***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ***** Re: คุณชายแสนร้ายกับนายใจเย็น >>> บทส่งท้าย /// By Mitunayon  (อ่าน 112910 ครั้ง)

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8

e_new

  • บุคคลทั่วไป
อ่านช่วงบนๆ บอกได้เลยว่า  ปากแข็ง!!!!!
แต่พอมาอ่านช่วงล่างๆน๊า อ๊าย ย >///< เขินแทน
รอตอนต่อไปจ้า +1 +เป็ด

nine-poo

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ kp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
เฮ้ยยยยยย
เกือบลืมวันนี้มีสอนพิเศษ
ไปแล้ว
โชคดีครับครูฟิน

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากๆเลย
ฟินดูอบอุ่นดี มาต่อเร็วๆนะค่ะ
เป็นกําลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

alonezaxxx

  • บุคคลทั่วไป
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: เขินนนนนนนน>////< อ่านแล้วอินอ่ะ รีบๆมาต่อนะ  o13 o13 o13

zusuki

  • บุคคลทั่วไป




บทที่ 13 – ยอมรับในตัวเอง




   ภีมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาคมของฟิน ทำไมตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นทรงพลังบางอย่างจนทำให้เขาร้อนรุ่ม

   โชคดีที่แปรงฟันแล้ว... ฟินคิดในใจอีกครั้งพร้อมกับมอบจุมพิตร้อนแรงที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ฟินช้อนร่างบอบบางขึ้นแล้วเดินไปยังโซฟา ระหว่างนั้นก็ยังไม่หยุดริมฝีปากของตัวเอง

   ฟินวางภีมลงบนโซฟาตัวใหญ่อย่างเบามือก่อนจะขึ้นคร่อมร่างบางนั้นไว้แล้วพรมจูบที่ใบหน้าของภีมอย่างอ่อนโยน

   นุ่มนวล อ่อนโยน ราวกับสายลม ภีมหลับตาปล่อยหัวใจไปกับความนุ่มนวลที่ได้รับ

   ฟินแนบชิดร่างของตัวเองกับภีม ร่างที่อยู่ข้างล่างสั่นสะท้านคล้ายกลัวกับสัมผัสที่กำลังจะได้รับ หลังจากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อของภีมออกทีละเม็ดๆ

   จนกระทั่งเม็ดสุดท้าย ฟินค่อยๆถอดเสื้อของภีมออกจากร่างกายโดยยังไม่หยุดจุมพิต

   ร่างท่อนบนของภีมเปลือยเปล่า

   ฟินถอดเสื้อของตัวเองออกบ้าง

   ร่างท่อนบนของทั้งคู่เปลือยเปล่า

   ฟินกดมือข้างหนึ่งลงบนหน้าท้องของภีม ภีมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะใช้มือโอบรอบคอของฟินเอาไว้

   ฟินจูบที่ลำคอของภีม ร่างทั้งร่างที่อยู่เบื้องล่างสั่นสะท้าน มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของฟินเลื่อนไปอยู่ที่กางเกงของภีมก่อนจะปลดกระดุมกางเกงออกช้าๆโดยไม่ให้ภีมรู้ตัว

   ฟินเพิ่มน้ำหนักจุมพิตที่ลำคอให้แรงขึ้น ภีมเกร็งร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านไปตามอารมณ์ที่ร้อนขึ้น แต่ฟินก็เก่งเหลือเกิน...ในการปลุกอารมณ์ความรู้สึกของภีมให้ร้อนแรง

   ฟินยังไม่หยุดจุมพิต ในขณะเดียวกันก็ใช้มือดึงกางเกงออกจากร่างกายของภีม

   “ไม่...อย่าถอดกางเกง” ภีมร้องประท้วงเสียงแผ่ว “ฉันยังไม่อยาก...”

   ฟินหยุดทุกการกระทำไว้เพียงเท่านั้น มือข้างหนึ่งเสยผมที่ลงมาปรกหน้าให้ออกไป ใบหน้าหล่อที่ไม่มีอะไรบดบังดูมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้น ภีมผงะไปกับภาพนั้น

   ภีมเพิ่งรู้สึกว่าฟินเป็นคนหล่อมากคนหนึ่ง และยังเพียบพร้อมสมบูรณ์ทุกคุณสมบัติ “ฉันว่านายออกไปจากตัวฉันดีไหม” ภีมพูดเสียงแผ่วก่อนจะใช้มือดันที่หน้าท้องของฟินเบาๆ

   ฟินยิ้มให้กับคำพูดนั้นก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ปากของภีมเบาๆ “อยากอยู่แบบนี้มากกว่า ถ้ารู้ว่าไม่ไปสอนแล้วนายจะมาหาถึงที่ ฉันไม่ไปนานแล้ว”

   “พูดมากน่า” ภีมปรามเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวเพื่อหนีใบหน้าของฟิน แต่ฟินไม่ยอมให้ภีมทำแบบนั้นหรอก...

   “จะไปไหน” ฟินยึดหัวไหล่ของภีมเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง

   ภีมละล่ำละลักไม่กล้าพูดออกมา และยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของฟินด้วยแล้วยิ่งทำให้ความกล้าที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในใจหายไปเกือบหมด “จะไปใส่เสื้อ”

   “ยังไม่หมดเวลาเรียนเลย จะไปได้ยังไงกัน” ฟินจุมพิตบนริมฝีปากของภีมอีกครั้ง

   “พอแล้ว ฉันจะไปใส่เสื้อ” ภีมย้ำความต้องการอีกครั้ง เสียงเข้มกว่าเดิม

   แต่...เรื่องอะไรที่ฟินจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ฟินกดร่างของตัวเองเข้ากับร่างของภีม มันแนบชิดเสียจนทั้งคู่เกือบหายใจไม่ออก

   ฟินไม่เปิดโอกาสให้ภีมได้โวยวาย เขาปิดริมฝีปากที่เผยอออกของภีมอย่างรวดเร็วก่อนจะดันลิ้นเข้าไปเพื่อซึมซับรสชาติของริมฝีปากสวย ภีมร้องครางออกมา ขาทั้งสองข้างบิดไปมาเพื่อไล่ความรู้สึกสะท้านที่วิ่งวนไปทั่วร่างกาย

   แต่อย่างที่บอกไว้...ฟินเก่งเหลือเกินในการปลุกอารมณ์ความรู้สึกของภีม

   ร่างทั้งร่างของภีมสะท้านยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อฟินเลื่อนริมฝีปากลงมาที่ลำคอระหงที่ตอนนี้บิดเกร็งไปตามความรู้สึก ฟินจุมพิตบริเวณนั้นอยู่นานจนภีมทนไม่ไหวร้องโวยวายออกมา “ไม่ไหวแล้ว ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” มือเรียวสวยกุมศีรษะของฟินเอาไว้ก่อนจะออกแรงผลัก

   แต่เรี่ยวแรงของภีมแทบไม่เหลือเลย มันอ่อนระทวยไปหมด ทั้งร่างกายและจิตใจ

   ฟินยิ้มอีกครั้ง จุมพิตสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้เป็นรอยสีแดงบนลำคอขาวของภีม จากนั้นเขาก็ถอนริมฝีปากออก แต่ร่างกายยังคงทาบทับอยู่บนร่างบอบบางนั้น ฟินไล้มือไปตามไรผมที่ปรกหน้าของภีมอย่างเบามือ “เคยสงสัยอยู่ว่าทำไมคนถึงชอบนายกันนัก”

   “ก็เพราะฉันรวยมั้ง” ภีมตอบ

   “เปล่าหรอก เด็กที่เรียนที่นี่มีใครจนบ้างล่ะ” ฟินพูดเป็นเชิงถาม

   “ก็นายไง ดูจนและธรรมดา” ภีมย้อนเข้าให้

   “ก็ไม่จนนะ แต่ก็ไม่ได้รวยอะไร” ฟินพูดอย่างไม่ใส่ใจ

   ภีมแกล้งทำเป็นมองไปรอบๆห้องก่อนจะแสร้งทำหน้าตกใจ “เรียกว่าจนเหรอ คอนโดที่นายอยู่ไม่ต่ำกว่าห้าล้านแน่ๆแล้วยังเฟอร์นิเจอร์นำเข้านั่นอีก แล้วเสื้อผ้าของใช้ของนายก็เป็นแบรนด์เนมทุกอย่าง แล้วยัง...”

   ฟินก้มลงปิดริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ภีมจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ และเมื่อฟินกำลังจะถอนริมฝีปากก็ถูกภีมกัดเข้าให้จนห้อเลือด

   “โอ๊ย...ทำอะไรเนี่ยภีม” ฟินร้องออกมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบที่ริมฝีปากบวมช้ำของตัวเอง “มันเจ็บมั้ยเนี่ย กัดเข้ามาได้”

   “ก็อยากให้เจ็บไง นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว” ภีมทำหน้าบูดบึ้ง คิดสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงได้ยอมอะไรใครง่ายๆขนาดนี้ โดยเฉพาะคนที่ว่านั้นคือฟิน ประธานนักเรียนขี้เก๊กและแสนจะนิ่งยิ่งกว่าน้ำ

   “ยังอยากให้ฉันเป็นครูสอนพิเศษอยู่มั้ย” ฟินถามขึ้น ในน้ำเสียงนั้นจริงจังเหลือเกิน

   ภีมไม่ตอบอะไร อยากปล่อยให้คนที่บอกว่าตัวเองเป็นครูเป็นผู้คิดเองว่าสมควรจะสอนหรือไม่ แต่ถึงคราวที่ฟินน่าจะรู้ใจภีม
   เขากลับไม่รู้เสียนี่...

   ฟินผละออกจากภีมในทันที ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเสื้อสีฟ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมาใส่พลางพูดว่า “ไม่อยากเรียนก็ไม่เป็นไร”

   ภีมรู้สึกอยากจะโกรธผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมถึงไม่รู้ ร่างสูงเพรียวดีดตัวมาอยู่ในท่านั่งแล้วคว้าเสื้อของตัวเองมาใส่บ้าง จากนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปที่ตอนนี้บวมเป่งคล้ายจะแตกออกมา

   ภีมมองร่างสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม ทำไมเขารู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้เข้าไปได้ ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่ชอบขี้หน้าเอามากๆ
 ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือได้รวดเร็วปานนี้

   ทั้งสองคนเงียบอยู่นาน จนฝ่ายที่ทนไม่ไหวอย่างภีมต้องเริ่มพูดก่อน “ฉันบอกเหรอว่าไม่อยากเรียนกับนาย”

   เมื่อประเด็นถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ผู้เข้าร่วมถกเถียงอย่างฟินจึงหันหน้ากลับมาเพื่อเข้าร่วม “เห็นท่าทางก็พอจะเดาได้ แล้วยิ่งไม่พูดอะไรเลย...”

   แต่...ภีมก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน “ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะ โง่จริงๆ คนอย่างนายเก่งทุกเรื่องไม่ใช่เหรอไง”

   “ไม่หรอก ฉันมีตั้งหลายอย่างที่ทำไม่ได้”

   ภีมนั่งคิดไปต่างๆนานาว่าอะไรหนอ...ที่คนอย่างฟินจะทำไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่จะคิดออกเจ้าตัวก็เฉลยออกมาเสียก่อน

   “ฉันเล่นดนตรีไม่ได้ เล่นได้แค่ฮาโมนิก้าอย่างเดียว” ฟินพูดเบาๆ พลางนึกถึงเรื่องที่คล้ายจะเป็นปมด้อยนี้ ครอบครัวของฟินทุกคนสามารถเล่นเปียโนและเครื่องดนตรีอื่นๆได้หลายอย่าง ทั้งพ่อ แม่ หรือน้องสาวของเขา แต่สำหรับฟินแล้ว ทำไมมันช่างยากเหลือเกิน ไม่ว่าจะฝึกสักเท่าใดก็ทำไม่ได้ สุดท้ายแล้วเครื่องดนตรีที่สามารถเล่นได้ดีเพียงอย่างเดียวก็คือฮาโมนิก้า

   “แค่เล่นดนตรีไม่ได้แค่นี้เนี่ยนะ” ภีมแค่นหัวเราะพลางนึกถึงเรื่องของตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดีสักอย่างนอกจากเล่นดนตรี โชคดีที่พระเจ้ายังประทานพรสวรรค์อันงดงามนี้มาให้เขา ทุกครั้งที่ภีมเล่นดนตรีจึงไม่เคยลืมที่จะนึกถึงพระเจ้าและกล่าวคำขอบคุณสำหรับพรสวรรค์อันวิเศษนี้

   ภีมเล่นเครื่องดนตรีได้มากมายหลายชนิด จะมีก็แต่ฮาโมนิก้านี่ล่ะ...ที่ฝึกอย่างไรก็ไม่ได้สักที คิดแล้วก็พาให้หงุดหงิดใจ

