“ยูยะจะอะไร พูดต่อสิ!”
“คือ…” จิมมี่เงียบ คิดทบทวนว่าจะเล่าเรื่องเมื่อก่อนให้คนตรงหน้าฟังดีหรือไม่ … เมื่อก่อน เพียงแค่เข้าใจผิดว่า มอร์เฟียซ คาเตอร์ไม่มีใจให้ ก็ทำให้ยูยะเพี้ยนไป จนถึงขนาดลงมือทำร้ายตัวเองมาแล้วด้วยซ้ำ
“โอเค! ผมจะเล่า ถ้านั่นมันจะทำให้คุณได้คิดว่า ยูยะจำเป็นต้องมีมอร์เฟียซ คาเตอร์ เหมือนกับที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ จำเป็นต้องมียูยะ นั่นล่ะ!”
แล้วจิมมี่ ก็ตัดสินใจเล่าให้หญิงสาวฟังในส่วนที่เขารับรู้ทั้งหมด ซึ่งเรนะก็ได้แต่นิ่งเงียบฟังโดยดี มีบางครั้งที่เธอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป และก็นิ่งฟังจนกระทั่งเด็กหนุ่มเล่าจบ
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ” จิมมี่บอก พลางสังเกตท่าที ของเรนะ แต่ก็จับความรู้สึกของหญิงสาวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ยูยะมีเพื่อนที่ดีจริง ๆ” เรนะเอ่ยออกมาในที่สุด หลังจากที่เงียบมานาน
“ถ้ายูยะเป็นคนมาเล่าเอง ฉันจะไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย เพราะฉันคิดว่าเขาคงจะหลงหมอนั่นจนลืมหู ลืมตาไม่ขึ้น และกุเรื่องขึ้นมาหลอกฉัน… แต่พอฟังเธอเล่าแล้ว….ฉันเชื่อ”
หญิงสาวส่งยิ้มให้ ซึ่งก็ทำให้จิมมี่รู้สึกดีใจที่ทำให้คนตรงหน้าเริ่มคล้อยตามได้ในที่สุด
“แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ”
ประโยคถัดมาทำให้จิมมี่ ซึ่งกำลังดีใจ ห่อเหี่ยวลงทันที และขณะที่กำลังผิดหวังกับการที่เจรจาไม่สำเร็จ เรนะก็พูดต่อขึ้นมาอีกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จนกว่าจะมีการพิสูจน์ความรักของคนทั้งคู่เกิดขึ้นให้ฉันเห็นกับตา ฉันถึงจะยอมเชื่อ”
“เอ๋? พิสูจน์งั้นหรือครับ!” จิมมี่ทวนคำด้วยความแปลกใจ
“ใช่! แล้วเธอก็ต้องช่วยร่วมมือกับฉันด้วย จะได้ไหมล่ะ!”
เรนะยื่นข้อเสนอ ซึ่งจิมมี่ก็มองหญิงสาวอย่างชั่งใจ สักพัก ก่อนจะตอบรับเสียงอ่อย ๆ
“ถ้าจะช่วยให้คุณเข้าใจยูยะได้ …ผมก็ยินดี”
“ดีมาก! เธอเป็นเด็กดีจริง ๆ จิมมี่!” เรนะก้มลงจูบที่ปากของเด็กหนุ่มผมแดงเบา ๆ ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายตกใจ กระโดดถอยหลังหนีออกมาตั้งหลักอย่างรวดเร็ว
“อะ…เอ่อ..” เด็กหนุ่มพูดตะกุกตะกัก ใบหน้าแดงก่ำ ซึ่งเรนะเห็นแล้วก็รู้สึกชอบใจขึ้นมาทันที และก่อนที่หญิงสาวจะกลับ ก็สั่งกำชับไว้เสียก่อน
