้วยเหล่าทหารนับร้อยชีวิต

   บึ้มมม !!!

   สัญญาณรบเริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างดาหน้าเข้ามาฆ่าฟันกัน ฝ่ายที่ก้าวล้ำนำเทคโนโลยีก็มีปืนกลมากมายที่ยิงระรัวเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ส่วนฝ่ายที่เต็มไปด้วยแร่ธาติก็มีการแพร่สารพิษร้ายใส่ศัตรู รวมทั้งดินปืนขนาดใหญ่ที่กำลังจะใส่ลงไปในปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าป้อม

   “อย่ายิงนะภีม” ฟินพูดเสียงเข้ม คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างคร่ำเครียด

   ภีมหัวเราะเบาๆ “สายไปแล้ว”

   ดินปืนกลิ้งลงไปในปืนใหญ่และถูกยิงออกไปเรียบร้อยแล้ว ทหารทางฝ่ายขวาหายไปครึ่งหนึ่ง เมื่อเสียกำลังพลไปมาก ฝ่ายขวาที่เจริญเทคโนโลยีก็สั่งให้ทหารนำปืนกลขนาดใหญ่ออกมาเพื่อทำลายล้างศัตรู รับรองว่ายิงเพียงคนละครั้งเท่านั้น ฝ่ายซ้ายต้องพังพินาศอย่างแน่นอน

   ฟินสั่งการลงไป...

   ยิง !!!

   กลุ่มควันหนาแน่นปกคลุมฝ่ายซ้าย ฟินหันมายิ้มเยาะภีม “แพ้แล้วภีม”

   ภีมยิ้มกลับ “เหรอ ดูใหม่สิว่าใครกันแน่ที่แพ้”

   ฟินเงยหน้าขึ้นมองดูกองทัพของตนที่กำลังยกธงขาวยอมแพ้ “เป็นไปได้ไง” ฟินเริ่มเป็นฝ่ายโวยวาย “ฉันยิงนายทั้งกองทัพเลยนะ จะแพ้ได้ยังไงล่ะ นายโกงฉันหรือเปล่าภีม”

   ภีมกระแอมหนึ่งครั้งแล้วพูดเสียงสุภาพ “ฝ่ายฉันแพร่พิษใส่ฝ่ายนายตั้งแต่เริ่มเกมแล้วล่ะ เพิ่งมาออกฤทธิ์เอาตอนสำคัญพอดี โชคดีจริงๆ”

   ฟินทำแก้มป่องด้วยความขุ่นเคือง ดันมาแพ้ภีมซะได้...

   “เอาล่ะๆ นายแพ้แล้วฟิน” ภีมแกล้งหัวเราะเสียงดังแล้วตบบ่าฟินแรงๆ “ก็แค่เกมล่ะนะ แต่ว่านายแพ้ว่ะ ฮ่าๆ” ภีมยังหัวเราะไม่เลิก

   ฟินหรี่ตามองภีม “อยากให้ฉันทำอะไร ว่ามา”

   ภีมขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้ฟินทำอะไรดี นั่งคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะให้ฟินทำอะไร “คิดไม่ออกอ่ะ เก็บไว้ก่อนละกัน”

   “ไม่ได้ ต้องคิดให้ออก” ฟินบอกเสียงเรียบ ยังขุ่นเคืองไม่หายที่ตนเองเป็นฝ่ายแพ้ อุตส่าห์ตั้งใจไว้แล่วเชียวว่าถ้าชนะ จะทำอะไรภีมก็ได้ กลับมาแพ้เสียอย่างนั้น มันน่าโมโหจริงๆ

   “งั้น... เลี้ยงมื้อค่ำวันนี้ละกัน”

   “เลี้ยงอยู่แล้วน่า... ห่วงแต่เรื่องกินอยู่ได้” ฟินบ่นอุบแล้วล้มตัวลงนอน

   ภีมหันมองอย่างงุนงง “จะมาทำเสียงเศร้าทำไมเนี่ย ก็บอกว่าอยากให้ทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

   ฟินพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ “ก็ใช่อยู่ แต่ช่างมันเถอะ... ก็แค่เกมล่ะนะ”

   “เออสิ... ก็แค่เกม คิดมากอยู่ได้ แพ้ฉันแค่นี้เอง ทำเป็นเครียด” ภีมเบะปากน้อยๆแล้วส่ายศีรษะ “เกม เกม มันคือเกม”

   “ก็ฉันอยากจะชนะนี่นา” ฟินบ่น

   “ชนะแล้วได้อะไร”

   “ก็...” ฟินเงียบไป จะให้บอกตรงๆก็ไม่กล้าว่าอยากได้ตัวนายนั่นล่ะ ใบหน้าหล่อแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย คิดแล้วก็เขินจริงๆ สุดท้ายฟินก็เผลอยิ้มออกมาราวกับคนบ้า

   “ยิ้มอะไร หน้าตานี่เคลิ้มเชียว” ภีมถามซื่อๆ ไม่รู้จริงๆว่าฟินคิดอะไรอยู่

   “คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฟินบอกเสียงหวาน “ในเมื่อนายเป็นฝ่ายชนะ ฉันก็มีรางวัลจะให้”

   “ไม่เอา” ภีมตอบทันควัน

   “รับไว้เถอะนะ” ฟินพูดพลางดึงตัวภีมให้ลงมานอนด้วยกัน

   “ฉันว่าแล้วว่านายมันเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ” ภีมบ่นหน้าตาย เริ่มรู้ความคิดของฟินขึ้นมาแล้ว

   “อุตส่าห์จะเล่นเกมให้ชนะแท้ๆจะได้ปล้ำนายง่ายๆโดยมีข้ออ้าง แต่ดันแพ้ซะนี่” ฟินบอกตรงๆอย่างหน้าตาเฉย

   ภีมผ่อนลมหายใจช้าๆแล้วพยายามดีดตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง แต่ฟินไม่ยอมง่ายๆอย่างนั้นหรอก

   “รางวัลสำหรับคนชนะ” ฟินบอก

   “ไม่เอาเว้ย ผู้ชนะเรียกร้องไปแล้วว่าเลี้ยงข้าวเย็น”

   “ไม่เกี่ยวกับเรื่องแพ้และชนะแล้วตอนนี้” ฟินพูดเองเออเอง “มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉัน”

   “จะบ้าหรือไง” ภีมยื้อสุดแรง “นึกจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ”

   “อย่าว่าฉันเลยนะ” ฟินพูดแล้วผลักร่างของภีมให้นอนลงบนฟูกหนานุ่ม จากนั้นก็ขึ้นคร่อมภีมเอาไว้ “จะแพ้หรือชนะ นายก็ต้องยอมฉันอยู่ดี”

   “ไอ้บ้าเอ๊ย!” ภีมสบถเบาๆแล้วหันหน้าไปทางอื่น ร่างกายที่อยู่ข้างล่างไม่เคลื่อนไหวอะไร ภีมกำลังน้อยใจ หมอนี่... ทำอะไรไม่เคยคิดถึงใจเขาเลย นึกอยากทำอะไรก็ทำ

   ฟินหน้าเสียไปก่อนจะลุกขึ้นจากร่างของภีม “ขอโทษ” พูดแค่นั้นแล้วก็นั่งกอดเข่าอย่างน่าสงสาร

   “ทำอะไรเคยนึกถึงฉันบ้างหรือเปล่า” ภีมถามโดยที่ไม่มองหน้าฟิน

   ฟินไม่ตอบอะไรได้แค่นั่งเงียบ ภีมจึงต้องเป็นฝ่ายง้อบ้าง ทั้งๆที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิดสักนิดเดียว “เศร้าไปทำไม ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันตั้งนาน”

   นั่นล่ะ... ฟินจึงยิ้มออก “ก็จริงนะ ยอมเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน” ฟินเย้า

   ภีมเป็นฝ่ายเขินบ้าง หมอนี่ชอบพูดจาให้รู้สึกร้อนในตัวทุกทีเลย “บ้าแล้ว” เวลาเขินภีมจะพูดเป็นแค่ว่า บ้า บ้าแล้ว แกบ้า บ้า และบ้า

   ฟินยิ้มกว้างพลางดึงร่างของภีมที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นนั่ง “เราต้องเจอกันอีกนานอยู่แล้วภีม มีเวลาตั้งหกปี ที่นายจะยอมฉัน”

   ภีมชะงักไป หกปีสำหรับนายคนเดียวน่ะสิ “ฉันเรียนแค่สี่ปีก็จบแล้ว ใครจะไปอยู่กับนายตั้งหกปีกัน”

   ฟินยังคงยิ้มอยู่ “ยังไงก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดีล่ะ”

   “ดูถูกกันมากไปแล้ว” ภีมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วชกเบาๆที่ไหล่ของฟิน “ถ้าจะไป ใครจะมีปัญญารั้งฉันไว้ ต่อให้นายก็เถอะ... ถ้าฉันจะไปซะอย่าง ใครก็รั้งฉันไม่อยู่”

   ครั้งนี้ฟินเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง ตั้งแต่มีภีมเข้ามาในชีวิต ฟินเป็นคนอ่อนไหวกับเรื่องความรู้สึกมากขึ้น คำพูดอะไรที่แต่ก่อนไม่เคยเอามาใส่ใจ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจไปเสียทุกเรื่อง “จริงอย่างที่ว่านั่นล่ะ... ถ้าจะไปก็คงไม่มีใครรั้งได้ แม้แต่ตัวฉันเอง”

   ภีมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ฟินชอบทำให้เขาอารมณ์เสียอยู่เรื่อย จะน้อยใจอะไรกันนักหนา เมื่อก่อนพูดแรงกว่านี้ยังรับได้เลยนี่... ทำไมตอนนี้กลายเป็นคนอ่อนไหวไปได้ “ฟินคนที่เข้มแข็งหายไปไหนแล้วล่ะ ทำไมมีแต่ฟินคนที่ขี้น้อยใจไปทุกเรื่องได้ล่ะเนี่ย”

   ภีมพูดไปขำไปแต่ฟินไม่ขำด้วย “จะแบบไหนยังไง มันก็คือฉันอยู่ดี” พูดแล้วก็ลุกขึ้นไปดื้อๆ ภีมนั่งมองตาค้าง “ขี้น้อยใจเกินไปแล้วนะฟิน” ภีมต่อว่าแล้วลุกขึ้นเดินตามไป

   “หยุดเลยฟิน ไม่ต้องเดินไปไหนแล้ว” ภีมคว้าชายเสื้อของฟินเอาไว้ ฟินหยุดเดินแต่ไม่หันหน้ามาหาภีม ภีมจึงเดินไปอยู่ข้างหน้าฟินแทน

   “พูดอะไรก็น้อยใจไปหมดเลยนะ” ภีมทำหน้าบึ้งใส่

   ส่วนฟินก็ตีหน้าตายใส่ลูกเดียว “ดูแต่ละคำที่นายพูดสิ...”

   “ฉันก็พูดอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ภีมพูดเสียงเรียบ เริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว

   “พูดไปพูดมา เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก” ฟินทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วเดินหนีไปอีกทาง ภีมเดินไปขวางไว้อีก “จะไปไหนเล่า”

   “ไปเข้าห้องน้ำ จะเข้าไปด้วยกันมั้ยล่ะ” ฟินเดินต่อแล้วจับมือภีมให้เดินไปด้วยกัน

   “เอ้ย... ไม่ไป” ภีมกระชากมือออกแล้วยืนรอที่หน้าห้องน้ำ

   สักพักฟินก็ออกมา สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม ภีมยืนพิงผนังกอดอกแล้วมองร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า “ฉันก็พูดไม่คิดอย่างนี้เสมอ นายก็น่าจะรู้นี่... ทีหลังก็อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์สิ”

   ฟินไม่พูดอะไรตอบ เพียงแต่เดินเข้ามาหาภีมแล้วดันร่างเพรียวบางนั้นให้ชิดกับผนัง

   ดวงตาคมทั้งสองคู่สบกันในทันที ความร้อนแล่นขึ้นสู่ใบหน้าทั้งสองคน ไม่มีใครพูดอะไร ฟินไม่ได้ขยับตัวหรือทำอะไรมากไปกว่าใช้สองมือกั้นกักตัวภีมไว้ ส่วนภีมก็ไม่ได้ขัดขืนหรือผลักไส

   ท่ามกลางความเงียบ ความคิดต่างๆและคำพูดมากมายเอ่อล้นอยู่ในดวงตาของคนทั้งคู่ ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว แค่นี้ก็มากเกินพอ...

   ไม่มีอะไรที่ต้องกล่าวแล้ว

   ภีมโผเข้ากอดฟินเอาไว้ ฟินกอดตอบ “เป็นอะไรไปภีม” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน

   “อยากกอดนายน่ะ... ฟิน” ภีมตอบเสียงแผ่ว

   “หลงรักฉันล่ะสิ” ฟินพูดกลั้วหัวเราะ

   “ก็รู้อยู่นี่นา”

   “จะยอมฉันหรือยัง” ฟินกระซิบเสียงแผ่วที่หูของภีม

   “เรื่องอย่างนี้ ใครเขาถามกันวะ” ภีมตวาดเข้าให้

   ฟินยิ้มแก้มปริแล้วลากภีมเข้าห้องทันที

   “ปัง” เสียงประตูห้องปิดลงอย่างแรง

   “กลางวันอยู่เลยว่ะ อย่างนี้ก็เขินตายสิวะ” ภีมบ่นพลางยันอกของฟินไว้

   “เรื่องแค่นี้เอง” ฟินลุกขึ้นไปปิดม่าน จนแสงภายในห้องเหลืออยู่น้อยนิด “มันอึมครึมยังไงก็ไม่รู้นะภีม”

   “มืดก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่เห็นอะไรๆ” ภีมตอบ

   ฟินหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพุ่งตัวขึ้นเตียงนอนทับภีมเอาไว้

   “เจ็บเว้ย ตัวก็ใหญ่ กระโดดเข้ามาได้” ภีมบ่นกระปอดกระแปด

   ฟินเอ่ยคำขอโทษเบาๆ แล้วจูบริมฝีปากของภีมอย่างหนักหน่วง น้ำหนักของริมฝีปากที่บดขยี้ลงมานั้นรุนแรงและเร่าร้อนจนแทบหลอมละลายร่างที่อยู่เบื้องล่างให้สลายหายไปได้ ภีมแอ่นรับร่างที่ทาบทับแนบแน่นอยู่บนร่างกาย

   ความร้อนแล่นไปทั่วร่างจนเสียงครางหลุดออกมาจากปากของคนทั้งคู่ ฟินสอดมือเข้าไปรองรับแผ่นหลังร้อนรุ่มของภีมแล้วลูบจนทั่ว ภีมเสียววาบไปทั่วทั้งกายจึงระบายความรู้สึกนี้ด้วยการจิกเข้าที่แผ่นหลังของฟิน เล็บของภีมคมพอที่จะสร้างรอยแผลเล็กๆไว้บนแผ่นหลังเนียนละเอียดนั้น

   ไม่ใช่ว่าฟินจะไม่รู้สึกเจ็บ เขาชะงักไปนิดนึงแล้วลงโทษภีมด้วยจุมพิตที่สามารถทำให้ภีมขาดอากาศหายใจตายได้ ภีมดิ้นทุรนทุรายไปมา สร้างความพอใจให้ฟินเป็นอย่างมาก

   ฟินถอนริมฝีปากออกแล้วกระซิบเสียงแผ่วที่ใบหูของภีม “หลังฉันเป็นแผลหมดแล้วภีม จิกไม่หยุดเลยนะ”

   “เหรอ... ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าทำอย่างนั้น” ภีมตอบซื่อๆพลางลูบไปตามแผ่นหลังร้อนนั้น มันเป็นรอยเล็บของเขาจริงๆ ภีมยิ้มแห้งๆรับสารภาพออกมา “จริงด้วยสิ ขอโทษที ฉันไม่รู้ตัวจริงๆ”

   “ไม่ให้อภัยหรอก” ฟินขบใบหูนุ่มนิ่มของภีมจนทั่ว จากนั้นก็เลื่อนริมฝีปากมาอยู่ที่ลำคอขาวแล้วกลืนกินเนื้อหนังบริเวณนั้นจนเป็นรอยแดง รอยดูดอย่างเดียวยังไม่พอ ฟินยังกัดเบาๆแถมให้อีกหลายครั้ง จนภีมต้องปรามด้วยการดึงใบหูของฟินให้หยุดการกระทำแบบนี้เสียที

   เพราะมันเจ็บ...

   “แค่นี้ก็ไปไหนไม่ได้แล้วเพราะรอยเต็มไปหมด” ฟินกลั้วหัวเราะ

   ภีมจิกเข้าให้ที่แผ่นหลังของฟิน ฟินสะดุ้งร้องเสียงดัง “เจ็บนะภีม”

   “ร้ายกว่าฉันอีกนะฟิน” ภีมเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ บางทีการยอมผู้ชายคนนี้มากไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเองมากนัก นี่คือบทเรียนหนึ่งที่ภีมสมควรจำไว้

   “ไม่ได้เรียกว่าร้ายสักหน่อย...” ฟินเถียง “เรียกว่าฉลาดต่างหาก”

   “งั้นฉันก็คงโง่... ที่ตามนายไม่ทัน” ภีมต่อให้

   “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะภีม” ฟินจูบริมฝีปากที่เม้มอยู่ของภีม “เราต่างคนต่างก็ฉลาดคนละแบบต่างหาก”

   “มั่วจริงๆ” ภีมพูดใส่ฟิน แม้ความมืดจะทำให้ไม่เห็นรายละเอียดบนใบหน้าของฟิน แต่ภีมก็พอจะเดาได้ว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไร

   “ยิ่งพูดก็ยิ่งมากเรื่อง” ฟินปิดริมฝีปากของภีมที่กำลังจะสรรหาคำพูดมาแย้งกับเขา

   ร่างทั้งสองร่างเกี่ยวกระหวัดกันไปมาอยู่บนเตียง

   “ใครโป๊ก่อน... คนนั้นแพ้” อยู่ดีดีฟินก็พูดขึ้นมาแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าของภีมออก กว่าภีมจะตั้งสติได้ก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปแล้ว

   “ขี้โกง” ภีมว่าพลางฉีกทึ้งเสื้อผ้าของฟินอย่างโมโห

   ฟินไม่ยอมแพ้เช่นกัน

   ความชุลมนบนเตียงเกิดขึ้นไม่นานก็ปรากฏผู้ชนะ

   “ฉันชนะแล้วภีม” ฟินกดร่างของภีมลงไป

   “อะไรๆก็เป็นเกมไปหมด ชนะเรื่องแบบนี้... ภูมิใจหรือไง” ภีมบ่น

   ฟินยิ้มอย่างพอใจก่อนจะตอบออกมาพร้อมกับเปลื้องชิ้นส่วนสุดท้ายในร่างกายออกไปด้วยตัวเอง “ภูมิใจที่สุดเลยล่ะ”

   ร่างเปลือยเปล่าอันร้อนรุ่มของทั้งสองทาบทับกันแน่บแน่น แล้วผลัดกันสร้างความปั่นป่วนในร่างกายไปมา

   ฟินทาบมือลงไปที่หน้าท้องของภีมแล้วพรมจูบบนใบหน้าเนียนจนทั่ว “พร้อมหรือยังภีม”

   “คิดเองไม่เป็นเหรอ” ภีมหัวเราะเบาๆ

   ท่ามกลางความมืดจอมปลอม สรรพสิ่งรอบๆข้างยังคงเดินต่อไปอย่างไม่มีหยุด แต่สำหรับคนทั้งสองที่อยู่ในห้องนี้ เขากลับรู้สึกราวกับว่าเวลาและความวุ่นวายต่างๆได้หยุดลงเพียงเท่านี้


   หนึ่งทุ่มตรง

   ณ ร้านอาหารเล็กๆริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ถัดจากคอนโดของฟินเพียงสองร้อยเมตร บริกรหญิงคนหนึ่งมองไปที่โต๊ะริมสุดของร้านด้วยความสงสัยใคร่รู้ เธอจ้องอยู่นานจนไม่เป็นอันทำการทำงาน มองทุกอิริยาบถของคนทั้งสองตั้งแต่แรกเดินเข้ามาจนกระทั่งตอนกำลังกิน!

   “นี่เธอ มายืนอยู่ตรงนี้ทำไม ไปทำงานทำการสิยะ ฉันจ้างเธอมายืนมองผู้ชายกินข้าวรึยังไง” เสียงเจ๊เจ้าของร้านดังขึ้น เรียกความสนใจจากบรรดาลูกค้าที่นั่งอยู่ให้มองไปยังที่เกิดเหตุทันที

   สาวน้อยคนนั้นก้มหน้างุดเก็บความอาย “ขอโทษค่ะ จะไปทำงานเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” เธอพูดเสียงสั่นพลางรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างรวดเร็ว

   “เจ๊ร้านนี้ ดุชะมัดเลยว่ะฟิน” ภีมบ่นเบาๆให้ฟินฟัง

   แต่ฟินดูเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่จึงไม่ได้ยินที่ภีมพูด

   “เฮ้ย... เป็นอะไร” ภีมชะโงกหน้าเข้ามาใกล้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เหม่อเชียว”

   ฟินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะปฏิเสธ

   “ฉันบอกว่าเจ๊ร้านนี้ ดุชะมัดเลย” ภีมทวนคำพูดเดิมซ้ำ

   ฟินยิ้มบางๆ “เหรอ ถ้านายว่าดุ... ก็คงดุจริงๆนั่นล่ะ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวอย่างเงียบๆ สมองที่ปลอดโปร่งมาได้สองวันกลับต้องมาอึมครึมอีกครั้ง ฟินก็ได้แต่หวังและภาวนาในใจ อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือเขา อย่าให้เรื่องราวใดร้ายแรงไปมากกว่านี้อีกเลย

   “ภีม เดี๋ยวมานะ” ฟินลุกจากที่นั่งไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ภีมมองตามอย่างสงสัยแต่ก็ไม่อยากถามอะไรให้มากความ

   ร่างสูงเดินตรงเข้าไปทางหลังร้านพลางมองหาคนที่ต้องการพบ ในห้องครัวเต็มไปด้วยกลุ่มควันจากเตาอาหารและเสียงเอะอะโวยวายของบรรดาแม่ครัวอารมณ์ร้อนทั้งหลาย

   ฟินมองหาอยู่นานจนเจอ... เขาตรงเข้าไปแล้วลากเธอออกมาข้างนอกเพื่อคุยกันตามลำพัง

   “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง... มีน” ฟินถามเสียงเรียบ ในขณะที่ดวงตาจ้องไปยังใบหน้าขาวซีดและเต็มไปด้วยเหงื่อไคลของผู้หญิงตรงหน้า

   มีน หรือมีนา ค่อยๆเงยหน้าขึ้น แล้วแกะมือของฟินออกจากข้อมือของตัวเอง “มีน คือ...”

   ฟินผ่อนลมหายใจเบาๆอย่างอดทนรอคำตอบ มีนามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วทำไมต้องมาอยู่ในละแวกเดียวกับเขา แล้วถ้าเธอจะมาจริงๆทำไมถึงไม่มีใครที่ฟาร์มโทรมาบอกล่วงหน้า ทั้งๆที่มีนาไม่เคยเข้ากรุงเทพฯคนเดียว เรื่องนี้มันน่าสงสัยจริงๆ

   “ถ้าจะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน แล้วนี่มากับใคร” ฟินถามเสียงดังขึ้นกว่าเดิม มีนาสะดุ้งเล็กน้อย เธอรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

   “พ่อมาส่ง มีนสอบติดมหาวิทยาลัยแถวนี้” มีนาตอบเสียงสั่น

   “แถวนี้เหรอ สอบติดที่ไหน” ฟินลุ้นตัวโก่ง หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกนะ

   “ที่เดียวกับฟินนั่นล่ะ” มีนาตอบออกมา ชั่ววินาทีนั้น ปมทุกอย่างก็คลายออกทันที ฟินฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีนามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทั้งๆที่เธอไม่เคยคิดจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯสักนิดเดียว

   “เล่ามาให้หมด เธอต้องเล่าให้ฉันฟังนะมีน พ่อบอกอะไรกับเธอ แล้วให้เธอมาที่นี่ทำไม” ฟินเริ่มสติแตก เขาเขย่าร่างเล็กตรงหน้าแรงๆจนตัวเธอสั่นเทาไปตามแรงนั้น

   “ไม่มีใครบอกอะไรทั้งนั้นล่ะ มีนอยากมาเรียนที่นี่เอง แล้วมันก็บังเอิญสอบติดที่เดียวกับฟิน มาอยู่ใกล้ๆกัน ไม่มีอะไรทั้งนั้น” มีนาพูดรวดเดียวจบ เธอโกหกไม่เก่งเอาเสียเลย ฟินรู้ว่าที่เธอพูดมาตรงข้ามกับความจริงทั้งนั้น

   “บอกความจริงมา ฉันจะไม่ถามใคร นอกจากเธอ” ฟินพูดเสียงเข้ม แววตาเริ่มแข็งกร้าวขึ้น ทำไมทุกคนต้องเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขาด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ “ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ ก็เล่ามาให้หมด”

   มีนากระพริบตาถี่เพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

   “ไม่ใช่เวลามาบีบน้ำตานะมีน เล่ามาให้หมด” ในน้ำเสียงเรียบเฉยนั้นเต็มไปด้วยความประชดประชัน มีนารู้ดี แต่เธอจะเล่าความจริงให้ผู้ชายคนนี้ฟังได้อย่างไร ในเมื่อยังมีผู้ชายอีกคนขอร้องเธอไว้ทั้งน้ำตา

   “ไม่มีความจริงอะไรต้องเล่า มีนอยากเรียนที่ไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฟินด้วย” มีนาตวัดเสียงใส่ “แล้วฟินคิดว่ายังไงล่ะ คิดว่าคุณอาส่งมีนมาเหรอ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอาจะส่งมีนมาทำไม แล้วเหตุผลอะไรที่ฟินต้องตกใจขนาดนี้” มีนาถือโอกาสนี้โยนความกังวลใจไปให้ฟินแทน

   แต่อย่างที่บอก ฟินฉลาดพอที่จะรู้ว่ามีนากำลังโกหก ผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกับเขา โกหกไม่เก่งเลยสักนิดเดียว “พักอยู่ที่ไหน” ฟินเปลี่ยนเรื่องพูดเสียเฉยๆ

   มีนาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ยอมบอกออกมา “คอนโดเดียวกับฟินนั่นล่ะ”

   และคำตอบของมีนาก็ทำให้ฟินมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าเธอมาอยู่ที่นี่โดยความประสงค์ของใคร มีนาไม่ชอบกรุงเทพฯ ไม่เคยคิดจะเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ไม่ว่าตอนเด็กๆฟินจะชักชวนเธอเท่าไร เธอก็ปฏิเสธหัวชนฝา ไม่ยอมท่าเดียว และอีกเหตุผลหนึ่ง ครอบครัวของมีนานั้นคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อคอนโดราคาหลายล้านนี้ให้เธออยู่อย่างแน่นอน

   มีนาเป็นลูกสาวคนเดียวของวิทยา เพื่อนของนทีพ่อของฟิน มีนาและฟินจึงจักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่พอฟินเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ทั้งคู่ก็พูดคุยกันน้อยลง จนคล้ายคนไม่รู้จักกัน อีกอย่าง ครอบครัวของวิทยาได้รับการช่วยเหลือจากนทีในหลายๆเรื่อง ถ้ามีนาจะมาที่นี่เพราะคำขอร้องแกมบังคับของนที ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิดเดียว

   “ทำไมไม่พูดความจริง” ฟินถามเสียงอ่อน

   มีนาหลุบตาลงต่ำ ไม่อยากเห็นดวงตาคมคู่นั้น “มีนพูดความจริงทุกอย่าง ถ้าฟินไม่เชื่อก็ตามใจ” มีนาหมุนตัวเดิน

   ฟินฉุดข้อมือเธอไว้ “ฉันจำทุกเรื่องของเธอได้นะมีน เธอเคยพูดอะไรกับฉัน ฉันจำได้หมด แล้วรู้ไว้ซะ... ว่าเธอโกหกไม่เนียนเลย”

   มีนาใจเต้นกับคำพูดทุกประโยคของฟิน มันทำให้เธอตัวเบาหวิวอย่างที่เคยเป็นมาทุกๆครั้งที่คุยกับเขา ตั้งแต่เด็กจนโต ทุกครั้งที่ฟินกลับมาบ้าน เขาจะซื้อของมาฝากเธอเสมอ ฟินจะแวะไปหาเธอที่บ้าน แต่ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยได้พบกันเพราะมีนาจงใจหลบหน้าฟินเสียทุกครั้งไป

   “ถ้าเรายังเป็นเพื่อนกัน... ก็อย่ามาถามอะไรมีนอีกเลย” มีนาตอบกลับมาเสียงแข็งพลางดึงข้อมือกลับ แต่ฟินไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

   “เธอไม่ชอบกรุงเทพฯ เกลียดความฟุ่มเฟือย แล้วตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอยืนอยู่ที่ไหน ยืนอยู่เพราะอะไร เพราะถูกบังคับน่ะหรือ เธอไม่ใช่มีนา...คนที่ฉันรู้จักเลยสักนิด” พูดจบ ฟินก็ค่อยๆปล่อยมือของมีนาออก

   “คนเรามันก็เปลี่ยนกันได้นี่ เหมือนที่ฟินกำลังเปลี่ยนไปเหมือนกัน” มีนาทิ้งท้ายแล้วเดินกลับเข้าครัวไป

   ฟินยืนนิ่งอย่างนั้น จะทำอย่างไรต่อไปล่ะ... พ่อของเขาดึงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาวุ่นวายเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว

   แม้ว่าฟินจะรู้สึกสงสารมีนา แต่ก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าสงสารตัวเองเช่นกัน...

   ฟินเดินกลับมานั่งที่เดิมด้วยใบหน้าซีดเซียว ภีมมองคนตรงข้ามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ฟินต้องรอให้เขารู้เรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองหรือไงถึงจะยอมเล่าเรื่องที่กำลังปิดบังอยู่ให้ฟัง

   ภีมไม่รู้ว่าระหว่างฟินและผู้หญิงคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน และภีมก็จะไม่ถามอีกแล้ว ภีมจะรอให้ฟินเป็นคนพูดทุกอย่างออกมาเอง “ไปไหนมาเหรอฟิน” ภีมถามเสียงเรียบ แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทั้งๆที่ตนเองนั้นไปยืนแอบดูคนทั้งคู่อยู่นานสองนาน

   “ไปเข้าห้องน้ำมาน่ะ” ฟินละล่ำละลักตอบโดยที่ไม่มองหน้าภีม

   ภีมรู้สึกใจหายวูบกับคำโกหกนั้น ฟินโกหกไม่เก่งจริงๆนั่นล่ะ เพราะตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาด้วยความกลัว

   “กลับกันเถอะ มื้อนี้หารครึ่งละกัน อย่ามาเลี้ยงฉันเลย” ภีมวางเงินไว้แล้วลุกเดินออกไปเงียบๆ ฟินรับรู้ถึงความผิดปกตินั้น แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเป็นเรื่องที่ภีมเห็นเขาและมีนาคุยกัน

   “ภีม รอก่อนสิ” ฟินรีบควักเงินออกมาจ่ายอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งตามภีมออกไป

   เมื่อฟินและภีมออกไปจากร้านแล้ว มีนาก็ก้าวออกมาจากเสาต้นใหญ่ที่แอบอยู่ เธอยืนแอบดูฟินและภีมคุยกันและก็พอจะรู้ด้วยว่าตอนนี้ทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน

   ภายในจิตใจเต็มไปด้วยความสับสน โทรบอกคุณอานทีเหรอ... มันถูกต้องแล้วหรือกับการตอบแทนบุญคุณแบบนี้ มันถูกแล้วหรือ...

   มีนาหลับตาลงเพื่อตั้งสติ...

   แต่จะเรียกสติกลับมาได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้สมองของเธอมีแต่ภาพของชายหนุ่มหน้าตาเฉยเมยคนนั้นวนเวียนอยู่ทั่วทุกพื้นที่ในสมองเล็กๆของเธอ

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 25 – ก็แค่เกม! /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 30-09-2011 21:31:40
งงจัง ถ้านทีขอให้มีนมาอยู่กรุงเทพฯ ขอให้เรียนที่เดียวกับฟิน และให้อยู่คอนโดฯ เดียวกับฟิน นทีก็น่าจะช่วยออกค่าใช้จ่ายหลายๆ ด้านให้ด้วยสิ
แล้วทำไมมีนต้องมาทำงานในร้านอาหารด้วยอะ หรือเป็นการแบ่งเบาภาระหว่า

คนโกรธกันเคืองกันเพราะความลับที่มีต่อกันอีกแล้วววว คนอ่านจะเซ็งทุกครั้งที่อ่านเจอแบบนี้  เง้ออออออ   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 25 – ก็แค่เกม! /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 30-09-2011 22:14:01
ทำไมรู้สึกว่าอ่านไปแล้วมันเหนื่อยจังอะ

เหนื่อยใจแทน

 :call:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 25 – ก็แค่เกม! /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 30-09-2011 22:19:38
อุปสรรคเพิ่มมาอีกแล้ว
เพิ่งจะดีกันแท้ๆ = =
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 26 – ปิดบังและเปิดเผย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 30-09-2011 23:41:31


บทที่ 26 – ปิดบังและเปิดเผย


   มีนาย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯได้สองสัปดาห์แล้ว ส่วนงานที่ทำอยู่ก็เป็นงานเสริมที่เลือกจะทำเอง แม้ไม่เต็มใจนักกับเส้นทางชีวิตที่ผิดไปจากความตั้งใจเดิม แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้เธอกลับยอมรับมันอย่างง่ายดาย

   เดือนก่อน นทีมาหามีนาที่บ้านแล้วขอร้องให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับฟินให้ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้เข้าเรียนที่เดียวกับฟิน ส่วนเรื่องที่อยู่ที่อาศัย เขาจะเป็นคนจัดการให้ นทีไม่ได้เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฟินและภีมให้มีนาฟัง นทีบอกเพียงแค่ว่าอยากให้มีนาช่วยควบคุมดูแลพฤติกรรมของฟินแล้วคอยรายงานให้เขาฟังทุกเรื่อง

   ทุกเช้าเย็น บางครั้งก็เกือบทั้งวัน มีนาจะขึ้นมาด้อมๆมองๆฟิน ว่าเขาทำอะไรบ้าง ออกไปไหนหรือเปล่า หรือมีใครมาหาเขา บางครั้งวันทั้งวันไม่เห็นฟินออกมาจากห้อง เธอก็แทบอยากวิ่งไปที่หน้าประตูห้องริมสุดนั้นแล้วตะโกนใส่หน้าให้เขาได้รับรู้ว่ายังมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ร่วมชายคาเดียวกับเขา อย่างสัปดาห์ก่อนที่มีนาไม่ได้เห็นหน้าฟินเลย เพราะช่วงนั้นฟินเข้าโรงพยาบาล เธอเป็นกังวลมาก แต่ก็ไม่กล้าโทรบอกนทีว่าฟินหายไปไหน สิ่งเดียวที่ทำได้คือ มอง มอง และมองต่อไป

   จนกระทั่งวันนี้ วันที่ฟินเห็นเธอเข้าจนได้ ถ้านทีรู้ต้องโกรธเป็นแน่ เพราะเขาอุตส่าห์สั่งนักสั่งหนาว่าอย่าให้ฟินรู้เป็นอันขาด ฟินจะรู้ก็ต่อเมื่อเปิดเรียนแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว... ทำไมเธอต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย จริงอย่างที่ฟินพูด มันไม่ใช่ตัวเธอเลย ไม่ใช่สักนิดเดียว

   “ภีม คุยกันให้รู้เรื่องสิ อยู่ดีๆก็งอนอย่างนี้ ฉันงงไปหมดแล้ว” ฟินพูดเสียงอ่อนเมื่อเห็นว่าภีมไม่หยุดเดินเสียที

   “ฉันจะกลับบ้าน” ภีมตะโกนเสียงดังแล้วเดินดุ่มๆลูกเดียว เขาคิดจะไม่โกรธและไม่สนใจอยู่แล้วเชียว แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องอะไรนักหนาถึงต้องปิดบังกันถึงขนาดนี้ ถึงขั้นที่ต้องโกหก แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน “โธ่เว้ย!”

   “ภีม ใจเย็นๆก่อน เรามานั่งคุยกันดีดีสิ” ฟินจับชายเสื้อของภีมไว้ แต่ภีมก็ยังไม่หยุดเดิน ฟินจึงต้องใช้แขนเกี่ยวคอของภีมไว้แล้วลากไปนั่งที่ม้านั่งริมทาง “สงบสติอารมณ์ก่อน อยู่ดีๆก็อารมณ์เสีย เป็นอะไรไป”

   ภีมส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้ฟินก่อนจะยอมนั่งลงดีๆอย่างที่เขาบอก

   “อารมณ์เสียทำไม” ฟินพูดอย่างอ่อนโยนพลางย่อตัวลงนั่งข้างๆภีม “โกรธฉันเรื่องอะไร”

   ภีมยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ฟินรู้ทุกเรื่องแต่กลับตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่อง “นายก็รู้อยู่แก่ใจ”

   ฟินงงเป็นไก่ตาแตก ภีมพูดถึงเรื่องอะไร “อะไร... ที่ฉันรู้อยู่แก่ใจ”

   ตอนแรกภีมตั้งใจจะไม่พูด ไม่ถามอะไรอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยับยั้งชั่งใจไม่อยู่ “นายกับผู้หญิงในร้านอาหารคุยเรื่องอะไรกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพ่อของนาย แล้วยังเรื่องก่อนหน้านี้ที่นายจงใจปิดบังฉัน ฉันรู้ว่านายมีอะไรซ่อนไว้ในใจ ฉันไม่อยากถามแม้จะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม ฉันคิดว่าสักวันนายต้องบอกฉันเอง แต่สุดท้าย... เรื่องมันยิ่งไปกันใหญ่ นายยิ่งแปลกไปทุกที จะเล่าให้ฉันฟังได้รึงยัง ว่านายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่”

   ฟินทำหน้านิ่ง ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นในใจ บอกหรือ... ถ้าบอกแล้วภีมจะว่าอย่างไร หรือว่าจะโกหกภีม... ภีมจับได้อยู่แล้ว หรือว่า...

   “คิดอยู่เหรอ... ว่าจะโกหกฉันอย่างไร” ภีมพูดเยาะเย้ย

   “บอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มันเป็นปัญหาของฉันเอง ฉันต้องแก้ด้วยตัวเอง” ฟินพูดตัดปัญหาไป แต่ในความจริง... มันสร้างปัญหาให้วุ่นวายขึ้นไปอีกต่างหาก

   ภีมหัวเราะหึ... ยืนขึ้น แล้วต่อยหน้าฟินอย่างแรงครั้งหนึ่ง “คิดอย่างนี้ใช่มั้ย”

   ฟินไม่พูดอะไรตอบได้แต่ก้มหน้าด้วยความสับสน

   “งั้นนายกับฉันไม่ต้องมายุ่งกันอีก เพราะฉันคงคบกับคนแบบนี้ไม่ได้หรอก” ภีมพูดเสียงสั่น ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บปวดที่พูดไปอย่างนั้น แต่ฟินเลือกที่จะทำแบบนี้ ภีมก็มีหนทางของตัวเองเช่นกัน

   “หมายความว่าจะเลิกกันใช่มั้ย” ฟินถาม

   “ฉันกับนายก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้วนี่” ภีมเริ่มน้ำตาคลอ โมโหที่ทำไมป่านนี้แล้ว ฟินยังเลือกที่จะปิดบังอยู่อีก

   “กลับบ้านกันเถอะ ไว้วันอื่นค่อยคุยกัน” ฟินลุกขึ้นยืน จับมือภีม แล้วพาเดินไปข้างหน้า ภีมไม่พูดอะไรได้แต่เดินตามไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงคอนโด

   ภีมไม่ได้โวยวายว่าจะกลับบ้านหรือแสดงท่าทีอะไรอีก ฟินก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินลูกเดียว จนมาถึงห้องนั่นล่ะ ฟินก็พบว่ามีคนมายืนรออยู่ก่อนแล้ว

   “มีน” ฟินเรียกชื่อเธอเบาๆ ภีมเกิดปฏิกิริยาทันที เขาดึงมือออกจากการเกาะกุมของฟิน แต่ฟินก็ไปดึงกลับคืนมาจับอยู่เหมือนเดิม

   “มีนจะเล่าให้ฟินฟังทุกเรื่อง และฟินก็ต้องเล่าเรื่องของฟินให้มีนฟังเหมือนกัน” มีนาพูดออกมา พลันเลื่อนสายตาไปหยุดที่มือของทั้งสองคนที่จับกันแน่น “เล่าให้หมดทุกเรื่องนะ”

   “ได้ จะเล่าให้ฟังทุกเรื่องเลย” ฟินพูดเสียงเรียบ เดินไปเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับภีม มีนาเดินตาม ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่มือของฟินที่จับมือของผู้ชายอีกคนจนแน่น

   “อยากเล่นเกมหรือเปล่าภีม” ฟินถามเสียงอ่อน ภีมส่ายหน้าปฏิเสธพลางแกะมือของฟินออกแล้วเดินเข้าห้องนอนของฟินไปเงียบๆ

   ฟินไม่รั้งไว้เพราะนั่นคือสิ่งที่ภีมอยากทำมากที่สุด

   “พ่อขอร้องให้มีนทำแบบนี้ใช่มั้ย” ฟินเปิดประเด็นก่อน แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาตัวโปรดพลางกวักมือเรียกมีนาให้เข้าไปนั่งด้วยกัน
   มีนาพยักหน้ารับก่อนจะเล่าเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบให้ฟินฟัง เล่าไปเล่ามาน้ำตาก็ไหลออกมา

   ฟินส่งกระดาษทิชชู่ให้เธอ “พักก่อนก็ได้”

   “ไม่ต้องหรอก ฟังให้จบเลยละกัน” มีนาเล่าต่อถึงเรื่องราวที่นทีสั่งให้เธอทำ ไม่ว่าจะเป็นรายงานพฤติกรรมของฟิน ตลอดจนคอยดูแลฟินในเรื่องของการคบเพื่อน

   ไม่นานนัก เรื่องของมีนาก็จบลง ทุกอย่างเป็นไปตามี่ฟินคิดจริงๆ ฟินเคยคิดว่านทีเป็นพ่อที่เข้าใจลูกมากที่สุด แต่ตอนนี้... เขากลับเป็นพ่อที่ไม่เคยคิดจะทำความเข้าใจกับลูกเลยสักนิดเดียว

   “มีนคิดว่าจะเข้าเรียนที่บ้านเรานั่นล่ะ มีนอยากเรียนวิศวะที่โน่น อยากอยู่กับพ่อด้วยล่ะ มีนจะบอกปฏิเสธเรื่องนี้กับอานที จะไม่ทำให้ฟินเดือดร้อนแน่นอน” มีนาพูดทั้งน้ำตา “เอาล่ะ เล่าเรื่องของฟินมาได้แล้ว”

   ฟินยิ้มบางๆ “พ่อทำแบบนี้เพราะต้องการรู้...”

   “ติ๊ง ต่อง” เสียงกริ่งดังขึ้น ฟินจะลุกขึ้นไปเปิด แต่มีนาบอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวเธอไปเอง

   ฟินสงสัยเหลือเกินว่าใครกันที่มาหาได้เลือกเวลาดีจริงๆ (ประชด)

   มีนาเปิดประตูห้องช้าๆ พบผู้ชายคนหนึ่งยืนยิ้มหน้าทะเล้นอยู่ แต่พอเห็นหน้าเธอเท่านั้นกลับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทั้งรอยยิ้มที่มีอยู่ก็จางหายไป

   “ผมคงเข้าห้องผิด” เขาพูดราวกับคนละเมอ

   ฟินเห็นมีนาหายไปนานจึงเดินออกมาดู แล้วก็ต้องทำหน้าเบื่อโลกสุดชีวิต เมื่อเห็นว่าคนที่มาเยือนนั้นคือใคร

   “ติณณ์ นายมาทำไม แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” ฟินพูดอย่างอ่อนแรง จะมีอีกสักกี่ปัญหากันนะที่เข้ามาทดสอบความอดทนของเขา

   “ถามพี่ภูมาน่ะ แล้วทำไมพี่พาผู้หญิงเข้าห้องล่ะเนี่ย แล้วพี่ภีมรู้เรื่องหรือเปล่า พี่ทำอย่างนี้...” ติณณ์ต่อว่าชุดใหญ่ ไม่รู้ว่าโกรธแทนภีมหรือกำลังอิจฉาที่มีผู้หญิงสวยๆแบบนี้เข้ามาอยู่ในห้อง

   “ไปกันใหญ่แล้วติณณ์ ภีมอยู่ข้างในนี่ล่ะ มา... เข้ามาก่อน” ฟินยิ้มเจื่อนๆก่อนจะเดินนำเข้าไป

   “นายไปอยู่กับภีมในห้องก่อน ฉันมีเรื่องต้องคุยกับมีนตามลำพัง” ฟินบอกติณณ์

   “ผู้หญิงสวยๆคนนี้ชื่อมีนเหรอ” ติณณ์ถามฟินแต่ยิ้มให้มีนา

   “เออ” ฟินตอบสั้นๆ

   ติณณ์ยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปใกล้มีนา “ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อติณณ์ เป็นรุ่นน้องของพี่ฟินและพี่ภีม”

   “ค่ะ พี่ชื่อมีน เป็นเพื่อนกับฟิน” มีนาตอบยิ้มๆ

   ติณณ์ทำหน้าล่องลอย เขากำลังตกหลุมรักอย่างจัง สาวรุ่นพี่เหรอ... น่าสนใจจริงๆ “ผมหล่อมั้ยครับ”

   “พอเลยติณณ์ ยังไม่ใช่เวลา” ฟินพูดพลางลากคอเสื้อของติณณ์ให้เดินไปได้แล้ว

   ติณณ์ออกปากว่า “เดี๋ยวนี้พี่ฟินเถื่อนจังนะ หวงผู้หญิงคนนี้เหรอ”

   “เปล่า แต่ห่วงต่างหากเล่า ถ้านายไม่จริงจังก็อย่ามาล้อเล่น”

   “ผมไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อนเลยพี่ รักแรกพบชัดๆ ผมอยากเป็นแฟนกับพี่มีนครับ” ติณณ์พูดตรงๆอย่างหน้าตาเฉย แถมยังพูดเสียงดังอีกด้วย มีนาได้ยินเข้าก็อายม้วนทีเดียว เกิดมาไม่เคยมีใครพูดจาตรงๆแบบนี้มาก่อน

   “เออ เดี๋ยวค่อยออกมาสารภาพ เข้าไปอยู่กับภีมก่อนเลย” ฟินเปิดประตูห้องนอนของตนแล้วโยนติณณ์เข้าไปในห้อง แล้วตัวเองก็เดินมานั่งคุยกับมีนาต่อ

   ฟินเล่าเรื่องระหว่างเขาและภีมให้มีนาฟัง เธอตกใจเล็กน้อยแต่ก็ตั้งสติได้ในที่สุด เพราะอย่างไรฟินก็คือเพื่อนเธอ และสิ่งที่เขาเป็นก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรือเป็นความผิดมหันต์แต่อย่างใด

   “เข้าใจฉันหรือเปล่ามีน ฉันเป็นแบบนี้แล้วเธอยังอยากจะเป็นเพื่อนฉันอยู่มั้ย” ฟินถามหลังจากเล่าเรื่องทุกอย่างจนจบ

   “ฟินเป็นผู้ชายที่เท่ที่สุดเท่าที่มีนเคยรู้จักมา ยังไงฟินก็ยังเป็นฟินคนเดิมเหมือนที่เคยเป็น” มีนายิ้มให้ แม้จะรู้ความจริงทุกอย่างแต่เธอก็ไม่ได้มองผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไปเลย เขายังคงเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและพร้อมที่จะทำเพื่อคนอื่นเสมอ

   “ว่าแต่... ไปได้แผลนั้นมาจากไหน” มีนาชี้ไปที่มุมปากของฟินที่บวมช้ำเพราะหมัดของภีม

   “ภีมต่อยน่ะ ไม่เข้าใจกันนิดหน่อย” ฟินบอกพลางลูบคลำบริเวณแผล

   ในระหว่างที่ฟินและมีนาคุยกัน ติณณ์ก็กำลังคุยกับภีมอยู่ในห้องเช่นกัน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ติณณ์พูดคนเดียวเสียมากกว่า ภีมแทบไม่พูดอะไรเลย

   “พี่ว่าพี่มีนสวยป่ะ” ติณณ์ยังถามไม่เลิก ทั้งๆที่ภีมก็ตอบไปหลายครั้งแล้วว่า ‘สวย’

   “พี่ว่าถ้าผมจีบ เธอจะ say yes! ป่ะ” ติณณ์สะกิดต้นแขนของภีมเบาๆ

   ภีมชักเริ่มรำคาญขึ้นมา ตั้งแต่ติณณ์เข้ามาในห้องก็เพ้อเรื่องมีนาไม่หยุด

   “ไม่รู้สิ แต่ดูแล้วผู้หญิงคนนั้นท่าจะชอบฟินนะ” ภีมตอบออกมา พูดแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจเหมือนกัน

   “พี่รู้ได้ยังไง” ติณณ์ถามด้วยความอยากรู้

   “ฉันดูออกก็แล้วกัน” ภีมทำหน้าเศร้าออกมา โชคดีที่ติณณ์ไม่เห็น ไม่อย่างนั้นต้องโดนล้อเขาเป็นแน่

   “ถ้าพี่ดูพี่มีนออก ผมก็ดูออกเหมือนกันว่าพี่ฟินไม่ได้ชอบพี่มีนเลย” ติณณ์พูดอย่างมั่นใจ

   เมื่อหัวข้อสนทนาเรื่องนี้จบลง ฟินก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี “อยากสารภาพอะไรก็ทำซะ เพราะมีนจะกลับบ้านพรุ่งนี้แล้ว” ฟินบอกติณณ์

   ติณณ์ทำหน้าแตกตื่นแล้วรีบวิ่งไปหามีนาทันที

   “เป็นแฟนกับผมเถอะครับ ผมจะดูแลพี่อย่างดีเลย ผมสาบาน” นั่นคือประโยคแรกที่ติณณ์พูดกับมีนาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและดังก้องไปทั่วทั้งห้อง

   ฟินและภีมมองหน้ากัน เมื่อได้ยินประโยคนั้นของจอมทะเล้นอย่างติณณ์ ฟินเป็นฝ่ายยิ้มให้ก่อนแต่ภีมกลับทำหน้าบึ้งใส่

   “ได้เวลาที่เราต้องเคลียร์กันแล้วภีม” ฟินพูดพลางปิดประตูลงเสียงดัง จากนั้นก็เดินเข้ามานั่งข้างๆภีมบนเตียง

   ในห้องมีเพียงแสงสว่างจากพระจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เมื่อประตูในห้องนี้ปิดลง เสียงใดก็ไม่อาจเข้ามารบกวนได้อีกต่อไป

   “ฉันจะเล่าทุกเรื่องให้นายฟัง แต่นายต้องสัญญากับฉันก่อนว่าจะไม่ทำอะไรที่มันเป็นไปตามความต้องการของคนอื่นโดยที่ไม่ใช่ความต้องการแท้จริงของเราสองคน” ฟินยื่นข้อเสนอด้วยเสียงจริงจัง

   “ตกลง” ภีมตอบเบาๆ ใบหน้าร้อนผ่าวเพราะคำพูดของฟิน

   หลังจากนั้น ฟินก็เล่าทุกเรื่องที่เขาปิดบังมาตลอดให้ภีมฟัง ภีมค่อนข้างตกใจเป็นพิเศษกับเหตุการณ์ที่คอกม้าวันนั้น ไม่คิดว่าคนที่เข้ามาเห็นจะเป็นพ่อของฟิน แล้วไหนจะเป็นเรื่องที่พ่อของฟินสั่งให้ฟินทำแบบนั้น แต่ฟินกลับตัดสินใจโกหกเพื่อปิดบังเรื่องราวต่างๆอีก

   “นายไม่น่าโกหกพ่อ” ภีมบอกเบาๆ

   ฟินถอนหายใจบ้าง “มันมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นเหรอ ขนาดพ่อเข้าใจว่าฉันเลิกกับนายแล้ว ยังไปดึงมีนให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีกจนได้”

   “แต่โกหกไปแบบนั้น สักวันเขาก็จะรู้ความจริง” ภีมแย้ง

   “รอให้วันนั้นมาถึงก่อนแล้วกัน” ฟินพูดตัดบท คราวก่อนเขาก็พูดอย่างนี้ แต่วันนั้นที่ว่าก็มาถึงเร็วจนน่าตกใจ แต่วันนั้นที่เขาเพิ่งพูดวันนี้ล่ะ... อีกนานแค่ไหน ที่มันจะเดินทางมาถึง

   ภีมไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะถ้าเป็นเขาก็อาจจะทำเหมือนฟินเช่นกัน

   “เดี๋ยวไปจัดการกับสองคนนั้นก่อน รออยู่นี่นะภีม” ฟินหันไปบอกภีม จากนั้นก็ออกมาข้างนอก ติณณ์และมีนายังคงนั่งคุยกันอยู่

   พอมีนาเห็นฟินเดินออกมาก็ร้องเรียกให้เข้าไปนั่งคุยด้วยกัน แต่ติณณ์หันมาขยิบตาให้ฟินเป็นเชิงว่า จงอย่ามาเป็นก้างขวางคอ

   ฟินจึงพูดเพียงแค่ว่า “พรุ่งนี้จะไปส่งขึ้นรถนะ แล้วก็ล็อคห้องให้ด้วย ฉันไปนอนล่ะ”

   มีนาหรี่ตาลงอย่างจับผิด ติณณ์ไม่วายเสนอหน้ามาจุ้นอีกคน “แหมๆ จะเข้าไปเล่นจ้ำจี้กันล่ะสิ ไม่ต้องห่วงพี่มีนนะ เดี๋ยวผมไปส่งพี่เขาที่ห้องเอง”

   ฟินเดินเข้ามาใกล้ติณณ์แล้วบีบไหล่แรงๆ “รู้ไปหมดทุกอย่างเลยนะติณณ์ แล้วรู้บ้างหรือเปล่าว่าเมื่อไหร่นายจะปากแตกอีกครั้ง”

   ติณณ์ห่อไหล่ สงบเสงี่ยมเจียมตัวขึ้นมาทันที เขาไม่อยากเสียฟอร์มต่อหน้ามีนาหรอก ถึงได้ยอมฟินง่ายๆแบบนี้ เอ... หรือว่าเสียฟอร์มไปแล้วหว่า

   “ฟินไปนอนเถอะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ” มีนายิ้มตาหยี ในส่วนลึกกำลังพยายามต่อต้านความรู้สึกในใจที่มันตรงข้ามกับคำพูดและท่าทางของตัวเองโดยสิ้นเชิง

   “ไปล่ะ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็รีบวิ่งเข้าห้องไป เมื่อประตูปิดลง ใบหน้ามีนาก็เศร้าลงตามไปด้วย

   ติณณ์สังเกตเห็นเข้าก็เศร้าตามไปอีกคนเพราะรู้แล้วว่ามีนาชอบฟิน แต่คนอย่างติณณ์ซะอย่าง เขาไม่ยอมแพ้กับเรื่องนี้เป็นอันขาด

   นับจากวินาทีนั้น ติณณ์ก็สาบานกับตัวเองว่า ต้องทำให้มีนารักเขาให้จงได้...

   ฟินกลับเข้ามาในห้องอีกที ภีมก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว ฟินเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเตียงแล้วค่อยแทรกกายเข้าไปในผ้านวมผืนใหญ่

   “แอร์เย็นจังเลยนะภีม” ฟินกระซิบเบาๆที่ข้างหูของภีม แม้เปลือกตาของคนข้างๆจะปิดสนิทแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องหลับนี่

   ภีมไม่พูดตอบอะไร ยังคงนอนหลับตาอยู่เพราะวันนี้รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน มีทั้งเรื่องให้คิดและให้ทำจนล้นมือไปหมด

   ฟินยังคงก่อกวนภีมไปเรื่อยๆด้วยการสอดมือเข้าไปลูบไล้แผ่นหลังของภีม แล้วซุกหน้าลงที่ลำคอเนียนละเอียดที่กำลังร้อนขึ้นเพราะการก่อกวนของฟิน

   ภีมพยายามไม่สนใจกับการกระทำนั้น ส่วนฟินก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาก่อกวนไปเรื่อยๆ เมื่อการลูบไล้ใช้ไม่ได้ผล ฟินก็เริ่มก่อกวนบริเวณริมฝีปากแทน

   ฟินประทับจูบลงบนริมฝีปากที่เม้มสนิทของภีม แล้วเลื่อนมือมาไล้วนบริเวณหน้าท้องที่กำลังเกร็งไว้อย่างสุดฤทธิ์

   “หลับจริงๆเหรอ” เสียงนั้นแผ่วเบาจนภีมแทบจะเอ่ยตอบกลับมาด้วยความลืมตัว

   “หายไปแวบเดียวเอง หลับง่ายจริงๆเลยนะ” ฟินยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ มือทั้งสองข้างก็ยังซุกซนไปทั่วทั้งร่างกายของภีม

   “พอแล้วฟิน” ภีมดึงมือของฟินออกจากเป้ากางเกงของตัวเอง “จะไม่เว้นบ้างเลยเหรอ”

   ฟินยิ้มบางๆอย่างพอใจ ในที่สุดภีมก็ไม่ได้หลับจริงๆ “แล้วแกล้งหลับทำไมล่ะ”

   “ก็มันเหนื่อย อยากจะนอน มีเรื่องให้คิดเยอะไปหมด” ภีมพูดอย่างอ่อนเพลีย

   “ไม่ต้องคิดอะไรให้มันวุ่นวายสิ อยู่กันสองคนก็คิดแค่เรื่องเราสองคนสิ” ฟินพูดพลางปลดกระดุมเสื้อของภีม

   ภีมดึงมือของฟินออกอีกครั้ง “ข้างนอกยังมีอีกสองคน แหกตาดูสิ”

   “ไปกันแล้วมั้ง ป่านนี้” มือหนายังคงพยายามปลดกระดุมเสื้อต่อไป

   “อย่ามากระตุ้นอารมณ์ฉันได้มั้ย จะนอนแล้วเฟ้ย” ภีมพูดอย่างเหลืออด

   แต่ไม่รู้ทำไมฟินยิ่งดันทุรังที่จะทำต่อไป แล้วความดันทุรังนี้ก็ทำให้เขาถอดเสื้อผ้าของภีมได้สำเร็จ

   “เปิดไฟดีกว่า” อยู่ดีดีฟินก็พูดขึ้นแล้วทำท่าจะลุกขึ้นไป ภีมจึงรีบตะครุบตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว

   “ไอ้บ้า จะเปิดทำไม ฉันอายนะเว้ย” ภีมตะคอกใส่

   “แล้วจะยอมมั้ยล่ะ” ฟินถาม มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้ง

   ภีมถลึงตาใส่อย่างหงุดหงิด “เรื่องอย่างนี้ ใครเขาถามกันฟะ”

   “แสดงว่ายอม” แล้วฟินก็จัดการเปลื้องผ้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว

   “ฉันยอมนายกี่ครั้งแล้วเนี่ย” ภีมบ่นกับตัวเองเบาๆ จากนั้นจุมพิตที่แสนร้อนแรงก็โหมกระหน่ำเข้ามาราวพายุ

   ใครว่าผู้ชายคนนี้ใจเย็น มันใจร้อนเป็นไฟเลยต่างหาก... ภีมนึกในใจพลางตอบรับจุมพิตนั้นอย่างตั้งใจ

   จุมพิตที่แสนเร่าร้อนนี้ดำเนินไปได้สักพักก็ต้องหยุดลง เมื่อภีมผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน ฟินทำหน้าเซ็งสุดฤทธิ์ แต่ก็ต้องยอมรับ ร่างสูงเดินลงจากเตียงแล้วใส่เสื้อผ้ากลับเข้าร่างกายของตัวเอง จากนั้นก็ใส่ให้กับผู้ชายอีกคนบนเตียง

   “รอดไปนะภีม” ฟินพูดกลั้วหัวเราะแล้วจุมพิตเบาๆที่หน้าผากเนียนของภีม

“อย่าลืมฝันถึงฉันล่ะ” ฟินกระซิบเบาๆพลางโอบกอดภีมไว้

“แอร์มันเย็นจริงๆด้วย” คนในอ้อมกอดพูดเบาๆคล้ายละเมอ ฟินได้ยินดังนั้นจึงกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น

“อุ่นขึ้นแล้วล่ะภีม” ฟินกระซิบบอกด้วยเสียงแผ่วหวาน แล้วหลับตาลงด้วยความสุขใจ



   เช้าวันรุ่งขึ้น ฟิน ภีมและติณณ์ ไปส่งมีนาขึ้นรถกลับบ้าน เธอบอกว่าจะมาขนของในสัปดาห์ถัดไป สัปดาห์นี้ขอไปจัดการเรื่องที่เธอรับปากกับนทีให้เรียบร้อยก่อน

   “ไม่ต้องห่วงนะฟิน มีนจะไม่พูดอะไรให้ฟินเดือดร้อนอีก” มีนายิ้มบางๆให้เพื่อนรักก่อนจะเลื่อนสายตามาหาภีม “ฟินเป็นผู้ชายที่ดีมากนะภีม รักเขาให้มากๆนะ”

   เจอประโยคนี้ของมีนาเข้าไป ภีมถึงกับหน้าแดงด้วยความอาย อย่างไรก็ตาม... เขาก็ไม่ชินอยู่ดีเวลาที่มีใครรู้เรื่องราวระหว่างเขาและฟิน “เธอว่างั้นเหรอ” ภีมพูดเบาๆแล้วลูบท้ายทอยแก้เก้อ

   มีนายิ้มหวาน เธอมองว่าภีมเป็นผู้ชายที่น่ารักคนหนึ่ง ถ้าไม่ได้ยินจากปากฟินถึงเรื่องราวต่างๆ เธอคงไม่เชื่อเป็นแน่ ว่าทั้งสองคนจะมารักกันได้ เพราะอีกคนหนึ่งก็มาดแมนและใจร้อนเกินทน ส่วนอีกคนก็มาดนิ่งและใจเย็นเป็นที่สุด

   ผู้ชายอีกคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ข้างๆภีมเริ่มอยู่ไม่สุข เมื่อมองดูนาฬิกา “รถกำลังจะออกแล้วพี่มีน ผมยังไม่ได้คุยกับพี่เลย”

   “มีอะไรเหรอจ๊ะ” มีนาถามอย่างใจดี

   “ตกลงคบกับผมเถอะนะครับ มีแฟนเด็กดีนะครับ เอาใจเก่งด้วย ไม่ผิดหวังแน่นอน” ติณณ์สาธยายไปต่างๆนานา

   มีนาไม่ตอบอะไร เธอเพียงหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งแล้วจดอะไรบางอย่างลงไป จากนั้นก็ส่งให้ติณณ์

   ติณณ์รับมาอย่างงงๆ พอเปิดดูเท่านั้น ก็เต้นเร่าๆไม่หยุดด้วยความดีใจ “ไชโย ได้เบอร์มาแล้ว”

   มีนาหันไปยิ้มให้ฟินและภีม ก่อนจะเดินขึ้นรถไป

   ทั้งสามคนโบกมือลามีนาจนกระทั่งรถทัวร์คันใหญ่วิ่งไกลออกไป

   ฟินและภีมเดินทางกลับคอนโด ติณณ์ขอตามกลับไปด้วยเพราะกลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี ภีมไม่ขัดข้องอะไร แต่ฟินดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่มีก้างชิ้นใหญ่อย่างติณณ์มาอยู่ในห้อง

   พอมาถึงห้อง ภีมและติณณ์ก็วิ่งไปที่หน้าจอทีวีทันทีโดยไม่สนใจฟินผู้เป็นเจ้าของห้อง

   เสียงเกมดังขึ้น จากนั้นก็เพิ่มระดับความดังขึ้นไปอีก จนกลายเป็นความอึกทึกที่น่าปวดหัว ฟินได้แต่นั่งมองทั้งคู่เล่นเกมกันอย่างเมามันส์

   หมดเรื่องมีนาไป จะมีเรื่องอะไรเข้ามาวุ่นวายอีกหรือเปล่า... แล้วตอนนี้ในสมองของฟินก็วกกลับมาที่เรื่องเดิมอันน่าปวดหัวอีกจนได้
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 26 – ปิดบังและเปิดเผย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 01-10-2011 00:16:03
เจ้าติณณ์เนี่ยเข้ามาทำความรู้จักคู่ฟินภีมแบบฟลุคๆ เนอะ ฟลุคไม่พอยังเนียนสุดๆ อีกด้วย
เป็นแขกไม่ได้รับเชิญจริงจริ๊งงงงงงงงงงงง   :laugh:

มีนากลับบ้าน ก็คงต้องติดตามต่อไปว่าพ่อนทีจะทำอย่างไรต่อไป
ขอบคุณคนเขียนมากๆ ค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 27 – รางวัล /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 00:52:23


บทที่ 27 – รางวัล


   หนึ่งเดือนต่อมาหลังจากที่ฟินเลือกสี่อันดับของคณะและมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าเรียน สี่อันดับสำหรับนักเรียนทุกคน แต่ฟินเลือกเพียงอันดับเดียวและแน่นอนว่าต้องเป็นคณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะที่เขาอยากเรียนมากที่สุด และแน่นอนที่สุดว่าต้องเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับภีม

   ในครั้งนี้ฟินรู้สึกมั่นใจเป็นอย่างมากว่าเขาทำได้ จึงตัดสินใจที่จะเลือกเพียงอันดับเดียว แต่ภีมดูไม่มั่นใจเท่าไหร่จึงพยายามพูดหว่านล้อมให้ฟินเลือกสามอันดับที่เหลือไว้กันพลาด แต่ฟินก็ยังไม่สนใจ บอกแค่เพียงว่า อันดับเดียวก็พอแล้ว ภีมเองก็จนปัญญา... จำต้องยอมรับในความต้องการของฟินไป

   ความเงียบเข้าปกคลุมจนทั่วห้อง เมื่อฟินและภีมนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ แม้เบื้องหน้าจะเป็นทิวทัศน์ยามเช้าที่แสนสดชื่นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แต่มันก็ไม่ทำให้ความอึดอัดที่อยู่ในใจของคนทั้งสองคลายลงได้

   และดูเหมือนว่าคนที่อึดอัดยิ่งกว่าจะเป็นภีม ฟินยังดูไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไรนักเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งนี้เขาต้องทำได้

   “รีบๆเปิดดูสิ” ภีมคะยั้นคะยอ เมื่อเห็นว่าฟินไม่ยอมเข้าไปดูสักที

   “ทำใจแป๊บนึง” ฟินพูดพลางสูดลมหายใจเข้า

   ภีมอยากจะผลักคนข้างๆให้ตกเก้าอี้เพราะความลีลาท่ามากที่เขากำลังทำอยู่

   ฟินสูดลมหายใจเข้าออกอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเปิดดูผลการคัดเลือก

   วินาทีนั้น ภีมแทบหยุดหายใจ กลัวเหลือเกินว่าฟินจะคัดเลือกไม่ผ่าน เป็นอีกครั้งที่ภีมได้เรียนรู้ว่าความกลัวเป็นเช่นไร มันสามารถทำให้คนเราหยุดหายใจไปชั่วขณะ หรือาจจะตลอดไปถ้าความกลัวนั้นเข้าครอบงำจิตใจของเราจนเต็มทุกพื้นที่

   แล้วภีมก็กลัวจนลืมหายใจไปจริงๆ เขาหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว

   ถ้าไม่ติดแล้วจะทำยังไงล่ะ...

