ตอนที่ 7 นายโลมกับรักจนตรอก
*** สีน้ำเงินคือนายระฟ้า
*** สีเขียวอมฟ้าคือโลมค่ะ
จะได้ไม่งงเวลาอ่านนะคะ
เสียงปากกาเคาะให้จังหวะกับโต๊ะทำงานขณะกำลังปลดปล่อยความคิดไปกับเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ....ความเพลิดเพลินที่ทำให้เส้นเลือดในสมองเต้นตุบๆตลอดเวลา
เสี่ยเจียงกำลังรุกล้ำธุรกิจทับซ้อนกับที่ระฟ้าทำทุกอย่าง
ในรายงานเน้นย้ำคำว่าทุกอย่างด้วยปากกาเมจิกสีแดงเส้นหนา
ได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองพรูออกมาเป็นทางยาว เขาเบื่อกับการแข่งขันและชิงดีชิงเด่นที่สุดแล้ว เม็ดเงินที่ได้มาจากธุรกิจมีสารตกตะกอนจากผลประโยชน์ที่ได้รับคือบาป แต่มันกลับหวานหอมจนมีกิจการพวกนี้ทุกมุมเมือง ที่สำคัญมันเจริญรุ่งเรืองจนต้องมองข้ามความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา เส้นกราฟชีวิตของตัวเองวิ่งขึ้นลงเหมือนกระแสหุ้น มันสามารถวิ่งขึ้นจุดที่สูงที่สุดและดิ่งลงสู่จุดต่ำสุดได้ทุกเวลา
อยากจะเขียนคำว่า ‘เบื่อ’ และ ‘ชิงชัง’ ไว้บนผนังห้องทำงาน
แต่ถ้าระฟ้าทำแบบนั้น ผนังฝั่งตรงข้ามกันก็คงต้องเขียนคำว่า ‘เนรคุณ’ และ ‘อกตัญญู’ ไว้ด้วยสินะ ผนังสองฝั่งจะได้สมดุลกัน
พอคิดได้แบบนั้นแล้วก็ต้องมานั่งเคาะปากกาทำจังหวะกับโต๊ะทำงานเหมือนเดิม
ความจริงวันนี้เขาเหนื่อยจนนึกอยากจะหยุดหายใจเพื่อชาร์ตพลังเหมือนโทรศัพท์หรือเครื่องใช้ต่างๆที่ต้องชาร์ตแบตเตอรี่ เรื่องที่ลูกน้องบอกว่านายใหญ่ต้องไป ‘เคลียร์’ คือเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับระฟ้า
เมื่อไหร่ที่เมืองหลวงเปลี่ยนเจ้าเมืองใหม่ เมื่อนั้นหัวเมืองน้อยใหญ่จะพากันแข็งข้อ ความจริงที่เขาต้องรับมือกับมันตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นเป็นนายใหญ่ ความจริงที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่ชินสักที โดยเฉพาะนายใหญ่ที่อายุน้อยกว่าลูกน้อง แน่นอนว่าเขาจะต้องถูกลองของจนแข็งแกร่งเชียวล่ะ ถ้าไม่สะดุดแล้วพลาดท่าเสียทีเสียก่อนล่ะก็นะ อาจจะมีชื่อระฟ้าขึ้นทำเนียบผู้มีอิทธิพลรายใหญ่คนหนึ่งของเมืองไทยที่อายุน้อยที่สุดก็ได้
เสี่ยเจียงคือนายใหญ่ของพี่ชายกึกก้อง มันจะเป็นรายงานแค่แจ้งเพื่อทราบ ถ้าเรื่องนี้ไม่มาพัวพันกับนายโลมคนใหม่ของที่นี่ เขาไม่เคยดูถูกพวกเจ้ามือหวย โต๊ะบอล หรือบ่อนวิ่งอื่นๆ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าอีกฝ่ายไม่ดูถูกตัวเองว่าต่ำต้อยก็คงไม่มีเรื่องราวความทะเยอทะยานของคนให้ต้องหนักสมองหาทางแก้ไขอยู่อย่างนี้