“ไว้เดี๋ยวฉันจะบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง ตอนนี้เธอก็ทำตัวปกติ เหมือนว่าไม่เคยคุยอะไรเรื่องนี้กับฉันมาก่อนก็แล้วกันนะ”
“คะ…ครับ” จิมมี่ตอบรับเบา ๆ ใบหน้ายังไม่หายแดง เรนะยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไป ด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าขามา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่ยอมรับอะไรได้ง่าย ๆ แบบนี้ สาเหตุหลักคงเป็นเพราะแววตาซื่อ ๆ จริงใจ ของเด็กหนุ่มผมแดง ตลอดเวลาที่คุยกับเธอ คนนั้นด้วยกระมัง
เหตุการณ์มันช่างดูราบรื่น เสียจนน่าแปลกใจ …
จากที่เคยคิดว่าจะโดนลูกตื๊อของลูกพี่ลูกน้องสาวของเขา ทุกวัน กลับกลายเป็นว่า เจ้าหล่อนหายเงียบไปเลยหนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ
มันก็น่าจะดีอยู่หรอก ที่เป็นแบบนี้ แต่มันผิดปกติไปจากนิสัยของเรนะที่เขาเคยรู้จัก
…มันต้องมีอะไร ผิดปกติแน่ ๆ!!…
“ก็ดีแล้วนี่ เขาอาจจะเข้าใจนายแล้วก็ได้” จิมมี่พูดโดยไม่ยอมมองหน้า เด็กหนุ่มก็เป็นอีกคนที่ผิดปกติไป เพราะหลังจากออกไปรับหน้าเรนะเมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ว จิมมี่ก็แทบจะไม่ค่อยเข้าหน้าเขาเสียเท่าไรนัก เวลาคุยกันก็มักจะหลบตาเสมอ ๆ อย่างน่าสงสัย จนวันนี้ ที่เขากึ่งขอร้อง กึ่งบังคับ เจ้าตัว จึงยอมมานั่งคุยด้วยกันจนได้
“จิมมี่ …ถามจริงเถอะ นายกำลังปิดบังอะไรบางอย่างฉันอยู่ได้ไหม”
เพราะคบกันมา 2 ปีแล้ว แถมยังสนิทกันขนาดนั้น อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขาจะไม่รู้สึกเชียวงั้นหรือ
“ปะ…เปล่า สักหน่อย” เจ้าตัวอึกอัก พยายามแสร้งมองไปทางอื่น หากอาการเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ยูยะสงสัยหนักเข้าไปอีก
“จิมมี่ … รู้ตัวไหมว่านายน่ะเป็นคนโกหกใครไม่เป็น ดังนั้นเวลามีอะไร มันเลยปิดพิรุธไม่ค่อยอยู่น่ะ” ยูยะพูดเสียงเรียบ หากแต่นัยน์ตาจ้องเพื่อนของเขาเขม็ง เหมือนดังกำลังจะคาดคั้นเอาความจริงให้ได้
“มะ...ไม่มีสักหน่อย นายคิดมากไปเองต่างหาก”
“แน่ใจเหรอ?”
“อะ….อืม”
“นายโกหก!” ยูยะเน้นเสียงเข้ม และก่อนที่เขาจะรุกอีกฝ่ายให้ยอมเปิดเผยความจริง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา
“ก๊อก ๆ”
“ใคร!” ยูยะถามเสียงห้วน เพราะกำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ หากแต่จิมมี่ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
“ฉันเอง…” เสียงตอบพร้อมกับประตูห้องที่ถูกเปิดออก
“มิเชล เองเหรอ มีธุระอะไร!”