   ก็บอกแล้วว่าให้เลือกที่อื่นไว้ด้วย ก็ไม่เชื่อกันบ้างเลย...

   ดูเสร็จหรือยังวะ ทำไมไม่พูดอะไรเลย...

   หรือว่ามันจะไม่ติดจริงๆ...

   คิดมาถึงตอนนี้ ภีมจึงลืมตาขึ้น พบว่าฟินกำลังมองหน้าเขาแล้วยิ้มออกมาจนแก้มทั้งสองข้างแทบปริออกจากกัน และนั่นก็ทำให้ภีมทราบว่า “ฟินผ่านการคัดเลือก”

   “บอกแล้วว่าผ่านชัวร์ คะแนนพุ่งขนาดนั้น ถ้าไม่เลือกฉันจะไปเลือกใคร” ฟินคุยโวอย่างลืมตัว ตลอดเวลาหลายสัปดาห์ เขาต้องทนฟังคำพร่ำบ่นของภีมต่างๆนานา ทั้งๆที่ฟินก็ย้ำไปหลายครั้งแล้วว่า ต้องทำได้อย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลใจของภีมลดลง

   จนกระทั่งวันนี้ วันที่ตัดสินอย่างชัดเจนแล้วว่า ‘ทั้งสองคนได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน’

   ครู่หนึ่งหลังจากนั้น มีนาก็โทรศัพท์มาหา บอกว่าเธอผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่นั่นได้ ฟินแสดงความยินดีกับเธอ

   จากนั้น ฟินก็โทรบอกครอบครัว พ่อของเขาเป็นคนรับโทรศัพท์ แม้ตอนแรกน้ำเสียงของคนปลายสายจะแข็งกร้าวแต่พอได้รับข่าวดีจากลูกชายก็ทำให้นทีกลับมาเป็นคนเดิมชั่วขณะ และนั่นทำให้ฟินดีใจไม่น้อย

   “เก่งมากฟิน แล้วเมื่อไหร่จะกลับบ้านล่ะ” นทีถามขึ้น น้ำเสียงยังคงสดใสอยู่

   “คงไม่กลับครับ” พอฟินตอบไปว่าอย่างนั้น เขาก็เปลี่ยนโหมดทันที

   “จะอยู่ทำไม ก็กลับมาอยู่บ้านสิ ไม่คิดถึงคนที่บ้านเหรอ”

   ฟินผ่อนลมหายใจพลางมองภีมอย่างเหม่อลอย “ผมต้องทำงานครับพ่อ แล้วอีกอย่างที่มหาลัยอาจมีกิจกรรมอะไรสำคัญที่ผมต้องไปทำ”

   “ตามใจแล้วกัน แต่ทำอะไรก็นึกถึงพ่อและแม่ด้วย อย่าทำอะไรให้พ่อและแม่ต้องอับอาย” นทีพูดเสียงเข้มก่อนจะวางสายไปในทันที ฟินไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย ทำไมเวลามีเรื่องราวดีดีเกิดขึ้นต้องมีเรื่องราวร้ายๆเข้ามาแทรกทุกที

   ฟินวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วเดินมานั่งที่โซฟา เขาไม่อยากคิดเรื่องราวที่ทำให้ปวดหัวอีกแล้ว และเขาก็สัญญากับตัวเองว่าต่อจากนี้ไป ‘จะมีเส้นทางเป็นของตัวเองและทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ’

   “ฟิน” เสียงเรียกของภีมทำให้ฟินทิ้งเรื่องราวที่กำลังคิดอยู่ออกไป

   “ว่าไง”

   “มาดูเร็วว่าพี่ภูให้รางวัลอะไรกับนายที่สอบติด” ภีมพูดพลางกวักมือเรียกให้ฟินเดินไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์

   ฟินลุกขึ้นไปอย่างว่าง่าย “แล้วพี่ภูรู้ได้ไง”

   “ถามโง่ๆ ก็ฉันบอกน่ะสิ” ภีมพูดพลางชี้ไปที่หน้าจอคอมฯ

   ‘แพกเกจทัวร์หัวหินหนึ่งสัปดาห์ จัดโดย...พี่ภูรดา สาวสวยแห่งพิริยะ’

   ฟินขมวดคิ้วเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่ออ่านข้อความนั้นจบ “ไม่เข้าใจ”

   ดูเหมือนว่าฟินจะฉลาดเกินไปจนไม่เข้าใจเรื่องที่ง่านแสนง่ายแบบนี้ ฉะนั้นภีมจึงปฏิบัติตัวเป็นผู้บรรยายที่ดี สาธยายถึงรางวัลชิ้นนี้ที่ภูรดาตั้งใจมอบให้

   “คือว่าอย่างนี้” ภีมหมุนเก้าอี้ให้หันหน้ามาหาฟินก่อนจะพูดต่อ “พี่ภูจะพาฉันและนายไปเที่ยวหัวหิน เนื่องในโอกาสที่ฉันและนายสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยดี ไม่มีการเสียเงินหรือใช้เส้นสายแต่อย่างใด สรุปแล้วก็คือ พี่ภูพาไปเที่ยว แค่นั้นล่ะ”

   ฟินย่นจมูกนิดนึงก่อนจะถามต่อ “ออกตังค์ให้หมดเลยเหรอ”

   “แน่นอน พิริยะซะอย่าง รวยจนล้นฟ้าขนาดนี้” ภีมถือโอกาสพูดประชดครอบครัวตัวเองไปในตัว

   “พูดจาแบบนี้อีกแล้ว ว่าแต่... จะไปเมื่อไหร่ล่ะ”

   “พรุ่งนี้เลยเป็นไง” ภีมเสนอ นึกว่าอย่างไรเสีย ฟินต้องปฏิเสธอย่างแน่นอนเพราะรวดเร็วเกินไป แต่กลับผิดคาดเพราะฟินตอบตกลงในทันทีที่ได้ยินข้อเสนอดังกล่าว

   “งั้นไปจัดของเลย ส่วนฉันก็จะไปจัดของเหมือนกัน แล้วพรุ่งนี้ฉันกับพี่ภูจะมารับนายที่นี่ตอนห้าโมงเย็น” ภีมพูดยานคางอย่างน่ารักจนฟินอดใจไม่ไหวที่ต้องก้มลงจูบที่ริมฝีปากแดงระเรื่อนั้นอย่างอ่อนโยน

   เนิ่นนานกว่าฟินจะถอนริมฝีปาก แล้วปล่อยให้ภีมกลับบ้านไปจัดกระเป๋า ประโยคสุดท้ายที่ฟินบอกกับภีมคือ “กระเป๋าต้องจัดเองนะ อย่าให้คนอื่นมาจัดให้ แล้วก็จัดให้เป็นระเบียบด้วยล่ะ”

   แล้วภีมก็ตอบกลับไปด้วยความมั่นใจว่า “จัดเองแน่นอนอยู่แล้ว ของๆฉัน ฉันก็ต้องจัดเองสิ จะให้ใครมาจัดให้”

   ในวันนั้น ทั้งสองคนก็ง่วนอยู่กับการจัดกระเป๋า รวมทั้งภูรดา พี่ใหญ่ในทริปนี้ เธอเลิกงานเร็วกว่าปกติเพื่อมาจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปเที่ยวกับน้องชายสุดที่รักทั้งสองคน


   ภูรดามารับภีมที่บ้านด้วยรถโฟร์วีลสีดำคันงามสุดโปรดของเธอ ภีมขนสัมภาระมารออยู่ก่อนแล้ว ตอนแรกของที่ภีมว่าจะเอามาก็มีอยู่เพียงนิดเดียว แต่พอจัดไปจัดมาก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่สามใบ กีต้าร์สีดำหนึ่งตัว ไวโอลินสีดำหนึ่งตัว และอื่นๆอีกมากมายที่กองสุมกันอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน

   ทันทีที่ภูรดามาถึงก็โวยวายเป็นการใหญ่ “จะบ้าหรือภีม ขนไปเยอะขนาดนี้ จะไปตั้งรกรากอยู่เลยหรือไง”

   ภีมมองของที่กองสุมอยู่ตรงหน้า มันเยอะก็จริงอยู่... แต่มันก็สำคัญทั้งนั้นนี่นา “แต่ว่า...”

   “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาไปเก็บบ้างเลย กระเป๋าเดินทางนี่เอาไปได้ใบเดียวเท่านั้น แล้วกีต้าร์กับไวโอลินก็เลือกมันอย่างนึง ที่เหลือก็เอาไปเก็บ ส่วนไอ้ของที่ใส่ถุงเล็กถุงน้อยนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาไป” ภูรดาชี้นิ้วสั่ง รถคันใหญ่กลายเป็นรถคันเล็กไปถนัดตาเมื่อต้องใส่สัมภาระของภีมเพียงคนเดียว

   “ไม่ได้นะพี่ภู ของสำคัญทั้งนั้น” ภีมแย้ง

   “ขนไปไม่หมดหรอก ไปกันตั้งสี่คน”

   ภีมหน้าเหวอไปในทันที สี่คนเหรอ... “ไหนว่าไปกันสามคนไง แล้วคนที่สี่นี่ใครอ่ะ”

   ภูรดากำลังจะอ้าปากพูด แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน

   “ผมเองครับ ประธานชมรมดนตรีคนเก่ง ถ้าพี่ภีมกลัวว่าจะไม่ได้เล่นไวโอลินล่ะก็... ไม่ต้องกลัวเลย เพราะผมเอามาด้วย” ติณณ์พูดหน้าตาเฉยพลางยกไวโอลินสีขาวให้ภีมเห็น

   ภีมไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว เพราะพูดไปติณณ์ก็คงต้องไปด้วยอยู่ดี “ไอ้ตัวปัญหา ฉันเบื่อหน้าแกจริงเชียว” ภีมพูดเนือยๆ

   ติณณ์ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้น ใบหน้าทะเล้นยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ไม่คลาย “เบื่อไปก็เท่านั้น ผมมันชอบจุ้นอยู่แล้ว” พูดจบก็ยกไวโอลินขึ้นอวดอีกครั้ง

   ภีมหมั่นไส้แทบทนไม่ไหวจึงร้องตะโกนไปว่า “ฉันเกลียดไวโอลินสีขาวเฟ้ย ไม่สวยเอาซะเลย ทุเรศสิ้นดี”

   “หยุดกัดกันได้แล้ว” ภูรดาตวาดเข้ากลางวง จากนั้นก็หันไปสั่งให้แม่บ้านยกสัมภาระบางส่วนของภีมเข้าไปเก็บในบ้าน

   สุดท้ายแล้ว ภีมจึงมีเพียงกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบและกีต้าร์สีดำอีกหนึ่งตัว



   ห้าโมงเย็น ภูรดาก็มาถึงคอนโดของฟิน สัมภาระของฟินมีเพียงกระเป๋าเป้หนึ่งใบและกล้องถ่ายรูปที่คล้องคอเจ้าตัวอยู่

   ภูรดายิ้มอย่างพอใจ คนที่ไม่ยุ่งยากที่สุดเห็นจะเป็นฟินนี่ล่ะ... เพราะไม่มีอะไรให้ต้องว่ากล่าวเลยสักข้อเดียว

   ฟินเปิดประตูรถแล้วขึ้นมานั่งข้างๆภีม ส่วนติณณ์นั้นนั่งข้างหน้ากับภูรดา

   พอฟินเห็นติณณ์เข้า อารมณ์สนุกก็แทบหายไปในทันที ถ้าเขาเปลี่ยนใจไม่ไปตอนนี้ยังทันอยู่หรือเปล่า

   “ฉันรู้นะ... ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่” ภีมกระซิบกระซาบกับฟินเบาๆพอที่จะได้ยินกันสองคน

   “แล้วฉันคิดอะไร” ฟินตอบสั้นๆ น้ำเสียงไร้อารมณ์สุดชีวิต

   “ก็คิดว่า ไอ้บ้าติณณ์มันโผล่มาได้ยังไงนี่สิ” ภีมพูดอย่างไม่พอใจ ถ้าหนึ่งสัปดาห์นี้ต้องตื่นมาเจอติณณ์ทุกวัน ภีมต้องทนไม่ไหวแน่ๆ เพราะหมอนี่มันจอมกวนบาทายิ่งกว่าใคร

   “ใช่เลย ฉันคิดอย่างนั้นอยู่พอดี”

   ขนาดฟินและภีมคุยกันเบาๆ ติณณ์ยังไม่วายสอดแทรกเข้ามาเพื่อร่วมวงสนทนาด้วย “แหม กระหนุงกระหนิงกันจริงเชียว ทริปนี้ท่าจะสนุก คิดถูกจริงๆที่มา”

   ในขณะที่ติณณ์พูดอย่างนั้น ภีมก็คิดในใจว่า ฉันจะเอายาเบื่อให้แกกิน จะได้ไม่ต้องพูดไปเลยตลอดชีวิต

   ส่วนฟินก็ ถ้าไล่หมอนี่กลับไปตอนนี้ จะบาปมากหรือเปล่า

   เมื่อทั้งสองคนที่นั่งด้านหลังจมอยู่กับความขุ่นเคืองภายในใจ จนไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้อีกแล้ว ติณณ์ก็จำต้องเงียบบ้าง แต่เงียบของเขาคือกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่

   ทริปนี้สนุกชัวร์ ติณณ์คิดในใจแล้วก็ยิ้มออกมาเพียงลำพัง



 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 28 – หัวหินอินเลิฟ 1 /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 01:07:05


บทที่ 28 – หัวหินอินเลิฟ 1



   สองชั่วโมงต่อมา รถโฟร์วีลสีดำก็จอดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่งริมทะเล บ้านไม้สองชั้นสีขาวสะอาดตา รอบๆตัวบ้านมีหน้าต่างนับสิบบาน ทำให้บ้านดูโปร่งและโล่ง

   “บ้านใครเหรอพี่ภู” ภีมถามพลางมองไปที่บ้านไม้สีขาวตรงหน้า และยังมีผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวอยู่ริมหน้าต่างสร้างความสบายใจให้คนมองอย่างบอกไม่ถูก

   ภูรดายิ้มพราว “บ้านเพื่อนพี่เอง มันเปิดร้านอาหารอยู่ตรงโน้นน่ะ” เธอว่าพลางชี้ไปยังร้านอาหารเล็กๆที่ติดไฟหลากสีจนสว่างไสวไปทั่วบริเวณ

   หนุ่มน้อยทั้งสามคนมองตาม เกิดความรู้สึกเดียวกันว่าอยากเข้าไปในร้านนั้น ภูรดาเหมือนจะรู้ใจของทุกคน เธอบอกให้ทั้งสามขนกระเป๋าเข้าไปในบ้านแล้วจัดการแบ่งห้องนอนให้

   “ห้องมีอยู่สามห้อง พี่ขอนอนห้องนี้” ภูรดารีบเลือกห้องที่เห็นวิวทิวทัศน์ชัดที่สุดให้ตนเอง “ส่วนเธอสามคนถ้าอยากนอนด้วยกันก็ไม่เป็นไรนะ ไปนอนห้องนี้เลย ส่วนอีกห้องนึงก็ว่างไว้”

   ติณณ์สังเกตปฏิกริยาของฟินและภีมว่าจะทำอย่างไรเมื่อภูรดาบอกอย่างนั้น แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมานอกจากเมินเฉย ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ติณณ์เซ็งสุดฤทธิ์ที่ไม่ได้เห็นท่าทางแตกตื่นที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองของทั้งคู่

   ซึ่งความจริงแล้วฟินก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ป่วยการที่จะพูดหรือแสดงท่าทีอะไรออกไปส่วนภีมนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาขี้เกียจจะพูดอะไรอีกแล้วนอกจากคำว่า ‘เบื่อไอ้หมอนี่จริงๆ’   

   ฟินและภีมขนของเข้าไปเก็บไว้ในห้อง ภูรดาก็แยกเข้าไปในห้องของตัวเอง ติณณ์ยืนมองอย่างขัดใจ แต่สุดท้ายก็ขนของเข้าไปไว้ในห้องบ้าง แต่เป็นอีกห้องหนึ่งที่ยังว่างอยู่

   ตอนแรกคิดจะแกล้งสองคนนี้เสียหน่อย แต่เห็นท่าทางอิดโรยและเบื่อต่อสรรพสิ่งรอบข้างก็ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนั้นไป

   “อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกัน ไว้ค่อยแวะไปกวนอารมณ์เป็นครั้งคราว” ติณณ์บอกกับตัวเองอย่างนั้นพลางหัวเราะออกมา ใครเห็นเขาต้องคิดว่าเขาบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน

   ติณณ์รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้แกล้งฟินและภีม แต่เจตนาของเขาไม่ได้จะสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ใคร เขาเพียงรู้สึกว่าสองคนนี้คือพี่ชาย และเขาผู้เป็นน้องก็ต้องเล่นกับพี่ชายบ้าง เป็นบางครั้งคราว

   ลมทะเลพัดเข้าสู่ตัวบ้านไม่หยุดหย่อน แค่เพียงยืนมองทะเลอยู่ริมหน้าต่างเท่านั้นก็สามารถทำให้เคลิ้มหลับไปได้ทั้งยืน และภีมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่กำลังจะถอยหลังแล้วล้มตัวลงบนเตียง

   แต่โชคดีที่ฟินเข้ามาขัดเสียก่อนด้วยการสวมกอดเขาไว้จากด้านหลัง ภีมสะดุ้งตกใจ ความง่วงที่มีอยู่ก่อนหน้านี้หายไปจนหมด

   “ชอบทำให้ตกใจอยู่เรื่อยเลย” ภีมว่าเสียงเขียวพลางแกะมือของฟินออกจากเอว “ประตูไม่ได้ล็อค เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นเข้าอีกหรอก ทำอะไรไม่ดูเลย”

   “กอดแค่นี้เอง ใครๆเขาก็กอดกัน” ฟินทำเป็นไม่สนใจก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของภีม “แบบนี้ใครๆก็ทำกัน”

   ภีมอยากจะบ้าตาย คราวก่อนติณณ์ก็เข้ามาเห็น ย้อนกลับไปคราวโน้น พ่อของฟินก็เห็นการกระทำที่โจ่งแจ้งของลูกชายตัวเองกับตา แล้วถ้าคราวนี้มีคนมาเห็นอีก คงไม่แคล้วว่าจะเป็นภูรดา พี่สาวของเขาเอง

   “ทำไมชอบมานัวเนียกับฉันนักหนาวะเนี่ย” ภีมสบถเบาๆ

   ฟินหัวเราะกับคำสบถนั้น พลางประกบปากเข้าที่ลำคอขาวแล้วจูบด้วยความหมั่นเขี้ยว “ก็มันน่านัวเนียมั้ยล่ะ หอมขนาดนี้”

   ภีมเบือนหน้าหนี แต่หนีไปทางไหนฟินก็ตามไปได้ทุกที่

   “เดี๋ยวมันเป็นรอย ทำอะไรไม่คิดอีกแล้วนะฟิน” ภีมปรามเสียงสั่น แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะไม่ให้เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น

   “ก็พันผ้าพันคอสิ ไม่เห็นเป็นไรเลย” ฟินบอกทางแก้ให้

   ภีมหน้าตึงขึ้นมาทันที ทีเรื่องอย่างนี้มีทางแก้คิดไว้ในหัวอยู่ตลอด “นายมาลองเป็นแบบฉันมั้ยล่ะ”

   ฟินหยุดริมฝีปากแล้วหมุนตัวภีมให้หันหน้ามาหาตน “ก็เอาสิ ถ้าทำได้ล่ะนะ” ฟินยิ้มยียวน เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ภีมเห็นรอยยิ้มนี้

   ภีมจ้องหน้าฟินอย่างขุ่นเคือง ใครว่าเขาก็ไม่กล้าล่ะ...

ว่าแล้วก็จับบ่าของคนตรงหน้าที่สูงกว่า ฟินเลิกคิ้วมองอย่างขบขัน ร่างของเขายังคงนิ่งอย่างนั้นไม่ไหวติง ภีมเริ่มประหม่าเมื่อเห็นรอยยิ้มกวนประสาทประดับที่ริมฝีปากของฟิน

ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วเขย่งปลายเท้า จากนั้นก็เลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ฟินแล้วจูบลงที่ลำคอเนียนละเอียด

แต่ฟินกลับหัวเราะออกมา “หึ ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

ภีมนิ่วหน้าอย่างขัดใจแต่ดวงตาดำสนิทกลับวาววับ ท้าทายกันใช่มั้ย...

ภีมเพิ่มแรงจับที่บ่าให้แน่นขึ้น จากนั้นก็โถมทั้งตัวเข้าสู่ร่างที่ยืนนิ่งสงบของฟิน ริมฝีปากของภีมพลันฝังลงที่ลำคอของฟินเรียบร้อยแล้ว

ฟินไม่อาจต้านแรงที่โถมเข้ามาของภีมได้ จึงหงายหลังล้มลงไปบนพื้น เกิดเสียงสนั่นไปทั้งบ้าน และแน่นอนว่าคนแรกที่เข้ามาในห้องก็คือ ติณณ์

เขาเข้ามาแล้วยืนกอดอกพิงประตูห้องมองคนทั้งสองที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น “จู๋จี๋กันรุนแรงจังเลยนะครับ บ้านนี่สั่นเชียว”

“ออกไปให้พ้นหน้าฉันเลย ไอ้บ้า” ภีมพูดเสียงเขียว ยังคงนอนทับร่างของฟินอยู่

“เอ้า รีบๆลุกสิครับ เดี๋ยวพี่ภูมาเห็นเข้า จะยุ่งนะ” ติณณ์พูดกลั้วหัวเราะ

ภีมรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วเดินก้มหน้างุดๆออกจากห้องไปโดยไม่สนใจฟิน หนุ่มร่างสูงที่เพิ่งประคองตัวเองให้ลุกตามมาบิดร่างกายไปทางซ้ายทีขวาที ตอนนี้เขาช้ำไปทั้งตัวแล้วเพราะล้มลงพื้นอย่างเต็มแรง

“เจ็บล่ะสิพี่ ก็เล่นล้มซะแรงเชียว” ติณณ์ยังไม่หยุดพูด

“เจ็บน่ะสิ” ฟินบอกเสียงเรียบพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้ติณณ์ “เข้ามาทีไร ได้เรื่องทุกทีเลย” พูดจบก็เดินออกไปอีกคน

ติณณ์หัวเราะร่าเสียงดังก่อนจะเดินออกไปบ้าง

ครึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น ภูรดาก็พาฟิน ภีม และติณณ์ไปที่ร้านอาหารริมชายหาดที่อยู่ถัดจากบ้านพักไปประมาณห้าสิบเมตร

ร้านอาหารเล็กๆที่ก่อสร้างด้วยไม้ดูน่ารักอยู่ไม่น้อย เมื่อเดินเข้าไปในร้านจะพบเวทีขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง มีเครื่องดนตรีต่างๆวางอยู่บนเวที ไม่ว่าจะเป็นกลองชุด เบส กีต้าร์ คีย์บอร์ด และไมโครโฟนสำหรับนักร้องนำ

แต่ตอนนี้เวทียังไร้ผู้คนอยู่บนนั้น...

จะมีก็แต่แขกที่ทยอยเข้าร้านมาเรื่อยๆจนพื้นที่ในร้านไม่เพียงพอรองรับ ต้องเพิ่มโต๊ะจำนวนหนึ่งไว้ที่ข้างนอกร้านริมชายหาด

ภูรดาเดินตรงเข้าไปยังหลังร้านที่ค่อนข้างมืดสลัวพลางส่งเสียงร้องเรียกชื่อเพื่อนดังไปทั่วบริเวณ ไม่นานนัก เพื่อนคนที่ว่าก็วิ่งออกมาหาเธอพลางสวมกอดด้วยความคิดถึง

“พอแกบอกจะมา ฉันก็ดีใจแทบตาย” สาวร่างใหญ่กว่าภูรดาพูดอย่างยิ้มแย้ม เธอเป็นเจ้าของร้านนี้ “ทำไมแกมีน้องชายตั้งสามคนล่ะเนี่ย ต๊ายๆ หล่อกันทั้งนั้นเลย โดยเฉพาะคนนี้” เธอว่าพลางส่งยิ้มหวานไปให้ฟิน คนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด

ฟินยิ้มบางๆ เท่านั้น

“แล้วผมไม่หล่อตรงไหนครับเจ๊ไข่” ภีมพูดเสียงยียวน สาวร่างใหญ่นามเจ๊ไข่ถลึงตาขึ้นอย่างตกใจ “ต๊าย... ภีมใช่มั้ยเนี่ย โตขึ้นจนพี่จำไม่ได้เลย หล่อสิจ๊ะ หล่อมาก บังเอิญเจ๊ไข่ไม่เห็นน่ะ โทษทีนะจ๊ะ”

ติณณ์ทำหน้าบูดบึ้งอยู่คนเดียวที่ไม่ถูกชม เจ๊ไข่เห็นเข้าก็รีบเอาอกเอาใจทันที “หนุ่มน้อยคนนี้ก็หล่อพอกัน แหม... ทำหน้าน้อยใจเจ๊แบบนี้ ไม่เอานะ... เดี๋ยวไม่หล่อ”

นั่นล่ะ... ติณณ์ถึงยิ้มออก

“แล้วไอ้ขนุน มันอยู่ไหน” ภูรดาถามถึงขนุนเพื่อนชายอีกคนหนึ่งซึ่งตอนนี้แต่งงานกับไข่หงส์เป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว “ขอโทษที่ไม่ได้มางานแต่งนะ” ภูรดาพูดเสียงเศร้า

“เจ๊ไข่แต่งงานแล้วเหรอ” ภีมถามอย่างตกใจ

ไข่หงส์ยิ้มเขินๆ “ก็อ่ะนะ ไปไหนไม่รอด ก็ต้องมาเอาเพื่อนตัวเองนี่ล่ะ ขนุนมันก็คนดี แล้วมันก็รักพี่ พี่ก็เลยลงเอยกับมันนี่ล่ะ”

ภูรดามองเพื่อนสาวด้วยความอิจฉา ถ้าชีวิตของเธอเป็นแบบไข่หงส์ก็คงดี อยากทำอะไรก็ทำตามใจชอบ ไม่ต้องอยู่ในกรอบที่ใครขีดไว้

“มาแล้วเหรอภู คิดถึงแกแทบแย่ งานแต่งฉันสองคนแกก็ไม่โผล่หน้ามาเลย” เสียงของขนุนดังมาแต่ไกล ร่างสูงใหญ่ทว่าเพรียวบางเดินฝ่าความมืดเข้ามาทางหลังร้าน

ภูรดามองเพื่อนทั้งสองด้วยความคิดถึง ไม่มีใครเปลี่ยนไปเลย ยังคงเป็นเหมือนเดิม เหมือนอย่างที่เป็น “ขอโทษที ฉันติดประชุม ชีวิตไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย” จบประโยค เสียงถอนหายใจก็ตามมา

ฟินและภีมหันมองหน้ากันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย

“เอาเถอะ ฉันสองคนไม่โกรธหรอก ไปนั่งข้างนอกร้านดีกว่า” ไข่หงส์และขนุนโอบไหล่ภูรดาเดินนำออกไปนั่งที่โต๊ะข้างนอกร้านริมชายหาด เนื่องจากโต๊ะด้านในเต็มหมดแล้ว

“นั่งตรงนี้ละกัน เดี๋ยวอาหารและเครื่องดื่มจะตามมาเร็วๆนี้” ไข่หงส์บอกทุกคนบนโต๊ะ จากนั้นสองสามีภรรยาเจ้าของร้านก็ขอตัวไปทำงาน

“เมื่อไหร่จะเริ่มเล่นซักที นี่มันก็สามทุ่มแล้วนะ” ติณณ์พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ

ภีมเห็นด้วยจึงผสมโรงอีกคน “นั่นสิ เดี๋ยวขึ้นไปเล่นเองซะเลย น่ารำคาญชะมัด”

ฟินมองดูทั้งสองคนที่เข้ากันดีเหลือเกิน “นายสองคนนี่วุ่นวายจังเลย ทีเรื่องอย่างนี้เข้ากันดีจริงๆเลยนะ”

“ใช่ วุ่นวายจริงๆ” ภูรดาออกความเห็นบ้าง

ติณณ์และภีมสบตากันแล้วเงียบไปทันที

ไม่นานนัก อาหารและเครื่องดื่มก็ถูกนำมาวางจนเต็มโต๊ะ แล้วทั้งสี่คนก็ลงมือทานอาหารอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย

“เอิ๊กกกก” ติณณ์เรอออกมาเสียงดังแล้วยังไม่วายทำเป็นไม่รู้เรื่อง แถมยังกลบเกลื่อนด้วยการทานต่อไปอย่างหน้าตาเฉย

“เสียมารยาทชะมัด ไอ้กุ๊ยเอ๊ย” ภีมกัดฟันว่าติณณ์เบาๆแต่ก็พอจะได้ยินกันทั่วถึงทั้งสี่คน

ภูรดามองดูอย่างขบขัน เด็กพวกนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปเสียทุกอย่าง

ฟินเองก็ยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เขาค่อยๆยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพติณณ์ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

จากนั้นก็โฟกัสไปที่ใบหน้าของภีมแล้วรีบกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าตัวจนหันมาเห็น เสร็จแล้วก็หันไปถ่ายภูรดา สาวร่างใหญ่ยิ้มให้กล้องแล้วชูสองนิ้ว

“ทำไมพี่ไม่ถ่ายผมบ้างล่ะ” ติณณ์เงยหน้าแล้วประท้วงทันที

“ถ่ายไปแล้ว” ฟินตอบยิ้มๆ “ภีมก็ถ่ายแล้วด้วย”

“ฉันไม่ได้ถามซักหน่อย บอกทำไม” ภีมปั้นหน้านิ่ง แต่ในใจรู้สึกเขินแทบตาย

ภูรดามองเด็กหนุ่มทั้งสามแล้วเอ่ยปากขอยืมกล้องฟินมาถ่ายบ้าง ฟินถอดสายคล้องคอออกแล้วส่งกล้องให้ภูรดา

“พี่จะถ่ายรูปเธอสามคน” ภูรดาบอกพลางทำไม้ทำมือเป็นสัญญาณบอกให้อยู่ใกล้ๆกันหน่อย

ฟินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ภีม ส่วนติณณ์ก็กระเถิบตัวมาอยู่ใกล้ภีมเช่นกัน คนตรงกลางอย่างภีมก็ไม่ต้องไปไหน นั่งตัวตรงอย่างเดียว

“ยิ้มหน่อย หนุ่มๆ” ภูรดาบอกก่อนจะเริ่มนับหนึ่ง สอง และสาม

ภาพถ่ายก็เสร็จสมบูรณ์

“ผมขอยืมกล้องบ้างครับพี่ฟิน” ติณณ์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ฟินไม่ค่อยอยากให้นักแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องจำใจยกให้อยู่ดี

เมื่อได้กล้องมาครอบครอง ติณณ์ก็สั่งให้ฟินและภีมเต๊ะท่าถ่ายรูปทันที

“แกสั่งฉันเหรอวะ ติณณ์” ภีมตวาดเข้าให้

ฟินยิ้มบางๆ รู้สึกรักติณณ์ขึ้นมาก็ตอนนี้ล่ะ... “ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยนะภีม” ฟินแอบกระซิบเบาๆที่หูของภีม โชคดีที่ภูรดาหันไปทางอื่นจึงไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัย

ภีมฝืนยิ้มออกมา ฟินยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนภีมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว “ยิ้มให้มันเป็นธรรมชาติหน่อยได้ไหม” ฟินบอก

“เอาล่ะนะ หนึ่ง สอง สาม”

ติณณ์กดชัตเตอร์เรียบร้อยแล้ว และรูปที่ออกมาก็ดีเสียด้วย เพราะผู้ชายสองคนในรูปยิ้มหวานที่สุดเท่าที่ติณณ์เคยเห็นมา ติณณ์หรี่ตามองฟินแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

ฟินเลิกคิ้วตอบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ

ภีมทีนั่งอยู่ตรงกลางกลับไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลย

แล้วต่อจากนั้นกล้องของฟินก็เวียนคนถ่ายไปเรื่อยๆ สนุกสนานกันไปตามประสา

จนกระทั่งเกือบสี่ทุ่ม ความโกลาหลในร้านก็เกิดขึ้น เมื่อนักดนตรีที่ทางร้านจ้างไว้ดันไม่มาตามนัด

“แกมาก็ซวยเลยภู นักดนตรีมันดันเบี้ยวงานฉัน ไม่ยอมมา” ไข่หงส์เดินมานั่งที่โต๊ะพลางกดโทรศัพท์หาวงดนตรีอื่น

ภูรดามองหน้าน้องชายแล้วยิ้มออกมา “ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอกไข่ เทพอยู่นี่ทั้งคน”

ไข่หงส์มองตามสายตาเพื่อน พบภีมที่กำลังนั่งยิ้มเจื่อนๆ ลูบท้ายทอยอย่างเขินอาย

ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ ทำให้ภีมและติณณ์ต้องขึ้นมาอยู่บนเวทีในฐานะนักดนตรีจำเป็น

โชคดีที่ขนุนสามารถหากีต้าร์อะคูสติกสีดำมาให้ภีมได้ ไม่อย่างนั้นภีมคงไม่มั่นใจที่จะเล่นเป็นแน่เพราะกีต้าร์ตัวที่วางอยู่ไม่ใช่สีดำ

“นายร้องได้แน่นะติณณ์” ภีมถามเพื่อความแน่ใจพลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่กลางร้าน

“ก็ไม่ค่อยแน่ แต่เคยมีคนชมว่าผมเสียงดี” ติณณ์ยิ้มเจื่อนๆพลางนั่งลงบ้าง

เวทีขนาดเล็กตอนนี้ดูยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับภีมและติณณ์ ก็เขาทั้งคู่เล่นนั่งเคียงคู่กันอยู่สองคนที่กลางเวทีเลยนี่ แถมเก้าอี้ที่ทางร้านจัดหามาให้ก็สูงเด่นเป็นสง่าเสียจริงๆ

“บ้าเอ๊ย แล้วเพลงแรกจะเล่นอะไรดีล่ะ” ภีมสบถเบาๆพลางเปิดหนังสือเพลงที่อยู่ตรงหน้า “ฉันไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยเท่าไหร่”

“แต่พี่ขนุนบอกว่าให้เล่นเพลงไทยนะครับพี่ แล้วหนังสือเพลงพวกนี้ก็มีแต่เพลงไทย” ติณณ์กระซิบเบาๆ

“งั้นหลับตาเปิดหนังสือ เปิดหน้าไหนก็เล่นมันเพลงนั้นนั่นล่ะ” ภีมเสนอ ติณณ์พยักหน้าตกลง

แล้วการเสี่ยงทายก็มาจบลงที่เพลง ‘กอด โดย บุรินทร์ Groove Rider’

“เป็นไง” ติณณ์ถาม ตัวเองก็ลุ้นอยู่ไม่ใช่น้อย กลัวว่าจะร้องไม่ได้

“เพลงกอด ของบุรินทร์” ภีมบอก โชคดีที่เขาเล่นเพลงนี้ได้

“โชคดีที่ผมร้องได้” ติณณ์ยิ้มพราว

ทั้งคู่เลิกคิ้วให้กัน...

แล้วเพลงกอด เวอร์ชัน... สบายๆริมชายหาดก็เริ่มขึ้น


เพลงกอด โดย บุรินทร์

คำบางคำ จากคนบางคนไม่อาจจะบอกเรื่องราว
คำบางคำแค่เอ่ยเบาๆก็ยังว่ายากเกินไป
ใจบางใจ เก็บคำเป็นพันที่อยากจะสื่อถึงใจ
ก็คงต้องใช้เวลามากมาย เอ่ยคำเป็นพันที่มี
ไม่รู้ ว่าเธอรู้ไหม หัวใจของฉันในตอนนี้
ล้านคำที่ดี ไม่จำเป็นค้องมี เพียงแค่เธออยู่ตรงนี้
และเมื่อเธอกอดฉัน ไม่ต้องบอกว่ารักก็รู้ได้ทันที
หัวใจรู้สึกถึงอะไรดีดี เมื่อใจได้ใกล้ใจ
และเมื่อเธอกอดฉัน ก็ไม่มีคำไหนให้ฉันต้องบรรยาย
แล้วเธอว่าไง แล้วเธอรู้สึกไหม เมื่อฉันกอดเธอ


ในระหว่างที่ติณณ์และภีมเล่นดนตรีอยู่บนเวที คนที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีต่ำอย่างฟินก็เดินถ่ายรูปไปรอบๆร้าน ส่วนภูรดาก็นั่งเฝ้าโต๊ะมองดูน้องชายเล่นดนตรีด้วยรอยยิ้มพลางยกเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เข้าปากอย่างเพลิดเพลินใจ

ฟินเดินจนทั่วร้าน สุดท้ายก็มายืนอยู่ที่หน้าเวที ถ่ายแต่รูปของภีมอย่างเดียวและก็ถ่ายไม่หยุดจนภีมอยากจะเลิกเล่นกลางคันแล้วเดินมาชกหน้าฟินสักสองทีให้หยุดถ่าย

แต่ภีมก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพลงแรกจบลง เสียงปรบมือก็ดังลั่นร้าน ตามมาด้วยเสียงชื่นชม ทำเอาเจ้าของร้านยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว

เวลาล่วงไปจนเที่ยงคืน ภีมและติณณ์ปิดท้ายด้วยเพลงสากลของ Donavon Frankenreiter ซึ่งภีมทั้งร้องและเล่นด้วยตัวเอง เนื่องจากว่าติณณ์ร้องไม่ได้

ร้านนี้ปิดตอนตีสอง อีกสองชั่วโมงที่เหลือทางร้านก็เปิดเพลงจากแผ่นซีดีแทน

ภีมและติณณ์เดินลงมาจากเวทีอย่างหน้าชื่นตาบานกันทั้งคู่ ฟินยืนรออยู่ข้างล่างเวที พอภีมเดินลงมาเขาก็ยื่นอะไรบางอย่างให้ ติณณ์ไม่อยากขัดจังหวะจึงรีบเดินนำมานั่งที่โต๊ะก่อน

“อะไร” ภีมถามยิ้มๆ ลืมเรื่องหงุดหงิดก่อนหน้านี้ไปหมด

ฟินแบมือออก บนฝ่ามือของเขามีก้อนหินสีขาวเนื้อเนียนละเอียด ลักษณะกลมมนเล็กๆวางอยู่ ดูๆไปมันก็ไม่ต่างจากก้อนหินทั่วๆไปเท่าไรนัก

“เอามาทำไม” ภีมหรี่ตามองอย่างงุนงง แต่ก็รู้สึกว่าก้อนหินนี้ต้องมีอะไรที่พิเศษแน่ๆ ไม่อย่างนั้นฟินคงไม่เก็บมา

“เอาไปดูเองสิ” ฟินส่งให้ภีม

ภีมรับมาอย่างงงๆแล้วพลิกไปพลิกมา จนเห็นความพิเศษของหินก้อนนั้น เมื่อพลิกไปอีกด้านหนึ่งก็พบว่ามีรอยขรุขระลักษณะคล้ายรูปหัวใจ

ริมฝีปากของภีมเม้มเป็นเส้นตรง เขาพยายามกลั้นรอยยิ้มอยู่

แต่ทำไมฟินจะดูไม่ออก “เจอพอดีเลยเก็บมาให้”

“เออ ขอบใจ” ภีมบอกแค่นั้นแล้วรีบเดินไปนั่งที่โต๊ะทันที มือเรียวสวยกำหินก้อนนั้นไว้จนแน่น แล้วในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ติณณ์มองดูคนทั้งสองแล้วก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน คนหนึ่งก็เอาอกเอาใจเสียเหลือเกิน อีกคนก็เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง แต่มันก็เข้ากันดีนะ...

“ยิ้มอะไรเหรอติณณ์” ดูเหมือนว่าเสียงยานคางของภูรดาจะเรียกสติทุกคนกลับมา

ภูรดาดื่มไปเยอะไม่น้อย ดูจากปริมาณขวดเหล้าที่วางอยู่ยนโต๊ะก็พอจะเดาได้ว่าตลอดเวลาสองชั่วโมงที่ติณณ์และภีมเล่นดนตรีอยู่ ภูรดาดื่มไปมากแค่ไหน

“ทำไมไม่เฝ้าพี่ภูไว้นะฟิน” ภีมหันมาว่าฟินเสียอย่างนั้น

ฟินทำหน้าเหวอ อยู่ดีดีภีมก็โยนระเบิดลูกใหญ่มาให้ “ก็ไม่รู้ว่าพี่ภูจะดื่มหนักขนาดนี้”

“ไหนๆพี่ภูก็เมาแล้ว เราก็มาเมากันบ้างเถอะนะครับ” ติณณ์ยกแก้วเหล้าที่ภูรดาดื่มค้างไว้ขึ้นชูแล้วกระดกเข้าปาก
รวดเดียวหมด

ฟินและภีมมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี... ในระหว่างที่คิดกันอยู่นั้น ติณณ์ก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะไปแล้ว

ติณณ์ดื่มเพียงสองแก้วก็คอพับคออ่อนตามภูรดาไปเสียดื้อๆ

“ฉันก็ไม่ได้ดื่มนานแล้ว ดื่มซะหน่อยดีกว่า” ภีมว่าพลางผสมเหล้าอย่างช่ำชอง ฟินมองตาค้าง ห้ามปรามไม่ออกเลยทีเดียว

ในที่สุด แอลกอฮอล์แก้วแรกในรอบหนึ่งปีก็ไหลลงคอภีมเรียบร้อยแล้ว

“ภีม นายดื่มตั้งแต่อายุเท่าไหร่เนี่ย” ฟินถามอึ้งๆ

ภีมยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้าตอบออกมา

“ตอบมาเลย” ฟินทำเสียงแข็งใส่

ภีมยิ้มแหยๆก่อนจะสารภาพออกมาอย่างแผ่วเบา “ตอนอยู่ ม.2 น่ะ อายุได้สิบสาม”

ฟินเผลออ้าปากออกมาโดยไม่รู้ตัว พลางนึกถึงตัวเอง ตอน ม.2 เขายังเป็นเด็กน้อยอ่อนต่อโลกอยู่เลย แต่ทำไมภีมถึง...

“ลองดื่มดู อายุสิบเจ็ดแล้ว สมควรจะดื่ม” ภีมเอาหลักการของตัวเองมาตัดสินถึงความสมควรในการดื่มแอลกอฮอล์ “ลองดู” ภีมส่งแก้วน้ำสีอำพันให้ฟิน

“จะดีเหรอ มีคนบอกฉันว่ามันไม่อร่อย” ฟินรับมาถือไว้แต่ยังไม่ยอมดื่ม

“ใครกันที่บอกนายแบบนั้น ลิ้นจระเข้ชัดๆ” ภีมพูดกลั้นหัวเราะ

ฟินทำหน้าบูด “พ่อฉันเองที่บอก”

ได้ยินคำตอบแบบนั้น ทำเอาภีมขำไม่ออกเลยทีเดียว

แต่สำหรับฟิน พอพูดถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็เริ่มเครียดขึ้นมาจนเผลอตัวกระดกเหล้าเข้าปาก แล้วแก้วที่สอง สาม สี่ ก็ตามมา

สุดท้ายแล้ว ทั้งสี่คนก็สลบคาโต๊ะไม่ได้สติเลยสักคนเดียว

ขนุนและไข่หงส์จึงต้องช่วยกันพยุงร่างของเพื่อนและน้องชายเพื่อนกลับมายังที่พักด้วยความทุลักทุเล

ขนุนวางร่างของฟิน ภีม และติณณ์ไว้ในห้องๆหนึ่ง ส่วนภูรดาก็อยู่อีกห้องหนึ่งโดยมีไข่หงส์อยู่ดูแล

“ขนุนขอไปนอนที่บ้านนะ ต้องไปเตรียมของต่อ” ขนุนบอกภรรยาแล้วก็กลับบ้านไป

ไข่หงส์เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ภูรดาแล้วก็เผลอหลับไป ลืมสามหนุ่มน้อยที่อยู่อีกห้องหนึ่งไปโดยปริยาย

แล้วสามหนุ่มน้อยอีกห้องหนึ่ง ต่างก็รู้สึกร้อนในกายจนต้องถอดเสื้อออกเพื่อระบายความร้อน จนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืนที่ลมพัด

แรง ร่างท่อนบนที่เปลือยเปล่าของทั้งสามก็กอดกันกลมเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันและกัน

ในคืนนั้น ต่างคนก็ต่างตกอยู่ในห้วงความฝันของตัวเอง ฟินและภีมอาจจะฝันเรื่องเดียวกัน แต่สำหรับติณณ์แล้ว เขากำลังฝันถึงผู้หญิงอีกคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน

แย่แล้ว วันนี้ลืมโทรหาพี่มีน... ติณณ์ละเมอพูดออกมาในที่สุด



 :t3: :t3: :t3: :t3: :t3:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 29 – หัวหินอินเลิฟ 2 /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 01:11:51


บทที่ 29 – หัวหินอินเลิฟ 2



   เช้าวันใหม่ที่สดใสเริ่มต้นขึ้น ลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างหอบเอากลิ่นไอทะเลเข้ามาด้วย แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างในทิศตะวันออกซึ่งตรงกับห้องของฟินและภีม ซึ่งตอนนี้มีติณณ์ร่วมใช้ห้องดังกล่าวไปแล้วอีกคนหนึ่ง

   คนที่นอนอยู่ตรงกลางกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเหล้าเพียงสองแก้วจะสามารถทำให้เขาหลับสบายถึงเพียงนี้ แถมยังฝันดีเสียด้วย

   ในขณะที่กำลังนึกถึงความฝันอยู่นั้น ก็รู้สึกถึงความอึดอัดที่อยู่รอบๆกาย มันเบียดเสียดและอุ่นร้อน เขาเบนสายตาไปทางซ้ายและขวา

   แล้วก็ร้องออกมาเสียงดังลั่นบ้าน

   “ผมโดนปล้ำครับ ช่วยด้วยๆๆ” เสียงร้องที่ฟังดูแล้วคล้ายเสียงตะโกนอย่างขาดสติ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ภูรดาและไข่หงส์ออกไปซื้อของข้างนอกจึงไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นตอนนี้

   ในบ้านจึงมีเพียงเด็กหนุ่มสามคนที่นอนกอดกันกลม

   คนที่นอนตรงกลางแหกปากร้องเสียงดังลั่น ทำให้อีกสองคนที่นอนขนาบข้างงัวเงียตื่นขึ้นมา แล้วคนที่นอนทางด้านซ้ายก็ต้องร้องออกมาบ้าง

“แกทำอะไรฉันวะ ไอ้ติณณ์” เสียงนั้นเป็นของภีม เขาร้องพลางดึงมือของตัวเองที่กำลังกอดติณณ์ออกมา

   “ผมเปล่าทำนะ พี่นั่นล่ะ... ทำอะไรผมหรือเปล่า” ติณณ์พูดพลางดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ดวงตาดำขลับเหลียวซ้ายแลขวาไปมาด้วยความตกใจ

   มีเพียงหนึ่งเดียวที่ยังครองสติไว้ได้ แม้จะรู้สึกปวดหัวแค่ไหนก็ตาม นั่นก็คือฟิน...

   “จะร้องโวยวายกันทำไม” เขาพูดเบาๆพลางยกมือกุมศีรษะ

   “จะไม่ให้ร้องได้ไงครับ ก็ดูสิ... ผมนอนกลางเลยนะ แล้วพี่ภีมก็กอดผมซะแน่น ส่วนพี่ก็เกี่ยวขาผมทั้งคืน แล้วดูสภาพแต่ละคนซิ เสื้อก็ไม่ใส่ ผมโดนปล้ำหรือเปล่าเนี่ย” ติณณ์เริ่มเอะอะโวยวายอีกครั้ง

   ภีมทนไม่ไหวจึงเคาะศีรษะติณณ์ไปทีหนึ่งเพื่อให้เขาสงบ “แกจะร้องโวยวายทำซากอะไร เสื้อไม่ใส่แต่กางเกงยังอยู่นะเว้ย แล้วถ้าใครจะเป็นคนปล้ำแกล่ะก็... ไม่ใช่ฉันแน่นอน” ประโยคสุดท้ายภีมมองไปยังฟินที่กำลังนั่งกุมศีรษะอยู่

   ติณณ์มองตามแล้วก็กระเถิบตัวมาใกล้ภีม “พี่ฟินทำอะไรผมหรือเปล่าครับเนี่ย ผมไม่อยากเป็นเมียพี่นะ” ติณณ์ทำท่าจะร้องไห้

   ฟินมองภีมอย่างขอบใจ ขอบใจที่โยนระเบิดลูกใหญ่มาให้เขาอีกแล้ว

   “ตอบสิพี่ พี่ปล้ำผมเหรอ” ติณณ์เริ่มสติแตก

   ฟินไม่ตอบอะไรได้แต่หัวเราะอย่างขบขัน

   “พี่ภีมช่วยผมด้วยครับ” ติณณ์ทำหน้าเศร้าหันไปกอดแขนภีม ภีมสะบัดออกแล้วกระเถิบตัวออกห่างติณณ์

   ฟินเริ่มสงสารติณณ์จึงเฉลยออกมา “ฉันจะมีปัญญาไปทำอะไรนายล่ะ เมื่อคืนยังจำไม่ได้เลยว่าหลับไปตอนไหน ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว และที่เมื่อคืนถอดเสื้อก็เพราะว่ามันร้อน แล้วพอตกดึกหน่อยมันคงหนาวล่ะมั้งก็เลยเผลอไปกอดนาย เพราะคิดว่าเป็นหมอนข้าง” ฟินก็สันนิษฐานไปตามเรื่อง เพราะตัวเองก็จำเรื่องเมื่อคืนไม่ค่อยได้เหมือนกัน

   “จริงนะ” ติณณ์ถามเพื่อความแน่ใจ

   “จริงสิ แล้วถ้าฉันทำอะไรจริงๆ กางเกงนายก็คงไปกองอยู่บนพื้นแล้วล่ะ” ฟินยิ้มบางๆ

   เมื่อจบเรื่องภีมก็ล้มตัวลงนอนต่อเพราะยังรู้สึกปวดหัว ติณณ์มองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วก็วิ่งกลับห้องตัวเองไป ฟินได้แต่ยิ้มตามอย่างขบขัน

   เมื่อติณณ์ออกไปแล้ว ฟินก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังภีมที่นอนห่มผ้าหันหลังให้เขาอยู่ ฟินกระเถิบตัวเข้าไปใกล้แล้วสะกิดที่หัวไหล่ภีมเบาๆ

   “อื้อ... จะนอน” ภีมตอบเสียงอู้อี้

   “ไม่ใส่เสื้อก่อนเหรอ” ฟินพูดพลางสอดมือเข้าไปในผ้าห่ม “จะได้นอนสบายๆไง”

   “ขี้เกียจลุก จะนอนเฟ้ย” น้ำเสียงของภีมค่อนไปทางหงุดหงิดเล็กน้อย

   ฟินสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกับภีม พลางกอดเอวภีมจนแน่น “งั้นก็นอนด้วยกัน” ฟินพูดแล้วจูบที่ต้นคอของภีม

   จากคนที่ตั้งใจว่าจะนอน อยู่ดีดีก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วตัวเมื่อสัมผัสนั้นประทับลงที่คอ

   “ถ้าจะนอนด้วย ก็นอนเฉยๆไม่ต้องมายั่ว” ภีมบอกเบาๆ

   ฟินยิ้มได้ใจ มือหน้าเลื่อนมาทาบทับที่หน้าอกข้างซ้ายบริเวณหัวใจ แล้วก็รู้ว่าเจ้าของคำสั่งนั้นกำลังใจเต้นแรง “ปากไม่ค่อยตรงกับใจเลยนะภีม”

   ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วดึงมือของฟินออก “อย่ามาเกิดอารมณ์กับฉันตอนนี้นะเฟ้ย คนยิ่งง่วงๆอยู่ ฉะนั้น... ฉันจะนอน ห้ามมายุ่ง”

   “ก็ได้ๆ กอดอย่างเดียวละกัน” ฟินพูดแล้วกอดเอวภีมไว้ จากนั้นค่อยๆหลับตาลง

   กว่าที่ทั้งสองคนจะตื่นมาอีกครั้งก็ปาเข้าไปเย็นย่ำ ส่วนติณณ์ตื่นตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ครั้นเมื่อตอนกลับห้องของตัวเองไปก็นอนไม่หลับเพราะยังตกใจเรื่องเมื่อเช้าอยู่

   ไข่หงส์และภูรดาทำอาหารทิ้งไว้ให้น้องชายทั้งสามก่อนจะออกไปเตรียมตัวเปิดร้านในช่วงเย็น ภูรดาสั่งติณณ์ไว้ว่า ถ้าฟินและภีมตื่นแล้วก็ให้รีบทานข้าวแล้วไปช่วยงานที่ร้านอาหารเพราะตอนนี้ ลูกจ้างที่ร้านลาหยุดงานไปหลายคน

   ติณณ์อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปในห้องของฟินและภีม ซึ่งภีมกำลังอาบน้ำอยู่ และฟินก็กำลังขนเสื้อผ้าไปยังห้องของติณณ์เพื่อใช้ห้องน้ำ

   ติณณ์เห็นเข้าก็ทักขึ้นทันที “เข้าห้องผมทำไมครับพี่”

   ฟินชูเสื้อผ้าให้ดู “จะไปอาบน้ำไง”

   ติณณ์ทำท่าโล่งอก “แล้วไป”

   “ทำไมต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นด้วย เป็นเอามากนะเรา” ฟินพูดยิ้มๆแล้วเดินเข้าห้องไป

   ติณณ์ยักไหล่ทำไม่สนใจ จากนั้นก็ลงไปเตรียมอาหารไว้ให้พี่ทั้งสองอยู่ข้างล่าง

   หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็พากันมายังร้านของไข่หงส์ที่ตอนนี้เปิดให้บริการแล้ว

   ลูกค้าในร้านยังคงแน่นขนัดเหมือนเมื่อวานจนต้องเสริมโต๊ะที่ด้านนอกของร้าน ทุกคนต่างก็วิ่งวุ่นอยู่กับการต้อนรับแขกและเสิร์ฟอาหาร รวมทั้งภูรดาที่ทิ้งมาดนักธุรกิจหญิงมาสวมบทเด็กเสิร์ฟ

   แล้วหนุ่มน้อยทั้งสามที่มาใหม่ ตอนนี้ก็คาดผ้ากันเปื้อนสัญลักษณ์ของร้านเรียบร้อยแล้ว

   คนที่ดูจะไม่เต็มใจในการทำงานและแสดงออกชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นภีม เพราะงานบริการคนอื่นภีมทำไม่เป็นและก็ไม่คิดอยากจะทำด้วย

   “ผมขอเล่นดนตรีไม่ได้เหรอ” ภีมเริ่มอิดออด มือไม้จ้องแต่จะปลดผ้ากันเปื้อนออกลูกเดียว

   “ไม่ได้ วันนี้นักดนตรีมาแล้ว” ภูรดาบอก

   “ผมไม่อยากทำนี่” ภีมทำหน้าบึ้ง

   “ช่วยพี่ไข่กับพี่ขนุนเขาเถอะนะ ดูฟินกับติณณ์ซิ ไม่เห็นบ่นอะไร” ภูรดาพยักเพยิดหน้าไปทางเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังต้อนรับแขกอยู่ที่หน้าร้าน

   “ก็ได้ๆ” ภีมตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก

   งานบริการของพนักงานเสิร์ฟจำเป็น ดำเนินไปได้สักพัก เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อภีมทำอาหารหกใส่ลูกค้า จนเกิดมีปากเสียงกันขึ้น

   “ขอโทษสิวะ ไอ้หนุ่มน้อย” ชายวัยกว่าสามสิบลุกขึ้นจากโต๊ะมายืนประจันหน้ากับภีมซึ่งไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวเลยสักนิดเดียว

   “ทำไมต้องขอโทษไม่ทราบ ตาแก่” ภีมเชิดหน้าขึ้นพลางมองไปที่หญิงสาวหน้าตาดีสองคนที่นั่งอยู่ เธอกำลังส่งสายตายั่วยวนระคนเยาะเย้ยมาให้เขา

   ภีมหรี่ตามองผู้หญิงทั้งสองอย่างดูถูก ผู้หญิงบ้าอะไรมารยายิ่งกว่าร้อยเล่มเกวียน เรื่องครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าผู้หญิงสองคนนี้ไม่ปัดถ้วยอาหารให้หกใส่ตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังผลักถาดอาหารที่ภีมถืออยู่ให้หกรดผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วย

   เรื่องมันก็เริ่มต้นด้วยประการฉะนี้แล...

   “ใจเย็นๆกันก่อนนะคะ” ไข่หงส์รีบเข้ามาห้ามทัพ ลูกค้าภายในร้านเริ่มแตกตื่น

   “ใจเย็นอะไรกันคุณ ดูลูกน้องคุณทำกับพวกผมสิ แล้วยังไม่ขอโทษอีก” ชายคนเดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดทน แววตาแข็งกร้าวจ้องภีมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

   ภีมผ่อนลมหายใจเบาๆคล้ายกำลังอดกลั้นกับสถานการณ์ดังกล่าว

   “ขอโทษเดี๋ยวนี้ ไอ้หนู” เขายืนยันคำเดิม

   แต่ภีมก็ยืนยันคำเดิมเช่นกันว่าไม่ “ขอโทษทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะบอกให้ตาสว่างนะลุง ว่ายัยผู้หญิงสองคนนี้เป็นคนปัดถ้วยอาหารหกรดตัวเอง เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากฉัน ส่วนเรื่องที่คุณต้องเละแบบนี้ก็เพราะยัยคนนั้น” ภีมชี้ไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่ติดทางเดิน “ผลักถาดอาหารที่ผมถืออยู่ให้ตกใส่คุณ คราวนี้ตาสว่างหรือยัง”

   แน่นอนอยู่แล้วว่า เขาต้องไม่เชื่อที่ภีมบอก “พูดอะไรของแกวะ ฉันชักโมโหแล้วนะเว้ย”

   “ฉันก็โมโหเหมือนกัน เอาไงล่ะ... มาซัดกันซักตั้งดีหรือเปล่า” ภีมหักนิ้วมือทั้งสองข้างอย่างเตรียมพร้อม

   “ได้ไอ้หนุ่ม แล้วแกจะเสียใจ” เขากัดฟันแน่น เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบตับด้วยความโมโห

   แต่ภีมกลับยิ้มเยาะ “ไม่เคยรู้จักคำว่าเสียใจซักนิดเดียว”

   แล้วเขาก็เป็นฝ่ายปล่อยหมัดเข้าใส่ภีมก่อน แต่ยังไม่ทันที่จะโดนใบหน้าของภีม ก็ชนเข้ากับฝ่ามือของใครบางคน

   “เรื่องแค่นี้ ไม่เห็นต้องใช้กำลัง” ฟินพูดเสียงเรียบแล้วผลักกำปั้นของชายแปลกหน้ากลับไป

   ภีมมองคนที่เข้ามาห้ามอย่างขุ่นเคือง “เรื่องของฉันกับตาแก่นี่ ไม่ต้องยุ่ง”

   “เห็นแก่หน้าพี่ขนุนและพี่ไข่บ้างนะภีม เขายังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน” ฟินพูดเตือนสติ ภีมกัดฟันแน่น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

   ฟินหันไปหาชายคนนั้นต่อแล้วกล่าวคำขอโทษออกมาแทนภีม “ผมขอโทษแทนเขาด้วย”

   ไข่หงส์รีบเข้ามาเสริม “แล้วทางเราจะชดใช้ให้นะคะ ขอโทษด้วยค่ะ”

   “เรื่องไม่จบแน่ ไอ้หนุ่ม” ชายคนนั้นคาดโทษแล้วพาสองสาวออกจากร้านไป

   หลังจากนั้น ความสงบก็กลับมาอีกครั้ง ภีมเดินดุ่มๆมานั่งข้างนอกร้านเพียงลำพังด้วยความโกรธ ถ้าฟินไม่เข้ามาห้ามเสียก่อน ป่านนี้ตาแก่คนนั้นน่วมไปแล้ว คิดไปคิดมาก็หงุดหงิดใจ

   ไม่นานนัก ฟิน ติณณ์ และภูรดาก็เดินเข้ามาหาภีม ทั้งสามคนยังคาดผ้ากันเปื้อนของทางร้านอยู่ แต่ภีมถอดออกแล้วเพราะสติแตกเกินกว่าจะช่วยงานได้อีก

   “พี่เห็นว่าลูกค้าโต๊ะนั้นทำอะไร” ภูรดาเริ่มพูด “แต่เราเป็นผู้ให้บริการ ยังไงก็ต้องอดทน”

   “แต่ผมไม่ผิด” ภีมแย้งขึ้น

   “พี่รู้ว่าเราไม่ผิด แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะอธิบายออกมา”

   “แต่คำขอโทษมันก็ละเอียดอ่อนเหมือนกัน พวกนั้นไม่สมควรได้เลยสักนิดเดียว” ภีมกำมือทั้งสองข้างจนแน่น

   “พี่เข้าใจ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาช่วยงานที่ร้านแล้ว” ภูรดาบอกน้องชาย

   “แล้วพี่ล่ะ” ภีมเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้า

   “พรุ่งนี้คงต้องมาช่วยอีกนั่นล่ะ เพราะที่ร้านคนไม่พอ”

   “แต่เรามาเที่ยวกันนะพี่ ไม่ใช่มาช่วยเขาทำงาน” ภีมแค่นหัวเราะหลังจากพูดจบ

   “แต่สองคนนั้นเพื่อนพี่ แล้วตอนนี้เขาก็ต้องการความช่วยเหลือ แกไม่อยากช่วยก็กลับไป” แล้วภูรดาก็หันไปมองฟินและติณณ์ “เธอสองคนก็ด้วย ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ”

   “ผมจะช่วยครับ” ติณณ์บอกเสียงดังส่วนฟินไม่พูดอะไรตอบ เขาเพียงแต่ยืนมองหน้าภีมด้วยแววตาไร้ความรู้สึก

   จากนั้น ภูรดาและติณณ์ก็กลับเข้าไปช่วยงานในร้านตามเดิม เหลือเพียงฟินและภีม

   ภีมนั่งก้มหน้าเขี่ยทรายเล่น อยู่ดีๆฟินก็ย่อตัวลงนั่งบนทรายเบื้องหน้าภีม

   “นายไม่น่าเข้ามาห้ามเลย” ภีมบอกออกมาในที่สุด

   ฟินยิ้มบางๆ “ถ้าไม่ห้ามเรื่องก็ยาวน่ะสิ แล้วหน้านายก็ต้องเป็นแผลด้วย”

   ภีมแค่นหัวเราะอีกครั้ง ฟินนี่ไม่รู้อะไรเอาเสียเลย มองไม่ออกหรืออย่างไรว่าผู้ชายคนนั้นมันหน้าตาร้ายกาจขนาดไหน ต่อให้ขอโทษมันก็เถอะ มันก็ไม่ยอมปล่อยอยู่ดี เพราะมันคือนักเลง

   “หัวเราะอะไร” ฟินถามอย่างงุนงง

   “ฉลาดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียว ดูไม่ออกว่าตาแก่นั่นมันเป็นนักเลง ยังไงซะพรุ่งนี้มันก็ต้องยกพวกมากระทืบฉันอยู่แล้ว” ภีมพูดแล้วเบือนหน้าหนีสายตาของฟิน

   “คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

   “ก็คอยดูแล้วกัน” ภีมพูดแล้วมองไปยังทะเล คลื่นยังคงแรงเหมือนเดิมและอาจจะแรงยิ่งกว่านี้เมื่อมีลม

   “คิดมากน่า ไม่มีอะไรหรอก” ฟินพูดปลอบใจทั้งๆที่ในใจก็เริ่มคล้อยตามสิ่งที่ภีมบอก เพราะมองจากหน้าตาที่อาฆาตแค้นของผู้ชายคนนั้นแล้วก็พอเดาออกว่าเรื่องนี้ต้องยาวแน่ ถ้าไม่มีคนแพ้และคนชนะเกิดขึ้น

   “ไปทำงานกันต่อเถอะ” ภีมลุกขึ้นยืน

   “แรงดีจริงๆนะ” ฟินยิ้มแล้วยืนขึ้นบ้าง แล้วทั้งสองคนก็เข้าไปทำงานในร้านเช่นเดิม เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   คืนวันนั้นทั้งสี่คนช่วยงานที่ร้านของไข่หงส์จนกระทั่งปิดร้านจึงกลับที่พัก ด้วยความอ่อนเพลียจึงไม่มีใครอาบน้ำเลยสักคนเดียว



   ความอ่อนเพลียทำให้ทั้งสี่คนตื่นขึ้นในช่วงบ่ายของวันใหม่ ภูรดาตื่นขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยฟิน ส่วนติณณ์และภีมยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในห้อง แม้ว่าฟินจะปลุกอย่างไร ทั้งคู่ก็ไม่ยอมลุกขึ้นท่าเดียว

   ภูรดาและฟินจึงต้องออกไปซื้ออาหารเพียงสองคน กว่าจะกลับมาถึงที่พักอีกทีก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็นแล้ว

   ภูรดาทานข้าวก่อนเป็นคนแรกเพราะหิวจนตาลาย จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นริมชายหาด ส่วนฟินก็ขึ้นไปปลุกภีมและติณณ์ให้ตื่นมากินข้าว

   “จะนอนข้ามวันเลยเหรอภีม” ฟินเขย่าร่างของคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มไปมา

   “อื้อ... จะตื่นแล้ว แป๊บนึง... ขอตั้งท่าก่อน” ภีมบอกปัดไปให้พ้นตัว

   “ไม่ได้ ลุกขึ้นแล้วไปอาบน้ำเลย” ฟินกระชากผ้าห่มออกแล้วดึงแขนภีมให้ลุกขึ้นมา ภีมโวยวายเสียงดังลั่นจนติณณ์ต้องลุกออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

   เป็นอันว่าติณณ์ตื่นแล้วเพราะเสียงโวยวายของภีม

   “หยุดโวยวายแล้วไปอาบน้ำซะ ฉันจะรออยู่ข้างล่าง” ฟินเริ่มไม่ใจดีด้วยเพราะรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาตงิดๆ เขาหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วโยนใส่หน้าภีม “เร็วๆล่ะ”

   ภีมคิดจะต่อปากต่อคำแต่ก็ถูกเขกกะโหลกเสียก่อน “หยุดพูดแล้วไปอาบน้ำสิ หิวแล้ว” ท้ายประโยคฟินขึ้นเสียงสูง บ่งบอกให้รู้ว่าหิวจริงๆ

   ความวุ่นวายยังคงมีต่อไปกระทั่งตอนทานข้าว เพราะของที่ฟินซื้อมาไม่ถูกใจภีมเสียอย่างนั้น

   “ฉันไม่กินปลา” ภีมมองข้าวต้มปลาที่อยู่ตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง

   “เปลี่ยนกับผมก็ได้พี่ ข้าวต้มปลาหมึก” ติณณ์ยื่นชามของตัวเองให้

   “ปลาหมึกก็ไม่กินโว้ย” ภีมตวาดเสียงดัง

   ฟินส่ายหน้าไปมาอย่างระอา ทำไมพักนี้ภีมขี้หงุดหงิดจังเลย... “เดี๋ยวฉันไปซื้อมาให้ใหม่ก็แล้วกัน” ฟินพูดตัดปัญหา เขาหายไปครู่หนึ่งและกลับมาพร้อมข้าวกล่องหนึ่งจากร้านสะดวกซื้อ

   “กินได้แล้วใช่มั้ย” ฟินวางกล่องอาหารลงข้างหน้าภีม แล้วยกชามข้าวต้มมาไว้กลางโต๊ะ

   ภีมพยักหน้ารับเบาๆ ในขณะที่ติณณ์อดไม่ได้ที่จะแซวทั้งคู่ “ตามใจกันเข้าไป อยากได้อะไรก็จัดให้ เฮ้อ... ใครได้พี่ฟินไปนี่ สบายอย่างแรงเลย ว่าไหมครับพี่ภีม” ติณณ์หันมายิ้มให้ภีม

   “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ไอ้ปากมาก” ภีมส่งสายตาพิฆาตไปให้ แก้มสองข้างเริ่มแดงระเรื่อด้วยความอาย ส่วนฟินก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว

   เฮ้อ... นับวันยิ่งรู้สึกชอบไอ้รุ่นน้องปากมากคนนี้ขึ้นเรื่อยๆ ก็มันชอบทำอะไรถูกใจอยู่เสมอๆเลยนี่นา... ฟินคิดในใจพลางตักข้าวต้มเข้าปาก

   ความสุขของคนอาจจะอยู่ที่ตรงนี้ก็ได้ อยู่ที่การทำอะไรเพื่อใครสักคนที่เรารัก...