เสี่ยเจียงไม่ใช่แค่คลืบคลานเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง แต่เขารุกแบบก้าวกระโดด เมื่อคืนเป็นงานแกรนด์โอเพนนิ่งสถานเริงรมย์ครบวงจรแห่งใหม่ มันอาจจะดูปกติของธุรกิจที่ต้องแข่งขันกัน สถานที่นั้นอยู่ใกล้ๆกับสาขาย่อยของระฟ้า มันจะไม่มีปัญหาเลยถ้าไม่มีการดูดซุปเปอร์สตาร์จากสาขาลูกของเขาไปอย่างหน้าด้านๆ แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการประกาศศึกสงครามกันซึ่งๆหน้า
คิดในแง่ร้าย
แบบนี้เค้าเรียกว่าหยามกันชัดๆ
ถ้าเรื่องราวมันไม่เกี่ยวพันและประจวบเหมาะกันขนาดนั้น เขาจะไม่บีบนายโลมคนใหม่อย่างใจร้ายขนาดนี้เลย
บอกตรงๆว่าทำใจให้เชื่อยากว่าโลมจะถูกที่บ้านหลอกใช้ ในเมื่อหมอนั่นเดินเข้ามาและบอกความต้องการของตัวเองชัดเจนว่าอยากทำงานใช้หนี้ เด็กที่อยู่ในวัยคาบเกี่ยวกับการเป็นผู้ใหญ่จะถูกจูงจมูกง่ายๆได้ยังไงกัน ในเมื่อเด็กคนนั้นถูกแวดล้อมด้วยสังคมที่เสื่อมทราม
มันเชื่อยาก!!!
แต่การแสดงออกของหมอนั่นก็แนบเนียนจนเกือบหลงเชื่อไปเหมือนกัน
“นายครับ เจ้เชอรี่ส่งเด็กขึ้นมาครับ ชื่อโลมครับนาย เป็นเด็กใหม่”
การ์ดรายงานตามหน้าที่ ในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว คำสั่งที่ออกจากปากตัวเองไปไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ไม่ถึงกับรอคอยอยู่ตลอดเวลา แต่ก็รู้ดีว่าคืนที่ควรจะกลับไปพักผ่อนนั้น ตัวเองมานั่งเคาะปากกาอยู่ที่ห้องทำงานนี่ทำไม
“ให้เข้ามาได้”
“รับทราบครับนาย”
สิ้นเสียงอนุญาต เสียงเคาะประตูก็ดังตามมาเหมือนรอจังหวะสัญญาณอยู่แล้ว คนที่เดินเข้ามาหน้าบูดสนิท แต่เขากลับยกยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ
คนที่แก้ผ้าแล้วเดินคลานเข่าเข้ามาหานาย ไม่เร้าใจเท่าม้าพยศหรอก
“เข้ามาสิ”
ผมเดินเข้าห้องมาตามน้ำเสียงเชิญชวน แต่ก็รู้ดีว่าภายใต้น้ำเสียงนั้นคือคำสั่งเฉียบขาดของคนเป็นนาย พยายามเก็บกลั้นความไม่พอใจไว้ภายใต้ใบหน้า แต่ความรู้สึกมันคงเก็บยากเกินไป รอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างคนชนะตั้งแต่ยังไม่มีการแข่งขันคือสิ่งที่ส่งออกมาทักทายให้ผมนึกอยากหันหลังกลับออกไป สิ่งที่ฉุดกระชากขาอีกข้างให้หยุดอยู่กับที่ได้คือเงินสามล้านห้า โฉนดบ้านกับที่ดิน ที่ซุกหัวนอนที่เดียวและที่สุดท้ายที่ตัวเองมี
“เจ้เชอรี่ให้ผมขึ้นมา”
“เจ้เชอรี่สั่งให้ขึ้นมาเหรอ”
“นายสั่ง”
กำลังคิดว่าจะได้ฟังคนเก่งเค้าแถต่อไปเรื่อยๆ เอาสีข้างถูกับขอบโต๊ะให้หนำใจกว่านี้เสียอีก สุดท้ายเขาก็ต้องหวังเก้อ เพราะอีกฝ่ายรีบยอมรับออกมาว่าตอนเขาสั่งเจ้เชอรี่นั้น เจ้าตัวก็ได้ยินด้วยตัวเอง
“ในเมื่อรู้แล้วจะยืนเฉยอยู่ทำไม”