ฟังดูก็รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังหงุดหงิด หากแต่มิเชลก็ไม่ได้ใส่ใจ กับอาการเช่นนั้น
“มีคนต้องการพบนายน่ะ เขารออยู่ข้างล่าง”
“ใคร?” ยูยะถามด้วยความสงสัย แต่เมื่อมิเชลบอกชื่อของคนที่ต้องการพบเขา เด็กหนุ่มก็รีบวิ่งพรวดพราดลงไปข้างล่างทันที
“หึ ๆ” มิเชลหัวเราะตามหลังไปเบา ๆ ขณะที่จิมมี่ เดินเข้ามาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม
“เขา มาจริง ๆ น่ะเหรอ”
“อืม...” มิเชลตอบสั้น ๆ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายได้ฟัง ก็ยิ้มออกอย่างโล่งใจ ดูท่าคราวนี้ เพื่อนรักของเขา คงจะหายหงุดหงิดได้สักทีสินะ
ยูยะ รีบวิ่งลงบันได อย่างรวดเร็ว จนเกือบจะเสียหลักล้มกลิ้งลงมา โชคดี ที่เขาคว้าราวบันไดไว้ได้ ก่อนจะพยายามตั้งสติ และลงมาอย่างระมัดระวังมากกว่าเดิม
…ร่างสูงที่ยืนหันหลังให้เขา ภายในห้องนั่งเล่นรวม ทำให้ยูยะแทบจะกลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่ เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้ว ที่เขาไม่ได้พบกับมอร์เฟียซ คาเตอร์ แม้กระทั่งในชั่วโมงเรียน ชายหนุ่ม ก็ให้อาจารย์คนอื่นมาสอนแทน แถมพอเขาไปพบทั้งที่ทำงาน และที่บ้านพัก ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมให้เข้าพบอีกต่างหาก …
“…มอร์เฟียซ”
“…นาโอกิ” เสียงเรียกชื่อของเขา พร้อมกับใบหน้าที่หันมาพร้อมรอยยิ้มนิด ๆ ทำให้ยูยะผวาเข้ากอดชายหนุ่มเบื้องหน้าทันที พร้อมกับปล่อยโฮลั่นอย่างลืมตัว จน ชายหนุ่มเองยังตกใจ
“เป็นอะไรไป นาโอกิ! ร้องไห้ทำไม!”
“ผะ…ผม คิดว่าคุณเกลียดผมแล้วเสียอีก”
มอร์เฟียซลูบศีรษะร่างเล็กในอ้อมกอดแผ่วเบา ก่อนจะปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เคยเกลียดเธอเลยนะ”
“กะ… ก็คุณไม่ยอมให้ผมพบ แถมชั่วโมงเรียนก็ยังไม่ยอมเข้าสอนอีก แล้วจะให้ผมคิดยังไงล่ะครับ” ยูยะตอบปนสะอื้น มอร์เฟียซถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะจูบที่หน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ อย่างสำนึกผิด
“ขอโทษ ฉันก็แค่ ‘หึง’ เธอเท่านั้นเอง เลยไม่อยากให้เธอเห็นสภาพทุเรศ ๆ ของฉันตอนนั้นน่ะสิ”
“หึง?…ทำไมล่ะครับ ผมไม่ได้มีอะไรกับพี่เรนะสักหน่อย”
ยูยะถามขึ้นมาทั้งน้ำตาด้วยความสงสัย หากแต่มอร์เฟียซกลับขมวดคิ้วยุ่ง สีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วที่ไปช้อปปิ้ง ดูหนังหลังเลิกเรียนบ้างล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันบ้างล่ะ ใจคอเธอคงไม่คิดว่าฉันจะทนอยู่เฉย ๆ ได้หรอกนะ แถมอีกฝ่ายยังโทรมาเย้ยแทบทุกวันแบบนั้นด้วยน่ะ!”
พูดแล้วก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บใจมากขึ้นไปอีก หากแต่สีหน้างงจริง ๆ ของเด็กหนุ่ม ก็ทำให้เขารู้สึกเอะใจขึ้นมาตงิด ๆ
“อย่าบอกนะว่าเธอไม่ได้ทำอย่างที่ฉันพูดมาน่ะ”
“ผมไม่เห็นรู้เรื่องอะไรเลยนะครับ” ยูยะสั่นหน้าปฏิเสธ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตา บอกอย่างชัดเจน ว่าไม่รู้เรื่องจริง ๆ จนชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง
“ก็เพื่อนเธอยังยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเลยนะ!”
“เพื่อน? …. ใครครับ” ยูยะถาม พลางนึกไปถึงใครคนหนึ่ง …. คนที่แปลก ๆ ไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน
“จิมมี่ ชไนเดอร์”
“จิมมี่!! หมอนั่น…นึกแล้วเชียว!!”
ยูยะเอ่ยเสียงเครียด ก่อนจะรีบวิ่งพรวดพราด กลับไปยังห้องของตนทันที โดยที่มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยืนอึ้งมองอยู่สักพัก ก่อนที่สมองจะประมวลเหตุการณ์ทั้งหมด และเข้าใจแจ่มชัดในเวลาไม่นานนัก
...ชไนเดอร์ …นิสัยอย่างเด็กนั่นคงไม่ได้คิดแผนเองแน่ ๆ ถ้างั้นก็ต้องเป็นยัยตัวแสบนั่นสินะ!…
มอร์เฟียซคิดอย่างเจ็บใจ แล้วที่เขามัวแต่หึงบ้า หึงบอเป็นอาทิตย์ จนเกือบจะบาดหมางกับยูยะ ตรงตามแผนของหล่อน ป่านนี้หล่อนคงนั่งหัวเราะเยาะอยู่ล่ะสิ!!
โชคดี ที่เป็นเพราะเขารักยูยะมากเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะนอกใจเขาจริง ๆ เขาก็คงตัดใจไม่ได้ …ใช่แล้ว ตัดใจไม่ได้ จนต้องมาเห็นหน้าอีกสักครั้ง เพื่อถามให้แน่ใจกันชัด ๆ ไปเลยว่า ในใจของเด็กหนุ่มยังมีเขาอยู่อีกไหม
แล้วสรุปก็กลายเป็นว่า ยูยะไม่ได้รู้เรื่อง รู้ราวอะไรแม้แต่น้อย ทั้งหมดเป็นเพราะเขามันโง่เอง ที่ดันไปหลงกลลูกไม้ตื้น ๆ ของหล่อน เชื่อได้แม้แต่คำพูดของเด็กที่โกหกไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ …จริงสินะ ตอนนั้นเขาก็คิดว่าท่าทีของจิมมี่ ค่อนข้างแปลกไป แต่เพราะความหึงมันบังตา จนทำให้เขา ขาดสติไตร่ตรองไปเสียหมด
…และต่อจากนี้ หล่อนจะมาไม้ไหนกับเขาอีกก็ไม่รู้สินะ! …
“เอาล่ะ! ไหนนายอธิบายมาสิว่า ทำไมถึงต้องโกหกมอร์เฟียซ เรื่องของฉันกับพี่เรนะด้วย!”
ยูยะยืนเท้าเอวมองอีกฝ่ายด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ซึ่งมิเชล และราฟาเอลที่เข้ามาทีหลัง ถึงกับยืนหลบเงียบ ๆ อยู่มุมห้อง ไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วยแม้แต่น้อย
“ง่า….คือ ใจเย็น ๆ สิ ยูยะ ฉะ…ฉันอธิบายได้นะ” จิมมี่พูดตะกุกตะกัก ก็นึกแล้วว่าสักวันความมันต้องแตก แต่ไม่คิดว่าเขาจะต้องมารับหน้าคนเดียวแบบนี้น่ะสิ
“ก็อธิบายมาสิ!” ยูยะกระแทกเสียง จากคนที่อ่อนโยน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ กลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็รู้สึกขยาดกันแทบทั้งนั้น
…โธ่ ๆ ๆ คุณเรนะ นะคุณเรนะ ไหนคุณว่าสบายมาก ไม่มีปัญหายังไงล่ะ แล้วที่ยูยะโกรธจนแทบจะกินผมได้แบบนี้ คุณจะว่ายังไงกัน หา! ….
“คือ…ฉัน …คุณเรนะ ..เอ่อ” เอาเข้าจริง ๆ จิมมี่ก็เริ่มเรียบเรียงคำพูดไม่เป็นประโยค แต่เพียงแค่นั้น ก็ทำให้ยูยะพอจับเค้าได้ว่า ใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
“พี่เรนะอีกแล้วสินะ!!”
“กะ…ก็ประมาณนั้นล่ะ” จิมมี่ไม่รู้จะบอกว่ายังไงดี เลยรับคำไปแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามกับทำให้ยูยะยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่
“ฉันจะไปหาพี่เรนะ!!”
แล้วเจ้าตัวก็รีบวิ่งพรวดพราดออกไป จนเกือบจะชนกับมอร์เฟียซที่เดินสวนขึ้นมาบนบันได
“จะไปไหนนาโอกิ!”
“จะไปพบพี่เรนะครับ!!” ยูยะบอก ก่อนจะรีบวิ่งจากไป โดยที่ไม่ได้ฟังเสียงทัดทานของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้! ยูยะ เดี๋ยวก่อนสิ ….อ๊ะ …อาจารย์” จิมมี่ชะงักกึก เมื่อออกมาเจอกับมอร์เฟียซ ซึ่งยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มจ้องมองจิมมี่ ด้วยสายตาที่เด็กหนุ่มผมแดงมักจะเรียกว่าดวงตาเมดูซ่า ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบ แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจเต็มเปี่ยม
“ไหนลองเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังอย่างละเอียดเลยนะ ชไนเดอร์”
คราวนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่คำพูดมันไหลพรั่งพรูออกจากปากของจิมมี่ได้อย่างลื่นไหล ชนิดที่เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ สาเหตุหนึ่งในนั้นเห็นจะไม่พ้นเจ้าดวงตาและน้ำเสียงน่ากลัว ๆ ของคนตรงหน้านั่น อย่างแน่นอน
“จะมาขอพบใครครับ”
เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าอยู่หน้าแผนกวิจัยฯ กล่าวถามขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมายืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่หน้าแผนก
“อะ…เอ่อ…ขอพบ คาโต้ เรนะ ครับ …คือ ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องเธอครับ”
“มีบัตรอนุญาตผ่านทาง จากหัวหน้าแผนกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีก็เข้าไปพบไม่ได้นะครับ”
เจ้าหน้าที่คนนั้นกล่าวต่อ ซึ่งยูยะก็สั่นหน้าปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงถามเด็กหนุ่มต่อ
“แล้วมีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะติดต่อเข้าไปยังแผนกให้”
“อะ…เอ่อ” มาถึงตอนนี้ ยูยะกลับนึกข้ออ้างไม่ออก ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังอึกอักอยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนทักอย่างร่าเริงดังมาจากด้านใน
“อ้าว! ยูยะคุงนี่นา เกิดอะไรขึ้นถึงมาที่นี่ได้ล่ะ!!”
ลี ชาง นั่นเอง เผอิญเขามีธุระผ่านมาพอดี จึงทำให้เจอกับเด็กหนุ่มโดยบังเอิญเช่นนี้
“อ้อ! เด็กนี่ คนรู้จักผมเอง ให้เข้ามาได้เลย” ชางหันไปบอกกับทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งพวกเขาก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ทั้งนี้เพราะนั่นเป็นคำสั่งโดยตรงของหัวหน้าแผนกวิจัยฯ แห่งอีเดนนั่นเอง
“ไง มาถึงที่นี่มีธุระอะไรอย่างนั้นเหรอ หรืออยากจะคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องมอร์เฟียซล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยแซว แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ขำแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับตีสีหน้าเคร่งขรึมเสียจนชายหนุ่มเป็นฝ่ายประหลาดใจเสียเอง
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือยูยะ” น้ำเสียงถามเป็นการเป็นงานขึ้น จึงทำให้ยูยะบอกสาเหตุที่มาที่นี่ให้อีกฝ่ายได้ทราบอย่างคร่าว ๆ
“โอ๊ย! ให้ตายสิ เป็นเรื่องจนได้หรือนี่!…นึกแล้วเชียว”
ยูยะมองไปทางชาง ด้วยสายตาค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ชายหนุ่มต้องหลบตาวูบทันที และแล้วเด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมเรนะถึงได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมอร์เฟียซ ได้รวดเร็วขนาดนั้น
“อย่าบอกนะครับว่า สาเหตุของเรื่องทั้งหมด มาจากที่ดอกเตอร์พลั้งปากไปบอกอะไรพี่เรนะเข้า”
คำถามตรงประเด็นทำให้ชางสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบมองซ้ายมองขวา และเมื่อเห็นเรนะเดินมา ชายหนุ่มก็รีบโยนเรื่องส่งต่อให้หญิงสาวทันที
“อ๊ะ!! นั่นไง คนที่เธออยากพบมานั่นแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ เฮ่อ! งานเยอะจริงจริ๊ง!!”
“เดี๋ยวครับดอกเตอร์!” ยูยะตะโกนไล่ตามหลัง คนที่รีบแผ่นแนบจากไปโดยเร็ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“อ้าวยูยะ มีอะไรงั้นเหรอ ถึงมาที่นี่ได้?” เรนะถามขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราวกับว่าหล่อนไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็รู้แต่แรกแล้วว่า เหตุผลที่เด็กหนุ่มมาหาหล่อนถึงแผนกวิจัยแห่งนี้ เนื่องมาจากสาเหตุใด
“พี่เรนะ! พี่ต้องการอะไรกันแน่!”
“ต้องการ? ต้องการอะไรงั้นเหรอยูยะคุง?” หญิงสาวยังคงถามด้วยสีหน้าสงสัย จนยูยะเริ่มชักจะหมดความอดทนเข้าทุกขณะ
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยนะ ผมรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว พี่ทำอย่างนั้นทำไมกัน!”
คราวนี้เรนะเปลี่ยนสีหน้าจากใสซื่อ กลับมาเป็นยิ้มเยือกเย็นอย่างน่ากลัว
“ก็ต้องการให้เธอเลิกกับเขาน่ะสิ …ยูยะ”
“ทะ…ทำไม” ยูยะถาม น้ำเสียงสั่น ๆ ก็สีหน้าและแววตาของเรนะแบบนี้ เขาสู้ไม่ได้มาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว
“เพราะฉันไม่อยากให้น้องชายที่น่ารักของฉัน หลงเดินทางผิดน่ะสิ หมอนั่นเป็นอาจารย์แท้ ๆ แต่กลับทำเรื่องอย่างนี้กับเด็กนักเรียนได้ ดูยังไง ๆ ก็ไม่ใช่คนที่เธอจะฝากอนาคตได้หรอกนะยูยะ”
“แต่ว่า!…” ยูยะเตรียมตั้งท่าที่จะเถียง หากแต่น้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่ขัดขึ้นมาเสียก่อนก็ทำให้การสนทนานั้นหยุดชะงักลงทันที
“ถ้าฉันลาออกจากการเป็นอาจารย์ของสถาบันนี้ เธอก็คงจะยอมรับฉันกับนาโอกิ ได้สินะ”
มอร์เฟียซที่เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อน ๆ ทั้งสามของเขา ทำให้เรนะลอบยิ้มนิด ๆ หากแต่ยูยะที่ฟังประโยคนั้น ถึงกับตะโกนห้ามออกมาอย่างตกใจ
“ไม่นะครับ! คุณจะลาออกไม่ได้นะ! ผมไม่ยอมให้คุณออกหรอก!”
หากแต่มอร์เฟียซกลับมองไปยังยูยะยิ้ม ๆ และหันมาทางเรนะ ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้า และแววตาหนักแน่น เอาจริง
“ว่ายังไงล่ะ ถ้าฉันยอมลาออก เธอคงยอมรับสินะ”
เรนะ ยักไหล่นิด ๆ ก่อนจะเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“แน่ใจหรือคะ อาจารย์คาเตอร์ งานนี้ไม่ใช่ใครนึกอยากเป็นก็เป็นกันได้นะ คุณจะเอาอนาคตมาทิ้งง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ …อีกอย่าง เด็กที่น่ารัก และมีความสามารถมากกว่ายูยะ ก็ยังมีอีกตั้งเยอะนะ”
มอร์เฟียซยอมรับว่า เมื่อฟังครั้งแรกเขารู้สึกฉุนมาก หากแต่ พอเห็นสีหน้าของหญิงสาวแล้ว เจ้าตัวก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังพูดยั่วให้เขาโมโห เขาจึงพยายามข่มอารมณ์สุดฤทธิ์ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“จริงอยู่ที่ฉันชอบความสามารถของนาโอกิในการเล่นดนตรี และหน้าตาของเขาก็น่ารักถูกใจฉัน … แต่ ถึงแม้จะมีใครที่เก่งกว่า ดีกว่านาโอกิ ฉันก็ไม่คิดจะสนใจอีกแล้ว …”
เจ้าตัวหันมาทางยูยะ พร้อมกับยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
“สำหรับฉันแล้ว ไม่ใช่นาโอกิ ไม่ได้ ….เขาคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันจะรักตลอดไป”
“…มอร์เฟียซ..” ยูยะเรียกชื่อชายหนุ่ม ด้วยเสียงสะอื้นนิด ๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความปลาบปลื้มใจที่สุด
…แปะ ๆ…
เสียงปรบมือดังขึ้นมาจากเรนะที่ยืนฟังอยู่ เจ้าตัวแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเดินผ่านคนทั้งคู่มาหาจิมมี่ที่ยืนฟังอยู่ด้วยความซาบซึ้งเช่นกัน
“เป็นอย่างที่เธอบอกฉันจริง ๆ จิมมี่ …ตกลงเอาเป็นว่าฉันยอมแพ้แล้วล่ะ”
“คุณยอมรับความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แล้วใช่ไหมครับ!” จิมมี่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“อืม … คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะ ก็เขารักกันเหลือเกินนี่นะ จะให้ฉันทำตัวเป็น นางอิจฉา ไปจับแยกพวกเขาอยู่ได้ยังไงกันล่ะจริงไหม”
เรนะพูดพลางหัวเราะเบา ๆ อย่างถูกใจ จิมมี่เองก็หัวเราะเช่นกัน หากแต่คนอื่น ๆ กลับมีสีหน้างง ๆ โดยเฉพาะยูยะ
“ฉันพนันกับจิมมี่ไว้” เรนะอธิบายเมื่อเห็นท่าทางสงสัยของลูกพี่ลูกน้อง
“ฉันอยากรู้ว่ารักที่พวกเธอมีให้กัน มันเป็นรักแท้ แน่หรือเปล่า แต่เห็นท่าทางไม่ลังเล ตอนที่เขาเลือกเธอมากกว่าความก้าวหน้าของตัวเองแล้ว บอกได้เลยว่าฉันประทับใจมาก”
เรนะกล่าวยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาลูบศีรษะยูยะอย่างเอ็นดู
“เธอได้รักแท้มาไว้ในมือแล้วนะ ยูยะ รักษาไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไปได้เสียล่ะ”
“…พี่เรนะ” ยูยะพึมพำเบา ๆ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับหงึก ๆ เท่านั้น
“ส่วนคุณ…” หญิงสาวหันมาทางมอร์เฟียซ เปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังแทน
“ถ้าทำให้ยูยะต้องเสียใจ ฉันไม่ยอมอภัยให้แน่ ๆ!”
“ฉันสัญญา” มอร์เฟียซรับคำสั้น ๆ ทว่า ทั้งแววตา และสีหน้า ที่จ้องตอบกลับมา ก็ทำให้เรนะยิ้มอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินจากไป โดยผ่านเด็ก ๆ สามคนซึ่งยืนอยู่แถวนั้น
“เฮ่อ….ของเล่นของฉัน โดนคนอื่นแย่งไปเสียแล้ว” หญิงสาวพึมพำเบา ๆ กับตัวเองอย่างเสียดาย หากแต่คำบ่นของเธอ กระทบเข้าหู จิมมี่ มิเชล และราฟาเอล เข้าอย่างจัง
เด็กทั้งสามกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอแทบพร้อมกัน และก็เป็นเคราะห์ดี หรือร้ายของจิมมี่ก็ไม่รู้ ที่ดันไปสบตากับเจ้าหล่อนพอดีตอนที่เดินผ่านตัวเขา
“อืม…ไม่สินะ…ยังไม่เลวร้ายนักหรอกน่า”
คำพูดพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ผุดขึ้นมาชั่วแวบหนึ่งให้เด็กหนุ่มผมแดงเห็นนั้น ทำเอาเจ้าตัวชักหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมาทันที หันไปมองเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ก็พากันส่ายหัวไปมา โดยเฉพาะยูยะ ที่เดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนสนิทเบา ๆ อย่างปลอบใจ
“เอาเถอะจิมมี่ ….อีกเดี๋ยวก็ชินไปเองนั่นล่ะ”
แล้วเจ้าตัวก็หันไปยิ้มให้กับชายคนรัก ซึ่งทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น ก็มองสบตากันไปมา ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาดัง ๆ พร้อมกัน ยกเว้นคนเพียงคนเดียว ที่ทำหน้าเหมือนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ ร้องไห้ก็ไม่เชิงอยู่เช่นนั้น
+++ End +++