ตอนใหม่มาแล้วค่ะ ส่วนตอนอื่น ๆ จะพยายามทยอยมาต่อนะคะ ช่วงนี้น้ำลดค่อยมีแรงใจปั่นหน่อย ~

ม่านราตรี
บทที่ 22
ในที่สุดวันเกิดของอธิปก็มาถึง ตุลานั้นเตรียมของขวัญตามที่กริชสั่ง ส่วนพาทิศก็จัดเตรียมอาหารเพื่อเซอร์ไพรส์เจ้าของวันเกิดในมื้อเย็นตามแผนการที่วางไว้ ทว่า…
“อะไรนะ! ไปทำธุระนอกบ้านอย่างนั้นหรือ ธุระอะไร สำคัญมากหรือไง คงไม่ใช่งานหมอผีนั่นอีกนะ ไหนบอกว่าเลิกรับงานพวกนั้นแล้วไงล่ะ!”
กริชโพล่งใส่เพื่อนสนิทเป็นชุด หลังจากที่ได้ฟังจากอธิปว่าเจ้าตัวจะไม่อยู่และอาจจะค้างนอกบ้านในคืนนี้
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า คนคุ้นเคยกันขอร้องทั้งที อีกอย่างรายนี้เขาเจอหนักเพราะโดนเล่นของใส่ ไปหาคนอื่นก็ช่วยไม่ได้ ฉันเลยต้องออกโรงเองไงล่ะ”
กริชกัดฟันกรอดนึกอยากจะตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายให้หายหงุดหงิด แต่ก็กลัวแผนที่วางไว้จะพังเสียก่อน จึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์ถามออกไปห้วน ๆ
“แล้วจำเป็นต้องค้างด้วยหรือไง!”
“ก็บ้านเขาค่อนข้างไกลนี่นา แล้วนายจะโมโหอะไร กับอีแค่ฉันออกไปทำงานข้างนอก นี่อุตสาห์ไม่พาไปด้วยแล้วนะ!”
อธิปโต้ตอบอย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน เพราะไม่เข้าใจว่าเพื่อนโมโหอะไรกันแน่
“เฮอะ! ไม่เห็นจะสนใจ อยากไปไหนก็ไปสิ!”
กริชบอกประชด แล้วสะบัดหน้าหนี ทำให้อธิปต้องเกาศีรษะแกรก ๆ ส่วนคนอื่น ๆ พากันเงียบกริบไม่กล้าเอ่ยแทรกการสนทนาของทั้งสอง ได้แต่ดูอยู่ห่าง ๆ อย่างลุ้นระทึก
“งั้นไปล่ะ อะไรก็ไม่รู้ จู่ ๆ ก็มาโวยวายใส่”
อธิปบ่นอุบ แล้วเตรียมเดินออกจากบ้านไป โดยที่ตุลานั้นหันมองผู้เป็นอาอย่างกังวล แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะพูดอะไรออกไป กริชก็เม้มปากแน่นแล้วตะโกนเรียกชื่อคนที่เดินถึงประตูหน้าบ้านเสียก่อน
“เดี๋ยว อธิป!”
อธิปชะงักฝีเท้า พลางหันกลับมามองคนเรียกตาขุ่น ๆ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสีหน้าของคนที่เรียกเขา
“…นายจะกลับก่อนเที่ยงคืนได้ไหม”
คำพูดขอร้องด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง และแววตาที่คาดหวัง ทำให้หนุ่มใหญ่เงียบกริบ ก่อนจะถอนหายใจตามมา
“เฮ้อ… อะไรของนายกันนะวันนี้”
กริชพอได้ฟังก็เงียบไป เขาลังเลว่าจะบอกอีกฝ่ายดีไหม หรือจะปล่อยเงียบเฉยให้มันผ่านไป แต่แล้ววิญญาณหนุ่มก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของเพื่อนตน
“ไม่รู้ว่ามีอะไร แต่จะพยายามรีบกลับมาให้ทันแล้วกัน”
“สัญญาแล้วนะ!”