อะไรวะ? คนนะไม่ใช่หุ่นลองเสื้อตามห้าง ที่นึกจะถอดก็ถอด ขนาดนักกีฬาก่อนลงสนามยังต้องมีการอุ่นเครื่องเลย รถก่อนจะวิ่งก็ต้องสตาร์ททิ้งไว้สักพัก แต่นี่อะไร ถึงแม้ผมจะยอมรับว่ารู้คำสั่งนั่นเพราะตอนนายสั่ง ผมยืนเป็นหุ่นไล่กาอยู่กลางวงสนทนา แล้วยังไงล่ะ ก็ในเมื่อมันเห็นว่าผมก็อยู่ด้วย แล้วมันอยากจะสั่งผ่านเจ้เชอรี่เอง โลมผิดตรงไหนที่บอกว่าเจ้มัจจุราชบีบบังคับให้ขึ้นมาที่นี่
“หรือว่าไม่รู้ว่าต้องขึ้นมาบนหอคอยนี้ทำไม ถ้าต้องทวนคำสั่ง ชั้นจะไม่ทวนด้วยปากเปล่า เพราะมันเสียเวลา”
เสื้อชิ้นแรกปลิวออกไปจากตัวตอนนายรากหญ้าพูดจบพอดี พอผิวเนื้อกระทบกับอากาศเย็น รูขุมขนก็พร้อมใจกันหดตัวจนขนลุกชูชัน
“หนาวเหรอ”
“ผีหลอกมั้งครับ เห็นมีอาการขนลุกเหมือนกันเลย”
เด็กคนนี้ไม่ได้แสดงละครได้ดีแค่อย่างเดียวหรอก เพราะปากก็ดีไม่เป็นรองใครเหมือนกัน
“ต่อสิ”
โลมอยากจะควักก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจของนายใหญ่ออกมาผ่าพิสูจน์เหมือนที่หมอพรทิพย์ทำนัก หัวใจพ่อเล้าของที่นี่ทำด้วยอะไรวะ หล่อมาจากปูนพลาสเตอร์หรือยังไง มันเย็นชาทั้งสีหน้าและท่าทางตอนที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังแก้ผ้าเนี่ยนะ คนตรงหน้ากำลังปลดกระดุมกางเกงแล้วนะ เม็ดบนหลุดไปแล้วนะเว้ย เม็ดที่สอง สาม สี่ หลุดตามมาติดๆ สุดท้ายกางเกงยีนส์ตัวเก่งก็หลุดลอยออกไปจากปลายเท้า ตอนนี้โลมอยู่ในชุดชีเปลือยโดยสมบูรณ์
เออ!! ลืมไปว่าผมเป็นผู้ชายเหมือนกับมัน
อากาศหนาวที่กระทบกับผิวเนื้อยังไม่กระดากอายเท่ากับสายตาว่างเปล่าที่จับจ้องมาที่ผมเป็นจุดเดียว ไม่ปรากฎความรู้สึกใดๆ แต่ก็จ้องมองอยู่อย่างนั้น ในสายตาที่เหมือนว่าไร้ความรู้สึกนั้น ร้อนจนแทบละลาย
“กินข้าววันละกี่มื้อกันถึงได้ผอมนัก”
“ห๊ะ อะไรนะ”
“ถามว่าวันๆนึงน่ะ กินข้าวกับเค้าบ้างหรือเปล่า”
อารมณ์ไหนของไอ้พ่อเล้ามันวะ!!
ความอายหดหายไปหมดเพราะความหนาวที่ถูกปรับอากาศเข้ามาแทนที่ ความงุนงงทำให้ยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยแกรกๆ ทุกคนที่ตั้งใจจะมาขายบริการที่นี่ จะต้องยืนแก้ผ้าให้ไอ้พ่อเล้าถามว่ากินข้าววันละกี่มื้อทุกคนเลยมั้ย?
“แค่ถามว่ากินข้าววันละกี่มื้อทำไมต้องคิดนาน”
คนถูกถามสะดุ้งโหยงเพียงเพราะระฟ้าขึ้นเสียงร้องถามดังกว่าเดิม มันเหมือนขู่หรือตะคอกเอาคำตอบอย่างนักเลง สองมือที่ประสานบดบังบางสิ่งบางอย่างกลางลำตัวเอาไว้กระชับเข้าหากันมากขึ้น เกือบจะหลุดขำกับท่าทางที่หมอนี่มันแสดงออกมา
“วันละ 2 มื้อ”
คำตอบห้วนและสั้นได้ใจความ ไม่มีส่วนขยายนอกเหนือไปจากสิ่งที่ถาม แน่นอนว่าเขาไม่พอใจในคำตอบนี้แน่ๆ
“ทำไมถึงได้ผอมนักล่ะ”
“จะไปรู้เหรอ ก็กินปกติเหมือนที่ชาวบ้านเค้ากินนั่นแหละ”
“ต่อไปนี้ให้กินวันละ 3 มื้อ”
เซแทบทรุด!!