 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 30 – หัวหินอินเลิฟ 3 /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 01:18:58


บทที่ 30 – หัวหินอินเลิฟ 3



   ไข่หงส์ ขนุน ภูรดาและพนักงานในร้านอีกสองคนช่วยกันจัดวางของในร้านให้เข้าที่ รวมถึงตั้งโต๊ะทั้งในและนอกร้านเพื่อรองรับลูกค้า อีกสิบนาที ร้านก็จะเปิดแล้ว...

   แต่ทำไมเด็กสามคนนั้นยังไม่มาอีกนะ... ภูรดามองดูนาฬิกาสลับกับบ้านพักที่มองเห็นอยู่ไกลๆ

   ขนุนทำหน้าที่พ่อครัว ไข่หงส์ดูแลเรื่องเงิน พนักงานอีกสองคนคอยช่วยงานในครัว ส่วนภูรดาและน้องชายทั้งสามก็เป็นพนักงานเสิร์ฟ

   “ร้านจะเปิดแล้ว” ไข่หงส์เดินมายืนคู่กับเพื่อนที่หน้าร้านเพื่อต้อนรับลูกค้า

   จนกระทั่งหกโมงตรง ร้านก็เปิดให้บริการ ภายในเวลาห้านาทีมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน ทั้งห้าคนเป็นผู้ชายอายุราวยี่สิบปี

   “สวัสดีค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ” ภูรดาเดินนำพวกเขาเข้ามานั่งในร้าน

   แต่ทั้งห้าคนกลับยืนวางท่าคลายหาเรื่อง พลันชายคนหนึ่งก็ยกเก้าอี้ขึ้นฟาดโต๊ะอย่างแรง จนเก้าอี้แตกกระจาย เป็นเหตุให้เศษไม้กระเด็นเข้าใส่ใบหน้าของภูรดา เธอร้องลั่นเพราะความเจ็บปวดที่มาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว

   ไข่หงส์รีบเข้ามาพาเพื่อนออกไปจากตรงนั้น ขนุนวิ่งออกมาจากในครัว ผู้ชายอีกคนหนึ่งก็เดินมาผลักอกเขา “แกกับนังอ้วนนั่นเป็นเจ้าของร้านสินะ” มันโบ้ยหน้าไปทางไข่หงส์ที่กำลังเช็ดเลือดที่ใบหน้าของภูรดาอยู่

   “ใช่ครับ ผมเป็นเจ้าของร้าน” ขนุนพยายามสงบสติอารมณ์ แม้ว่าในใจนั้นกลัวแสนกลัว คนพวกนี้เป็นนักเลง ถ้าเกิดพลาดไปอาจตายได้

   “ดี” มันพยักหน้าเบาๆ “ไปตามไอ้ลูกจ้างคนที่ทำเรื่องเมื่อวานมาพบฉันซิ” มันออกคำสั่ง

   ขนุนทำหน้าเลิ่กลั่ก มองไปยังภูรดาและไข่หงส์อย่างขอความเห็น

   “บอกกูมา ไม่งั้นร้านมึงพังแน่” มันพูดพลางยกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วชูขึ้นสูง ในขณะที่กำลังจะฟาดลงบนโต๊ะ มันกลับล้มลงไปอยู่บนพื้นเสียก่อนเพราะถูกลูกเตะจากด้านหลัง

   อีกสี่คนที่เหลือหันไปมองอย่างตกใจ ว่าใครที่กล้าทำแบบนี้...

   “เข้ามาตัวต่อตัวเลย ไอ้พวกนักเลงหัวไม้ไร้สมอง” ภีมกระดิกนิ้วเรียกพวกมัน

   ในขณะนั้นเอง ฟินและติณณ์ก็เพิ่งวิ่งมาถึงที่ร้าน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพร้านและสภาพของภูรดา

   “พี่ภู” ฟินและติณณ์อุทานพร้อมกัน

   “ไปห้ามภีมกับพวกนั้น” ภูรดาชี้ไปที่ภีมที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชายห้าคน

   “อย่ามีเรื่องกันเลยนะครับ” ขนุนพยายามขอร้อง แต่ก็ถูกชกที่เบ้าตาจนสลบไป

   ภีมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ไอ้นักเลงพวกนี้ทำพี่สาวเขาต้องเจ็บตัว ทำร้านของพี่ขนุนและพี่ไข่ได้รับความเสียหาย
   “ใครทำพี่สาวฉัน” ภีมตะโกนลั่น

   “ฉันเองว่ะ แกจะทำไม ไอ้หน้าละอ่อน” ชายคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าภีมกล่าว แล้วเลียริมฝีปากอย่างท้าทาย “แกจะทำอะไรฉัน” มันยิ้มเยาะ

   ภีมยิ้มบ้าง แต่เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากโทสะ เขาเดินไปใกล้ชายคนนั้น “แกเองเหรอ” ด้วยความรวดเร็ว ภีมปล่อยหมัดจู่โจมเข้าที่หน้าท้องของมันติดกันสองครั้งจนสลบคาเท้า

   เจ็บมือฉิบหาย ท้องแข็งเป็นบ้าเลย.. มือฉันจะหักมั้ยฟะเนี่ย เหลืออีกตั้งหลายคน. ภีมอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆด้วยความเจ็บ แต่ก็ทำไม่ได้

   “ภีม” ฟินเรียกเบาๆ พลางพยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ แม้ฟินจะไม่ถนัดเรื่องชกต่อยและไม่ชอบการใช้กำลังเป็นที่สุด แต่ถ้าเวลาเข้าตาจนก็คงต้องสู้กันไปข้างหนึ่ง

   ติณณ์ก็เช่นกัน แม้ว่าในใจโคตรจะกลัวแต่พอเห็นท่าทางของภีมเมื่อครู่แล้ว ความฮึกเหิมก็เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

   “ไอ้เวรเอ๊ย หาที่ตายซะแล้ว” นักเลงอีกคนพูดพลางถุดน้ำลายลงพื้น แล้วสี่คนที่เหลือก็เข้ารุมภีม ฟินและติณณ์วิ่งเข้าใส่ด้วยเช่นกัน

   สามต่อสี่ นักเรียนสาม นักเลงสี่ สุดท้ายใครจะชนะ...

   ติณณ์ถูกโยนออกมาจากวงล้อมความชุลมุน ใบหน้าขาวตอนนี้โชกไปด้วยเลือด

   ฟินและภีมยังคงต่อยตีกับพวกนั้นอยู่ สองต่อหนึ่ง นักเรียนคนหนึ่งต้องจัดการนักเลงสองคน

   “ติณณ์” ฟินหันไปมองติณณ์ทำให้ถูกชกเข้าที่หน้าท้อง เสียหลักเซไปชนกับนักเลงที่กำลังสู้กับภีมอยู่เป็นเหตุให้นักเลงคนนั้นเสียหลักไปอีกที ภีมใช้โอกาสนี้จัดการมันจนลงไปกองกับพื้น

   “เหลืออีกสองคน” ภีมปาดเลือดที่ริมฝีปาก แล้วกวาดเท้าไปยังนักเลงทั้งสองที่ยืนเรียงกันอยู่ เป็นโชคของภีมจริงๆที่มันยืนเรียงให้สอยได้ง่ายๆแบบนี้

   พอทั้งสองเสียหลักล้มลงไป ภีมก็กระทืบซ้ำที่หน้าท้องคนละสองทีอย่างแรงจนมันยอมศิโรราบแต่โดยดี “เจ๊ไข่ โทรเรียกตำรวจ” ภีมตะโกนบอกไข่หงส์

   สาวร่างใหญ่ผละจากภูรดามากดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่ยังไม่ทันได้โทร ปืนก็จ่ออยู่ที่สมองของเธอเสียก่อน

   “ลองโทรดูสิ ตายแน่”

   ทุกคนในร้านหันไปมองผู้ชายที่มาพร้อมกับปืน เขาคือลูกค้าคนเมื่อวานนั่นเอง ยังมีผู้หญิงตัวต้นเรื่องตามมาด้วยสองคน

   ภีมอยากจะชกหน้าผู้หญิงสองคนที่กำลังลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างหลังตาแก่หน้าโง่นั่นเหลือเกิน

   ฟินกุมหน้าท้องไว้ด้วยความเจ็บ เขาพยายามฝืนทนพูดออกมา “อย่าทำอย่างนี้เลยครับ อย่าถึงขั้นต้องเอาชีวิตกันเลย” พูดจบก็ไอออกมาไม่หยุด

   ภีมดูท่าจะไม่กลัวปืนเอาเสียเลย เขาเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายคนนั้นด้วยท่วงท่าของผู้ชนะ ฟินพยุงร่างของตัวเองเดินตามไปและเอ่ยปากห้ามภีม “อย่าภีม มันมีปืน”

   ภีมหันมามองฟิน “อยู่เฉยๆน่า แล้วถ้ามันเจ็บนักก็นั่งลงซะ” ภีมออกคำสั่งกับฟิน ในน้ำเสียงมีแววขบขันซ่อนอยู่

   ฟินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ...

   ภีมยังคงเดินมาใกล้ชายคนนั้น ภูรดาร้องห้ามด้วยความตกใจ น้ำหูน้ำตาไหลปริ่มว่าใจจะขาด ไข่หงส์ส่ายหน้าบอกอย่าเข้ามา แต่ภีมก็ไม่สนใจใคร

   “แกเข้ามานั่งนี่ตาย” มันพูดขู่

   ภีมหัวเราะเยาะ “แกมาเอาคืนฉันไม่ใช่เหรอ บ้าบอสิ้นดี โดนยัยบ้าสองคนนั้นเป่าหูเข้าหน่อยก็ทำเป็นนักเลง ตอนแรกฉันก็คิดว่าแกเป็นนักเลงอยู่หรอก แต่สุดท้าย... แกมันก็กระจอก”

   “ตอนนี้ฉันก็เป็นนักเลงเว้ย เอาแกตายแน่” มันพยายามทำเสียงเข้มเพื่อกลบความกลัวที่อยู่ในใจ

   ภีมหัวเราะออกมาเสียงดังยิ่งกว่าเดิมแล้วยื่นมือไปจับปืนกระบอกนั้น   ภูรดาทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาภีมแต่ก็วิ่งไม่ได้เพราะเด็กในร้านจับแขนเธออยู่

   “นักเลงจริง เขาไม่ใช้ปืนปลอมหรอกว่ะ ตาแก่เอ๊ย” พูดจบก็กระโดดถีบเข้าที่หน้าท้องจนร่างของมันกระเด็นไปอีกทาง

   เส้นจะยึดมั้ยวะเนี่ย... ภีมคิดพลางตบเบาๆที่ต้นขา

    “เจ๊ไข่ เรียกตำรวจมาได้เลย ไอ้นี่มันนักเลงปลอม” ภีมควงปืนเล่นไปมาพลางเดินไปหาสองสาวหน้าสวยที่ยืนหน้าเสียอยู่ริมร้าน

   “ยังอยากได้ฉันอยู่มั้ยล่ะ” ภีมเดาะลิ้นไปมาอย่างยียวนพลางชูกำปั้นขึ้นสูง “ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆจะสร้างเรื่องได้วุ่นวายขนาดนี้”

   ผู้หญิงทางซ้ายมือของภีมตัวสั่นระริกส่วนอีกคนยังทำใจดีสู้เสืออยู่

   “ไปนอนคุกซักวันนึงเป็นเพื่อนตาแก่นั่นก็แล้วกัน” ภีมเลิกคิ้วให้แล้วลากทั้งสองมาโยนไว้ที่ร่างของชายที่อ้างตัวว่าเป็นนักเลง

   “เขาทำเพื่อเธอขนาดนี้ เชื่อคำพูดเธอทุกอย่าง แล้วเธอจะทิ้งเขาลงเหรอ” ภีมโยนปืนลงกลางลำตัวของคนที่สลบอยู่

   “ผู้หญิงอย่างพวกเธอ ต่อให้ตาย... ฉันก็ไม่เอา” ภีมทิ้งท้ายเสียงดัง ดวงตาคมยิ่งคมกว่าเดิมเมื่อมองไปยังผู้หญิงทั้งสอง คนหนึ่งตัวสั่นด้วยความกลัวอีกคนหนึ่งแสดงแววตาแข็งกร้าวออกมาอย่างชัดเจน

   ภีมไม่สนใจคนพวกนั้นอีกแล้ว เขาหันมาหาพี่สาวเป็นคนแรก ส่วนไข่หงส์รีบประคองฟินให้นั่งบนเก้าอี้ ขนุนฟื้นขึ้นมาพอดี เขาจับนักเลงรับจ้างทั้งห้ามัดเข้าไว้ด้วยกันกับนายจ้างชายตัวต้นเรื่อง ส่วนผู้หญิงสองคนนั้นก็ปล่อยให้เธอนั่งอย่างสบายๆรอตำรวจมาถึง

   แต่คนที่ดูจะอาการหนักที่สุดเห็นจะเป็นติณณ์...

   “พาไปโรงพยาบาลเถอะ” ภีมบอก “พี่ภูก็ต้องไป เป็นแผลเต็มหน้าเลย” ภีมหันไปหาฟิน “นายก็ด้วย ไปกันให้หมดเลย”

   ภีมพาทุกคนไปโรงพยาบาล ส่วนไข่หงส์และขนุนต้องรอตำรวจอยู่ที่ร้าน

   หลังจากที่ภีมไปโรงพยาบาลครู่หนึ่ง ตำรวจก็มาสอบปากคำและรวบตัวเหล่านักเลงไปรับโทษ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ไข่หงส์และขนุนก็ตามไปที่โรงพยาบาล

   ติณณ์ดูท่าจะอาการหนักอย่างที่คิด เพราะศีรษะแตกและอวัยวะภายในบอบช้ำ ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการ

   ภูรดาเป็นแผลที่ใบหน้าสองสามแห่ง เนื่องมาจากเศษไม้ที่กระเด็นเข้าใส่ โชคดีที่ไม่เข้าตา ไม่อย่างนั้น เรื่องคงยุ่งกว่านี้

   ส่วนฟินเองก็เจ็บอยู่ไม่น้อยเพราะนอกจากจะหัวแตกและหน้ายับเยินแล้ว ยังเจ็บหน้าท้องอีกต่างหาก

   ส่วนภีมที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเลย ก็มีรอยช้ำประดับใบหน้าอยู่หลายแห่ง และที่สำคัญข้อต่อนิ้วเคลื่อน

   เป็นอันว่าทุกคนล้วนต้องนอนโรงพยาบาลเหมือนกัน

   ไข่หงส์และขนุนปิดร้านไปหลายวันเพราะมาดูแลเพื่อนและน้องๆผู้น่ารักทั้งสาม เมื่อภูรดาหายดีแล้วจึงกลับไปเปิดร้านตามเดิม

   ฟินและภีมออกจากโรงพยาบาลในอีกสองวันถัดมา ส่วนติณณ์ยังคงต้องอยู่ต่ออีกสองวันเพราะต้องรอดูผลตรวจจากคุณหมอว่ามีอวัยวะภายในอะไรที่ผิดปกติหรือเปล่า

   “เฮ้อ... ทริปนี้สนุกอย่างที่ผมคาดไว้จริงๆด้วย” ติณณ์พูดเสียงแหบ

   ในช่วงนี้ฟินและภีมมาดูแลเขาที่โรงพยาบาล ส่วนภูรดาไปช่วยงานขนุนและไข่หงส์ที่ร้าน

   “สนุกกับผีแกน่ะสิ ไม่ตายก็บุญแล้ว” ภีมวางชามข้าวลงบนโต๊ะอย่างขุ่นเคือง

   “อย่าหงุดหงิดสิครับ ว่าแต่... ป้อนข้าวผมหน่อยสิ มือไม่มีแรงเลย” ติณณ์ทำหน้าบุ้ย ปากที่เคยมีสีแดงขาวซีดด้วยความอ่อนเพลีย

   “ทำไม่เป็น” ภีมบอกแล้วเดินไปหาฟินที่กำลังยืนสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ที่ระเบียงห้อง “ฟิน ไปป้อนข้าวไอ้ติณณ์หน่อยซิ”

   “มันให้นายป้อนไม่ใช่เหรอ” ฟินถามโดยไม่มองหน้าและคล้ายจะไม่สนใจ

   “มันไม่ได้เจาะจงใครทั้งนั้นล่ะ นายก็ไปทำให้มันหน่อยสิ เร็วๆเข้า” ภีมเร่ง

   ฟินถอนหายใจเบาๆแล้วหมุนตัวเดินเข้ามาในห้อง “ป้อนข้าวแค่นี้ ก็ทำไม่เป็น” ฟินบ่นภีมเบาๆ พลางตักข้าวส่งเข้าปากของติณณ์

   “คำมันใหญ่ไปนะพี่ฟิน ผมยังเจ็บปากอยู่เลย” ติณณ์ชี้ที่มุมปาก มันยังเป็นแผลจริงๆด้วย

   “ขอโทษที” ฟินบอกแล้วตักใหม่ให้น้อยกว่าเดิม “ใช้ได้ยัง”

   “เยี่ยมที่สุด พี่ฟินนี่เก่งจริงๆไม่เหมือนคนบางคน” ติณณ์จงใจพูดกระทบภีม

   “แกว่าใครวะ” ภีมหันมาทำหน้าเอาเรื่องใส่

   “เปล่า พูดลอยๆ” ติณณ์ยักไหล่อย่างยียวน

   ฟินไม่อยากให้สงครามน้ำลายเกิดขึ้นอีกจึงรีบตักข้าวยัดใส่ปากของติณณ์ไว้ “ป่วยอยู่นะติณณ์ ยังไม่วายจะกวนคนอื่น เดี๋ยวก็ได้ปากฉีกอีกรอบหรอก” ฟินพูดยิ้มๆ

   “เกิดมายังไม่เคยโดนกระทืบเลย ครั้งแรกเลยนะเนี่ย เป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ” ติณณ์พูดอย่างภูมิใจ แล้วเขาก็สัญญากับตัวเองแล้วว่า กลับบ้านไปต้องรีบเขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ให้เร็วที่สุด

   แต่ฟินยังคงคาใจเรื่องปืนปลอมนั่นอยู่ดี “รู้ได้ไงว่าปืนปลอม”

   “ของง่ายๆ ดูแวบเดียวก็รู้”

   “ไม่เห็นต่างกันตรงไหน”

   “ก็ไม่รู้ล่ะ ฉันรู้ละกันว่าของปลอม มันดูออกเองน่ะ” ภีมเก็บเรื่องที่ตัวเองเคยเรียนยิงปืนไว้เป็นความลับ ไม่ยอมบอกให้ฟินรู้

   “ถึงว่า... ทำไมนายดูใจกล้าจัง”

   “ฉันกล้าอยู่แล้วเฟ้ย ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น” ภีมพูดเสียงเข้ม

   “เฮอะ” ฟินแค่นหัวเราะ ซึ่งเป็นท่าทางที่หาดูได้ยากมาก “นายนี่มันเก่งจริงๆ”

   “แน่นอนอยู่แล้ว ให้มันรู้ซะบ้างว่าใคร”

   ฟินยิ้มบางๆ ชีวิตที่มีสีสันแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ แม้ว่าต้องแลกด้วยการเจ็บตัว แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าอยากเจ็บแบบนี้อีกหลายๆครั้ง เจ็บให้มันถึงที่สุด จนรู้ว่าตัวเองจะทานทนกับความเจ็บนั้นได้มากน้อยแค่ไหน


 :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 31 – รับน้องใหม่! /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 01:27:18


บทที่ 31 – รับน้องใหม่!   


   กลับจากหัวหินได้หนึ่งสัปดาห์ ฟินและภีมก็ต้องทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยเกือบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน วันแรกของกิจกรรมรับน้องใหม่

   ฟินและภีมมาที่มหาวิทยาลัยพร้อมกัน พอถึงเวลาก็แยกไปตามคณะของตัวเอง ตอนแรกภีมคิดว่าจะไม่ทำกิจกรรมนี้ เพราะไม่ชอบถูกสั่งและไม่ชอบความวุ่นวาย แต่ฟินก็หาเหตุผลร้อยแปดมาพูดหว่านล้อมให้ภีมเข้าร่วมกิจกรรมเพราะนอกจากภีมจะได้รู้จักคนมากขึ้นแล้ว ยังได้ร่วมทำกิจกรรมกับคนอื่นด้วย และที่สำคัญที่สุด มันดีต่อตัวของภีมเองในภายภาคหน้า

   คณะสัตวแพทยศาสตร์ของฟินมีนักศึกษาปีหนึ่งราวสามสิบคน กิจกรรมรับน้องของคณะจัดขึ้นที่บริเวณลานชั้นล่างของตึกคณะ

   ฟินที่อยู่ในชุดนักศึกษายืนมองบรรดารุ่นพี่ที่ยืนล้อมน้องปีหนึ่งอยู่ จะให้เข้าไปตอนนี้ก็กระไรอยู่ ทำไมวันแรกเขาดันมาสายซะได้นี่

   ฟินยืนตรงนั้นได้ไม่นาน รุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งก็ตะโกนเรียกเขาเข้าไปหา “ปีหนึ่งสินะ เข้ามาเร็วๆสิ วันแรกก็สายแล้ว”

   ฟินเดินดุ่มๆเข้าไปด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม

   “เอาล่ะ ถือเป็นความผิดครั้งแรก งั้นก็แนะนำตัวให้เพื่อนๆรู้จักหน่อยสิ”

   ตอนนี้ฟินยืนอยู่กลางวงและเป็นจุดเด่นของลานไปแล้ว ใบหน้าหล่อยังคงเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ “ฟิน... อชิตะ ก้องกิตติกุลครับ มาจากโรงเรียนเอกชนXXX”

   รุ่นพี่ที่ยืนอยู่รอบๆตัวเขายิ้มไปตามๆกัน เพราะใบหน้าเรียบเฉยนั้นชวนมองเหลือเกิน

   “น้องฟิน ทำไมมาสายครับ” รุ่นพี่ฝ่ายสันทนาการถามขึ้น

   ฟินเผยรอยยิ้มบางๆที่มุมปาก “รถติดครับ” สาเหตุที่ฟินยิ้มเป็นเพราะเขานึกถึงภีมขึ้นมา ภีมเป็นคนทำให้เขาต้องมาสายเพราะมัวแต่อิดออด จะไม่ไปท่าเดียว จนเขาต้องเสียเวลาเกลี้ยกล่อมเป็นนานสองนาน

   “บ้านอยู่แถวไหนคะ” รุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งในฝ่ายสันทนาการถามบ้าง

   “แถวๆริมน้ำเจ้าพระยาครับ” จบคำตอบเสียงซุบซิบก็เกิดขึ้น ฟินพยายามแล้ว พยายามจะไม่ทำตัวเด่น แต่ยิ่งพยายามเท่าไรก็ยิ่งเด่นมากขึ้นเท่านั้น

   ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสันทนาการหรือการเข้าร่วมแข่งขันต่างๆ ฟินก็เข้าร่วมด้วยความเต็มใจ กระทั่งเรื่องตัวแทนประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย ฟินยังได้รับเลือกจากเพื่อนๆและพี่ๆในคณะให้ลงประกวด แม้ว่าเขาจะหาเหตุผลมาหักล้างความเหมาะสมที่รุ่นพี่และเพื่อนๆพูดกัน ก็ยังไม่สามารถหลุดไปจากภาระนี้ได้

   “ทำไมไม่อยากลงประกวดล่ะ เราว่าฟินก็หน้าตาดีนะ แล้วยังเก่งด้วย” ตัวแทนดาวคณะชื่อทิชาเอ่ยถาม

   “ไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้เท่าไหร่ มันดูวุ่นวาย” ฟินตอบแค่นั้นแล้วหันไปทางอื่น

   ทิชายิ้มบางๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกถูกชะตาขึ้นมา ไม่คิดว่าจะได้เป็นตัวแทนประกวดดาวเดือนด้วยกัน “ไม่วุ่นวายหรอกน่า คิดมากเกินไปแล้ว”

   ฟินไม่พูดอะไรต่อและทำท่าคล้ายจะไม่สนใจทิชา

   แต่ทิชาอยากคุยและรู้จักกับผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น เหมือนที่ทุกๆคนในคณะอยากจะทำ กว่าเธอจะได้มานั่งคุยกับฟินสองคนที่ตรงนี้ได้ก็ต้องรอเวลาอยู่นานพอสมควร เพราะมีคนเข้ามาทำความรู้จักกับฟินไม่หยุดหย่อน

   “ทำไมอยากเรียนคณะนี้ล่ะ”

   คำถามสิ้นคิดจริงๆ วันนี้มีคนถามแบบนี้กี่คนแล้วนะ... ฟินคิดในใจจนลืมตอบคำถามของทิชา เธอจึงย้ำคำถามเดิมกับเขาอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางอยากรู้เต็มแก่

   “แล้วทำไมเธออยากเรียนคณะนี้ล่ะ” ฟินถามกลับเสียอย่างนั้น

   ทิชาเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจแล้วกล่าวว่า “ฉันรักสัตว์น่ะ อยากเป็นคุณหมอรักษามันให้หายจากโรคต่างๆ”

   ฟินดูไม่ค่อยสนใจกับคำตอบของทิชามากนัก เพราะเอาแต่มองไปรอบๆตึกคณะ

   “แล้วเธอล่ะ” ทิชายังถามไม่เลิก เธอตั้งปณิธานไว้ในใจว่าต้องเอาเขามาเป็นเพื่อนให้ได้ภายในวันนี้

   ฟินถอนหายใจบางๆแล้วหันมองหน้าทิชา เธอตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อได้สบตากับเขา

   “เหตุผลเดียวกับเธอนั่นล่ะ แต่เพิ่มตรงที่ครอบครัวฉันทำฟาร์มโคนมแล้วก็เลี้ยงม้า”

   ทิชาพยักหน้ารับแล้วยิ้มเจื่อนๆ ไม่นะ... เราจะคิดกับเขาแค่เพื่อนเท่านั้น เพื่อน เพื่อน เพื่อน

   “มีอะไรอยากจะรู้อีกหรือเปล่า” ฟินประชดประชันออกมาทางคำพูดและแววตา

   แต่ทิชากลับดูไม่ออก “ถามได้หมดเลยเหรอ อยากรู้เยอะแยะเลย”

   ฟินถอนหายใจอีกครั้งอย่างหนักหน่วงแล้วกล่าวว่า “ถามมาสิ”

   “มีแฟนหรือยัง” ถามจบทิชาก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ตอนแรกเธอจะถามคำถามนี้เป็นข้อสุดท้ายแต่ไม่คิดว่าปากไม่รักดีจะไวกว่าสมอง

   แล้วฟินก็ตอบอย่างไม่ลังเล “มีแล้ว”

   ทิชาหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนจะตั้งสติได้ “เหรอ ดูท่าทางมีคนสนใจฟินเยอะดีนะ ทั้งรุ่นพี่และก็เพื่อนๆ”

   “เธอด้วยหรือเปล่า” ฟินจ้องตากับทิชา ในดวงตาเขานั้นมีแต่ความว่างเปล่า ไม่ได้คิดอะไรเคลือบแฝงกับคำถามนั้นเลย แต่ทิชากลับหลุบตาลงอย่างรวดเร็วด้วยความอาย

   “ก็นิดนึง อยากเป็นเพื่อนกับฟินน่ะ” ทิชาพูดเสียงสั่น ทำไมคำตอบและคำถามของเขาทำให้เธอเสียความมั่นใจได้ถึงเพียงนี้

   “เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ต้องเรียนด้วยกันตั้งหกปี ไม่เป็นเพื่อนกันก็แย่น่ะสิ”

   “ก็คงใช่ เออ... ได้ข่าวว่าอยู่โรงเรียนเก่าเป็นประธานนักเรียนเหรอ” ทิชาเปลี่ยนเรื่องคุย

   ฟินพยักหน้ารับ

   “แล้วจะแสดงอะไรดีล่ะ ตอนประกวด”

   คำถามนี้ฟินเองก็ยังไม่รู้คำตอบเช่นกัน เขาจึงส่ายหน้าไปมา

   ทิชาคิดในใจว่า ทำไมผู้ชายคนนี้ไม่ช่างพูดให้มากกว่านี้ แต่ถ้าช่างพูดมากกว่านี้คนก็คงมาชอบเยอะ ขนาดไม่พูดอะไรเท่าไหร่ เดินไปไหนยังมีแต่คนมองและเข้ามาพูดคุยไม่มีเว้น

   “ไปก่อนนะ พวกนั้นเรียกฉันน่ะ” ฟินพูดขึ้นแล้วเดินไปหากลุ่มเพื่อนชายสี่ห้าคนที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของตึก

   ทิชามองตามด้วยแววตาสับสน เพื่อน เพื่อน เราจะคิดแค่นี้จริงๆ

   แม้ว่าจะบอกกับตัวเองอย่างนั้น แต่ทำไมในใจกลับรู้สึกอยากได้เขามาครอบครอง ทิชาไม่ชอบความสับสนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้เลย เธออยากให้เขาเป็นแค่เพื่อนจริงๆ



   กิจกรรมรับน้องคณะดุริยางคศาสตร์เป็นไปด้วยความคึกคักและอึกทึก จนภีมอยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีกลับบ้านไปเสียดื้อๆ แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว

   ภีมจึงตัดสินใจทำตัวเนียนไปกับคนอื่น แต่กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของรุ่นพี่ไปได้ ภีมถูกเรียกมายืนที่หน้าแถวท่ามกลางเพื่อนๆและพี่ๆ

   “สุดหล่อขา วันแรกก็มาสายเลยนะคะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจริตของรุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งพูดขึ้น “เอาล่ะ...แนะนำตัวกับเพื่อนๆหน่อยค่ะ คนอื่นเขาแนะนำกันไปหมดแล้ว”

   ภีมยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มกระชากใจสาวๆในแบบที่เขาชอบใช้ประจำ “ผมชื่อภีมครับ นามสกุลพิริยะ มาจากโรงเรียนเอกชนXXXครับ เครื่องดนตรีที่ถนัดที่สุดคือเปียโนครับ”

   พอทุกคนรู้ว่าภีมเป็นใครต่างก็ปรบมือให้เพราะชื่อของเขาดังกระฉ่อนไปทั่ววงการนักดนตรี เนื่องจากเขาเป็นแชมป์การแข่งขันเปียโนถึงสามปีซ้อน

   “ปรบมือทำไมเหรอครับ” ภีมถามอย่างุงนงง

   “เอกดนตรีสากลมีคนเก่งๆอย่างนี้ ไม่ให้ปรบมือได้ยังไงล่ะ” รุ่นพี่คนเดิมยิ้มพราว ภีมรู้สึกตงิดๆกับรอยยิ้มนั้นเหลือเกิน หวังว่าเธอคงไม่อยากสานสัมพันธ์กับเขาหรอกนะ

   แต่แล้ว... สิ่งที่ภีมเพิ่งคิดไปก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้

   เมื่อทุกคนในเอกกำลังทำกิจกรรมสันทนาการกันอยู่ ภีมก็ถูกเรียกออกไปพูดคุยกับรุ่นพี่เป็นการส่วนตัวที่ห้องชมรมถัดจากลานกิจกรรมประมาณสิบเมตร

   ภีมเปิดประตูเข้าไป พบรุ่นพี่คนนั้นนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง

   “นั่งสิจ๊ะภีม” เธอผายมือไปที่เก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ

   ภีมยิ้มอย่างรู้ทัน วันแรกก็มีคนมายุ่งวุ่นวายกับเขาเสียแล้ว... “มีอะไรหรือครับ ผมทำอะไรไม่ถูกใจพี่หรือเปล่า หรือว่าเป็นเรื่องที่ผมมาสาย”

   “เปล่าหรอกจ๊ะ พี่ชื่อนัทตี้นะ อยากรู้จักกับภีมให้มากขึ้นน่ะ” เธอบอกชื่อเองเสร็จสรรพพลางส่งยิ้มให้ภีมอีกครั้ง

   ภีมมองเธออย่างพิจารณา รุ่นพี่คนนี้หน้าตาสะสวย สูง ขาว และอึ๋ม พอมองถึงช่วงอกเขาก็ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว ก็คุณเธอเล่นใส่เสื้อรัดติ้วจนกระดุมแทบจะขาดออกจากกันอยู่แล้ว

   นัทตี้กระแอมเบาๆให้ภีมรู้สึกตัว “มองอะไรอยู่จ๊ะ”

   ภีมยังคงยิ้มอยู่ “มองไปเรื่อยๆน่ะครับ ก็มันน่ามองนี่นา”

   นัทตี้ยิ้มพราว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าภีม “พี่ชอบเธอ เรามองคบกันดีมั้ยจ๊ะ”

   เจอประโยคแบบนี้เข้าไปตรงๆภีมถึงกับวางตัวไม่ถูกเลยทีเดียว “เอ่อ... ผม”

   นัทตี้โน้มตัวเข้ามาใกล้ภีมพลางจับหัวไหล่เขาไว้ “ว่ายังไงจ๊ะ”

   ภีมพยายามไม่มองเนินอกอวบขาวที่อยู่ตรงหน้า “ใจเย็นๆก็ได้ครับพี่ เราจะเริ่มกันตรงนี้เลยน่ะเหรอ ผมยังเด็กอยู่นะครับ”

   “เรียนมหาลัยแล้ว ไม่เด็กหรอก โตพอจะเรียนรู้อะไรตั้งเยอะ” เธอทำท่าจะนั่งลงบนตักของภีม

   “เสียใจครับ ผมมีแฟนอยู่แล้ว” ภีมบอกแล้วผลักร่างของเธอลงพื้น

   นัทตี้มองอย่างตกตะลึง ได้แต่กระพริบตาปริบๆมองภีมเดินออกไปจากห้องและเฝ้าคิดว่าตัวเองมีข้อบกพร่องอะไรถึงถูกปฏิเสธ

   ภีมเดินออกมาอย่างอารมณ์ดีและมาเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนในเอกอย่างสนุกสนาน ด้วยความขี้เล่นและยิ้มง่าย ทำให้ภีมเป็นที่สนใจของรุ่นพี่และเพื่อนๆ

   จนกระทั่งมีการเสนอชื่อเข้าประกวดดาวเดือนคณะคุริยางคศาสตร์ ภีมได้รับการเสนอชื่อให้ลงประกวดและได้รับเสียงโหวตอย่างเป็นเอกฉันท์

   ภีมยิ้มรับอย่างไม่เต็มใจนัก... ทำไมชีวิตเขาต้องวุ่นวายด้วยก็ไม่รู้

   “น้องภีมครับ ตอนนี้เป็นตัวแทนเดือนของเอกดนตรีสากล น้องภีมต้องขึ้นเวทีคัดเลือกเป็นตัวแทนของคณะในสัปดาห์หน้า ส่วนสัปดาห์ต่อไปจะเป็นการประกวดใหญ่นะครับ ดาวเดือนของทุกคณะต้องมาขึ้นเวทีประกวดอีกทีเพื่อชิงตำแหน่งดาวเดือนมหาวิทยาลัยของปีนี้” รุ่นพี่ชื่อเก่งที่เป็นเดือนปีก่อนอธิบายให้ภีมฟัง

   “หลายขั้นตอนจังเลยนะครับ”

   “ครับ คณะเรามีหลายเอกน่ะ ก็ต้องมาคัดกันอีกทีว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นตัวแทนของคณะ”

   “พี่ไม่ลองหาคนอื่นดูล่ะครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมเท่าไหร่” ภีมพยายามบ่ายเบี่ยง

   “ภีมนั่นล่ะ เหมาะสมที่สุดในโลกเลย ทั้งหน้าตาและความสามารถ รับรองว่าชนะทุกเวทีชัวร์”

   ยอเข้าไป... ภีมคิดในใจ

   “คิดการแสดงที่จะใช้ประกวดมาด้วยนะ แล้วก็ทำความรู้จักกับเบสท์ไว้ด้วย เธอเป็นดาวคู่กับภีมน่ะ” เก่งชี้ไปที่ผู้หญิงผมสั้นประบ่าคนหนึ่งซึ่งภีมมองไม่เห็นหน้าเพราะเธอหันหลังให้เขา

   พอพี่เก่งแยกไป ภีมจึงเป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับเธอก่อน

   “เบสท์” ภีมเรียกชื่อเธอ

   เจ้าของชื่อหันมาตามคำเรียกแล้วยิ้มบางๆ ดวงตากลมโตฉายแววซุกซนเมื่อสบตากับเขา “กำลังจะเข้าไปคุยด้วยพอดีเลยภีม”

   “จะทำอะไรดีในวันประกวด” ภีมตรงเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว

   “ไม่รู้สิ เราก็ทำอะไรไม่เป็นนอกจากเล่นดนตรี” เบสท์ยิ้มแหยๆ

   ภีมหรี่ตาด้วยความสงสัย “จริงเหรอ”

   “จริงสิ ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกเอกนี้หรอก ชีวิตเราก็มีแต่ดนตรีนี่ล่ะ เรียนก็ไม่เก่ง ทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่าง นอกจากเล่นไวโอลินนี่ล่ะ” เบสท์ค่อนข้างอายเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เพราะเธอไม่เก่งอะไรจริงๆนอกจากเล่นดนตรี

   ภีมรู้สึกถูกชะตากับเธอขึ้นมา อาจเพราะความที่ไม่เก่งอะไรเหมือนกันนอกจากดนตรี “โป๊ะเชะ เราเป็นเพื่อนซี้กันได้แน่นอน เพราะไม่เก่งอะไรนอกจากดนตรี”   

   เบสท์ทำหน้าตกใจ แต่แล้วก็หัวเราะออกมาในที่สุด “เจ๋งมาก มาเป็นเพื่อนซี้กันเถอะ”

   “ไม่ชอบเปียโนเหรอ” ภีมถาม

   “ก็ชอบอยู่ แต่เล่นได้ไม่ดีเท่าไวโอลิน ประกวดทีไรไม่เคยได้ที่หนึ่งเลย ปีที่แล้วลงประกวดไวโอลินก็ดันแพ้ให้เด็กรุ่นน้องขี้เก๊กคนหนึ่ง” เบสท์พูดพลางนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา เธอไม่น่าแพ้ให้กับเด็กคนนั้นเลย

   “รุ่นน้องที่ว่าชื่อติณณ์ใช่มั้ย” ภีมถามอย่างขบขัน โลกกลมจริงๆ

   “ใช่ๆ โคตรจะเก๊กเลย แถมยังบอกว่าไวโอลินของฉันน่ะราคาถูก ไม่น่าจะกล้าเอามาแข่งโชว์คนอื่นเขา แล้วก็อวดไวโอลินของตัวเอง แหวะ... ฉันล่ะเกลียดไอโอลินสีขาวจริงๆ” ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งเปลี่ยนไป ตอนแรกภีมคิดว่าเบสท์เป็นคนเรียบร้อย แต่จากการที่ได้พูดคุยกันทำให้เขารู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย ภายใต้ใบหน้าน่ารัก อ่อนหวานนั้น กลับห้าวเสียยิ่งกว่าผู้ชายบางคนเสียอีก

   “หมอนี่เป็นรุ่นน้องฉันเอง ปากก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วมันเป็นคนดีคนหนึ่งเลย” ภีมยิ้มบางๆ

   “ก็ไม่รู้ล่ะ แต่มันดูถูกลูกตาลของฉัน ให้อภัยไม่ได้” เบสท์พูดถึงไวโอลินสีเบจของเธอที่ถูกติณณ์ดูถูกเมื่อครั้งประกวดแข่งขันไวโอลินระดับประเทศครั้งก่อน

   “ไว้วันหลังจะพาเจ้านั่นมาขอโทษเธอถึงที่เลย” ภีมบอก

   “พามาเลย ขอต่อยปากให้หายเจ็บใจซักที” เบสท์พูดอย่างไม่จริงจังนัก

   “ไปทางนั้นดีกว่า มีเพื่อนที่ต้องทำความรู้จักอีกเยอะ” เธอพูดพลางโอบไหล่ภีมเดินไปด้วยกัน ท่าทางมาดแมนของเบสท์ขัดแย้งกับใบหน้าอ่อนหวานเป็นอย่างมาก แต่สิ่งนี้ล่ะ... ที่ทำให้เธอโด่ดเด่น

   และใครๆต่างก็คิดว่า... สองคนนี้เหมาะสมกันที่สุด

   ภีมรู้จักเพื่อนร่วมเอกจนครบทุกคน โดยปกติ แม้ภีมจะเป็นคนขี้เล่นขนาดไหนแต่ก็ไม่ชอบคบเพื่อนมากนักเพราะมันวุ่นวาย แต่ตอนนี้... ภีมกลับมีเพื่อนมาร่วมสร้างความวุ่นวายเต็มไปหมด

   แต่มันก็น่าสนุกดีนะ... สี่ปีที่แสนวุ่นวายในรั้วมหาวิทยาลัย


 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 32 – เจ้าหญิงและเจ้าชาย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 01:34:38


บทที่ 32 – เจ้าหญิงและเจ้าชาย


   ช่วงเวลาของการรับน้องผ่านพ้นไป เข้าสู่สัปดาห์ของการประกวดดาวเดือนของคณะดุริยางคศาสตร์ ผู้ชนะทั้งสองจะได้เป็นตัวแทนของคณะลงประกวดในระดับมหาวิทยาลัย

   “พรุ่งนี้แล้วอ่ะ ไม่อยากไปเลยว่ะ” ภีมบ่นให้ฟินฟัง เป็นการบ่นประโยคเดิมครั้งที่สามสิบในรอบของวันนี้ และฟินก็ตอบไปอย่างที่ตอบเหมือนทุกครั้งว่า “ไม่อยากก็ต้องไป ทำได้อยู่แล้วล่ะ”

   “ทำไมฉันต้องซวยทุกทีเลย อุตส่าห์อยู่เฉยๆแท้ๆกลับมีคนมาโยนภาระหน้าที่ให้เฉยเลย ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ให้ตายสิ”

   ฟินอดคิดถึงเรื่องของตัวเองไม่ได้ เขาก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ได้ทำอยู่ร่ำไป “ฉันก็ต้องประกวดเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่มีประกวดยิบย่อยเหมือนของนาย”

   “เมื่อวานเป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าเบสท์เล่นไวโอลินเก่งมากไม่ใช่เหรอ” ฟินถามขึ้น เขาได้รู้จักกับเบสท์เมื่อสองวันก่อน ภีมเป็นคนแนะนำให้รู้จัก และทั้งสามคนก็เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

   “เก่งสุดๆเลย เก่งกว่าติณณ์อีก แต่ทำไมไม่ได้เป็นแชมป์ก็ไม่รู้” ภีมพูดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมฝีมืออย่างเบสท์พลาดตำแหน่งผู้ชนะเลิศไป

   “มันคงมีเหตุผลหลายๆอย่างนั้นล่ะ ฉันว่าติณณ์ก็เล่นเก่งใช่ย่อยนะ” ฟินแสดงความเห็น

   ภีมคล้อยตาม “ช่างมันเถอะ ว่าแต่วันนี้ไปนอนบ้านฉันแล้วกัน จะได้เล่นเปียโนให้นายฟัง”

   “ได้สิ แล้วจะติชมให้” ฟินยิ้มบางๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปจัดกระเป๋า ช่วงบ่ายทั้งคู่จึงเดินทางมาถึงบ้านของภีม

   บรรดาคุณแม่บ้านของพิริยะยังคงให้การต้อนรับฟินอยู่เหมือนเดิม ทุกคนต่างรู้สึกว่าฟินเป็นส่วนหนึ่งของบ้านพิริยะไปแล้ว

   “นับวันยิ่งหล่อขึ้นนะคะ คุณฟินของป้า” แม่นมของภีมเอ่ยทักทายฟินที่เดินเคียงคู่มากับคุณชายของบ้านพิริยะ

   ฟินยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร เพราะเขาก็ผูกพันกับคนที่นี่เหมือนกัน “ขอบคุณครับป้า ป้าก็สวยขึ้นทุกวันเหมือนกัน”

   “แหม... รู้จักเอาอกเอาใจคนแก่ซะด้วย คุณฟินก็...” เธอว่าพลางลูบแขนตัวเองอย่างเขินๆ

   ภีมมองดูอย่างขบขัน “ไม่มีใครชม ก็ชมกันเองเนอะ คนบ้านนี้”

   “คุณชายก็พูดไป ก็ดูคุณฟินน่ารักขนาดนี้ ไม่ให้ชมได้ไงไหวล่ะคะ ถ้าป้าเกิดช้ากว่านี้ซักสามสิบปีก็ดีสินะ คุณฟินจะได้มาจีบป้า”

   “ไม่เห็นจะหล่อตรงไหนเลย ผมหล่อกว่าตั้งเยอะ” ภีมมองฟินอย่างท้าทายแล้วเดินขึ้นข้างบนไปก่อน

   ฟินยิ้มบางๆ “ไปนะครับป้า ตอนนี้คุณชายของป้าน่ารักขึ้นกว่าเดิมมากเลย”

   แม่นมคนเดิมยิ้มอย่างมีความสุข เพราะความสุขของเธออยู่ที่คุณชายอารมณ์ร้ายคนนี้ “ป้าก็ว่าอย่างนั้นล่ะค่ะ ฝากดูแลคุณชายด้วยนะคะ”

   “ไม่ต้องห่วงครับป้า ผมจะดูแลเขาให้ดีเลย” ฟินรับปากแล้วเดินตามภีมไป

   ภีมนั่งรอฟินอยู่ในห้องดนตรีที่ชั้นสาม ไม่นานนักฟินก็ตามขึ้นมา ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

   ภีมทำเป็นไม่สนใจ เขาทาบนิ้วมือบนเปียโนแล้วเริ่มบรรเลงเพลงที่มีจังหวะรุนแรงและเร่าร้อนราวกับพลุที่ถูกจุดขึ้นฟ้าอย่างไม่หยุดหย่อน

   ฟินมองดูอย่างชื่นชม เมื่อภีมเล่นเสร็จก็หันหน้ามามองฟินอย่างขอความเห็น

   “ฟังแล้วหัวใจจะวาย ตื่นเต้น ไม่มีจังหวะให้พักเหนื่อย มันเหมือนว่าทำให้คนฟังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็รุนแรงมากในเรื่องของโทนเสียง” ฟินบอก

   ภีมพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แล้วมันดีหรือเปล่าล่ะ”

   “ไม่รู้เหมือนกันว่าดีหรือเปล่า” ฟินทำหน้าลังเล เขาบอกไม่ถูกหรอกว่ามันดีหรือไม่ดี เขารู้เพียงแต่ว่าท่วงทำนองแบบนี้มันทำให้คนฟังอึดอัดและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

   “เบสท์บอกว่าคนอื่นคงน่าจะเล่นเพลงช้าๆกัน เราสองคนก็เลยคิดจะแหวกแนวด้วยการเล่นเพลงแบบนี้ ทำให้คนดูต้องตะลึง อะไรประมาณนี้ล่ะ” ภีมขมวดคิ้วแล้วลองเล่นเพลงเดิมอีกครั้ง แต่ลดอัตราเร็วของจังหวะให้น้อยลง

   ฟินรู้สึกได้ว่ามันน่าฟังขึ้น ไม่รุนแรงจนเกินไปและไม่น่าเบื่อจนอยากจะหลับ

   “แล้วแบบนี้ล่ะ” ภีมถามเมื่อเล่นจบ

   ฟินเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างขบคิด ครู่หนึ่งจึงตอบออกมา “ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้เข้าใจ แต่ว่าแบบนี้ดีกว่า มันฟังแล้วรู้สึกลุ้นไปกับเพลงแต่ก็มีช่วงเวลาให้ได้พักบ้าง”

   ภีมพยักหน้าเบาๆ “งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน รับรองว่าเจ๋งชัวร์”

   ดวงตาดำขลับของฟินเป็นประกายขึ้นมา ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ภีมจะบ่นอยู่ร่ำไปว่าไม่อยากทำและเบื่อที่จะรับภาระนี้เอาไว้กับตัว แต่เขาก็ตั้งใจและดูมีความสุขทุกครั้งที่ซ้อมดนตรีเพื่อนำไปประกวดบนเวทีในวันพรุ่งนี้ แล้วสุดท้ายความตั้งใจของเขาก็ทำให้ผลงานออกมาดี ถึงฟินจะไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรีอะไรเท่าไรนัก แต่ก็กล้ายืนยันว่ามันยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ

   และเมื่อสุดยอดนักเปียโนโคจรมาพบกับสุดยอดนักไวโวโอลิน รับรองว่า ผลงานต้องออกมาสุดยอดเกินคาดอย่างแน่นอน
 
   เช้าวันรุ่งขึ้น ภีมและฟินมาที่มหาวิทยาลัยแต่เช้าเพื่อเตรียมตัว ทางด้านหลังเวทีเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนดูอึดอัด ภีมสงสัยว่าทำไมถึงอนุญาตให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการประกวดเข้ามาด้านหลังเวทีเยอะขนาดนี้

   “จะไปแต่งตัวตรงไหนล่ะภีม ไม่มีที่ว่างเลย” ฟินเอ่ยขึ้น เมื่อมองดูภาพตรงหน้า มันชุลมุนวุ่นวายจริงๆ

   “เดี๋ยวโทรหาเบสท์ก่อน” ภีมรีบกดโทรศัพท์หาเพื่อนทันที ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่เข้ามาข้างใน จากนั้นไม่นาน เบสท์ก็มาพร้อมผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง

   ฟินและภีมมองเบสท์อย่างตกตะลึง เพราะการแต่งตัวที่คล้ายผู้ชายของเธอและยังท่าทางมาดแมนนั่นอีก แล้วยังจับมือกับผู้หญิงข้างๆเสียแน่น ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นแฟนกัน

   “อ้าปากกันใหญ่” เบสท์พูดกลั้วหัวเราะแล้วบีบคางฟินและภีมคนละที “หุบปากได้แล้วเพื่อน”

   “ทำไมแต่งตัวแบบนี้” ภีมถามอย่างงุนงง

   เบสท์หันหน้าไปมองผู้หญิงข้างๆแล้วก้มลงมองตัวเอง เธอไม่เข้าใจว่ามันน่าตกใจตรงไหน “ก็แต่งแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่”

   “วันก่อนยังแต่งเป็นผู้หญิงอยู่เลย” ฟินพูดบ้าง

   “ไม่รู้สิ ก็แต่งแบบนี้มานานแสนนานแล้ว”

   ฟินและภีมพยักหน้าพร้อมกัน

   แล้วเบสท์ก็แนะนำผู้หญิงที่มาพร้อมกับเธอให้ฟินและภีมรู้จัก พอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทั้งสองก็ต้องอ้าปากซ้ำอีกรอบ แถมยังอ้ากว้างกว่าเดิมเสียด้วย

   “แฟนเหรอ” ฟินและภีมพูดออกมาพร้อมกัน

   เบสท์แทบอยากจะมุดดินหนีหายไปจากตรงนั้น ก็สองคนนี้เล่นตะโกนจนเสียงดัง คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็มองมายังจุดเกิดเหตุเป็นตาเดียว “จะตะโกนกันทำไมฟะ อายนะโว้ย”

   “เบาๆก็ได้ อินก็เริ่มจะอายเหมือนกัน” อินตาจับมือเบสท์จนแน่น ใบหน้าขาวเริ่มมีสีเลือด

   “ฮ่าๆ ขอโทษที ตกใจน่ะ ไม่คิดว่าเบสท์จะเป็นเลสเบี้ยน” ภีมพูดไปหัวเราะไป

   ฟินเพียงแต่ยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไร

   ทั้งสี่คนยืนคุยกันได้ไม่นาน รุ่นพี่ที่ประกวดดาวเดือนปีที่แล้วก็เดินมาหา แล้วเดินนำเข้าไปข้างใน “โชคดีที่จองที่ไว้แล้ว ความจริงเขาอนุญาตให้เข้าแค่สี่คนต่อหนึ่งคู่ แต่ทำไมปีนี้ไม่กำหนดอะไรเลย ยุ่งไปหมด” ลลิลบ่นขึ้นเมื่อถึงห้องที่กั้นไว้เพื่อแต่งตัว

   “ผมก็ว่ามันดูยุ่งๆยังไงก็ไม่รู้” ภีมบ่นด้วยอีกคน

   “ยุ่งจนน่ารำคาญ เบสท์ว่าพี่ลิลไปประกาศบอกพวกเขาเองเลยดีกว่า ไม่งั้นแย่แน่ จะซ้อมอะไรก็ไม่ได้เลย เพราะเสียงดังและวุ่นวายมากๆ” เบสท์บ่นด้วยอีกคน

   มีแต่ฟินและอินตาเท่านั้นที่ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ

   ครู่หนึ่งหลังจากนั้น กรรมการประจำคณะก็ประกาศบอกให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการประกวดออกจากด้านหลังเวที ดาวและเดือนแต่ละสาขาวิชาจะมีผู้ดูแลได้เพียงสี่คนเท่านั้น

   ฟินและอินตาต้องออกไปนั่งรอที่หน้าเวที ผู้ดูแลของภีมและเบสท์คือรุ่นพี่ที่ประกวดดาวเดือนปีที่แล้ว ช่างแต่งหน้าหนึ่งคน และช่างทำผมอีกหนึ่งคน ส่วนเรื่องเสื้อผ้า รุ่นพี่คนอื่นในเอกก็เตรียมให้พร้อมแล้ว

   “เหลือเวลาหนึ่งชั่วโมง ช่างแต่งหน้ายังไม่มาเลย” ลลิลบ่นอย่างหัวเสีย ผู้เข้าประกวดคนอื่นก็แต่งตัวกันเกือบจะเรียบร้อยแล้ว บางเอกถึงกับซ้อมการแสดงบนเวทีอยู่

   “ใจเย็นๆสิ เราก็เกือบเสร็จแล้วนี่ เหลือแค่แต่งหน้าอย่างเดียว เดี๋ยวก็เสร็จ” ภูมิพูดให้เพื่อนคลายใจ

   “เรื่องเครื่องดนตรีพร้อมแล้วใช่มั้ย” ลลิลถามอีก ภูมิพยักหน้ารับ “เรียบร้อยทุกอย่างแล้ว”

   “แค่ประกวดของคณะยังยุ่งเลย”

   “เออน่า รับรองว่าเอกเราชนะชัวร์” ภูมิพูดอย่างมั่นใจ

   ภีมและเบสท์มองหน้ากันแล้วส่ายหน้า เพราะว่าทั้งสองไม่มั่นใจนักว่าจะเป็นไปตามความมั่นใจที่รุ่นพี่ทั้งหลายบอกไว้

   ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนการประกวด ช่างแต่งหน้าก็มา โชคดีที่ภีมไม่ต้องแต่งอะไรมากนัก ทำให้ขั้นตอนนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดีและรวดเร็ว

   ทำไมคอนเซปต์การประกวดปีนี้ต้องเป็นเจ้าหญิงเจ้าชาย... ภีมบ่น

   ภีมมองดูตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจเบาๆ นี่เขากลายเป็นเจ้าชายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เบสท์มายืนมองตัวเองด้วยอีกคน เธอถอนหายใจเสียยืดยาวแล้วบ่นออกมาเพียงลำพังว่า “ให้ตายสิ ชาตินี้เพิ่งเคยแต่งตัวเป็นเจ้าหญิง อินเห็น... คงขำตายเลย”

   ภีมนึกถึงฟินบ้าง “มันจะขำฉันมั้ยวะเนี่ย”

   “พูดถึงใครเหรอ” เบสท์ทำหน้าอยากรู้ขึ้นมา

   “เปล่า ไม่มีอะไรซักหน่อย” ภีมโบกมือปฏิเสธ

   เบสท์หรี่ตามองอย่างจับผิด “รู้น่าว่าหมายถึงใคร” เธอพูดยิ้มๆ

   ภีมร้อนตัวขึ้นมาทันที “อะไร ใครที่ไหน บ้าหรือเปล่า”

   “เขินเหรอ หมายถึงฟินใช่มั้ยล่ะ” เบสท์ยิ้มกว้าง เธอรู้อะไรมากกว่าที่ภีมคิด...
 