น้ำเสียงนั้นห้วน สีหน้าก็ติดเชิด แต่แววตาแสดงความดีใจยากปิดบัง ทำให้อธิปหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วบอกตอบอย่างอารมณ์ดีกว่าเดิม
“เออ ๆ สัญญา… งั้นฉันไปล่ะ จะได้รีบไปรีบกลับ”
หมอผีหนุ่มบอกแล้วจึงเดินออกจากบ้านไป ท่ามกลางความโล่งใจของคนอื่น ๆ ในบ้านที่เฝ้ามองอยู่ และต่างตัดสินใจเลื่อนงานเลี้ยงตอนหัวค่ำ เป็นตอนดึกในเวลาที่อธิปกลับมาถึงแทน
ช่วงหัวค่ำทุกคนยังคงนั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน และช่วยกันสมมุติเหตุการณ์ตอนอธิปกลับมา แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนใกล้จะเที่ยงคืน เสียงพูดคุยก็เริ่มเงียบลง กลายเป็นความไม่สบายใจแทน เมื่อเห็นกริชนั้นดูเงียบเฉยไปไม่พูดไม่จา จนกระทั่งเวลาเที่ยงคืนผ่านพ้นไป
“จบแล้วสินะ”
กริชพึมพำ ก่อนจะแสร้งทำเป็นบิดกายไปมาอย่างเกียจคร้าน แล้วจึงโพล่งเสียงดังกลบความเงียบอันน่าอึดอัด
“เจ้าบ้านั่นให้รออยู่ได้ ถ้ามาไม่ทันก็โทรมาบอกเสียก็สิ้นเรื่อง พวกเราเลยดูเหมือนคนงี่เง่าไปเลย!”
“อากริชครับ … คือ เอ่อ”
ตุลาพยายามหาคำพูดมาปลอบโยนอาของตน แต่กริชนั้นหันมายิ้มให้กับหลานชาย แล้วบอกด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
“อย่าซีเรียสตุล ของแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ อาไม่คิดมากหรอก ให้ช้าให้เร็ว ก็เป็นของขวัญวันเกิดเหมือนกัน”
ตุลาเงียบกริบ แม้อาของเขาจะยิ้มแต่ดวงตาคู่นั้นแลดูเศร้าจนน่าเป็นห่วง แต่พอเขาจะปลอบอะไรออกไป พาทิศก็บีบไหล่เตือนเสียก่อน พลางสั่นศีรษะเบา ๆ เป็นเชิงให้ตุลาหยุดพูด
“ถ้าอย่างนั้น ผมพาตุลขึ้นนอนเลยนะครับ พวกเธอก็ด้วย ปิ่น รุ้ง ราตรี กลับที่ตัวเองได้แล้ว”
สามสาวพอได้ยินดังนั้น ก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์กับตุลาและกริช พลางแยกย้ายกันไปเงียบ ๆ
“ขอบคุณสำหรับอาหารที่เตรียมไว้นะ ลำบากนายแย่เลย”
กริชบอกกับพาทิศที่กำลังพาตุลาขึ้นห้อง พาทิศหันมายิ้มน้อย ๆ แล้วตอบกลับไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปส่งตุลก่อนนะครับ”
“อือ ขอบใจ”
กริชตอบสั้น ๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแถวนั้นเงียบ ๆ พาทิศเดินพาตุลาไปส่งจนถึงห้อง ซึ่งพอเข้าไปในห้องชายหนุ่มก็ถามคนรักอย่างสงสัยทันที
“ทำไมล่ะครับ อากริชน่าสงสารออก อุตสาห์ตั้งใจเตรียมงานเพื่อคุณอธิปถึงขนาดนั้น”
“ก็เพราะอย่างนั้น เขาถึงไม่อยากให้พวกเรารู้ว่าเขาเสียใจยังไงล่ะ การปลอบโยนในสถานการณ์บางอย่าง บางทีก็เหมือนตอกย้ำความเจ็บให้อีกฝ่าย ถ้าเขาแสดงออกว่าไม่เป็นไร เราก็ควรตอบรับการแสดงของเขามากกว่า”
ตุลาเงียบกริบ ก่อนจะพึมพำเบา ๆ
“ผมนี่แย่จริง ไม่รู้อะไรเลยแท้ ๆ”
พาทิศยิ้มน้อย ๆ แล้วดึงร่างของอีกฝ่ายมากอดหลวม ๆ
“มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ชีวิตต่างหาก เธอเองก็อายุยังน้อย ค่อย ๆ เรียนรู้ไป อีกหน่อยก็เชี่ยวชาญขึ้นเองนั่นล่ะ”
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าถ้าอายุมากขึ้นแล้วจะเข้าใจโลกมากขึ้นไหม”
ตุลาพึมพำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเขิน ๆ
“เพราะอย่างนั้น … คุณจะอยู่เคียงข้างผม คอยช่วยสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้ผมตลอดไป ได้ไหมครับ”
พาทิศนิ่งอึ้ง ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมา แล้วเพิ่มแรงกอดรัดร่างโปร่งอย่างรักใคร่
“ได้แน่นอน ฉันจะสอนทุกสิ่งทุกอย่าง และจะอยู่เคียงข้างเธอ คอยช่วยเหลือเธอตลอดไป”
ตุลากอดตอบร่างสูง แต่ก็ต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายดันร่างของเขาออกห่าง แต่พอถามออกไปก็ต้องได้รับคำตอบที่ชวนสะดุ้ง
“ถึงร่างนี้จะเป็นผีดิบ แต่ก็ยังมีอารมณ์อย่างว่า ตามปกติเหมือนมนุษย์ทั่วไปนะ”
ตุลาหน้าแดงวาบ รีบก้มหน้างุด ๆ หลบสายตา ทำให้พาทิศต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“ฉันก็อยากทำเรื่องนั้นนะ แต่อาเธออารมณ์ไม่ดีแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากเสี่ยงโดนลูกหลงหรอก ไว้รอวันหลังก็แล้วกัน”
ตุลาพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ เห็นดังนั้นพาทิศจึงก้มลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วจากไป ทิ้งให้เจ้าของห้องเดินหน้าแดงตรงไปนอนบนเตียง ก่อนจะคิดฟุ้งซ่านอยู่นานจึงจะหลับไปได้ในที่สุด
นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่ กริชยังคงนั่งเหม่อในห้องรับแขก ตามองประตูบ้านนิ่ง ก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงกรอกแกรกจากประตูรั้วแว่วดังเข้ามา และสักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของอธิป
“…ขอโทษที กริช …ฉันพยายามเร่งเต็มที่แล้ว …แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี”
คำพูดพร้อมกับท่าทางเหนื่อยหอบที่แสดงให้เห็น ทำให้คนฟังนิ่งเงียบแล้วจึงแย้มยิ้มน้อย ๆ ส่งให้
“ไม่เป็นไร นายก็พยายามเต็มที่แล้วนี่”
กริชบอกกับเพื่อนของเขา แล้วจึงนั่งรอให้อธิปเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบกล่องของขวัญบนโต๊ะรับแขกยื่นส่งให้อีกฝ่าย
“เอ้า! ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ก็สุขสันต์วันเกิดนะ”
อธิปรับของขวัญมาอย่างมึนงง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า วันที่ผ่านมาเป็นวันเกิดของตนนั่นเอง
“กริช …นี่มัน…”
“กินอะไรมาหรือยังล่ะ อาหารมีอยู่ในตู้เย็น ถ้าจะกินนายก็ต้องอุ่นเอาเอง หรือถ้าอยากกินของหวาน เค้กก็มีนะ”
กริชบอกเรื่อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปทางครัว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออธิปโอบกอดเขามาจากด้านหลัง
“เฮ้ย! อะไรกันอธิป!”
วิญญาณหนุ่มโวยวายด้วยความตกใจ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“…ขอโทษนะ ที่ผิดสัญญา ทั้งที่นายตั้งใจฉลองเพื่อฉันแบบนี้แท้ ๆ”
คำขอโทษพร้อมกับอ้อมกอดที่สวมกอดแน่นมาจากด้านหลัง ทำให้กริชนิ่งเงียบ ก่อนเปรยขึ้นเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก นายมีธุระสำคัญจริง ๆ นี่นะ …แล้วเป็นไง ช่วยสำเร็จไหม”
ท้ายประโยคกริชรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ทำให้อธิปยิ้มกับตัวเองน้อย ๆ แล้วจึงคลายอ้อมกอดออก จับพลิกร่างอีกฝ่ายมาเผชิญหน้ากับตน
“มือชั้นนี้แล้ว มีหรือจะพลาด”
กริชยิ้มน้อย ๆ ตอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงท้องของอธิปร้องโครกครากดังลั่น
“ช่วยไม่ได้ พองานเสร็จฉันก็รีบตรงกลับบ้านเลยนี่!”
อธิปรีบแก้ตัว รู้สึกขายหน้านิด ๆ ที่ดันมาท้องร้องให้อีกฝ่ายได้ยินแบบนี้
“ฉันเชื่อที่นายพูดนะ หึ ๆ”
กริชบอกกึ่งขำ แล้วจึงเดินไปที่ตู้เย็นหยิบอาหารในนั้นออกมาอย่างสบาย ๆ เพราะตอนกลางคืนในคฤหาสน์ม่านราตรี ก็ยิ่งช่วยเสริมพลังวิญญาณให้เขามากขึ้นจนร่างโปร่งใสแทบจะมีเนื้อหนังเหมือนคนปกติด้วยซ้ำ
“เอ้า! นั่งรอไป ไม่ต้องมาช่วย เดี๋ยวฉันอุ่นให้”
“เห…ใจดีแบบนี้ ในนั้นใส่ยาสั่งอะไรหรือเปล่าน้อ”
อธิปแกล้งแหย่ ทำเอาคนที่กำลังจะเตรียมเทอาหารลงกระทะชะงัก แล้วทำหน้าบึ้ง
“ปากแบบนี้ทำกินเองเลยดีไหม!”
“โอ๋ ๆ คุณกริชครับ ผมพูดเล่นเท่านั้นเอง ช่วยทำให้ผมกินหน่อยนะครับ ผมหิวจะเป็นลมอยู่แล้ว”
อธิปรีบแก้ตัว เรียกเสียงฮึเบา ๆ จากร่างโปร่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะช่วยอุ่นอาหารต่าง ๆ แล้วนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ โดยที่อธิปเองก็หยิบจานเปล่าและช้อนไว้รออยู่แล้ว
“อันนี้รสคล้ายกับที่นายเคยทำให้กินเมื่อสิบกว่าปีก่อนเลย”
อธิปบอกหลังจากที่กินอาหารเสร็จ และกำลังกินเค้กวันเกิดของตน แต่พอได้ยินหมอผีหนุ่มพูดแบบนั้น กริชก็ชะงักแล้วตอบออกไปโดยไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย
“เค้กมันก็รสเหมือน ๆ กันนั่นล่ะ”
“ไม่นา ถึงจะใช้สูตรเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าจะออกมาเหมือนกันสักหน่อย …หือ อย่าบอกนะว่านายทำให้ฉันกินด้วยตัวเองน่ะ?”
อธิปถามออกไปเพราะเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของอีกฝ่าย กริชหลบสายตาก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ
“ฉันแค่บอกสูตรแล้วให้ตุลช่วยทำน่ะ … รสชาติแย่มากไหม?”
“ไม่แย่หรอก แค่หวานน้อยไปนิดเท่านั้น”
อธิปบอกตามตรง แต่คนฟังกลับขมวดคิ้วยุ่ง
“อายุมากขึ้นอีกปีแบบนี้ยังจะอยากกินหวาน ๆ อีก เดี๋ยวก็โรคถามหาหรอก”
อธิปหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่กริชพูดจบ ทำให้คนพูดงุนงง แล้วถามออกไป
“หัวเราะอะไร?”
อธิปยิ้มน้อย ๆ ให้คนถาม ก่อนจะตอบออกไป
“ก็นายพูดประโยคเดียวกับตอนนั้นเลยนี่ …จำได้ไหม ปีสุดท้ายที่นายจัดวันเกิดให้ฉัน นายทำเค้กให้ พอฉันติว่าหวานน้อยไป นายก็พูดประโยคเดียวกับเมื่อครู่เด๊ะเลย”
กริชนิ่งอึ้ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงจดจำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านมาเมื่อสิบปีก่อนได้เช่นนี้
“ขอบคุณนะกริช นายทำให้มันเป็นวันเกิดที่วิเศษอีกปีของฉันเลยทีเดียว …”
อธิปบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้คนมองหน้าแดงด้วยความอาย แล้วแสร้งหันหน้าเมินไปทางอื่น
“ช่วยไม่ได้ ก็เพื่อนที่พูดคุยได้ของฉันตอนนี้เหลือแค่นายคนเดียวนี่นะ!”
“อืม ๆ ฉันรู้”
อธิปบอกยิ้ม ๆ เพราะชินเสียแล้วกับคนปากไม่ตรงกับใจตรงหน้าเขา
“ฮึ! ฉันขอตัวก่อนล่ะ นายก็ไปนอนพักได้แล้ว … และก็ของขวัญให้ไปต้องใช้ด้วยรู้ไหม ไม่งั้นน่าดู!”
กริชโพล่งใส่ทิ้งท้าย ก่อนจะหายตัววับไป อธิปสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างระอา แล้วจึงจัดการเก็บจานชามล้างให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นห้องนอนบนชั้นสอง และแกะของขวัญดูทันทีที่เข้ามาภายในห้อง
“หึ ๆ หมอนี่ ไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ นะ”
อธิปมองดูนาฬิกายี่ห้อชั้นดีราคาแพงในกล่องสวยหรู ก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือเรือนเก่าของเขาซึ่งได้รับมาจากเจ้าของคนเดียวกัน
“นายจะด่าอะไรฉันทางอ้อมไหมเนี่ยฮึนายกริช เล่นให้นาฬิกาเป็นของขวัญแบบนี้สองครั้งสองคราแล้ว”
อธิปมองขำ ๆ แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อความหมายอะไรกับตน เขาเคยเจอประโยคหนึ่งในหนังสือนิยายของกริช ซึ่งเป็นฉากที่ตัวเอกให้ของขวัญกับเพื่อนคู่หูเป็นนาฬิกาข้อมือ
‘ความหมายของมันน่ะหรือ …มันก็หมายถึงมิตรภาพของพวกเราจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเข็มนาฬิกาที่จะไม่มีวันเดินถอยหลังน่ะสิ’ “ไม่ต้องห่วงนะนายกริช ฉันจะอยู่คอยให้ความช่วยเหลือนายไปแบบนี้ จนกว่าฉันจะตาย หรือไม่ก็นายยอมไปเกิดใหม่นั่นล่ะ”
อธิปพึมพำกับนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ของเขา แล้วจึงวางมันลงบนหัวนอนเคียงข้างกับนาฬิกาข้อมือเรือนเก่า ก่อนจะหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุด
...TBC...