ถ้าจะพูดให้หยาบคายที่นี่คือซ่องคนมีเงิน เอาตรงๆคือผมทำใจไว้ตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นหนี้บุญคุณพ่อกับแม่และพี่เกียรติแล้วว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ปลอบใจตัวเองว่าเป็นผู้ชายขายตัวไม่เสียหายหรอก แค่เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี แต่สองสิ่งนี้มันให้ที่ซุกหัวนอนผมและครอบครัวไม่ได้
สิ่งที่กลัวคือสิ่งที่ไม่เคยลองและไม่เคยมีประสบการณ์ เดาและเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าขึ้นมาแก้ผ้าให้นายดูในวันนี้ต้องไม่พ้้นเรื่องอย่างว่าแน่ๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าโลมต้องขึ้นมาให้นายตรวจสุขภาพรอบที่ 2 จากที่คุณหมอคนสวยเจาะเลือดชั่วๆไปตรวจตั้งแต่คืนนั้น
ถ้าจะดูว่าผอมหรืออ้วนไป ไม่ต้องแก้ผ้าก็ได้
ที่อึ้งเหมือนสั่งให้ตัวเองหยุดหายใจไปชั่วขณะเพราะคิดไม่ถึงว่าจะเจอแบบนี้มากกว่า
“ได้ยินที่สั่งมั้ย”
“ได้ยินครับ รับทราบครับนาย”
ประชดด้วยการลอกคำตอบมาจากผู้คุ้มกันหน้าห้องมันมาหมดเลย คนฟังเลิกคิ้วสูงเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง แล้วย่นจมูกเหมือนไม่พอใจ
“เดี๋ยวจะให้คนคอยดูว่าทำตามคำสั่งหรือเปล่า”
“ตลกแล้วคุณ ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะที่ต้องอยู่ในสายตาครูพี่เลี้ยงตลอดเวลา”
“ใช่ นายไม่ใช่เด็กอนุบาลหรอกกึกก้อง แต่นายคือลูกหนี้รายใหญ่ที่ชั้นต้องใส่ใจเป็นพิเศษต่างหาก กว่าจะปั้นดินสักก้อนให้มีแสงสว่างเทียบเท่าดาว เนฟเวอร์เลิฟเวอร์แลนด์ต้องเสียเวลาและสูญเงินที่ควรจะได้ไปเท่าไหร่ ถ้านายพร้อมที่จะรับงานใช้หนี้เลยก็ว่าไปอย่าง”
ผมสูดลมหายใจลึก ความสบายของวันนี้ทำให้หลงระเริงจนลืมหน้าที่ของตัวเองไปหนึ่งวันเต็มๆ สบายจนเกือบทำให้ลืมไปว่าตัวเองมาเหยียบที่นี่ทำไม ถ้าไม่ถูกย้ำเตือนคงลืมไปแล้วว่าความจริงตัวเองตกต่ำแค่ไหน ปลายเท้าจิกพื้นจนเจ็บและชา ปลายนิ้วกำเข้าหากันจนแน่น ริมฝีปากถูกฟันขบไว้ไม่ให้สั่น
สั่นเพราะโกรธคำพูดของคนใจร้าย ไม่สิ ไอ้พ่อเล้าคนนี้มันไม่มีหัวใจ เพราะมันไม่เคยเห็นใจใคร ถึงแม้เราสองคนจะเป็นผู้ชายทั้งคู่ ถึงผมจะอดทนกับการถูกข่มเหงมาตลอดชีวิต แต่คำพูดบางคำของคนมันก็ทำร้ายกันเกินไป
ถ้าแปลคำพูดของมันออกมาเป็นภาษาไทยง่ายๆ
โลมคือตัวถ่วงความเจริญของที่นี่
ต่อไปนี้ผมจะยิ้มรับความจริงอย่างเข้มแข็ง วันเวลาต่อจากนี้ไปจะสมมุติว่ามันคือฝันร้าย ตื่นเช้าขึ้นมาผมจะอยู่บนที่นอนเก่าๆที่บ้าน ไปทำงานที่อู่ตามปกติอย่างที่เคยทำ
“มีปัญหาอะไรมั้ย ถ้าจะมีคนไปเฝ้าตอนนายทำงานที่อู่”
“ไม่มีครับ เชิญคุณสั่งคนของคุณได้ตามสบาย”
รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์โกรธจนสุดจะกลั้น ริมฝีปากถูกฟันบดย้ำจนซีดเป็นผ้าขาว มือกำเข้าหากันแน่นแต่ไหล่สั่นเทิ้มไปด้วยแรงอารมณ์
หมอนี่โกรธที่ระฟ้ารู้เท่าทันหรือโกรธที่ถูกสกัดกั้นทุกทางขนาดนี้ แผนการที่วางไว้คงยากขึ้นมาอีกขั้น ความสำเร็จที่จะล้มล้างนายใหญ่อายุน้อยคงไม่หวานหมูอย่างที่คิดไว้สินะ
ผู้ต้องสงสัยก้มเก็บเสื้อผ้าที่กองอยู่ปลายเท้าขึ้นมาสะบัดเตรียมพร้อมจะใส่กลับคืนไปเหมือนเดิม ร่างของผู้ชายธรรมดาๆที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่เคยออกกำลังกายและไม่เคยดูแลตัวเองเลย หมอนี่ไม่ได้สูงโปร่งตามนายแบบสมัยนิยม แต่ดูเก้งก้างเพราะว่าผอมเกินไป ผิวไม่ได้ขาวจัดแต่เรียบเนียนเมื่อได้รับการดูแลเพิ่มขึ้น แสดงว่าทุนเดิมของเนื้อตัวหมอนี่ดีอยู่แล้วแต่ขาดการใส่ใจดูแลจากเจ้าของ ทั้งๆที่ห้องนี้ปรับอากาศในอุณหภูมิมาตรฐานที่ 25 องศาตามปกติ แต่ดูมันจะหนาวเกินกว่าคนทั่วๆไป ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เกิดจากร่างกายไร้ภูมิคุ้มกันที่ควรจะมี
“นั่นนายจะทำอะไร”
“ใส่เสื้อผ้าครับ”
“ใครอนุญาต”
สิ้นคำพูดแค่นั้นมันก็ถอดทุกอย่างออกจากตัวมันอย่างเก่า ตาจับจ้องอยู่กับฝาผนัง เลี่ยงที่จะเผชิญหน้าตาต่อตาอย่างที่คนอวดเก่งเคยทำ ไม่ต่อต้านคำสั่ง แต่ปฏิกริยาตอบรับบอกว่าไม่ได้เต็มใจ
ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ เหมือนเราสองคนกำลังหยั่งเชิงกันว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน ยิ่งอีกฝ่ายไม่ยอมขยับ เขาก็ยิ่งทิ้งช่วงเวลาของก้าวย่างให้ช้าลงไปกว่าเดิม ความอึดอึดใจของอีกฝ่ายเพิ่มสูงขึ้นจากอาการเกร็งตัวที่เห็นได้ชัด
สัญชาตญาณของโลมสั่งให้หลบฝ่ามือเย็บเฉียบที่ยื่นไปลูบไล้ตามแนวแขน ตุ่มเนื้อหดเกร็งลู่ไปกับฝ่ามือ เนื้อตัวเริ่มสั่นจนรู้สึกได้เมื่อระฟ้าลูบไล้สัมผัสไปมาตรงไหล่กว้าง ซอกคอ ก่อนจะหยุดเคล้นคลึงเบาๆที่ปลายหู
แนบเนียนว่าไร้เดียงสาแม้กระทั่งสัมผัสที่ตอบสนอง
“กลัวเหรอ”
“เปล่า ผมหนาว”
สุดท้ายก็ยังปากดีเหมือนเดิม
“เดี๋ยวกก็อุ่น พร้อมมั้ย”
“เชิญคุณตามสบาย”
แล้วหุ่นโชว์เสื้อมีชีวิตก็พยายามควบคุมตัวเองให้นิ่งอยู่กับที่เมื่อถูกสัมผัสเบามือสำรวจไปทั่วทั้งตัว ขาจิกเกร็งไว้กับพื้นเก็บกลั้นไม่ให้ตั่วสั่นออกมาฟ้องให้เขาตายใจ ลมหายใจเริ่มขาดห้วงเมื่อลมร้อนเป่ารดที่ริมหู สองขาเริ่มยกหนีเมื่อสองมือลูบไล้ไปที่บั้นท้ายเรียบลื่น บีบเบาๆและเคล้นคลึงตามแรงอารมณ์ที่ส่งออกมาว่าอยากจะสัมผัสคนๆนี้แบบไหน
“ถ้าชั้นเป็นลูกค้าแล้วเริ่มต้นกับนายแบบนี้ นายจะทำยังไงต่อ”
ผมเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกว่าถูกอีกฝ่ายแกล้งแน่แล้ว ทั้งๆที่สองมือของมันยังตรึงสะโพกผมเอาไว้เพราะเพิ่งหดหนีมือร้อนของมันไปเมื่อกี้ อยากจะสู้ให้ถึงที่สุด แต่มือคู่นั้นก็เหมือนไฟที่จับไปตรงไหนก็ลวกผิวจนแสบร้อน จังหวะเนิบนาบทำให้รู้สึกวาบหวามประหลาดๆ ลมหายใจที่รดตัวเมื่อปากคู่นั้นยื่นเข้ามาใกล้รู้สึกเคลิ้มจนจะล่องลอยซะให้ได้
แขกทุกคนจะทำให้ผมรู้สึกเหมือนที่หมอนี่กำลังทำอยู่จริงๆน่ะเหรอ?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง บอกเลยก็ได้ว่าทำอะไรไม่ถูก สองขาไร้เรี่ยวแรงตั้งแต่ถูกมือลูบไล้สำรวจไปทั่วทั้งตัวแล้ว ที่มันยังยืนอยู่ได้เพราะปลายเท้าที่จิกยึดพื้นไว้เท่านั้น
“หืม ว่ายังไง นายจะทำยังไงกับมันต่อ”
มันที่ว่าคือส่วนอ่อนไหวกลางลำตัวที่ถูกปลายนิ้วแตะต้องลูบไล้จนมันตื่นขึ้นมาขู่ฟ่อๆจนน้ำลายเอ่อขึ้นมากลบปาก ผมสอดมือเข้าไปกอดมันไว้แล้วแหงนมองหน้าเพื่อขอความเห็นจากอีกฝ่าย คำตอบส่งกลับมาเป็นแววตาล้อเลียนเหมือนกับว่าผมเป็นลูกไก่ในกำมือมันแน่แล้ว
“สวมกอดแล้วมองหน้าหมายความว่าไง”
“แล้วแต่คุณครับ”
“แล้วแต่คุณไม่ได้ ซุปเปอร์สตาร์ของที่นี่ได้ตำแหน่งมาเพราะเอาใจลูกค้า ไม่ใช่แค่ให้ลูกค้าทำตามใจนะรู้มั้ย”
“งั้นคุณอยากได้อะไรจากผมครับ”
“จูบ......หวานๆ”
ผมเขย่งปลายเท้าเพื่อแตะปากตัวเองกับริมฝีปากมัน แช่รออยู่อย่างนั้นก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แววตาที่มองส่งมาก็มีแต่ร่องรอยความท้าทายเต็มไปหมด แต่สายตาแบบนั้นมันทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก มันไม่เหมือนครั้งแรกที่จูบกัน ทำไมมันไม่ทำเหมือนวันนั้น
“แบบนี้บ้านนายเค้าเรียกจูบแล้วเหรอ นี่มันแค่แตะปากชัดๆ”
“ผมจูบแล้ว คุณนั่นแหละทำไมไม่ส่งลิ้นเข้ามาอย่างที่เคยทำ”
“ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะทำเอาอยากหันหลังแล้ววิ่งหนีออกมาจากตรงนั้น ความพ่ายแพ้รับรู้ได้จากน้ำเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเหมือนไม่เคยพบเจออย่างที่ผมเป็นอยู่นี้จากใครที่ไหน ใช่สิ รอบตัวมันมีแต่นายโลมและนางโลมเต็มไปหมด ทุกคนรู้งานและเจนเวทีหมดแล้ว แค่นายเริ่มมาก็คงจะรู้ว่าต้องตอบสนองยังไงนายถึงจะพอใจ แต่นายโลมมือใหม่อย่างผม ยังกลัวกับความแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้รับ และยังประหม่าที่จะตอบสนองอย่างที่ใจสั่ง เท้าผมยกขึ้นตั้งใจจะกระทืบอีกฝ่ายให้หยุดเสียงหัวเราะกวนประสาทนั่น แต่สายตาที่มองกราดเกรี้ยวดุดันกลับมาทำให้ต้องยั้งขาเอาไว้แค่นั้น
“ถ้าชั้นส่งลิ้นเข้าไปพันกับลิ้นนายอย่างวันนั้น เค้าเรียกว่าชั้นจูบนาย ไม่ใช่นายจูบชั้น จะมาไม้ไหนกันแน่ แต่ แบบนี้มันก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ หรือนายว่าไง”
“คงงั้นมั้งครับ”
อยากตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็กลัวเสียงหัวเราะนั่นจะกลับมาหลอนประสาทอีก ส่วนกลางลำตัวที่ลุกขึ้นมาขู่ฟ่อๆสู้กับอีกมือที่รุกรานกลับไปสงบนิ่งเหมือนเดิม อารมณ์เคลิบเคลิ้มกลายเป็นครุกกรุ่นเพราะโกรธ รสวาบหวามหายไปกับอากาศหมดแล้ว
“ใส่เสื้อผ้าเถอะ วันนี้ชั้นเหนื่อยจนไม่มีอารมณ์จะมีความสุขกับใครแล้ว”
รอยยิ้มโผล่ขึ้นมาในตาจนปิดไม่มิด พริบตาเดียวเสื้อผ้าที่กองอยู่กับพื้นกลับมาอยู่บนตัวของโลมเหมือนเสกสั่ง สภาพของคนที่ยืนตัวสั่นและเกร็งอยู่เมื่อกี้หายไปเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น ท่าทางของโลมเหมือนปลาที่ถูกขังเอาไว้ในฆ้องแล้วปล่อยให้ได้เจอกับน้ำ มันเริงร่าเสียจนนักตกปลาอย่างระฟ้านึกเปลี่ยนใจ
“อาบน้ำด้วยกันสักรอบมั้ยจะได้มีแรงทำต่อ”
“อะไรนะ”
ปลาที่คิดว่าตัวเองกำลังจะรอดตายทำหน้าเหมือนสำลักน้ำ และช็อคกับกระแสน้ำที่ไหลย้อนกลับรวดเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทัน
“นายทำตัวเหมือนไม่อยากรับแขกเร็วๆ ไม่อยากใช้หนี้ให้หมดหรือไง หรือว่าเพราะเป็นพนักงานของที่นี่แล้วยังไงบ้านก็ไม่ถูกยึด อย่าลืมว่าหนี้ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาแล้วก็จริง แต่โฉนดบ้านนายยังอยู่กับชั้น ตราบใดที่นายไม่ได้มันคืนไป นายคิดว่าจะสบายอย่างที่ทำอยู่นี่เหรอ”
ทำไมทุกครั้งที่ถูกว่าร้ายๆใส่ ถูกพูดเหมือนโดนทำร้ายจิตใจถึงได้แสดงแววตาออกมาว่าเจ็บปวดได้แนบเนียนสมจริงขนาดนั้น?
ทำไมการแสดงถึงได้มีผลให้เขารู้สึกสะเทือนใจ?
ทำไมสายตาเศร้าสร้อยที่หรุบมองต่ำนั้นถึงได้เรียกร้องความรู้สึกให้นึกอยากจะดึงผู้ชายด้วยกันอย่างมันเข้ามากอด?
ทำไมสองมือถึงได้อยากจะลูบไล้แผ่นหลังสัั่นเทานั้นให้หยุดสะท้าน?
ทำไมถึงเกลียดหมอนี่ไม่เท่ากับที่ใจสั่งให้เกลียด?
สุดท้าย!!
ทำไมถึงได้ยอมแพ้ความตั้งใจของตัวเองดึงหมอนั่นมากอดเอาไว้แนบอกอย่างนี้
“โลม หยุดแกล้งทำเป็นเข้มแข็งสักที ผู้ชายก็ร้องไห้ได้ไม่มีใครเค้าห้ามหรอก ตราบใดที่นายเป็นคน จะร้องไห้ระบายออกมาบ้างก็ได้”