   “ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไปนั่งดีกว่า” ภีมเดินหนีไปนั่งที่เก้าอี้ของผู้ประกวดที่ทางคณะจัดไว้ให้ ระหว่างที่เดินไปเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคนโดยที่ไม่รู้ตัว

   เบสท์เลียริมฝีปากแล้วแค่นเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นก็เดินตามภีมไป

   ใครๆก็มองดาวเดือนของเอกดนตรีสากลด้วยความสนใจ เพราะโดดเด่นด้วยกันทั้งคู่ ทั้งหน้าตาและความสามารถ เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันยิ่งสร้างความกดดันให้กับผู้เข้าประกวดเอกอื่นยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทั้งคู่ช่างดูเหมาะสมกันเหลือเกิน

   “ฟินดูรักภีมมากเลยนะ” เบสท์พูดแล้วนั่งลงข้างๆภีม

   ภีมอ้าปากอีกครั้งด้วยความตกใจ “หมายความว่ายังไง”

   “เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ” เบสท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่ภีมไม่ตอบอะไร รู้สึกเหมือนหัวใจไร้โลหิตที่ไหลเวียน มันโล่งจนมืด และเต้นแรงจนแทบจะหยุดเต้น

   “เฮ้ย... เป็นอะไรไป หน้าซีดเชียว ไม่ใช่แฟนกันหรอกเหรอ” เบสท์ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองคาดการณ์ผิดไป

   “รู้ได้ยังไง” ภีมพูดออกมาในที่สุด

   “ตกลงว่าเป็นใช่มั้ยล่ะ”

   ภีมพยักหน้าออกมาแทนคำตอบ ทำไมการยอมรับกับคนอื่นในเรื่องนี้ มันทำให้เขารู้สึกอายและสูญเสียความเป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้

   “ดูแววตาของนายสองคนก็พอจะรู้ แล้วยังท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของฟินอีก ดวงตาของฟินเวลามองภีม มันดูเป็นประกายมากผิดกับเวลาที่เขามองคนอื่น นัยน์ตาจะมีแต่ความเฉยชา” เบสท์พูดยิ้มๆ

   “มันดูง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ” ภีมถามพลางถอนหายใจ

   “ง่ายมาก” เบสท์ยอมรับ “แล้วทำไม ภีมต้องทำหน้าเศร้าด้วยล่ะ ไม่อยากให้เบสท์รู้เรื่องนี้เหรอ” เธอถาม

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ เขากลัวว่าเธอจะรับไม่ได้ต่างหาก

   “เราเป็นเพื่อนกันนะ แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่เบสท์ก็รู้สึกว่าสนิทกับภีมและฟินมากๆเลย มันก็น่าแปลกนะ ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่อยากจะเปิดเผยอะไรกับใคร แต่พออยู่กับนายสองคนแล้วกลับรู้สึกเหมือนว่าเราเป็นเพื่อนกันมานาน นานจนอยากจะเล่าเรื่องของฉันให้นายฟังทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ก็อยากรู้เรื่องของภีมเหมือนกัน” เบสท์สารภาพออกมา แต่ก่อนเธอไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือพรหมลิขิตอะไร แต่พอรู้จักกับฟินและภีม เธอกลับเชื่อมันอย่างสนิทใจ ใครไม่พบเจอกับตัวเองคงไม่เชื่อและคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้

   “ความรู้สึกมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ภีมถามอย่างไม่เชื่อ แต่ในใจของตัวเองก็รู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น ทั้งๆที่ความจริงแล้วภีมไม่อยากจะเข้าใกล้ผู้หญิงเท่าไรนัก

   “จริงๆนะ มันรู้สึกเหมือนเรารู้จักกันมานาน เอ๊ะ... หรือว่าเราจะเป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันหว่า” เบสท์แกล้งพูด

   ภีมหัวเราะออกมา “แม่ฉันมีลูกแค่สองคนเท่านั้น ยัยบ้าเอ๊ย”

   “ล้อเล่นน่า ว่าแต่ทำไมดูภีมไม่ค่อยจะรักฟินเลย” เบสท์ถามอีก ส่วนภีม เจอคำถามนี้เข้าไปถึงกับอึ้ง ท่าทางของเขามันเป็นอย่างนั้นหรือ

   เบสท์จ้องมองปฏิกิริยาของภีมเงียบๆ เธอปล่อยให้ภีมได้คิดทบทวนทุกอย่างก่อนเพื่อจะได้เลือกคำตอบที่ตรงกับหัวใจมากที่สุดมาตอบกับเธอ รวมถึงตอบกับตัวเองด้วย

   ในระหว่างที่ภีมกำลังนั่งทบทวนคำตอบของคำถามที่เบสท์ให้ไว้ บนเวทีก็เป็นการแสดงของดาวเดือนคู่ที่ห้าจากเอกดนตรีไทย

   พอคู่ที่ห้าลงจากเวทีก็ถึงคิวของคู่สุดท้ายที่ทุกคนรอคอย ภีมและเบสท์

   “ขอเชิญพบกับดาวเดือนจากเอกดนตรีสากลที่มาพร้อมเรื่องราวความรักของเจ้าหญิงเจ้าชายผู้คลั่งไคล้ในเสียงดนตรี ขอเชิญพบกับพวกเขา ณ บัดนี้” สิ้นเสียงของพิธีกรบนเวที ภีมและเบสท์ก็จูงมือกันเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างามสมกับบทบาทของเจ้าหญิงและเจ้าชาย

   ก่อนที่ภีมจะแยกไปนั่งที่เปียโน เขาก็กระซิบบอกกับเบสท์ว่า “รักสิ ทำไมจะไม่รัก ฉันก็เป็นแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่เคยรักแต่ความจริงแล้ว... ฉันรัก...” ภีมยังพูดไม่ทันจบ เบสท์ก็ผลักฟินออกไป แล้วพูดกลับมาว่า “ไปบอกกับเขาเองดีไหมคำว่ารักเนี่ย”

   ภีมยิ้มบางๆแล้วเดินไปนั่งประจำที่ เบสท์ถือไวโอลินอยู่อีกมุมหนึ่งของเวที เธอช่างดูงดงามสมกับชุดเจ้าหญิงเสียจริงๆ ทั้งใบหน้าที่อ่อนหวานและดวงตากลมโตคู่นั้น

   เบสท์เริ่มต้นเรื่องราวด้วยเสียงไวโอลินที่อ่อนหวาน งดงามจนน่าหลงใหล จากนั้นก็เพิ่มระดับความรุนแรงของทำนอง จนกลายเป็นความดุดัน โมโหร้าย และบ้าคลั่งราวพายุในท้องทะเล ทำเอาผู้ชมต่างก็ตกใจไปตามๆกัน

   และนั่นยิ่งทำให้เธอฮึกเหิมยิ่งขึ้นไปอีก เบสท์เร่งจังหวะขึ้นจนถึงขีดสุดแล้วค่อยๆลดลงจนกลายเป็นเสียงอ่อนหวานเช่นเดิม จากนั้น เสียงเปียโนของภีมก็ดังขึ้น เป็นท่วงทำนองที่น่าตื่นเต้นจนสามารถตรึงผู้ชมให้หยุดสายตาไว้ที่นิ้วเรียวยาวที่พลิ้วไหวไปตามทำนองเพลง

   ฟินมองดูอย่างชื่นชม ในขณะที่อินตาอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นเก็บภาพที่น่ามองนี้ ฟินเห็นเข้าจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็เอากล้องมา “ถ้าอินไม่ถ่ายรูป ฟินคงลืมไปแล้วว่าเอากล้องมาด้วย”

   อินตาหัวเราะเบาๆ ส่วนฟินก็ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายอย่างเดียว สุดท้ายทนไม่ไหวที่ต้องถ่ายติดศีรษะคนอื่นมาด้วย เขาจึงลุกเดินไปเก็บภาพที่หน้าเวทีเสียเลย โดยมีอินตาเดินตามออกไปด้วย

   เมื่อภีมบรรเลงเพลงจบ เสียงไวโอลินก็ดังขึ้น เป็นทำนองอ่อนหวานสลับกับร้อนแรง ไวโอลินบรรเลงไปได้สักพัก เสียงเปียโนก็ดังขึ้น จนผสมผสานกลายเป็นเสียงเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกเสียงปรบมือของผู้ชมให้ดังกระหึ่มไปทั้งหอประชุม

   เมื่อดนตรีชุดที่สองจบลง ชุดที่สามก็เริ่มขึ้น ภีมหยิบไวโอลินสีดำที่อยู่ข้างๆเปียโนมาถือไว้ แล้วเดินไปยืนตรงกลางเวที เบสท์เดินออกมาสมทบ แล้วทั้งสองก็ดวลไวโอลินกัน นี่ก็เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมและกรรมการได้เช่นกัน

   ชุดที่สามจบลง ชุดสุดท้ายที่ใช้ปิดการแสดงคือ ทำนองพลิ้วไหวของไวโอลินที่กลมกลืนกับทำนองเปียโนอันรวดเร็วดังพายุ

   จากนั้นภีมก็ลุกจากเก้าอี้แล้วถือไวโอลินมายืนเคียงคู่กับเบสท์ซึ่งเป็นเจ้าหญิง ทั้งสองมองตากันแล้วบรรเลงเพลงอันไพเราะด้วยไวโอลินของแต่ละคน

   เมื่อเพลงจบลง ภีมก็วางไวโอลินของตัวเองลงบนพื้น แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเบสท์ จากนั้นก็สวมแหวนให้เธอ ฉากสุดท้ายนี้เรียกเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดจากผู้ชมได้อย่างท่วมท้น ทำเอาภีมและเบสท์แทบจะลอยขึ้นฟ้าเพราะเสียงที่ดังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดของทุกคนในที่นั้น

   ฟินและอินตาแทรกตัวเข้ามาที่หน้าเวทีที่มีช่างภาพมากมายยืนออกันอยู่เต็มไปหมด พอจะถ่ายก็ถูกผลักออกมา ทั้งสองจึงถอดใจเดินกลับไปนั่งที่เดิม ไว้รอถ่ายตอนงานเลิกแล้วแทน

   หลังจากการแสดงของทั้งหกวิชาเอกผ่านพ้นไป ก็เป็นช่วงเวลาของการตอบคำถาม แน่นอนว่า คู่ที่ได้รับความนิยมจากกรรมการและผู้ชมคือคู่สุดท้ายของการประกวด

   “แนะนำตัวเองหน่อยครับดาวและเดือนของเรา” พิธีกรชายส่งไมโรโฟนให้เบสท์

   “สวัสดีค่ะ ชื่อเบสท์ บัณทิตา เลิศเกียรติสกุลค่ะ จากเอกดนตรีสากล เครื่องดนตรีที่ถนัดไวโอลินค่ะ สิ่งที่ถนัดที่สุดในชีวิตคือการเล่นดนตรีค่ะ” พูดจบด็ส่งไมค์ให้ภีมต่อ ภีมสูดลมหายใจเข้าลึกๆก้อนจะกล่าวออกมา “สวัสดีครับ ผม... ภีม พิริยะ จากเอกดนตรีสากล ชอบเล่นเปียโน ไวโอลิน กีต้าร์ แซ็กโซโฟน กลองชุด สรุปคือชอบเล่นดนตรีสากลทุกชนิดครับ แต่ดนตรีไทยก็พอเล่นได้นะครับ”

   แล้วเสียงจากผู้ชมก็ดังขึ้นพร้อมๆกันว่า ชอบเล่นอะไร

   “ผมเล่นระนาดเอกแล้วก็ฆ้องได้ครับ”

   แค่เพียงแนะนำตัวก็มีเสียงโห่ร้องไม่หยุด ไม่ว่าทั้งคู่จะพูดอะไรก็จะมีคนคอยส่งเสียงเป็นกำลังใจให้ตลอด

   “สงสัยงานนี้ต้องมีแฟนคลับแน่ๆ” อินตาพูดติดตลก

   “ก็ว่างั้น เด่นกันทั้งคู่เลยนี่” ฟินพูดกลั้วหัวเราะ

   จากนั้น พิธีกรก็ส่งกล่องคำถามให้เบสท์ เธอหยิบขึ้นมาหนึ่งคำถามแล้วส่งให้พิธีกร

   “ถ้าพรุ่งนี้คุณตื่นมาแล้วพบว่าไม่มีเจ้าชายที่คุณรักอยู่ข้างๆ คุณจะทำเช่นไร” เมื่อพิธีกรอ่านคำถามจบ ผู้ชมก็ส่งเสียงกันลั่นสนั่นหอประชุม

   เบสท์ยิ้มบางๆ คำถามปัญญาอ่อนมากถึงมากที่สุด “ก็หาเจ้าหญิงสวยๆสักคนสิคะ ไม่เห็นต้องสนใจเจ้าชายเลย บางทีเจ้าหญิงก็น่าจะคู่กับเจ้าหญิงบ้างนะคะ”

   คำตอบของเบสท์ทำเอาผู้ชมทุกคนกรี๊ดสนั่นไม่หยุด เพราะมันฟังแล้วกำกวมและขัดแย้งกับบุคลิกของเธอเหลือเกิน คงมีแต่ภีมและฟินเท่านั้นที่รู้ว่าคำตอบของเบสท์หมายถึงอะไร

   “หาเจ้าหญิงแทนเจ้าชาย เอาเป็น... เจ้าหญิงคู่เจ้าหญิงเลย ดีดี แปลกดี” พิธีกรหญิงอีกคนพูดบ้าง แม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจคำตอบก็ตามที

   เมื่อเบสท์ตอบคำถามไปแล้วก็ถึงคิวของภีม ภีมเลือกมาหนึ่งคำถามและคำถามนั้นมีอยู่ว่า “สมมติว่าคุณเป็นเจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่ แต่บังเอิญไปรักกับคนที่ไม่สมควรรักหรือไม่เหมาะสมกับคุณเลย ทางท่านพ่อและท่านแม่จึงเอ่ยปากให้คุณเลือกระหว่างทรัพย์สมบัติมีค่าที่ใช้ไปร้อยชาติก็ไม่หมดกับคนที่คุณรัก”

   ภีมก้มหน้าลงมองพื้น ผู้ชมอาจจะคิดว่าเขากำลังเขินอยู่

   ฟินจ้องมองภีมอย่างคาดหวัง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าหวังอะไร

   “ผมก็ต้องเลือกคนที่ผมรักอยู่แล้ว เพราะถ้าผมตายก็คงอยากตายอยู่กับคนที่ผมรักไม่ใช่ตายอยู่บนกองเงินกองทอง” ภีมยังคงก้มหน้าอยู่

   “แล้วถ้าพวกเขาไม่ยอมให้คุณสองคนรักกันล่ะ จะทำอย่างไร” พิธีกรหญิงถามต่อ

   ภีมค่อยๆเงยหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตาค้นหาฟิน แต่คนที่อยู่ในนี้มากมายเหลือเกิน แม้ภีมจะไม่เห็นฟิน แต่ฟินกลับเห็นภีมอย่างชัดเจน

   ทำไมเลือกคำถามได้ตรงกับชีวิตจริงขนาดนี้เนี่ยภีม... ฟินคิดในใจ

   “ผมก็จะทำตามความต้องการของตัวเอง ถ้าเขาไม่ยอมให้รัก ผมก็ไม่ยอมเลิกรักเหมือนกัน” ภีมตอบเสียงเรียบ ไม่มีแววตาของความขี้เล่นเหมือนเคย ฟินยิ้มบางๆ เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในคำตอบนั้น และตอนนี้เขาก็กำลังตอบคำถามเดียวกับภีมอยู่ และที่สำคัญ... เป็นคำตอบที่เหมือนกับภีมทุกประการ

   แล้วสุดท้าย ดาวและเดือนที่ชนะเลิศก็คือภีมและเบสท์จากเอกดนตรีสากล ทั้งสองต้องเป็นตัวแทนของคณะดุริยางคศาสตร์เข้าประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยในสัปดาห์หน้า

   เมื่องานเลิกแล้ว ภีมและเบสท์ได้รับความสนใจจากทุกคนเป็นอย่างมาก มีคนมาขอถ่ายรูปและเข้ามาพูดคุยไม่หยุด กว่าทั้งสองจะได้ปลีกตัวมาเปลี่ยนชุดกลับบ้านก็เย็นย่ำ

   “ไปก่อนนะฟินภีม” เบสท์โบกมือลาเพื่อนทั้งสอง

   “โชคดีนะ” ภีมบอก

   “อย่าลืมบอกคำว่า... ให้ฟินรู้ล่ะ” เบสท์ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างรู้กันกับภีม ภีมอยากจะจับเธอมาทุ่มลงพื้นสักสองครั้งให้หายอาย

   “แล้วเจอกันนะ” อินตาพูดบ้าง

   “อาทิตย์หน้ามาดูด้วยนะ ประกวดครั้งใหญ่เลย ฟินก็ประกวดด้วย” ภีมบอก

   “จริงเหรอ งั้นอินจะมาดูก็แล้วกัน”

   เมื่อเบสท์กับอินไปแล้ว ภีมก็ทำท่าจะเดินไปบ้าง แต่ถูกฟินรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน

   “บนเวทีน่ะ พูดจริงเหรอ” ฟินถาม ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความขบขัน

   ภีมนึกย้อนกลับไปว่าตัวเองตอบคำถามน้ำเน่าแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน มันไม่น่าจะตอบไปอย่างนั้นเลย

   “ตอบมาสิ” ฟินเร่ง

   ภีมส่ายหน้าไม่ยอมบอก ฟินจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง “ตอนที่นายกำลังตอบ ฉันก็กำลังตอบคำถามนั้นเหมือนกัน แล้วสุดท้ายเราก็ตอบเหมือนกันจริงๆ”

   ภีมเงยหน้ามองฟินแล้วยิ้มออกมา “ฉันคิดอย่างที่ตอบไปจริงๆ”

   “ห้ามเปลี่ยนใจนะ กลัวว่าถึงวันนั้นจริงๆแล้วนายจะทำอะไรที่มันตรงข้ามกับคำตอบในวันนี้น่ะสิ” ฟินพูดแล้วจับมือภีมเดินออกไป

   วันนี้ก็คือวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน... แค่วันนี้เราทำดีที่สุด พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรื่องราวอะไรให้ต้องกังวล


 :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 33 – การแข่งขัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 01:39:55


บทที่ 33 – การแข่งขัน



   หลังจากการประกวดดาวเดือนของคณะดุริยางคาสตร์ผ่านพ้นไป ภีมก็ต้องเตรียมตัวซ้อมการแสดงใหม่เพื่อใช้บนเวทีประกวดดาวเดือนครั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ภีมไม่เป็นกังวลเท่าไรนักเพราะเขาและเบสท์จะแสดงเหมือนครั้งก่อน เพียงแต่ปรับระดับของดนตรีให้ยากขึ้น

   แต่ฟินนี่สิ... ไม่รู้จะเอาอะไรไปโชว์บนเวที อีกหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น แต่เขาและทิชายังไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักอย่าง

   ฟินจึงคิดว่าวันนี้ต้องคุยเรื่องการแสดงให้รู้เรื่องจงได้

   วันนี้ดาวเดือนของทุกคณะต้องมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอแนะนำตัว ทางกองประกวดนัดเจอทุกคนที่หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย เวลาเก้านาฬิกาตรง

   กว่าดาวเดือนทั้งยี่สิบหกคนจากสิบสามคณะจะมาครบก็ปาเข้าไปสิบนาฬิกาตรงแล้ว และแน่นอนว่าคนที่มาช้าที่สุดก็คือฟินและภีม

   แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ ทั้งสองคนกลับไม่ถูกตำหนิเลยสักนิดเดียว

   หน้าหอประชุมใหญ่มีการจัดพื้นที่ไว้สำหรับถ่ายรูปผู้เข้าประกวดแต่ละคน

   “เราจะถ่ายรูปเดี่ยวของแต่ละคนก่อนนะ จากนั้นจึงจะถ่ายเป็นคู่” รุ่นพี่ประจำกองประกวดพูดขึ้น “แพทย์มาก่อน มา มา” เขาว่าพลางกวักมือเรียกดาวและเดือนของคณะแพทยศาสตร์ ต่อด้วยคณะพยาบาลศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จนถึงคณะสัตวแพทยศาสตร์

   ทิชายิ้มให้ฟินก่อนจะเดินเข้าไปถ่ายรูป

   “เอียงคอหน่อยครับ แล้วยิ้มหวานๆ” ช่างภาพบอกกับเธอ ทิชาทำตามแต่ภาพที่ออกมาก็ยังไม่ถูกใจคุณช่างภาพคนนี้เสียที เธอหันมามองฟินและหวังว่าเขาจะให้กำลังใจด้วยการยิ้มออกมาสักนิดนึง แล้วฟินก็ทำอย่างที่เธอหวังจริงๆ

   เขายิ้มให้เธอบางๆ และนั่นก็เป็นแรงใจเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ทิชาผ่านพ้นการโพสต์ท่าบ้าบอนี้ไปได้

   เมื่อทิชาถ่ายเสร็จแล้ว ฟินก็เดินเข้าไปอย่างรู้หน้าที่ ไม่ต้องรอรุ่นพี่เรียก แค่เพียงยืนนิ่งๆธรรมดา เขาก็ดูดีแล้ว งานนี้จึงเป็นกลายเป็นเรื่องหมูๆไปเลย

   การถ่ายภาพดำเนินไปเรื่อยๆจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็เป็นการถ่ายรูปคู่ของดาวเดือนแต่ละคณะ กว่าจะเสร็จสิ้นก็กินเวลาจนถึงช่วงเที่ยงวัน

   ทุกคนมีเวลาพักทานข้าวหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นต้องมาถ่ายทำวิดีโอแนะนำตัว

   “ไปกินข้าวด้วยกันนะฟิน” ทิชาเอ่ยชวนขึ้นทันที

   ฟินพยักหน้า “เอาสิ แต่รอเพื่อนฉันอีกสองคนก่อน”

   ทิชาหน้าซีดไปทันที เธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ความรู้สึกที่อยากจะครอบครองผู้ชายคนนี้ “คนไหนเหรอ”

   ฟินชี้ไปที่ภีมและเบสท์ที่กำลังคุยกับรุ่นพี่อยู่ ทิชามองตาม “ดาวเดือนของดุริยางค์นี่”

   “อืมม์ เพื่อนฉันเอง” ฟินพูดแล้วยิ้มออกมา

   ทิชารู้สึกถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นภายในใจ ทำไมเธอรู้สึกไม่ถูกชะตากับสองคนนี้เอาเสียเลย ทั้งๆที่เพิ่งเคยเจอกันแท้ๆ ยิ่งผู้หญิงคนนั้นด้วยแล้ว เธอยิ่งรู้สึกไม่ชอบเข้าไปใหญ่

   “หวัดดี ทิชาใช่มั้ย เธอน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย” เบสท์เอ่ยขึ้นก่อน ทิชาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า

   “ทิชา” ฟินเรียก “คนนี้ภีมนะ ฉันรักเขามากเลย”

   ทิชาไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดนั้น เธอคิดแค่ว่าคงรักกันตามประสาเพื่อนผู้ชายธรรมดา “หวัดดีจ๊ะ” เธอยิ้มให้ภีมบางๆ

   “น่ารักอย่างที่เบสท์บอกจริงๆด้วย” ภีมยิ้มให้ทิชาก่อนจะหันไปตบไหล่ฟินที่พูดจาบ้าๆแบบนั้นไป

   “งั้นเราไปกินข้าวกันเถอะ” เบสท์พูดขึ้น ทิชามองดูท่าทางของเบสท์แล้วก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เธอกำลังสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ช่างแก่นเซี้ยวผิดกับหน้าตาอย่างสิ้นเชิง

   ทิชารอให้ฟินออกเดิน เพื่อที่ว่าเธอจะเดินไปพร้อมกับเขา แต่ฟินยังคงยืนข้างๆภีมและรอให้เบสท์และทิชาเดินไปก่อน

   “มาเดินกับฉันดีกว่า ให้พวกผู้ชายเขาได้อยู่ด้วยกัน” เบสท์ยิ้มหวานแล้วจูงมือของทิชาเดินนำออกไป

   มือนุ่มจังเลยแฮะ... หน้าตาก็น่ารัก แล้วยัง... เบสท์คิดแล้วก็อมยิ้มออกมาคนเดียวตลอดทางจนถึงโรงอาหาร

   ทั้งสี่คนใช้เวลาทานข้าวเพียงครึ่งชั่วโมงก็เดินกลับมาที่หน้าหอประชุม เบสท์และภีมเดินคุยกันมาตลอดทาง ส่วนทิชาก็ได้เดินกับฟินสมใจ แต่ฟินกลับเงียบตลอดทาง พอทิชาชวนคุย เขาก็ตอบสั้นๆหรือไม่ก็พยักหน้าเพียงอย่างเดียว

   พอมาถึงที่หน้าหอประชุม ฟิน ภีมและเบสท์ก็ถูกช่างภาพเรียกตัวไป ทิชาจึงต้องนั่งอยู่คนเดียวและมองพวกเขาทั้งสามด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

   อิจฉาหรือ... เราไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนั้นสักนิดเดียว จนกระทั่งตอนนี้ เหมือนว่าพวกเขาอยู่สูงกว่าเรา ทั้งๆที่แต่ก่อนเรามักจะเป็นที่สนใจของทุกคน แต่ตอนนี้กลับมีคนที่น่าสนใจกว่าเราอยู่... ทิชาต่อต้านความรู้สึกในใจสุดชีวิต มันเป็นการยากที่คนเราจะยอมรับความรู้สึกแท้จริงของตนเอง

   ฟิน ภีม และเบสท์ถูกเรียกไปถ่ายภาพเป็นกรณีส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับการประกวดแต่อย่างใด

   “พี่จะเอารูปพวกเราไปทำไมครับ” ภีมถามขึ้นคนแรก หลังจากถ่ายเสร็จแล้ว

   ช่างภาพหนุ่มวัยยี่สิบห้าปียิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “เอาไปส่งให้โมเดลลิ่ง หน้าตาดีไม่หยอกเลย ทั้งสามคน”

   พอได้รับคำตอบ ทั้งสามคนก็ทำหน้าบูดพร้อมๆกัน ใครเขาขอร้องให้ถ่ายกันล่ะ... ไม่ได้อยากเข้าวงการบันเทิงสักหน่อย

   “เงียบกันเลยเหรอ อยากเป็นดารากันใช่มั้ย” พี่ช่างภาพแกล้งแซว

   ฟินยิ้มแล้วเดินหนีไป ส่วนภีมและเบสท์ก็ยักไหล่ก่อนจะเดินตามฟินมา

   “ไม่เห็นอยากเป็นตรงไหนเลย ดาราอะไรเนี่ย” เบสท์เป็นคนพูดขึ้นก่อน

   “นั่นสิ ไม่มีใครอ้อนวอนเลยสักนิด” ภีมพูดบ้าง

   ส่วนฟินนั่งยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไร แต่ทิชานั้นกลับรู้สึกถึงความด้อยค่าของตัวเอง ทำไมคนที่ได้รับโอกาสแบบนี้ไม่ใช่เธอ

   ไม่มีเวลาให้ทิชาได้คิดน้อยใจในโอกาสของตัวเอง เพราะทางกองเรียกทุกคนไปนั่งรวมกันตรงกลางลานหน้าหอประชุม

   “เป็นอะไรไป เหม่อเชียว” ฟินแตะที่หัวไหล่ของทิชาเบาๆ

   “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่หน้ากลับซีดเผือด ฟินรู้ดีว่าเธอโกหก แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้

   “เขาเรียกแล้ว ไปกันเถอะ” ฟินเดินนำไปก่อน ทิชาก้าวเท้าให้ถี่ขึ้นเพื่อตามเขาให้ทัน

   กรรมการจากกองประกวดคนหนึ่งรับหน้าที่อธิบายคิวการถ่ายทำให้ทุกคนได้ทราบ “เรียงตามคณะเลย พี่จะดึงเข้ามาถ่ายทีละคนก่อน สิ่งที่ต้องพูดก็คือ แนะนำตัว บอกคณะ ความสามารถพิเศษ คติประจำใจ ชอบหรือไม่ชอบอะไร ประมาณนี้ ใครคิดอะไรได้นอกจากนี้ก็พูดๆไป จากนั้นก็จะถ่ายเป็นคู่ ให้คิดท่าที่จะโพสต์ด้วยนะ จากนั้นเราก็จะถ่ายรวมๆ”

   เมื่ออธิบายจบก็เริ่มการถ่ายทำ ทุกขั้นตอนราบรื่นไปด้วยดี

   ทิชาค่อนข้างจะสับสนกับฟินไม่น้อย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆที่ประหยัดรอยยิ้มเหลือเกิน แต่พอเข้ากล้องเท่านั้น เขากลับรู้หน้าที่และปฏิบัติตนตรงข้ามกับสิ่งที่เป็นทุกประการ ยิ่งตอนที่ถ่ายคู่กันแล้ว ฟินยิ้มออกมาบ่อยมาก

   “สมกับที่เป็นฟิน เฟคได้โล่เลย” ภีมบ่นกับเบสท์เมื่อการถ่ายทำจบสิ้น “หมอนี่นะ ถ้าไม่มีความสุขจริงๆมันไม่ยิ้มหรอก”

   เบสท์หรี่ตามองแล้วร้องกิ๊วก๊าวจนเสียงดังไปทั่วลาน

   “จะร้องทำไมฟะ” ภีมกัดฟันพูดเบาๆแล้วก้มหน้างุดด้วยความอาย

   “รู้ใจกันดีจริงๆเลยนะ แล้วตอนอยู่กับภีมสองคน ฟินไม่ยิ้มจนปากฉีกเลยเหรอ” เบสท์พูดไปขำไป ยิ่งนึกภาพตามไปด้วยแล้ว ยิ่งน่าขำ

   “หุบปากเลย ไม่ขำสักนิด ยัยบ้า” ภีมผลักศีรษะเบสท์เบาๆ

   คนรอบข้างๆต่างจับตามองสองคนนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าดูเหมาะสมกัน ยิ่งทั้งคู่แสดงท่าทางสนิทสนมกันแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นที่จับตามองมากขึ้น และหนึ่งในนั้นที่กำลังมองอยู่คือ ทิชา

   “ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่า” ฟินถามเรียบๆ เมื่อเห็นว่าทิชาเอาแต่มองภีมและเบสท์ ไม่สนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่เลย

   “ฟังๆ ฟินบอกว่าจะเล่นกีต้าร์และให้ทิชาเป็นคนร้องเพลง”

   ฟินพยักหน้า “ทิชาอยากร้องเพลงอะไรล่ะ”

   “แล้วแต่ฟิน ฟินอยากเล่นเพลงอะไรล่ะ”

   ฟินตอบไม่ถูก เล่นอะไรดี... เขาเล่นกีต้าร์ไม่เป็นเสียหน่อย นี่ก็กะว่าหนึ่งสัปดาห์ที่เหลือจะให้ภีมเป็นคนสอน “เลือกมาสิ ว่าอยากร้องเพลงไหน”

   ทิชาหยุดคิดไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ขอดาว ของ Portrait”

   ฟินนิ่งไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะตอบตกลงออกมา

   “ได้ เอาเพลงนี้ ก่อนวันประกวด เรามาเจอกันอีกที” ฟินบอกแล้วขอตัวกลับก่อนโดยไม่ลืมที่จะขอเบอร์โทรศัพท์ของทิชาไว้ “ไว้จะโทรไปหา ฉันไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีแต่โทรศัพท์บ้าน”

   แค่นั้นทิชาก็ยิ้มออกมาทั้งวันแล้ว หลังจากวันนั้น เธอก็ฝึกร้องเพลงนี้ตลอด ไม่ว่าจะกิน นอน หรือเข้าห้องน้ำ ว่างเมื่อใด เธอก็จะร้อง ร้อง และร้อง

   ส่วนฟินก็ต้องให้ภีมช่วยสอนเล่นกีต้าร์เพลงนี้ แต่พรสววรค์ทางด้านดนตรีของฟินมีอยู่น้อยเหลือเกินจนภีมแทบถอดใจ

   “ทำไมแค่นี้เล่นไม่ได้นะฟิน” ภีมบ่นออกมาอย่างเหลืออด วันทั้งวันฟินยังเล่นอินโทรไม่ได้เลย “มันต้องตีคอร์ดแบบนี้” ภีมคว้ากีต้าร์ไปเล่นให้ฟินดูเป็นรอบที่สิบ ซึ่งฟินก็พยักหน้ารับเช่นทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังเล่นไม่ได้อยู่ดี

   “ฟิน ทำไมแค่นี้เล่นไม่ได้” ภีมแสร้งทำหน้าจริงจัง

   ฟินถอนหายใจออกมา ไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้ วันที่ต้องกลายเป็นผู้เรียนของภีม “ก็มันเล่นไม่ได้จริงๆนี่ อะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ”

   ภีมส่ายหน้าแล้วเอามาเล่นให้ดูอีกครั้ง “ต้องเล่นแบบนี้ จับจังหวะให้ได้ วันทั้งวันยังเล่นอินโทรไม่ได้เลยนะ แล้วก็ยังจับคอร์ดผิดอีกด้วย”

   “รู้แล้วๆ มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปสิ คนไม่เคยเล่นนี่นา” ฟินทำหน้ามุ้ย ความจริงแล้วพ่อของเขาก็เคยสอน แต่เขาไม่มีความสามารถทางนี้จริงๆ สอนเท่าไรก็ไม่เข้าหัว ผิดกับฟางข้าวที่เล่นเปียโนได้ตั้งแต่เล็กๆ

   “เออๆ ไม่เป็นไร จับคอร์ดทั้งหมดให้ถูกก่อน ค่อยว่ากัน” ฟินใช้เวลาในการเรียนรู้คอร์ดกีต้าร์ของเพลงนี้สองวันเต็มๆจึงจำได้ว่าคอร์ดนี้จับอย่างไร แล้ววันต่อๆไปที่เหลือ ภีมก็สอนให้ฟินเล่นเป็นทำนองเพลง สอนเทคนิคการเปลี่ยนคอร์ดและการตีคอร์ดที่เหมาะสมกับเพลงที่ฟินเลือกมา

   แล้วความพยายามก็สำเร็จในวันที่หก ฟินสามารถเล่นเป็นเพลงได้อย่างสวยงาม

   “จับกีต้าร์แล้วดูดีมาก” ภีมเผลอชมออกไปโดยไม่รู้ตัว

   “ขอบคุณที่ชม” ฟินยิ้มบางๆแล้วเริ่มเล่นเพลงนี้อย่างคล่องแคล่ว โดยมีภีมทำหน้าที่เป็นนักร้อง

   เช้าวันที่เจ็ด ฟินโทรไปหาทิชาแล้วนัดเธอมาเจอที่ลานกิจกรรมของคณะสัตวแพทยศาสตร์ ฟินชวนภีมไปด้วยกันแต่ภีมปฏิเสธเพราะว่าขี้เกียจ ฟินจึงต้องไปคนเดียว

   เมื่อฟินมาถึงก็พบว่าทิชามารออยู่ก่อนแล้ว

   “กีต้าร์ของฟินเหรอ” ทิชาถามขึ้นเมื่อฟินนั่งลงข้างๆเธอ

   ฟินส่ายหน้า “ของภีมน่ะ ยืมมาใช้”

   “กีต้าร์สวยดีนะ” เธอเอ่ยชม

   “ฉันก็ว่าสวยเหมือนกัน” ฟินยิ้มบางๆ แล้ววางกีต้าร์ลงบนตัก เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมแล้ว

   ทิชามองผู้ชายข้างๆอย่างเขินอาย เขาดูดีไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม “เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”

   ฟินเริ่มเล่น จากนั้นพอถึงช่วงเนื้อเพลง ทิชาก็ร้องออกมา เสียงของเธอไพเราะ สดใส อยู่ไม่น้อย และที่สำคัญ มันเข้ากับทำนองเพลงเป็นอย่างดี

   เมื่อเพลงจบทั้งคู่ก็มองหน้ากัน แต่มองกันคนละความหมาย ฟินมองเพื่อถามความเห็น ส่วนทิชามองเพราะอยากมอง

   “ทิชาร้องเพลงเพราะมาก ฟังแล้วเคลิ้มเลย” ฟินพูดชมออกมา ทิชาเขินจนหน้าแดงปลั่ง ฟินเริ่มรับรู้ปฏิกิริยาดังกล่าว ไม่ใช่ว่าเขาจะดูไม่ออกว่าเธอคิดอย่างไร

   “ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเข้ากันได้ดีขนาดนี้ รอบแรกแท้ๆ” ทิชาพูดบ้าง

   ฟินเพียงพยักหน้ารับเบาๆ แล้วตีหน้าเรียบเฉย เขาต้องระมัดระวังการแสดงออกกับเธอให้มากกว่านี้ เพราะไม่อยากให้เรื่องยุ่งยากตามมาทีหลัง

   “ซ้อมอีกสองรอบก็แล้วกัน” ฟินพูดแล้วเริ่มเล่น

   เมื่อซ้อมจนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว ฟินก็ขอตัวกลับทันที แม้ว่าทิชาจะชวนเขาไปทานข้าวเย็นต่อก็ตาม

   แล้วคำพูดสุดท้ายที่ทิชาได้ยินจากปากของฟินก็คือ “ขอโทษ”

   เธอจะทำอะไรได้ นอกจากยอมรับและตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร”

   วันประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย

   ดาวและเดือนคณะทั้งยี่สิบหกคนมารวมตัวกันที่อาคารรับรองหลังหอประชุมใหญ่ เพื่อเตรียมตัว ทุกคนใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกันหมด

   ส่วนนักศึกษาปีหนึ่งคนอื่นๆก็ต้องลงทะเบียนหน้าหอประชุมเพื่อเป็นหลักฐานว่าเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ หอประชุมที่มีขนาดใหญ่กลับดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อบรรดานักศึกษาว่าหนึ่งพันคนนั่งลงตามที่นั่งของคณะตัวเอง

   ก่อนจะเริ่มการประกวด ได้มีการเปิดวิดีโอแนะนำดาวเดือนของแต่ละคณะให้ทุกคนในหอประชุมได้ดู ต่างคนก็ต่างมีคนที่ชอบอยู่ในใจ แต่คู่ที่ดูจะเป็นที่สนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ภีมและเบสท์จากคณะดุริยางคศาสตร์

   หลังจากวิดีโอจบลง ดาวเดือนทั้งยี่สิบหกคนจากสิบสามคณะก็ออกมาเดินอวดโฉมบนเวที เสียงร้องเชียร์ดังลั่นสนั่นไปทั้งหอประชุม หลังจากนั้นเป็นช่วงของการแสดงของดาวเดือนแต่ละคณะ บางคู่แสดงมายากล บ้างก็สาธิตการทดลองทางวิทยาศาสตร์ บ้างก็เล่นดนตรี มีหลากหลายต่างกันไป เมื่อแสดงครบทุกคู่แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงของการตอบคำถามและแนะนำตัวเองเพิ่มเติม

   ซึ่งทุกคู่ต่างก็ทำได้ดี จนทำเอาคณะกรรมการหนักใจ

   “เราชนะชัวร์” เบสท์กระซิบกับภีมแล้วหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข แต่ภีมกลับไม่คิดอย่างนั้น “ฉันว่าเธอได้เป็นดาว แต่ฉันคงไม่ใช่เดือนแน่นอน”

   “ทำไมล่ะ” เบสท์หยุดหัวเราะพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

   “ไม่รู้สิ ฉันว่ามีคนที่เหนือกว่าฉันอยู่ แล้วเขาก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ด้วย” ภีมพูดแค่นั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเลย แม้ว่าเบสท์จะเพียรถามซ้ำๆว่าคนที่เหมาะสมคนนั้นคือใคร แต่ภีมก็ไม่ยอมบอก

   เมื่อรวบรวมคะแนนจากคณะกรรมการและคะแนนโหวตจากผู้ชมแล้ว ผู้เข้าประกวดทั้งยี่สิบหกคนก็เดินออกไปโชว์ตัวเรียกเสียงกรี๊ดกันอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะหยุดยืนรวมกันที่กลางเวที

   พิธีกรชายหญิงที่อยู่ริมเวทีเริ่มพูด “รายชื่อของดาวและเดือนในปีนี้อยู่ในมือของดิฉันแล้วนะคะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคนที่ทุกท่านคิดอยู่หรือเปล่า”

   “เอาล่ะครับ เรามาประกาศรายชื่อดาวที่ชนะเลิศกันดีกว่านะครับ”

   “และดาวมหาวิทยาลัยในปีนี้ได้แก่” พิธีกรหญิงเว้นจังหวะเพื่อความระทึกของผู้ชมก่อนจะกล่าวต่อ “นางสาวบัณทิตา เลิศเกียรติสกุลชัย จากคณะดุริยางคศาสตร์ค่ะ” สิ้นเสียงประกาศก็ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องอย่างดีใจของบรรดาผู้ชม

   เบสท์ก้าวออกมาข้างหน้าห้าก้าวและยืนรอผลการประกาศต่อไป

   “และเดือนที่จะมาคู่กับดาวในปีนี้ได้แก่” พิธีกรชายพูด “นายอชิตะ ก้องกิตติกุล จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ครับ” เสียงปรบมือและเสียงกู่ร้องดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

   ภีมยิ้มบางๆ เขารู้อยู่แล้วว่าฟินต้องได้รับตำแหน่งนี้ ก็เพราะเขาเหมาะสมที่สุดน่ะสิ

   ฟินก้าวมายืนเคียงคู่กับเบสท์ วินาทีนั้นทิชาแทบอยากจะปล่อยโฮออกมา ทำไมคนที่ยืนตรงนั้นกับฟิน ไม่ใช่เธอ...

   “เดี๋ยวก่อนครับ เรายังมีรางวัลป๊อบปูล่าโหวตอีกครับ”

   “และปีนี้นะคะ เรามีผู้ที่ได้รับรางวัลถึงสองคนค่ะ”

   คำประกาศของพิธีกรเรียกความฮือฮาจากผู้ชมในห้องส่ง รางวัลนี้เป็นรางวัลจากการโหวตของนักศึกษาปีหนึ่งทั้งหมด

   “และผู้ที่ได้รับรางวัลนี้ได้แก่ นายอชิตะ ก้องกิตติกุลและนายภีม พิริยะ”

   ภีมดูจะงงๆกับคำประกาศนั้น เมื่อตั้งสติได้จึงเดินออกออกไปยืนข้างๆกับเบสท์ “งงอิ๋บอ๋าย พลาดโน่นแต่ได้นี่” ภีมกระซิบเบาๆแต่ได้ยินกันทั้งสามคน

   “ใครจะไปเหมือนฟิน เอามาตั้งสองรางวัล ไม่แบ่งใคร” เบสท์พูดตอบอย่างขบขัน

   “เรายืนอยู่กลางเวทีนะ มีคนมองอยู่ ทำตัวให้สมกับรางวัลที่ได้หน่อยสิ” ฟินเอ่ยเสียงเรียบ ทำเอาคนอารมณ์ดีทั้งสองคนหุบปากเงียบ ไม่พูดอะไรอีกเลย

   หลังจากมอบรางวัลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็ต้องยืนโพสต์ท่าให้ช่างภาพมืออาชีพและมือสมัครเล่นได้เก็บภาพ กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจก็กินเวลามาถึงช่วงเย็น

   ฟินและเบสท์ถือถ้วยรางวัลถ่ายรูปคู่กัน โดยภีมเป็นคนถ่าย เมื่อภีมหันมาเห็นทิชาจึงเรียกเข้าไปถ่ายด้วย แต่เธอปฏิเสธ ภีมจึงต้องใช้วิธีขู่บังคับจนเธอต้องยอม

   “ทิชาไปยืนข้างๆฟินสิ” ภีมบอก ทิชาทำตามเพราะเธอก็ไม่อยากยืนข้างเบสท์อยู่แล้ว

   “เอาล่ะนะ หนึ่ง สอง สาม” ภีมกดชัตเตอร์รัวสองครั้ง “คราวนี้ชูถ้วยขึ้นสูงๆซิ”

   ฟินและเบสท์ทำตามที่ภีมบอกอย่างร่าเริง ทิชาปลีกตัวออกมายืนมอง ฟินร่าเริงเมื่ออยู่กับสองคนนี้ แต่เวลาอยู่กับเธอ... เขาจะเป็นอีกคนหนึ่ง

   “ทิชากลับก่อนนะ คุณแม่มารับแล้ว” ทิชาฝืนยิ้มออกมาแล้วสบตากับฟิน ฟินจ้องตอบ ในดวงตาเขามีแต่ความว่างเปล่า แต่ถึงอย่างนั้น ทิชาก็รู้สึกดีกับมันไม่น้อย

   “กลับดีดีนะทิชา วันนี้เธอสวยมากเลย” เบสท์เอ่ยออกมา แต่ทิชาเพียงผงกศีรษะให้เท่านั้นแล้วก็เดินจากไปทันที

   “ทิชาเป็นอะไรไปหรือเปล่าฟิน” เบสท์หันมาถามฟินด้วยแววตาเป็นกังวล

   “เป็น แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร” ฟินตอบ เขารู้ว่าทิชากำลังน้อยใจในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องเขาแล้วก็เรื่องตำแหน่งในวันนี้
 
   “เสียดายที่อินไม่ได้มาด้วย” เบสท์บ่นขึ้นเรียกความสนใจ

   “ช่างเถอะน่า อินมีงานต้องทำนี่นา” ภีมปลอบไปขำไป “อีกอย่างถ้าอินมาต้องขำเธอแน่ๆ เพราะยัยทอมอย่างเธอดันได้เป็นดาวมหาลัย”

   “ภีมนี่ปากไม่ดีเลย” ฟินพูดเรียบๆ

   “กล้าว่าฉันเหรอวะ” ภีมตวาดย่างไม่จริงจัง

   “ก็นายมันปากไม่ดีจริงๆนี่ ฟินพูดถูกแล้วล่ะ” เบสท์เข้าข้างฟินไปด้วยอีกคน

   ภีมจึงได้แต่ทำหน้ามุ้ย บ่นอุบอิบอยู่คนเดียว




 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 33 – การแข่งขัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: เฉาก๊วย ที่ 01-10-2011 02:14:45
คนเขียนจะหนีไปพักร้อนที่ไหนหรือเปล่าคะ ลงเรื่องวันนี้เยอะมาก คนอ่านอ่านไม่ไหวแล้วจ้า
ขอลาไปเฝ้าพระอินทร์แล้วนะคะ  :t3:

อ้อ...ตอนนี้อ่านถึงตอนที่มีเรื่องกับพวกนักเลงที่หัวหินค่ะ ขอบอกว่าพออ่านจบแล้วไม่ได้รู้สึกว่าภีมเท่อะไรเลย
เป็นแค่เด็กม.ปลาย ทำไปมีเรื่องกับผู้ใหญ่ ชิชะ
อ่านแล้วเราโกรธภีมมากเลยอะ นิสัยไม่ฟังใครแบบนี้สักวันคงได้เจอของจริงแน่..จริงๆ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 33 – การแข่งขัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 01-10-2011 02:35:13
คุณ zusuki จัดชุดใหญ่มาก ๆ คนอ่านไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียว

ฟิน กะ ภีม....  Cute อ่ะ!     (http://s269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/03/grey-cat-017.gif)


อ้างถึง
“ผมโดนปล้ำครับ ช่วยด้วยๆๆ” เสียงร้องที่ฟังดูแล้วคล้ายเสียงตะโกนอย่างขาดสติ

น้องติณณ์ฮาอย่างแรง ถ้าเป็นเค้านะ แล้วได้แซนวิชกับน้องฟินและน้องภีม....

แอร๊ยส์.....  สวรรค์ของเจ้     (http://i269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/01/yoyo-emoticon-2-022.gif)


ส่วนเรื่องนักเลงอ่ะ... น่าจับนายภีมมาตีก้นนัก     (http://i269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/01/yoyo-emoticon-1-061.gif)

(http://i269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/01/yoyo-emoticon-2-009.gif)     ทำอะไรไม่รู้จักคิด แล้วมีนึกถึงหัวอกของฟินบ้างรึเปล่า ถ้าเป็นอะไรไป น้องฟินจะทำยังไง   


ชอบเบสท์จัง รออ่านตอนที่ภีมลากนายติณณ์ตัวดีมาศิโรราบแทบเท้าหนูเบสท์


อยากฟังเพลงที่ภีมดวลกับเบสท์อ่ะ แค่อ่านที่บรรยาย ก็รู้สึกว่ามันจะต้องสึโค่ยมาก ๆ


หวั่น ๆ ว่าหนูทิชาจะต้องนำความเท๊าฮิ๊งเวียนเฮ่ดมาสู่คู่เอกเราแน่ ๆ ขึ้อิจฉาเสียขนาดนั้น


ขอบคุณคนแต่งมาก ๆ ฮะ สำหรับการอัพฯ โบนันซ่าครั้งนี้


หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 33 – การแข่งขัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 01-10-2011 13:27:30
คนเขียนจัดเต็มมาก
และแน่นอนว่าคนอ่านก็ชอบมากกกกก *-*

ยัยทิชานี่จะมาทำให้เรื่องราววุ่นวายอีกมั้ยเนี่ย
แค่คุณพ่อคนเดียวก็วุ่นพอละ
อย่ามาอีกเลยนะ

หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 33 – การแข่งขัน /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 01-10-2011 13:35:43
ภีมเท่มากอ่ะ

น่ารักสุด ๆ

 o13 :haun4:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 34 – Freshy # 1 /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 22:41:37

บทที่ 34 – Freshy # 1



   เมื่อการประกวดดาวเดือนผ่านพ้นไป ก็เข้าสู่ช่วงเริ่มการเรียนการสอน ในปีแรกของการเรียน นักศึกษาทุกคนต้องเรียนวิชาพื้นฐานที่หลักสูตรกำหนดมาควบคู่ไปกับวิชาเอกของตัวเอง
   ฟินและภีมได้เรียนด้วยกันเพียงวิชาเดียว นั่นคือ คอมพิวเตอร์ วิชาพื้นฐานอื่นๆก็แตกต่างกันไป ฟินจะเรียนวิชาจิตวิทยาและวิชาการเรียนรู้สารสนเทศซึ่งเป็นวิชาพื้นฐานบังคับ ส่วนภีมจะเรียนวิชานันทนาการและประวัติศาสตร์ไทย
   แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็ยังมีเวลาอยู่ด้วยกันล้นเหลือเช่นเดิม เพราะภีมแทบจะย้ายตัวเองไปอยู่กับฟินอยู่แล้ว เหตุผลสำคัญที่ภีมทำอย่างนั้นก็เพราะ ใกล้มหาวิทยาลัย ภีมสามารถตื่นสายได้และเหตุผลอีกข้อหนึ่งคือ ให้ฟินช่วยทำรายงาน
   “รายงานของฉัน เสร็จแล้วใช่มั้ย” ภีมเดินหาวออกมาจากห้องนอน ในขณะที่ฟินนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์รายงานให้กับภีม เกือบตีสองแล้วแต่ฟินยังไม่ได้นอน
   “ใกล้แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ทำเอง” ฟินบ่นไปพิมพ์ไป
   “ใครจะไปทำได้ล่ะ งานแรกก็เจองานหินซะแล้ว อาจารย์นี่ท่าจะบ้า เทอมแรกแท้ๆให้วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ไทย เด็กปีหนึ่งนะเว้ย... ไม่ใช่นักศึกษาปริญญาโท” ภีมนึกแล้วก็โมโหที่อาจารย์ประจำวิชาให้งานยากๆแบบนี้กับนักศึกษาปีหนึ่ง
   “ก็เลยเอามาโยนให้ฉันสินะ” ฟินพูดเรียบๆก่อนจะหยุดเคาะแป้นพิมพ์ จากนั้นก็หยิบแว่นตามาใส่ อยู่หน้าคอมพ์นานๆก็เริ่มปวดตาขึ้นมา...
   “จะตีสองแล้ว เร่งมือเข้าสิ” ภีมมองฟินตาปรือ เขาง่วงเต็มทีแล้ว
   “แล้วใครใช้ให้มาปั่นก่อนส่งแบบนี้เล่า” ฟินถามแล้วหันมองภีมอย่างขุ่นเคือง คนที่ไม่ค่อยจะโมโหใครอย่างเขา ชักเริ่มโมโหภีมนิดๆ “แทนที่จะบอกกันแต่เนิ่นๆ มาบอกเอาวันนี้ โชคดีที่ฉันยังไม่มีงาน ไม่งั้น...”
   “ครับๆ ขอโทษครับ ทีหลังจะบอกแต่เนิ่นๆเลย” ภีมแกล้งยกมือไหว้จนสูงท่วมหัว
   “ไม่มีทีหลังแล้ว ครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งต่อไปก็หัดทำเอง” ฟินบอกเสียงเข้ม
   “รู้แล้วน่า ทีหลังจะทำเอง”
   ฟินไม่เชื่อคำพูดของภีมเลยสักนิดเดียว กระทั่งยังรู้ด้วยว่าภีมพูดไปอย่างนั้น พอถึงเวลาเข้าจริงๆก็จะวานให้เขาช่วยทำรายงานให้อีก
   แล้วเวลานั้นก็มาถึงจริงๆ หลังจากส่งรายงานวิชาประวิติศาสตร์ไปแล้วราวๆหนึ่งเดือน รายงานวิชาคอมพิวเตอร์ของภีมก็มากองรวมกันอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์อีกจนได้
   “ภีม” ฟินเรียกเสียงดัง ภีมรีบวิ่งออกมาจากห้องแทบไม่ทัน
   “กลับมาแล้วเหรอ เป็นไง... วิชาเอกหนุกมั้ย” ภีมแกล้งพูดเรื่องอื่น วันนี้ภีมกลับก่อนฟินเพราะฟินต้องอยู่เรียนวิชาเอกต่อจนเย็น
   “ไม่ต้องมาเฉไฉ รู้อยู่แก่ใจว่าฉันกำลังจะพูดเรื่องอะไร” ฟินปาดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก ใบหน้าของเขาอิดโรยไปมากเพราะวิชาพันธุศาสตร์ทำพิษ
   ภีมยังทำไม่รู้เรื่อง ลอยหน้าลอยตา ยั่วโมโหคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า
   ฟินพยายามอดทน วันนี้เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว “กลับมาก่อนทำไมไม่มานั่งทำรายงาน”
   ภีมพ่นลมหายใจออกแรงๆแล้วกล่าวว่า “ชี้เกียจ ง่วงนอนมากกว่า ก็เลยไปนอน”
   “มานั่งทำรายงานซะ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม” ฟินพูดอย่างใจเย็น ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายกันแน่ที่ภีมมาอยู่ด้วย เพราะตอนนี้ภีมเหมือนกับคนที่ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว กระทั่งเขียนหนังสือก็แทบจะลืมเลือนไปแล้ว วันๆเอาแต่เล่นดนตรี วิชาพื้นฐานอื่นๆก็ไม่สนใจ โดดเรียนมันท่าเดียว
   ตัวเองโดดคนเดียวยังไม่พอ ยังชวนเพื่อนคนอื่นโดดอีกต่างหาก
   “สองอาทิตย์ที่ผ่านมาโดดเรียนตลอดเลยใช่มั้ย” ฟินถาม
   ภีมสงสัยว่าฟินรู้ได้อย่างไร
   “ฉันรู้แล้วกัน อย่าทำเหมือนตอนมัธยมได้มั้ยภีม ฉันเป็นห่วงนายจริงๆ ทำไมไม่เริ่มต้นใหม่ล่ะ เริ่มทำในสิ่งที่นายเคยหนีมันมาตลอด” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน
   ถ้าเป็นเมื่อก่อนภีมคงโมโหไปแล้ว แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงความห่วงใยและหวังดีที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น
   “ไม่ไหวจริงๆ เรียนไม่รู้เรื่อง” ภีมส่ายหน้าเบาๆอย่างอ่อนใจ ภีมไม่ชอบทำอะไรฝืนความรู้สึกตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
   “นายเป็นคนหัวดีมากๆนะ อย่าเอาคำว่าไม่ไหวมาอ้าง” ฟินพูดพลางเช็ดเหงื่ออีกครั้งหนึ่ง “ไม่ใช่ว่าไม่ไหว แต่นายไม่สนใจต่างหาก”
   “ก็ไม่รู้ล่ะ โดดไปแล้วนี่ ครบสามครั้งแล้วด้วย” ภีมสารภาพออกมา
   ฟินอยากจะล้มตัวลงนอนบนพื้นมันเดี๋ยวนั้น ให้เหงื่อไหลออกมาให้หมดตัวเสียเลย “ยังไม่ได้สอบมิดเทอมก็ขาดครบสามครั้งแล้วเหรอเนี่ย”
   ฟินเริ่มเป็นห่วงในสวัสดิภาพในการจบของภีมตั้งแต่ต้นเทอม รวมไปถึงตัวเองด้วย ขืนยังเป็นแบบนี้อีกต่อไป ไม่ภีมก็เขาต้องกระเด็นออกจากมหาวิทยาลัยไปข้างหนึ่งอย่างแน่นอน
   “ทำรายงานให้เสร็จ พรุ่งนี้ต้องส่งแล้ว” ฟินบอกพลางนั่งลงบนพื้นแล้วรื้อกระเป๋าหยิบเอารายงานของตนที่ทำเสร็จแล้วส่งให้ภีม “เอาไปดูเป็นตัวอย่าง ลอกได้... แต่ต้องลอกอย่างมีชั้นเชิงด้วยนะ ไม่ใช่สักแต่ว่าลอกอย่างเดียว”
   ภีมรับมาแล้ววางไว้กับกองรายงานของเขาที่ยังทำไม่เสร็จ “ขอบใจ แล้วนายจะทำอะไรต่อล่ะ”
   ฟินชูสมุดเลกเชอร์ให้ภีมดู “อ่านหนังสือ วันนี้เรียนไม่รู้เรื่องเลยแต่ยังโชคดีที่จดทัน ไม่งั้น... ตายแน่” ฟินพูดพลางนึกถึงคาบเรียนที่ผ่านมา วิชาพันธุศาสตร์ยากจริงๆ
   “ขนาดนั้นเลยเหรอ ของฉันไม่เห็นมีไรต้องเรียนเลย อาทิตย์นึงมีเรียนแค่ช่วงเช้าเอง” ภีมไม่เห็นว่าวิชาที่ตัวเองเรียนอยู่จะสาหัสเท่าของฟินเลย วันๆมีแต่เล่นดนตรี เรียนทฤษฎีพื้นฐานของดนตรี ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาที่ภีมถนัดแทบทั้งสิ้น ยกเว้นอย่างเดียว วิชาพื้นฐานที่แสนน่าเบื่อ
   เวลาผ่านไป จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสอบมิดเทอมของภาคเรียนที่ 1 ผลจากการเพียรพยายามมาตลอดสองเดือนก็ทำให้ฟินมีคะแนนสอบที่สูงลิ่วกว่าใครในคณะ ส่วนภีมก็ไม่น้อยหน้า แม้วิชาพื้นฐานจะร่อแร่แต่ก็ยังมีวิชาเอกที่ทำคะแนนได้ดี

   “ฟิน อธิบายเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยสิ” ทิชายื่นหน้าเข้ามาใกล้ฟินพลางไสสมุดเลกเชอร์ของตัวเองไปอยู่ตรงหน้าเขา
   ทุกคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันกับทั้งสองต่างก็ยิ้มไปตามๆกัน “เฮ้ย...ฟิน อธิบายข้อนี้ให้ฟังบ้างดิวะ อธิบายให้แต่ทิชาคนเดียวเลย” ม๊อก เพื่อนที่สนิทที่สุดของฟินแกล้งแซวขึ้น
   “ฉันก็อธิบายให้ฟังทุกคนนั่นล่ะ ไม่ได้ใส่ใจกับใครเป็นพิเศษ” ฟินพูดเรียบๆ แต่นั่นกลับทำให้ทิชาหน้าเสียไป เธอรู้สึกสะเทือนใจกับคำพูดนั้น
   ฟินหันกลับมาหาทิชา “เรื่องนี้ใช่มั้ย”
   ทิชาพยักหน้ารับ “อืมม์ ชนิดของไวรัสที่มีอยู่ในโคเนื้อ”
   ฟินอธิบายเรื่องดังกล่าวด้วยความชัดถ้อยชัดคำเพราะตัวเขาเองนั้น เข้าใจแตกฉานแล้ว ระหว่างที่ฟินอธิบายอยู่นั้น ทิชาก็เอาแต่ลอบมองใบหน้าของเขา ไม่ค่อยได้ฟังสิ่งที่ฟินพูดออกมาเท่าไรนัก
   “แต่ถ้าเป็นไวรัสชนิดนี้ จะทำให้โคเกิดความผิดปรกติทางพันธุกรรมได้แล้วถ้าเชื้อนี้เกิดขึ้นตอนที่โคกำลังตั้งท้อง ลูกของมันก็จะได้รับเชื้อไปด้วย มันอาจจะมีรูปร่างผิดปกติ”
   “เข้าใจแล้ว” ทิชาพูดเบาๆแล้วลุกเดินออกจากโต๊ะไป
   “ทิชาไปไหนวะ” ม๊อกขมวดคิ้วอย่างงุนงง “เมื่อกี้ยังยิ้มแย้มอยู่เลย”
   ฟินส่ายหน้าแทนคำตอบแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อไป
   ภาคแรกของการศึกษากำลังจะผ่านพ้นไป คงไม่มีใครปฏิเสธคำกล่าวที่ว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เพียงชั่วอึดใจเดียวก็สอบปลายภาคแล้ว
   หนึ่งสัปดาห์ก่อนการสอบ ฟินเอาแต่หมกตัวอยู่ในคอนโดแล้วอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว ส่วนภีมก็เอาแต่นั่งเล่นกีต้าร์และร้องเพลงอย่างมีความสุข
   แม้ว่าฟินจะหนวกหูกับเสียงดนตรีของภีมจนขาดสมาธิในการอ่านหนังสือแต่เขาก็ไม่อยากออกปากว่าอะไร เพราะนั่นคือความสุขของภีม แต่ยิ่งนานเข้า ภีมก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความดังจนฟินต้องหยิบเอาสำลีมาอุดหู
   แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก
   “ภีม เบาๆหน่อยได้ไหม ฉันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย” ฟินพูดเสียงอ่อน
   ภีมทำหน้าเหรอหรา “ไม่เห็นจะเสียงดังตรงไหนเลย” ว่าแล้วก็เล่นต่อไป
   ฟินถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วขนหนังสือเดินเข้าห้องนอนไป ภีมยิ้มบางๆอย่างได้ใจ สิ่งที่ภีมเห็นแล้วหงุดหงิดลูกตาเป็นที่สุดคือการเห็นคนฉลาดตั้งใจเรียนหนังสือ
   ตกเย็นของวันนั้น ฟินเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าอิดโรย ร่างสูงเดินตรงเข้าไปในห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นหยิบไข่ไก่ออกมาสามใบ
   เขาจะทำไข่เจียว...
   ภีมเดินเข้ามา คิดว่าเผื่อช่วยอะไรได้บ้าง แต่ฟินกลับบอกว่าให้ไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
   ครู่หนึ่งผ่านไป ฟินก็ถือจานข้าวออกมาสองจาน ตามด้วยไข่เจียว
   ภีมนั่งมองอาหารบนโต๊ะตาปริบๆ ฟินเหล่ตามองแล้วยิ้มออกมา “ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลยนอกจากไข่ กินไปก่อนละกันนะ”
   “ไม่มีปัญหา ฉันน่ะ... กินง่ายอยู่ง่าย” ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่ใบหน้ากลับรันทดอย่างยิ่ง
   “ไว้สอบเสร็จค่อยไปซื้อของมาเข้าตู้แล้วกันนะ” ฟินยิ้ม
   “เออ... ก็ดี หวังว่าคงสอบเสร็จไวๆ” ภีมถลึงตาแล้วลงมือกินข้าวด้วยความสุข
   ฟินยิ้มบางๆ อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ภีมได้จากการอยู่กับเขาคือการรู้จักที่จะยอมคน
   หลังจากสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่งผ่านพ้นไปแล้วจะเป็นช่วงปิดภาคเรียนระยะสั้นสามสัปดาห์
   สิ่งแรกที่ทั้งคู่ทำด้วยกันคือการไปซื้อของเข้าตู้เย็น ฟินพาภีมไปที่ฟู้ดแลนด์ที่อยู่ใกล้คอนโด เมื่อซื้อเสร็จแล้วฟินก็นำมาจัดวางใส่ตู้เย็นจนเป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่ภีมเอาแต่บ่นว่าเหนื่อย
   “พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วนะ นายอยู่คนเดียวได้มั้ย” ฟินถามขึ้น
   “ที่โรงเรียนกวดวิชานั่นน่ะเหรอ นึกว่าเลิกทำไปแล้วซะอีก”
   “ก็ว่าจะเลิกอยู่ แต่เดี๋ยวไม่มีข้ออ้างบอกพ่อกับแม่ เรื่องที่ไม่ยอมกลับบ้าน”
   ภีมหัวเราะออกมา “นึกว่าอะไร”
   ฟินทำหน้ามุ้ย “มันน่าขำตรงไหน ฉันเครียดจะแย่”
   “ไม่เห็นมีอะไรต้องเครียดเลย”
   “ใครจะไปเหมือนนายล่ะ”
   ฟินไปทำงานหกวัน หยุดวันอาทิตย์วันเดียว ส่วนภีม... ตอนที่ฟินไม่อยู่ก็เอาแต่เล่นเกมและออกไปดูหนัง วันดีคืนดี ติณณ์ก็มาอยู่ด้วย อ้างว่าขี้เกียจอยู่บ้าน
   ยิ่งไปกว่านั้น เบสท์ก็ขอมาอยู่ด้วยอีกคน จนคอนโดของฟินไม่ต่างอะไรไปจากสถานสงเคราะห์ผู้ไม่อยากอยู่บ้าน แล้วเรื่องวุ่นๆก็เกิดขึ้นในวันนี้
   เมื่อเบสท์ได้พบกับติณณ์...
   “สวยขึ้นนะพี่ ว่าแต่เปลี่ยนไวโอลินหรือยังครับ” ติณณ์พูดยียวนไปเรื่อยตามนิสัย
   เบสท์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้
   ติณณ์เห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซว “แหม ทำหน้าอย่างกับยักษ์เชียว” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปหยิกแก้มขาวๆของเบสท์
   “น้อยๆหน่อยติณณ์ แกเล่นไม่ดูเลยนะ” ภีมปรามเข้าให้
   เบสท์กำมือแน่นหมายจะชกคนปากดี หน้าตายียวนให้หายแค้นสักหน่อย แล้วเธอก็ทำอย่างที่คิดจริงๆ
   “อุ๊บส์” ติณณ์กุมท้องแน่นแล้ววิ่งไปหาภีมเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ภีมไม่สนใจเพราะกำลังเล่นเกมอยู่
   เบสท์ไม่รอช้า เธอเดินดุ่มๆไปลากคอเสื้อของติณณ์ออกมา “ปีก่อน แกว่าไวโอลินของฉัน”
   “ขอโทษครับ” ติณณ์ยกมือไหว้ ไม่ใช่ว่าเขากลัวหรอกนะ เพียงแต่ไม่อยากทำร้ายผู้หญิงก็เท่านั้นเอง
   “ไอ้เด็กบ้า ฉันขอต่อยแกอีกสักครั้งเถอะ” เบสท์ปล่อยหมัดออกไป ติณณ์หลับตาปี๋ด้วยความกลัว ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะมายอมแพ้ให้ผู้หญิงคนหนึ่ง
   “เลิกไร้สาระกันได้แล้ว” ฟินกุมกำปั้นของเบสท์ไว้แน่น “ติณณ์มันก็บ้าบอไปอย่างนั้นล่ะ ไม่มีพิษมีภัยอะไร”
   เบสท์มองฟินอย่างงงๆ ก่อนจะปล่อยมือออกจากติณณ์ “เออ ไม่ถือสาคนบ้าก็ได้ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
   “เมื่อกี้นี้เอง แล้วคอนโดฉันกลายเป็นสถานสงเคราะห์ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ฟินพูดยิ้มๆ แล้วเดินมานั่งที่โซฟา แล้วกวาดสายตาไปรอบๆห้องที่เต็มไปด้วยเศษขยะและสิ่งของต่างๆที่ถูกรื้อออกมาแล้วไม่มีใครเก็บเข้าที่ “รกสุดๆ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็ลงมือทำความสะอาดห้อง
   ไม่ใช่คนทำสกปรกแท้ๆแต่กลับต้องมาจัดการให้เกิดความเรียบร้อย
   นับว่าติณณ์และเบสท์ยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง จึงช่วยฟินเก็บข้าวของ แต่ภีมนี่สิ... กลับนั่งเล่นเกมอย่างเมามันส์ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   แล้วเรื่องยุ่งๆที่เกิดขึ้นในวันที่ฟินออกไปทำงานยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้...
   ติณณ์มาที่คอนโดของฟินแต่เช้า ตามมาด้วยเบสท์ ทั้งคู่ต่างก็ซื้อของติดไม้ติดมือมามาคนละสองสามอย่าง
   “ซื้อไรมาวะติณณ์” ภีมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกม
   “ขนมถุงอ่ะพี่” ติณณ์พูดแล้วเหล่ตามองถุงขนมของเบสท์ที่มีทั้งขนมปัง ขนมเค้ก และของหวานอีกหลายอย่าง “แต่ของพี่เบสท์นี่สิ... น่ากินชะมัด”
   เบสท์หรี่ตามองติณณ์แล้วหยิบถุงขนมของตัวเองไปไว้ที่อื่น “ฉันไม่ให้กินหรอกย่ะ ไอ้เด็กบ้า”
   ติณณ์หัวเราะแหะๆ ด้วยความอยากกินขนมจึงลงทุนเอ่ยปากงอนง้อเบสท์ “โธ่พี่ครับ ยกโทษให้ผมเถอะนะ อย่าโกรธผมเลย ผมมันก็ปากไม่ค่อยดีไปงั้นล่ะ แค่ความจริงแล้ว... ผมเป็นคนที่น่ารักมากเลยนะครับ”
   เบสท์เบ้ปากแล้วทำท่าอาเจียน “แกเนี่ยนะ.... น่ารัก มองตรงไหนก็ยังไม่เห็นเลยสักนิดเดียว”
   “พี่ก็ตั้งใจมองสิครับ” ติณณ์ว่าพลางทำตาปริบๆ
   เบสท์ชักรำคาญจึงโยนถุงขนมให้ติณณ์ไป แล้วเดินไปเล่นเกมกับภีม
   ครู่หนึ่งต่อจากนั้น เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ทุกคนต่างก็สงสัยว่าใครมา แล้วดวงตาทั้งสามคู่ก็จับจ้องไปที่ประตู
   “ติณณ์ ไปเปิดซิ” ภีมบอกติณณ์ที่ยืนอยู่ใกล้ประตูมากที่สุด
   ไม่ใช่ใคร... นทีและอาภานั่นเอง
   คนแรกที่สะดุ้งสุดตัวคือภีม เพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวเช่นไร
   “ใครเหรอภีม” เบสท์ถามเบาๆ
   “พ่อกับแม่ฟินน่ะ” ภีมตอบเบาๆ หน้าถอดสีไปเรียบร้อยแล้ว
   ส่วนนทีก็ใช้สายตาอันเฉียบคมจ้องมองภีมอย่างเดียว บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความกดดันและอึดอัด ทุกคนในห้องอึดอัดไปตามๆกันโดยที่ไม่มีสาเหตุ
   “ฟินไปทำงานเหรอจ๊ะหนูๆ” อาภาเป็นคนพูดทำลายความเงียบ และนั่นทำให้ภีม เบสท์และติณณ์ รีบยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง
   “ครับผม” ภีมตอบเบาๆ แล้วหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับเบสท์ ตอนแรกเบสท์ไม่ยอมแต่พอภีมสัญญาว่าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง เธอก็ตกลงทันที
   “แนะนำตัวให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยสิจ๊ะ” อาภาพาสามีเดินไปนั่งที่โซฟา
   ติณณ์เป็นคนพูดก่อน “ผมติณณ์ครับ เป็นรุ่นน้องของพี่ฟินกับพี่ภีมครับ สนิทกันมากเลย”
   อาภายิ้มหวานแล้วเลื่อนสายตามาที่เบสท์ ส่วนนทีก็เอาแต่มองภีมอย่างเดียว ภีมพยายามทำตัวให้เป็นปรกติ เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   เบสท์ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้งแล้วยิ้มออกมาให้หวานที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้ “สวัสดีค่ะ หนูชื่อเบสท์นะคะ เป็นแฟนของฟินค่ะ”
   เมื่อเบสท์พูดจบทุกคนก็งงไปตามๆกัน ติณณ์ทำท่าจะพูดแย้งออกมาแต่ภีมหันไปขยิบตาให้ เขาจึงเงียบไป ส่วนนทีก็หันมองเบสท์อย่างงงๆ แต่ในที่สุดแล้วก็ยิ้มออกมา “คบกับฟินงั้นเหรอ” เขาพูดอย่างไม่เชื่อ แต่ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ
   สองสามีภรรยาใช้สายตาพิจารณาเบสท์ด้วยรอยยิ้ม ในความคิดของนทีนั้น ผู้หญิงคนนี้มีความเหมะสมกับลูกชายของเขามากที่สุด
   แม้ใบหน้าของเบสท์จะประดับไปด้วยรอยยิ้มแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เธอก็พอจะเดาเรื่องราวอะไรบางอย่างออกบ้างจากท่าทีของนทีที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบภีม
   “คบกันนานหรือยังล่ะ” นทีถามขึ้น
   “ตั้งแต่รับน้องน่ะค่ะ คือเบสท์กับฟินเป็นดาวเดือนคู่กัน” เบสท์ยิ้มแห้งๆ
   “ไม่เห็นฟินพูดอะไรให้พ่อฟังเลยสักอย่างเดียว พักหลังๆมานี่ชอบทำตัวมีความลับ” นทีพูดพลางถอนหายใจ “บ้านก็ไม่ยอมกลับ บอกว่ามีงานยุ่งตลอด”
   เบสท์รีบสนับสนุนคำพูดของนทีอย่างรวดเร็ว “ใช่ค่ะ  ฟินเรียนหนักมากแล้วยังต้องทำงานด้วย เยอะแยะไปหมดเลย หนูก็เลยต้องมาดูแลเขาน่ะค่ะ”
   “แล้วภีมล่ะ มาทำไม” นทีหันมาหาภีม อาภามองสามีด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีอคติกับภีมนัก ทั้งๆที่ตอนแรกก็ดูจะเข้ากันได้ดี
   “ทำไมใช้สายตาแบบนี้มองภีม” อาภากระซิบเบาๆที่ข้างหูสามี นทีไม่ตอบอะไร เขาเพียงแต่กระแอมครั้งหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ตอบมาสิ”
   ภีมเม้มริมฝีปากด้วยความกดดัน “มาเป็นเพื่อนเบสท์ครับ ผมกับเบสท์เรียนคณะเดียวกัน”
   “แล้วไป”
   อาภาหยิกแขนสามีเบาๆ “ทำไมชอบพูดจาแปลกๆกับภีมล่ะพ่อ”
   นทีไม่ตอบอีกเช่นเคย
   นทีและอาภานั่งรอจนถึงช่วงเย็น เมื่อฟินเข้ามาในห้องก็ตกใจจนหน้าถอดสี “พ่อกับแม่มาได้ไงครับ” ฟินเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงแล้วยกมือไหว้พ่อและแม่ ฟินอดไม่ได้ที่จะสบตากับภีม
   “เหนื่อยมั้ยลูก” อาภาลุกขึ้นกอดลูกชาย “แม่ซื้อของมาเยอะแยะเลย แบ่งกันกินนะจ๊ะ”
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆแล้วหันไปหานที ฟินรู้สึกได้ว่าพ่อของเขามีท่าทีแปลกไป
   “มองพ่ออย่างนั้นหมายความว่ายังไงน่ะฟิน” นทีพูดเสียงเรียบ
   “เปล่าครับ”
   ภีมสะกิดเบสท์เบาๆที่ต้นแขนก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างกับเธอ จากนั้นเบสท์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปอยู่ข้างๆฟิน “วันนี้เราต้องเป็นแฟนกันนะ เข้าใจมั้ย” เบสทท์กระซิบบอกเบาๆ ฟินจับมือเบสท์เป็นเชิงบอกว่าตกลง
   “คบกันนานหรือยัง” นทีถามขึ้น
   ฟินไม่รู้จะตอบว่าอะไร เบสท์จึงกัดฟันพูดเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน “รับน้อง”
   “รับน้องครับ” ฟินตอบออกไป พยายามทำสีหน้าให้เป็นปรกติที่สุด
   “ดีแล้ว พ่อชอบยัยหนูคนนี้นะ น่ารักดี” นทีพูดแล้วยิ้มบางๆ
   ฟินมองหน้าผู้เป็นพ่อแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ นานแค่ไหนแล้วนะ... ที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้ ฟินไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เลย มีเรื่องที่ต้องปกปิดเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
   นทีและอาภาอยู่กับฟินเพียงชั่วโมงเดียวก็กลับบ้านไป....
   “อธิบายมาให้หมดเลย” เบสท์และติณณ์ตะโกนออกมาพร้อมกัน
   ฟินและภีมนั่งคอตกอยู่ที่โซฟา ทั้งสองคนไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว
   “เล่ามาเลยนะฟินภีม” เบสท์เข้าไปนั่งข้างภีม แล้วเขย่าแขนเขาเบาๆ
   “นั่นสิครับพี่ เล่ามาให้หมดเลยนะครับ” ติณณ์นั่งลงข้างๆฟิน
   ในที่สุดแล้ว... ฟินและภีมก็ต้องช่วยกันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ติณณ์และเบสท์ฟัง เบสท์รับฟังด้วยความตั้งใจ เธอเข้าใจในสถานการณ์แบบนี้ดี มันไม่ง่ายนักหรอกที่พ่อกับแม่จะยอมรับและเข้าใจในลูกของตัวเอง
   ติณณ์ก็รู้สึกห่อเหี่ยวในใจเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด แต่ก็ยังอดพูดออกมาไม่ได้ “พี่สองคนก็นะ... ชอบทำอะไรประเจิดประเจ้ออยู่เรื่อย”
   “ก็ไอ้บ้านี่ล่ะ... คนเดียวเลย” ภีมโยนความผิดไปให้ฟิน
   ฟินแค่นหัวเราะออกมา “ก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาเห็น”
   “แล้วจะเอาไงต่อไป ถ้าเกิดวันหนึ่ง... ความลับมันแตก” เบสท์ถามขึ้น
   ฟินและภีมถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ไม่อยากจะคิดถึงวันข้างหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
   เบสท์เห็นท่าทางของคนทั้งสองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเอง แต่เบสท์โชคดีกว่ามากนักที่มีครอบครัวที่เข้าใจในตัวตนแท้จริงของเธอ เบสท์ทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ ไม่มีใครคอยจับผิดหรือหวาดระแวง
   “เอาไว้ถึงวันนั้นแล้วค่อยคิดแล้วกัน” เบสท์เป็นคนพูดประโยคนี้ออกมา
   ฟินและภีมมองหน้ากันแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
   มันต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยหรือ...
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 35 – วันเกิด /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 22:43:15

บทที่ 35 – วันเกิด


   ภาคเรียนแรกผ่านไปเข้าสู่ภาคเรียนที่สอง ฟินเรียนหนักขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่าตัว สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน ฟินต้องเรียนถึงหกวันด้วยกัน ส่วนภีมนั้นแตกต่างกับฟินอย่างสิ้นเชิง เพราะสัปดาห์หนึ่ง เขาเรียนเพียงสี่วันเท่านั้น
   “ทำไมมันเรียนเยอะอย่างนี้ก็ไม่รู้” ฟินบ่นขณะเรียงหนังสือที่ซื้อมาเข้าตู้ “วันนี้หมดเงินซื้อหนังสือไปหลายพันเลย แย่จริงๆ”
   ภีมเดินมาช่วยฟินเรียงพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วอ่านชื่อหนังสือ “อินทรีย์เคมี” จากนั้นก็รีบวางในชั้นทันที ภีมรู้สึกว่าแค่ชื่อหนังสือก็สามารถทำให้เขาหลับได้แล้ว
   “เดือนหน้ามีค่ายอาสาพัฒนาฯจะไปที่ตาก นายจะไปมั้ย” ภีมถามขึ้น
   ฟินหยุดจัดหนังสือแล้วมองหน้าภีมยิ้มๆ “แล้วอยากให้ไปหรือเปล่าล่ะ”
   ภีมแสร้งถอนหายใจยาว “แล้วแต่... ไม่ได้บังคับ บังเอิญว่าเบสท์กับฉันอยู่ชมรมนี้ก็เลยถามดู”
   “ไปสิ แต่ว่าถ้ามีค่ายของชมรมถ่ายภาพเมื่อไหร่ นายต้องไปด้วยนะ” ฟินบอก
   “เอาสิ...”      
   วันต่อมา ภีมก็ลงชื่อสมัครเข้าร่วมกิจกรรมให้ฟิน ค่ายนี้รับผู้ร่วมกิจกรรม 50 คนจากทุกชั้นปี    แต่ชั้นปีหนึ่งมีคนเข้าร่วมกิจกรรมเพียงสิบสองคนเท่านั้น ประธานชมรมจึงบอกให้หัวหน้าชั้นปีหนึ่งอย่างภีมเป็นผู้หาคนมาเข้าร่วมค่ายในครั้งนี้เพิ่มอีกแปดคน
   และสาเหตุนี่เองที่ทำให้ภีมต้องมายืนอยู่ที่หน้าหอสมุดกับเบสท์เพื่อแจกใบปลิวเชิญชวนเข้าร่วมค่ายที่ทั้งสองช่วยกันทำขึ้น
   “มันจะได้ผลเหรอภีม” เบสท์ถามเสียงยานคาง “ทำไมไม่ค่อยมีคนอยากไปค่ายนี้กันเลยนะ ไปช่วยสร้างห้องสมุดให้เด็กๆที่นั่น น่าสนุกจะตาย”
   “เขาก็คงคิดว่ามันลำบากล่ะมั้ง” ภีมพูดพลางยื่นใบปลิวให้คนที่เดินผ่าน
   “ทำไมไม่เข้าเรียน” เสียงของคนที่เพิ่งรับใบปลิวของภีมพูดขึ้น
   “อ้าวฟิน... มาทำอะไรที่ห้องสมุด” เบสท์ทักขึ้นก่อน
   ฟินมองทั้งสองคนไปมาแล้วหันไปมองเพื่อนๆที่เดินตามมาทีหลัง “อาจารย์ให้มาหาข้อมูลน่ะ กำลังจะกลับคณะพอดี” ฟินตอบแล้วถามต่อ “ทำไมไม่เข้าเรียน คาบนี้ต้องเรียนดนตรีปฏิบัติไม่ใช่เหรอ”
   ภีมทำหน้าเหยเก ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจที่ฟินจำตารางสอนของเขาได้อย่างแม่นยำ
   “ก็เล่นได้แล้ว ไม่รู้จะเรียนไปทำไม อาจารย์ก็สอนแต่เรื่องเดิมๆ” ภีมตอบแล้วเลิกคิ้วให้เบสท์เป็นเชิงว่าช่วยพูดหน่อย
   “ใช่ๆ สอนอะไรเดิมๆ เรียนมาตั้งนานแล้ว”
   ฟินส่ายหน้าเบาๆ แล้วขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจ “ไปเข้าเรียนซะ ทำอะไรให้ถูกที่ ถูกเวลาหน่อย ตอนนี้เป็นเวลาเรียน ไม่ใช่เวลามาแจกใบปลิว” น้ำเสียงของฟินค่อนข้างดุและจริงจัง พอพูดจบก็เดินไปกับเพื่อนๆในคณะ
   ภีมและเบสท์มองตามอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมฟินต้องทำหน้าโกรธขนาดนั้น
   “ทำไมต้องทำเสียงแข็งใส่ด้วยวะ” ภีมสบถเบาๆแล้วมองฟินจนลับตา ทำไมนับวันยิ่งรู้สึกว่าห่างกันไปทุกที ทั้งๆที่อยู่ด้วยกัน ยิ่งฟินอยู่ในกลุ่มเพื่อนแล้วด้วย ยิ่งรู้สึกว่าฟินเป็นที่สนใจของทุกคน โดดเด่น และสง่างาม แค่เพียงฟินหยุดคุยกับเรา ทุกคนก็หยุดรอเขา เสมือนว่าเขาเป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้
   ภีมถอนหายใจกับความรู้สึกนั้น “ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้ขี้เกียจเรียนแล้ว” ภีมเอ่ยปากชวน และแน่นอนว่าเบสท์ต้องไม่ปฏิเสธ
   ภีมพาเบสท์มาที่ร้านขนมเค้กที่อยู่ถัดจากมหาวิทยาลัยมาสองป้ายรถเมล์ ภีมอยากจะมาที่ร้านนี้หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสมาสักครั้ง วันนี้จึงกลายเป็นโอกาสดีที่ทำให้ภีมได้มาที่ร้านนี้เป็นครั้งแรก
   ทั้งคู่เลือกที่นั่งด้านในสุดของร้าน ยังไม่ทันที่เบสท์จะเปิดเมนู ภีมก็กวักมือเรียกพนักงานแล้วสั่งเอาๆลูกเดียว
   “กินหมดเหรอภีม สั่งไม่คิดเลย” เบสท์พูดเมื่อภีมสั่งจบ
   “หมดสิ ไม่หมดเธอก็ต้องช่วย” ภีมพูดแล้วมองออกไปยังริมถนนมองดูรถเมล์ที่วิ่งผ่านไปผ่านมา
   “เคืองฟินใช่มั้ย” เบสท์พูดแล้วถอนหายใจ
   ภีมไม่ตอบอะไร เบสท์จึงไม่อยากเซ้าซี้
   ส่วนฟิน เมื่อเดินกลับมายังห้องเรียนแล้วก็อดเป็นห่วงภีมและเบสท์ไม่ได้ กลัวว่าทั้งสองคนจะไม่เข้าเรียนตามที่เขาบอก
   อยากจะโทรศัพท์ไปถาม ตัวเองก็ดันไม่มีโทรศัพท์ ฟินนั่งเรียนไปได้สักพักก็ทนไม่ไหว ขออนุญาตอาจารย์ลงมาโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะข้างล่างตึกเรียน
   ฟินโทรเข้าเครื่องของภีมแต่วันนี้ภีมไม่ได้เอาโทรศัพท์มา ฟินโทรอยู่นานก็นึกขึ้นได้ เขาจึงเปลี่ยนเป็นโทรหาเบสท์แทน

   เบสท์ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วกดรับสาย “ฮัลโหล เบสท์พูด”
   “ฟินเองนะ” เบสท์ได้ยินดังนั้นก็รีบเอามืออีกข้างปิดเสียงโทรศัพท์ไว้แล้วกระซิบบอกกับภีม “ฟินโทรมาว่ะ ทำไงดี”
   ภีมยักไหล่ “ไม่เห็นต้องทำไง พูดความจริงก็จบ”
   “ได้โดนด่ากันทั้งคู่น่ะสิ” 
   “ไม่เห็นจะแคร์ บอกไปอย่างนั้นล่ะ” ภีมพูดพลางตักขนมเค้กเข้าปากแล้วเสมองไปข้างนอก
   เบสท์จึงต้องรับภาระอันหนักอึ้งนี้ “มีอะไรเหรอฟิน”
   “ทำอะไรกันอยู่น่ะ ไม่ได้เข้าเรียนใช่มั้ย” น้ำเสียงจริงจังของฟินทำให้เบสท์ไม่กล้าโกหกออกมา “อย่างนั้นล่ะ ไม่มีอารมณ์เรียนน่ะ”
   “ขอคุยกับภีมหน่อยได้มั้ย” ฟินบอก
   เบสท์ยื่นโทรศัพท์ให้ภีม แต่ภีมทำเป็นไม่สนใจ เอาแต่กินท่าเดียว “คุยกับฟินหน่อย”
   ภีมยังคงไม่สนใจ...
   เบสท์พยักหน้าอย่างอ้อนวอน สถานการณ์แบบนี้มันน่าอึดอัดจริงๆ
   ภีมก็ยังคงนิ่ง เบสท์จึงต้องบอกฟินไปว่า “ภีมไม่มีอารมณ์คุย”
   เสียงถอนหายใจดังมาตามสาย จากนั้นฟินก็วางโทรศัพท์ไป
   “ให้ฉันเป็นคนกลางแบบนี้ ไม่ดีนะ” เบสท์พูดแล้วมองหน้าภีม “ทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องล่ะ”
   ภีมวางช้อนเสียงดังแล้วจ้องหน้าเบสท์ “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าอยากจะหนีจากสภาพที่เป็นอยู่”
   “ต้องหนีอะไรอีก... ภีม” เบสท์ถามเสียงอ่อน เธอนึกไม่ออกว่านอกจากหนีความจริงที่ต้องรับมือในอนาคตแล้วยังมีเรื่องอะไรให้ภีมต้องหนีอีก
   “หนีไปให้พ้นจากฟิน”
   เบสท์ถลึงตามองภีมด้วยความตกใจ “หมายความว่ายังไง นายพูดอะไรออกมารู้ตัวมั้ย”
   ภีมไม่พูดอะไรอีก ความสับสนเกิดขึ้นในใจ อีกทั้งความรู้สึกแปลกๆที่รบกวนเขาอยู่ตอนนี้มันทำให้เขาอยากจะอยู่ห่างกับฟินสักพัก ห่างเพื่อคิดอะไรคนเดียว
   เมื่อออกมาจากร้านขนมแล้ว ภีมชวนเบสท์ไปซื้อซีดีเพลง ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ที่ร้านนั้นจนมืดค่ำ แล้วสุดท้ายภีมก็ไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย
   ภีมนั่งรถแท็กซี่ไปส่งเบสท์ที่บ้านแล้วก็นั่งกลับมาที่คอนโดของฟิน
   สามทุ่มตรง
   ภีมเปิดประตูห้องเข้าไป มันไม่ได้ล็อค และฟินก็ยืนอยู่หน้าประตู ภีมเปิดไปก็เจอเขากำลังยืนกอดอกทำหน้าเคร่งเครียดอยู่
   ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วทำท่าจะเดินผ่านไปแต่ฟินก็กางแขนกั้นไว้ทุกทิศทาง “ทำไมไม่ยอมคุยกับฉัน แล้วไปไหนต่ออีกถึงได้กลับมืดค่ำขนาดนี้”
   ภีมไม่อยากพูดอะไรตอบจึงยืนนิ่งๆ
   “โกรธฉันเรื่องอะไร” ฟินเว้นจังหวะไปนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจแล้วกล้าวต่อ “หรือว่าเรื่องที่ห้องสมุด เรื่องที่ฉันว่านาย”
   ภีมถอนหายใจอีกครั้งแล้วมองหน้าฟิน “ฉันว่าพรุ่งนี้จะกลับไปอยู่บ้านแล้ว ไม่อยากรบกวนนายอีกต่อไป” นี่คือสิ่งที่ภีมตัดสินใจแล้ว เขานั่งคิดมาตลอดทางแล้วก็มั่นใจว่าถูกต้อง
   ฟินเอียงคอด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฟินอยากจะรั้งภีมไว้ แต่มันก็เหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอจนทำให้พูดไม่ออก
   “เรื่องค่าย ถ้านายไม่อยากไปก็ถอนชื่อออกได้ที่ชมรมอาสาพัฒนาฯ” ภีมพูดแล้วก็เดินเข้าไปเก็บของใส่กระเป๋า
   ฟินได้แต่ถอนใจและกลืนคำพูดต่างๆนานาที่จะพูดเพื่อรั้งภีมไว้ลงไป ฟินคิดว่าถ้านี่คือสิ่งที่ภีมต้องการเขาก็ไม่อยากขัดใจ ฟินจะทำอะไรได้นอกจากปล่อยภีมให้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ
   คืนวันนั้น ฟินหลับคากองหนังสือ ส่วนภีมแทบไม่ได้นอนเพราะสับสนกับการตัดสินใจของตัวเอง ความมั่นใจที่มีนั้น หายไปไหนหมดก็ไม่รู้ หายไปตั้งแต่เห็นฟินมีท่าทางไม่สนใจ ไม่พูดอะไร และไม่ถามอะไรสักคำ
   ตอนเช้าที่ฟินตื่นมาก็ไม่เห็นภีมแล้ว เพราะภีมออกไปตั้งแต่เช้ามืด
   วันนี้เป็นวันศุกร์ ภีมไม่มีเรียนทั้งวัน แต่เขานี่สิต้องเรียนทั้งวัน วันเสาร์ก็ยังต้องเรียน แถมวิชาที่เรียนก็เป็นวิชาที่หนักๆทั้งนั้น
   ฟินถอนหายใจอย่างเป็นกังวล แล้วจะไปคุยกับภีมให้รู้เรื่องได้ยังไงกันล่ะเนี่ย
   จนกระทั่งวันอาทิตย์ ฟินคิดว่าวันนี้ต้องไปหาภีมที่บ้าน แต่พอเอาเข้าจริง ฟินก็ไม่ได้ไปเพราะอาจารย์ประจำวิชานัดไปเรียนเสริมพิเศษกะทันหัน กว่าจะเลิกก็สองทุ่ม วันนั้นทั้งวัน ทำเอาฟินหมดแรง พอกลับถึงคอนโดก็มุ่งหน้าเข้าสู่ห้องนอนทันทีด้วยความอ่อนเพลีย
   วันเวลาผ่านไป สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า จนกระทั่งถึงวันที่ต้องไปเข้าค่ายอาสาพัฒนาที่จังหวัดตาก รถทัวร์คันใหญ่จอดอยู่ที่หน้าตึกชมรมอาสาพัฒนาชุมชน รุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ขานชื่อนักศึกษาที่ลงรายชื่อไว้ออกมายืนที่หน้าประตูทางขึ้นรถ แล้วขานชื่อทีละคน
   ภีมและเบสท์พร้อมทั้งเพื่อนๆในชมรมมากันครบแล้ว จะมีก็แต่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนอื่นที่ค่อยๆทยอยกันมา
   ภีมอดไม่ได้ที่จะมองหาฟิน ปกติเขาไม่ใช่คนมาสายหรือว่าอาจจะถอนชื่อไปแล้วจริงๆ คิดดังนั้น ภีมก็เดินไปหารุ่นพี่ที่ยืนขานชื่ออยู่
   พอดีกับที่รุ่นพี่คนนั้นขานชื่อของฟินออกมา
   “น้องฟิน อชิตะ ก้องกิตติกุล”
   ภีมเงยหน้ามองไปรอบๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของชื่อ แล้วรุ่นพี่ก็ขานชื่ออื่นๆต่อไป ภีมเดินคอตกกลับไปยืนข้างๆเบสท์
   “เชื่อสิ... เดี๋ยวฟินก็มา” เบสท์พูดแค่นั้นแล้วก็ทยอยขนของขึ้นรถ ภีมช่วยขนทั้งๆที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สามสัปดาห์ที่ผ่านมา ภีมไม่ได้คุยกับฟินเลยสักคำเดียวและมันก็ทำให้ภีมรู้จักคำว่าคิดถึงมากขึ้นกว่าเดิม
   ทุกคนทยอยขึ้นรถกันหมดแล้ว แต่ภีมยังยืนอ้อยอิ่งถ่วงเวลาอยู่ข้างล่าง เบสท์มองดูอย่างขบขัน เมื่อคืนเธอโทรไปหาฟิน ทั้งสองคนได้คุยอะไรกันมากมาย ฟินขอร้องให้เบสท์เล่าเรื่องของภีม เบสท์ก็เล่าให้ฟังทุกเรื่อง กระทั่งเรื่องที่ภีมมาบ่นให้เธอฟังเรื่องของฟิน
   ภีมรอจนถอดใจ ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถ เสียงของฟินก็ดังขึ้น
   “รอด้วยสิ รถมันติดก็เลยมาช้า”
   ภีมแค่นเสียงหัวเราะแล้วก้าวขึ้นรถไป ในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี
   ฟินเดินขึ้นรถมาแล้วยกมือไหว้รุ่นพี่ เบสท์ลุกไปนั่งกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทำให้ที่นั่งข้างๆภีมว่าง ภีมอยากจะเรียกเบสท์กลับมานั่งเหลือเกิน แต่ก็สายไปเมื่อฟินนั่งลงตรงที่ว่างนั้นแล้ว
   “ยืนรอฉันอยู่หรือเปล่า” ฟินพูดยิ้มๆแล้วยื่นการ์ดใบหนึ่งส่งให้ภีม
   ภีมรับมาอย่างงงๆ พอเปิดออกดูก็ต้องตกใจ “รู้ได้ไงว่าฉันเกิดวันนี้” ภีมอึ้งไป ขนาดตัวเขาเองยังจำไม่ได้เลยว่าวันนี้คือวันอะไร มิน่า... พี่ภูถึงได้ปลุกเขาไปใส่บาตรแต่เช้า แถมยังบอกจะซื้อรถให้คันหนึ่งด้วย
   “สุขสันต์วันเกิดนะภีม หวังว่านายจะหายเคืองฉันในทุกๆเรื่อง” ฟินยิ้มบางๆแล้วหยิบกล่องของขวัญขนาดย่อมๆจากในกระเป๋าส่งให้ภีม
   ภีมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าฟิน ยิ่งไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรเมื่อไม่ได้เจอกันมานาน “คือฉัน...”
   “แกะดูสิ ที่ผ่านมาฉันต้องไปเรียนทุกวันเลย แม้แต่วันอาทิตย์ก็ยังไม่ได้หยุดพัก เลยไม่มีเวลาไปเดินซื้อของขวัญ” ในขณะที่ฟินพูด ภีมก็เริ่มแกะ
   “อีกอย่างก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีกว่านี้ด้วย” เมื่อฟินพูดประโยคนี้ ภีมก็แกะเสร็จพอดี
   ภีมมองดูอัลบั้มรูปในกล่องสลับกับใบหน้าของฟิน “ฉันตื้นตันใจสุดๆเลยว่ะ” ภีมพูดเบาๆแล้วหยิบอัลบั้มรูปออกมาจากกล่อง
   ฟินลงมือทำอัลบั้มด้วยตัวเองมันจึงออกมาบูดเบี้ยวไปบ้างเพราะไม่ถนัดในงานตัดปะและงานประดิษฐ์สักเท่าไรนัก ภายในอัลบั้มมีรูปของภีมกว่าหกสิบรูปเป็นรูปที่ฟินถ่ายตอนภีมไม่รู้ตัว ทั้งที่หัวหินและตอนงานประกวดดาวเดือน
   เบสท์ด้อมๆมองๆคนทั้งคู่จนพอใจ จากนั้นเธอก็หยิบกล่องของขวัญกล่องเล็กจากกระเป๋าแล้วเดินไปหาฟินและภีมที่นั่งอยู่ข้างหลัง
   “สุขสันต์วันเกิดเพื่อนยาก” เบสท์ยื่นกล่องไปข้างหน้าภีมแล้วยิ้มจนตาหยี
   “ขนาดฉันยังลืมวันเกิดตัวเองเลย ขอบใจมากนะเบสท์” ภีมรับกล่องของขวัญด้วยความตื้นตันใจ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ภีมไม่ได้ใส่ใจกับวันเกิดของตัวเอง ในทุกปีมีเพียงภูรดาและคุณแม่บ้านเท่านั้นที่จำวันเกิดเขาได้ ส่วนพ่อกับแม่ไม่ต้องพูดถึงเลยเพราะไม่มีแม้แต่คำอวยพร
   “ยังไงก็สู้ของฟินไม่ได้หรอกนะ เพราะของฉันน่ะซื้อเอา ไม่ได้ทำเอง” เบสท์พูดแล้วก็เดินหนีไป ไม่รอให้ภีมตอบกลับ
   “เมื่อคืนฉันคุยกับเบสท์น่ะ” ฟินพูดออกมา
   “แต่ไม่ยอมโทรหาฉัน” ภีมพูดโกรธๆ
   ฟินยิ้มบางๆ “แล้วทำไมนายไม่โทรหาฉันล่ะ นึกจะไปก็ไป ฉันก็พูดอะไรไม่ออกน่ะสิ” ฟินเงยหน้ามองภีมแล้วกุมมือเขาไว้ “แล้วตกลงโกรธฉันเรื่องอะไร เบสท์บอกว่านายอยากจะหนีไปให้พ้นจากฉัน” เมื่อพูดถึงประโยคนี้รอยยิ้มของฟินก็หายไป
   ภีมดึงมือกลับ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน นอกจากคำว่า “ขอโทษ”
   “โกรธที่ฉันว่านายวันนั้นใช่มั้ย”
   ภีมไม่กล้ายอมรับออกมาว่าโกรธฟินเรื่องอะไร เพราะแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมต้องโกรธฟิน หรือว่าทำไมตอนนั้นถึงมีความคิดอยากจะหนีไปจากฟิน พอมาถึงตอนนี้... ภีมก็นึกไม่ออกเสียแล้วว่าทำไมเขาถึงได้คิดอะไรอย่างนั้นออกไป
   “ไม่รู้สิ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมถึงทำแบบนั้น ฉันมันงี่เง่าเกินไปล่ะมั้ง” ภีมบอกพลางแกะของขวัญของเบสท์
ในกล่องนั้นมีหนังสือเล่มเล็กขนาดประมาณ 3 นิ้วอยู่สองเล่ม เป็นหนังสือรวบรวมบทเพลงคลาสสิกในยุคก่อน หนังสือชุดนี้เพิ่งพิมพ์ขายเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและจัดทำเพียงหนึ่งร้อยชุดเท่านั้น
“เบสท์ไปซื้อมาได้ยังไงเนี่ย” ภีมพูดยิ้มๆ
“พ่อของเบสท์ทำงานอยู่ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมน่ะ ก็เลยซื้อมาได้” ฟินเฉลยให้
“ขอบใจนะฟิน” ภีมพูดเขินๆ
แต่ฟินกลับหัวเราะออกมา “หน้าแดงเชียว ถ้าอาย... ไม่ต้องพูดก็ได้”
ประโยคนั้นของฟินทำเอาภีมหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม “แกจะพูดทำไมฟะ ไอ้บ้าเอ๊ย” แล้วภีมก็พูดกลบเกลื่อนออกมาด้วยความอาย
ฟินเลื่อนมือไปโอบเอวภีมแล้วซุกหน้าลงที่ท้ายทอย
ภีมขืนตัวเอาไว้แล้วมองคนรอบๆข้าง ยังไงซะภีมก็ไม่อยากจะให้ความลับแตกในที่ชุมชนแบบนี้ “จะทำอะไรอีกล่ะ มันล่อแหลมนะเฟ้ย”
ฟินหัวเราะเบาๆแล้วพูดออกมาว่า “ไม่เห็นจะต้องสนใจใครเลย”
“อย่ามาพูดจาแบบนี้นะเว้ย คนอยู่กันตั้งเยอะ” ภีมมองรุ่นพี่คนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงอย่างสนุกสนานแล้วก็มองไปที่รุ่นพี่อีกคนที่รับหน้าที่ตีกลอง จากนั้นก็ย้อนกลับมามองที่ตัวเอง
มันน่าอนาถใจไหมล่ะ ในขณะที่คนอื่นกำลังร้องเพลงอย่างสนุกสนาน เขากลับต้องมาคอยระแวดระวังการกระทำของฟินอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่ไอ้หมอนี่มันจะเข็ดซักที เข็ดกับเรื่องที่ชอบทำอะไรโจ่งแจ้ง ไม่สนใจคนอื่น
   “ภีม ฉันว่านายตัดผมได้แล้วนะ” ฟินพูดแล้วก็ม้วนผมของภีมเล่น
   “จะมายุ่งอะไรกับหัวฉันวะเนี่ย” ภีมดึงมือฟินออกแล้วจับไว้แน่น “เลิกวุ่นวายได้แล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย” ว่าแล้วก็ทำท่าจะคว้ามืออีกข้างของฟิน แต่ฟินเร็วกว่า... เขารีบซ่อนมืออีกข้างไว้ที่ด้านหลัง
   “นี่มันรถทัวร์นะเฟ้ย มีคนนั่งมองอยู่รอบด้าน” ภีมพูดเตือนสติฟิน
   “ก็ให้เขามองไปสิ” ฟินแกล้งพูด จากนั้นก็เลื่อนมือมาโอบเอวภีมอีก “มีแต่คนสนใจจะร้องเพลง ไม่มีใครมาสนใจเราหรอก”
   “แกจะบ้าหรือไง ถ่างตาดูซิ ขอแค่หันมาเท่านั้นก็เห็นแล้ว” ภีมกัดฟันพูด เขาอยากจะชกหน้าฟินสักครั้งให้หายเจ็บใจ “ถ้าไม่เลิกกวนประสาทล่ะก็... ฉันจะต่อยนาย”
   “โดนมาหลายครั้งแล้ว โดนอีกครั้งจะเป็นไรไป” ฟินพูดพลางเขี่ยผมที่ปิดใบหูของภีมออกแล้วประทับรอยจูบตามลงไป
   “ไอ้ฟิน” ภีมร้องพลางกดหัวฟินลงข้างล่าง
   “โอ๊ย... เจ็บนะภีม” ฟินแกล้งร้องออกมา ความจริงก็ไม่เจ็บเท่าไรนัก แต่ต้องการเรียกร้องความสนใจมากกว่า
   “ถ้ายังไม่เลิก ฉันจะไปนั่งข้างหน้าเดี๋ยวนี้เลย”
   “ไม่ทำแล้วๆ” ฟินแค่นหัวเราะ
   ภีมเคาะกะโหลกแถมไปทีหนึ่งก่อนจะปล่อยฟิน “เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง คิดดูถ้าเมื่อกี้มีคนเห็น จะแก้ตัวว่ายังไง”
   ฟินฉีกยิ้มแล้วมองหน้าภีม “ก็บอกความจริงไปสิ ว่าเราเป็นอะไรกัน”
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 36 – ค่ายอาสาพัฒนา /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 23:00:15

บทที่ 36 – ค่ายอาสาพัฒนา


   เมื่อเดินทางมาถึงโรงเรียนวัดประทานพร จังหวัดตากแล้ว ประธานชมรมก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่โรงอาหาร ซึ่งครูใหญ่ของโรงเรียนและเด็กเล็กๆกว่าห้าสิบคนรออยู่ที่นั่นแล้ว พวกเขามารอต้อนรับคณะอาสาพัฒนาสร้างห้องสมุด
   ฟินมองหน้าเด็กเหล่านั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความหวังและรอยยิ้มไร้เดียงสานั้นทำให้ความรู้สึกอบอุ่นในใจเอ่อล้นออกมา
   เด็กบางคนก็มีผิวดำคล้ำแดด เด็กบางคนก็มีผิวขาวราวปุยนุ่น แต่เด็กเหล่านี้ก็อยู่ร่วมกันได้ ทุกคนนั่งเรียงกันที่โต๊ะกินข้าวด้านหน้า รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่มีคลาย
   ประธานชมรมอาสาพัฒนากล่าวเปิดงานและบรรยายวัตถุประสงค์ในการจัดค่ายครั้งนี้ รวมทั้งแสดงเจตนาอันแรงกล้าที่จะสรรค์สร้างคลังปัญญาความรู้สู่โรงเรียนวัดประทานพร
   เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อประธานชมรมพูดจบ จากนั้นก็ถึงคิวของครูใหญ่โรงเรียนวัดประทานพร ครูใหญ่ของที่นี่อายุราวสี่สิบปี หน้าตาค่อนไปทางใจดีแม้ว่าน้ำเสียงจะดุดันก็ตาม และสิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ครูใหญ่คนนี้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ในเมื่อคนเรามีรอยยิ้ม ใบหน้าก็จะดูอ่อนโยนและอ่อนเยาว์ไม่คลาย
   ที่พักของชาวค่ายอยู่ชั้นสองของอาคารเรียนซึ่งอาคารนี้ก็มีเพียงสองชั้นเท่านั้น ห้องน้ำและห้องสุขาอยู่ทางด้านหลังของตัวอาคาร ถัดจากตัวอาคารก็คือโรงอาหาร และพื้นที่ว่างที่ถัดจากโรงอาหารอีกทีก็คือพื้นที่สำหรับห้องสมุด
   กิจกรรมแรกที่ชาวค่ายทำคือ สันทนาการร่วมกับน้องๆที่ลานกิจกรรมกลางแจ้งซึ่งล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่นานาชนิด ทำให้ดูคล้ายว่ามีรั้วใหญ่คุ้มกันทุกคนอยู่
   เด็กๆมีความสุขที่ได้ร้องเพลงและเต้นรำ ทุกคนมีอิสระ อยู่ที่นี่แล้วทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ชาวค่ายทุกคนร่วมร้องเล่นเต้นกับเด็กๆ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
   แม้กระทั่งตอนกินข้าวเย็น เสียงพูดคุยก็ยังคงดังไม่หยุดหย่อน เด็กๆที่นี่พูดเก่งกันทุกคน และทุกประโยคที่พวกเขาพูดก็มีแต่ความจริงใจ ไร้เดียงสา พูดในสิ่งที่เขาคิดและเห็น ไม่ปิดบังอะไรให้วุ่นวาย
   ฟินยิ้มบางๆ เขาอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ เด็ก... ไม่ต้องปิดบังอะไรให้วุ่นวาย
   “คิดอะไรอยู่ หน้าดูเศร้าๆ” ภีมพูดพลางตักข้าวเข้าปาก เบสท์ได้ยินเข้าก็หันหน้ามองฟินอย่างสำรวจ
   “มองอะไรกัน ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย กินข้าวไปเลย อย่ามาสนใจฉัน” ฟินพูดรวดเดียวจบแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว
   ภีมกับเบสท์มองหน้ากันแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ
   หลังจากมื้อเย็นผ่านพ้นไป กิจกรรมของชาวค่ายและเด็กๆก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
   บรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่ทำให้ชาวค่ายทุกคนหวนนึกถึงตอนที่เข้าค่ายลูกเสือเมื่อตอนมัธยมต้น ตอนมีกิจกรรมรอบกองไฟ
   กลางลานกิจกรรมมีเวทีเล็กๆอยู่ ประธานค่ายเดินขึ้นไปยืนบนนั้นก่อนเป็นคนแรก จากนั้นรุ่นพี่อีกสามสี่คนที่มีบทบาทสำคัญในค่ายก็เดินตามขึ้นไป ประธานพูดเริ่มต้นกิจกรรมด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนังสือ
   จากนั้นก็มีการแสดงบนเวทีของรุ่นพี่ปีต่างๆ กิจกรรมนี้กินเวลาราวหนึ่งชั่วโมง เด็กๆชอบมากและอยากมีส่วนร่วมด้วย ฝ่ายสันทนาการจึงให้เด็กๆที่สนใจขึ้นไปร่วมแสดงกับพี่ๆบนเวที จนกระทั่งเวลาสองทุ่ม
   กิจกรรมทำท่าว่าจะจบลง ทันใดนั้น... ประธานค่ายเดินถือเค้กที่มีเทียนปักอยู่สี่ห้าเล่มออกมาจากหลังเวที เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังขึ้น ทุกคนปรบมือให้กับเจ้าของวันเกิดด้วยใจจริง
   ฟินยืนยิ้มบางๆอยู่ข้างภีม ส่วนเบสท์ก็รุนหลังภีมให้เดินออกมา ภีมเดินออกมาด้วยความเขินอาย ประธานค่ายเป็นตัวแทนกล่าวคำอวยพร
   “ขอบคุณครับพี่” ภีมลูบท้ายทอยแก้เก้อแล้วก้มตัวลงเป่าเทียน
   “ตัดเค้กเลย” ประธานค่ายพูดไปหัวเราะไป
   ภีมมองไปรอบตัว เห็นเด็กๆยิ้มตาหวานฉ่ำกันถ้วนหน้า “ผมว่าไม่ต้องตัดแบ่งอะไรหรอก เค้กก็มีอยู่นิดเดียว ยกให้เด็กๆเถอะครับ”
   ทุกคนในค่ายเห็นด้วย เค้กก้อนนั้นเลยตกไปเป็นของเด็กๆ
   ภีมกล่าวขอบคุณทุกคนในค่าย ก่อนจะหันมายักไหล่ให้เบสท์และฟิน “ท่าทางเค้กก้อนนั้นจะเล็กไปว่ะ”
   “ฉันก็ว่างั้น” ฟินเห็นด้วย เขายิ้มบางๆพลางจูงมือภีมให้เดินตามไปอีกทางหนึ่ง เบสท์มองตามยิ้มๆ สองคนนี้มีความสุขเธอก็รู้สึกมีความสุขไปด้วย
   “จะพาไปไหนฟิน ยุ่งชะมัดเลย” ภีมทำเป็นรำคาญ แต่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   “ถามมากจริงๆ ตามมาเถอะน่า” ฟินลากเสียงยาวแล้วกระชับมือภีมให้แน่นขึ้น
   ฟินพาภีมมาที่ใต้ต้นหูกวางหลังที่พัก “สุขสันต์วันเกิดอีกครั้ง” ฟินพูดแล้วก้มลงประทับรอยจูบโดยที่ภีมยังไม่ได้ตั้งตัว
   แต่ถึงอย่างนั้น... ภีมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เขาเพียงแต่ดันไหล่ฟินไว้เพื่อถ่ายเทน้ำหนักให้สมดุลกัน สายลมแรงพัดมาปะทะแผ่นหลังของภีม แต่เขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิดเดียว ตรงกันข้าม... มันยิ่งอบอุ่นยิ่งกว่าการซุกร่างกายไว้ในผ้าห่มเสียอีก
   “เออ... ขอบใจ” ภีมพูดห้วนๆ สั้นๆ ฟินลูบแผ่นหลังภีมเบาๆ
   “ไม่เป็นไร แต่ฉันมีอะไรจะให้นายด้วย” ฟินบอกแล้วคลายอ้อมกอด ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ภีม
   ภีมรับมาอย่างงงๆ สร้อยทองคำขาวที่มีจี้ตัวอักษร F ห้อยอยู่ สร้อยธรรมดาที่หาได้ทั่วไป แต่ ณ ตอนนี้ กลับมีความหมายเหลือเกิน
   “จะให้ฉันใส่ให้หรือว่านายจะใส่เอง” ฟินถาม
   ภีมทำท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบว่าใส่เอง ภีมนึกภาพฟินใส่สร้อยคอให้ก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก แม้จะยอมรับความรู้สึกของตนเองแต่เรื่องแบบนี้ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆปรับตัว ว่าแล้วก็สวมสร้อยคอเส้นนั้นด้วยตัวเอง
   “ขอบใจ แต่ความจริงก็ไม่ได้อยากได้หรอกนะ” ภีมพูดออกไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนี้ภีมเขินจนอยากจะวิ่งหนีไปไกลๆ ไปให้พ้นสายตาคู่นั้นของฟินที่กำลังมองมาที่เขา
   ฟินเดินเข้าไปใกล้ภีม ในขณะที่ภีมก็ก้าวถอยหลัง
   “จะหนีไปไหนอีกล่ะภีม หนีฉันตลอดเลย ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานแล้วนะ” ฟินแกล้งพูดยียวนบ้าง ในชีวิตของเขาไม่ค่อยได้ทำเรื่องแบบนี้สักเท่าไรนัก
   ภีมถอยหลังไปไกลกว่าเดิม เขารู้สึกว่าฟินน่ากลัวมากจนคาดไม่ถึง ทั้งคำพูด ท่าทาง สีหน้า และอารมณ์
   “แล้วนายจะต้อนฉันทำไมเนี่ย” ภีมตวาดใส่ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้คืออะไร
   ฟินทำหน้าล้อเลียน ยิ้มกริ่มแล้วตรึงหัวไหล่ของฟินไว้กับต้นไม้ใหญ่ “แค่นี้ก็ไปไหนไม่ได้แล้ว” ท้ายเสียงมีเสียงหัวเราะแถมออกมาเล็กน้อย
   “ไอ้บ้าเอ๊ย... นี่มันที่ไหน รู้มั้ยวะ สมองแกยังดีอยู่มั้ยเนี่ย” ภีมเริ่มฉุนเฉียว เขาเบื่อเต็มทีที่ต้องมาคอยระแวดระวังตัวเมื่ออยู่กับฟิน
   ฟินขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าเข้าไปใกล้ภีม “ไม่เห็นจะสำคัญว่าที่ไหน ไม่สำคัญเลยจริงๆ”
   ริมฝีปากร้อนระอุบดขยี้ลงมาบนกลีบปากที่แดงระเรื่อของภีม ภีมเผยอปากเล็กน้อยเพื่อรับลิ้นอุ่นร้อนที่สอดแทรกเข้ามาอย่างว่องไว จุมพิตที่เร่าร้อนไม่แพ้ครั้งไหนๆก็เริ่มต้นขึ้นอย่างง่ายดาย
   ฟินสอดมือเข้าไปในเสื้อของภีมแล้วลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนละเอียด ด้วยความที่ไวต่อสัมผัส ภีมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเบียดตัวให้แนบชิดกับร่างของฟิน จุมพิตยิ่งร้อนแรงขึ้นไปตามอารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะควบคุม
   เสียงเพลงของชาวค่ายยังคงมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รสจูบอันร้อนแรงก็ยังคงดำเนินต่อไปตามเสียงเพลงด้วยเช่นกัน
   “ยังไม่ชินอีกเหรอที่ต้องอยู่ด้วยกัน” ฟินถามเสียงแผ่ว ภีมไม่ได้ตอบอะไร แค่เพียงเขาพยายามสะกดอารมณ์ร้อนที่พลุ่งพล่านอยู่ตอนนี้ก็ยากพอดูแล้ว จะให้ใช้สมองมาคิดหาคำตอบอะไรกันอีก    
   “แต่ก็อีกล่ะนะ... ความเคยชินมักทำให้คนเราเคยตัว” ฟินพูดขึ้นมาพลางขบเม้มริมฝีปากของภีมให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นทั้งยังใช้มืออีกข้างหนึ่งล่วงล้ำเข้าไปยังกางเกงของภีม
   ภีมทวนประโยคที่ฟินพูดเมื่อครู่ในใจ ‘ความเคยชินมักทำให้คนเราเคยตัว’ และมันก็ทำให้เขาเคยตัวจริงๆ ภีมชินกับการที่มีฟินอยู่และชินที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ภีมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าความเคยชินนี้หายไป เขาจะทำอย่างไร
   “พอเถอะ... ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน” ภีมโพล่งออกมา
   ฟินหยุดนิ่งการกระทำทุกอย่างทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เขาดีดตัวออกมาให้พ้นจากร่างของภีมพลางไล่สายตาไปยังดวงหน้าที่มีสีแดงจัด ฟินขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ เขากำลังรอให้ภีมขยายความประโยคที่พูดออกมาเมื่อครู่ แต่ดูท่าทาง... เจ้าตัวไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว
   ภีมเพียงถอนหายใจบางๆแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น เขาคิดว่าชีวิตน่าจะเข้าที่เข้าทางดีแล้ว... แค่เพียงคิดว่าวันนี้มีความสุข พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เท่านั้นมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ แต่ทำไมการที่คิดอย่างนั้น กลับไม่ได้ทำให้ภีมรู้สึกถึงความสุขเลย ตรงกันข้าม... เขากลับรู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่กำลังวิ่งไล่เขาอยู่ รอวันเวลาที่เขาเหนื่อยล้า หยุดวิ่งหนี และถูกมันทับตายในที่สุด
   ชีวิตคนมันไม่ได้มีแค่วันนี้ ภีมคิดว่า ต่อให้วันนี้มีฟิน แต่ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มีล่ะ แล้วไหนจะวันต่อๆไปข้างหน้าที่ไม่รู้จะยาวนานถึงเมื่อไหร่ วันต่อไปข้างหน้าที่ภีมจะหลงเหลือเพียงความทรงจำ เพราะอย่างไรเสีย เรื่องราวระหว่างเขาและฟินคงไม่มีทางเป็นไปได้ มันแทบมองไม่เห็นทางเลยด้วยซ้ำไป
   ภีมหลับตาลงเพื่อทบทวนทุกอย่าง มันผิดตั้งแต่ต้นหรือเปล่า ผิดที่เขาไม่ยอมยับยั้งชั่งใจ ผิดที่ยอมให้อะไรๆมันล่วงเลยมาจนป่านนี้
   “ฉันไม่รู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่” ฟินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาของเขาตอนนี้รื้นไปด้วยน้ำตา “แต่ทำไมไม่บอกฉัน ทำไมต้องคิดอะไรอยู่คนเดียว ตัดสินใจอะไรอยู่คนเดียว”
   “มันก็ไม่ต่างกับนายหรอก ที่ชอบคิดหรือทำอะไรคนเดียว นายคิดว่าฉันจะดีใจงั้นเหรอ... ที่นายคอยโกหกเพื่อปกป้องฉัน คิดว่าทุกวันนี้ฉันมีความสุขหรือไง” ภีมตะคอกออกมา ปัญหาที่มีทีท่าว่าจะจบกลับบานปลายลุกลามไปกันใหญ่
   “ฉันเคยคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง แต่วันนี้... ฉันกลับไม่รู้อะไรเลย” ฟินพูดพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ปัญหาบ้าๆนี้ออกไปจากชีวิตเสียที ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พ่อกับแม่ยอมรับ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง “ฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”
   “ในเมื่อไม่รู้อะไรเลยก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต่อ มันไม่สนุกเลยนะฟิน ชีวิตที่ต้องคอยเก็บความลับ มันเป็นแบบนี้ไปได้ไม่นานหรอก สักวันหนึ่งมันก็ต้องจบลง” ภีมพยักหน้าสองครั้งเป็นเชิงบอกกับตัวเองว่า นี่ล่ะ... คือความคิดที่ถูกต้องที่สุด
   ฟินไม่อาจยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้ได้ “แต่มันต้องจบแบบนี้เหรอ ทำไมเราไม่ปล่อยให้มันเป็นไปในแบบที่มันควรเป็น”
   “แล้วแบบที่มันควรเป็นคือแบบไหนล่ะ” ภีมย้อนถาม
   ฟินเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ฟินรู้คือ... มันไม่ควรจะต้องจบแบบนี้ “เมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่... คงไม่มีใครมาขัดขวางเรา”
   ภีมแค่นหัวเราะ “ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ยิ่งต้องคิดอะไรมากกว่าเดิม จะมาทำอะไรตามใจชอบก็คงไม่ได้แล้วล่ะ”
   ฟินเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยิ่งพูดน้ำตาก็พานจะไหล เวลาที่คนเราเจ็บปวดมันรู้สึกอย่างนี้นี่เอง ฟินอยากจะดึงตัวเองและภีมออกจากกฎเกณฑ์บ้าบอของชีวิต เขาไม่เคยคิดว่าความรักจะยิ่งใหญ่เพียงนี้ ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะทำให้คนๆหนึ่งยอมทิ้งทุกสิ่งเพื่อคนอีกคนหนึ่งได้
   “เราเป็นเพื่อนกันดีกว่าไหมฟิน หรือไม่ก็เป็นคนไม่รู้จักกันเหมือนกับตอนแรก” ภีมหลุบตาลงต่ำ ไม่มองหน้าฟิน เขาจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้ ฟินมีใบหน้าที่เจ็บปวดเพียงใด
   ฟินรู้สึกเหมือนร่างกายถูกเหวี่ยงให้ตกลงมาเบื้องล่าง เวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด มันโล่งและว่างเปล่าจนฟินไม่สามารถคว้าอะไรไว้ได้เลย แค่เพียงจะสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดยังทำได้ยาก และความเวิ้งว้างก็สิ้นสุดลงเมื่อน้ำตาหยดแรกไหลออกมา ฟินรู้สึกเหมือนร่างกายที่ถูกโยนลงมาดิ่งลงสู่พื้นล่างเรียบร้อยแล้ว มันตีบตันจนพูดอะไรไม่ได้ แม้แต่จะขยับริมฝีปากยังไม่มีเรี่ยวแรงพอ
   ภีมเงยหน้าขึ้นมองฟินช้าๆ วินาทีแรกที่เห็นน้ำตาของฟิน ภีมแทบจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดออกไป แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ในใจตอนนี้บอกเขาว่า หมดเวลาที่จะเล่นซ่อนหากันแล้ว
   “ให้มันเป็นแบบนี้ล่ะ เป็นแค่เพื่อนหรือไม่ก็คนรู้จักกัน” ภีมบอกเบาๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไป ตลอดทางก็พึมพำกับตัวเองว่า “เป็นแค่นี้ก็พอแล้ว มันต้องเป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่”
   ฟินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น น้ำตาที่กลั้นอยู่นานทะลักออกมาจากเบ้าตาทั้งสอง เขาคิดอยู่แล้วว่าต้องมีสักวันที่ภีมทนไม่ได้ แต่ทำไมต้องเป็นวันนี้ วันที่เขาทั้งสองคนเพิ่งได้ปรับความเข้าใจกัน
   “มันจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ในเมื่อความรู้สึกมันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย” ฟินพูดเสียงเครือ เสียงดนตรีเงียบลงแล้ว แต่ฟินยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหน

   ค่ายอาสาพัฒนายังคงดำเนินกิจกรรมต่อไป ห้องสมุดเริ่มสร้างขึ้นในวันที่สอง เรื่อยไปจนกระทั่งเย็น เป็นแบบนี้ไปจนถึงวันที่ห้า ห้องสมุดก็เสร็จสมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่าง และในวันที่หกก็เป็นวันที่ทุกคนต้องช่วยกันขนหนังสือจากห้องของครูใหญ่ไปไว้ที่หอสมุด จากนั้นช่วงบ่าย พิธีเปิดห้องสมุดก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางความดีใจและเสียงหัวเราะของเด็กๆรวมไปถึงชาวค่ายทุกคน
   มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ทำหน้าไม่ดีใจอะไรกับเขาเลย ฟินและภีม
   เบสท์ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ หลังจากเกิดเรื่อง ภีมก็ไม่ยอมเล่าอะไรให้เธอฟังเลย ไม่ว่าจะถามอย่างไร ภีมก็ไม่ยอมบอกท่าเดียว เธอจึงต้องไปถามความจริงจากฟินแทน แต่กว่าฟินจะพูดออกมาได้ก็ใช้เวลาเนิ่นนานพอสมควร กระทั่งวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกันในค่าย ฟินและภีมก็ยังไม่ยอมพูดจากัน ซ้ำร้ายยังทำหน้ามึนตึงอยู่ตลอดเวลา
   เย็นวันที่หกมีงานเลี้ยงขอบคุณที่ลานกิจกรรมเช่นเดิม ทุกคนมีความสุขกันมาก ยกเว้นฟินกับภีม ฟินนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน ส่วนภีมก็นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับฟิน ส่วนเบสท์ก็ได้แต่มองความเป็นไปของคนทั้งคู่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นอกจากถอนหายใจไปเรื่อยๆ
   เมื่องานเลี้ยงจบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปยังที่พัก บางคนก็เริ่มเก็บของเข้ากระเป๋า ในขณะที่บางคนล้มตัวลงนอนเพราะความเหนื่อยอ่อน ภีมเป็นหนึ่งคนที่เลือกแบบที่สอง ส่วนฟินเอาแต่นั่งเหม่อลูกเดียว
   จนกระทั่งวันที่เจ็ด วันเดินทางกลับ ภีมหนีไปนั่งกับเบสท์ ส่วนฟินก็ถูกลากไปนั่งกับรุ่นพี่สาวสวยคนหนึ่งที่หมายตาเขาไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาค่าย แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
   ฟินนั่งนิ่งราวกับก้อนหิน ไม่ว่ารุ่นพี่คนนั้นจะพูดจาอย่างไร ฟินก็ไม่สนใจ อย่างดีก็แค่เพียงพยักหน้าหรือพูดว่าครับเท่านั้น นานๆไปเธอก็เริ่มเบื่อกับปฏิกิริยาแบบนี้ของฟินและหยุดพูดมากไปในที่สุด
   รถบัสมาส่งทุกคนลงที่มหาวิทยาลัย ใครที่ไม่ได้อยู่ชมรมอาสาก็สามารถกลับบ้านได้เลย ส่วนใครที่อยู่ชมรมนี้ต้องช่วยกันเก็บข้าวของที่อยู่บนรถกลับไปไว้ที่ห้องชมรมก่อน
   ภีมช่วยทุกคนยกของเข้าไปเก็บในห้องชมรม ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ภีมอาสาไปส่งเบสท์ที่บ้านแต่เบสท์ปฏิเสธบอกว่ากลับเองได้ ภีมจึงไม่อยากเซ้าซี้อะไร
   “กลับดีดีนะ ถึงบ้านแล้วโทรหาฉันด้วย” ภีมสั่ง
   เบสท์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปกับเพื่อนอีกสามสี่คน ส่วนภีมก็นั่งรอรถที่บ้านมารับอยู่ที่หน้าชมรมโดยมีรุ่นพี่อีกห้าคนยืนอยู่ด้วย รวมทั้งฟิน
   ภีมทำเป็นไม่สนใจ ฟินก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นภีม ซึ่งความจริงแล้ว ฟินอยากจะอยู่ส่งภีมต่างหาก หลังจากนั้นไม่นาน รถสปอร์ตสีดำก็วิ่งตรงมายังหน้าตึกของชมรม ภีมหันไปไหว้รุ่นพี่ก่อนจะเดินขึ้นรถไปโดยที่ไม่สนใจฟิน
   ทันทีที่ภีมก้าวขึ้นรถ รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของฟิน “กลับบ้านดีๆนะภีม”
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 37 – ทางแยก /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 01-10-2011 23:06:25


บทที่ 37 – ทางแยก


   ปีแรกของการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านพ้นไป ใครที่เคยเป็นน้องใหม่ก็เลื่อนชั้นกลายเป็นรุ่นพี่ ส่วนคนที่เป็นรุ่นพี่อยู่แล้วก็เลื่อนชั้นให้สูงขึ้นไปอีก
   หลังจากกลับจากค่ายเมื่อหลายเดือนก่อน ภีมก็ไม่ได้เจอหน้าฟินอีกเลย ฟินก็เช่นกัน เขาไม่มีแม้เวลาที่จะโทรศัพท์หาใคร กระทั่งเวลาว่างในการพักผ่อนยังแทบไม่มี
   ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ฟินลงเรียนซัมเมอร์เพื่อเก็บหน่วยกิตให้ครบตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ เรียนวันจันทร์ถึงศุกร์ในช่วงเช้า ส่วนในช่วงบ่ายไปสอนพิเศษที่สถาบันกวดวิชา ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ที่น่าจะเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อน ฟินกลับต้องมานั่งทบทวนเนื้อหาในรายวิชาต่างๆที่ยังไม่เข้าใจ ซึ่งเนื้อหาแต่ละบทก็มีมากมายเหลือเกิน
   ภาคเรียนแรกของปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้น
   “พี่ภีม วันนี้ต้องไปเล่นเปียโนให้พวกเราฟังนะคะ” รุ่นน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาภีมทันทีที่เขาเดินออกมาจากห้องเรียน เบสท์มองหน้ารุ่นน้องสาวสวยที่หน้าตาเกินกว่าวัยแล้วก็อดที่จะกลอกตาไปมาไม่ได้ เธอคิดว่า เด็กสมัยนี้ช่างไวไฟเสียจริง
   ภีมพยักหน้ารับเบาๆ
   “ต้องไม่ลืมนะคะ” เธอส่งยิ้มหวานให้ภีมอยู่นาน จนภีมต้องเป็นฝ่ายขอตัวออกไปจากที่ตรงนั้น ภีมเดินลิ่วๆออกมาพร้อมกับเบสท์
   “ยัยนี่ เกาะนายไม่ปล่อยเลยนะ เห็นส่งสายตาให้ตั้งแต่รับน้อง ไม่คิดว่าจะติดหนึบขนาดนี้ เล่นดักเช้า ดักเย็นแบบนี้ น่ารำคาญชะมัด” เบสท์พูดขึ้น
   “คนเราน่ะนะ ถ้าเกิดชอบใครขึ้นมามันก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด...” ภีมพูดอย่างเหม่อลอย “เพื่อให้ได้เขามาอยู่ในครอบครอง” พอพูดจบก็เดินไปทันที เบสท์ได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง
   เย็นวันเดียวกันนั้น หลังเลิกเรียน ภีมไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับรุ่นน้องปีหนึ่ง ภายในห้องเปียโนขนาดกลางของมหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยนักศึกษาปีหนึ่งกว่าห้าสิบคน
   ภีมเดินเข้าห้องมาเพียงลำพังเพราะเบสท์ต้องไปทำธุระต่อที่อื่นเลยมาเป็นเพื่อนด้วยไม่ได้
   ทันทีที่ภีมเดินเข้ามา เสียงฮือฮาก็ดังขึ้น ภีมยิ้มบางๆแล้วเดินไปนั่งที่เปียโนตัวหนึ่ง เปียโนตัวเดียวที่มีสีเบจ ทุกคนในห้องต่างก็งุนงงไปตามๆกัน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า “ผู้ชายคนนี้จะเล่นเฉพาะเปียโนที่มีสีดำ”
   “อยากฟังเพลงไหนล่ะครับ” ภีมถามเรียบๆ
   เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงหัวร่อต่อกระซิก และตามมาด้วยเสียงเอะอะน่ารำคาญ เมื่อทุกคนในห้องแย่งกันบอกชื่อเพลง ภีมไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรดี จึงตัดสินใจเล่นเพลง ‘โดราเอมอน’ เสียเลย
   เมื่อเพลงเริ่มบรรเลงเสียงเอะอะโวยวายก็หายไปในทันที บทเพลงของภีมคล้ายมีมนต์สะกดแฝงอยู่ แม้บทเพลงจะสนุกสนานและร่าเริงเพียงใด ทว่าคนเล่นกลับมีสีหน้าที่ตรงกันข้ามไปจากอารมณ์เพลงอย่างสิ้นเชิง
   ภีมเล่นเพลงต่ออีกสองสามเพลงก็ขอตัวกลับทันที ไม่อยู่รอให้ใครกล่าวคำชมหรือคำขอบคุณเลยสักคนเดียว
   หน้าห้องเปียโน...
   ภีมพบใครคนหนึ่งยืนพิงเสาอยู่ เขากำลังก้มหน้าก้มตาราวกับว่ามีบางสิ่งที่ละสายตาไปไม่ได้ ภีมมองอย่างชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านไป
   “ไม่คิดจะพูดอะไรสักคำเลยเหรอ” น้ำเสียงเย็นชาที่แสดงออกชัดเจนถึงความรู้สึกไม่เข้าใจดังขึ้นจากข้างหลัง
   รุ่นน้องปีหนึ่งที่อยู่ในห้องเริ่มทยอยกันออกมา
   “ก็พูดไปหมดทุกอย่างแล้วนี่” น้ำเสียงของภีมก็แสดงถึงความห่างเหินออกมาชัดเจนเช่นกัน ภีมไม่หันมามองฟิน เขาเพียงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ด้วยเสียงอันดังว่า “ฉันรำคาญคนที่ชอบเซ้าซี้ไม่เลิกเป็นที่สุด มันรู้สึกเหมือนกำลังถูกหมากัด แล้วมันก็กัดไม่ยอมปล่อยเสียด้วย มันน่าเบื่อนะ... ที่คนเราต้องคอยพูดอะไรซ้ำๆเดิมๆกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง ในชีวิตของฉัน... ไม่เคยเจออะไรที่น่าเบื่อสุดๆแบบนี้มาก่อนเลย”
   ฟินไม่ได้พูดอะไรอีก หัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้ว กลับยิ่งบอบช้ำขึ้นไปอีก  มันเจ็บจนจะแทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว ฟินเดินก้มหน้าลงบันไดไปโดยไม่สนใจรุ่นน้องกว่าสามสิบคนที่เดินออกมาจากห้องแล้วได้ยินประโยคดังกล่าว
   สำหรับฟินในตอนนี้ ไม่มีอะไรที่น่าอายอีกแล้วเพราะต่อจากนี้ไป เขาจะลืมผู้ชายคนนี้อย่างจริงจังเสียที
   เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เขาจะคิดเสียว่ามันเป็นแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงเวลาที่มีความสุข ช่วงเวลาที่เขาได้เรียนรู้ว่าการได้รักและการถูกรักเป็นอย่างไร ช่วงเวลาที่ใครไม่พบเจอกับตัวเองจะไม่มีทางได้รู้
   ช่วงเวลาที่มี “ความรัก” มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ
   ฟินคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาตลอดทางจนกระทั่งกลับมาถึงคอนโด เขาเดินตรงไปยังโทรศัพท์และต่อสายไปหาเพื่อนอีกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้เขาเสมอมา
   “มันจบจริงๆแล้วล่ะเบสท์” ฟินพูดเสียงสั่น ถ้าให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้รับรองว่าน้ำตาจะต้องไหลออกมาไม่หยุดแน่ๆ
   เสียงถอนหายใจสะท้อนกลับมาเป็นเชิงบอกว่ารับรู้ เบสท์ก็รู้สึกเสียใจไม่แพ้กัน หลายครั้งหลายหนที่เธอพยายามหาโอกาสให้ทั้งคู่ได้ปรับความเข้าใจกัน แต่มันก็ไม่สำเร็จสักที ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา
   ล้มเหลวจนไม่เหลือชิ้นดี...
   “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะฟิน เดี๋ยวสักพักฉันกับติณณ์จะไปหานายเอง”
   ครึ่งชั่วโมงต่อมา เบสท์และติณณ์ก็มาถึงคอนโด
   ฟินออกไปเปิดประตูให้ด้วยใบหน้าอิดโรยและหมองคล้ำ ติณณ์รีบปรี่เข้ามาแล้วโอบไหล่ฟินไว้ทันที “ไปนั่งก่อนเถอะพี่” ติณณ์พยุงร่างของฟินไปไว้ที่โซฟา เบสท์เดินตามมาเงียบๆ
   “ขอบใจที่มาหา” ฟินพูดเบาๆ
   ติณณ์ขบฟันอย่างขุ่นเคือง เขาโกรธแค้นแทนฟินจนทำให้ความศรัทธาที่มีในตัวภีมลดลงอย่างรวดเร็ว “เล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้เลยว่าพี่ภีมทำอะไรแย่ๆอีก” ติณณ์เริ่มประเด็นด้วยความโกรธ
   “หุบปากไปเลยติณณ์ ฟินพร้อมเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นล่ะ...” เบสท์ทำหน้าตาจริงจังขึ้นกว่าเดิม
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก ภีมแค่บอกว่า ไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็เท่านั้นเอง”
   เบสท์ทำหน้าไม่เชื่อ “ภีมไม่พูดแค่นั้นหรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านี้”
   “ภีมพูดแค่นี้จริงๆ” ฟินกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ตรงลำคอลงไป แต่มันก็ไม่ได้ช่วยกลั้นน้ำตาไว้ได้เลย ทำไมเขาต้องร้องไห้ มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจขนาดนั้นเลยเหรอ...
   ฟินก้มหน้าร้องไห้ออกมา ติณณ์และเบสท์ทำได้เพียงนั่งอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจฟินเงียบๆ เพราะทั้งสองรู้ดีว่า ถ้าพูดหรือปลอบใจจะยิ่งทำให้ฟินรู้สึกแย่ลงไปกว่าเดิม

   นับจากวันนั้น ฟินและภีมก็ไม่ได้คุยหรือพบกันอีกเลย วันเวลาล่วงเลยเป็นสัปดาห์ เรื่อยผ่านมาจนกลายเป็นเดือน ครบเดือนก็สะสมเข้าจนกลายเป็นปีและในที่สุดก็ครบสองปี
   สองปีที่ทั้งสองคนไม่ได้ติดต่อกัน
   การเป็นรุ่นพี่ปีสี่ก็ไม่ใช่ว่าจะสบายอย่างที่ใครๆคิด
   คณะดุริยางคศาสตร์...
   “กำหนดการเสนอศิลปนิพนธ์คืออีกสามเดือนข้างหน้า เมื่อเทอมที่แล้วเราได้มีการสัมมนาดนตรีไปแล้ว หวังว่าทุกคนคงได้รับความรู้มากขึ้น บางคนอาจจะต่อยอดความคิดในหัวข้อที่ได้สัมมนาไป แต่อย่างไรก็ตาม อาทิตย์หน้า ขอให้พวกคุณทุกคนร่างโครงการศิลปนิพนธ์ของแต่ละคนมาส่งด้วย เพื่อให้ผมได้พิจารณาว่าเป็นหัวข้อที่เหมาะสมหรือไม่” อาจารย์ประจำภาควิชากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   “เมื่อเทอมที่แล้ว ผลการฝึกงานของทุกคนเป็นที่น่าพอใจมาก พวกคุณผ่านการประเมินในทุกข้อกำหนดและที่น่าภูมิใจอีกเรื่องก็คือ เราได้รับคำชมจากสถานที่ฝึกงานที่พวกคุณไปทำมามากมาย” อาจารย์กล่าวต่อพลางเขียนข้อความบางอย่างลงบนกระดาน
   ‘โชคดี’ คำสั้นๆแต่ได้ใจความ อาจารย์ผู้ชายท่านนี้ แม้ว่าจะพูดไม่เก่งหรือมีอารมณ์ขันเท่าคนอื่น แต่ตลอดระยะเวลาสี่ปี เขาก็ทำหน้าที่ของอาจารย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปราศจากอคติ เขาเหมาะสมกับความเป็นครูอย่างแท้จริง
   “ขอให้พวกคุณโชคดี ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยเหลืออีกเพียงสี่เดือนกว่าๆเท่านั้น แล้วต่อจากนี้คุณก็จะได้เดินไปตามเส้นทางใหม่ที่คุณได้เลือกเอาไว้ เส้นทางที่ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของคุณเอง โลกภายนอกกำลังรอคุณอยู่” อาจารย์ยิ้มบางๆ แล้วเดินออกไป
   เบสท์ถอนหายใจออกมาอย่างคนปลงตก “ไม่อยากเรียนจบเลยแฮะ สี่ปีนี่เร็วจนไม่น่าเชื่อเลย”
   “เชื่อเถอะ เพราะสัปดาห์หน้าต้องขึ้นแสดงดนตรีที่หอประชุมใหญ่แล้ว และที่สำคัญฉันยังไม่ได้ซ้อมเลย” ภีมพูดเรียบๆ
   “อย่างนายยังต้องซ้อมอะไรมิทราบ สมองสั่งการให้เล่นมั่วๆยังออกมาเป็นเพลงได้เลย” เบสท์แกล้งพูด
   ภีมเคาะกระโหลกเบสท์ไปทีหนึ่ง “พูดมากน่า”
   เบสท์แกล้งร้องโอดโอย ในตอนนั้นเองเธอเห็นฟินกำลังเดินอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเบสท์ไม่รู้จัก ภีมมองตามสายตาของเบสท์ไป เขาพยายามสงบจิตใจไม่ให้รู้สึกอะไรกับภาพที่เห็น แต่ยิ่งพยายามเท่าไร ยิ่งร้อนรนมากเท่านั้น
   ท่าทางของฟินกับผู้หญิงคนนั้นดูสนิทสนมกันมากจนน่าสงสัย
   “มองอะไรอยู่ได้ ไร้สาระจริงๆ กลับกันได้แล้ว” ภีมลากแขนเบสท์ให้เดินตามเขาไป เบสท์พอรู้มาบ้างว่าตอนนี้ฟินกำลังคบกับผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วเธอก็ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับภีมเพราะคิดว่าต่างคนต่างก็มีเส้นทางใหม่ของตัวเองแล้ว
   “ไม่ได้รู้สึกอะไรแน่นะภีม นายเป็นคนเลือกให้มันเป็นแบบนี้เอง ถึงจะรู้สึกอะไรก็คงได้แต่ทำใจ” เบสท์พูดออกมา
   ภีมหันหน้าไปมองเบสท์อย่างขุ่นเคือง “ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกันอยู่ อย่ามาพูดจาแบบนี้กับฉัน” ภีมกัดริมฝีปากอย่างอดทน
   เบสท์มองหน้าเพื่อนรักด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “โอเค แต่ถ้านายอยากจะแก้ไขในสิ่งที่พลาดไปล่ะก็ คุยกับฉันได้เสมอ”
   ภีมเสมองไปทางอื่น “ตอนนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดอีกแล้ว”
   เบสท์พยักหน้าอีกครั้ง “ถ้าคิดอย่างนั้นก็ตามใจ”

   คอนโดของรดา
   “จูบฉันหน่อยได้ไหมฟิน ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้ว่าเธอรักฉันเหมือนที่ฉันรักเธอ” รดาพูดอย่างเหลืออด ตลอดเวลาหกเดือนที่คบกับฟิน เขาไม่แม้แต่จะจับมือเธอ ไม่ทำอะไรสักอย่างนอกจากการไปรับไปส่งที่บ้าน ไม่ยิ้ม ไม่พูดจาอะไรหวานๆแบบที่คนรักกันควรจะเป็น
   รดา เรียนอยู่คณะเภสัชศาสตร์ซึ่งอยู่ติดกับคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ที่ฟินเรียนอยู่ รดาแอบชอบฟินมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง แต่เพิ่งจะได้คุยกันเมื่อตอนอยู่ปีสี่ ตอนที่ไปเข้าค่ายด้วยกัน จากนั้นก็คุยกันเรื่อยมา จนครบสองเดือน รดาตัดสินใจบอกชอบฟินและขอคบกับเขา ฟินตอบตกลง เขาพูดเพียงแค่ว่า “ฉันไม่ได้ดีเลิศอย่างที่เธอคิดหรอกนะ”
   รดาคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ เธอหวังว่าเขาจะเป็นคนที่เข้ามาเต็มเติมชีวิตของเธอให้สมบูรณ์ แต่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้าม เขากลับยิ่งทำให้ชีวิตของเธอขาดสิ่งที่ควรมีไปเสียหมด ขาดกระทั่งเวลาอยู่กับตัวเอง เขาทำให้เธอต้องคอยกังวลกับเรื่องของเขา
   “เธอไม่เคยจับมือฉันก่อนเลย ไม่เคยยิ้มให้ฉัน ไม่เคยทำให้ฉันมีความสุขเลย” รดาพูดแล้วก็ร้องไห้ออกมา
   ฟินไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ผิดที่เข้ามาทำให้ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งต้องวุ่นวาย และผิดที่หลอกตัวเอง...
   “ถ้าฉันจูบเธอแล้วเธอจะมีความสุขใช่มั้ย” ฟินพูดเบาๆแล้วเดินเข้าไปใกล้รดา เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งน้ำตา “แล้วทำได้มั้ยล่ะ จูบกับฉัน”
   ฟินถอนหายใจบางๆ เดินเข้าไปประชิดตัวกับหญิงสาวแล้วโอบกอดเอวของเธอไว้ เขาดึงร่างบอบบางของเธอเข้ามาชิดกับร่างของเขา
   “ถ้ามันทำให้เธอมีความสุข ฉันจะทำ...” พอกล่าวจบฟินก็ประทับริมฝีปากลงไปในทันที ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในจิตใจไม่หยุดหย่อน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจถอนริมฝีปากออกได้
   รดาร้อนวูบไปทั้งร่างกาย เป็นครั้งแรกที่เธอสัมผัสรสจูบที่วาบหวาม จูบที่ร้อนแรง หนักหน่วง และเร่งเร้าให้อารมณ์น้อยใจแปรเปลี่ยนเป็นความต้องการ แต่ในความเร่าร้อนนั้นเธอกลับสัมผัสได้ถึงอีกหนึ่งความรู้สึก
   ความรู้สึกโหยหาและต้องการ... รดารู้สึกได้และเธอก็รู้ด้วยว่าความรู้สึกนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับเธอ แต่ในตอนนี้ รดาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอขอเพียงแค่มีเขาอยู่ มีเขาอยู่ก็พอ...
   ฟินยังไม่ถอนริมฝีปากออกไป ตรงกันข้ามเขากลับเพิ่มความรุนแรงบนริมฝีปากให้มากขึ้นไปอีก
   รดาโอบรัดเขาไว้ด้วยสองแขนแล้วเบียดหน้าอกเข้าหาฟินอย่างลืมตัว ฟินสอดมือเข้าไปในเสื้อของเธอก่อนจะลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังแล้วหยุดมือไว้ที่ตะขอชุดชั้นใน
   รดาซุกหน้าลงที่ลำคอของฟิน มือข้างหนึ่งเลื่อนลงมาอยู่ที่หน้าอก เธอปลดกระดุมของเขาออกช้าๆ ใบหน้าสวยแย้มยิ้มคล้ายเชิญชวน จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อของฟินออกจนหมด
   ฟินหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงมือกลับ จากนั้นเขาก็ถอนตัวออกจากรดาในทันที “ฉันกลับก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้จะมารับแต่เช้า”
   รดาอ้าปากค้างอย่างงุนงง เขามาทำให้อารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านขนาดนี้แล้วคิดจะหนีไปง่ายๆเหรอ “นอนกับฉันที่นี่ไม่ได้เหรอ”
   ฟินไม่พูดอะไร เขาก้มหน้าก้มตาติดกระดุมเสื้อ
   รดาพยายามสะกดกลั้นความน้อยใจที่เกิดขึ้น เธอไม่มีเสน่ห์พอให้เขาลุ่มหลงหรืออย่างไร “อย่ากลับเลยนะฟิน” รดาทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ
   ฟินทำเป็นมองไม่เห็น เขาไม่อยากทำร้ายเธอไปมากกว่านี้อีกแล้ว ฟินหมุนตัวจะเดินออกไปแต่รดาเข้ามาขวางไว้
   เธอดันร่างสูงใหญ่ของฟินจนเสียหลักล้มลงบนโซฟา ฟินพยายามจะลุกขึ้นแต่รดากลับนั่งคร่อมบนร่างของเขา “เรามีอะไรกันได้ไหมฟิน”
   ฟินนิ่งอึ้งไปแล้ว เขาไม่เคยคิดว่าผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยอย่างรดาจะกล้าเป็นฝ่ายขอมีอะไรกับเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมา... รดาเป็นคนเรียบร้อยและอ่อนหวาน ทว่าวันนี้เธอกลับเหมือนกลายเป็นอีกคน คนที่ฟินไม่รู้จักเลย “รดา... ทำไม”
   รดาก้มลงจูบฟิน เขาไม่ได้ขัดขืนอะไร ในสมองตอนนี้มีแต่ความไม่เข้าใจเต็มไปหมด
   “รดารักฟินมากนะ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้คบกันเสียด้วยซ้ำ” เธอกระซิบเบาๆที่ข้างหู ก่อนจะยืดตัวขึ้น เธอค่อยๆปลอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกจนหมดจนเห็นทรวงอกที่อัดแน่นอยู่ในชุดชั้นในสีชมพู
   ฟินเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะกล่าวออกมาเบาๆ “เรามีอะไรกันไม่ได้หรอก...”
   “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ในเมื่อเราสองคนรักกัน”
   ฟินหลับตาลงครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด พอลืมตาขึ้นอีกที เขาก็ดันตัวให้ลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง ใบหน้าของเขาและเธออยู่ห่างกันเพียงนิดเดียว “ออกไปจากตัวฉันเถอะนะ” ฟินพูดเบาๆ
   รดายิ้มเศร้า เธอรักเขามากจนไม่อยากจะถอยไปไหนแล้ว “ไม่ออก”
   “งั้นฉันออกไปเอง” ฟินลุกขึ้นในทันทีโดยที่ไม่สนใจรดา ร่างของหญิงสาวตกลงไปบนพื้น ฟินรีบคว้ากระเป๋าเป้แล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที
   รดามองตามอย่างคนหัวใจแตกสลาย ขนาดเธอยอมเขาขนาดนี้ เขายังไม่คิดจะสนใจเลย “ไม่เคยรักรดาเลยใช่มั้ย... ฟิน”

   หลังจากวันนั้น ฟินกับรดาก็กลายเป็นเพียงคนรู้จักกันเท่านั้น
   ฟินนั่งอ่านหนังสืออยู่กับเพื่อนร่วมคณะอยู่ที่ลานชั้นล่างของคณะ แม้ว่าสายตาจะจดจ้องอยู่ที่หนังสือแต่ในสมองนั้นมีแต่เรื่องของภีมล้วนๆ
   ในตอนนั้นเอง เบสท์ก็เดินเข้ามาหาฟิน เธอขอเวลาคุยกับเขาครู่หนึ่งซึ่งฟินก็ตกลง ฟินเดินออกไปกับเบสท์ ทิชามองตามอย่างสงสัย เธออยากจะวิ่งตามไปดูแต่จิตใต้สำนึกส่วนดีได้สั่งการว่า อย่าทำแบบนั้นเชียวนะเพราะมันจะทำให้ฟินยิ่งเกลียดขี้หน้าเธอเข้าไปใหญ่
   ดังนั้น ทิชาจึงได้แต่นั่งถอนหายใจด้วยความอยากรู้ว่าสองคนนั้น คุยเรื่องอะไรกัน
   “อาทิตย์หน้ามีการแสดงดนตรีที่หอประชุมใหญ่” เบสท์พูดขึ้น
   ฟินทำหน้าเป็นเชิงถามว่า... แล้วยังไง
   “ไปดูสิ... ภีมจะเล่นเปียโน”
   ฟินถอนหายใจบางๆแล้วเสมองไปอีกทางหนึ่ง “ฉันไม่ว่างหรอก... แล้วอีกอย่าง ฉันก็ไม่รู้จะไปทำไมเหมือนกัน”
   “ตามใจละกันนะ แต่อีกสามเดือนจะมีงานแสดงศิลปนิพนธ์ของคณะดุริยางคศาสตร์ งานนี้นายจะไปใช่มั้ย” เบสท์ถามอย่างมีความหวัง
   ฟินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา “ไม่รู้สิ อาจจะไม่ว่างก็ได้ ฉันต้องเรียนหนักน่ะ ต้องเรียนอีกตั้งสองปีกว่าจะจบ”
   เบสท์ตบไหล่ฟินเบาๆ “ยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าภีมจะไปเมืองนอกหลังจากเรียนจบแล้ว”
   “แล้ววันรับปริญญาล่ะ จะไม่มาเหรอ” ฟินถามอย่างสนใจ
   เบสท์พยักหน้ารับ “ภีมไม่สนใจหรอก เพราะเขามีอนาคตที่ดีรออยู่”
   “หมายความว่ายังไง”
   “ตอนนี้ภีมเขาดังมากเลยที่เมืองนอก แล้วงานแสดงคอนเสิร์ตก็มีไม่หยุดหย่อน พอเรียนจบภีมก็จะบินไปอังกฤษเลย ไปอยู่กับพ่อของเขา” เบสท์พูดเศร้าๆ เธอเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อวานนี้เอง มันเป็นเรื่องกะทันหันที่แม้แต่เจ้าตัวยังดูงงๆกับการกระทำของตัวเอง “ภีมดูแปลกๆ เหมือนไม่อยากไปยังไงก็ไม่รู้ แต่ฉันก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะเดี๋ยวนี้ภีมดูแปลกๆไป ไม่ร่าเริงเหมือนก่อน”
   “ภีมคงโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” ฟินพูดพลางก้มหน้าเพื่อซ่อนใบหน้าผิดหวัง
   “ไม่รู้สิ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ เอาล่ะ... ฉันต้องไปแล้ว นายก็ต้องไปให้ได้ซักงานนึงนะ” เบสท์ทิ้งท้ายก่อนจะวิ่งกลับไปที่ตึกเรียน
   ฟินเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยสีหน้าสับสน ภีมไม่คิดจะบอกเขาจริงๆเหรอ

   ฟินพลาดงานแสดงดนตรีของคณะดุริยางคศาสตร์ไป แต่สำหรับงานนี้เขาไม่พลาดอย่างแน่นอน
   งานแสดงศิลปนิพนธ์ของนักศึกษาปีสี่ คณะดุริยางคศาสตร์
   ฟินยืนอยู่หน้างาน เดินดูบอร์ดแนะนำงานศิลปนิพนธ์ของแต่ละคน เขาเดินมาหยุดอยู่ที่บอร์ดสีดำที่อยู่ริมสุดแต่โดดเด่นกว่าบอร์ดไหนๆ
   บอร์ดนำเสนอผลงานของ ‘ภีม    พิริยะ’
   “ภีมแต่งโซนาต้าเองเหรอ” ฟินพึมพำออกมาอย่างเหลือเชื่อ “Catch Star” ฟินอ่านชื่อโซนาต้าเบาๆแล้วมองไปรอบๆงาน แต่ก็ไม่พบคนที่เขาอยากจะพบ
   ภีมเตรียมตัวอยู่ที่หลังเวที เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการแสดงผลงานศิลปนิพนธ์ครั้งนี้ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะหนีกลับบ้านเสียด้วยซ้ำถ้าไม่ติดว่าอาจารย์จะมาให้คะแนนและชมผลงาน
   นักศึกษาแต่ละคนทยอยกันนำเสนองานศิลปนิพนธ์ทีละคนๆ ขนกระทั่งถึงภีม บุคคลที่ได้รับความสนใจที่สุดในเวลานี้
   ภีมก้าวออกมาจากหลังเวทีแล้วนั่งประจำที่ เปียโนที่ภีมใช้เล่นในครั้งนี้คือเปียโนสีเบจที่เขาขอยืมมาจากอาจารย์ท่านหนึ่ง
   ภีมเริ่มบรรเลงเพลง Catch Star บทเพลงโซนาต้าที่เขาแต่งขึ้นด้วยตนเอง
   ภูรดานั่งอยู่ทางด้านหน้าของเวที เธอมองน้องชายด้วยความภาคภูมิใจ ภีมเป็นคนเก่ง เก่งกว่าเธอเสียอีก เขาเก่งที่สามารถทำความฝันของเขาให้เป็นจริง เก่งที่มีทางเดินเป็นของตัวเอง
   บทเพลงดำเนินไปจนกระทั่งครบทั้งสี่ท่อนอันเป็นส่วนประกอบของโซนาต้า ภีมจบบทเพลงด้วยทำนองที่รวดเร็วจนผู้ฟังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มันรวดเร็วจนทำให้คนฟังจะขาดใจ
   เมื่อจบการบรรเลง ภีมถอนหายใจบางๆแล้วลุกขึ้นมายืนกลางเวที ทำความเคารพผู้ชมและคณาจารย์ก่อนจะเดินเข้าเวทีไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ยอมรับช่อดอกไม้จากใครทั้งนั้น
   พฤติกรรมของภีมสร้างความสงสัยให้กับทุกคนในหอประชุม บางคนถึงกับเอ่ยปากว่าในความหยิ่งทะนงของเขา
   ฟินไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมามอบให้ภีม เพราะเขารู้ดีว่าถึงอย่างไรภีมก็ไม่ยอมรับของจากเขาแน่นอน
   ภีมเดินเข้าไปหลังเวทีแล้วเก็บข้าวของเตรียมตัวจะกลับ เบสท์รีบเรียกไว้เพราะต้องฟังคำวิจารณ์จากอาจารย์อีก
   “จะรีบไปไหนเล่า ยังไม่เสร็จงานเลย เดี๋ยวจะมีคนมาดูงานต่ออีกนะ ภีมต้องอยู่สิ” เบสท์รีบพูด
   ภีมถอนหายใจด้วยความรำคาญ เบสท์ถึงกับงงในกิริยานั้นของเพื่อนรัก
   “เป็นอะไรไปล่ะภีม” เบสท์ถามอย่างไม่เข้าใจ
   ภีมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ไม่ชอบอยู่ที่ที่คนเยอะ ฉันขอกลับก่อนละกัน” ภีมตบไหล่เบสท์เบาๆแล้วเดินออกมาทันที เบสท์ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว นอกจากมองตามแผ่นหลังของภีมไป
   หลังจากงานเลิก ภูรดาวิ่งตามหาน้องชายไปทั่วทั้งงาน จนกระทั่งพบเบสท์ เธอจึงได้รู้ว่า ภีมกลับบ้านไปแล้ว ไม่นานนัก ฟินก็เดินเข้ามาสมทบ เขายกมือไหว้ภูรดาก่อนจะหันหน้าไปหาเบสท์
   “เจ้าของผลงานวิ่งหนีกลับบ้านไปแล้ว” เบสท์บอก
   “ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ” ฟินถามต่อ
   “ภีมบอกว่าไม่ชอบคนเยอะ แต่ฉันว่านั่นคือข้ออ้างมากกว่า ตั้งแต่ภีมบอกฉันเรื่องจะไปเมืองนอก เขาก็ดูหงุดหงิดตลอดเวลาเลย”
   ภูรดามีสีหน้าเศร้าลงในทันทีที่เบสท์กล่าวถึงเรื่องนี้ ฟินสังเกตเห็นใบหน้าของเธอแล้วก็เดาได้ทันทีว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
   “มีเรื่องอะไรจะบอกพวกเรามั้ยครับ พี่ภู” ฟินพูด
   ภูรดานิ่งไปคล้ายกำลังใช้ความคิด ครู่หนึ่งต่อจากนั้นเธอจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “แม่ให้ภีมเลือกว่าจะไปอยู่กับใคร ตอนแรกภีมไม่เลือก บอกว่าจะอยู่ที่นี่ทำสิ่งที่เขารัก แต่แม่ก็ยื่นคำขาดบอกว่าต้องไป ไม่อย่างนั้น แม่จะให้ภีมเข้าทำงานที่บริษัท แล้วก็...” ภูรดาเงียบไป
   “แล้วยังไงครับ” ฟินถาม
   ภูรดาผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเครียด “แล้วก็บอกเรื่องของเธอสองคนให้พ่อรู้”
   ครั้งนี้ฟินเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง เขาไม่คิดว่านอกจากพ่อของเขาแล้วยังมีแม่ของภีมอีกคนที่รู้เรื่องนี้ “หมายความว่ายังไงครับ”
   “เธอสองคนไม่คิดจะบอกพี่เลยเหรอ ปล่อยให้พี่รู้จากแม่”
   “ผมไม่คิดว่าพี่จะรับได้” ฟินบอกเสียงแผ่ว
   “แล้วรู้มั้ยว่าแม่รู้จากใคร”
   “ใครครับ” ฟินรู้สึกแปลกพิกลสำหรับคำถามข้อนี้
   “จากพ่อของเธอเอง เขาต้องการแยกเธอสองคนด้วยวิธีนี้”
   “ผมกับภีมไม่ได้คุยกันมาเป็นปีแล้วครับ ครั้งสุดท้ายที่คุยกันก็ตอนอยู่ปีสอง”
   “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็เดือดร้อนไปตามๆกัน แม่หันมาเล่นงานพี่อีกคนเพราะคิดว่าพี่รู้เรื่องนี้มาตลอด แล้วไม่บอก แม่จะยุบบริษัทของพี่ ภีมโมโหมาก เลยบอกว่า จะทำอะไรกับเขาก็ได้ แค่ไม่มายุ่งกับพี่แล้วก็ครอบครัวของฟินเป็นพอ สรุปแล้วภีมก็ต้องไปอยู่กับพ่อที่อังกฤษโน่นล่ะ”
   “นานแค่ไหนล่ะครับ”
   “ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 38 – ความเป็นผู้ใหญ่ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 02-10-2011 01:24:14


บทที่ 38 – ความเป็นผู้ใหญ่



   สี่ปีผ่านไป...
   ฟาร์มกิตติกุล
   ฟินกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่าสง่างาม เขาละสายตาเจ้าม้าขนสวยที่ชื่อว่า “เปรียว” แล้วมองไปยังประตูทางเข้าฟาร์ม
   บุรุษไปรษณีย์คนเดิมมาส่งจดหมายเหมือนทุกวัน ฟินเรียกคนงานที่อยู่แถวนั้นให้วิ่งออกไปรับจดหมาย
   “พี่ฟิน จดหมายของฟางหรือเปล่า” ฟางข้าวเรียกพี่ชายเสียงดังลั่น ตอนนี้เธออายุ 15 ปีแล้วและมีหน้าตาละม้ายคล้ายพี่ชายจนน่าตกใจ ฟางข้าวมัดผมที่ยาวระแผ่นหลังให้เป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะวิ่งออกมานอกบ้าน เธอถามพี่ชายด้วยประโยคเดิมอีกครั้ง
   “ถามพี่เขาเองสิ” ฟินโบ้ยหน้าไปทางคนงานที่กำลังวิ่งมาทางนี้เพื่อเอาจดหมายมาให้
   “นี่ครับ... จดหมาย”
   “ขอบคุณค่ะ” ฟางข้าวรับจดหมายด้วยความดีใจ จากนั้นก็อ่านชื่อที่จ่าหน้าซองช้าๆ “คุณอชิตะ  ก้องกิตติกุล”
   ฟินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าใครที่ส่งจดหมายมาให้เขา “ไหนขอพี่ดูซิ”
   ฟางข้าวส่งจดหมายให้พี่ชาย ฟินค่อยๆเปิดจดหมาย แต่ยังไม่ทันที่จะเปิด เสียงของผู้เป็นพ่อก็ดังขึ้นเสียก่อน
   “ฟิน ไปดูเจ้ามะเฟืองกับพ่อหน่อย มันไม่ยอมกินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” นทีตะโกนเรียกลูกชายก่อนจะควบม้านำไปยังโรงเรือน
   ฟินรีบยัดจดหมายฉบับนั้นใส่ในกางเกงแล้วขี่ม้าตามไป
   ฟางข้าวทำหน้าเครียด เธอเดินวนไปมาอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านอย่างใช้ความคิด “จดหมายนั่นอาจจะเป็นของพี่ภีมก็ได้” ฟางข้าวพึมพำกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรไปหาที่ปรึกษาอีกคนที่อยู่กรุงเทพฯ

   เครื่องดนตรีกว่ายี่สิบชิ้นทยอยกันบรรจุลงกล่องอย่างรีบเร่งโดยเจ้าของร้านขายเครื่องดนตรีที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ
   “เร็วๆได้มั้ยคะ คือว่าต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวจะสอนไม่ทัน” หญิงสาวที่แต่งตัวค่อนไปทางผู้ชายว่าพลางทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความหงุดหงิด
   “ใจเย็นๆสิเบสท์ ไม่เห็นต้องรีบขนาดนั้นเลยนี่” หญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างๆแตะแขนคนอารมณ์ร้อนเบาๆ
   “ไม่ต้องพูดดีเลยอิน ถ้าไอ้ติณณ์มันไม่ลืมล็อคอาคารก็คงไม่มีใครกล้าขึ้นมาขโมยของหรอก” เบสท์พูดอย่างหัวเสีย ยิ่งนึกถึงเจ้าตัวต้นเหตุยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปใหญ่
   เมื่อสองวันก่อน โรงเรียนสอนดนตรี ‘Fearless’ ถูกขโมยยกเค้าเครื่องดนตรีไปกว่ายี่สิบชิ้น ทั้งไวโอลิน กีต้าร์ ทรัมเป็ต และอื่นๆอีกมากมาย สาเหตุเกิดจาก ลืมปิดประตูทางเข้าออก และคนที่ทำหน้าที่นั้นคือ ติณณ์
   “ฉันจะไล่แกออกไอ้บ้าเอ๊ย” เบสท์ขบฟันเบาๆ ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “ว่าไงฟางข้าว พี่ว่าไม่ใช่ของภีมล่ะมั้ง ขนาดพี่ยังไม่เคยได้รับจดหมายจากเขาเลย นี่ก็สี่ปีเข้าไปแล้ว ยังไม่คิดติดต่อหาใครเลย ว่าแต่พี่ชายเราน่ะ... ลืมๆเรื่องของภีมไปบ้างหรือยัง ยังอีกเหรอ... อืมๆ เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะ พี่ยุ่งอยู่ บายจ้า” เบสท์วางสายโทรศัพท์แล้วหันหน้ามาคุมงานต่อ ในใจก็คิดอยู่ว่า ภีมทำอะไรอยู่ ไม่คิดจะติดต่อหาเพื่อนคนนี้บ้างเลยหรือไง
ฟางข้าวสั่นศีรษะอย่างอ่อนใจ เธอรู้เรื่องราวของพี่ชายเมื่อสองปีที่แล้ว รู้จากปากของฟินเองและเธอก็ยอมรับมันอย่างง่ายดาย ฟางข้าวยอมรับทุกอย่างที่พี่ชายเป็น เธอรักเขามากและเธอก็รักภีมเช่นกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เคยอยู่ด้วยกันก็ตาม

อังกฤษ
สองเดือนก่อนหน้านั้น...
   ภีตา ชายร่างสูง อายุราวๆหกสิบปีถอนหายใจบางๆก่อนจะวางโปสการ์ดรูปท้องฟ้าสีสดใสไว้บนหัวเตียงในห้องของลูกชาย สี่ปีที่มีลูกอยู่ข้างๆ เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก การได้อยู่กับลูกเป็นความสุขมากกว่าการมีเงินทองมหาศาลเสียอีก เขาครุ่นคิดถึงเวลาที่ผ่านมา เวลาเกือบครึ่งชีวิตที่เขาให้ความสนใจกับงานมากกว่าครอบครัว ณ ตอนนี้ ถ้าย้อนเวลาได้ เขาจะไม่ทำอย่างที่ผ่านมาแน่นอน
   เขาหยิบสมุดสีดำหนาเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือ ในสมุดเล่มนั้นเต็มไปด้วยโปสการ์ดรูปต่างๆมากมายกว่าหกร้อยภาพ ภาพที่เขาถ่ายไว้สำหรับภีม
   “ทำอะไรอยู่ครับพ่อ” เสียงเรียกดังขึ้นเบื้องหลัง ผู้ชายร่างสูง ผมยาวประบ่า เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย
   “พ่อทำโปสการ์ดใบใหม่มาให้แน่ะ วางอยู่ตรงหัวเตียง ภีมลองดูสิ...” ชายชราพูดพลางถอนหายใจ แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมาสี่ปีแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ช่องว่างของความสัมพันธ์แคบลงเลย ลูกชายของเขายังคงมีทีท่าเย็นชากับเขาเช่นเดิม
   “ทีหลังอย่าเข้ามาในห้องของผมอีก ถ้าไม่จำเป็น” ภีมพูดเสียงแข็งก่อนจะวางกีต้าร์ลงบนเตียง “ผมซื้อขนมเค้กมาฝาก อย่าลืมทานล่ะ”
   แต่ไม่ว่าลูกชายคนนี้จะเย็นชาสักเพียงใด แต่ภายในเขากลับอ่อนโยนเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะทำเหมือนไม่สนใจหรือบางครั้งก็ทำเหมือนกับว่าพ่อไม่มีตัวตน แต่ทุกครั้งที่เขาจะทำอะไร สิ่งแรกที่เด็กคนนี้จะนึกถึงก็คือ พ่อ
   “ไปกินด้วยกันสิลูก พ่อมีอะไรจะคุยด้วยอยู่พอดี” ชายชราเดินนำไปยังโต๊ะตัวเล็กที่อยู่นอกบ้านโดยไม่ลืมถือถุงขนมที่ลูกชายซื้อมาฝากไปด้วย
   “มีเรื่องอะไรหรือครับ” ภีมถามพลางทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงข้ามกับผู้เป็นพ่อ
   ภีตายิ้มบางๆ เขาดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีและแสนอาทรเป็นที่สุด ภีมมองใบหน้าของพ่อด้วยความรู้สึกแปลกๆ เขายอมรับว่าพ่อเปลี่ยนไปจากเดิมมาก พ่อไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อนและดูท่าว่าจะเข้าใจเขามากกว่าแม่เสียอีก
   “อยากกลับบ้านมั้ย” คำถามแรกของภีตาทำเอาภีมต้องนิ่งไป “วันก่อนที่ภีมขึ้นแสดงคอนเสิร์ต พ่อไม่เห็นว่าลูกจะมีความสุขเลย ไม่ว่าเพลงจะสนุกสนานสักเท่าไหร่ แต่พ่อก็ยังรู้สึกว่ามันเศร้าอยู่ดี สีหน้าของภีมไม่มีชีวิตชีวาเลย”
   “ผมก็เป็นของผมอย่างนี้ล่ะครับ พ่อจะมายุ่งทำไม” ภีมกล่าวเสียงแข็ง เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของเขา โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกส่วนตัว
   “มีเรื่องอะไรจะเล่าให้พ่อฟังหรือเปล่า” ภีตาพูดอย่างใจเย็นก่อนจะสบตากับลูกชาย
   ภีมถอนหายใจเสียงดังแล้วเสมองไปทางอื่น “ทำไมผมต้องมีเรื่องอะไรจะเล่าด้วย” ภีมพูดเสียงแข็ง
   ภีตามองลูกชายด้วยความเข้าใจแล้วยิ้มบางๆ เมื่อสองเดือนก่อน เขาได้รู้เรื่องทุกอย่างของลูกชายผ่านทางโทรศัพท์จากภูรดา ลูกสาวคนโต ในตอนแรกเธอไม่ยอมพูดความจริง ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมพูด จนภีตาต้องขู่ว่าจะไม่ให้ภีมกลับเมืองไทยอีกเลย เธอจึงยอมเล่าให้ฟัง
   ในตอนแรกภูรดาคิดว่า อย่างไรเสีย ผู้เป็นพ่อต้องโวยวายและแสดงท่าทีไม่ชอบอย่างแน่นอน แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ภีตารับฟังอย่างสงบ แม้จะรู้สึกกระทบกระเทือนใจอยู่บ้างแต่ความรู้สึกในส่วนลึกยังคงเต็มไปด้วยความเข้าใจ มันคล้ายจะเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากอยู่สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่สำหรับเขา... พ่อที่ไม่ได้เจอกับลูกชายมานานหลายปี ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกชอบอะไร ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว กลับเป็นเรื่องที่ยอมรับได้อย่างไม่ยาก
   สำหรับเขา ภีมก็ยังเป็นภีม เป็นลูกชายที่น่ารักคนเดิม...
   และตอนนี้ ลูกของเขาก็โตพอที่จะใช้ชีวิตด้วยตนเอง คิดด้วยตนเอง กระทั่งทำอะไรตามใจตนเอง เขาซึ่งเป็นพ่อ เคารพในการตัดสินใจของลูกเสมอ แม้ว่าการตัดสินใจนั้นจะทำให้มุมมองของคนรอบข้างเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยืนอยู่ข้างลูกเสมอ
   “ภีม” ภีตาเรียกลูกชายเบาๆ ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อยากทำอะไรก็ทำเถอะนะ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเดือดร้อนอีกแล้ว ทำตามใจที่ภีมอยากทำ ไม่ต้องกลัวแม่เขาหรอก”
   ภีมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “พ่อหมายความว่ายังไง”
   “พ่อรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว และพ่อก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนในสิ่งที่ภีมเป็นเลย”
   ภีมหน้าชาไปในทันที เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าอายเหลือเกิน ความรู้สึกเก่าๆที่เขาพยายามจะลบเลือนไปหวนกลับมาอีกครั้ง สี่ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของเขาเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่เลย มันคล้ายกับว่าช่วงเวลานั้นได้ฝังลึกอยู่ในใจและอยู่ในทุกอณูของความรู้สึก
   ภีมเคยคิดว่า เวลาจะช่วยทำให้เขาลืมและเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ในตอนนี้ เวลากลับกลายเป็นเครื่องทดสอบใจ และตอนนี้มันก็กำลังประมวลข้อมูลที่เก็บมาตลอดระยะเวลาสี่ปีอยู่
   “ผมไม่รู้ว่าพ่อกำลังพูดเรื่องอะไร พ่อรู้อะไรมาผมไม่สน อย่าทำให้ผมวุ่นวายไปมากกว่านี้อีกเลยนะ ขอร้องเถอะครับ” ภีมบอกออกมา
   ภีตายังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน เขารู้ว่าลูกชายรู้สึกอย่างไรและเขาจะไม่พูดอะไรอีก นอกจาก... “ไม่ว่าภีมจะทำอะไร จำไว้ ว่าพ่อจะยืนอยู่ข้างลูกเสมอ แม้ว่าเราจะไม่ใช่พ่อลูกที่สนิทกันที่สุด แต่พ่อก็รักลูกที่สุด รักมากเหลือเกิน อะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจ พ่อคนนี้... จะเข้าใจลูกเอง” เขาพูดด้วยความหนักแน่น
   ภีมเม้มริมฝีปากด้วยความเครียด เรื่องมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ พ่อของเขากลายเป็นคนที่รักลูกมากกว่าชื่อเสียงได้อย่างไร มันตลกสิ้นดี
   “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะครับ” ภีมตัดบทแล้วเดินหนีไปทันที
   วันต่อมา...
   ภีมบอกภีตาเรื่องการแสดงคอนเสิร์ตของนักเปียโนชื่อดังระดับโลกคนหนึ่ง เขาจะมาจัดการแสดงที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก และภีมก็ได้รับโอกาสให้ขึ้นแสดงด้วยในฐานะนักเปียโนรับเชิญเพียงคนเดียวของงาน
   เมื่อสองปีก่อนที่ภีมขึ้นแสดงการเดี่ยวเปียโนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอังกฤษ นักเปียโนคนนี้ก็อยู่ในงานด้วย เขาประทับใจในฝีมือและพรสวรรค์ของภีมถึงขั้นออกปากชวนมาเดี่ยวเปียโนแข่งกัน ซึ่งแน่นอนว่าภีมต้องไม่ตกลง เพราะเขาจะไม่ชิงดีชิงเด่นกับใครถ้าไม่จำเป็น แม้ว่าคนๆนั้นจะมีชื่อเสียงกึกก้องสักเพียงใดก็ตาม
   เมื่อภีมไม่ตกลง นักเปียโนผู้นั้นจึงทำทุกวิถีทางเพื่อจะวัดความสามารถทางดนตรีของเขาและภีม โชคเข้าข้างเขาเป็นอย่างมาก เมื่อภีมและเขาได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งให้ไปแสดงดนตรี จากการแสดงครั้งนั้นเอง เขาก็พบว่า ฝีมือการเดี่ยวเปียโนของหนุ่มน้อยชาวไทยคนนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย บางช่วงบางตอนอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
   ภีมทำงานเป็นครูสอนเปียโนที่โรงเรียนดนตรีแห่งหนึ่งใกล้ๆกับบริษัทของพ่อ เขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะแข่งขันอะไรกับใครเพื่อสร้างชื่อเสียงเหมือนกับแต่ก่อน เขารู้สึกว่าชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว ชื่อเสียงอะไรเขาไม่ต้องการ
   “อีกสองเดือนผมจะกลับเมืองไทย ถ้าพ่ออยากไปดูก็ไปนะครับ” ภีมพูดเสียงเรียบแล้ววางบัตรเชิญเข้าร่วมงานแสดงครั้งนี้ไว้บนโต๊ะทำงานของภีตา
   “ถ้ากลับไปตอนนั้นจะมีเวลาเตรียมตัวเหรอ อีกแค่สองเดือนกว่าๆงานก็จะเริ่มไม่ใช่เหรอไง” ภีตาท้วงขึ้น
   “ไม่เห็นต้องเตรียมตัวอะไรเลย เอาล่ะ... ผมมีเรื่องพูดแค่นี้ล่ะ”
   “พ่อจะไปดู และแม่ของลูกก็ต้องไปเหมือนกัน” ภีตาพูดอย่างหนักแน่น เขานี่ล่ะ... จะเป็นคนเปลี่ยนความคิดภรรยาเอง
   “ถ้าพ่อคิดว่าเอาเขาไปได้ ผมก็ไม่ว่าอะไร” ภีมแค่นหัวเราะท้ายประโยคแล้วหมุนตัวเดินออกไป
   ภีตามองบัตรเชิญสามใบที่อยู่บนโต๊ะก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ สองใบแรกเป็นของเขาและภรรยา ส่วนใบที่สาม...
   เขาหยิบบัตรเชิญใบหนึ่งใส่ซองจดหมาย ปิดผนึก แล้วจ่าหน้าซองถึง...
   คุณอชิตะ   ก้องกิตติกุล
   หน้าซองจดหมายมีแต่ชื่อ ยังไม่มีที่อยู่... ภีตาคิดว่าจะโทรถามภูรดาแต่ก็ลืมโทร จดหมายฉบับนั้นจึงวางอยู่บนโต๊ะเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน กระทั่งภูรดาเป็นฝ่ายโทรมาดาเขาจึงนึกออก
   ในตอนนั้นเอง จดหมายก็จ่าหน้าซองถึงผู้รับจนสมบูรณ์
   หนึ่งสัปดาห์ต่อมา จดหมายก็ถึงมือผู้รับ...
   แต่... น่าเสียดายที่เขายังไม่ได้เปิดอ่าน

   ‘ฟ้าคราม’ ม้าสีขาว รูปร่างสวยสง่าล้มป่วยลงกะทันหันโดยไม่มีใครทราบสาเหตุและมันก็จากไปในทันทีที่ล่วงเข้าวันที่สองของการป่วย แม้ว่าฟินจะพยายามยื้อชีวิตมันเอาไว้ด้วยยาราคาแพงที่เขาอุตส่าห์ขับรถไปถึงกรุงเทพเพื่อซื้อมา ก็ไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสที่อยู่ในตัวของเจ้าม้าตัวสวยนี้ได้เลย
   เขาฝังเจ้าฟ้าคราม ม้าคู่ใจไว้ที่สวนหลังบ้าน ถ้าเขาดูแลใส่ใจมันมากกว่านี้ ฟ้าครามก็คงไม่ตาย
   “ฟ้าครามมันแก่แล้ว” นทีพูดเบาๆ เขาก็รักฟ้าครามไม่แพ้กัน มันเป็นม้าสีขาวสวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา มันทั้งแข็งแรง สง่างาม และแสนดี “พ่อรู้ว่าฟินเสียใจ”
   ฟินมองหลุมที่ฝังร่างของฟ้าครามแล้วยิ้มทั้งน้ำตา “ผมรักมันมากและคิดว่าจะไม่ยอมให้มันตายแน่ๆ แต่สุดท้ายมันก็ตาย ตายโดยที่ผมยังไม่ได้ช่วยอะไรมันเลย”
   “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะพี่ฟิน พูดเหมือนโทษตัวเอง ฟ้าครามมันแก่แล้ว ภูมิคุ้มกันโรคก็อ่อนลง พอมาเจอเชื้อไวรัสตัวนี้เข้าก็เลยต้านทานไม่ไหว มันไม่เกี่ยวกับพี่เลย” ฟางข้าวช่วยพูดอีกคน
   ฟินมองไปยังดินที่กลบร่างของฟ้าครามพลางคิดว่า... ต่อให้เขาเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถยื้อใครให้หลุดพ้นจากความตายได้ เกียรตินิยมที่ได้มาไม่ได้ช่วยให้ฟ้าครามมีชีวิตรอด
   “พี่เข้าใจแล้ว อย่าพูดมากน่า... รีบไปแต่งตัวซะน้องรัก วันนี้พี่จะขับรถพาเข้ากรุงเทพฯไปหาพี่เบสท์” ฟินลูบหัวน้องสาวเบาๆอย่างเอ็นดู
   ฟางข้าวรีบวิ่งขึ้นไปแต่งตัวทันที ฟินถอนหายใจเบาๆก่อนจะตัดใจไม่มองมันอีก ฟินขึ้นไปแต่งตัวบ้าง เขาหยิบกางเกงยีนส์สีเข้มและเสื้อเชิ้ตลายตารางสีน้ำตาลมาใส่
   เมื่อสองพี่น้องแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็บอกลาพ่อกับแม่ นทีมองลูกชายอย่างภูมิใจ หลายปีมานี้ ฟินไม่ได้สร้างเรื่องราวอะไรให้เขากังวลใจเลย แม้จะคิดอย่างนั้น แต่ในส่วนลึกของจิตใจก็ยังรู้สึกได้ว่า ฟินไม่ได้มีความสุขเลย ดวงตาก็ว่างเปล่าจนคาดเดาอะไรไม่ได้
   “ไม่ต้องรีบกลับหรอกนะฟิน นานๆทีจะได้ไปหาเพื่อนฝูง” อาภาบอก
   “แต่พ่อว่ารีบกลับก็ดีนะ อยู่กับเพื่อนมากๆเดี๋ยวจะกู่ไม่กลับอีก” นทีพูดเสียงเข้ม อาภามองสามีอย่างไม่เข้าใจ “พูดอะไรอย่างนั้นล่ะพ่อ”
   “พ่อก็พูดไปเรื่อยๆน่ะ ไม่ต้องมาสนใจหรอก” นทีพูดแล้วก็เดินเข้าบ้านไป
   อาภาถอนหายใจบางๆ บรรยากาศที่ว่าจะเริ่มดีกลับแย่ลงอีกแล้ว “แม่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าฟินกับพ่อน่ะมีปัญหาคาใจอะไรกันหรือเปล่า แต่แม่ว่าน่าจะหันหน้าคุยกันดีกว่าปล่อยให้ปัญหามันยืดเยื้ออย่างนี้”
   ฟินถอนใจบ้าง เบื่อเต็มทีกับเรื่องที่สมควรจะจบแต่กลับไม่จบ “ที่มันยืดเยื้ออย่างนี้ ไม่ใช่เพราะผมหรอกครับแม่”
   ฟางข้าวบีบมือพี่ชายอย่างให้กำลังใจ “ใช่ค่ะแม่ เรื่องมันยืดเยื้อแบบนี้ไม่ใช่เพราะพี่ฟินหรอก เพราะพ่อต่างหาก พ่อน่ะ... ระแวงคนอื่นไปทั่ว ไม่ไว้ใจใครเลย แล้วก็ชอบเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ อะไรที่ลูกชอบ ถ้าพ่อไม่ชอบซะอย่าง ลูกก็ต้องตัดใจ”
   ฟินกระตุกมือฟางข้าวบอกให้เธอหยุดพูด แต่ฟางข้าวก็ยังไม่หยุด “พ่อน่ะ... อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการ ทั้งๆที่ตอนเล็กๆพ่อบอกพวกเราว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรพ่อก็จะรัก แต่พอเอาเข้าจริง พ่อกลับทำตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองเคยพูดตลอด…”
   “แกพูดจบหรือยัง ฟางข้าว” เสียงตวาดดังมาจากข้างในบ้าน ฟางข้าวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ อาภารีบวิ่งไปหาเจ้าของเสียงในทันที
   “ลูกก็พูดไปอย่างนั้นเอง ทำไมต้องทำเสียงโกรธขนาดนั้นด้วยล่ะพ่อ” อาภาลูบแขนสามีเบาๆ หวังว่าเขาจะระงับความโกรธเอาไว้ได้
   นทีมองหน้าลูกทั้งสองไปมา เขาคิดว่าฟินคงเสี้ยมสอนน้องสาวให้เป็นอย่างนี้ ให้คิดว่าผิดเป็นถูก “แกสองคนปีกกล้าขาแข็งกันนักหรือไง ยังอาศัยอยู่บ้านฉันแต่กลับมาด่าว่าฉันฉอดๆ”
   “ฟางรักและเคารพพ่อมาก แต่พักหลังๆมานี้ พ่อก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน พ่อไม่พยายามมองพี่ฟินในแง่ดีเลย พ่อเอาแต่จะจับผิด...”
   “พอแล้วฟาง จะรื้อฟื้นอะไรกันอีก” ฟินปรามเบาๆไม่อยากให้อาภารู้เรื่องนี้อีกคน เพราะอย่างไรเสีย เรื่องมันก็จบไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาต้องเป็นเสาหลักสำคัญให้กับครอบครัว
   “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทุกคนกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ ทำไมแม่รู้สึกเหมือนไม่รู้อะไรอยู่คนเดียว แล้วพ่อล่ะ... บอกแม่ได้ไหม ว่าโกรธฟินเรื่องอะไร ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ทำไมไม่หันหน้าคุยกัน แม่ไม่เข้าใจจริงๆ” อาภาโพล่งออกมาอย่างเหลืออด หลายปีมานี้ ทุกคนในบ้านดูแปลกไปกันหมดคล้ายกำลังปิดบังอะไรอยู่ “เล่ามาให้หมดเลย มันยังไม่ถึงเวลาที่แม่ต้องรู้อีกเหรอ จะรอให้แม่ตายก่อนหรือยังไง”
   นทีแค่นหัวเราะ “อยากรู้นักใช่มั้ย พ่อจะบอกให้รู้ก็ได้ว่าลูกชายคนดีมันไปทำเรื่องอะไรไว้”
   ฟินเข้าไปยืนขวางตรงกลางพ่อและแม่ “ทำไมไม่ลืมมันซักทีครับพ่อ ทั้งๆที่ผมพยายามแล้ว พยายามจะเป็นลูกคนเดิมของพ่อ แต่ทำไมพ่อไม่พยายามมองผมว่าเป็นลูกคนเดิมของพ่อบ้าง”
   อาภามองหน้าลูกชาย เธอมั่นใจแน่แล้วว่าสองคนนี้มีเรื่องค้างคาใจกันอยู่ “ไม่ต้องมาพูดจาวกวนอะไรกันเลย จะยังไงก็ตามวันนี้ก็ต้องเล่าเรื่องที่ปิดบังไว้ให้แม่ฟัง”
   “ไม่มีอะไรครับแม่” ฟินบ่ายเบี่ยง
   “ถ้าเรื่องมันจบไปแล้วจริงๆ แกก็ต้องกล้าเล่าให้แม่แกฟังสิ” นทีท้าทายก่อนจะแค่นหัวเราะอีกครั้ง
   ฟินหลับตาลงช้าๆแล้วกล่าวออกมาเสียงเบา “ก็เพราะว่ามันจบไปแล้วไงครับ ผมไม่อยากรื้อฟื้นอะไรอีก”
   “ก็เพราะว่าแกมันชอบผู้ชายด้วยกันนี่ไง มันถึงต้องระวังกันไว้เป็นพิเศษ แล้วไอ้ผู้ชายคนที่ว่า...”
   “หยุดซักทีเถอะครับพ่อ หกปีที่ผมกับเขาไม่ได้ติดต่อกัน มันยังไม่สมใจพ่ออีกเหรอไง” ฟินโพล่งออกมาแล้วเดินไปขึ้นรถ ฟางข้าวกัดฟันมองหน้าพ่อ “ฟางไม่เคยคิดเลยว่าพ่อจะทำร้ายพี่ฟินได้ถึงขนาดนี้ พี่เขาจะเป็นยังไงแต่เขาก็เป็นลูกพ่อไม่ใช่เหรอ” พูดจบก็วิ่งตามฟินไปขึ้นรถทันที
   อาภามองลูกทั้งสองขับรถออกไป เธอถอนหายใจบางๆ นี่หรือคือเรื่องที่ทุกคนปิดบังเธอมาตลอด สำหรับอาภาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสักนิดเดียว
   “เรื่องแค่นี้เองเหรอที่ปิดบังกันอยู่ตั้งนาน” อาภาพูดพลางทำหน้าละเหี่ยใจ
   “คุณเรียกว่าเรื่องแค่นี้อย่างนั้นเหรอ” นทีตวาดใส่ภรรยา “ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆอย่างคุณหรอก ฉันเกลียดเรื่องแบบนี้ที่สุด วิปริตผิดเพศ”
   “อย่ามาพูดจาน่าเกลียดว่าลูกอย่างนี้นะพ่อ” อาภาตวาดบ้าง “ลูกมันจะเป็นยังไงก็ช่างมันสิ จะดีจะชั่วมันก็ลูกเรา”
   “ฉันมีลูกชาย ฉันก็อยากให้มันเป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง อยากให้มันมีลูก อยากให้มันเป็นเหมือนคนทั่วไป”
   “แล้วฟินไม่เหมือนคนทั่วไปตรงไหน มันดีกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ ฉันไม่เคยเห็นมันจะทำเรื่องอะไรให้เราเดือดร้อนเลยสักครั้ง ตั้งแต่เล็กจนโตมันไม่เคยขัดใจเรา แล้วคุณจะเอาอะไรจากมันอีก” อาภาชักจะโมโหเหมือนกัน
   เสียงโวยวายของทั้งสองคนทำเอาคนงานในไร่เกาะกลุ่มกันเป็นไทยมุง นทีหันมาเห็นเข้าจึงรีบไล่ตะเพิดคนเหล่านั้นไปด้วยเสียงอันดัง “ถ้าพวกแกไม่ไปทำงานกันล่ะก็ ฉันจะไล่ออกยกไร่เลย”
   “ไป เข้าไปคุยกันข้างใน อย่าให้อายคนไปมากกว่านี้อีกเลย” นทีฉุดมือภรรยาให้เข้าไปเถียงต่อในบ้าน แต่อาภาสะบัดมือออก เธอไม่คิดว่าสามีจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากถึงเพียงนี้ มันยากตรงไหนกับการที่คนเป็นพ่อแม่จะเข้าใจในตัวลูก มันไม่ยากเลยสักนิดเดียว
   “ฉันจะไปโรงเรือน เชิญคุณคิดมากไปคนเดียวเถอะ” อาภาว่าแล้วก็สะบัดหน้าหนีออกไปทันที นทีมองตามอย่างโมโห เขาอุตส่าห์เฝ้าถนอมน้ำใจภรรยามาตลอด เก็บความลับเอาไว้กลัวว่าเธอจะรู้แล้วรับไม่ได้ แต่วันนี้... เธอกลับยอมรับเรื่องบ้าๆนี้อย่างง่ายดาย มันน่าโมโหมั้ยล่ะ
   “โว้ย... บ้ากันไปใหญ่แล้ว นี่มันเรื่องน่าอับอายชัดๆ” นทีโวยวายตามหลังแล้วนั่งหัวเสียอยู่ตรงนั้นเป็นนานสองนาน



 :m31: :m31: :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 39 – ความเป็นผู้ใหญ่ 2 /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 02-10-2011 01:26:11


บทที่ 39 – ความเป็นผู้ใหญ่ 2


   “แล้วนายก็เดินหนีออกมาดื้อๆเลยเหรอ” เบสท์ถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตลุกวาวราวกับว่าเรื่องที่ได้ฟังเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์นัก
   ฟินพยักหน้าเบาๆพลางถอนหายใจ เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องขบขันอย่างที่ทุกคนคิด ตรงกันข้ามมันเป็นเรื่องที่กดดันใจเขาอย่างมาก “มันน่าขำตรงไหนติณณ์” เขาหันไปถามติณณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆอินตา
   ติณณ์หัวเราะร่า น้ำหูน้ำตาแทบไหล “ก็พี่มีนเคยบอกว่าพี่ฟินน่ะกลัวพ่อมาก ขนาดที่ว่าไม่กล้าเถียงเลยสักแอะ พอมาฟังเรื่องวันนี้ก็เลยขำๆน่ะ นึกภาพไม่ออกเลยว่าพ่อของพี่จะทำหน้ายังไง”
   “จะทำหน้ายังไงล่ะ นอกจากโมโหจนแทบกระอักเลือด” ฟางข้าวเสริม ฟินหันไปทำตาเขียวใส่เธอก่อนจะพูดต่อ “พ่อคงไม่คิดว่าเราสองคนจะกล้าเถียง ลำพังฉันคนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่แม่ตัวดีคนนี้ดันพูดจาไม่เกรงกลัวฟ้าดินออกไปน่ะสิ”
   “เยี่ยมมากสาวน้อย พี่ว่าถึงเวลาที่เราต้องพูดอะไรออกไปบ้างล่ะนะ เพราะบางทีการแข็งข้ออาจจะทำให้พวกผู้ใหญ่ตาสว่างขึ้นมาบ้าง” ติณณ์ขยิบตาให้ฟางข้าว
   ฟินปรายตามองอย่างขัดใจ สองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไรเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทุกที
   อินตาที่นั่งฟังอยู่นานก็แสดงท่าทางเห็นด้วยกับคำพูดของติณณ์ เธอคิดว่า บางครั้งพวกผู้ใหญ่ก็คงต้องการคำแนะนำดีดีจากเด็กอย่างเราบ้าง แต่คิดไปคิดมา... พวกเราๆที่นั่งอยู่ ณ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เด็กกันเสียแล้ว
   “อินว่ามันยากนะที่จะเปลี่ยนความคิดของคนเป็นพ่อเป็นแม่” อินตาบอก
   ทุกคนในวงสนทนาถกเถียงกันไปมาถึงประเด็นนี้ ในขณะที่ฟินก็กำลังขบคิดว่าจะวุ่นวายไปทำไม ในเมื่อเรื่องของเขาและภีมก็จบไปตั้งนานแล้ว ต่อให้ไม่มีอุปสรรคอะไร เขาสองคนก็คงไม่มีวันหวนกลับมาเดินเส้นทางเดิมที่เคยเดินด้วยกันอีกแล้ว
   เพราะตอนนี้ ต่างคนก็ต่างโตขึ้น ต่างก็มีหนทางเป็นของตัวเอง ยิ่งเวลาสี่ปีที่ไม่ได้ติดต่อหากัน มันยิ่งทำให้คิดได้ต่างๆนานา ภีมอาจจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เรื่องที่เคยเกิดขึ้นอาจจะถูกวันเวลาลบเลือนหายไปจนกลายเป็นเพียงภาพอดีตที่ไม่น่าจดจำ
   สี่ปี มันนานเสียยิ่งกว่านาน นานพอที่จะทำให้ความทรงจำต่างๆถูกบิดเบือนไป นานพอจะทำให้คนๆหนึ่งทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังและตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
   แต่... สำหรับฟิน ช่วงเวลาสี่ปีทำให้เขาได้คิดและเข้าใจตัวเองมากขึ้น คนเราถ้าลองได้รักใคร มันจะฝังใจอยู่อย่างนั้นจนยากที่จะลืมเลือน ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่ ความทรงจำนั้นกลับยิ่งตราตรึง ฝังแน่นในใจจนลึกลงไปทุกที
   “คิดอะไรอยู่น่ะ” เบสท์ตบหลังฟินเบาๆ พอให้เขาได้สติ ฟินคงไม่รู้ตัวเองว่าตอนนี้ดวงตาของเขาช่างเคว้งคว้างและล่องลอยมากเพียงใด
   ฟินส่ายหน้าแทนคำตอบ เบสท์ยิ้มบางๆอย่างเข้าใจ ถ้าผู้ชายคนนี้ส่ายหน้าแสดงว่าต้องมีอะไรอย่างแน่นอน “คิดอะไรอยู่ พูดออกมาซะดีดี”
   “ไม่มีอะไรซักหน่อย” ฟินปฏิเสธ
   “เก็บไว้คนเดียวมันดีนักหรือไง มีอะไรก็บอกกันสิ เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เบสท์ทำหน้าจริงจังจนฟินต้องใจอ่อนพูดออกไป
   “คิดอยู่ว่าฉันจะมานั่งกลุ้มใจเรื่องนี้ไปทำไม ในเมื่อฉันกับภีมก็จบกันไปแล้ว ภีมก็อาจจะไม่เหมือนเดิม”
   เบสท์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องแล้วพูดออกมาเบาๆ “ภีมมันลืมยากกว่าที่นายคิดนะ บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังคิดเหมือนที่นายกำลังคิดอยู่ก็ได้ คิดว่าอย่างไรซะ มันคงไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม”
   “แต่ภีมเลือกที่จะไป” ฟินเถียง
   “จำไม่ได้หรือไงว่าทำไมภีมต้องไป ถ้าจำไม่ได้ฉันจะบอกให้ฟังอีกรอบ”
   “ไม่ต้องหรอก แต่ฉันรู้สึกว่าภีมไม่น่าหายไปอย่างนี้ หายไปเหมือนกับว่าจะไม่เจอกันอีกตลอดชีวิต” ฟินพูดแล้วก็ถอนหายใจ การวกวนคิดเรื่องนี้ทำให้เขาจิตตกอยู่ร่ำไป ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้มแข็งขึ้นเลยสักนิดเดียว
   “ฉันว่าภีมคงตั้งใจจะลืมจริงๆนั่นล่ะ ภีมคงอยากตั้งต้นชีวิตใหม่ แต่อยู่ที่ว่า... เขาจะลืมและเริ่มชีวิตใหม่ได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” เบสท์พูดพลางถอนหายใจ
   “แต่ฉันเชื่อว่าคนอย่างภีม ถ้าจะลืม... ก็ต้องลืม” ฟินบอก
   “แต่ฉันก็เชื่อเหมือนกันว่าคนอย่างภีม ยิ่งจะลืม... ก็ยิ่งจำ” จบประโยคนี้ เบสท์ก็ลุกขึ้นเดินหนีไป เธออยากให้ฟินได้อยู่คนเดียวเพื่อใช้ความคิด ความคิดที่มีแต่ความรู้สึกของเขาไม่ใช่เอาความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นมาเจือปนด้วย
   แต่สิ่งที่ฟินคิดอยู่อย่างเดียวตอนนี้ก็คือ มันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
   ภูรดานั่งทำงานอยู่ในห้องอย่างเคร่งเครียด หลายวันมานี้ ยอดขายของบริษัทลดลงไปมากจนน่าตกใจ ทั้งๆที่เป็นบริษัทส่งออกอันดับหนึ่งแท้ๆ แต่ตอนนี้ยอดสั่งซื้อกลับต่ำลงจนน่าใจหาย เช็คไปเช็คมาก็พบว่า ลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากพิริยะ กลับหันไปสั่งซื้อกับอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นคู่แข่งกัน
   มันน่าแปลกที่อยู่ๆลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจกับพิริยะมากว่าสิบปีเลือกที่จะสั่งซื้ออัญมณีจากที่อื่น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายไปยังท่านรองประธาน นั่นก็คือ ภีมดา แม่ของเธอเอง
   ภีมดากำลังง่วนอยู่กับการคัดเลือกแบบสร้อยเพชร เมื่อเลขาส่วนตัวเดินเอาโทรศัพท์มาให้ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที “ใครกัน โทรมาเวลานี้ เธอก็อีกคน ไม่รู้จักพูดออกไปว่าฉันไม่ว่าง”
   “คุณภูโทรมาค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญ” เลขานุการสาวบอกเสียงแผ่วแล้วเดินออกไปจากห้องทันที
   ภีมดาละสายตาจากแบบสร้อยเพชรกว่าหนึ่งร้อยแบบ แล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องที่ลูกสาวกำลังจะพูด เธอคิดว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญล่ะก็ ต้องออกปากว่าลูกคนนี้สักหน่อยนึง
   “มีเรื่องอะไร รู้ไหมว่าฉันกำลังยุ่ง”
   “ไม่รู้ค่ะ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าตอนนี้ลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากเราเปลี่ยนไปซื้อจากที่อื่นแทน ยอดขายของพิริยะก็เลยตกลงไปมาก และถ้าเป็นอย่างนี้ไปอีกสักสองเดือน เงินหมุนเวียนในบริษัทต้องไม่เหลือแน่ๆค่ะ”
   ภีมดาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พิริยะเป็นบริษัทส่งออกอัญมณีที่มั่นคงมาหลายปี จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ต้องมีใครสักคนสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของบริษัทอย่างแน่นอน
   “แล้วโทรไปถามลูกค้าหรือเปล่าว่าทำไมถึงไปสั่งซื้อจากที่อื่น”
   “โทรแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครยอมบอกเหตุผลเลยสักคน”
   “ฉันจัดการเรื่องนี้เอง” ภีมดาบอกลูกสาวก่อนจะวางโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพิริยะเลยสักครั้ง ว่าแล้วภีมดาก็ต่อโทรศัพท์ไปยังสามี
   ทางด้านภีตา พอได้รับโทรศัพท์จากภรรยาก็กระหยิ่มยิ้มย่องราวกับว่าได้ชัยชนะ คนอย่างภีมดา ถ้าไม่ใช่เรื่องธุรกิจเงินทองล่ะก็ อย่าหวังว่าเธอจะโทรมา
   “โทรมาหาผมเองแบบนี้ แสดงว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งๆล่ะสิ” ภีตาพูดเสียงเรียบ พยายามระงับความขบขันไม่ให้เล็ดลอดผ่านน้ำเสียง
   ภีมดาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เธอเบื่อที่สุดคือคนรู้ทัน “บริษัทลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากเรากลับเปลี่ยนไปซื้อจากที่อื่น ที่อังกฤษเกิดเรื่องแบบนี้บ้างหรือเปล่า”
   ภีตายิ้มบางๆ “คุณเพิ่งรู้หรืออย่างไรว่าบริษัทเรามียอดสั่งซื้อลดลงจากเดิมเกือบหกสิบเปอร์เซนต์ ผมรับรองว่าไม่เกินสองเดือนต้องเจ๊งแน่ๆ”
   ภีมดาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าท่านประธานใหญ่ของพิริยะจะพูดจาไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ “คุณพูดเหมือนกับว่าอยากให้มันเจ๊ง”
   “เจ๊งก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้พิริยะก็รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว ฉะนั้นเราสองคนน่าจะหยุดทำงานแล้วกลับไปอยู่กับลูกที่ประเทศไทยได้แล้วนะ หรือคุณว่าไง” ภีตาพูด
   ภีมดารับฟังสามีด้วยความโกรธ เธอไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้หรอก ไม่ยอมแน่นอน “คุณบ้าไปแล้วหรือไงคะ พิริยะจะจบแบบนี้ไม่ได้ ฉันไม่มีวันทิ้งเงินเป็นสิบๆล้านเพื่อไปอยู่กับลูกๆหรอก ไม่มีทางแน่นอน”
   “นี่คุณเลือกงานมากกว่าเลือกลูกๆเหรอ ฟังผมให้ดีนะ เราถึงเวลา...”
   “คุณเงียบไปเลย ชีวิตฉัน งานต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ฉันจะไม่ทิ้งชื่อเสียงและเงินทองไปหรอก” ภีมดากล่าวเสียงแข็ง
   ภีตาขมวดคิ้วอย่างหนักใจ ภรรยาของเขาดื้อดึงเกินกว่าจะกล่าวจริงๆ “พิริยะเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณนั่นล่ะภี คุณลองนึกดูให้ดีสิ ว่าเดือนก่อนคุณทำอะไรไว้”
   ภีมดาทำตามที่สามีบอก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ภีตาจึงเป็นฝ่ายเฉลยออกมา “คุณส่งอัญมณีไม่ได้มาตรฐานให้กับลูกค้าถึงสามแห่งทั้งๆที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าของชุดนั้นมันไม่ได้มาตรฐานแต่คุณก็ยังดันทุรังส่งให้เขาและบอกว่าลดราคาให้สิบเปอร์เซนต์เพราะเห็นว่าซื้อขายกันมานาน”
   ภีมดาเงียบไป ครั้งนี้เป็นความผิดของเธอจริงๆ ภีมดาไม่ทันคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำลายความน่าเชื่อถือของพิริยะได้ถึงเพียงนี้
   “คนเราน่ะนะ ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต แล้วใครจะไว้วางใจเรา คุณอาจจะอ้างว่ามันเป็นความผิดพลาดก็ได้ แต่นั่นมันคือข้ออ้างครั้งแรกสำหรับความผิดที่พอให้อภัยได้ แต่คุณกลับทำมันเป็นครั้งที่สอง ทางลูกค้าโทรมาหาผมแล้วบอกว่าอัญมณีชุดใหม่ที่ได้รับจากคุณมันขนาดเล็กกว่าที่สั่งไปหลายเท่า ร้องเรียนไปกับคุณ คุณก็ไม่สนใจ”
   “ฉันไม่ว่าง คุณก็รู้นี่คะ ว่าตอนนี้ทางเรากำลังง่วนอยู่กับการจัดงานเดินแบบโชว์สร้อยเพชรชุดใหม่ที่ทางบริษัทผลิตขึ้น” ภีมดาอ้าง
   “คุณจะมาพูดชุ่ยๆแบบนี้ไม่ได้นะภี ลูกค้าทำให้เราอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้าคุณยังไม่เลิกเก็บเล็กเก็บน้อยอย่างนี้ล่ะก็ คงกู้สถานการณ์คืนไม่ได้หรอก”
   “คุณต้องช่วยฉันนะคะ ให้ทางลูกค้ากลับมาสั่งซื้อกับเราเหมือนเดิม” ภีมดาพูดอย่างร้อนรน
   ภีตาขอสัญญาจากเธอสองข้อแลกกับการกู้ชื่อเสียงของพิริยะคืนมา ภีมดาอิดออดบอกว่ามันก็เป็นบริษัทของเขาเช่นกัน ทำไมพูดเหมือนกับว่ามันเป็นของเธอเพียงคนเดียว แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ภีตาก็ไม่สนใจ จนในที่สุดเธอต้องยอมรับข้อเสนอนั้น
   “ถ้ามันจะแลกกับเครดิตของพิริยะ บอกฉันมาเถอะค่ะ” ภีมดาพูดอย่างใจเย็นทั้งๆที่ในใจรุ่มร้อนแทบตายยิ่งคิดถึงยอดเงินที่เสียไปในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ ยิ่งทำให้ร้อนรุ่มจนบอกไม่ถูก
   ภีตาถอนหายใจบางๆไม่คิดเลยว่าภรรยาจะเห็นแก่ความสำคัญของเงินมากถึงเพียงนี้ เขาเคยคิดว่าในบั้นปลายชีวิตจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขกับภีมดาที่บ้านเกิดเมืองนอน แล้วขายหุ้นให้กับผู้ที่สนใจ โดยให้ตำแหน่งประธานใหญ่แก่ลูกสาวคนโต แต่ดูท่าจะเป็นไปได้ยากเสียแล้ว ในเมื่อภรรยาของเขาหลงอยู่ในวังวนของธุรกิจอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้
   “ข้อแรก คุณต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ฟังผมนะภี ตอนนี้เรามีเงินมากพอที่จะใช้ไปทั้งชีวิต มากพอที่จะให้ลูกๆของเราอยู่ได้สบายๆ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องโกงใครเพื่อให้ได้เงินมาอีกแล้ว”
   “ตกลงค่ะ บอกข้อสองมาสิคะ ฉันต้องรีบไปดูแบบสร้อยคอต่อ”
   ภีตาถอนหายใจอีกครั้ง “ข้อสอง คุณต้องเลิกบงการชีวิตของลูกๆเสียที ทั้งภูและภีม คุณเคยบังคับยัยภูมาแล้ว ตอนนี้คุณยังจะบังคับภีมอีกเหรอ ลูกโตแล้วและมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
   “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” ภีมดาถาม
   “ผมรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว คุณให้ภีมมาอยู่กับผมเพราะอะไร ผมรู้แล้ว และตอนนี้ ผมจะให้เขากลับไป กลับไปทำในสิ่งที่เขาอยากทำ คุณจะไม่มีวันบังคับเขาได้อีก เขาจะเล่นดนตรี คุณก็ห้ามเขาไม่ได้ หรือว่าเขาจะเป็นอย่างไร คุณก็ไม่มีสิทธิ์บอกให้เขาเลิกเป็น เขาจะเป็นตัวของตัวเอง”
   “คิดดีแล้วหรือคะกับเรื่องขายหน้าพรรค์นั้น ลูกชายคุณทำเรื่องดีดีกับเขาเป็นบ้างมั้ย เกเรก็ที่หนึ่ง ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจเลย”
   ภีตารับฟังอย่างตกใจ เขาเลือกที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน “ถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นคนแบบนี้ คนที่เห็นเงินมีมูลค่ามากกว่าคน ผมจะไม่แต่งงานกับคุณเลย”
   “คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง” ภีมดาตวาดใส่
   “ผมจะวางแล้ว และกรุณาทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยแล้วคุณจะได้รับสิ่งที่คุณต้องการ” ภีตาวางสายทันทีที่พูดจบ เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วกุมขมับด้วยความเครียด โชคดีที่ภีมกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้น เขาต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้ มันไม่ดีแน่นอน
   ส่วนภีมดา เธอตกอยู่ในห้วงความโกรธได้เพียงชั่วครู่ก็หันมาจดจ่อกับงานเหมือนเดิม แน่นอนว่า งานและเงินต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด ยิ่งได้รับโทรศัพท์จากภูรดาเรื่องลูกค้าที่กลับมาสั่งซื้ออัญมณีเหมือนเดิมก็ยิ่งทำให้เธอห่างเหินไปจากครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น

   ฟินไม่ได้เดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ามานานมากแล้ว วันนี้มีโอกาสเขาจึงพาฟางข้างมาซื้อของ ฟางข้าววิ่งไปโน่นไปนี่ไม่หยุดจนเขาตามไม่ทัน สุดท้ายก็คลาดกันจนได้ ฟินยืนงงอยู่ที่หน้าร้านเสื้อผ้าผู้หญิงที่เมื่อกี้ยังเห็นน้องสาววิ่งไปวิ่งมาอยู่ในร้าน
   เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจที่ไม่มีโทรศัพท์มือถืออย่างคนอื่น ฟินยืนรอน้องสาวอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก่อนจะทนไม่ไหวแล้วเดินไปหาประชาสัมพันธ์ที่อยู่ชั้นล่าง
   ในระหว่างนั้นเอง สายตาของเขาพลันสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่อยู่ในร้านขายเครื่องดนตรี ฟินยืนนิ่งอย่างนั้น รอคอยให้คนๆนั้นหันหน้ามา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่หันหน้ามาเสียที ความร้อนรุ่มแล่นปราดเข้าสู่ร่างกายโดยที่ฟินไม่รู้ตัว ทำไมเขาต้องอยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นด้วยนะ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่ตนเองอยากจะพบหน้าแน่ๆ แต่ถึงจะบอกอย่างนั้น ฟินก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่เส้นผมยาวระบ่าลงมาด้วยความตื่นเต้น
   ผู้ชายที่อยู่ในร้านนั้น กำลังตั้งหน้าตั้งตาโซโล่กีต้าร์อย่างไม่คิดชีวิต เขานั่งท่านั้นเป็นนานสองนานกว่าจะขยับตัว
   มือเรียวสวยยกขึ้นเสยผมไปด้านหลัง ก่อนจะหยิบยางรัดผมในกางเกงออกมาเส้นหนึ่งแล้วจัดการรวบผมที่ระแผ่นหลังจนน่ารำคาญให้เรียบร้อย
   “ผมเอาตัวนี้ล่ะครับ” เขาส่งกีต้าร์ไฟฟ้าตัวนั้นให้พนักงานในร้านก่อนจะลุกขึ้นยืน ในวินาทีนั้นที่ขยับตัว คนที่ยืนมองอยู่ข้างนอกร้านก็นิ่งอึ้งไปเสียแล้ว
   แค่เพียงคนในร้านยกมือขึ้นเสยผม เขาก็จำได้ในทันที... และยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อใบหน้านั้นเผยออกมา
   ภีม
   แทนที่จะรู้สึกดีใจ ฟินกลับลนลานอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ต้องเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวคำทักทายอย่างนั้นหรือ
   พลั่ก!
   กระเป๋าสตางค์ใบใหญ่มีตรายี่ห้อชื่อดังตกอยู่เบื้องหน้าเขา ฟินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะก้มลงเก็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
   ต้องเป็นผู้หญิงคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้แน่นอน ฟินคิด
   ฟินมองภีมสลับกับผู้หญิงคนนั้น “มันอะไรกันเนี่ย” เขาสบถเบาๆอย่างหัวเสียก่อนจะกำกระเป๋าสตางค์ใบนั้นเสียแน่นแล้ววิ่งตามเธอไป ในใจก็หวังว่าภีมยังคงอยู่ในร้านนั้น ไม่ออกไปไหนเสียก่อนที่เขาจะวิ่งกลับมา
   ฟินวิ่งกระหืดกระหอบตามหญิงสาวเจ้าของกระเป๋าสตางค์มาจนทัน
   “คุณทำกระเป๋าสตางค์ตกครับ” เขาพูดพร้อมกับยื่นของคืนให้เธอ
   หญิงสาววัยไล่เลี่ยกับเขายิ้มบางๆอย่างมีเลศนัย “ขอบคุณมากค่ะ”
   “ไม่เป็นไรครับ” ฟินพูดแล้วหมุนตัวจะเดินกลับ แต่เธอดันคว้าแขนเขาไว้เสียแน่นจนไปไหนไม่ได้
   “ให้ฉันเลี้ยงอะไรคุณเป็นการตอบแทนดีไหม” เธอบอกพลางส่งยิ้มเชิญชวนไปให้
   ฟินตีหน้าเฉยก่อนจะกล่าวออกมาเบาๆ “อย่าดีกว่าครับ พอดีผมรีบ”
   “รีบอะไรกันคะ ตอนแรกนึกว่าคุณจะไม่เก็บมาคืนซะแล้ว... อุ๊บส์” พูดไปพูดมาก็เปิดเผยความจริงออกมาเองเสียนี่ เธอรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที
   ฟินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ มารยาผู้หญิงนี่มีกี่ร้อยเล่มเกวียนกัน เธอเหล่านั้นจึงขยันงัดขึ้นมาใช้ได้ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่เล่มเกวียนเดียว “เก็บกระเป๋าให้ดีนะครับ คราวหน้าคงไม่มีใครวิ่งตามเอามาคืนคุณแน่นอน” ฟินทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัววิ่งกลับไป หญิงสาวคนนั้นขบริมฝีปากด้วยความอาย
   ฟินรีบวิ่งกลับมาที่ร้านขายเครื่องดนตรีอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ภีมไม่อยู่ในร้านแล้ว “เฮ้อ... หายไปจนได้ ไม่เคยจะตามทันเลย” ฟินบ่นเบาๆไปตามประสาก่อนเดินมาที่ประชาสัมพันธ์ให้ช่วยประกาศเรียกตัวน้องสาวให้ที
   ฟินยืนรอฟางข้าวอยู่ราวสิบนาที แม่น้องสาวตัวดีก็โผล่มาพร้อมกับถุงเสื้อผ้ากว่าสิบถุง “จะซื้ออะไรนักหนา” ฟินถาม
   “ก็มีแต่ของสวยๆทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลยเอามาให้หมด จะได้ไม่ต้องเลือก” ฟางข้าวตอบอย่างอารมณ์ดี
   “เมื่อกี้พี่เจอภีม” ฟินพูดขึ้นมา ฟางข้าวอ้าปากค้างอย่างตกใจก่อนจะปล่อยข้าวของที่อยู่ในมือตกลงพื้น
   “เรื่องจริงเหรอเนี่ย โลกกลมชะมัดเลย” ฟางข้าวพูดอย่างเหลือเชื่อ “แล้วได้คุยกันหรือเปล่า”
   ฟินส่ายหน้า
   ฟางข้าวขมวดคิ้วอย่างขัดใจ “น่าเสียดายจริงๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกล่ะเนี่ย เออ... เอางี้มั้ย บุกไปหาที่บ้านเลย ถ้าพี่ภีมกลับมาที่นี่จริงก็ต้องกลับไปบ้านอยู่แล้ว คงไปที่อื่นไม่ได้หรอก”
   ฟินนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “ตกลง งั้นเราไปหาภีมที่บ้านกันเลยดีกว่า”
   สองพี่น้องเดินเคียงคู่กันออกไป
   ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆโต๊ะประชาสัมพันธ์กล่าวเสียงเย็นชา “ถึงจะไปที่นั่นก็เถอะ นายก็ไม่มีวันเจอฉันหรอก เพราะฉันจะไม่กลับไปที่นั่นแน่นอน”
   และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ภีมไม่ได้กลับไปที่บ้าน

   เมื่อไม่พบภีมที่บ้าน ฟินและฟางข้าวก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที
   “คงไม่ได้เข้ากรุงเทพฯอีกนานเลยเนอะ เพราะพ่อคงไม่ปล่อยมาง่ายๆอีกแล้ว” ฟางข้าวพูดขึ้น
   ฟินไม่พูดอะไรตอบ
   “เฮ้อ... แล้วชีวิตมันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย” ฟางข้าวยังคงพูดต่อ
   ฟินก็ยังเงียบเช่นเคย
   “เอาเถอะนะ เดี๋ยวก็มีเรื่องต้องให้เจอกันอีกนั่นล่ะ”
   ฟินยิ้มบางๆกับประโยคนี้ของน้องสาว ถ้ามันมีเรื่องแบบนั้นเข้ามาในชีวิตก็ดีสิ
   ทันทีที่กลับถึงบ้าน ทั้งสองคนก็รีบเข้าบ้านไปหาผู้เป็นแม่ทันที
   อาภากอดลูกทั้งสองอย่างรักใคร่ “สนุกมั้ย” เธอถาม
   “แน่นอนอยู่แล้ว กรุงเทพฯมันก็มีอะไรดีดีเหมือนกันนะ” ฟางข้าวพูดอย่างร่าเริง ส่วนฟินก็เอาแต่ยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไรในแบบที่เขาเป็น
   “ไปหาพ่อเขาหน่อยสิ อยู่ที่คอกม้าแน่ะ” อาภาหันไปหาลูกชาย ฟินขมวดคิ้วอย่างงุนงงแต่ก็ลุกขึ้นเดินออกไปหาผู้เป็นพ่อ
   ฟางข้าวเงยหน้ามองอาภาด้วยความสงสัย “ระหว่างที่พวกเราไม่อยู่ พ่อกับแม่คุยอะไรกันหรือเปล่า”
   อาภายิ้มบางๆ “ไม่รู้สิ แม่ไม่รู้อะไรเลย” ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความยินดี ฟางข้าวยิ้มตามบ้าง เธอรู้ว่าต้องมีเรื่องอะไรดีดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
    ฟินไปหานทีที่คอกม้า ชายร่างสูงใหญ่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ริมคอกม้า ฟินเดินเข้าไปหาอย่างนอบน้อม
   “สวัสดีครับพ่อ” เขายกมือไหว้
   นทีถอนหายใจอย่างใช้ความคิด ฟินมองดูสีหน้าของผู้เป็นพ่อแล้วก็รับรู้ได้ถึงความกดดัน และคนที่กดดันก็คือพ่อของเขาเอง
   “เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นแทนคำทักทายกลับ นทีหลับตาลงครู่หนึ่งอย่างใจเย็น “ฉันห้ามแกไม่ได้สินะ”
   ฟินมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่คาดหวัง
   นทีเองก็เลิกที่จะคาดหวังแล้วเช่นกัน “วันก่อนพ่อคุยกับแม่น่ะ” น้ำเสียงของนทีเย็นลง “เราคุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น คุยกันทุกๆเรื่องจนกระทั่งเรื่องปัจจุบัน มันทำให้พ่อได้คิดทบทวนอะไรหลายๆอย่าง”
   ฟินมีสีหน้าเรียบเฉย เขาเฝ้าแต่รอคอยว่าพ่อจะกล่าวอะไรอีก
   นทียิ้มบางๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจแบบนี้ สองวันก่อนอาภาพาเขาไปพบหลวงพ่อท่านหนึ่งที่อยู่ในวัดถัดไปจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร
   หลวงพ่อสั่งสอนอะไรมากมายแก่เขา และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องลูก คนเป็นพ่อเป็นแม่ให้ชีวิตลูกก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะควบคุมทุกอย่างที่หลอมรวมมาเป็นลูกได้ ทั้งทางใจและกาย พ่อและแม่ไม่อาจหยุดการเจริญเติบโตทางร่างกายและไม่อาจหยุดการเจริญเติบโตทางจิตใจ ไม่อาจควบคุมจิตวิญญาณและไม่อาจรั้งให้เขาอยู่ข้างกายไปตลอดชีวิต
   เหนือสิ่งอื่นใด ทุกการกระทำของพ่อและแม่ก็ตั้งอยู่บนความรัก แม้บางครั้งอาจจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้างแต่นั่นก็เพราะกลัวว่าลูกจะผิดพลาด เสียใจ
   นทีถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “เหนื่อยมั้ยที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อ” เขาถาม
   ฟินไม่ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้า
   นทีหลับตาลงแล้วหยิบซองจดหมายที่เหน็บไว้ข้างหลังส่งให้ฟิน “แม่เจอในกางเกงตอนที่จะเอาไปซักน่ะ โชคดีที่ยังไม่ได้ซัก”
   “ผมลืมไปสนิทเลยว่าได้รับจดหมายนี้” ฟินเปิดซองจดหมาย ในซองมีกระดาษหนึ่งแผ่นและบัตรเชิญร่วมงานอีกหนึ่งใบ
   ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า
   “ฉันหวังว่าจะได้พบเธอในงานนี้ งานของนักเปียโนระดับโลกชื่อดัง ภีมจะขึ้นเล่นเปียโนเป็นแขกรับเชิญ”
   ฟินรีบหยิบบัตรเชิญขึ้นมาอ่าน มีชื่อของภีมปรากฏอยู่บนบัตรเชิญนั้น แสดงว่าเจ้าของงานคงให้ความสำคัญไม่น้อยกับนักเปียโนรับเชิญคนนี้
   งานจัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม... เวลา 19:00 น.
   “พ่อครับ วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว” ฟินละสายตาจากจดหมายแล้วหันหน้ามามองผู้เป็นพ่อแทน
   “28” นทีตอบสั้นๆ แล้วขยับฝีเท้าเดินไปที่อื่น ฟินรู้ว่าพ่อต้องการอยู่คนเดียว เขายิ้มบางๆ อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคนที่หันหลังให้เขาอยู่ หลังจากนั้นถ้อยคำขอบคุณก็เปล่งออกมาจากริมฝีปาก “ขอบคุณครับพ่อ”
   ฟินไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อทำหน้าอย่างไรเพราะเขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างเดียว ฟินคิดว่าพ่อคงไม่ได้ยิน แต่ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้น “เอาเถอะ เรื่องที่แล้วก็ให้มันแล้วกันไป เริ่มใหม่ยังไม่สายนี่นา”
   นทีหันมายิ้มให้ลูกชายก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง แล้วน้ำตาที่กลั้นอยู่นานก็ไหลออกมา ไม่มีใครรู้ว่าหยดน้ำตานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกอะไร ไม่มีใครรู้นอกจากเขาคนเดียว
   บางครั้งความเป็นผู้ใหญ่ก็ทำให้เรารู้จักที่จะยอมรับและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เคยคิดว่าไม่อาจเข้าใจและยอมรับได้



 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 40 – ลังเล /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 02-10-2011 01:29:12

บทที่ 40 – ลังเล

   29 มีนาคม
   เวลา 19:00 น.
   ณ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
   ทุกที่นั่งภายในหอประชุมเกือบเต็มแล้ว ที่นั่งสองแถวหน้าเป็นที่นั่งของแขกรับเชิญวีไอพี ส่วนถัดมาเป็นที่นั่งของบุคคลที่ซื้อบัตรเข้าชมงานในราคา 8000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงสุดในงานครั้งนี้ ที่นั่งชั้นถัดไปราคาก็ลดลงตามระยะการมองเห็น
   ฟินได้นั่งอยู่แถวที่สองของชั้นที่นั่งแขกวีไอพี กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งบัตรเชิญใบนี้มาให้ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็ได้เอ่ยคำขอบคุณไปหลายครั้งแล้ว
   ครึ่งชั่วโมงต่อมา ที่นั่งข้างๆเขาที่ว่างอยู่ถึงสองที่ก็มีคนมานั่ง ชายชรารูปร่างสูงคนหนึ่งค่อยๆหย่อนกายลงนั่งข้างๆฟินพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ
   ฟินยิ้มตอบบางๆ เช่นกัน
   “มาจนได้นะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ข้างหู ฟินรีบหันไปหาเจ้าของเสียงในทันที ชายชราคนนั้นยิ้มอีกครั้งก่อนจะแนะนำตัว “ฉันชื่อภีตา”
   ฟินพิจารณาใบหน้าของผู้ชายที่ชื่อภีตา ไม่นานนักเขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง “คุณลุงเป็นพ่อของภีม”
   “เก่งนี่” ภีตากล่าวชม
   “ก็หน้าเหมือนกันขนาดนี้นี่ครับ” ฟินพูดทั้งรอยยิ้ม
   ทั้งคู่สนทนากันได้เพียงครู่เดียว งานก็เริ่มขึ้นด้วยเสียงเปียโนของศิลปินชื่อดังเจ้าของงานนี้ แค่เพียงเพลงแรกที่เปิดตัวก็สะกดอารมณ์คนฟังได้ทั้งหมดทั้งมวล
   Princess บทเพลงที่กล่าวถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงคนหนึ่งซึ่งหลงรักในธรรมชาติและเสียงดนตรีมากกว่าความบันเทิงที่อยู่ในวัง จนวันหนึ่งเธอถูกขับออกจากปราสาทเพราะคำกล่าวหาของขุนนางที่ว่า “เจ้าหญิงเสียสติไปแล้ว” ในตอนท้ายของบทเพลงกล่าวว่า ผู้ที่หลงรักในเสียงเพลงไม่ใช่คนบ้า ทั้งคนที่หลงใหลในธรรมชาติก็ไม่ใช่คนเสียสติ คนที่ไม่รักสิ่งเหล่านี้ต่างหากคือคนเสียสติ
   เสียงเปียโนขับให้มโนภาพของเจ้าหญิงดูเด่นชัดขึ้นมาทันตา ทั้งยังเสียงร้องอันทรงพลังที่ไม่มีผิดเพี้ยนแม้นิ้วมือกำลังบรรเลงทำนองเพลงอยู่ก็ตาม สองสิ่งผสมผสานกันอย่างลงตัว บทเพลงแรกที่ชื่อว่า Princess จึงได้รับเสียงปรบมือและคำชมอย่างท่วมท้นจากผู้คนในงาน
   หลังจากบทเพลงแรกผ่านไป บทเพลงที่สอง สาม สี่ก็ตามมา จนกระทั่งเข้าสู่เพลงที่ห้า ศิลปินเจ้าของงานก็กล่าวแนะนำแขกรับเชิญเพียงคนเดียวของงานซึ่งเขาตื้ออยู่นานกว่าเขาคนนี้จะยอมขึ้นเวทีมาเดี่ยวเปียโนในงานคอนเสิร์ตของเขา
   สิ้นเสียงกล่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ม่านสีดำที่อยู่ด้านหลังก็เปิดออกช้าๆ เปียโนสีดำที่ตั้งอยู่กลางเวทีกลายเป็นจุดเด่นไปพร้อมๆกับชายหนุ่มผมยาวที่นั่งนิ่งอย่างตั้งใจอยู่หน้าเปียโน
   “สวัสดีครับผู้ชมทุกท่าน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้รับเชิญขึ้นเล่นในงานครั้งนี้ หวังว่าทุกคนคงชอบในบทเพลงของผมเหมือนที่ชอบในบทเพลงของศิลปินชื่อดังเจ้าของงานในวันนี้นะครับ” ภีมพูดเสียงเรียบ ในน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆทั้งนั้น ไม่มีแม้ร่องรอยของความตื่นเต้น ไม่มีอะไรเลย
   นิ้วเรียวยาวเริ่มบรรเลงเพลง เขาตั้งใจจะเล่นเพลงที่แต่งเองทั้งหมด และเพลงแรกที่ใช้เล่นคือ
   My Place บทเพลงที่ไม่มีคำร้อง มีแต่ท่วงทำนองที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ จังหวะเพลงที่ขึ้นๆลงๆนั้น ฟังดูไพเราะอย่างไม่น่าเชื่อ มันคล้ายกับว่าผู้เป็นเจ้าของกำลังปกป้องสิ่งของอันเป็นที่รักอย่างสุดตัว ในตอนท้ายของบทเพลงเป็นจังหวะน่ารักๆ คล้ายกับบอกว่า ฉันปกป้องของที่ฉันรักได้แล้วนะ
   ภีมเล่นเพลงต่ออีกสองเพลงก็ลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณ ในตอนนั้นที่เขามายืนกลางเวที สายตาก็สบเข้ากับดวงตาคมที่จ้องมาอย่างไม่วางตา
   ภีมทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกล่าวอะไรต่อมิอะไรออกไปอย่างรีบร้อนก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่หลังเวทีด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
   ทางด้านหน้าเวที ฟินค่อยๆลุกขึ้นอย่างคนมีมารยาท เขาโค้งคำนับให้ภีตาอย่างขอตัว ก่อนจะเดินออกไปจากหอประชุมแล้วตรงไปยังห้องแต่งตัวที่ติดกัน
   “ขอโทษนะครับ” ฟินพูดเป็นภาษาอังกฤษกับสตัฟฟ์ชาวต่างชาติคนหนึ่งซึ่งเดินไปมาอยู่แถวนั้น “คุณภีมอยู่ที่ไหนครับ”
   สตัฟฟ์สาวที่ชื่อมาเรียยังไม่วางใจในตัวของฟินพอที่จะตอบคำถามของเขา ฟินจึงหยิบบัตรเชิญวีไอพีในนามของภีม ส่งให้เธอ
   มาเรียดูบัตรนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา “เป็นแขกของคุณภีมนี่เอง ตามมาเลยค่ะ เดี๋ยวจะพาไป” มาเรียเดินนำเข้าไปยังห้องๆหนึ่งที่อยู่ถัดไปจากตรงนั้นประมาณสามสิบเมตร
   “เชิญค่ะ” มาเรียผายมือไปที่หน้าประตูห้องๆหนึ่ง ฟินพยักศีรษะเบาๆแล้วกล่าวคำขอบคุณ การจะเดินเข้าไปในห้องนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฟินสูดลมหายใจเข้าแล้วหลับตาลงช้าๆอย่างรวบรวมความกล้า ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็เปิดประตูเข้าไป
   ดวงตาคมจ้องมองคนที่นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะอย่างแน่วนิ่ง ทว่าภายในแววตานั้นอ่อนโยนเหลือเกิน แววตาของเขาเวลามองภีมไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แม้เวลาจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม
   “ไม่เจอกันนานเลยนะ” เวลานานปีทำให้ถ้อยคำหลายๆคำที่ฟินอยากจะพูดถูกดูดกลืนเข้าไปในกาลเวลา
   ภีมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาเลือกที่จะไม่มองหน้าฟินและเลือกที่จะไม่พูดอะไร
   ฟินหลับตาลงคล้ายกำลังใช้ความคิด เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเช่นกัน แม้ความรู้สึกจะไม่เคยเปลี่ยน แต่เวลาได้จำกัดความสัมพันธ์ของเขาสองคนให้แคบลงไปแล้ว มันแคบลงจนเหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักกัน
   ในห้องที่มีแต่ความเงียบ เงาร่างทั้งสองยังคงนิ่งงันอย่างนั้น
   “ไม่อยากพูดอะไรบ้างเลยเหรอ” ในที่สุดฟินก็ต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน
   ภีมยังคงนั่งนิ่งและมองไปข้างหน้า ราวกับว่าฟินไม่มีตัวตน
   “มันคงไม่เหมือนเดิมแล้วสินะ” เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ทั้งๆที่หลายสิ่งหลายอย่างก็เกือบจะลงตัวแล้ว”
   “จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา” ภีมพูดเสียงเรียบ ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับฟิน ในแววตาไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเดียว
   ฟินชะงักไปครู่หนึ่ง ภีมดูเปลี่ยนไปจริงๆ ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ผิดกับเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงและยังการแสดงออกที่แข็งกร้าวนั้นอีก “นึกว่าจะไม่เจอกันตลอดชาติแล้วแท้ๆ ยังต้องมาเจอกันอีกจนได้ เป็นอย่างนี้มันน่าเบื่อจริงๆ”
   ฟินไม่แสดงสีหน้าอะไรนอกจากนิ่งเฉย คล้ายกับว่าทำใจมาก่อนหน้านี้แล้วว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้ “ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ”
   “ก็รู้คำตอบอยู่แล้วยังจะถามอีกทำไม”
   “ฉันก็อยากทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยเหมือนกัน” ฟินบอก
   ภีมขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วแค่นหัวเราะ “มันชัดเจนไปตั้งนานแล้วนี่ นายจะขุดค้นมันขึ้นมาพูดอีกทำไม”
   “แน่ใจเหรอ... ที่พูดมาน่ะ” ฟินเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฏอยู่ในตัวของภีมก็คือ ปากไม่ตรงกับใจ “เลิกปากแข็งซักทีเถอะน่า ทำไมคิดอะไรไม่พูดออกมาล่ะ”
   “เงียบไปเลย ก็นี่ไงล่ะ... ฉันกำลังพูดในสิ่งที่คิดอยู่” ภีมตวาดเสียงดังอย่างโมโห “เลิกยุ่งกับชีวิตฉันซักทีได้มั้ย ฉันจะไม่มีทางหวนกลับไปเดินทางแบบนั้นอีกแล้ว”
   ฟินเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ มันก็เป็นแค่เรื่องเมื่อก่อนตอนที่เรายังไม่โตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
   “จะพูดซ้ำซากทำไมอีก นายนี่มันน่าเบื่อไม่เคยเปลี่ยนเลย” ภีมชี้หน้าฟินเพื่อตอกย้ำคำพูดของตนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “เส้นทางของฉันกับนายมันแยกกันไปนานแล้ว นานพอที่ชีวิตของฉันจะลืมเรื่องเก่าๆแล้วเริ่มต้นจดจำเรื่องราวใหม่ๆ”
   ฟินไม่พูดอะไรตอบ นอกจากมองหน้าภีม มองเพื่อจดจำใบหน้านี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
   “เลิกทำอะไรตามใจตัวเองได้แล้ว เพราะเราคือผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็ก” ภีมจ้องหน้าฟินเช่นกัน
   “แล้วผู้ใหญ่ทำตามใจตัวเองไม่ได้เลยเหรอ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่คนหรือไง” ฟินถามกลับ
   ภีมเม้มริมฝีปากอย่างขัดใจ ทำไมหมอนี่มันยังโง่ไม่เปลี่ยนเลยเนี่ย
   “ฉันไม่รู้หรอกว่านายจะตัดสินใจอย่างไรกับสิ่งที่ฉันจะพูดในตอนนี้ แต่ฉันรู้ว่า... ต้องพูดออกไป เพราะเก็บไว้กับตัวจนตายมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา” ฟินพูดรวดเดียวจบ
   ภีมจ้องหน้าฟินเขม็งอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
   ฟินยิ้มบางๆ กลอกตาไปมาเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ ทำไมพักนี้เขาอ่อนแอเสียจริง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กระทบจิตใจไปหมด “ฉันคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่ง เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันทนใช้ชีวิตแบบนี้ แบบที่คนรอบข้างต้องการให้เป็น แต่มันรู้สึกแย่มากเมื่อคิดว่าทุกๆวันที่ผ่านไปจะไม่ได้เห็นหน้านาย แล้วยิ่งคิดต่อๆไปถึงวันข้างหน้า มันก็ยิ่งปวดหัวไปหมด วันแต่ละวันที่ผ่านไปหมดไปกับการทำงาน ฉันหวังไว้ทุกวันว่าจะได้พบนายอีกครั้งแล้วเมื่อนั้นทุกคนก็จะยอมรับเรา... และ...”
   “หยุดพูดซักทีได้มั้ย ฉันไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลย ออกไป๊” ภีมร้องตะโกนเสียงดังจนคนที่อยู่ข้างนอกกรูกันเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ
   “เอาไอ้บ้านี่ออกไปจากห้องของฉันเดี๋ยวนี้เลย” ภีมบอกพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง “แล้วอย่าให้กลับเข้ามาในห้องนี้อีก”
   มาเรียยืนงง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน รู้แต่ว่าทั้งสองคนนี้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง
   “ขอให้คุณโชคดีเสมอนะครับ คุณภีม” ฟินทิ้งท้ายเสียงเบาด้วยถ้อยคำที่ห่างเหิน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องนั้นเงียบๆ
   “ออกไปจากห้องนี้กันให้หมด ออกไป” ภีมตวาดเสียงดังใส่คนที่เหลือ ทุกคนรีบวิ่งออกไปจากห้องในทันที พวกเขาเพิ่งรู้ว่า ศิลปินที่แสนอ่อนโยนคนนี้ความจริงมีอารมณ์ร้ายสักเพียงใด
   ภีมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม เขาไม่อยากรักผู้ชายคนนี้อีกแล้ว
   เขาอยากจะกลับไปเป็นภีมคนเดิม
   คนที่ไม่เคยรู้จักกับผู้ชายที่ชื่อ “ฟิน”
   สำหรับภีม เรื่องราวทั้งหมดได้กลายเป็นเพียงความทรงจำ ณ ช่วงชีวิตหนึ่ง ความทรงจำที่เขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันลืม
   ฉันไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ภีมบอกกับตัวเอง แต่ยิ่งบอกเท่าไหร่ ภายในส่วนลึกของจิตใจยิ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
   ภีมไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ภีมยังรักฟินเหมือนเดิม
   คงไม่มีใครเข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้หรอก เพราะแม้แต่ตัวเขาเอง ยังไม่เข้าใจตัวเองเลย
   ความลังเลที่เกิดขึ้นภายในใจ ทำให้ความตั้งใจเดิมที่เคยมีมาแทบหายไปหมด สี่ปีที่อยู่อังกฤษ ภีมก็ใช้ชีวิตไปวันๆเช่นกัน ผ่านวันแล้ววันเล่าไปด้วยเสียงดนตรี เขาใช้ดนตรีเป็นเครื่องเยียวยาหัวใจ
   การจะลืมใครสักคน มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ภีมคิดว่าตนเองเข้มแข็งและแข็งแกร่งพอที่จะลืมและกลับมาใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองอยากให้เป็น แต่แล้วความแข็งแกร่งนั้นก็ถูกทำลายลงเมื่อคนที่เราคิดจะลืมกลับมาเวียนวนอยู่รอบตัวอีกครั้ง
   “ฉันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เลยใช่มั้ย” ภีมพูดเสียงเครือก่อนจะซุกหน้าลงกับท่อนแขน

   “ไชโย... ในที่สุดเจ้าบานชื่นก็คลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย” ฟางข้าวที่ยืนเชียร์อยู่นอกคอกม้าทำตาลุกวาวเมื่อมองดูเจ้าลูกม้าสีดำสนิทที่เพิ่งคลอดออกมา “ชื่ออะไรดีนะ”
   คนงานกว่าสิบคนที่ยืนอยู่บริเวณคอกม้าต่างพากันคิดตามกับคำถามของฟางข้าวว่าจะให้เจ้าลูกม้าเกิดใหม่ตัวนี้ชื่อว่าอะไร
   นทีครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะบอกออกมาว่า “สีนิล”
   “ไม่เอา แม่ไม่ชอบชื่อนี้” อาภาขัดขึ้นแล้วทำท่าใช้ความคิด
   “ชื่อ ‘พราย’ ได้มั้ยครับ ผมอยากให้เจ้าม้าตัวนี้ชื่อพราย” ฟินพูดขึ้นพลางเดินไปล้างมือ
   เมื่อว่าที่นายใหญ่ของฟาร์มพูดมาขนาดนี้ก็คงไม่มีใครกล้าขัดว่าชื่อนี้ไม่ดี ไม่เหมาะสม สรุปแล้ว เจ้าลูกม้าสีดำเกิดใหม่ตัวนี้จึงได้ชื่อว่า “พราย”
   ฟินสั่งให้คนงานในไร่ดูแล “เจ้าพราย” ให้ดี และกำชับถึงเรื่องอาหารการกินต่างๆ จากนั้นฟินก็เดินไปที่โรงเรือน เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยต่างๆ รวมถึงตรวจสุขภาพโคนมทุกตัว วันทั้งวันของเขาหมดไปกับการทำงานในไร่
   วันแล้ววันเล่า เป็นอย่างนี้เรื่อยไป
   ตอนนี้ฟินไม่ต่างอะไรไปจากหุ่นยนต์เลย
   คนในครอบครัวต่างไม่มีใครกล้าพูดหรือกล้าถามเรื่องราวต่างๆ เพราะตั้งแต่วันนั้นที่กลับจากงานคอนเสิร์ต ฟินก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป เขาสุขุมและเคร่งเครียดกว่าปกติ ทั้งยังไม่อ่อนโยนเหมือนที่เคยเป็น
   แม้แต่อาภาเองยังไม่กล้าที่จะถามลูกชายว่าเป็นอะไร ส่วนนทีก็ไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกไปมากกว่านี้อีกแล้ว เขาคิดว่า... ปล่อยให้ฟินได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองบ้าง ให้เขาได้คิด และกระทำด้วยตัวเอง โดยที่ไม่มีใครบงการเหมือนแต่ก่อน
   “ปล่อยไปเถอะ ใช่ว่าชีวิตคนเรามันจะราบรื่นเสียเมื่อไหร่ เรื่องนั้นจบไป เรื่องนี้ก็เข้ามา” นทีพูดกับภรรยาอย่างเข้าใจในชีวิต
   อาภางุนงงเล็กน้อยแต่ก็เห็นด้วยในสิ่งที่สามีพูด แต่ถึงจะอย่างนั้น เธอก็ไม่อยากให้ฟินกลายเป็นอีกคนหนึ่ง เป็นคนที่เหมือนไม่มีหัวใจและใช้ชีวิตไปวันๆ
   “แต่แม่คิดว่า...”
   “แม่คิด แต่ลูกมันไม่คิด... มันคิดกันคนละแบบนี่ อย่าไปยุ่งเรื่องของลูกมันเลย ปล่อยให้มันคิดเองตัดสินใจเองนั่นล่ะ เราก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรมันแล้วนี่ ตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวมันนั่นล่ะ... ว่าจะทำยังไงต่อไป” นทีบอก
   อาภาอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าธรรมะจะช่วยขัดเกลาจิตใจคนได้ถึงเพียงนี้ “สาธุ ไม่คิดว่าพ่อจะเปลี่ยนไปขนาดนี้”
   นทีปรายตามองภรรยาแล้วยิ้มบางๆ “ก็พ่อมันแก่แล้วนี่นะ ยิ่งแก่ยิ่งอยากเห็นลูกมีความสุข”
   อาภายิ้มบ้าง เธอเห็นด้วยกับสามี “นั่นสินะ คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ”

   “ไม่เคยคิดจะติดต่อหาฉันบ้างเลยหรือไงภีม” เบสท์พูดเสียงเครือ เธอจ้องหน้าภีมอย่างผิดหวัง “คิดจะตัดขาดกันเลยหรือไง นี่เราไม่ใช่เพื่อนกันแล้วใช่มั้ย ฉันห่วงแกทุกวัน คิดทุกวันว่าแกจะใช้ชีวิตที่นั่นอย่างมีความสุขหรือเปล่า ในเมื่อแกไปโดยที่ไม่เต็มใจ แล้วดูสิ่งที่แกทำสิ มันสมควรมั้ยที่ฉันต้องเป็นห่วง” จบประโยคน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาจนอาบแก้ม
   ภีมมองหน้าเพื่อนสนิทอย่างเสียใจ ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเพราะพูดไปก็เหมือนกับยิ่งแก้ตัว ภีมเดินเข้าไปใกล้เบสท์แล้วกอดเธอไว้อย่างอ่อนโยน มือเรียวสวยลูบเบาๆที่ศีรษะ “อย่าร้องไห้เลยนะ คนอย่างฉันมันไม่สมควรที่ใครจะมาร้องไห้ให้หรอก”
   “แกมันไม่ได้ไร้ค่าสักหน่อย ทำไมพูดเหมือนตัวเองไม่มีค่าอย่างนั้นวะ” เบสท์สะอื้น
   ภีมวางคางลงบนศีรษะของเบสท์ “ก็ฉันมันเป็นอย่างนั้นจริงๆนี่”
   “ฉันมีเพื่อนสนิทคนเดียวนั่นก็คือแกนะภีม”
   “อืม... ฉันรู้ ฉันก็มีเพื่อนสนิทคนเดียวเหมือนกัน เพื่อนที่เข้าใจฉันมากที่สุด”
   “แกอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ไม่งั้นฉันจะเลิกคบแกจริงๆด้วย”
   “เออ... รู้แล้ว ถ้าฉันทำพลาดอีกครั้ง ฆ่าฉันได้เลย” ภีมพูดอย่างจริงจัง
   “เออ... ฉันฆ่าแน่ ไม่ต้องท้าหรอก” เบสท์ก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน
   ภีมคลายอ้อมกอด เบสท์รีบยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชกเข้าที่แขนของภีมเบาๆ “สี่ปีที่ไม่เจอกัน หล่อขึ้นเยอะนี่หว่า”
   ภีมหัวเราะหึ “งั้นเหรอ... เห็นตัวเองทุกวันไม่ยักรู้ว่าหล่อขึ้น”
   จู่ๆเบสท์ก็ทำหน้าเครียด ภีมรู้ทันทีว่าเบสท์กำลังจะพูดเรื่องอะไร เขาจึงพูดดักคอไว้ก่อน “ถ้าจะพูดเรื่องเก่าๆล่ะก็ ไม่ต้องพูด”
   เบสท์มองหน้าภีมอย่างจับผิด ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าภีมเป็นอย่างไร “อย่ามาพูดจาโกหกตัวเอง ฉันเกลียดคนโกหกตัวเอง” เบสท์พูดเสียงเข้ม
   ภีมถอนหายใจบางๆ “ฉันไม่เคยโกหกตัวเอง ขอร้องทีเถอะ ฉันกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่”
   “ถ้าคิดว่าชีวิตใหม่ที่นายกำลังจะเริ่มมันคือสิ่งที่ต้องการก็ทำไป ฉันไม่ว่า... แต่ถ้านายยังเป็นเพื่อนฉันอยู่ อย่าโกหกตัวเอง คนเรามันไม่ได้เปลี่ยนใจกันง่ายๆหรอกนะ”
   “แต่มันก็ไม่ยากนักหรอก สี่ปีมันไม่นานพอเหรอที่ฉันจะลืมเรื่องแย่ๆไปให้หมด” ภีมเถียง
   เบสท์เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาหรอกภีม มันขึ้นอยู่กับตัวนายเองต่างหาก”
   ภีมนิ่งไปกับคำพูดนั้น
   “จะลังเลอะไรอีก หรือว่านายกลัวว่าสังคมจะมองเป็นตัวประหลาด กลัวทำร้ายจิตใจพ่อแม่ หรือกลัวที่ต้องยอมรับใจตัวเอง นายกลัวอะไร บอกฉันมาสิ” น้ำเสียงของเบสท์อ่อนลง
   “ไม่รู้สิ แต่ฉันอยากใช้ชีวิตในแบบของฉัน ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องสวนทางกับ...” ภีมเลือกที่จะไม่พูดชื่อฟิน เบสท์ถอนหายใจด้วยความรำคาญ “รังเกียจฟินขนาดชื่อยังไม่อยากเรียกเลยเหรอ”
   ภีมไม่ตอบคำถามของเบสท์ “เอาเป็นว่าฉันกับมัน ไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
   “เออ... ฉันจะรอดู”

   สองเดือนต่อมา
   ฟินเข้ากรุงเทพฯอีกครั้งเพราะได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ร่างสูงเดินลงจากรถสปอร์ตสีดำพร้อมกับเอกสารประกอบการบรรยายเต็มมือ ฟินอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองตัวเอง
   นี่เขารีบถึงขั้นไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเชียวหรือ?
   ฟินที่อยู่ในชุดกางเกงยีนส์เก่าๆ เสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อน และรองเท้าบูท ส่ายหน้าอย่างระอาให้กับตัวเองก่อนจะเริ่มออกเดินไปยังห้องประชุมใหญ่
   ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ความประหลาดใจก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้ฟังการบรรยายเพิ่มขึ้นกว่าที่ทางมหาวิทยาลัยแจ้งไปเกือบครึ่งหนึ่ง เก้าอี้เสริมกว่าห้าสิบตัวถูกจัดวางลงไปในพื้นที่ว่าง และมีผู้คนนั่งกันอยู่อย่างแออัด
   ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจที่มีคนสนใจหัวข้อการบรรยายเรื่อง “การทำฟาร์มโคนมเพื่อให้เกิดประสิทธิผลอย่างคุ้มค่า” แต่เขากลัวว่าผู้คนเหล่านั้นจะขาดอากาศหายใจตายไปเสียก่อนที่จะฟังบรรยายจบ
   “ทำไมคนแน่นอย่างนี้ล่ะครับ” ฟินกระซิบถามเจ้าของงานเบาๆ
   ชายวัยกลางคนเจ้าของงานบรรยายตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกันครับ พอขึ้นป้ายว่าเป็นคุณ คนก็มาเยอะอย่างนี้ล่ะครับ”
   “ก็คนมันดังนี่คะ” เลขาสาวใหญ่คนหนึ่งพูดล้อเบาๆ
   ฟินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “คนดัง”
   เธอยิ้มบางๆก่อนจะขยายความต่อ “ค่ะ คนดัง เก่งไม่ใช่เล่นนะคะที่ทำให้ฟาร์มกิตติกุลเป็นที่รู้จักได้มากขนาดนี้ จากที่ดังอยู่แล้วกลับยิ่งดังขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้... ก็เพราะความเก่งของคุณ ยิ่งคุณกำลังจะรับช่วงต่องานจากคุณนทีด้วยแล้วยิ่งเป็นที่จับตามอง แล้วคุณก็ทำได้ดีมาก ไม่มีพลาดเลยสักครั้ง”
   ฟินยิ้มบางๆอย่างขอบคุณ เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย นอกจากทำไปตามหลักการที่มันควรเป็น แล้วฟาร์มกิตติกุลก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอยู่แล้ว เขาก็แค่เร่งผลิตวัตถุดิบให้เร็วขึ้นและมีคุณภาพขึ้นก็เท่านั้นเอง แต่ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ฟาร์มมีชื่อเสียงถึงขนาดนี้คงหนีไม่พ้น ความตั้งใจและทุ่มเท
   ฟินขอตัวไปทำหน้าที่การบรรยาย ผู้คนที่มาฟังมีหลากหลายอาชีพ ทั้งครู เกษตรกร สัตวแพทย์ นักศึกษา ซึ่งการบรรยายของเขาจะครอบคลุมในทุกเนื้อหา ตั้งแต่การเริ่มต้นทำฟาร์ม ขึ้นตอนต่างๆก่อนจะมาเป็นนมที่มีคุณภาพอย่างทุกวันนี้
   หลังจบการบรรยาย ฟินขอตัวกลับทันทีโดยไม่รีรอ ทำเอาคนในงานที่รอพูดคุยกับเขางงไปตามๆกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเรียกเขากลับมาจึงได้แต่บ่นกันเสียงระงมด้วยความเสียดาย
   ฟินรีบเดินไปยังที่จอดรถอย่างรวดเร็ว แต่ยังเดินไปไม่ถึงก็ได้พบกับคนๆหนึ่งเสียก่อน
   “รีบไปไหนกันล่ะ อยู่คุยกันก่อนสิ”
   ฟินขบริมฝีปากเบาๆก่อนจะพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้



 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 41 – ความเข้าใจ /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 02-10-2011 01:31:43


บทที่ 41 – ความเข้าใจ


   ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งถัดไปจากตรงนั้นห้าเมตร เอกสารที่อยู่ในมือถูกวางไว้ตรงหน้าอย่างเป็นระเบียบ ฟินตั้งสติอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวคำทักทายออกไป “สวัสดีครับ”
   ชายชรารูปร่างสูงยิ้มตอบบางๆ “อืม... บรรยายเก่งมาก ไม่นึกว่าจะเป็นหนุ่มไฟแรงขนาดนี้”
   ฟินพยักหน้ารับแทนคำขอบคุณ
   “ดูเหมือนเธอจะเกร็งๆนะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เขาถาม
   “ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่... คุณลุงมีธุระอะไรกับผมหรือครับ” ฟินเงยหน้ามองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาพิจารณา เขาไม่รู้ว่าที่ภีตามาหาเขาวันนี้มีจุดประสงค์ใดอีก
   ภีตาถอนหายใจบางๆ “ยังไม่ได้คุยกันอีกเหรอ”
   คำถามสั้นๆประโยคเดียว ความโกรธในใจของฟินที่แทบจะมอดไหม้ไปแล้วก็คุโชนขึ้นมาอีก เขาคิดว่าจะตัดเรื่องนี้ออกไปจากสมองแล้วเชียว แต่ทำไมต้องมีคนพูดถึงมันอยู่อีกนะ
   “ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร วันนี้ที่ฉันมาเพราะเรื่องอื่น ไม่ใช่เรื่องนี้” ภีตานั่งลงบ้าง ก่อนจะกล่าวต่อไป “ฉันอยากให้เธอช่วยอะไรหน่อย”
   ฟินเสมองไปทางอื่น นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่างเช่นเขาจะมาขอให้ช่วยอะไร
   ภีตาเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะกล่าวออกมา “แต่ก่อนฉันก็มีความฝันเหมือนกัน ฝันว่าอยากจะทำในสิ่งที่ชอบ ฉันอยากมีไร่สวยๆสักไร่หนึ่ง”
   ภีตาเงียบไปครู่หนึ่ง ฟินไม่พูดอะไรตอบ เขาเพียงแต่ถอนหายใจบางๆแล้วรอฟังสิ่งที่ภีตาจะพูดออกมา
   “แล้วตอนนี้ฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ฉันอยากทำแล้ว แต่ฉันคงต้องขอให้เธอช่วย” ภีตาหันมาหาฟิน
   ฟินขมวดคิ้วอีกครั้ง “ช่วยเรื่องอะไรครับ”
   “ช่วยไปดูไร่ของฉันหน่อยได้มั้ยว่ามันดีพอหรือยัง ความจริงแล้วไร่นี้มันเป็นไร่ของพี่ชายฉันน่ะ คนตระกูลพิริยะ ทำอะไรก็ขึ้นหมด ยกเว้นพี่ชายฉันคนนี้ล่ะ เขาเสียไปเมื่อสามปีก่อน แล้วไร่นี้ก็เลยตกเป็นของฉัน แต่ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมันเท่าไหร่นัก ก็แค่จ้างคนดูแลไปวันๆ แต่พอตอนนี้ ทำไมฉันถึงเห็นค่าของมันขึ้นมาก็ไม่รู้” ภีตาพูดอย่างปลงตก ในบั้นปลายชีวิตจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้อยู่กับสิ่งที่เรารัก
   “ผม...” ฟินหยุดคำพูดไว้แค่นั้นอย่างลังเลและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
   “ฉันอยากให้เธอไปดูไร่ของฉันหน่อย ช่วยฉันได้หรือเปล่า” คราวนี้ภีตาจ้องมาที่ฟินด้วยแววตามุ่งมั่นจนฟินไม่กล้ากล่าวปฏิเสธออกไป
   “ได้ครับ ผมจะไป”
   “ตอนนี้เลยได้มั้ย”
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆ
   ภีตาเดินนำไปขึ้นรถของตนเองแล้วขับออกไป ส่วนฟินก็รีบขึ้นรถของตัวเองแล้วรีบขับตามออกไปเช่นกัน
   เส้นทางไปสู่ไร่ของภีตาเป็นเส้นทางเดียวกับที่ไปบ้านของเขา ขับไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบว่าไร่ที่ภีตาว่านี้อยู่ใกล้กับฟาร์มกิตติกุลเพียง 3 กิโลเมตร
   ทันทีที่มาถึงฟินก็รีบบอกภีตาทันที “ขับไปข้างหน้าอีก 3 กิโลเมตรก็ถึงฟาร์มของผมแล้ว ไม่คิดว่าไร่นี้จะเป็นของพิริยะ ผมผ่านมาทีไรก็เห็นมันโล่งว่างเหมือนไร่ร้างเลย”
   “แต่ตอนนี้ไม่ร้างแล้วนะ ฉันทำให้มันดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย เดี๋ยวจะพาไปดู” ภีตาบอกให้คนขับรถขับเข้าไปในไร่ ฟินรีบขึ้นรถแล้วขับตามเข้าไปทันที
   ระหว่างทางเข้าไปเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ไกลอยู่เหมือนกันกว่าจะขับรถเข้าไปถึงตัวไร่ ฟินรู้สึกว่ามันดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ เห็นได้จากต้นไม้ต่างๆที่ดูสดชื่นแข็งแรง แล้วไหนยังจะมีเจ้าม้าพันธุ์ Thoroughbred ตัวสวยที่วิ่งไปมาอย่างกับอยู่ในสยามแข่งนับยี่สิบตัว ถนนหนทางที่ตัดเข้าไปในไร่ก็เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
   รถคันใหญ่สองคันจอดลงเมื่อถึงหน้าบ้านหลังเล็กสองหลังที่อยู่ติดกัน ฟินลงมาจากรถอย่างรวดเร็วเพราะสายตาเหลือบไปเห็นเจ้าม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งที่กำลังเดินมาทางนี้ มันเดินราวกับว่ารู้เส้นทางเป็นอย่างดี ท่าทางของมันเชื่องราวกับสุนัขบ้าน
   ฟินมองมันอย่างต้องมนต์ ม้าอะไรสวยขนาดนี้ ฟินตรงเข้าไปลูบหัวมันเบาๆ “สวยจริงๆ”
   “Thoroughbred พันธุ์แท้ เจ้าสนามม้าแข่งที่เมืองนอก มันแข่งชนะม้าสายพันธุ์ดีดีมาแล้วหลายครั้ง แต่น่าสงสารที่เจ้านายของมันดันเป็นคนอารมณ์ร้าย พอแข่งแพ้ครั้งเดียวถึงกับเฆี่ยนซะไม่เหลือดี ฉันเลยขอซื้อต่อมารักษา สภาพของมันตอนนั้นแย่มากเลยทีเดียว” ภีตาบอกพลางนึกถึงภาพเจ้าม้าสีขาวที่เปื้อนเลือดทั้งตัว
   ฟินลูบตัวมันเบาๆจนสะดุดเข้าที่บาดแผลบริเวณท้อง “หมดเงินไปเยอะใช่มั้ยครับ”
   ภีตาพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แค่มันรอดฉันก็ดีใจแล้ว”
   “ว่าแต่คุณลุงไปเอามาสายพันธุ์ดีพวกนี้มาจากไหนครับ เอามาจากเมืองนอกทั้งนั้นเลยหรือเปล่า” ฟินถามพลางลูบใบหน้าเจ้าม้าตัวสวยไปเรื่อยๆ
   “เปล่า ตัวอื่นๆเป็นม้าของที่นี่อยู่แล้ว มันไม่ใช่ Thoroughbred แท้ซะทีเดียวหรอก ผสมกันไปมานั่นล่ะ มีเจ้าตัวนี้ล่ะ แท้ที่สุด” ภีตาบอก
   ฟินอดทึ่งไม่ได้ ม้าอะไรจะผสมได้ไม่มีผิดเพี้ยนไปจากสายพันธุ์เลย “ท่าทางพี่ชายของคุณลุงเก่งไม่เบาเลยนะครับ”
   “อืม เก่งแต่ไม่ชอบเปิดเผยอะไร รายนั้นน่ะ หวงของซะยิ่งกว่าชีวิต ม้าสวยๆแบบนี้คนนอกไม่มีทางได้เห็นหรอก”
   “ทำไมล่ะครับ”
   “ไร่นี้น่ะ แทบจะดูเป็นไร่ร้างเลยใช่มั้ยล่ะ เพราะอะไรรู้มั้ย ก็เพราะพี่ของฉันน่ะเขากลัวว่าจะมีคนรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ รู้ว่าเขาสามารถสร้างม้าสายพันธุ์ดีดีแบบนี้ได้ กลัวไปซะทุกอย่าง จนกระทั่งเส้นเลือดในสมองแตกตายนั่นล่ะ” ภีตาถอนใจบางๆ “เอาล่ะ... เข้าไปในบ้านกันก่อน ยืนคุยซะนานเลย”
   ฟินพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเดินตามเข้าไป
   ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน ฟินก็สะดุดเข้ากับเสียงเปียโนที่ดังทั่วทั้งบ้าน ดวงตาคมมองไปยังชายชราที่อยู่ข้างหน้าอย่างขอคำอธิบาย
   ภีตายิ้มบางๆอย่างคนไม่รู้เรื่อง “ฉันลืมบอกไปน่ะ... ว่าภีมก็อยู่ที่นี่ด้วย”
   ฟินถอนหายใจบางๆ ทั้งดีใจและอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก “ก็นี่เป็นบ้านของเขานี่ครับ”
   “ฉันอยากไปเยี่ยมฟาร์มของเธอบ้าง มันจะเป็นไปได้หรือเปล่า” ภีตาถามขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋อง เขาส่งกระป๋องหนึ่งให้ฟิน
   “ได้สิครับ” ฟินรับมาอย่างงงๆ
   “งั้นคืนนี้ค้างที่บ้านฉันนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปบ้านของเธอ” ชายชราพูดเองเสร็จสรรพ จากนั้นก็กระดกเบียร์ลงคอรวดเดียวจบ
   ฟินถอนหายใจอีกครั้ง เขาคิดอยู่ว่าอายุสั้นไปกี่ปีแล้ว เพราะหลายเดือนที่ผ่านมาเขาถอนหายใจไปวันละไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
   “ดื่มสิ แทนคำขอบคุณ”
   ฟินเงยหน้าขึ้นแล้วดื่มเข้าไปรวดเดียวหมดเช่นกัน ในตอนนั้นเองที่ภีมเดินลงมาจากบันไดแล้วชะงักเข้าเมื่อเห็นหน้าฟิน
   ฟินมองหน้าภีมเพียงแวบเดียวก่อนจะเสมองไปทางอื่น ภีตามองคนทั้งสองอย่างพิจารณาก่อนจะเป็นฝ่ายพูดออกมา “คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวพ่อขอตัวไปดูที่คอกม้าก่อน” พูดจบภีตาก็เดินดุ่มๆออกไปจากบ้านทันที
   ภีมมองตามอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะยกมือขึ้นเสยผมอย่างเคยชิน “แผนของตาแก่แน่นอน” ภีมบ่นเบาๆก่อนจะทำเป็นมองไม่เห็นฟินแล้วเดินมายังตู้เย็น
   ฟินนั่งไขว่ห้าง ใบหน้าหล่อนิ่งเฉยราวกับรูปปั้น ดวงตาคมมองตรงไปยังหน้าต่าง ฟินไม่ได้หันมองภีมเลยแม้แต่น้อย
   ภีมหยิบเบียร์ออกมากระป๋องหนึ่ง แล้วเหล่ตามองไปยังร่างสูงที่นั่งเยื้องอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ค่อยๆเดินถอยหลังออกมาเพื่อจะนั่งแต่แล้วกลับเดินถอยหลังไปชนกับโต๊ะวางของจนทำให้กระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือกระเด็นไปตกอยู่ตรงเท้าของฟิน
   “เฮ้ย...” ภีมร้องเสียงหลงก่อนจะมองไปยังกระป๋องเบียร์ที่ตกอยู่ใกล้เท้าของฟิน ภีมมองอย่างหงุดหงิดใจ นึกโมโหว่าทำไมฟินไม่หยิบมันขึ้นมาให้เขาหน่อย
   ภีมถอนหายใจอย่างหัวเสียก่อนจะเดินดุ่มๆไปยังโซฟาที่ฟินนั่งอยู่ แล้วก้มลงเก็บกระป๋องเบียร์ จังหวะนั้นฟินก็ก้มลงเก็บมันเช่นกัน ทำให้ศีรษะของทั้งสองคนชนกันอย่างแรง แต่คนที่เจ็บคือภีม ไม่ใช่ฟิน
   “โอ๊ย...” ภีมร้องเบาๆก่อนจะเงยหน้ามองฟิน
   ฟินยังคงทำหน้านิ่ง แต่มืออีกข้างหนึ่งค่อยๆหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ดวงตาคมมองมาที่ภีมครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนทิศทางมองไปที่อื่น
   ภีมรู้สึกใจหายไปนิดหนึ่ง เมื่อดวงตาคู่นั้นมองผ่านเขาไปราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน มือเรียวยาวที่แตะตรงหน้าผากเปลี่ยนมาคว้าเอากระป๋องเบียร์ที่อยู่ตรงหน้าไปแทน
   จังหวะนั้นเอง ฟินกลับดึงข้อมือภีมเอาไว้ กระป๋องเบียร์หล่นจากมือของภีมแล้วกลิ้งหลุนๆไปใต้โซฟา
   ภีมตกใจไม่น้อยในการกระทำของฟิน แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ไม่ให้เผลอโวยวายออกมา เขาไม่อยากพูดอะไรโดยที่ไม่จำเป็น แม้ว่าใจจะเต้นแรงแค่ไหนก็ตาม
   ฟินก็เช่นกัน แม้ว่ามือจะจับอยู่ที่มือของภีมแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา เขาเพียงใช้สายตาอันเฉียบคมจ้องมองไปยังดวงตาของฝ่ายตรงข้ามด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
   ภีมทำเป็นมองไม่เห็นแววตาคู่นั้น แต่เหมือนยิ่งทำไม่เห็น ความรู้สึกต่างๆยิ่งเอ่อล้นออกมาจนแทบจะท่วมหัวใจ
   เนิ่นนาน... กว่าจะมีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของใครคนใดคนหนึ่ง   
   “หนีไม่พ้นสักที” ภีมพูดพลางถอนหายใจบางๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างใช้ความคิด
   ฟินไม่พูดอะไร นอกจากกระชับมือที่จับภีมอยู่ให้แน่นขึ้นแล้วดึงร่างของคนที่อยู่ข้างล่างให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน
   ริมฝีปากอุ่นๆของเขาประทับลงบนริมฝีปากของภีมทันทีที่ภีมนั่งลง ลิ้นอุ่นร้อนค่อยๆเบียดเข้ามาภายในปากอย่างจงใจ ภีมไม่ได้ขัดขืนการกระทำนี้ของฟิน ตรงกันข้ามภีมกลับตอบรับสัมผัสนี้ด้วยความเต็มใจ ลิ้นอุ่นร้อนของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันไปพร้อมกับร่างที่เบียดกันไปมาอย่างโหยหาซึ่งความอบอุ่น
   เสียงหอบหายใจดังขึ้นเป็นระยะๆ ริมฝีปากของทั้งสองยังคงไม่แยกออกจากกัน ยิ่งกว่านั้นยังเพิ่มอุณหภูมิความร้อนและความต้องการมากยิ่งขึ้นไปอีก ภีมร้องครางเบาๆอย่างทนไม่ไหวก่อนจะเลื่อนมือไปโอบรัดแผ่นหลังกว้างที่แสนอบอุ่นของฟิน
   ฟินยินดีในสัมผัสนั้นที่บอกกลายๆว่า ‘เรายังกลับมารักกันเหมือนเดิมได้’
   ภีมเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกแล้วซบหน้าลงที่อกของฟิน “เบสท์พูดถูกทุกอย่าง บางทีเรื่องราวบางเรื่องก็ใช้เวลามาลบไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเราที่เป็นเจ้าของตัวเองก็ยังลบไปไม่ได้เลย ทำไมเวลาเราจะลืมอะไรมันยากกว่าเวลาที่เราจะจำเสียอีก”
   ฟินถอนหายใจบางๆ “ก็เพราะสิ่งที่เราจะลืมนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราอยากลืมจริงๆน่ะสิ”
   “มันอาจจะใช่ก็ได้ ฉันคงไม่ได้อยากลืมจริงๆ ฉันแค่อยากหนี หนีไปให้พ้นจากความเป็นจริงก็เท่านั้น” ภีมบอกพลางขยับใบหน้าออกจากอกของฟิน
   “พรุ่งนี้ไปที่ฟาร์มของฉันนะ” ฟินบอกสั้นๆก่อนจะจูบลงบนริมฝีปากของภีมอย่างอ่อนโยน ภีมทำหน้าลังเล ไม่แน่ใจว่าควรไปที่นั่นดีหรือเปล่า “แต่ฉัน...”
   “ไปเถอะนะ พ่อกับแม่ของฉันคงดีใจที่เห็นภีม” ฟินเปลี่ยนมาเรียกชื่อภีมแทนคำว่า ‘นาย’
   ภีมแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ชอบอยู่เหมือนกันสำหรับคำเรียกนั้น แต่ถ้าย้อนมานึกถึงตัวเอง ให้เปลี่ยนไปเรียกฟินแบบนั้นบ้างก็คงน่าอายไม่ใช่น้อย
   “ไม่รู้สิ... มันยากที่จะเผชิญหน้ามั้ง” ภีมบอกเสียงอ่อย
   ฟินยิ้มบางๆอย่างใจดี “เชื่อสิ... ว่ามันไม่ยากหรอก”
   “นายไม่ได้เป็นฉันนี่ ไม่เข้าใจหรอก” ภีมตัดพ้ออย่างขุ่นเคือง จริงอย่างที่ภีมว่า ใครไม่ได้มาเป็นภีมคงไม่รู้สึกและไม่เข้าใจ
   ฟินโยกศีรษะภีมเบาๆก่อนจะจับมือไว้ “ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะภีม เชื่อฉันและเชื่อใจครอบครัวของฉัน พวกเขารักฉันและพวกเขาก็รักนายด้วยเช่นกัน มันก็เหมือนกับพ่อของนายนั่นล่ะ... ท่านยอมรับและให้โอกาสฉัน”
   “ทำอะไรกันอยู่เหรอเด็กๆ” เสียงของภีตาดังมาแต่ไกล เสียงของเขาดังเข้ามาในบ้านก่อนที่ตัวจะเดินตามมา ภีมและฟินรีบผละออกจากกัน ภีตาเดินเข้ามาในบ้านแล้วเดินผ่านทั้งสองคนไปพร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “รีบเข้านอนซะนะ พรุ่งนี้ตอนสายๆเราจะไปที่บ้านของฟินกัน ภีมก็พาฟินไปนอนด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย”
   ภีมมองผู้เป็นพ่ออย่างขุ่นเคือง ทำไมเขาต้องเจ้ากี้เจ้าการเรื่องส่วนตัวของลูกชายขนาดนี้ก็ไม่รู้ แค่เขาเสียสละเวลามาอยู่ที่ไร่นี้เป็นเพื่อนก็ดีถมไปแล้ว ยังกล้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขาอีก มันชักจะเกินไปจริงๆ “พ่อครับ... คือผมว่าพ่อไม่น่า...”
   อุ๊บส์... ฟินรีบเอามือขึ้นปิดปากภีม เขารู้ดีว่าคนอย่างภีมจะพูดอะไรออกไป
   “ขึ้นไปนอนเถอะครับคุณลุง เดี๋ยวผมกับภีมก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน”
   ภีตาไม่หันหน้ากลับมามองคนทั้งสอง ชายชราร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปด้วยฝีเท้าที่สม่ำเสมอและหนักแน่น ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าภีมจะพูดอะไร แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นพ่อที่รู้ใจลูกไปซะทุกอย่าง แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้ว่าภีมเป็นคนอย่างไร “รีบนอนนะลูก พ่อรักลูกมากจริงๆ ภีม” ภีตากล่าวก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที เสียงปิดประตูก็ดังขึ้น
   ฟินหันหน้าไปมองภีมอย่างตำหนิ “โตแล้วไม่รู้จักโตเลยนะภีม”
   “มาว่าฉันทำไม” ภีมทำหน้าหาเรื่อง
   “ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่ปิดปากนายไว้ คำพูดแย่ๆก็จะออกมาจากปากของนายไม่หยุดหย่อน มันบาปนะรู้ไหม... ว่าพ่อว่าแม่” ฟินเตือนเข้าให้ด้วยความหวังดี
   ภีมทำหน้าไม่พอใจก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปนอนได้แล้ว ขี้เกียจฟังเทศน์” ภีมพูดพลางเดินนำขึ้นบันไดไป ฟินลุกขึ้นเดินตามไปช้าๆ
   ภีมเดินผ่านห้องของภีตา เขาหยุดมองเล็กน้อยก่อนจะเดินผ่านมันไป ในตอนนั้นเอง ฟินก็รั้งข้อมือภีมไว้ “อยากพูดอะไรกับคุณลุงล่ะสิ  พูดซะนะ เดี๋ยวฉันจะไปรอที่ห้อง” ฟินจ้องหน้าภีมอย่างจริงจัง ภีมมองดวงตาคู่นั้นแล้วก็พยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว
   ฟินยิ้มบางๆก่อนจะปล่อยมือภีมแล้วเดินไปห้องที่อยู่ถัดจากห้องของภีตา
   ภีมมองฟินเดินเข้าห้องไป จากนั้นเขาก็เดินไปเคาะประตูห้องของภีตา ไม่นานนักประตูห้องก็เปิด ใบหน้าของภีตาโผล่ออกมาเพียงเล็กน้อยก่อนจะถามอย่างงงๆว่ามีอะไร
   ภีมเอามือลูบท้ายทอยแก้เก้อ การจะพูดขอโทษหรือขอบคุณทำไมมันยากอย่างนี้นะ... ภีมคิด
   “รีบไปนอนเถอะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่อยากตื่นอีกหรอก”
   ภีมมองใบหน้าของผู้เป็นพ่อพลางนึกย้อนถึงเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อคนนี้ไม่เคยเห็นลูกสำคัญกว่างาน กระทั่งยังไม่รู้ว่าลูกชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวลูกสักอย่าง มาวันนี้... พ่อคนที่ว่าเปลี่ยนไป กลายเป็นพ่อคนใหม่ในร่างเดิมที่พร่ำบอกคำว่ารักกับลูกและย้ำคำเสมอว่าเข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็น พ่อที่ทิ้งเงินทองและการงานเพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอยากที่เป็น พ่อที่ไม่ต้องร่ำรวยทว่ายิ่งใหญ่ในน้ำใจ พ่อคนใหม่ที่เปลี่ยนไปทุกอย่าง มันไม่สายไปเลยกับการเริ่มต้นนี้ มันไม่สายไปจริงๆ
   ภีมกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา เขามองหน้าพ่ออีกครั้งก่อนจะสวมกอดพ่อที่ยืนตรงหน้าด้วยความรัก “ขอโทษครับพ่อ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมก็รักพ่อเหมือนกัน”
   ภีตากอดตอบลูกชายด้วยความสุขที่เอ่อล้นหัวใจ อ้อมกอดมันมีคุณค่ามากกว่าเงินทองนับหมื่นนับพันล้านจริงๆ ต่อให้รวยแค่ไหนก็ซื้อความอบอุ่นไม่ได้ วันนี้เขาเชื่อแล้วจริงๆ เงินไม่ได้ซื้อทุกอย่างเสียหน่อย ใจต่างหากล่ะที่สำคัญกว่าเงินทอง
   “พ่อก็รักลูก รักมากจริงๆ” ภีตาพูดเสียงสั่นพลางกอดลูกชายไว้แน่น เขานึกย้อนกลับไปวันเก่าๆ กระทั่งนึกไปไกลถึงเมื่อครั้งภีมยังเป็นเด็ก พ่ออย่างเขาให้ได้แค่เงิน ไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นเหมือนพ่อคนอื่น ไม่ได้ทำหน้าที่พ่ออย่างสมบูรณ์อย่างที่ควรจะเป็น
   “ผมอยากให้แม่กลับมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ว่าแม่คงไม่ยอม” ภีมพูดเสียงสั่น
   ภีตาตบหลังลูกชายเบาๆ “สักวันแม่เขาก็จะเบื่อชีวิตแบบนั้นเองล่ะ เมื่อคนเราแก่ตัวไปคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าครอบครัวหรอก”
   “ผมก็หวังว่าอย่างนั้นเหมือนกัน หวังว่าแม่จะเลือกพวกเรามากกว่างาน”
   ภีตายิ้มกับคำพูดนั้นของภีม เขาก็หวังให้ภรรยาของเขาเป็นแบบนั้นเช่นกัน แม้ว่ามันจะยากไปเสียหน่อยก็ตาม
   ดูท่าว่าวันนี้อะไรๆมันก็ช่างดีไปเสียหมด ภีตายิ้มอีกครั้ง เกือบชั่วชีวิตของเขาวันนี้ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่เขารู้สึกว่าชีวิตคนเราช่างมีค่าเหลือเกิน


 :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทที่ 42 – ความเข้าใจ # 2 /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 02-10-2011 01:33:43

บทที่ 42 – ความเข้าใจ # 2

   ครู่หนึ่งต่อมา ภีมเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าสดชื่นแจ่มใสจนฟินอดแซวไม่ได้ “ดีกันแล้วสินะ” ท้ายเสียงมีแววขบขันเล็กน้อย
   ภีมค้อนขวับก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ปลายเตียงแล้วถอนหายใจอย่างแรงด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงเบนสายตาไปยังฟินที่นั่งอยู่บนเตียง “นี่เราโตกันแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆเลยนะ ไม่น่าเชื่อ”
   ฟินยิ้มตอบบางๆ มือที่กอดอกอยู่คลายออกแล้ววางไว้ที่หน้าตักแทน “เชื่อเถอะ เพราะแต่ละวันที่ผ่านไปมันไม่ง่ายเลยจริงๆ”
   เสียงลมพัดดังอยู่นอกหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าฝนกำลังจะตก ภีมลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่างจากนั้นก็เดินไปหยิบหนังสือที่อยู่ในชั้นมาหนึ่งเล่มแล้วส่งให้ฟิน
   ฟินรับมาอย่างงงๆ ก่อนจะไล่สายตาอ่านชื่อเรื่องที่อยู่บนหน้าปก ‘การเดินทางบนกาลเวลา’
   “ลองอ่านดูนะ ฉันคิดว่านายคงจะชอบ” ภีมบอกเบาๆ
   ฟินพลิกหนังสือไปที่ด้านหลังแล้วอ่านคำโปรย

   ‘การเดินทางที่ไม่มีจุดจบและไม่มีที่สิ้นสุดของผู้ชายคนหนึ่งที่เหยียบย่ำอยู่บนเส้นทางสายเดิมที่เขาย่ำมาเกือบตลอดชีวิต ความกลัวที่จะพบกับจุดจบทำให้เขาไม่กล้าเดินออกจากเส้นทางสายเดิม ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวข้ามออกมาเพียงปลายเท้า ท่ามกลางค่ำคืนวันอันเหน็บหนาวและยาวนานไม่ได้ทำให้ใจเขาเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับเด็กหญิงตัวน้อยผู้มาพร้อมกับนาฬิกาแห่งชีวิต เขาจะทำอย่างไรเมื่อเด็กหญิงคนนี้ยื่นข้อเสนอบางอย่างที่ทำให้เขาเดินออกมาจากเส้นทางเดิมๆ’

   ฟินขมวดคิ้ว เขาสงสัยว่าภีมอ่านวรรณกรรมแบบนี้ด้วยหรือ...
   ภีมมองหน้าฟินอย่างไม่ชอบใจ “ทำหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง”
   ฟินยิ้มบางๆแล้วโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่ใช่อย่างนั้น แค่สงสัยว่าอ่านหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอ”
   ภีมทำท่าทางเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดตอบ “ฉันชอบอ่านวรรณกรรมแบบนี้นะ เคยเห็นเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาไทยสักที ตอนไปอยู่ที่โน่นเลยถือโอกาสซื้อมาซะเลย”
   ฟินเปิดหนังสือเล่มนั้นแล้วกวาดสายตาไปยังหน้าแรกอย่างคร่าวๆ เมื่อพอเข้าใจบ้างแล้วจึงปิดหนังสือลงแล้ววางไว้ที่หัวเตียง เขาคิดว่าเวลานี้ไม่เหมาะสำหรับอ่านหนังสือเลยสักนิดเดียว
   “มานั่งตรงนี้สิภีม” ฟินตบที่นอนทางด้านซ้ายมือพลางส่งสายตาเว้าวอนไปยังภีมที่นั่งหน้ามุ้ยอยู่บนเก้าอี้
   “ฉันพอใจจะนั่งตรงนี้” ภีมพูดเสียงแข็ง เขารู้สึกไม่พอใจที่ฟินละเลยหนังสือเล่มนั้น
   ฟินยิ้มบางๆ “งั้นเหรอ... เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันไปนั่งข้างๆละกัน” เขาพูดพลางดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งข้างๆภีม “ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี ฉันก็ลืมเสียงเปียโนของนายไม่ลงจริงๆ” อยู่ดีดีฟินก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทำเอาภีมทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบดี
   ฟินยิ้มบางๆอย่างคนอารมณ์ดี “นอกจากจะลืมไม่ลงแล้ว ยังอยากได้ยินบ่อยๆด้วย แต่ก็อีกล่ะนะ... พอได้ยินเสียงเปียโน มันก็ทำให้อยากมองหน้าคนเล่นตามไปด้วย”
   “เพ้อเจ้อเป็นเด็กไปได้ นี่อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย” ภีมพูดแก้เก้อ
   “คนเราไม่ว่าจะโตสักแค่ไหนก็ยังคงคิดฝันไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ จะโตสักแค่ไหนก็ยังมีความเป็นเด็ก เผลอๆอาจเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตซะด้วย” ฟินหยุดพูดแล้วหันไปมองภีมพลางลูบศีรษะเบาๆ “อย่างภีมไง”
   ภีมดึงมือของฟินออกทันที “ไอ้บ้า หาเรื่องว่ากันนี่หว่า เดี๋ยวต่อยเลย”
   ฟินถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างขบขัน “เอะอะก็ใช้กำลัง ทำอย่างนี้จะให้เรียกว่าอะไรล่ะ”
   “ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งนั้นล่ะ น่ารำคาญ”
   “เมื่อไหร่จะเลิกพูดจาไม่รักษาน้ำใจคนซักทีนะ” ฟินพูดขึ้นมา ท่าทางเหมือนจะโกรธ
   ภีมหน้าเสียไป คิดไปคิดมา ตั้งแต่แรกที่เจอกันจนวันนี้ เขาก็พูดจาแบบนี้ตลอดเลย ไม่เคยเปลี่ยน ถ้ามันจะเปลี่ยนเอาตอนนี้ มันก็คง...
   เฮ้อ... คงทำได้ยากมากๆ เพราะคนอย่างภีมมักไม่ค่อยยอมรับความจริงและเบื่อที่จะทำเรื่องที่ตัวเองคิดว่าน่าอาย
   ภีมคิดวุ่นวายไปมาจนลืมสังเกตใบหน้าของคนข้างๆที่กำลังอมยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้แกล้ง คนอย่างภีม...
   “เอาเถอะ อยากพูดอะไรก็พูดไป แต่คนเราน่ะ... มีขีดจำกัดที่จะอดทนนะ” ฟินบอกเสียงเรียบ ภีมยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ว่าเขากำลังโกรธ
   “คนเราน่ะ... หมายถึงตัวนายเองเหรอ” ภีมถามหยั่งเชิง
   “เปล่า ฉันพูดถึงคนรอบๆข้างนายต่างหากล่ะ”
   ภีมขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดออกมา “มันแก้ยากว่ะ เรื่องปากของฉันเนี่ย แต่ว่าจะพยายามละกัน” ภีมพูดห้วนๆ
   ฟินหลุดหัวเราะออกมาหลังจากกลั้นมานานเต็มที “ความจริงก็ไม่เห็นต้องเปลี่ยนอะไรเลยเนอะ ก็ฉันรักภีมที่เป็นแบบนี้นี่นา”
   เจอคำพูดแบบนี้เข้าไป ทำเอาภีมเริ่มอยู่ไม่สุข มือไม้สั่นอย่างเห็นได้ชัด
   รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากของฟิน เขากำลังมีความสุขที่ได้ทำให้ผู้ชายคนนี้หวั่นไหว “มาอยู่ด้วยกันได้มั้ย”
   จู่ๆฟินก็กล่าวประโยคนี้ออกมา ภีมยิ่งอยู่ไม่สุขเข้าไปใหญ่ ทั้งความรู้สึกดีใจที่เอ่อล้นขึ้นมาและความคิดที่ว่ามันไม่เหมาะสมกำลังไล่ล่าความรู้สึกแรกมาอย่างกระชั้นชิด เขานิ่งไปก่อนจะกล่าวออกมาอย่างยากเย็น
   “คนรักกัน จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเหรอ” ภีมพูดประโยคสั้นๆ ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนแยกไม่ออก
   คำพูดประโยคเดียวของภีมทำให้ฟินต้องฉุกคิดในประโยคนี้เหมือนกัน
   ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปนาน จนภีมเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ชีวิตของฉันกับนายมันเดินกันคนละทางอยู่แล้ว ฉันรักอิสระและไม่ชอบการผูกมัด ฉันอยากเล่นดนตรีและอยากทำในสิ่งที่ฉันยังไม่ได้ทำ ส่วนนายก็คงมีชีวิตอยู่ที่นี่และทำในสิ่งที่นายรักอย่างไม่รู้จักเบื่อ”
   “แล้วยังไง” ฟินเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ตามแบบฉบับที่เขาชอบทำ
   ความไม่เข้าใจเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ฟินเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างระงับอารมณ์ ภีมเห็นท่าทางของฟินทุกอย่าง แต่นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะพูดและอยากจะบอกให้ฟินรู้ไว้ ต่อให้ฟินจะรู้สึกอย่างไร เขาก็ต้องบอกออกมา
   “ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วมันมาหากันไม่ได้หรือไง ทำไมนายเป็นคนที่ยึดติดอะไรขนาดนี้เนี่ย ฉันคงอยู่กับนายแบบนี้ไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่ใช่คนที่ยอมรับอะไรง่ายๆ เรื่องบางอย่างมันต้องอาศัยเวลา”
   “แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ เมื่อไหร่จะพร้อมสักที สิบปี ยี่สิบปี หรือไม่มีวันนั้นเลย” ฟินพูดแทรกขึ้นมา
   “เบื่อที่จะพูดกับนายจริงๆ ทำไมคนที่รู้ไปหมดทุกเรื่องอย่างนายกลับคิดเรื่องง่ายๆไม่เป็น” ภีมพูดเสียงอ่อนก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วล้มตัวนอนบนเตียง
   ฟินนิ่งไป ไม่พูดอะไรอีก

   เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศอึมครึมยังคงปกคลุมเหนือไร่ของภีตาเช่นเมื่อคืน ภีมและฟินแสดงอาการมึนตึงใส่กันอย่างเห็นได้ชัด จนคนกลางอย่างภีตาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดตามไปด้วย
   หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ภีตาก็คุยกับฟินเรื่องการเดินทางไปฟาร์มกิตติกุล ฟินอธิบายเส้นทางคร่าวๆและบอกว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ไม่ต้องเป็นห่วง
   “ภีม ไปด้วยกันกับพ่อใช่มั้ย” ภีตาถามลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ
   ภีมถอนหายใจบางๆ มองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามอย่างฟินแล้วตอบออกมาเสียงดังฟังชัด “ไม่ไปครับ”
   ฟินไม่แสดงทีท่าใดๆออกมานอกจากนิ่งเฉย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน “ผมไปรอที่รถนะครับ” ฟินบอกเสียงเรียบก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
   ภีตาหันหน้ามองลูกชาย “พ่อไปก่อนนะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินตามฟินออกไป
   ภีมนั่งนิ่งแต่ในใจกลับร้อนรน ในตอนนั้นความน้อยใจก็เกิดขึ้นมา ทำไมไม่มีใครเข้าใจฉันบ้าง ไม่รู้เลยว่าฉันคิดยังไง รู้สึกยังไง ภีมยิ่งคิด ยิ่งขุ่นเคืองใจ
   เขารีบวิ่งขึ้นห้อง คว้ากระเป๋าเสื้อผ้าออกมา แล้วจัดการเก็บเสื้อผ้าบางส่วนลงกระเป๋า ทันทีที่เก็บเสร็จ เสียงสตาร์ทรถก็ดังขึ้นพอดี
   “คงไม่มีวันที่ฉันจะพร้อมหรอก แต่ถ้าฉันพร้อม... ฉันต้องไปหานายอยู่แล้ว” ภีมพึมพำเบาๆอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเดินลากกระเป๋าลงมาจากบันได
   และในวันนั้นภีมก็กลับไปกรุงเทพฯ เมื่อภีตารู้เรื่องเข้าก็รีบเล่าให้ฟินฟัง ฟินเพียงพยักหน้ารับเบาๆแล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย
   จากวันนั้นเรื่อยมาจนเวลาล่วงเลยไปกว่าสี่เดือน
   ฟินยังคงใช้ชีวิตในแบบเดิมๆที่เขาเป็นอยู่ที่ฟาร์มกิตติกุล ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและครอบครัว ส่วนภีมก็มีชีวิตไปตามเส้นทางที่เขาเลือก ลูกชายคนเดียวของพิริยะ ตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในเรื่องอัญมณี กลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ใครๆรู้จักเขาในบทบาทนี้ไม่ใช่นักธุรกิจอย่างที่แม่ของเขาหวังจะให้เป็น
   ภูรดารับหน้าที่สานต่อธุรกิจของครอบครัวโดยพยายามไม่เข้าไปก้าวก่ายในส่วนธุรกิจกลุ่มที่ภีมดาควบคุมอยู่ และดูท่าทางว่าเครือข่ายการส่งออกของภูรดาจะไปได้สวยกว่าผู้เป็นแม่เสียอีก เมื่อภีตาทราบข่าวนี้ก็อดดีใจไม่ได้ เขากำลังรอดูความพ่ายแพ้ของภรรยาตัวเอง เขาอยากสั่งสอนให้เธอได้รู้ว่า แม้จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็สามารถล่มได้ถ้าไม่มีความพอดี
   สี่เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากพอสมควร ไหนจะเป็นเรื่องของเบสท์ที่กลายเป็นเจ้าของสถาบันดนตรีที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้า และยังมีรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยอย่างติณณ์มาร่วมแชร์ธุรกิจและร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
   เบสท์และอินตายังคงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่มีการแต่งงานหรือทำอะไรให้หวือหวา ทั้งสองคนยังคบกันเหมือนเดิมในแบบที่เคยเป็นมาและดูท่าว่าเขาทั้งคู่จะพอใจกับสถานภาพที่เป็นอยู่และไม่คิดจะเรียกร้องหรือทำอะไรเพิ่มเติมให้มันวุ่นวาย
   และในเดือนหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ก็จะมีพิธีแต่งงานระหว่างติณณ์และมีนา หลังจากใช้เวลาคบหาดูใจมานานกว่า 8 ปี งานแต่งงานของทั้งคู่จะมีขึ้นที่ฟาร์มกิตติกุล

   ร่างสูงกระโดดขึ้นหลังม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่วและสง่างาม มือเรียวสวยลูบเบาๆที่แผงคอของเจ้าม้าอย่างรักใคร่ ต่อจากนั้นเขาก็ควบมันออกไปด้วยความเร็วจนแทบมองไม่ทัน
   “คุณฟินเป็นอะไรไปน่ะ อยู่ดีดีก็ลุกขึ้นมาขี่ม้าแต่เช้ามืดเลย แถมยังขี่ซะเร็วเชียว” ลุงเกิด หนึ่งในผู้ดูแลคอกม้าหันไปพูดกับภรรยา
   “สงสัยจะโกรธอะไรมาน่ะสิ” ภรรยาตอบ
   ลุงเกิดขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ลุงเกิดจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วหันไปสนใจกับงานของตนเองแทน
   เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ฟินก็หยุดควบม้า ใบหน้าคมมีคราบเหงื่อไคลอยู่เต็มไปหมด เสื้อผ้าก็เปียกแฉะราวกับไปตากน้ำฝนมา เขานำมาไปไว้ที่คอกตามเดิมก่อนจะเดินกลับไปยังบ้านพัก เป็นจังหวะเดียวกันกับฟางข้าวที่เดินออกมาจากบ้านเพื่อจะไปออกกำลังกาย
   “ไปทำอะไรมาคะพี่ฟิน เหงื่อเต็มตัวเลย” ฟางข้าวทักด้วยความประหลาดใจเพราะปกติฟินไม่เคยตื่นเช้าจนาดนี้
   “ไปขี่ม้า” เขาตอบสั้นๆ
   “เป็นอะไรไปอีกล่ะ เขาหนีไปก็ไม่อยากไปง้อเขาเอง แล้วยังจะมา...”
   “ไม่รู้อะไรอย่าพูด” ฟินพูดเรียบๆก่อนจะเดินจากไป ฟางข้าวได้แต่อ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกเพราะไม่เคยถูกดุด้วยคำง่ายๆแต่ทว่าทำร้ายจิตใจถึงเพียงนี้
   “ได้ จะไม่พูดอะไรอีกเลย เชอะ”
   ตอนบ่ายในวันเดียวกันนั้น ติณณ์และมีนาเข้ามาที่ฟาร์มเพื่อคุยเรื่องรายละเอียดการจัดงานแต่งงานพร้อมทั้งเอาบัตรเชิญมาให้ ทั้งสองคนบอกว่า เชิญเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นเพราะงานนี้อยากให้มีเพียงคนสนิทที่มาร่วมงาน
   “ขอบคุณมากครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่ฟิน” ติณณ์ยกมือไหว้คนทั้งสามอย่างจริงใจ นทีและอาภาบอกไม่เป็นไร เราคนกันเอง
   “มีนก็เหมือนกับพี่น้องของฉันคนนึง จะแต่งงานทั้งทีก็ต้องแต่งที่นี่ล่ะ” ฟินกล่าว
   มีนาและติณณ์มองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมา ติณณ์แกล้งทำเป็นกระซิบกับมีนาสองคน แต่ว่าเสียงดังอย่างกับพูดให้คนทั้งห้องฟัง “เสร็จแล้ว เข้ากรุงเทพฯไปเอาชุดเลยดีกว่า จากนั้นก็แวะไปหาพี่ภีมดีมั้ย”
   “ดีที่สุด หรือว่าจะไปหาภีมก่อนแล้วพามาดูชุดแต่งงานด้วยกัน” มีนาเสนอความคิดเสียงดังไม่แพ้กับติณณ์
   นทีและอาภามองสองหนุ่มสาวอย่างขบขัน มีนาที่เคยเรียบร้อย เมื่ออยู่กับติณณ์ก็กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ร่าเริงและเปิดเผยมากกว่าเก่า

   แล้ววันเวลาก็ผ่านไปจนบรรจบครบอีกหนึ่งเดือน วันนี้เป็นวันแต่งงานของมีนาและติณณ์ งานแต่งงานจัดขึ้นอย่างง่ายๆตามแบบฉบับชาวไร่ มีเวทีขนาดเล็กสูงเพียง 1 เมตร ประดับประดาด้วยลูกโป่งหลากสีสัน ฉากหลังของเวทีเป็นภาพวาดรูปดอกไม้โทนสีอ่อน ด้านหน้าเวทีมีการใช้ดอกกุหลาบและลูกโป่งมาไว้รวมกัน ส่วนด้านล่างเวที มีโต๊ะสำหรับแขกที่มาในงาน 10 ตัว วางแถวละสามอย่างเป็นระเบียบ เรื่องอาหารมีการจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟต์ มีพื้นที่สำหรับเต้นรำอยู่ทางด้านหลังของโต๊ะจัดเลี้ยง ส่วนวงดนตรีอยู่ทางฝั่งซ้ายของเวที
   อินตาถอยออกมาดูผลงานของตัวเอง งานนี้เธอเป็นคนจัดขึ้นมาตามคำขอร้องของบ่าวสาวทั้งสอง แม้มันจะดูไม่สมบูรณ์อย่างที่มืออาชีพทำ แต่เธอก็มั่นใจว่าต้องสร้างความประทับใจให้แขกที่มางานได้อย่างแน่นอน
   ในช่วงเช้าของวัน ติณณ์และมีนาจูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสที่อำเภอ ก่อนจะพากันกลับมาที่ฟาร์มกิตติกุลเพื่อแต่งตัวออกมาต้อนรับแขกเหรื่อที่มาในงาน
   ชุดแต่งงานของมีนาเป็นชุดราตรีสีขาวสะอาดตา มีดอกไม้ดอกเล็กๆติดเป็นระบายอยู่ที่อก ส่วนชุดของติณณ์ก็เป็นชุดสูทสีขาวธรรมดา มีโบว์สีแดงติดอยู่ที่คอ
   ครอบครัวของติณณ์ดูจะเป็นปลื้มกับสะใภ้คนนี้มากเพราะมีนาทั้งสวยและนิสัยดี ทั้งยังมีหน้าที่การงานน่าชื่นชม ผิดกับลูกชายของตนเองที่ทำอะไรไม่เป็นหลักแหล่งสักอย่าง ส่วนทางด้านพ่อของมีนาก็ดูท่าว่าจะชมชอบลูกเขยคนนี้อยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ยกลูกสาวคนเดียวให้แน่นอน
   บ่ายโมงกว่าๆ แขกเหรื่อเริ่มมาที่งาน งานนี้หน้าที่ช่างภาพตกเป็นของชเนศ เพื่อนของติณณ์
   แขกเหรื่อเริ่มทยอยเข้างานมาเรื่อยๆ จนเกือบครบ บรรดาเพื่อนฝูงของบ่าวสาวทั้งสองต่างก็ส่งเสียงเฮฮากันไม่หยุด สร้างความครึกครื้นและสนุกสนานให้งานนี้ไม่น้อย สองชั่วโมงผ่านไป แขกคนสำคัญของติณณ์และมีนาก็มาถึง
   ภีมเดินเข้างานมาพร้อมกับภูรดาและภีตา สามพ่อลูกต่างหอบหิ้วของขวัญมาคนละชิ้นเพื่อมอบให้คู่บ่าวสาว
   ติณณ์และมีนายกมือไหว้ทุกคนก่อนจะเชิญเข้ามาถ่ายภาพร่วมกัน ภีมยังคงแต่งตัวเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนส์ตัวโปรดและปิดท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบ ในขณะที่ภูรดาและภีตามาในชุดสูทสากลอย่างเป็นทางการ
   ติณณ์พาภีมเข้ามานั่งที่โต๊ะทางด้านหน้า โดยให้นั่งรวมกับครอบครัวของฟิน และนั่นทำให้ภีมไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร จะปฏิเสธออกไปก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เขาจึงจำใจยอมรับและนั่งลงบนเก้าอี้แต่โดยดี
   โชคดีที่ฟินและครอบครัวยังไม่มา ภีมคิดในใจก่อนจะหันหลังกลับไปมองติณณ์ แต่พอหันไปคนที่เขาพบกลับไม่ใช่ติณณ์ แต่เป็นฟิน
   ภีมชะงักไปเพราะฟินก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน นอกจากนั้นยังมี ฟางข้าว อาภา และนที ทุกคนอยู่กันครบ
   ภีมอยากจะหนีไปจากงานนี้เสียแล้ว เขาคงไม่กล้าอยู่สู้หน้าพ่อกับแม่ฟินเป็นแน่
   แต่ยังไม่ทันที่ภีมจะได้ทำอะไร ครอบครัวก้องกิตติกุลก็เดินมายังโต๊ะแล้วกล่าวสวัสดีขึ้นเสียแล้ว
   ภีตาและภูรดาทักทายตอบ ส่วนภีมอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากทักทายกลับไปโดยที่ไม่สบตากับใครทั้งนั้น
   “พี่ฟินนั่งตรงนี้ละกันนะคะ” ฟางข้าววิ่งมาเลื่อนเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับภีมแล้วพยักหน้าให้พี่ชาย อาภาและนทียืนดูอยู่เงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
   ฟินเหล่มองภีมที่นั่งก้มหน้างุดๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่ฟางข้าวเลื่อนให้ สาวน้อยยิ้มอย่างดีใจก่อนจะวิ่งไปเลื่อนเก้าอี้ให้พ่อและแม่ของตน
   “งานวันนี้สนุกจังนะคะ” ฟางข้าวเริ่มชวนคุย ในขณะที่นที อาภา ภีตาและภูรดาเริ่มจับกลุ่มคุยกันเรื่องอื่น ตามประสาผู้ใหญ่
   ฟินและภีมนั่งนิ่งไม่พูดอะไรตอบ ฟางข้าวจึงแกล้งถอนหายใจแล้วพูดต่อ “งานแต่งงานแท้ๆมานั่งทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว โตๆกันและ น่าจะคิดเป็น”
   ฟินมองหน้าน้องสาวอย่างเอาเรื่อง ส่วนภีมก็ได้แต่ก้มหน้าเหมือนเดิม
   “ไม่ยอมคุยกันให้เข้าใจ จะรอจนแก่เลยรึไง” ฟางข้าวพูดอีก และพูดต่อไปเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบกลับมา เธอจึงหยุดพูดแล้ววิ่งไปหาของกินแทน
   ผู้ใหญ่ในโต๊ะคุยกันอย่างออกรส จะมีก็แต่ฟินและภีมเท่านั้นที่นั่งเงียบ
   เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ฟินรู้สึกหิวจึงลุกขึ้นยืนเพื่อจะไปตักอาหาร ในตอนนั้นเองภีมก็จับมือฟินไว้แล้วกล่าวออกมาเสียงเบาว่า “คุยกันหน่อยสิ”
   ฟินมองภีมด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ แต่แล้วเขาก็พยักหน้าแล้วเดินนำภีมออกไป ภีมลุกขึ้นเดินตาม ฟินเดินนำหน้าไปเรื่อยๆและมาหยุดฝีเท้าลงตรงสวนหลังบ้านที่ปลอดคน
   ฟินกลับหลังหันมาเผชิญหน้ากับภีมโดยที่ไม่พูดอะไร
   ภีมทำสีหน้าลังเลก่อนจะเบนสายตามายังฟิน จ้องมองเขาด้วยแววตาไม่แน่ใจ “ให้มันเป็นแบบนี้ไม่ได้หรือไง ทำไมต้องโกรธฉันกับเรื่องแค่นี้ แค่ฉันไม่มาอยู่กับนาย”
   ฟินนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ใบหน้ายังคงอยู่ในภาวะไม่แสดงอารมณ์เช่นเดิม
   “ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าเราอยู่ใกล้กันเกินไป ทุกอย่างอาจไม่เหมือนเดิม”
   “ฉันเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล” ฟินตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา
   “ฉันคิดว่านายเข้าใจฉันเสียอีก เข้าใจว่าฉันเป็นคนยังไง เฮ้อ... วันนี้ฉันเพิ่งเห็นว่านายเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้ จำได้ไหม... ที่นายเคยบอกว่าเข้าใจฉัน รู้ว่าฉันเป็นอย่างไร ตอนนั้นฉันดีใจมากแต่ก็พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้น ฉันอายที่จะยอมรับและไม่กล้าที่จะคิดเรื่องแบบนั้น แต่นายกลับแสดงออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย นายกล้าเปิดเผยว่าตัวเองเป็นอย่างไร ผิดกับฉันที่ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง” ภีมพูดไปเรื่อยๆอย่างที่ใจอยากพูด
   “ฉันอยากหนีให้ห่างความรู้สึกบ้าๆนั่นแต่ยิ่งหนีมันก็ยิ่งรู้ว่าฉันคิดกับนายอย่างไร”
   ฟินเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ภีมไม่ทันเห็นรอยยิ้มนั่น
   “พูดไปมันก็เท่านั้น เพราะนายดูไม่ใช่ฟินคนเดิมที่ฉันรู้จักเลย” ภีมเริ่มตัวสั่นเพราะความอัดอั้นที่อยู่ในใจ “แล้วในสายตาของนาย ฉันก็คงไม่ใช่ภีมคนที่นายเคยชอบอีกแล้วล่ะ” ภีมพูดประโยคนี้จบก็รีบเดินหนีไปทันที
   ฟินรีบวิ่งตามไปและกอดร่างของภีมไว้ “ฉันยังเป็นฟินคนเดิม และภีมก็ยังเป็นคนที่ฉันรักอยู่เสมอ” ฟินกระซิบบอกเบาๆ “ฉันยอมรับว่าเห็นแก่ตัว ฉันกลัวว่าถ้าเราไม่อยู่ด้วยกันแล้วนายจะหนีฉันไปอีก”
   ภีมตัวสั่นรุนแรงขึ้นจนฟินอดตกใจไม่ได้ “เป็นอะไรไปน่ะ”
   “ฉันโมโหนาย โมโหที่ไม่ยอมเข้าใจฉันเลย” ภีมพูดเสียงสั่น
   ฟินหัวเราะเบาๆแล้วกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น “ตอนนี้เข้าใจแล้ว เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้เหมือนตอนเราเป็นเด็กๆไง ชอบเล่นซ่อนหากัน”
   “บ้าไปแล้วหรือเปล่า” ภีมว่า
   “พ่อกับแม่ฉันอยากเจอภีมนะ ฟางข้าวก็ชอบภีมมากด้วย ตอนนี้คนบ้านนี้รักภีมกันทั้งนั้น” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน “ส่วนคุณภีตา ท่านก็ดีกับฉันมาก เป็นคนดีที่สุดเลย”
   ภีมนึกถึงใบหน้าของผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่เล็กจนโตภีมไม่เคยภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูกของภีตาเลย จนกระทั่งช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทำให้เขาได้รู้ว่า ตัวเองคิดผิดไป แท้จริงแล้วภีมคือคนที่โชคดีมากๆต่างหากที่ได้เกิดเป็นลูกของผู้ชายคนนี้
   “ไปหาพ่อกับแม่ฉันเถอะนะภีม ไปคุยกับท่าน” ฟินบอก
   ภีมถอนหายใจแรงๆอย่างตั้งสติก่อนจะตอบตกลงออกมาเสียงเบา
   ฟินคลายอ้อมกอด มองหน้าภีมอย่างรักใคร่ ก่อนจะประทับริมฝีปากของตนลงไปบนริมฝีปากของภีม


 :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: love AJ ที่ 02-10-2011 04:39:43
อย่างซึ้งเลย


ความรักของฟินกับภีมยิ่งใหญ่มาก


น้ำตาไหลเลยอ่า

น่าอิจฉาภีมที่มีคนรักมากขนาดนี้
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 02-10-2011 08:36:38
น้ำตาไหลเลยอ่า
ความรักของฟินกะภีมยิ่งใหญ่มากเลย
แม้จะเจออุปสรรคมากมายแต่สุดท้ายก็กลับมารักกันได้
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 02-10-2011 09:05:03
คืนดีกันจนได้      :เฮ้อ:

รักภีมเนี่ย... เหนื่อยนะ ก็พยายามจะเข้าใจในมุมของภีมนะ แต่ถ้าเราเป็นฟินนะคงบ๊ายบายยอมแพ้ไปนานแล้ว       :m8:

ภีมโชคดีมาก ๆ ที่ได้รับความรักจากคนอย่างน้องฟิน


คงยังไม่จบใช่มั๊ยฮะคุณ zusuki รอติดตามต่อ   
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 02-10-2011 11:18:27
อ่านแล้วน้ำตาซึมออกมาเลย
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: tawan ที่ 02-10-2011 13:11:19
อยากบอกว่าอ่านไปเครียดมากน้ำตาซึมเลย

แต่พอเข้าใจกันโล้งงงงงงงงงงมากเลย

รีบมาต่อนะ

 :call:
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: butajang ที่ 02-10-2011 14:45:38
เเอบเเละซุ่มอ่านมาหลายวัน เครียด ปวดตับไต ทำไม๊ทำไม ไม่คุยก๊านนนน เเละสุดท้าย เอาภีมไปเก็บขอฟินได้ไม๊อะ เค้าอยากได้อย่างฟินอะ อยากได้ๆ (ลงไปนอนดิ้นๆ) กรี๊ดดด ขอเพิ่มอีกหนึ่ง บวกให้เเล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 02-10-2011 16:34:51
กว่าจะเข้าใจกัน ทำเอาเหนื่อยและน้ำตาร่วงไปหลายรอบ อยากให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันเร็วๆจัง
หัวข้อ: Re: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น // บทที่ 42 – ความเข้าใจ #2 // Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: โน๊อา ที่ 02-10-2011 19:03:40
ขอเป็น fc น้องฟิน น้องภีม ด้วยคนนะคะ น่ารักดีค่ะ ฝากไปกอดน้องด้วย
สู้ ๆ ค่ะ จัดไปเต็ม ๆ 1 แต้ม อิอิ
หัวข้อ: Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zusuki ที่ 02-10-2011 20:17:01

บทส่งท้าย


   คอนโดของฟินยังเหมือนเดิม คือเรียบร้อยอย่างไรก็เรียบร้อยอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง บรรยากาศในห้องก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งเห็น ยิ่งชวนให้นึกถึงภาพเก่าๆ ภาพที่ทุกคนเคยอยู่ร่วมกันเมื่อตอนนั้น
   ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาคงไม่ทำอย่างที่ผ่านมา หรือว่า... เลือกที่จะทำอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าคนเรารู้อนาคตมันก็คงดี ดีกว่าต้องมานั่งตัดสินใจ ปล่อยให้การเลือกของเราทำร้ายตัวเราเองและคนที่เรารัก
   แต่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร เราต่างก็มีทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเลือกผิดหรือถูก ถ้ามันเป็นทางเดินที่สร้างมาเพื่อเราจริงๆ สักวันเราก็ต้องเดินไปพบกับทางนั้นอยู่ดี
   และตอนนี้ ถ้าคิดไม่ผิด เขาคงกำลังเหยียบย่ำอยู่บนทางเส้นนั้นอยู่
   แม้ว่าที่ผ่านมามันจะทำให้ใครต่อหลายคนเจ็บตัวและเจ็บใจไปบ้าง แต่มันก็คุ้มล่ะนะกับสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ความอดทนแม้จะทำให้เราเจ็บใจแต่มันก็ให้ผลที่คุ้มค่าอยู่เหมือนกัน
   ภีมเสยผมที่ปรกใบหน้าออก ผมของเขายาวเร็วกว่าคนทั่วไป เพิ่งตัดไปได้ไม่นานก็เริ่มยาวจนประบ่าอีกแล้ว
   หลังจากงานแต่งงานของติณณ์และมีนาผ่านพ้นไป ดูเหมือนอะไรๆก็ดีขึ้นไปหมดทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องของเขาและฟิน มันน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่คนเคยเกลียดเราแปรเปลี่ยนมารักเราได้ ภีมกำลังนึกถึงพ่อของฟิน ตอนแรกที่ภีมเห็นหน้านทีก็อดที่จะขัดเขินไม่ได้ มันยากที่จะเผชิญหน้าจริงๆ
   แต่ในเมื่อฟินยืนยันว่ามันไม่มีอะไร เขาก็จะเชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างที่ฟินบอก
   และเขาก็ตัดสินใจถูก เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ นทีทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้น ภีมรู้ดีว่าเขากำลังพยายามลืมและเขาก็อยากให้ภีมลืมด้วย
   ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ภีมก็จะทำ ทำเหมือนว่าเขาไม่เคยพูดหรือทำอะไรเมื่อครั้งก่อนนั้น
   ส่วนอาภา แม่ของฟิน เธอยังคงเป็นผู้หญิงคนเดิมที่มีจิตไมตรี เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ภีมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมากทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ เธอมีสัมผัสของความเป็นแม่อยู่เต็มเปี่ยม
   “มานานหรือยังครับพี่” ติณณ์เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับมีนา สองมือถือข้าวของพะรุงพะรังกันทั้งคู่
   “สวัสดีภีม ฟินยังไม่มาอีกเหรอ” มีนาถามพลางมองไปรอบๆห้อง
   “เห็นบอกว่าขับรถออกมาแล้ว อีกชั่วโมงนึงคงถึง แล้วนั่นซื้ออะไรมาเยอะแยะ” ภีมเดินไปดูข้าวของที่กองอยู่เต็มโต๊ะ
   “อาหารอร่อยๆจากครัวมีนาครับพี่ มีนเข้าครัวเองเลยนะ มีแต่ของชอบของทุกคนเลย” ติณณ์พูดเสียงร่าเริง ตั้งแต่แต่งงานกับมีนา เขาก็เรียกเธอว่ามีนเฉยๆ
   “พี่เบสท์กับอินยังไม่มาอีกเหรอครับ” ติณณ์ถามต่อ
   “อีกแป๊บนึงคงถึง เห็นบอกว่ากำลังซื้อของอยู่ ไม่รู้จะซื้ออะไรนักหนา” ภีมบ่นพลางหยิบขนมที่มีนาจัดใส่จานไว้เข้าปาก
   “แหม นานๆทีจะมีปาร์ตี้ ต้องกินให้คุ้มสิ” ติณณ์พูดเสียงดังจนขนมกระเด็นออกจากปาก ภีมใช้มือฟาดไปที่หัวของเขาเบาๆอย่างตักเตือน
   “ทำอะไรทุเรศไม่เปลี่ยนเลยนะแก แต่งงานแต่งการแล้วแท้ๆ”
   “แหมๆ พี่ภีมก็ว่าไป ตัวเองน่ะ มูมมามกว่าผมอีกนะครับ” ติณณ์ว่าพลางชี้ไปยังมือของภีมที่เลอะเทอะไปด้วยเศษอาหาร
   “อยากโดนเตะใช่มั้ยแกน่ะ” ภีมมองหน้าอย่างหาเรื่อง
   ติณณ์แกล้งยกมือไหว้จนท่วมหัวแล้ววิ่งไปหลบหลังมีนา
   ความวุ่นวายเริ่มได้ไม่นานนัก เบสท์และอินตาก็มาถึงพอดี
   ติณณ์เป็นคนไปเปิดประตู เบสท์ทักทายเขาด้วยมะเหงกลูกใหญ่หนึ่งลูกจนติณณ์ร้องเสียงดังลั่น
   “น้อยๆหน่อย เขกนิดเขกหน่อยทำเป็นโวยวาย” เบสท์ว่าเข้าให้
   “เจ็บนะครับพี่ ลองดูมั้ยล่ะ”
   “หรือจะเอาอีก” เบสท์ถาม
   “พอแล้วครับ พอๆ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว” ติณณ์เดินลูบหัวป้อยๆมาหามีนา
   มีนาส่ายหน้าเบาๆแล้วแถมมะเหงกไปให้อีกที “ร้องเสียงดัง เอะอะโวยวายจริงๆ”
   ติณณ์ทำหน้าเบ้ นั่งหยิบขนมกินคนเดียว ไม่มีใครสนใจเขาเลย
   หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ฟินและฟางข้าวก็มาถึงพร้อมขนมเต็มมืออีกเช่นกัน ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เห็นทีจะถึงเวลาของการเลี้ยงฉลองซักที
   “รอนานมั้ยทุกคน ยัยตัวแสบมัวแต่เลือกโน่นเลือกนี่ไม่หยุด” ฟินบุ้ยหน้าไปทางน้องสาวที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่อย่างสบายอารมณ์ “ดูเถอะ ว่าแล้วยังไม่รู้สึกอีก”
   ฟางข้าวเดินนำหน้าพี่ชายเข้ามาพลางจุดเทียนที่อยู่บนเคาน์เตอร์ห้องครัว “มาเริ่มฉลองกันเถอะค่ะ ฟังพี่ฟินบ่น น่าเบื่อจะตาย”
   ภีมยิ้มบางๆกับคำพูดของฟางข้าว เขาเดินเข้ามาหาฟินพร้อมกับชกเข้าเบาๆที่หัวไหล่ “รอตั้งนาน”
   ทุกคนเริ่มเดินเข้าไปหาของกินที่อยู่บนเคาน์เตอร์ เครื่องดื่มต่างๆในวันนี้ล้วนแล้วแต่มีแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจับอะไรเป็นอันต้องได้ลิ้มรสชาติอย่างแน่นอน
   และคนผสมเครื่องดื่มดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ติณณ์... นั่นเอง
   ในขณะที่ทุกคนกำลังสนใจอยู่กับอาหารการกิน สองหนุ่มในงานก็ค่อยๆปลีกตัวออกมาที่หน้าระเบียง
   ท้องฟ้าในค่ำคืนนี้สวยสดงดงามกว่าคืนไหน ดาวนับร้อยดวงกระพริบแข่งกันราวกับดวงไฟนับร้อยดวง สีสันของกรุงเทพฯในยามราตรียังคงมีเสน่ห์เช่นเดิม แม่น้ำเจ้าพระยาไหลเอื่อยไปตามกระแสลม เรือน้อยใหญ่แล่นผ่านลำแล้วลำเล่า
   ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป อะไรหลายสิ่งหลายอย่างก็ยังคงเดิม แต่คนเราก็ไม่อาจรู้อนาคต อีกสิบปีข้างหน้า เมื่อโลกก้าวหน้าขึ้นไปอีก ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าตอนนี้อาจเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้
   เพราะโลกย่อมหมุนไปเรื่อยๆอย่างที่มันควรเป็น วันนี้เหมือนเดิม พรุ่งนี้อาจไม่เหมือนเดิม
   แต่ถ้าเราสนใจจดจ่ออยู่กับความเปลี่ยนแปลง วันนี้ของเราก็จะไม่ได้กระทำอะไรอันเป็นสิ่งที่น่าจดจำเลย
   ภีมทำหน้าทะเล้นพลางวางมือทั้งสองข้างไว้บนไหล่ของฟิน “ฉันอาจจะไม่เคยบอกให้นายรู้แบบชัดๆ แต่วันนี้ฉันคิดว่าน่าจะบอกให้ชัดๆได้แล้ว” ฟินมองหน้าภีมอย่างตั้งใจ ใบหน้าทะเล้นของภีมตอนนี้ชวนให้คิดถึงตอนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ
   ตอนนั้นเขาทั้งสองเหมือนอยู่คนละโลก คนหนึ่งเฉยเมยและตั้งหน้าตั้งตาเรียน อีกคนหนึ่งใจร้อนและเบื่อกับการอยู่ในกรอบที่มีคนขีดไว้
   “มาไม้ไหนอีกล่ะ” ฟินกล่าวอย่างขบขัน
   “นายเป็นคนดีมากๆ ดียังไงก็ดียังงั้น” ภีมบอกพลางจ้องหน้าฟินอย่างจริงจัง
   “แค่นี้เองเหรอ” ฟินกลอกตาไปมา
   “มีอีก ใจเย็นๆสิ มันตื่นเต้นนะเนี่ย” ภีมบอกอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดต่อไปอีก “แล้วนายก็รักฉันด้วย ทั้งๆที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย”
   “แล้วยังไงอีก” ฟินยิ้มได้ใจพลางกระเถิบตัวเข้าหาภีมทีละนิด
   ภีมไม่ทันสังเกตจึงพูดต่อไป “ฉันก็เลยคิดว่า ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้ว”
   “แล้ว...”
   ภีมยังคงจ้องหน้าฟินอยู่ แต่ตอนนี้ในแววตาเต็มไปด้วยความอ่อนไหว “ฉันก็ควรจะรักนายเหมือนกัน”
   ควรจะ... ควรจะ... ควรจะ...
   ฟินถอยหลังกลับไปทันที ภีมรับรู้ถึงปฏิกิริยานั้น เขาจึงรีบพูดแก้ออกมา “โอ๊ย... ฉันมันก็พูดไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ แต่ฉันรักนายมากนะฟิน”
   ฟินค่อยๆยิ้มออกมา เขายืนนิ่งๆอย่างนั้นแล้วมองหน้าภีม
   ภีมเม้มปากเสียจนเป็นเส้นตรงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขาวิ่งเข้าไปกอดฟินและซุกหน้าลงที่หัวไหล่ “งานเลี้ยงรุ่นปีหน้า เราไปด้วยกันนะ”
   ฟินหัวเราะออกมา “มันใช่เวลาพูดเรื่องอื่นมั้ยเนี่ย”
   “แล้วจะไปมั้ยล่ะ” ภีมย้อนถาม
   “ไปสิ ฉันต้องไปกับนายอยู่แล้ว”
   ฟินให้สัญญาก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
   ท้องฟ้ายามค่ำคืนยังคงเต็มไปด้วยดวงดาวนับร้อยดวงและมันคงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าโลกจะแตกดับ มันก็เหมือนกับความรัก ตราบใดที่แสงของมันยังไม่มอดดับ ตราบนั้นมันก็ยังคงอยู่ชั่วนิรันดร์


//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


เปิดจองนิยายประจำเดือน ตุลาคม  2554

เปิดจองพร้อมโอนวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม - วันเสาร์ที่  3 ธันวาคม 2554


(http://i1227.photobucket.com/albums/ee437/raikrob/2copy_resize.jpg)

เรื่อง        คุณชายเเสนร้ายกับนายใจเย็น
เรื่องโดย   mitunayon
ภาพประกอบ sukichan
 
 เรื่องย่อ...
            ประธานนักเรียนแสนเย็นชา(ฟิน)มาเผชิญหน้ากับคุณชายตัวร้าย(ภีม) ฝ่ายคุณชายไม่คิดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกแปลกๆในใจชอบกลทั้งๆที่เห็นหน้ากันมาตั้งสองปี ว่าแล้วโชคชะตาก็ทำให้เขาทั้งสองได้ใกล้ชิดกันในบทบาทของครูและนักเรียน ต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันจนเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น
 
 
 

รายละเอียด
+++ หนังสือเล่มเดียวจบ 415 หน้า โดยประมาณ ขนาด A5
+++ปกกระดาษอาร์ตการ์ด เคลือบมัน เนื้อในกระดาษถนอมสายตา

ราคาเเละค่าส่ง
+++ เล่มละ 390  บาท   ค่าส่ง 45 บาท  รวมทั้งชุด 435 บาท
 
โปรโมชั่นเฉพาะช่วงจอง

+++ตอนพิเศษ ที่เเต่งใหม่ไม่ลงที่ไดๆในโลกนอกจากในหนังสือ

+++สมุดโน๊ต ขนาด A5 เล่ม(เท่ากับนิยาย) หน้าปกเป็นภาพเดียวกับนิยาย เนื้อในเป็นกระดาษถนอมสายตา มีเส้นเเละภาพตัวละคร
ประกอบ
ตัวอย่างปกสมุดโน๊ต
(http://i1227.photobucket.com/albums/ee437/raikrob/1fin_resize.jpg)

+++ที่คั่นหนังสือ

+++สั่งพร้อม เรื่อง พิมตะวัน ฟรีค่าส่งสินค้า
 
 
 
 
 
(http://i1227.photobucket.com/albums/ee437/raikrob/33_resize.jpg)

เรื่อง         พิมตะวัน
 
เรื่องโดย    anajulia
 
 
 เรื่องย่อ...
             "เชื่อกันว่า...อำพันเป็นเครื่องรางที่จะนำพาความรักมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ...ถ้าพี่จะบอกว่าพี่ที่เป็นเจ้าของเก่าได้พรข้อนี้มา
แล้วเลยมอบมันให้กับดอว์น....ทั้งอำพัน ทั้งความรู้สึกของพี่...ดอว์นจะรับมันไว้รึเปล่า?"
 
               บางครั้งศัตรูของความรักที่น่ากลัวที่สุด...ก็คือความกลัว....
 

ติดตามอ่านต่อที่นี่เลย
 
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19610.0
 
รายละเอียด
+++ หนังสือเล่มเดียวจบ 400 หน้า โดยประมาณ
+++ปกกระดาษอาร์ตการ์ด เคลือบมัน เนื้อในกระดาษถนอมสายตา

ราคาเเละค่าส่ง
+++ เล่มละ 410  บาท   ค่าส่ง 45 บาท  รวมทั้งชุด 455 บาท
 
โปรโมชั่นเฉพาะช่วงจอง

+++ตอนพิเศษ ที่เเต่งใหม่ไม่ลงที่ไดๆในโลกนอกจากในหนังสือ

+++สมุดโน๊ต ขนาด A5 เล่ม(เท่ากับนิยาย) หน้าปกเป็นภาพเดียวกับนิยาย เนื้อในเป็นกระดาษถนอมสายตา มีเส้นเเละภาพตัวละคร
ประกอบ
ตัวอย่างปกสมุดโน๊ต
(http://i1227.photobucket.com/albums/ee437/raikrob/uiyuiypopcopy_resize-1.jpg)

+++ที่คั่นหนังสือ

+++สั่งพร้อม เรื่อง คุณชายเเสนร้ายกับนายใจเย็น ฟรีค่าส่งสินค้า
 
วิธีการสั่งซื้อ
 
++++สั่งซื้อเรื่องไหน ระบุมาด้วยนะคะ+++

 สั่งซื้อผ่านทาง we love shopping หรือโอนเงินค่าสินค้าเเล้วเเจ้งจองเข้ามา โดยเข้าไปดูเอลที่บัญชีเเละวิธีการสั่งซื้อโดยการ
 
คลิกเเบนเนอร์"สำนักไร้กรอบ"ด้านบนเข้าไปได้เลยค่ะ หรือมีข้อสงสัยอะไร ฝากไว้ที่บอร์ด สำนักไร้กรอบได้เลยนะคะ



 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 02-10-2011 21:35:57
สนุกดีค่ะ แต่การเดินทางนี่ยาวนานมากเลย
กว่าที่ฟินและภีมจะได้อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 02-10-2011 22:43:29
 o13 ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ¡ииσcэиτ ที่ 02-10-2011 23:04:31
ซึ้งมากเลย
 :monkeysad:

กว่าจะจบทำเอาเสียน้ำตาไปหลายลิตรเลย

 :sad11: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: premkoe ที่ 03-10-2011 03:12:14
ชอบมากเลย ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 03-10-2011 17:32:41
นิยายเรื่องนี้สนุกมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆอย่างนี้มาให้อ่าน
จะรอเรื่องต่อไปนะค่ะ เป็นกําลังใจให้ค่ะ ^____^
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: sakerum ที่ 21-10-2011 21:59:39
กลอยจ๋า ดูท่าจะมีคนมาหลงรักเจ้าแล้วนะเออ
คุณเอมนี่ก็กระไรอยู่ แล้วอย่างนี้คุณย่าจะว่าไหมน้าาา

อัพค้าาา
เป็นกำลังใจ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: obab ที่ 14-11-2011 11:08:33
>//< กดดันแต่สนุกมากค่ะ

อิอิ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: erng ที่ 17-11-2011 03:38:41
เครียดมากกกกค่า
ทำไมมันมีเรื่องปวดหัวมากมายอย่างนี้ค่า
สงสารคู่นี้มากๆๆๆค่ะ

บางทีก็แอบรู้สึกว่า ภีมไม่โตขึ้นบางเลยเหรอ
หรือเข้าใจอะไรยากจัง
แล้วฟินก็แบบบ ปากหนักมากกกกจริงๆๆๆๆ
เฮ้อออออ
ลุ้นแทบขาดใจจจจจ

ขอบคุณมากๆๆนะค่า
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 05-12-2011 18:49:59
ThankS
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: jaymaza ที่ 11-12-2011 02:47:09
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ToffeE_PrincE ที่ 27-02-2012 01:12:04
 :pig4: :pig4: สนุก

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: shogun chai ที่ 17-05-2012 12:21:34
เศร้า สนุก รันทดใจ  :z3:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 18-05-2012 16:09:51
ตามมาอ่านรวดเดียวจบจากลิงค์ที่มีคนแนะนำค่ะ ... ชอบมาก
นั่งอ่านตลอดบ่ายเลย ^ ^
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 06-06-2012 09:34:34
 :z13:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kt_ktjj ที่ 01-08-2012 07:22:37
ไว้จะแวะมาอ่านนะคะ ขอบคุณที่ลงให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: reborn ที่ 02-08-2012 16:51:28
  o13
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Relode ที่ 02-08-2012 20:36:45
 :sad11: เพิ่งเข้ามาอ่านซึ้งมากเลย อ่านแล้วตรงชีวิตตัวเองเลย ขอบคุณมากครับได้ข้อคิดดีๆมากมายเลย
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 13-10-2012 22:29:22
ThankS
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 14-10-2012 17:32:45
 :call:ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: BeauBeeiiz ที่ 18-10-2012 19:56:21
เป็นควมมรักที่ยาวนาน และมั่นคงมากกก

ไม่ว่าจะห่างกันไปนานสักแค่ไหน ก็ยังรัก และคิดถึงกันอยู่ดี

ปลื้มนะ =))
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kolapapaya ที่ 18-11-2012 18:57:57
ลุ้นตั้งแต่้ต้นจนจบเลยค่ะ ตั้งแต่มัธยม ว่าฟินกะภีมจะมารักกันยังไงเนี่ย
ภีมก็โมโหร้ายซะขนาดนั้น :z3: แต่กลายเป็นว่าฟินชอบร้ายๆ  :m20:
แล้วยังมาเลิกกันกลางคันอีก  o22
สนุกมากค่าาาา  :L1:

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zeeds ที่ 24-11-2012 02:20:44
ว้าววว เพิ่งเคยมาอ่านทีเดียวเลย สนุกมากๆเลยครับ กว่าจะได้รักกันทั้งระยะทางและเวลาเลย เห้อออ ดีใจที่ทั้งคู่กลับมารักกันอีกครั้งครับ ^^   o13
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: rainfall ที่ 04-12-2012 00:30:08
การเดินทางที่ยาวนานมากๆๆๆๆๆ จบลงด้วยดี :เฮ้อ: o13 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 15-09-2013 13:58:37
กลับมาอ่านอีกรอบบบ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวหนุก ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 15-09-2013 23:45:47
ชอบตรงที่ไม่มีมือที่สามมาแยก แค่ความคิดของแต่ละคนต่างกัน

แต่ตอนจบ ง่ายไปนะ คิดว่าฟินจะเป็นเนื้องอก ไม่ก็ โดนรถชน หรือรถคว่ำซะอีก :mew5:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-09-2013 19:30:19
เรื่องนี้ดราม่าอ้ะ
แต่ไม่ถึงขนาดปวดหนึบที่ใจ
กว่าจะลงเอยกันได้ ใช้เวลานานมากก
ตอนแรกนึกว่าจะเป็นเรื่องใสใสวัยมัธยมซะอีก
แต่ก็ดีแล้วที่แฮปปี้เอนดิ้ง ^^
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Vavaviz ที่ 16-09-2013 20:34:05
กว่าจะได้อยู่ด้วยกัน

เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-09-2013 02:25:45
 :เฮ้อ: จบแล้ว กว่าจะถึงตอนนี้ที่ได้อยู่ด้วยต้องผ่านอุปสรรคและระยะเวลาอย่างยาวนานเลยที่ดียว ซึ้งดี :mew4:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 22-09-2013 23:13:50
 :L2:อ่านจนตาแฉะสนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 25-09-2013 21:39:00
ปวดหนึบกว่าจะลงตัวกันได้ เสียดายเวลาที่ห่างกันไป
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 27-09-2013 17:52:32
เส้นทางความรักของภีมกับฟินช่างยาวนานเหลือเกิน
ตั้งหลายปี กว่าจะมาลงเอยกันอีกครั้งจนได้
ชอบเบสต์กับติณณ์มากๆๆๆๆ
และก็พ่อภีตา ถึงจะมีบทบาทน้อยแต่สำคัญมาก
น้องฟางข้าวก็น่ารักมากๆๆๆๆเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-10-2013 03:33:53
โอย กว่าจะรักกัน
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-10-2013 08:13:56
สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 07-10-2013 20:49:49
โอย~~เอาใจช่วยทั้งเรื่องเลยค่ะ

กว่าจะลงเอยกันได้ ลุ้นสุด ๆ

ฟินภีมก็มั่นคงในกันและกันมากจริง ๆ

ขอบคุณนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 14-10-2013 16:41:58
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: maybe-yy ที่ 26-11-2013 18:54:53
 :L2: น้ำตาคลอเลยอินนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 27-11-2013 17:50:07
กว่าจะได้อยู่ด้วยกัน มันทรมานจริงๆ
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: ekonut ที่ 28-11-2013 09:02:58
สิ้นสุดของการรอคอย

แม้จะนานแต่อย่างน้อยก็สมหวัง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 05-01-2014 21:42:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 19-06-2014 21:52:51
เรื่องนี้ทำให้เสียน้ำตาไปหลายตอนเหมือนกัน คนเขียนเก่งมากค่ะ
อ่านมาเรื่อยๆ ก็คิดอยู่ในหัวมาตลอดว่า ภีมมันเคยบอกรักฟินมั่งมั๊ยวะ
เอ๊ะ รึเราอ่านตรงไหนข้ามไป ก็คิดๆมาตลอดจนจะจบเรื่องล่ะ เฮ้ย ก็ยังไม่มีว่ะ
อย่าบอกให้ดูที่การกระทำ เพราะดูออกยากมากกกกกก
และเนื่องจากไม่มีเครื่องอ่านใจ จึงไม่รู้ว่าภีมคิดยังไงค่ะ
และแล้วก่อนจบชั้นก็ได้ยินคำนั้น คำว่าภีมรักฟิน นึกว่าจะไม่ได้ยินซะล่ะ
ส่วนฟินก็โครตจะรักมั่นคงอ่ะ สุดๆแล้ว ภีมโชคดีมากนะ บอกเลย
สรุป!!! เอาภีมไปเก็บค่ะ แล้วเอาฟินห่อใส่กล่องกลับบ้านให้เดี๊ยนด้วย โฮะๆๆ

ขอบคุณคนเขียนและคนโพสอีกทีเจ้าค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 20-06-2014 21:21:12
กว่าจะจบ

ลุ้นแทบตาย

บางทีก็หงุดหงิด มันไม่ได้ดั่งใจ

สุดท้ายก็ลงตัว

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ



หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: spsygk ที่ 25-12-2014 22:16:58
ผมนี่เหนื่อยเลยยย  กว่าจะเข้าใจกัน

สนุกมากกกก  น่ารักกกก
ลุ้นตลอดๆๆๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 27-12-2014 17:33:08
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 25-06-2015 21:14:51
กลับมาอ่านอีกรอบ ร้องไห้จนปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย
ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจภีมซักเท่าไร แต่ฟินมันเข้าใจ เก่งมากอ่ะ 555
แต่ก็รุ้แหละว่าภีมรักฟิน หยวนๆ จบแฮปปี้อิคนอ่านก็ดีใจแล้ว ^^
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 19-01-2016 00:48:33
ขอบคุณนะคะ นิยายน่ารักดีค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Cheese[C]ake ที่ 31-10-2017 00:37:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 31-03-2018 21:27:41
 o13  o13 ดีๆๆๆๆๆๆไ โอ้ยยยยยย อ่านเถอะ ลุ้นตามพระเอกนางเอก โอ้ยยยยยยยย โล่ง!!! กว่าจะอยู่ด้วยกัน :katai2-1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
เริ่มหัวข้อโดย: nutae or ที่ 20-04-2018 11:51:50
อากให้มีตอนพิเศษจัง.........แบบว่าคราบน้ำตายังไม่แห้งเลย  55555555  # ขอตอนพิเศษหวานๆสักตอนได้มะ  :mew2: