บทที่ 4 - ครูสอนพิเศษ ฟินใช้เวลาเดินทางมาคฤหาสน์หลังใหญ่นานพอสมควรเพราะหลงทาง ไม่น่าเชื่อว่าคฤหาสน์หลังงามนี้จะตั้งอยู่ในที่ที่บดบังความสวยงามไปสิ้นอย่างในป่า และไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่าในกรุงเทพฯยังมีป่าที่รกทึบแบบนี้อยู่อีก
เขาจอดรถมอเตอร์ไซค์สีดำคันงามไว้ที่หน้าคฤหาสน์ก่อนจะลงมากดกริ่งหน้าบ้านอย่างใจเย็น
ไม่นานนัก แม่บ้านวัยกลางคนก็ออกมาเปิดประตูแล้วเชิญเขาเข้าไปข้างในด้วยท่าทางเรียบร้อย “คุณชายรออยู่ในห้องแล้วค่ะ”
เธอว่าพลางเดินนำไปที่ชั้นสองของบ้าน พาเขาไปยังห้องเขียนหนังสือส่วนตัวของคุณชาย
ฟินรู้สึกตกใจเล็กน้อยที่คฤหาสน์หลังใหญ่นี้มีแต่ของสวยๆงาม ตั้งแต่ตัวคฤหาสน์ที่มีความหรูหราสไตล์ยุโรปแต่กลับอยู่ในที่ที่ปกคลุมไปด้วยพรรณไม้ใหญ่ทำให้ความสวยถูกกลืนกินไปหมด แล้วยังเฟอร์นิเจอร์ที่ดูหรูหรานั่นอีกเล่า มันดูใหม่เหมือนกับไม่เคยมีใครนั่งมาก่อน
แม่บ้านหยุดฝีเท้าลงที่ประตูใหญ่สีเขียวสดก่อนจะหันมายิ้มให้ฟิน “คุณชายอยู่ข้างในแล้วค่ะ โชคดีนะคะคุณ” แล้วเธอก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ฟินได้เอ่ยถามอะไรเลย
ฟินเคาะประตูสามครั้งตามมารยาทแล้วรอให้เจ้าของห้องตอบรับ
เงียบ...
ก๊อกๆๆ ฟินเพิ่มแรงเข้าไปอีก
“ก็เข้ามาสิ จะมีมารยาทไปทำไมครับคุณครู” เสียงตอบรับนั้นคุ้นหูฟินเหลือเกิน มันฟังดูยียวนจนน่าโมโห
ฟินเปิดประตูห้องเบาๆ พบร่างสูงยืนหันหลังล้วงกระเป๋าอยู่ริมหน้าต่างอย่างไว้ตัว
“คุณคือนักเรียนของผม” ฟินถามเรียบๆแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมาจึงวางแฟ้มเอกสารที่เตรียมมาลงบนโต๊ะ ใบหน้าหล่อฉายแววสงสัย ดวงตาคมจับจ้องอยู่ที่ร่างสูงนั้น รอคอยให้เขาหันมา
“รู้ไหมว่าคุณคิดผิด” น้ำเสียงยังคงยียวนดุจเดิม เขาแค่นเสียงหัวเราะครั้งหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ที่เลือกมาสอนคนอย่างผม”
“แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น เอาล่ะ...เรามาเริ่มเรียนกันได้แล้ว” ฟินเปลี่ยนประเด็นไป
ร่างสูงหันหน้ามาเผชิญกับครูคนใหม่ ใบหน้ายียวนเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนที่ตกใจสุดขีด “เฮ้ย ทำไมเป็นนายไปได้”
เสียงร้องของเด็กหนุ่มทำให้ฟินละสายตาจากเอกสารตรงหน้า เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่งแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
“นายนี่เอง ภีม” รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากสวยของฟินโดยที่ไม่รู้ตัว ภีมถลึงตามองใบหน้าหล่อนั่น ก่อนจะขยี้ตาแรงๆ
เราตาฝาดหรือเปล่าวะ ที่เห็นหมอนี่มันยิ้ม
“ไม่มีจะกิน ขนาดต้องมาทำงานพิเศษเลยเหรอ” ภีมพูดกลั้วหัวเราะ พลางมองคนตรงหน้าอย่างประเมินฐานะและชนชั้น “ก็อย่างว่าล่ะนะ โรงเรียนเอกชนชื่อดังแบบนี้ ใครๆก็อยากเรียนกันทั้งนั้น ต่อให้จนแค่ไหนก็ตาม”
“ฉันทำงานนี้ก็เพราะรักในการสอน ไม่ใช่อยากได้เงิน” ฟินพูดเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ทว่ากำมือแน่นอย่างสะกดอารมณ์
ภีมเดินวนรอบโต๊ะช้าๆก่อนจะหยุดลงที่ข้างหลังของฟิน ใบหน้าคมชะโงกหน้ามองไปยังเอกสารที่ฟินเตรียมมา “เป็นคนที่วางแผนอย่างรอบคอบ สมแล้วที่เป็นประธานนักเรียน”
“หยุดกวนประสาทฉันได้แล้วภีม” ฟินหันหน้าไปทางที่ภีมชะโงกมา ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันเพียงคืบ
ใบหน้าของฟินแดงระเรื่อ ดูน่ามองไม่น้อยเมื่อใบหน้าเย็นชามีสีเลือดฝาด ภีมมองใบหน้าหล่อที่ดูแปลกตาอย่างชั่งใจ “นายจะหน้าแดงทำไม”
“เปล่านี่”
“เฮอะ นายนี่มันไม่ต่างอะไรกับท่อนไม้เลย” ภีมพยายามพูดกวนอารมณ์ของคนตรงหน้า
“แล้วนายล่ะ เป็นอะไรดี” ฟินย้อนเข้าให้
ภีมชะงักไปครู่หนึ่ง พยายามคิดว่าจะมีคำพูดใดบ้างที่สามารถยั่วโทสะประธานนักเรียนคนนี้ได้โดยที่ไม่ถูกย้อนกลับมา
ใบหน้าคมบิดเบี้ยวไปนิดนึงอย่างใช้ความคิด
“เอาล่ะ หมดเวลาไร้สาระแล้ว นั่งลงเดี๋ยวนี้” ยังไม่ทันที่ภีมจะนึกอะไรออก ฟินก็พูดแทรกขึ้นก่อน
“เรียนก็เรียน” ภีมทวนประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง “ทำไมช่วงนี้ฉันกับนายต้องมาเกี่ยวข้องกันบ่อยๆ มันน่าแปลกจริงๆ” ภีมพูดขึ้นลอย เหมือนจะพูดกับตัวเอง แต่ว่าสายตากลับไปหยุดอยู่ที่ฟิน
“นั่นสินะ ฉันก็เคยสงสัยเหมือนกัน เห็นนายมาตั้งหลายปีไม่ยักกะน่าสนใจเท่าตอนนี้” ฟินยักไหล่อย่างไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ
แต่คำพูดนั้น...ทำให้ใบหน้าของภีมร้อนผ่าวขึ้นมา “นายหมายความว่ายังไง” ภีมหรี่ตามองฟิน อย่างขอคำตอบ
“นายอยากรู้ไปทำไมล่ะภีม” ฟินยิ้มมุมปากออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาของภีม
“ฉันก็แค่ถามความเห็นนายเฉยๆ คนอย่างฉันไม่คิดจะสุงสิงกับพวกคณะกรรมการนักเรียนอยู่แล้ว” อยู่ดีดีภีมก็เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน
“ทำไมนายถึงไม่ชอบพวกเรา”
“แล้วทำไมพวกนายต้องดึงคนจากชมรมดนตรีให้ออกไปอยู่ชมรมอื่นล่ะ มีเหตุผลอะไร” ภีมพูดไปพูดมาก็เข้าเรื่องชมรมดนตรีที่ตนเป็นหัวหน้าชมรมอยู่เสียอย่างนั้น
“นายไม่คิดเหรอว่าคนพวกนั้นเขาอยากออกไปเอง” ฟินย้อนถามภีม ดวงตาคมจับจ้องที่ดวงหน้าของภีมอย่างจริงจัง ฟินกำลังใช้สายตาคาดคั้นความรู้สึกและความคิดของภีม
“มีคนอย่างฉันเป็นหัวหน้าชมรม เขาจะอยากออกไปไหน” ภีมพูดอย่างถือดี
“ก็เพราะมีนายเป็นหัวหน้านี่ล่ะ พวกเขาถึงได้ออกไป” ฟินจ้องภีมด้วยแววตาที่อ่อนลงแต่น้ำเสียงยังคงเย็นชาเช่นเดิม
ภีมเลือดขึ้นหน้าแทบจะทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของฟิน เขากระชากร่างสูงที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้นอย่างแรงก่อนจะปล่อยหมัดไปที่ใบหน้าหล่อของฟิน
เป็นครั้งที่สองแล้วที่ภีมใช้กำลังกับฟิน และก็เป็นครั้งที่สองเช่นกันที่ฟินไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่เลือดที่ขมปร่าอยู่เต็มปากนี่สิทำให้เขารู้สึกอยากจะพ่นมันออกมา
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงวะ ไอ้ประธานนักเรียน” ภีมตวาดใส่คนที่ตัวโตกว่าอย่างโมโห ไม่เคยมีใครเคยพูดจาแบบนี้ใส่เขามาก่อน ฟินเป็นคนแรก
ฟินยกมือขึ้นปาดเลือดที่อยู่บนริมฝีปากออกก่อนจะมองหน้าภีมโดยที่ไม่พูดอะไร ส่วนภีมเมื่อถูกจ้องแบบนั้นนานๆก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
ภีมดันร่างสูงให้เซถลาไปจนชิดประตูห้องสีเขียวสด เขาใช้แขนขวาพาดทับที่ลำคอของฟิน แล้วกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงอันดัง
“ฉันให้โอกาสนายพูดอีกครั้ง ไม่งั้น...นายตายแน่”
ฟินยังคงไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของภีม “ที่ทุกคนออกจากชมรมดนตรีก็เพราะว่ามีหัวหน้าที่ดีแต่ใช้กำลังแบนี้ไงล่ะ นายอยู่กับเสียงดนตรีไม่น่าจะเป็นคนที่หยาบกระด้างแบบนี้เลยนะ”
หยาบกระด้างเหรอ หมอนี่เป็นใครถึงกล้ามาว่าฉันแบบนี้ ภีมสั่นหน้าไม่ยอมรับกับคำพูดนั้นของฟิน
“ไม่จริง ฉันไม่ใช่คนหยาบกระด้าง” น้ำเสียงปฏิเสธของภีมสั่นเครือ เขารู้สึกว่ายิ่งปฏิเสธก็ยิ่งเหมือนกับมันเป็นความจริง
“แต่มันก็ยังไม่สาย ถ้านายจะปรับตัว” ฟินพูดแทรกขึ้นมา
“หุบปากไปเลย ใครให้นายมาสั่งสอน” ภีมตวาดใส่ฟินก่อนจะเพิ่มแรงที่แขนให้มีน้ำหนักมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว
ฟินเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก คิดในใจว่า ภีมคงไม่โกรธถึงขนาดที่ต้องฆ่าเขาหรอกมั้ง
แต่เหมือนฟินจะคิดผิด เวลาที่คนอย่างภีมโมโหใครเขาจะลืมตัวเผลอทำเรื่องร้ายแรงอยู่เสมอ อย่างเช่นตอนนี้
“ภีม ปล่อยฉันก่อน” ฟินละล่ำละลักพูดออกมาเพราะหายใจไม่ออก
ภีมหอบหายใจถี่ เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาค่อยๆลดมือลงก่อนจะถอยห่างออกมาจากฟินสามก้าว
ฟินรู้สึกเจ็บที่คอเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้คือคนที่กำลังยืนตัวสั่นระริกอยู่เบื้องหน้า
“ภีม...” ฟินเดินเข้าไปใกล้ภีมแล้ววางมือลงบนบ่าเขาเบาๆ แต่ภีมรีบปัดออกทันที
“ฉันไม่ต้องการครูอย่างนาย ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้” ภีมตวาดเสียงกร้าว
“ฉันออกไม่ได้ ยังไงสามเดือนนี้เราก็ต้องเจอกันทุกอาทิตย์” ฟินเว้นจังหวะนิดหนึ่ง “เพื่อตัวของนายเอง”
“ออกไป”
“มีเหตุผลหน่อยภีม ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“บอกให้ออกไป” ภีมถลันตัวเข้าใกล้ฟินหวังจะประเคนหมัดให้เขาอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ฟินเร็วกว่า
ฟินจับมือของภีมไว้ทั้งสองข้างด้วยแรงทั้งหมดที่มี เขาเพิ่งค้นพบว่าผู้ชายร่างสูงเพรียวคนนี้ ฤทธิ์มากแค่ไหน
“จะไม่เลิกอาละวาดใช่มั้ย” เสียงของฟินทุ้มต่ำกว่าเดิม
“ปล่อยนะเว้ย” ภีมร้องเสียงดัง พยายามสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมนั้นแต่ยิ่งสะบัดเท่าไรก็ดูเหมือนมันจะยิ่งแน่นขึ้น
ฟินมองภีมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ผู้ชายคนนี้ต้องได้รับบทเรียนเสียบ้างแล้ว..........