   “นายก็เก่งตั้งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เล่นกีฬา โน่นนี่หลายๆอย่าง ยังไม่พอใจอีกเหรอ” ภีมพูดพลางนึกอิจฉาคนที่สมบูรณ์พร้อมอย่างฟิน “ส่วนฉันไม่มีดีสักอย่าง ถ้าวันนี้ฉันเล่นดนตรีไม่ได้ อยากจะรู้จริงๆว่าคนอย่างฉันจะมีค่าอะไร”

   ฟินสะดุดกับคำพูดที่แสดงความน้อยใจนั้น ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างภีมก่อนจะโอบไหล่บางนั้นไว้แล้วบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ

“คนเรามีค่าในตัวเองเสมอ คนที่รักนายมีตั้งเยอะแยะ ทั้งพ่อแม่ พี่สาวแล้วก็คุณแม่บ้านทั้งหลาย” ฟินหยุดพูดไปนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเพื่อรวบรวมความกล้าพูดประโยคต่อไป “รวมทั้งฉันด้วย”

ฟินรู้สึกกระดากกับคำพูดนั้นของตัวเอง เขาก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความร้อนผ่าวที่อยู่บนใบหน้า ส่วนภีมก็ตื่นเต้นไปกับคำพูดนั้นของฟิน ภีมมองฟินในอีกมุมหนึ่งและพยายามเปิดใจของตัวเองให้กว้างขึ้น

เพราะบางทีคนเราก็ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันผิดแผกหรือแตกต่าง แต่ถ้าการแตกต่างนั้นคือตัวเราก็สมควรยอมรับไม่ใช่หรือ ภีมกำลังพยายามยอมรับในข้อนี้อยู่

แม้ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรในเมื่อหัวใจเราเต้นแรงเพราะความรู้สึกรักไปแล้ว

“เห็นหน้ากันมาตั้งแต่ ม.4 ทำไมเพิ่งมารู้สึกอะไรตอนนี้ นายก็ดูมี...คนมาติดพันเยอะไม่ใช่เหรอ” เดิมทีภีมคิดจะใช้คำว่าผู้หญิงแทนคน แต่มันรู้สึกแปลกๆก็เลยเลี่ยงใช้คำนี้แทน

“เหรอ ไม่เห็นรู้ตัวเลย ส่วนเรื่องนาย...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่” ฟินพูดอย่างไม่ใส่ใจ คนนิ่งเฉยเย็นชาอย่างเขาจะสนใจอะไรไปมากกว่าการเรียนและกิจกรรม

ภีมเบ้ปากกับท่าทางไม่ใส่ใจของฟิน “นายก็ดูเป็นที่สนใจของทุกคนนี่ ทั้งเรียนเก่งและก็...” ภีมกลืนคำว่าหน้าตาดีกลับเข้าไป

   “และก็อะไร พูดมาให้จบ” ฟินพูดเป็นเชิงบังคับ ดวงตาคมจ้องมาราวกับหมาป่าจ้องมองเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

   “ลืมว่าจะพูดอะไร อย่าไปใส่ใจเลย” ภีมโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน อย่างไรเสีย...จะให้ชื่นชมหมอนี่ต่อหน้าต่อตาเจ้าตัวก็ยังคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอยู่ดี

ฉะนั้น...เลี่ยง เป็นดีที่สุด

“ไม่เชื่อหรอกว่าลืม ถ้าไม่บอกฉันจะ...” ฟินพูดพลางทำท่าจะกระโจนเข้าใส่เหยื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ภีมรีบหยิบหมอนอิงใบเล็กมากันไว้ในทันที

คนใจร้อนก็ต้องมาเจอคนแบบนี้ล่ะ...ถึงจะสมกัน

“จะบอกมั้ย” ฟินให้โอกาสอีกครั้งพร้อมกับเว้นระยะห่างให้น้อยกว่าเดิม

ภีมทำท่าจะไม่ยอมแต่พอนึกถึงเรื่องราววาบหวิวที่กำลังจะตามมาทำให้คิดว่า ได้ไม่คุ้มเสียเป็นแน่ ดังนั้น...หนุ่มน้อยขี้โมโหจึงพูดออกไป “และก็หน้าตาดี”

ฟินยิ้มรับอย่างพอใจ ใครชมเขาว่าหน้าตาดียังไม่มีความสุขเท่ากับคนๆนี้เอ่ยชม “ขอบคุณที่ชม ไม่คิดว่าในสายตาคนอย่างนายฉันจะดูดีเหมือนกัน”

“ก็แค่บอกว่าหน้าตาดี ไม่ใช่ดูดี ฉันยังไม่ขี้โอ่เท่านี้เลยนะ ทั้งๆที่ฉันก็หล่อกว่านาย” ภีมคล้ายภูมิใจกับคำพูดนั้น

“ฉันยอมให้นายหน้าตาดีกว่า หน้าตามันกินไม่ได้สักหน่อย ภูมิใจไปทำไมกัน” ฟินยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะกลับมานั่งในท่าเดิม...หลังตรง หน้านิ่ง

ภีมมองดูอย่างขบขัน นึกสงสัยว่านี่คือภาพลักษณ์ที่จงใจสร้างขึ้นมาหรือว่าเป็นแบบนี้จริงๆ
“กี่โมงแล้ว” ภีมถามขึ้น

ฟินมองดูนาฬิกาที่อยู่หน้าห้องนอน “บ่ายโมงครึ่ง เลยเวลาเรียนมาครึ่งชั่วโมง” ฟินต่อความให้เสร็จสรรพ

“หิว มีอะไรให้กินมั้ย” ภีมถามพลางมองไปที่ห้องครัวที่แสนจะเรียบร้อยนั้น

“ก็มีอยู่ อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวทำให้กิน” ฟินพูดพลางยืดตัวขึ้นแล้วเดินไปยังโซนห้องครัว

ภีมแปลกใจขึ้นมาว่าคนอย่างเขาทำอาหารเป็นด้วยหรือ ถ้าทำเป็น...ทำไมเครื่องครัวต่างๆยังดูใหม่เหมือนไม่ได้ผ่านการใช้งานเลย “ทำเป็นด้วยเหรอ”

ฟินหันมายิ้มให้คนถามที่ทำหน้าคล้ายกับว่านี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก “เป็นสิ แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรในตู้เย็นที่พอเอามาทำได้บ้าง ขอดูก่อน” ฟินพูดพลางเปิดตู้เย็นสีน้ำเงินออกแล้วรื้อค้นวัตถุดิบที่พอจะเอามาทำอาหารได้ออกมาวางไว้บนพื้นที่ว่างข้างๆอ่างล้างจาน

ภีมมองดูภาพตรงหน้าด้วยความอบอุ่นใจ รอยยิ้มเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่เจ้าตัวไม่รู้

ฟินรื้อค้นอยู่นาน แล้ววัตถุดิบที่กองอยู่ตรงหน้าก็มี ไข่ไก่สด มะเขือเทศ เนื้อไก่ เต้าหู้ไข่ และผักอีกสองสามชนิด

“สงสัยจะเลือกไม่ค่อยได้แล้วล่ะ ว่าอยากกินอะไร” ฟินเปรยขึ้นก่อนจะหันหน้ามาขอความเห็นของภีม
“อยากทำอะไรก็ทำมา หิวจะตาย”

“ต้มจืดเต้าหูแล้วก็ไข่เจียว กินได้มั้ย” ฟินถามด้วยความเป็นห่วง

ภีมคล้ายจะโมโหกับคำถามนั้น หมอนี่เห็นเขาเป็นคุณชายที่กินได้แต่อาหารฝรั่งหรือยังไง

“ถามเฉยๆ เผื่อว่าไม่ชอบ” ฟินรับรู้ความโกรธนั้นจากใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปของภีม “จะได้ทำอย่างอื่นแทน จะโกรธทำไมกัน” แล้วฟินก็เลิกสนใจภีม ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่อาหารตรงหน้าเท่านั้น

อันดับแรกที่ฟินทำคือหุงข้าว จากนั้นก็ต้มน้ำรอไว้แล้วก็จัดการกับวัตถุดิบอื่นๆจนพร้อมที่จะใส่ลงหม้อน้ำที่ต้มจนเดือด

   จากนั้นก็หันมาจัดการทอดไข่เจียวด้วยความรวดเร็ว

   ภีมกระตือรือร้นอยากจะช่วยแต่พอนึกถึงความยุ่งยากที่จะตามมาแล้วทำให้เขาถอดใจไปในที่สุดและคอยนั่งมองร่างสูงที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหาร

   ปกติฟินไม่ใช่คนรีบร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ยิ่งเรื่องทำอาหารด้วยแล้วเขาจะพิถีพิถันเป็นพิเศษ แต่วันนี้...ต่างไปจากเดิม

   ตรงที่คนหิวข้าวคือภีม เขาไม่อยากให้ภีมรอนาน ทุกอย่างจึงดูวุ่นวายแบบนี้ ทำโน่นทำนี่ไปพร้อมๆกัน

   ไม่นานนัก อาหารทุกอย่างก็ถูกยกมาวางที่โต๊ะกินข้าว

   ข้าวหนึ่งจาน ไข่เจียวแล้วก็หม้อต้มจืดเต้าหู้วางอยู่บนโต๊ะ แล้วน้ำเปล่าเย็นๆก็ถูกยกมาวางไว้ภายหลัง

   ฟินปาดเหงื่อที่ไหลตามรูปหน้า ไม่เคยเหนื่อยกับการทำอาหารเท่าวันนี้เลย

   ภีมลุกเดินมานั่งบนเก้าอี้แล้วชวนให้ฟินนั่งกินด้วยกัน แต่ฟินปฏิเสธบอกว่ากินแล้ว ภีมจึงนั่งกินคนเดียวพลางมองร่างสูงที่กำลังเก็บกวาดครัวให้สะอาดดังเดิม

   เมื่อฟินกินเสร็จ ฟินก็จัดการกับห้องครัวเสร็จพอดี แล้วภีมก็ทราบว่าทำไมเครื่องครัวถึงสะอาดเรียบร้อยราวกับไม่เคยผ่านการใช้งาน

   เพราะของเหล่านั้นเป็นของฟินนี่เอง ฟินคนที่ดูแลใส่ใจในของทุกๆอย่าง

   ฟินเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับภีม “อิ่มหรือเปล่า” คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

   ภีมพยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว ไม่พูดอะไรต่อ

   “อิ่มก็ดีแล้ว” ฟินพูดพลางเก็บของที่อยู่บนโต๊ะเอาไปทำความสะอาดจนเรียบร้อย ภีมมองตามด้วยความเกรงใจ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าความเกรงใจเป็นอย่างไร

   “ฉันจะกลับแล้ว” ภีมพูดขึ้นเมื่อเห็นฟินจัดการทุกอย่างในห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

   “รอสิบนาที เดี๋ยวลงไปส่ง” แล้วฟินก็รีบวิ่งเข้าห้องนอนเพื่อไปอาบน้ำในทันที ประตูห้องนอนเปิดค้างไว้ มันเชิญชวนให้ภีมอยากรู้เหลือเกินว่าในห้องนั้นมีอะไร

   เข้า...หรือ...ไม่เข้า

   ภีมถอยหน้าถอยหลังอยู่นาน จนสำนึกสุดท้ายบอกว่า...นั่นมันเสียมารยาทชัดๆ เจ้าของห้องยังไม่อนุญาตเสียหน่อย

   ภีมจึงถอยออกมาแล้วกลับไปนั่งที่โซฟาด้วยใจที่เต้นแรง

   สิบนาทีต่อมา (ตรงเวลาเป๊ะ) ฟินเดินออกมาจากห้อง ร่างสูงอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นประมาณเข่าสีดำ

   “เร็วจังเลยวุ้ย” ภีมพูดกลั้วหัวเราะ สิบนาทีก็สิบนาทีไม่ขาดไม่เกินเลยจริงๆ มีเรื่องไหนที่เขาคนนี้จะพลาดบ้างหรือเปล่า

   “ใครพามาที่นี่” ฟินถามสั้นๆ

   “คนขับรถที่บ้าน” ภีมก็ตอบสั้นๆเช่นกัน

   “นึกว่ามาเอง”

   “คนอย่างฉันจะไปไหนได้ ไม่รู้ทางอะไรเลยสักนิดเดียว”

   “ไป ฉันลงไปส่ง” ฟินพูดพลางเดินนำไปยังประตู

   เมื่อภีมเดินตามมา ฟินก็จุมพิตที่ริมฝีปากของภีมอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณที่มาหา แล้วก็สารภาพความจริงออกมา”

   ฟินยิ้มกริ่มก่อนจะเดินนำออกไป...

   เมื่อทั้งคู่ลงมายังชั้นล่าง ประชาสัมพันธ์สาวคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “สุขสันต์วันเกิดนะคะ น้องฟิน”

   ฟินงุนงงกับคำพูดนั้น เขาหันมาหาภีมเป็นเชิงถามว่าเรื่องอะไร แต่ภีมก็ยิ้มแหยๆแล้วรีบเดินหนีออกไปในทันที

   ฟินจึงเข้าใจว่าทำไม ตอนแรกก็แปลกใจอยู่ว่าภีมขึ้นไปห้องเขาได้อย่างไรโดยที่ประชาสัมพันธ์และยามไม่ว่าอะไร ซ้ำยังไม่โทรบอกล่วงหน้าอีกต่างหาก

   ฟินหันไปผงกศีรษะให้กับประชาสัมพันธ์สาวอย่างขอบคุณก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความขบขันว่า “เขาบอกอย่างนั้นเหรอ ผมก็เพิ่งรู้นี่ล่ะ...ว่าผมเกิดวันนี้”




 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






tawan

  • บุคคลทั่วไป
น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก น่ารัก

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก 

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก 

น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก  น่ารัก 

ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

 :call:

ออฟไลน์ EVE910

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 550
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1

e_new

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
ตามนั้นเลยค๊า
รอดูว่าจะ..เมื่อไหร่ >///<
+1 +เป็ดต้า สู้ๆ :)
 :L2: :L2: :L2:
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 14 – ตั้งใจซึ่งกันและกัน




   เช้าวันอาทิตย์...

   เก้าโมงตรง

   ภีมเดินขึ้นไปห้องดนตรีที่ชั้นสามด้วยท่าทางกระตือรือร้น บรรดาคุณแม่บ้านของพิริยะต่างก็ยิ้มให้กับคุณชายของพวกเธอที่ตอนนี้อารมณ์ดีจนน่าสงสัย

   ภีมตรงไปที่เปียโนสีดำมันวาว ทรุดตัวลงนั่งช้าๆที่เก้าอี้แล้วเริ่มบรรเลงเพลงที่มีเพียงทำนอง เพลงที่ฟินเขียนขึ้น...

   ภีมฝึกซ้อมเพลงนี้เพียงสองรอบก็สามารถจำตัวโน๊ตทุกตัวของเพลงนี้ได้ ซ้ำยังเล่นได้อย่างไพเราะและกินใจเป็นอย่างมาก

   นิ้วเรียวยาวพลิ้วไหวไปตามท่วงทำนอง เปลือกตาของภีมปิดสนิท แล้วเขาก็ปล่อยหัวใจไปตามทำนองนั้น

   แม้จะเป็นทำนองเศร้า...แต่ทำไมตอนที่เล่นเพลงนี้

   รู้สึกมีความสุขเหลือเกิน

   เมื่อพอใจกับการเล่นเปียโนแล้ว ภีมก็เดินไปหยิบกีต้าร์ออกมาจากตู้กระจกแล้วเริ่มเกาตัวโน๊ตเพลงดาวออกมา ภีมคิดว่าใช้กีต้าร์เล่นแล้วไม่ไพเราะเท่าเปียโน

   เขาจึงเปลี่ยนมาเป่าแซ็กโซโฟนบ้าง แต่มันก็ไม่เพราะอยู่ดี

   ช่วงเวลานั้น ภีมนึกถึงเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่ง ฮาโมนิก้า มันจะไพเราะสักแค่ไหนกัน

   เครื่องดนตรีธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มันเป่าได้ แต่ทำไมคนอย่างภีมถึงเป่าไม่ได้...

   คิดแล้วก็พาลให้หงุดหงิด ภีมจึงกลับมานั่งที่เปียโนดังเดิม...แล้วบรรเลงเพลงอื่นไปเรื่อยๆตามที่ใจคิด

   เพลงแล้ว เพลงเล่า...

   จนกระทั่งสิบโมงเช้า

   เวลาเข้าเรียน...

   ภีมปิดฝาครอบเปียโนก่อนจะเดินลงมาที่ชั้นสองอย่างช้าๆ แม้จะอยากเจอหน้าครูพิเศษสักแค่ไหนก็แพ้ความเกียจคร้านที่มีต่อการเรียนอยู่ดี

   ความกระตือรือร้นของภีมจึงหายไปเมื่อคิดว่าต้องเรียนหนังสือ...

   เรานี่เกิดมาเพื่อโง่จริงๆเลยวุ้ย...

   ภีมเปิดประตูห้องเรียนด้วยความมีมารยาท เขาไม่ลืมที่จะเคาะประตูก่อน...

   คนที่อยู่ภายในห้องยิ้มออกมา คล้ายจะดีใจกับการกระทำที่มีมารยาทนั้น

   ภีมทำหน้ายียวนกวนประสาทเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ของตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกับครูพิเศษ

   “ตรงเวลาดีนี่” ฟินพูดพลางยกมือขึ้นดูนาฬิกา “เอาล่ะ เริ่มเรียนกันได้แล้ว” จากนั้นก็เปิดเอกสารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

   ภีมร้องเฮ้ย...ออกมาอย่างตกใจ นี่เขายังไม่ได้พักหายใจเลยนะ...จะเริ่มเรียนได้อย่างไรกัน

   แต่...ยังไม่ทันที่ภีมจะเอ่ยประท้วงใดๆ ฟินก็ยื่นเอกสารอะไรบางอย่างมาตรงหน้า “รายละเอียดสอบเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ xxxxx เอาไปอ่านดู เผื่อว่าจะสนใจ”

   ภีมรับมาดูอย่างงุนงง

   เอกสารนั้นระบุคุณสมบัติของผู้สมัครสอบและเอกสารที่ต้องนำมายื่นในการสอบ รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับคณะที่เปิดรับสอบตรงของมหาวิทยาลัยนั้น

   “เอามาให้ฉันทำไม” ภีมพูดอย่างไม่ใส่ใจ นึกถึงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยทีไรเป็นต้องอารมณ์เสียทุกที

   ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

   “ลองไปสอบดูก่อน” ฟินพูดเรียบๆ กระชับ ทว่าในดวงตาคมนั้นฉายแววบบังคับอย่างชัดเจน

   “ไม่สอบ ขี้เกียจดิ้นรน รอเข้าเอกชนดีกว่า” อีกครั้งกับคำพูดไม่ใส่ใจของภีม

   “ทำไมไม่ลองพยายามบ้าง” ฟินพูดพร้อมกับมองหน้าคนที่ทำท่ายียวนอยู่เบื้องหน้า “ฉันจะติวให้ทุกอย่างที่จะออกสอบ”

   “ไม่จำเป็น ไม่อยากสอบ แล้วใครหน้าไหนก็จะมาบังคับฉันไม่ได้ด้วย” ท้ายเสียงของภีมเข้มขึ้นจนคล้ายกับตวาด

   แต่ฟินก็ยังคงใจเย็นและยึดเหตุผลเป็นหลัก...

   “คณะดุริยางคศาสตร์ เอกดนตรีสากล สอบตรงปฏิบัติและข้อเขียนอย่างละ 50% สนใจมั้ย” ฟินยื่นเอกสารไปที่ภีมอีกครั้ง

   “ทำไมต้องเป็นมหา’ลัยนี้” ภีมถามขึ้นมาทันทีที่ฟินพูดจบ

   ฟินลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมา “ฉันจะสอบเข้าที่นี่”

   เป็นคำตอบสั้นๆ แต่มีความหมายมากมายเหลือเกิน

   ภีมเข้าใจแล้วว่าทำไมต้องเป็นที่นี่ แต่คนอย่างเขาหรือจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแบบนี้ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด

   “เชิญสอบไปคนเดียวเถอะ อย่ามายุ่งกับฉันเลย” ภีมไสเอกสารคืนกลับที่เดิม

   ฟินถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “นายทำได้อยู่แล้ว ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ส่วนความรู้เรื่องอื่นฉันจะติวให้ เอาแบบเป๊ะๆเลย”

   “บอกว่าไม่ไงเล่า” ภีมตวาดเสียงดัง “อยากเข้าก็เข้าไปคนเดียวสิ”

   “หวังว่านายจะเห็นว่ามันเป็นตัวเลือกหนึ่งนะภีม” ฟินพูดเรียบๆ แล้วกวาดเอกสารสมัครเรียนไปไว้ทางซ้ายของโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่บทเรียน

   ภีมไม่ตั้งใจฟังที่ฟินพูดเท่าไรนัก เพราะจิตใจมัวแต่คิดเรื่องที่ฟินพูดเมื่อกี้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากพยายาม แต่ถ้ารู้ว่าพยายามไปแล้วก็ล้มเหลวจะพยายามไปเพื่ออะไร...

   ภีมคิดอย่างนั้น...

   และความคิดนั้นก็บั่นทอนความพยายามของภีมไปเสียสิ้น

   “ฟังอยู่หรือเปล่าภีม” ฟินพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตาของภีมมองไปที่อื่นที่ไม่ใช่หนังสือเรียน

   “ฟังอยู่” ภีมตอบสั้นๆ

   “เมื่อกี้พูดว่าอะไร” ฟินถามเรียบๆ ใบหน้าคมนิ่งเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์

   ภีมนิ่งไปเพราะไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ก็ไม่ได้ฟังจะให้ตอบอะไรล่ะ...

   ฟินไม่ว่าอะไร แต่กลับอธิบายเรื่องนั้นซ้ำอีกครั้ง แต่ภีมก็ยังคงไม่ฟังอีกเช่นเคย

   “เข้าใจหรือยัง”

   เงียบ...

   เปลือกตาของภีมปิดสนิทไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้...

   “ภีม” ฟินเรียกซ้ำอยู่หลายครั้งกว่าเจ้าของชื่อจะรู้สึกตัว “ทำไมไม่ฟังให้เข้าใจ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็อธิบายเรื่องเดิมซ้ำอีกรอบหนึ่ง

   แต่ภีมก็ยังคงไม่ฟังอีกเช่นเคย...

   หนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบห้านาทีผ่านไป

   ฟินยังคงอธิบายเรื่องเดิม...

   “เข้าใจหรือเปล่า” ครูผู้ใจเย็นถามขึ้นหลังจากอธิบายเรื่องเดิมซ้ำเป็นรอบที่แปดจบลง

   “จะอธิบายอีกสิบรอบฉันก็ไม่รู้เรื่องหรอก ฉะนั้น...เปลี่ยนเรื่องซะ สอนให้จบๆซักที” ภีมพูดไปหาวไป

   ฟินจะทนได้อีกสักแค่ไหนกัน...

   “ถ้าเรื่องนี้ไม่เข้าใจ เรื่องอื่นจะเข้าใจได้ยังไง” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็อธิบายเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าจริงจังดุจเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

   “เข้าใจหรือเปล่าภีม” ฟินถามเมื่อการอธิบายสิ้นสุดลง

   “สมองอย่างฉัน อธิบายให้ตายก็เสียเวลาเปล่า” ภีมยักไหล่ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ

   ฟินไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งมองคนตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำ ยากที่จะหยั่งถึง...

   แต่ก่อนแววตาลึกล้ำนี้อาจจะทำให้ภีมโมโหถึงขั้นประเคนหมัดไปที่ใบหน้าหล่อๆและอวดดีนั่นสักสองสามหมัด แต่ตอนนี้...บางสิ่งในตัวภีมคล้ายจะเปลี่ยนไป

   ไม่เพียงแต่ไม่อยากใช้กำลัง แต่ยังไม่อยากให้คนๆนี้ต้องเกิดความรู้สึกผิดหวังและเสียใจในตัวเขา

   แต่...

   แม้ว่าจะรู้สึกอย่างนั้น แต่ภีมก็คือภีมที่ยังยึดมั่นในความเป็นตัวเอง เขารู้ว่าอะไรที่ทำได้และทำไม่ได้

ถ้ารู้ว่าทำได้ เขาจะทำมันจนถึงที่สุด ที่สุด และที่สุด

ตรงกันข้าม ถ้าทำไม่ได้ เขาจะไม่ใส่ใจ ไม่ขวนขวาย ไม่พยายามทำอะไรจนถึงที่สุด ที่สุด และที่สุด

ในตอนนี้...ภีมรู้ตัวว่าทำไม่ได้ เขาจึงไม่พยายามที่จะฟัง ฟัง และฟัง

แม้ว่าคนๆนั้นจะมีแรงดึงดูดที่ทำให้เขาอยากตั้งใจฟังมากแค่ไหนก็ตาม

แต่แรงดึงดูดนั้นยังคงพ่ายแพ้ให้กับความเป็นภีม ที่หลอมรวมมาแต่เด็กจนโต

“มองจนหมดเวลาได้ก็ดี” ภีมพูดขึ้นพร้อมกับจ้องตอบดวงตาคู่นั้น

ฟินยังคงนิ่งและสงบราวภูเขาน้ำแข็ง เปลือกตาที่มีแพขนตาหนาและยาวนั่น น้อยครั้งนักที่จะกระพริบลงเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้ดวงตา ฟินนั่งนิ่งไม่ไหวติงและมองภีมด้วยสายตาดังเดิม

“เออ...มองไปเลย” ภีมกัดฟันพูด เว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มองให้ตลอด อย่าคิดหยุดเชียว ให้มันตายไปข้างหนึ่ง”

แล้วภีมก็ตัดสินใจลงสนามแข่งขันประชันสายตากับฟิน...

เกือบชั่วโมงที่ทั้งคู่นั่งอยู่อย่างนั้น

และคนที่ทนไม่ไหวก็คือ...ภีม

แต่ก็น่าแปลกใจอยู่ว่าคนใจร้อนอย่างนี้ สามารถนั่งเฉยๆและจ้องหน้าคนได้นานเกือบชั่วโมงเลยเหรอ...

คำตอบคือ...ได้

“พอกันที ฉันจะไม่บ้าตามนายอีกแล้ว” ภีมตบโต๊ะเสียงดังแล้วยืนขึ้น แม้น้ำเสียงจะฟังไม่รื่นหูเท่าไรนัก แต่นั่นกลับทำให้ฟินพอใจ
ใบหน้าหล่อที่ดูนิ่งเฉยราวน้ำแข็งเมื่อครู่ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นทีละน้อยๆ

“นั่งจ้องหน้าฉันนานเกือบชั่วโมงยังทำได้เลย ทั้งๆที่คนอย่างนายใจร้อนจะตาย แล้วทำไมเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย นายจะทำไม่ได้” ฟินพูดยิ้มๆ

ภีมงุนงงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของฟิน “มันคนละเรื่องกัน”

“มันคนละเรื่องเดียวกัน เอาล่ะ...ขอแค่ตั้งใจให้สุดๆ นายต้องทำได้แน่” ฟินยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มละลายใจคนเห็นแน่แท้ แต่ก่อนภีมอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับรอยยิ้มนั่น แต่ตอนนี้...มันเปลี่ยนไปแล้ว

ภีมนั่งลงอย่างช้าๆราวต้องมนต์...

แล้วแรงดึงดูดก็ชนะความเป็นภีม พิริยะ จนได้

“เรื่องเดิม รอบที่สิบแล้ว หวังว่ารอบนี้จะเป็นรอบสุดท้ายแล้วก็เป็นใบเบิกทางเพื่อผ่านไปสู่บทเรียนอื่นๆ” ฟินพูดไปอย่างนั้น ถ้าภีมยังไม่เข้าใจจริงๆ เขาก็ตั้งใจว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ภีมเข้าใจจนได้

แล้วบทเรียนเรื่องเดิม รอบที่สิบก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง...

บนความตั้งใจซึ่งกันและกันของคนสองคน

คนหนึ่งพูด...

อีกคนหนึ่งฟัง...

“เข้าใจหรือเปล่า” ฟินถามยิ้มๆ

ภีมไม่กล้าตอบออกไปว่าไม่เข้าใจ เพราะกลัวที่จะเห็นสายตาดูถูกจากเขา ภีมจึงนั่งเงียบๆ เฉยๆ

แต่อย่างที่ทุกคน(ท่านผู้อ่านที่รัก)น่าจะเข้าใจกัน...

บางครั้งฟินก็เก่งที่จะเดาใจคนอย่างภีม

ฟินพยักหน้ารับรู้กับท่าทางนั้นของภีม เขายิ้มอ่อนๆก่อนจะเริ่มอธิบายเรื่องเดิม รอบที่สิบเอ็ดให้หนุ่มน้อยที่กำลังเปิดใจให้กว้างรับฟังอย่างเข้าใจที่สุด

“นายอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ งั้นฟังอีกรอบ” ฟินพูดขึ้นเมื่อเห็นภีมเงียบไปหลังจากที่อธิบายจบ แต่ภีมรีบโบกมือห้ามก่อนจะยอมรับออกมาว่าเข้าใจแล้ว

“เข้าใจแน่นะ” ฟินถามย้ำ

“ชัวร์ที่สุด” ภีมตอบอย่างมั่นใจ ไม่อยากจะเชื่อตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้กับเขาด้วย

แล้วบทเรียนใหม่ก็เริ่มขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้สอนและความพยายามในการเรียนรู้ของผู้เรียน

ฉันอยากให้นายได้เข้าเรียนที่นี่ เพราะนอกจากมันจะดีกับตัวนายแล้ว มันยังดีต่อ...หัวใจของฉันด้วย ฟินพูดในใจก่อนจะยิ้มออกมาเพียงลำพัง




 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

e_new

  • บุคคลทั่วไป
น่ารัก !! ^^
สู้ๆจ้าภีม ต้องทำได้อยู่แล้ว

tawan

  • บุคคลทั่วไป
น่ารักกกกกกกบอกได้คำเดียวว่าน่รักกกกก

 :call: :call: :call:

forever-yunjae

  • บุคคลทั่วไป
 :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: :laugh: ชอบอ่า ๆ
"เขาบอกอย่างนั้นเหรอ ผมก็เพิ่งรู้นี่ล่ะ...ว่าผมเกิดวันนี้"  :-[ :-[

:) น่ารักจังเลย ๆ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :กอด1: :กอด1:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 15 – ช่วงเวลาของการพยายาม




   เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ที่ใกล้ถึงวันสอบไปทุกที ภีมต้องตั้งใจหนักกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพราะนอกจากจะต้องเตรียมสอบเอ็นทรานซ์แล้วยังต้องเตรียมตัวสอบตรงอีก

   ภีมสมัครเข้าคณะดุริยางคศาสตร์ เอกดนตรีสากล ส่วนฟินเลือกเข้าคณะสัตวแพททย์ศาสตร์

   คนละคณะ แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน...

   “ทำไมถึงเรียนสัตวแพทย์ มันต้องเรียน 6 ปีเลยไม่ใช่เหรอ” ภีมเคยถามคำถามนี้กับฟินเมื่อตอนส่งใบสมัคร

   ฟินยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบออกมา “บ้านของฉันทำฟาร์มโคนมน่ะ แล้วฉันก็รักพวกมันมาก เวลาแค่ 6 ปีแลกกับเวลาอีกหลายปีของพวกมัน คุ้มอยู่นะ”

   ภีมนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะเพิ่งรู้ว่าครอบครัวของฟินประกอบอาชีพอะไร ภีมรู้สึกทึ่งเล็กน้อย ฟาร์มโคนมเหรอ...มันเจ๋งที่สุดเลย

   “บ้านเป็นฟาร์ม สุดยอด” ภีมแกล้งยกนิ้วโป้งให้ฟิน “พ่อนายก็เป็นคาวบอยล่ะสิ”

   “คงงั้นมั้ง เป็นกันทั้งบ้านล่ะ” ฟินหัวเราะออกมา แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมอง วันหนึ่ง...ใช่ วันหนึ่ง เขาจะพาภีมไปที่ฟาร์มโคนม

   “อยากไปเที่ยวบ้านนาย” ภีมพูดขึ้น ฟินชะงักไปนึดหนึ่งคล้ายเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้

   ใจตรงกันหรือนี่....

   หัวใจของฟินเต้นเร็วขึ้น มือไม้ที่แข็งทื่อก็สั่นระรัว “อยากไปบ้านฉัน” คำพูดนั้นฟินพูดกับตัวเอง

   ภีมมองฟินอย่างงุนงง “ทำไมเหรอ ไม่อยากให้ไปก็บอก ไม่เห็นต้องอึ้งเลย” ภีมเดินหนีไปอีกทาง แล้วซ่อนใบหน้าที่แสดงความเสียใจออกมาให้มิดที่สุด

   “ไม่ใช่อย่างนั้น” ฟินพูดขึ้น “ฉันแค่ตกใจที่เรากำลังคิดเรื่องเดียวกัน”

   คราวนี้ภีมเป็นฝ่ายใจเต้นแรงบ้าง ความเสียใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นดีใจ “อย่างนั้นเหรอ”

   “อืม” ฟินทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ผลสอบออกมาเมื่อไร ฉันจะพานายไปที่ฟาร์ม ไปเที่ยวกัน”

   และนั่นทำให้ความพยายามในการสอบของทั้งคู่เต็มเปี่ยมยิ่งขึ้นไปอีก

   ฟินตั้งใจสอนบทเรียนต่างๆให้ภีมอย่างสุดความสามารถ ส่วนภีมก็พยายามจะเข้าใจในบทเรียนอย่างเต็มที่

   จนกระทั่งวันสอบฟินและภีมเดินทางไปสอบด้วยกันที่มหาวิทยาลัย แต่ตึกสอบต้องแยกกันไปตามคณะที่สมัครสอบ ภีมไปคณะดุริยางคศาสตร์ ฟินไปคณะสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งสองคณะนี้อยู่ห่างกันมากทีเดียว

   “เปียโนของชอบอยู่แล้วนี่ นายทำได้แน่นอนภีม” ฟินตบบ่าของภีมเบาๆอย่างให้กำลังใจ

   “นายก็เหมือนกัน เก่งไปซะทุกอย่าง เรื่องแค่นี้ขี้ปะติ๋วอยู่แล้ว” ภีมพูดก่อนจะรีบเดินแยกไปอย่างรวดเร็วเพราะขืนยืนอยู่อย่างนี้ คงไม่ได้ไปสอบกันพอดีเพราะมัวแต่ผลัดกันพูดให้กำลังใจอยู่

   “โชคดีภีม แล้วเจอกันที่โรงอาหารนะ” ฟินพูดไล่หลังก่อนจะเดินไปที่ตึกสอบของตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ใครต่อใครเห็นแล้วต้องหัวใจกระตุก   

   ภีมผ่านฉลุยในครึ่งแรกที่สอบปฏิบัติ ไม่ว่าเครื่องดนตรีอะไรภีมก็สามารถเล่นได้เป็นดีโดยไม่มีที่ติ ส่วนครึ่งหลังเป็นทฤษฎี นี่ก็ผ่านอีกเช่นกัน สรุปแล้วสอบเข้าครั้งนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

   ส่วนฟินเป็นสอบข้อเขียนล้วนๆ ทำเอาคนที่เก่งไปเสียทุกอย่างต้องนั่งเครียดจนเกือบทำข้อสอบไม่ทัน ต่อให้มีความรู้ในหัวมากเท่าไหร่ก็ยังไม่ครอบคลุมข้อสอบที่ออกอยู่ดี จนกระทั่งหมดเวลาสอบฟินก็ทำเสร็จพอดี

   ภีมนั่งรอฟินอยู่ก่อนแล้วที่โรงอาหาร สักพักหนึ่งฟินจึงตามมา

   สีหน้าของฟินไม่สู้ดีนักเพราะฤทธิ์ข้อสอบที่บั่นทอนปัญญาอันชาญฉลาดของเขา “เฮ้อ...เหนื่อยชะมัดเลย” ฟินพูดพลางทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับภีม “มันยากกว่าที่คิด”

   เห็นสีหน้าของฟินแล้วภีมก็เชื่อสนิทว่ามันคงต้องยากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคนที่เก่งไปเสียทุกอย่างเช่นฟินคงไม่มีสีหน้าแบบนี้ “ทำไม่ทันเหรอ”

   “ก็เกือบไม่ทันอยู่ ยากกว่าที่คิดเอามากๆเลย เฮ้อ...หมดแรง” ฟินซบหน้าลงกับโต๊ะทันที สมองของเขาต้องการการพักผ่อนเสียแล้ว

   ข้อสอบอะไรก็ไม่รู้...ยากโคตรๆเลย ฟินบ่นกับตัวเองในใจ   

   “กินข้าวก่อนแล้วจะพากลับคอนโด” ภีมสะกิดที่ศีรษะของฟินเบาๆ แต่ฟินก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา “เอาอย่างนี้ละกัน เดี๋ยวไปซื้อข้าวมาให้”

   ฟินเงยหน้าขึ้นแทบจะทันที ภีมจะไปซื้อข้าวให้ ไม่จริง ภีมเนี่ยนะ...

   “ไม่ต้อง” ฟินรีบพูดขึ้น

   “ทำไม” ภีมทำท่าหาเรื่องทันที

   “ไปด้วยกันนี่ล่ะ” ในที่สุดฟินก็ต้องทานข้าวจนได้

   ทุกกิริยาของเด็กหนุ่มทั้งสองถูกจับตามองจากทุกคนที่อยู่ในโรงอาหาร อาจเป็นเพราะความโดดเด่นของหน้าตาและความสูง ทั้งยังเครื่องแบบนักเรียนที่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นเด็กของโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่ใครไม่แน่จริง...เข้าไม่ได้เด็ดขาด

   เสียงซุบซิบดังมาเป็นระยะๆตลอดทางที่ทั้งคู่เดินผ่าน บ้างก็หัวร่อต่อกระซิก บ้างก็ทำท่าขัดเขิน บ้างก็หน้าแดงเวลาที่สบตากับสองหนุ่มนี้

   ภีมมักจะยิ้มตอบเวลาที่ผู้หญิงยิ้มให้ ส่วนฟินจะนิ่งเฉยราวกับไม่เห็นทุกรอยยิ้มที่ผู้คนส่งมา ภีมมองใบหน้าเย็นชานั้นอย่างหมั่นไส้ “ทำไมไม่ยิ้ม สาวๆอุตส่าห์ยิ้มให้นายนี่นา”

   “ไม่มีเหตุผลที่ต้องยิ้ม” ฟินตอบแค่นั้นก่อนจะลงมือทานข้าว

   แค่ยิ้มมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ...ภีมคิดในใจก่อนจะลงมือทานข้าวบ้าง   

   หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ภีมบอกให้คนขับรถไปส่งฟินที่คอนโด ฟินชวนภีมขึ้นไปที่ห้องก่อนแล้วค่อยกลับ ภีมทำท่าจะปฏิเสธ ฟินจึงยื่นข้อเสนอหยุดเรียนให้หนึ่งวัน ภีมจึงตอบตกลง

   ภีมมาคอนโดของฟินเป็นครั้งที่สอง และยังคงตื่นเต้นเช่นเคยเมื่อก้าวเข้ามาในห้องของฟิน

   “เหนื่อยนักก็นอนสิ จะให้ฉันขึ้นมาทำไม” ภีมถามพลางเดินไปนั่งบนกองที่นอนในมุมนั่งเล่น

   “มีอะไรจะให้” ฟินเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบอะไรบางอย่างติดมือออกมาด้วย

   ภีมพยายามระงับความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น แต่มันทำได้ยากเหลือเกิน อย่าหันไปมองนะภีม...เสียงส่วนลึกในใจบอกอย่างนั้น ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอก ถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ฟิน

   ภีมหันไปมองฟินที่กำลังเดินมาทางนี้ เขาถืออะไรสักอย่างอยู่...

   แล้วฟินก็นั่งลงบนฟูกหนานุ่มข้างๆภีม “ฉันให้”

   นาฬิกาหนังสีดำธรรมดา แต่ว่าราคาแพง... ทำไมภีมจะดูไม่ออกว่านาฬิกาที่ดูเหมือนจะธรรมดาๆนี้มันมีราคาแพง ก็เพราะมันเป็นยี่ห้อที่ภีมกำลังใช้อยู่น่ะสิ

   “เฮ้ย...ไม่เอา แพงนะเว้ยเฮ้ย เรือนนี้” ภีมพูด

   “ฉันตั้งใจจะให้แล้ว ถ้าไม่เอาก็ทิ้งไปเลย” ฟินที่เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์กลายเป็นคนไม่เสียดายของแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร

   “ฉันซื้อใช้เองได้”

   “แต่นี้ฉันให้” ฟินบอกเสียงเรียบ “ยื่นมือมา” แล้วก็ออกคำสั่ง

   ภีมไม่ทำตามอย่างแน่นอน “ไม่เอาเว้ย ซื้อเองได้”

   “ไม่อยากก็ต้องอยาก ยื่นมือมา” ฟินไม่รอให้ภีมทำตาม เขาดึงมือของภีมมาไว้บนตักแล้วจัดการใส่นาฬิกาไว้ที่ข้อมือของภีมอย่างรวดเร็ว “เหมาะกับนายสุดๆ”

   ภีมรีบดึงมือกลับทันที อยากจะถอดนาฬิกาทิ้งเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ลง จึงต้องยอมใส่ไปอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้...แต่มันทำตัวไม่ถูกต่างหาก

   ภีมนึกอยากจะพูดคำว่าขอบคุณ แต่พอจะพูดออกไปจริงๆกลับทำไม่ได้ “เอ่อ...คือ” จึงได้แต่ละล่ำละลักอยู่อย่างนั้น

   “ไม่ต้องพูดหรอก ฉันอยากให้ นายไม่ได้ขอสักหน่อย” ฟินพูดยิ้มๆก่อนจะดึงตัวภีมเข้ามากอดไว้อย่างหลวมๆ “ทำดีแล้ว พี่ภูต้องดีใจถ้านายสอบติด แล้วพ่อแม่ของนายจะได้สบายใจไปด้วย”

   ช่องว่างในใจคล้ายกลับได้เติมเต็มจนเกือบไม่เหลือพื้นที่ว่างอีกแล้ว ภีมยื่นมือที่กำลังสั่นเทาของตัวเองเพื่อกอดตอบฟิน “ขอบใจ ถ้าไม่มีนาย ฉันคงแย่”

   “ขอบคุณพี่ภูด้วยล่ะ เพราะว่าเธอรักนายเหลือเกิน” ฟินพูดอย่างอ่อนโยน

   “รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาบอก” ภีมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

   “อีกสองอาทิตย์ ผลสอบก็จะออก เราจะไปสอบสัมภาษณ์พร้อมกัน” ฟินบอกกำหนดการ

   เราจะไป...พร้อมกัน ภีมรู้สึกว่าประโยคนี้มันจั๊กจี้หัวใจพิกล

   “แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากเลยภีม ขอนอนก่อนนะ” แล้วฟินก็หลับตาลงอย่างนั้น ภีมไม่รู้จะต่อว่าอย่างไรจึงค่อยๆพยุงร่างของฟินให้นอนลงบนฟูกด้วยท่าทางที่สบายที่สุด

   “หลับให้เต็มที่ นายเหนื่อยกับฉันมาเยอะแล้ว” ภีมยิ้มให้ฟิน ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ

   แล้วช่องว่างที่เคยมีอยู่ของคนทั้งสองก็ค่อยๆหายไป หายไป




 :n1: :n1: :n1: :n1: :n1:

ออฟไลน์ w1234

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 626
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iota

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-2

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
อ๊ากกกก  ทำไมถึงเพิ่งจะได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ น่ารักมากกกกกกกกกกกก
บวกเป็ดเป็นกำลังใจให้นะคะ  :pig4:

punn-love

  • บุคคลทั่วไป
ตามคุณเฉาก๊วยมา

ชอบจังเลยยยยยย น่ารักไปหมด

อยากลองเขียนแบบตัวเองเป็นบุคคลที่สามบ้างจังเลย

หึหึ ว่าแล้วลองหน่อยดีกว่า แต่คงไม่ได้ ตอนนี้เราเขียนไปแล้วง่า ชอบๆๆ

ออฟไลน์ Sky

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 933
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2

ae4593

  • บุคคลทั่วไป
ชอบมากคัฟน่ารักมากอ่านไปยิ้มไปคัฟอยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆจังคัฟ

ออฟไลน์ love AJ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-2
น่ารักมากกกกกกกกกกกก


ชอบบบบบบบบบบบบบ

 :L2:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 16 – เรื่องที่น่ายินดี



   หนึ่งสัปดาห์หลังจากวันสอบเป็นวันประกาศผลสอบ

   วันเสาร์นี้ภีมไม่ได้เรียนพิเศษเพราะฟินให้สัญญาว่าจะไม่สอนหนึ่งวัน

   ฟินรีบมาที่บ้านของภีมแต่เช้าเพื่อดูผลสอบ...เขารู้สึกกังวลใจเล็กน้อยเพราะไม่มั่นใจนักว่าจะสอบติดตามที่ตั้งใจไว้

   ทั้งคู่อยู่ในห้องเรียนและกำลังตรวจดูรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์...

   “ดูของนายก่อนแล้วกันฟิน ติดอยู่แล้วนี่” ภีมแกล้งพูด แต่ฟินไม่ขำด้วยเพราะกำลังกดดัน “งั้นดูของฉันก่อนก็ได้” แล้วภีมก็เปิดรายชื่อของนักเรียนที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์เข้าคณะดุริยางคศาสตร์

   ผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ 10 คน

   ภีมใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น เขาไล่สายตาจากอันดับที่หนึ่ง สอง สาม...

   “ฉันสอบได้เฉยเลยว่ะ” ภีมพูดด้วยความประหลาดใจ ชื่อของเขาอยู่ในลำดับที่สาม

   ฟินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ความกดดันของตัวเองหายไปเกือบหมดเมื่อรู้ว่าภีมมีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ “เก่งมากภีม”

   “อยู่แล้วว่ะ ภีมซะอย่าง ติดได้ไงเนี่ย” ภีมพูดอย่างขบขัน ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในสิบคนจากหลายร้อยคนที่เข้าสอบ “ดูของนายดีกว่า หมอฟิน”

   “ยังไม่ใช่ซักหน่อย” ฟินแก้ให้ ใบหน้าคมเครียดลงอีกครั้ง

   รายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์คณะสัตวแพทยศาสตร์ จำนวน 10 คน

   หนึ่งในสิบ จากเกือบพันคน มันน่ากดดันน้อยอยู่ที่ไหนกัน...

   “ติดชัวร์ จะหน้าเครียดไปทำไม” ภีมแกล้งพูดเพราะมั่นใจว่าคนเก่งอย่างฟินต้องสอบติดอยู่แล้ว

   รายชื่อทั้งหมดปรากฏขึ้นตรงหน้าของคนทั้งสอง

   ชื่อที่หนึ่งผ่านไป...สอง...สาม...สี่

   ไม่มีชื่อของฟิน...อชิตะ   ก้องกิตติกุล

   จนชื่อสุดท้ายก็ไม่มี

   ความเงียบเข้าครอบคลุมในห้อง ฟินนั่งนิ่งไปแล้ว ส่วนภีมได้แต่ร้องเฮ้ย...อยู่ในใจ

   “มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว” ฟินพึมพำออกมาเบาๆ ภีมมองดูโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร ปลอบใจหรือ...คนอย่างภีมทำไม่เป็น

   ให้กำลังใจ...ก็ไม่เคยทำ

   ภีมจึงนั่งเฉยๆ ไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำพูดมากมายที่แย่งกันเข้ามาเป็นตัวเลือกให้ภีมเลือกใช้พูดออกไป แต่เขาก็ยังคงนั่งเงียบอยู่เช่นเดิม

   ฟินรู้สึกคล้ายตัวเองพลาดเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตไป อดถามตัวเองไม่ได้ว่ายังพยายามไม่พออีกหรือ

   เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนเก่งกว่าฟินมีอยู่มากมาย

   “ฉันก็ปลอบใจคนไม่เก่งหรอกนะ แต่ก็ช่างมันเถอะ โอกาสยังมีนี่” ภีมพูดออกไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะช่วยเหลือจิตใจของฟินได้สักเท่าไหร่

   ฟินถอนหายใจออกมา โอกาสยังมีจริงๆด้วย ถ้าเขาทำคะแนนสอบได้ดีก็สามารถใช้ยื่นเพื่อเข้าคณะนี้ได้ แต่มันก็คงต้องลุ้นกันหน่อยล่ะ

   “ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงๆอย่างที่คาดไว้” ฟินพูดออกมา พยายามฝืนยิ้มให้ภีมเห็น

   “คาดว่าจะสอบไม่ผ่านน่ะเหรอ”

   ฟินพยักหน้ารับ “ข้อสอบมันยากมากๆ ฉันคิดว่ารู้เกือบทุกอย่างแล้ว พอเอาเข้าจริงยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ยังไม่รู้”

   “แล้วถ้านายไม่ได้เข้าเรียนที่นี่ล่ะ” ภีมถามขึ้น

   ฟินยิ้มกว้าง “ต้องได้สิ ยังไงฉันก็จะเรียนที่นี่” ฟินเอื้อมมือไปโอบไหล่ภีมเอาไว้ “จะได้อยู่ด้วยกันไงภีม”

   ภีมหัวเราะแหะๆ ไม่รู้ว่าความมุ่งมั่นของฟินจะดีสำหรับตัวเองหรือเปล่า “ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้ว่ะ อยู่ด้วยกัน” ภีมหยิบมือของฟินออกจากไหล่ “พอเถอะ ขนลุก”

   ฟินหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “น่ากลัวขนาดนั้นเชียว”

   “เออสิ...” ภีมรับทั้งๆที่ตัวเองก็หัวเราะตามฟินไปด้วย

   สัปดาห์ต่อมาภีมไปสอบสัมภาษณ์ ฟินตามไปด้วยเพราะเป็นห่วง กว่าสองชั่วโมงที่การสอบสัมภาษณ์จะจบลง

   ภีมเดินหน้าเครียดลงมาจากตึกคณะ แล้วนั่งลงบ่นอย่างเอาเป็นเอาตาย “สัมภาษณ์แค่ห้านาที ให้ฉันไปนั่งรอเป็นชั่วโมง บ้าเอ๊ย...คนพวกนี้ บอกนักเรียนว่าอย่ามาสาย ตัวเองดันมาสายซะเอง อย่างนี้ก็แย่ดิวะ อุตส่าห์ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมานั่งรอเนี่ยนะ ใหญ่มาจากไหนกัน...ครูพวกนี้มันน่า...”

   ฟินรีบเอามือปิดปากภีมอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เดินลงมาจากตึก “พอแล้วภีม ไปบ่นที่บ้าน”

   “โธ่เว้ย...ก็มันโมโหนี่หว่า นั่งรอจนจะบ้าตาย สัมภาษณ์แค่สิบคน นัดซะเช้าเลย บ้า...” ฟินไม่ยอมปล่อยมือ แถมยังปิดแน่นกว่าเดิม เพราะอาจารย์กำลังมองมาทางนี้

   “พอแล้วภีม อาจารย์มอง” ฟินเตือนเบาๆ

   “ไม่สนเว้ย...” ภีมพยายามพูดอีกครั้ง

   “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะนักเรียน” อาจารย์คนหนึ่งเดินเข้ามาหาฟินกับภีม

   “มีสิ...” ภีมบอกเสียงดัง

   “ไม่มีครับ” ฟินแก้ “เขากลัวจะสัมภาษณ์ไม่ผ่านก็เลยโวยวายนิดหน่อย” ฟินพูดเรียบๆ

   อาจารย์พยักหน้ารับรู้แล้วเดินจากไปกับอาจารย์ท่านอื่น

   พอเห็นว่าพ้นจากสายตาของบรรดาคณาจารย์แล้ว ฟินจึงปล่อยมือ “พูดไม่รู้เรื่อง บอกให้พอก็พอสิ”

   “ก็มันโมโหนี่หว่า...ฉันรอนานมาก สัมภาษณ์แค่ห้านาที แล้วจะนัดมาแต่เช้าทำไม” ภีมพูดอย่างหัวเสีย

   “แล้วที่ฉันกับพี่คนขับรถนั่งรอนายล่ะ มันนานเท่ากันหรือเปล่า” ฟินถาม “ก็รอเหมือนกันใช่มั้ย”

   “อย่ามาพูดจาให้ฉันหงุดหงิดได้มั้ย” ภีมสะกดอารมณ์ของตัวเอง เขาไม่อยากโมโหฟินไปด้วยอีกคน

   “หัดเป็นคนที่รู้จักอดทนซะบ้าง แล้วก็รู้จักรอให้เป็น ทีนายให้คนอื่นรอไม่เห็นคนอื่นเขาจะว่าสักคำ” ฟินพูดแค่นั้นแล้วก็รีบเดินไปที่รถทันที

   คนขับรถของบ้านพิริยะ เดินตามฟินไปอย่างงงๆ เริ่มสงสัยว่าใครเป็นนายกันแน่

   “เฮ้ย...นี่ฉันผิดเหรอวะเนี่ย” แล้วภีมก็เดินตามไปอย่างงงๆเช่นกัน

   หลังจากวันสอบสัมภาษณ์แล้ว ก็ถึงเวลาทำตามสัญญาที่พูดกันไว้ ไปเที่ยวฟาร์ม...

   ภีมขออนุญาตภูรดาในทันทีที่บอกผลสอบกับเธอ ส่วนภูรดาเมื่อรู้ว่าฟาร์มที่น้องชายว่านั้นเป็นบ้านของฟินก็อนุญาตอย่างรวดเร็ว

   “เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ หนุ่มน้อยทั้งสอง เที่ยวเผื่อพี่ด้วยล่ะ อ่อ...ฝากสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของฟินด้วยนะจ๊ะ” ภูรดาบอกสองหนุ่มว่าอย่างนั้น ใบหน้าอิ่มยิ้มกว้างกว่าเดิมเป็นสองเท่าเมื่อรู้ว่าน้องชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ก็ผิดคาดนิดหน่อยที่ฟินพลาดในการสอบครั้งนี้ไป

   ทันทีที่ได้รับคำอนุญาต ภีมก็สั่งให้แม่บ้านรีบจัดกระเป๋าอย่างเร่งด่วน แต่ฟินเข้ามาขวางไว้แล้วบอกให้ภีมลงมือจัดกระเป๋าด้วยตัวเอง

   คุณแม่บ้านมองหน้าคุณชายของบ้านอย่างขอความเห็น “ไม่ต้องไปสนใจหมอนี่ จัดไป”

   คุณแม่บ้านกำลังหยิบกระเป๋าออกมาจากตู้เสื้อผ้า

   “ไม่ต้อง” ฟินพูดพร้อมกับมองหน้าภีม

   “อะไรกันนักหนา ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำเอง แต่คนมันทำไม่เป็นนี่ จะให้ทำไง” ภีมบอก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ
   คุณแม่บ้านหันหน้ามาขอความเห็นภีมอีกครั้ง

   “ฉันจัดเองก็ได้” ภีมโบกมือให้แม่บ้านครั้งหนึ่งก่อนจะลงมือจัดกระเป๋า

   แต่สำหรับฟิน...สิ่งที่ภีมกำลังทำอยู่ไม่ได้เรียกว่าจัด นั่นมันเรียกว่ายัด น่าจะเข้าท่ากว่า

   ฟินส่ายหน้าอย่างระอา ชีวิตคุณชายถ้าสุขสบายแบบทำอะไรไม่เป็นเลยก็แย่นะ...

   “เดี๋ยวจัดให้” ฟินรื้อของในกระเป๋าออกแล้วลงมือจัดเข้าไปใหม่ด้วยความเรียบร้อย ภีมมองตามด้วยความหมั่นไส้

   เมื่อจัดกระเป๋าของภีมเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็ออกเดินทาง ภีมไม่ยอมให้คนขับรถไปส่งเพราะว่าอยากนั่งรถทัวร์

   ในชีวิตของคุณชาย...ไม่เคยสัมผัสกับรถทัวร์มาก่อนในชีวิต นี่เป็นครั้งแรก

   ฟินสะพายเป้ของตัวเองเดินนำขึ้นรถทัวร์ที่จองไว้ก่อนแล้วจึงลงมาช่วยภีมขนกระเป๋าอีกรอบ “เอาอะไรมาเยอะแยะก็ไม่รู้” ฟินแกล้งพูด

   “นั่นสิ...ตอนหยิบออกมาก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้”

   “แล้วนี่มันสมควรจะเอามามั้ยเนี่ย” ฟินมองกีต้าร์ที่อยู่ในมืออย่างขบขัน เขาบอกภีมแล้วว่าที่บ้านก็มีกีต้าร์ให้เล่น แต่ภีมก็ตอบกลับว่าเคยชินกับตัวนี้ จะทำไม

   “เมารถหรือเปล่า” ฟินถามเมื่อวางของเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ต้องนั่งสี่ชั่วโมง”

   “ไม่รู้สิ” ภีมตอบ แล้วนั่งบนที่นั่งติดกับหน้าต่าง “กี่โมงแล้ว”

   ฟินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “บ่ายสามโมง มีอะไรหรือเปล่า”

   “กว่าจะถึงก็ทุ่มนึงพอดีล่ะสิ งั้นขอนอนก่อนเลยละกัน” ภีมหาววอดๆก่อนจะหลับตาลงนอนตามที่พูดจริงๆ

   ฟินยิ้มให้กับภาพที่เห็น ก่อนจะหลับตาลงบ้าง

   รถทัวร์วิ่งออกจากรุงเทพฯแล้ว...

   วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆเพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา

   บ้านของฟิน...



 :t3: :t3: :t3: :t3: :t3:

ออฟไลน์ เฉาก๊วย

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +251/-6
สองคนนี้รักกันแบบเบาๆ  :กอด1:
ก็ดีแล้ว ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ละกันเนาะ  :L2:

ออฟไลน์ MinKKniM

  • 난 널 사랑해 동해
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
ภีมน่ารักขึ้นเยอะเลยอ่ะ   :m1:

ฟินสอบให้ได้นะ จะได้อยู่ใกล้ๆภีม

รอไปเที่ยวโคราชบ้านฟิน  :m7:

zusuki

  • บุคคลทั่วไป



บทที่ 17 – ค่ำคืนแรกที่ฟาร์ม “กิตติกุล”



   ฟาร์ม “กิตติกุล”

   ป้ายไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าตรอกทางเข้าคือสัญญลักษณ์บ่งบอกว่าถึงที่หมายแล้ว

   ฟินและภีมนั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าทางเข้าก่อนจะเดินเข้าไปภายในฟาร์ม แต่เดินไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องยอมแพ้เสียก่อนเพราะของที่ภีมนำมาด้วยเยอะเกินความสามารถที่จะขนไปจริงๆ

   ฟินกดโทรศัพท์หาพ่อและแม่เพื่อให้ส่งคนออกมารับที่หน้าฟาร์ม ทั้งสองนั่งรอเพียงครู่เดียวเท่านั้น รถสองแถวคันเล็กสำหรับรับส่งคนในฟาร์มก็วิ่งออกมา

   “คุณฟินคนไหนครับผม” ลุงสม คนขับรถของบ้านชะเง้อถามสองหนุ่ม ฟ้ามืดลงมากแล้วและไฟที่อยู่รอบๆสองข้างทางก็เสียพอดี ทำให้ตอนนี้ทางเข้าฟาร์มมืดเสียจนน่ากลัว

   “คนนี้ครับ” ฟินยกมือขึ้นก่อนจะรีบขนของขึ้นรถ ภีมช่วยด้วยอีกคน และลุงสมก็ลงมาช่วยด้วยเช่นกัน

   “ขนอะไรมาเยอะแยะครับเนี่ย เห็นคุณฟินกลับบ้านทีนึงไม่ค่อยจะมีของอะไร รอบนี้มาแปลก” ลุงสมพูดด้วยความแปลกใจเพราะทุกครั้งที่ฟินกลับบ้านจะสะพายเป้มาใบเดียวเท่านั้น

   “ของเพื่อนผมครับ” ฟินยิ้มแล้วมองไปที่ภีม ลุงสมมองตามแล้วกล่าวทักทายหนุ่มน้อยอีกคนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่

   “หวัดดีครับผม ลุงมองไม่เห็นหน้าเราเลย” ลุงสมเพ่งสายตามองไปที่ภีม “แต่ก็พอจะรู้ล่ะว่าหล่อ ฮ่าๆ” แล้วลุงสมก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

   ภีมทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว คนที่นี่ดูแปลกๆอย่างไรก็ไม่รู้ ภีมคิด แต่ในอีกมุมหนึ่งเขาก็อยากจะรู้จักกับความแปลกนี้ให้มากขึ้น “ขอบคุณครับ ลุงคิดถูกแล้วล่ะ”

   ฟินยิ้มให้กับภีมอีกครั้งก่อนจะขึ้นรถ ภีมขึ้นตามไป แล้วลุงสมก็ออกรถพร้อมกับร้องเพลงลูกทุ่งให้สองหนุ่มฟังด้วยน้ำเสียงไพเราะ

   ไม่นานนัก รถก็วิ่งเข้าสู่ฟาร์ม “กิตติกุล” ฟาร์มขนาดกลางที่มีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตนมวัวที่ดีมีคุณภาพ

   กลิ่นไอของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัวทำให้ภีมและฟินสดชื่นเป็นอย่างมาก ทางด้านหน้าของฟาร์มเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่สำหรับเลี้ยงม้าหรือทำกิจกรรมอื่นๆที่ต้องใช้พื้นที่กว้างๆ เช่น ขี่ม้า วิ่งรถเข้าไปอีกหน่อยจะเป็นส่วนของบ้านพักที่แบ่งแยกระหว่างเจ้าของฟาร์มและคนงาน

   รถหยุดลงเพียงเท่านี้ แม้ภีมอยากจะให้รถวิ่งต่อก็เถอะ

   “ถึงแล้วภีม” ฟินสะกิดภีมเบาๆ ภีมพยักหน้ารับแล้วเดินลงจากรถไปช่วยลุงสมขนของเข้าบ้าน

   บ้านไม้หลังใหญ่สองชั้นที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่บดบังรายละเอียดของตัวบ้านไปเสียเกือบหมด แต่กระนั้น ก็ยังคงความสวยงามอยู่ไม่น้อย ไฟสีส้มหน้าบ้านทำให้บ้านดูสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก ถัดไปประมาณสี่สิบเมตรเป็นบ้านพักของคนงานที่สร้างไว้อย่างเป็นสัดส่วน แยกกันชัดเจนเป็นหลังๆ ครอบครัวหนึ่งก็อยู่บ้านหลังหนึ่ง

   “เข้าบ้านกัน” ฟินแตะที่แขนของภีมเบาๆก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป ทันทีที่ฟินก้าวเข้าบ้าน เด็กหญิงวัย 6 ขวบก็วิ่งเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว

   “ไชโย พี่ฟินกลับมาแล้ว” เธอร้องเสียงดังพลางตะโกนเรียกพ่อและแม่ลั่นบ้าน

   “เสียงดังทำไมฟาง เค้านอนกันหมดแล้ว” ฟินปรามน้องสาวเบาๆ

   “นอนที่ไหนกัน พ่อแม่ยังนั่งเล่นบิงโกกันอยู่เลย” ฟางข้าว เด็กหญิงตัวน้อย น่ารักซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายพี่ชายเป็นอย่างมาก พยักเพยิดหน้าไปทางซ้ายมือของบ้านที่เป็นห้องนั่งเล่น

   “ก็นั่นล่ะ มันหนวกหู” ฟินพูดยิ้มๆก่อนจะอุ้มน้องสาวเอาไว้ ในตอนนั้นเอง ฟางข้าวจึงได้สังเกตว่ามีผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนหน้าบูดบึ้งอยู่ข้างหลังพี่ชาย

   “พี่ฟินพาใครมาด้วย หล่อจังเลย” ฟางข้าวพูดเสียงใส ฟินปล่อยเธอลงก่อนจะแนะนำน้องสาวให้รู้จักกับภีม

   “หนูชื่อฟางค่ะ เป็นน้องสาวของพี่ฟิน” ฟางข้าวแนะนะตัวเองอีกครั้งอย่างฉะฉาน  ภีมยิ้มบางๆก่อนจะขยี้ศีรษะเล็กของฟางข้าวอย่างเอ็นดู “ความจริงพี่ก็ไม่ชอบเด็กนักหรอกนะ แต่ยกให้เธอคนหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ”

   “งั้น...ฟางก็เป็นคนที่โชคดีมากเลยสิ ไชโย...พี่ภีมชอบฟาง” ฟางข้าวร้องดังลั่นบ้านก่อนจะกระโดดกอดภีม “ไปหาพ่อแม่กัน”

   ฟางข้าวจูงมือภีมเดินนำเข้าไปในห้องนั่งเล่น ฟินเดินตามทั้งคู่ไป ใบหน้าคมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

   พ่อและแม่ของฟินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น กำลังนั่งเล่นเกมบิงโกอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ทันทีที่ภีมก้าวเข้าไปก็ได้รับรอยยิ้มจากคนทั้งสองด้วยไมตรี

   “ภีมใช่มั้ยเอ่ย” แม่ของฟินทักขึ้นก่อน ภีมพยักหน้ารับ

   “หล่อนี่หว่า พี่ฟินมีคู่แข่งซะแล้ว ฟางข้าวเอ๋ย” ผู้เป็นพ่อมองหน้าภีมครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเกาะภีมไม่ห่าง

   “หล่อทั้งคู่นั่นล่ะ คุณพ่อนี่ไม่รู้เรื่องเลย” ฟางข้าวพูดอย่างโกรธๆ เธอไม่อยากให้ทั้งสองคนแข่งกันเพราะว่าต่างคนต่างก็หน้าตาดีทั้งคู่ ฟางข้าวคิดอย่างนั้น

   “มาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนไป แม่จัดห้องไว้ให้แล้ว นอนด้วยกันนั่นล่ะนะ” อาภา (แม่ของฟิน) บอกลูกชายก่อนจะเรียกเข้ามาใกล้ๆเพื่อสวมกอด “นึกว่าจะไม่กลับมาแล้ว เห็นบอกว่าต้องเตรียมตัวสอบ”

   เมื่อผู้เป็นแม่พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฟินก็เปลี่ยนไปทันที “ผมสอบไม่ได้ครับแม่” เขาพูดเรียบๆก่อนจะหันไปมองนที ผู้เป็นพ่อ

   “ช่างมันเถอะ...ยังมีโอกาสอยู่ไม่ใช่เหรอไง เราน่ะ...ชอบเครียดเกินเหตุ เรียนๆไปให้มันจบก็พอ อย่าไปเครียดอะไรนักเลย” นทีพูดให้กำลังใจ

   พ่อและแม่ของฟินจะรู้ไหมหนอ ว่าตลอดเวลาสามปีที่เรียนอยู่ เขาแบกรับภาระยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทั้งเป็นประธานนักเรียน ทั้งทำงานพิเศษ และไหนจะเรื่องเรียนที่เจ้าตัวเอาจริงเอาจังเหลือเกิน

   “ไปๆ พักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวดึกๆจะให้คนยกอาหารขึ้นไปให้” อาภาพูดอย่างนุ่มนวล เธอมองดูลูกชายด้วยความรัก ฟินคือความภาคภูมิใจของครอบครัว คือทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ ฟินไม่เคยทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนเลยสักครั้ง

   ข้าวของที่นำมาถูกยกขึ้นไปไว้ข้างบนเรียบร้อยแล้ว ภีมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้งก่อนจะเดินตามฟินขึ้นไปบนห้องโดยมีฟางข้าวเกาะแขนตามไปด้วย

   ห้องสุดท้ายที่อยู่สุดทางเดินคือห้องของฟิน...

   ประตูห้องเปิดออกช้าๆ ฟินก้าวเข้าไปในห้องที่เปิดไฟไว้อยู่แล้ว ภายในห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง จะเปลี่ยนไปก็ตรงประตูหน้าต่างที่เปลี่ยนจากไม้เป็นกระจกใส

   ภีมเดินตามเข้าไป ความเกรงใจที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ทำให้ภีมรู้สึกคล้ายตัวเองกำลังหดเล็กลงเหลือตัวนิดเดียว

   “ฟางไปอยู่กับพ่อแม่เถอะ พี่ภีมจะพักผ่อน” ฟินพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของภีมไม่สู้ดีนัก ฟินคิดว่าภีมกำลังรำคาญฟางข้าว

   “ไม่เอา จะอยู่กับพี่ภีม” ฟางข้าวทำหน้ามุ้ย

   “ไม่ได้” ฟินพูดพลางเดินไปแกะมือน้องสาว “ไปอยู่กับพ่อแม่เลย”

   “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้รำคาญเด็กคนนี้อย่างที่นายคิดหรอกนะ” ภีมพูดขึ้นบ้างเพราะรู้ว่าฟินกำลังคิดอะไรอยู่

   ฟินยิ้มออกมา “นึกว่านายจะรำคาญเด็กดื้อคนนี้ซะแล้ว”

   ภีมส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่หรอก”

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฟางต้องไปอยู่กับพ่อแม่อยู่ดี” ฟินหันไปพูดกับน้องสาว “เพราะว่าพี่จะนอนแล้ว”

   “ไม่ไป” ฟางข้าวเกาะภีมแน่นกว่าเดิม ฟินมองภีมอย่างขอความช่วยเหลือ

   ภีมส่ายหน้าเบาๆก่อนจะพูดออกมา “ไปก่อนนะฟางข้าว ไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาเจอกันใหม่”

   ภีมพูดแค่นั้น ฟางข้าวก็เดินออกไปทันที ฟินแทบอยากจะวิ่งไปตีก้นน้องสาวตัวดียิ่งนัก ทีพี่พูดล่ะไม่ฟังกันเลย...

   เมื่อฟางข้าวออกไปแล้ว บรรยากาศรอบๆห้องก็เงียบลงอย่างผิดหูผิดตา ภีมและฟินต่างก็ยืนอยู่คนละมุมห้อง ฟินยืนอยู่หน้าประตู ส่วนภีมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง

   มันอึดอัดชอบกล... ภีมคิด

   ไม่ใช่ภีมคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัด ฟินก็รู้สึกแบบเดียวกัน  แต่อย่างที่ทุกคนน่าจะทราบกันว่าคนที่มักทนสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหวก็คือภีม

   “ฉันว่าที่นี่สวยดีนะ” แต่ภีมก็พูดได้แค่นั้น

   “อืม ดีใจที่นายชอบ” ฟินตอบก่อนจะเดินมานั่งบนเตียงแล้วล้มตัวลงนอน เขาตั้งใจไว้แล้วว่ากลับบ้านครั้งนี้จะไม่คิดถึงเรื่องที่สอบไม่ติดเด็ดขาด แต่แล้วก็ทำไม่ได้

   ภีมหันไปมองฟินที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง มันยิ่งอึดอัดกว่าเดิมเสียอีก...ภีมคิด

   “คิดอะไรนักหนาล่ะนั่น คิ้วนี่เป็นปมเลย” ภีมแกล้งแซว หวังให้คนที่หลับตาอยู่ร่าเริงขึ้นมาบ้าง แต่เห็นท่าแล้วจะยากเอาการอยู่

   “เฮ้อ...อยู่ดีดีมันก็ทำใจไม่ได้ซะงั้น” ฟินตอบ เปลือกตายังคงปิดอยู่

   “ช่างมันเถอะน่า พ่อนายก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเครียด” ภีมลุกขึ้นเดินมานั่งที่เตียงบ้าง

   “ฉันคงหวังไว้สูงเกินไป คิดว่ายังไงๆก็ต้องสอบติด แต่มันดันไม่ติดซะนี่” ฟินพูดแล้วแค่นหัวเราะในตอนท้ายของประโยค

   “ช่างมันเถอะน่า นายนี่ก็พูดไม่รู้ฟังเหมือนกันนี่หว่า” ภีมบอก

   “ก็เหมือนนายล่ะมั้ง พูดไม่รู้ฟังพอกัน” ฟินย้อนพลางดีดตัวขึ้นมานั่งข้างๆภีม “แต่ตอนนี้นายคงรู้จักฟังมากขึ้นแล้วล่ะ ฉันว่า” ท้ายเสียงนั้นแปร่งๆชอบกล

   ภีมหลุบตาลง ไม่มองตอบดวงตาของฟินที่ฉายแววซุกซน มันโคตรจะอึดอัดเลยว่ะ...ภีมคิด

   “ง่วงนอนหรือเปล่า” ฟินถามขึ้น ความจริงคือถามไปอย่างนั้น ไม่ได้ต้องการคำตอบเท่าไร แค่อยากให้ภีมเงยหน้าขึ้นเป็นพอ

   “ไม่ง่วง” ภีมตอบทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่

   “งั้นเรามาหาอะไรทำกันดีไหม” ฟินพูดอย่างขบขัน ส่วนภีมเลือดขึ้นหน้าแทบจะทันที ไม่ได้โมโหแต่มันรู้สึกร้อนไปทั้งตัวต่างหาก

   “ไปเดินเล่นกัน”

   วืด...ภีมเงยหน้าขึ้นในทันใด “ไปสิ...ฉันก็นึกว่า...เฮ้อ”

   “นึกว่าอะไรเหรอ” ฟินถามงงๆและยิ่งเห็นใบหน้าของภีมที่แดงอย่างกับมะเขือเทศด้วยแล้วยิ่งอดสงสัยไม่ได้

   “เปล่า ไม่มีอะไร” ภีมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปรกติเพราะกลัวถูกจับได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

   “แล้วจะไปหรือเปล่า” ฟินขอคำตอบ

   ภีมลังเลพักหนึ่งก่อนจะตอบตกลง “ไปสิ”

   “ขอค่าจ้างล่วงหน้าก่อน” ฟินยิ้มกริ่ม ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยเลศนัยมากมายที่ภีมพอจะเดาออกว่าค่าจ้างนั้นคืออะไร

   “ถ้าต้องมีค่าจ้าง ฉันก็ไม่ไป” ภีมบอก

   “ถึงไม่ไปฉันก็จะคิด” ฟินขยับตัวเข้าใกล้ภีมอย่างรวดเร็วก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากของภีม

   ริมฝีปากสัมผัสกันคล้ายจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว นานแล้วเหมือนกัน...ที่หายไปจากสัมผัสนี้ ฟินประคองศีรษะของภีมเอาไว้ก่อนจะเพิ่มแรงจุมพิตลงไปอีก ส่วนภีมก็ได้แต่ยอมรับในรสจุมพิตนั้น ครึ่งหนึ่งในใจบอกไม่ต้องการแต่อีกครึ่งหนึ่งกลับเรียกร้องเสียนี่

   ฟินถอนริมฝีปากออกครู่หนึ่งเพื่อผ่อนลมหายใจ แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น...เขาก็จุมพิตลงไปที่ริมฝีปากของภีมอีกครั้ง ครั้งนี้เร่าร้อนและรุนแรงกว่าเดิม

   ภีมส่งเสียงเบาๆในลำคอและตอบรับจุมพิตของฟิน

   ฟินดีใจที่ภีมตอบรับริมฝีปากของเขา ดังนั้น จุมพิตที่เร่าร้อนอยู่แล้วยิ่งเร่าร้อนขึ้นไปอีกเป็นทบทวี

   จุมพิตที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล...

   ร่างของทั้งคู่แนบชิดกันในทันทีที่อุณหภูมิความร้อนของร่างกายเพิ่มขึ้นจนเกือบจะถึงขีดสุด ฟินเป็นฝ่ายกดร่างของภีมให้นอนลงแล้วจากนั้นก็ทาบร่างของตัวเองลงไป

   ทั้งคู่ลืมเลือนเรื่องราวทั้งหมดไปชั่วขณะ เมื่ออารมณ์ความต้องการเพิ่มขึ้นจนยากที่จะหยุด ทั้งคู่จะทำอย่างไรได้ นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามที่หัวใจต้องการ

   ฟินค่อยๆเปลื้องเสื้อผ้าของภีมออก พยายามใช้จุมพิตเป็นตัวล่อไม่ให้ภีมสนใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

   ภีมก็ดูเหมือนจะไม่สนใจจริงๆว่าฟินกำลังทำอะไรเพราะมัวแต่กำลังตอบรับจุมพิตอย่างตั้งใจ

   ฟินค่อยๆถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก แล้วจากนั้นก็พยายามถอดกางเกงของภีม แต่ถอดเท่าไรมันก็ไม่ออกเสียที

   ทำไมค้องใส่กางเกงพอดีตัวแบบนี้ด้วยภีม... ฟินคิดในใจ

   แล้วก็พยายามถอดอีกครั้ง แต่คราวนี้ภีมรู้สึกตัว “กำลังจะทำอะไรไม่ทราบ”

   ภีมถามเรียบๆ

   “ก็รู้อยู่ แล้วจะถามอีกทำไม” ฟินตอบเรียบๆเช่นกัน

   “บอกก็ได้ ไม่เห็นต้องถอดเองเลย” ภีมกลั้วหัวเราะแล้วจัดการถอดกางเกงของตัวเองออก ฟินเป็นฝ่ายที่ชะงักไปด้วยความสงสัย

   “ปิดไฟเถอะ ฉันอายว่ะ” ภีมพูดก่อนจะเดินไปปิดไฟเสียเอง “ส่วนนายก็ถอดซะ” ภีมสั่ง

   ฟินเงอะงะอยู่พักหนึ่งก่อนจะทำตามที่ภีมบอก...

   หลังจากนั้น...ทั้งคู่ก็ล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง

   ฟินลูบไล้ไปตามลำคอขาวเนียนของภีมอย่างเบามือ แล้วมอบจุมพิตอีกครั้งลงบนริมฝีปาก จากนั้นก็เลื่อนตำแหน่งมาที่ใบหู

   ร่างทั้งร่างของภีมสั่นสะท้านไปกับสัมผัสนั้น ร่างกายของทั้งคู่เบียดกันจนแน่น

   ฟินควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว...

   แต่...ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“พี่ฟิน คุณแม่ให้ฟางยกอาหารมาให้”

ฟินอยากจะฆ่าตัวตายในบัดดล ส่วนภีมก็รีบผลักฟินออกไปอย่างรวดเร็วแล้วรีบใส่เสื้อผ้าของตัวเอง สติสตังค์ที่คล้ายจะไปตามสายลมวิ่งกลับมาสู่ภีมอีกครั้ง

ฟินล้มตัวลงนอนก่อนจะคว้าผ้าห่มมาคลุมร่างของตัวเองไว้ “ไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆภีม” ฟินพูดได้แค่นั้น เพราะตอนนี้อารมณ์ของฟินเตลิดไปไกลจนยากจะเรียกกลับมา

ภีมผ่อนลมหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตู “ว่าไงฟางข้าว”

“คุณแม่ให้ฟางยกอาหารมาให้ค่ะ แล้วทำไมปิดไฟมืดอย่างนั้นล่ะคะ พี่ฟินนอนแล้วเหรอ แล้วทำไมพี่ภีมดูเหนื่อย ตาปรือๆแล้วยังหัวฟูอีกต่างหาก” ฟางข้าวพูดเป็นชุด ทำเอาภีมอยากจะล้มตัวลงนอนไปกับฟินด้วยคนเพราะขี้เกียจตอบคำถาม

“พี่ฟินนอนแล้ว ส่วนพี่ก็กำลังจะนอน” ภีมตอบไปหัวเราะไป นี่เขากำลังหลอกเด็กอยู่หรือ...

“งั้นฟางยกเอาไปไว้ข้างในให้นะคะ” ฟางข้าวทำท่าจะเดินเข้าไปแต่ภีมขวางเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวพี่ยกเข้าไปเอง ฟางไปนอนเถอะ ขอบคุณมากนะครับ”

ภีมพูดจาหวานใส่เข้าหน่อย ฟางข้าวก็รีบถอยในทันทีเพราะเขินอาย “บอกพี่ฟินว่าราตรีสวัสดิ์ค่ะ แล้วก็ฝากจูจุ๊บพี่ฟินด้วย” ฟางข้าวพูดยิ้มๆก่อนจะวิ่งหนีไป

ภีมรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆเดินคลำทางเพื่อเอาถาดอาหารไปวางบนโต๊ะ ภีมไม่กล้าเปิดไฟเพราะไม่อยากเห็นหน้าของฟินตอนนี้ และรู้ดีว่าฟินก็คงรู้สึกแบบเดียวกัน แต่กระนั้น...ก็ยังมีแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง พอให้ภีมได้เห็นทางเดินรางๆและเห็นว่าฟินกำลังนอนคลุมโปงอยู่

ถาดอาหารวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

ภีมค่อยๆเดินมานั่งบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มออกพอให้เห็นใบหน้าของฟิน “มันแย่มากเลยเหรอ”

ฟินไม่ตอบอะไร แต่กลับดึงตัวของภีมลงมานอนด้วยกัน “มันจะไม่แย่เลย ถ้าเราได้เริ่มต้น...อีกครั้ง” ฟินประกบริมฝีปากของตัวเองเข้ากับภีมอย่างรวดเร็ว

สติที่เพิ่งกลับมาของภีมหลุดลอยไปอีกครั้ง...

ฟินพยายามถอดเสื้อของภีมออก แต่มันถอดยากเหลือเกิน สุดท้ายฟินจึงกระชากเสื้อตัวนั้นออกเป็นชิ้นๆ ภีมตกใจกับการกระทำนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

“ถอดกางเกงได้มั้ยภีม” ฟินพูดทั้งๆที่ยังหอบ

ภีมไม่ตอบอะไรแต่ทำตามที่ฟินพูดทุกอย่าง

เมื่อร่างของทั้งคู่เปลือยเปล่า อารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในก็ปลดปล่อยออกมาด้วยเช่นกัน ฟินจุมพิตอีกครั้งที่ริมฝีปากของภีม จากนั้นก็เลื่อนมาที่ลำคอ แล้วไล้ลงไปเรื่อยๆตามหน้าท้อง แล้ว...

ทุกอย่างก็คล้ายกับความฝัน...

ภีมรับสัมผัสที่แปลกใหม่เข้ามาในร่างกาย มันแปลกเสียจนตัวเขาเองนึกพิศวง...

“ฉันเจ็บ...” ภีมพูดได้แค่นั้นเพราะรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งร่างกาย หน้าท้องที่กระเพื่อมไปตามลมหายใจนั้นบิดเกร็งอย่างรุนแรงเมื่อฟินทำตามความต้องการของตัวเองเป็นครั้งที่สอง

“โอ๊ย...เจ็บ” ภีมร้องออกมาเสียงดัง พยายามพลิกตัวเพื่อผลักไสร่างที่อยู่เหนือร่างกายให้ออกไป แต่เรี่ยวแรงที่เคยมีหายไปไหนไม่รู้...

ส่วนฟินก็คล้ายจะไม่ได้ยินเสียงของภีม...

เพราะในเวลาแบบนี้...ฟินไม่ใช่คนใจเย็นอีกต่อไป

“เจ็บ...” ภีมร้องอีกครั้งเพราะทนความเจ็บที่เกิดขึ้นในตัวไม่ไหว มันเจ็บเสียจนชาไปทั้งตัว ภีมพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่พลิกร่างกายเพื่อหลบฟิน

แล้วก็สำเร็จ...

ฟินคล้ายจะรู้สึกตัวเมื่อภีมกระถดหนีไปอีกฝั่งของเตียง แล้วนอนนิ่งอย่างอดกลั้นความรู้สึกชาที่เกิดขึ้นในร่างกาย
“ภีม...” ฟินเรียกคนที่นอนนิ่งอยู่

ภีมไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับริมฝีปาก ความเจ็บแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย บั้นท้ายที่เพิ่งใช้งานไปนั้นระบมราวกับมันจะฉีกขาดเสียให้ได้

ไม่ไหวแล้ว...เจ็บโคตรๆเลยวุ้ย...ภีมบ่นในใจ แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้

“มันเจ็บมากใช่มั้ย” ฟินไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากถามคำถามโง่ๆที่เจ้าตัวก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

“ลองมั้ยล่ะ...จะได้รู้” ภีมกลั้นใจตอบออกมา ฟินล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวบ้าง “แป๊บเดียวเองเนอะ” ฟินกลั้วหัวเราะ
ภีมพลิกตัวหันมามองหน้าคนข้างๆ “แค่นี้ก็เจ็บทั้งตัวแล้วเฟ้ย”

“ไม่คิดว่านายจะยอมฉันแบบนี้” ฟินพูดขึ้นอีก

“เลิกพูดได้มั้ย มันรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งถูกข่มขืนเลยว่ะ” ภีมบอกพลางลูบที่บั้นท้ายของตัวเองที่ช้ำและระบมเพราะแรงของฟิน

“ไม่ได้เรียกว่าข่มขืนสักหน่อย” ฟินกระซิบที่ข้างหูของฟินเบาๆ “เรียกว่าสมยอมต่างหาก”

“พอทีเถอะฟิน จะอ้วกเว้ย ถ้าพ่อแม่แล้วก็พี่ภูรู้มีหวังฆ่าฉันตายแน่ๆ” ภีมพูดโดยที่ไม่คิดอะไรเพราะรู้ว่าต่อให้พ่อแม่หรือพี่สาวรู้ก็คงไม่กล้าว่าเขาอยู่ดี ตั้งแต่เล็กจนโตพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าภีมจะเป็นอย่างไร ใช้ชีวิตแบบไหน

ส่วนฟินไม่คิดแบบนั้น ถ้าพ่อแม่รู้เหรอ...ฟินไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ถ้าพ่อแม่รู้...

จะเป็นอย่างไร...

‘ฟินเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อและแม่นะจ๊ะ เป็นลูกชายที่ดี เป็นพี่ที่น่ารักของฟางข้าว เป็นสุภาพบุรษ เป็นความหวังของทุกคนที่นี่ แม่รักลูกที่สุด’ คำพูดของแม่ที่ก้องขึ้นมาในหัว

‘ลูกผู้ชายมันต้องเข้มแข็งแล้วก็เป็นที่พึ่งให้กับสุภาพสตรีได้ เรื่องเรียนก็อย่าไปเครียดกับมันนัก เรียนจบก็หาผู้หญิงสวยๆสักคนแล้วก็แต่งงานไปอยู่ที่ฟาร์ม ช่วยกันดูแลฟาร์ม มีลูกสักสี่คนห้าคนก็พอ ฮ่าๆๆ’ คำพูดของพ่อก็ก้องขึ้นในหัวของเขาเช่นกัน

คำพูดที่ฟังแล้วอบอุ่นและตลกขบขันเมื่อกาลก่อนกลายเป็นคำพูดที่แสนกดดันไปแล้วสำหรับฟิน

ฟินไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย... นึกถึงหัวอกของคนเป็นพ่อและแม่

แต่จะทำอย่างไรได้...ในเมื่อตอนนี้เขารักภีมไปแล้ว

“ใส่เสื้อผ้าเถอะภีม” ฟินกระซิบบอกเบาๆ แต่ภีมหลับไปแล้วเพราะเหนื่อยเหลือเกิน ฟินจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ไม่ลืมที่จะใส่ให้ภีมด้วย

ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที...ฟินหลับตาลงนอนพลางโอบกอดภีมเอาไว้




 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด