The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)  (อ่าน 108275 ครั้ง)

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #90 เมื่อ02-07-2011 23:38:55 »

ยูยะน่ารักมากเลยค่ะ
คู่นี้อ่านทีไรไม่เคยผิดหวัง

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #91 เมื่อ03-07-2011 00:23:34 »

 :o8:

น่ารักเป้นบ้าาาาาเลย

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #92 เมื่อ03-07-2011 19:21:50 »

ขอโทษค่า~ แปะช้าไปนิด มาแปะต่อทีเดียว 2 ตอนเน้อ~


Special #7 : The Mafia Family



     ยูยะ ซึ่งกำลังนอนหลับซุกตัวอยู่ในผ้าห่มภายในห้อง  ของมอร์เฟียซ  คาเตอร์อย่างสบายใจ ต้องสะดุ้งตื่น  เมื่อเสียงโวยวายของชายหนุ่มคนรัก ดังขึ้นใกล้ ๆ

     “อะไรนะ! คริสต์มาสงั้นเหรอ! ทำไมผมต้องกลับบ้านในวันนั้นด้วย!”

     “ประสาท! ให้ตายผมก็ไม่กลับ วันอื่นมีตั้งหลายวันทำไมต้องเจาะจงเป็นวันนั้นวันเดียวล่ะ!!”

     ยูยะมองภาพตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ ไม่เคยเห็นมอร์เฟียซฉุนเฉียวอย่างนั้นมาก่อน เด็กหนุ่มจ้องมองอยู่เช่นนั้น จนกระทั่ง ชายหนุ่มหันกลับมาพอดี

     “อ๊ะ! นาโอกิ ตื่นแล้วเหรอ”

     “คะ…ครับ” ยูยะตอบเสียงเบา ๆ ด้วยสีหน้าหวั่น ๆ จนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

     “ขอโทษทีที่เสียงดังไปหน่อย” พูดแล้วชายหนุ่มก็เดินไปอีกห้อง เสียงโวยวายยังแว่วเข้ามาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเงียบไป และมอร์เฟียซก็โผล่เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “มีอะไรหรือเปล่าครับมอร์เฟียซ”

     ยูยะถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของเด็กหนุ่มคนรัก ก็ทำให้มอร์เฟียซยิ้มออกมาได้

     “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ปัญหาครอบครัวนิดหน่อย ….แต่ว่านะ นาโอกิ”

     เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากใจ ที่จะพูด จนยูยะต้องแตะแขนชายหนุ่มเบา ๆ พลางยิ้มส่งกำลังใจให้

     “มีอะไรหรือครับมอร์เฟียซ”

     “อืม…คือว่า คริสต์มาสที่เคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน คงจะต้องยกเลิกแล้วล่ะ”

     ยูยะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะเมื่อครู่ที่ฟังบทสนทนา ก็พอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว

     “ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่สำคัญเราก็เจอกันแทบทุกวันอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเที่ยวกันวันเดียวก็ไม่เป็นไร คุณกลับบ้านอย่างสบายใจเถอะครับ”

     ยูยะพูดพลางยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน จนมอร์เฟียซ อดดึงร่างเล็กตรงหน้า เข้ามากอดแน่นไม่ได้ ในเมื่อคนรักของเขาช่างน่ารัก และมีน้ำใจอย่างนี้ จะไม่ให้เขาทั้งรัก ทั้งหลงยังไงไหว

     “ถ้าอย่างนั้นไปบ้านฉันด้วยกันนะ นาโอกิ”

     ชายหนุ่มตัดสินใจพายูยะไปด้วยกันกับเขา โดยไม่สนเสียงคัดค้านของร่างเล็ก ๆ นั่นแม้แต่น้อย เพราะเจ้าตัวได้ตัดสินใจเอาเองแล้วว่า ควรจะเปิดเผยเรื่องของเขาและเด็กหนุ่ม ให้ทางบ้านรับรู้เสียที

     “ตะ..แต่ ถ้าพ่อ แม่คุณไม่พอใจขึ้นมา”

     ยูยะแย้งด้วยความกังวล ทว่า มอร์เฟียซไม่ใส่ใจ เขาลูบศีรษะเด็กหนุ่มเบา ๆ พลางเอ่ยอย่างปลอบโยน

     “ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนาโอกิ ฉันจะไม่ให้ใครมาวุ่นวาย และว่าเธอได้เด็ดขาด และถ้าพวกเขาโกรธ จนคิดจะตัดความสัมพันธ์กับฉัน…” คนพูดเงียบไปเหมือนกำลังจะครุ่นคิด ซึ่งยูยะเมื่อได้ฟังก็พลอยกังวลตามไปด้วย แต่แล้วรอยยิ้มที่ตามมา กลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกฉงน

     “นั่นสิ …ถ้าพวกนั้นโกรธจริง ๆ จนทำแบบนั้นมันจะดีแค่ไหนกันนะ”

     ว่าแล้วก็หยิบข้าวของออกจากตู้ แพ็คลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี ซึ่งพอหันมาเห็นยูยะยืนงง ๆ ชายหนุ่มก็ไล่ให้คนรักกลับไปจัดเสื้อผ้ามาโดยด่วนที่สุด

     “เราจะเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า ไปถึงก่อนหน้าวันคริสต์มาสหนึ่งวัน และถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด เราอาจจะได้กลับมาฉลองคริสต์มาสที่นี่ก็ได้”

     ยูยะจำต้องทำตามคำสั่งนั้นอย่างงงๆ แต่อีกใจก็ทั้งกังวล และตื่นเต้น ที่จะได้พบกับครอบครัวของคนรัก เพราะจากที่ฟังดอกเตอร์ลีเล่า ความสัมพันธ์ระหว่างมอร์เฟียซและครอบครัวดูท่าจะไม่ค่อยดีนัก ซึ่งยืนยันได้ดีจากบทสนทนาเมื่อเช้านี้

     “ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างนะ”

     เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่เดินกลับหอ หวังเพียงแต่ว่า เหตุการณ์ข้างหน้ามันคงจะไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก …



     วินาทีที่ยูยะ เหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินอังกฤษ เด็กหนุ่มก็ต้องตะลึง เมื่อมีชายใส่สูท สวมแว่นตาดำ ท่าทางคล้ายบอดี้การ์ดจำนวนกว่าสิบคน ยืนต้อนรับเขาและมอร์เฟียซอยู่ที่สนามบิน

     “ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับนายน้อย นายท่าน และนายหญิงให้พวกเรามารอรับท่านครับ”

     ชายหนุ่มทำสีหน้าเบื่อหน่ายสุด ๆ ก่อนจะส่งกระเป๋าทั้งของเขาและยูยะให้คนพวกนั้น และเดินตามไปขึ้นรถลีมูซีนสุดหรู ที่จอดรออยู่

     “อ้าว เป็นอะไรไปล่ะ ขึ้นมาสินาโอกิ”

     มอร์เฟียซทักยูยะซึ่งยืนตะลึงไม่กล้าตามขึ้นไปบนรถ และเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ เจ้าตัวก็จัดการฉุดอีกฝ่ายเข้ามา และจับให้นั่งบนตักเขา ชนิดที่บรรดาลูกน้องที่มารับ ต่างพากันกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัวไปตาม ๆ กัน

     “เดี๋ยวมอร์เฟียซ ….ให้ผมนั่งบนเบาะดีกว่านะครับ”

     ยูยะซึ่งบัดนี้หน้าแดงก่ำไปหมด พยายามลุกขึ้นจากตักของชายหนุ่ม ทว่า อีกฝ่ายกลับไปยอมปล่อย และโอบรัดเอวบางแน่นอยู่แบบนั้น

     “ทำไม ตักฉันมันนุ่มสู้เบาะรถไม่ได้หรือยังไง ถึงนั่งไม่ได้”

     “มะ…ไม่ใช่ แต่คุณจะหนักนะ” ยูยะพยายามอธิบายเหตุผลให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งก็แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่สนใจฟัง แต่เอนพิงไปกับพนักเบาะ และจับกดศีรษะของร่างเล็กให้ซบตามลงไปกับอกของเขาโดยไม่เกรงสายตาของคนอื่น ๆ ที่นั่งรถมาคันเดียวกัน

     มอร์เฟียซ มองร่างเล็ก ๆ บนตัก ซึ่งตอนนี้กำลังซุกหน้ากับอกของเขา ทั้งใบหน้า หู และลำคอ แดงก่ำไปหมดจนตัวเขาเองชักจะเริ่มอดใจไว้ไม่อยู่

     “นาโอกิ…จูบได้ไหม”

     ยูยะสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมอง ส่ายศีรษะปฏิเสธทันที

     “ไม่ได้ครับ!…อุ๊บ!”

     ริมฝีปากบางถูกปิดทับด้วยริมฝีปากหนาได้รูปของอีกฝ่าย ก่อนจะผละจากริมฝีปากไปซุกไซ้ตามซอกคอขาวเนียน จนเด็กหนุ่มสะท้าน

     “อา….มอร์เฟียซ…หยุดเถอะ”

     คนอื่น ๆ ทั้งคนขับ และคนติดตามอีก 2 – 3 คนที่นั่งมาด้วยกันภายในรถคันนั้น ต่างพากันนิ่งเงียบนั่งตัวตรงแข็งทื่อ ไม่มีใครสักคนกล้าปริปาก หรือแม้แต่จะกล้ามองคนทั้งคู่ ตรง ๆ มอร์เฟียซ หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะจับร่างเล็กวางข้าง ๆ ซึ่งเจ้าของร่างก็อ่อนระทวยไปหมด จนต้องซบพิงกับไหล่ของเขาหอบ ๆ

     “นอนไปก่อนก็ได้นะ นาโอกิ อีกสักพักนั่นล่ะ กว่าจะถึงบ้านฉัน”

     ยูยะปรายตามามองคนชอบแกล้งอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก แต่เมื่อสบกับนัยน์ตาเจ้าเล่ห์สีมรกตที่ยังคงแพรวพราวอยู่เช่นนั้น ก็ทำให้เขาต้องหลบสายตาวูบทันทีอย่างอาย ๆ

     “…นี่ยังดีนะ ที่ฉันยังเกรงใจอยู่ ถ้าไม่เกรงใจล่ะก็ จะจับเธอกดบนรถนี่ล่ะ…”

     มอร์เฟียซก้มลงกระซิบกับเด็กหนุ่มแผ่วเบา ทำเอาคนฟังสะดุ้งเฮือก พลางกระเถิบถอยหนีไปชิดกับอีกมุมหนึ่งของรถอย่างลืมตัว

     “หึ ๆ” ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางน่ารัก ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งยูยะก็สำนึกได้ทันทีว่า เขาถูกอาจารย์หนุ่มแกล้งเอาอีกแล้ว

     “คนบ้า!”

     ยูยะตวาดใส่อย่างงอน ๆ แม้จะคบกันแล้ว แต่มอร์เฟียซก็ยังไม่เลิกแหย่ เลิกแกล้งเขาสักที เด็กหนุ่มเมินใส่อีกฝ่ายไปตลอดทาง จนกระทั่ง รถยนต์ที่เขานั่งเลี้ยวเข้าสู่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งหนึ่ง



     พื้นที่อาณาเขตนับร้อย ๆ ไร่ ภายในคฤหาสน์แห่งนั้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่ก้าวลงจากรถ ถึงกับมองไปรอบ ๆ และอ้าปากค้างอย่างลืมตัว

     “เอ้า! เข้าบ้านกันเถอะนาโอกิ เธอพักห้องเดียวกันกับฉันนั่นล่ะ”

     มอร์เฟียซโอบบ่าร่างเล็กประคองเข้าไปด้วยกัน ท่ามกลางสายตานับสิบ ๆ คู่ ของบรรดาคนรับใช้ ที่ออกมาตั้งแถวต้อนรับ นายน้อย ของบ้าน

     “มะ…มอร์เฟียซ ผมเดินเองได้ครับ” ยูยะรู้สึกอึดอัดกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่น ๆ ที่มองมายังพวกเขา แต่ดูเหมือนมอร์เฟียซจะไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มพาเขาเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นเพื่อเรียกให้พวกเขาหยุด

     “กลับมาถึงบ้านทั้งที จะไม่แวะมาทักทายพ่อ กับแม่เลยหรือไง มอร์เฟียซ!”

     น้ำเสียงทรงอำนาจ ดังขึ้น ยูยะมองตามเสียงเรียกนั้นไปทันที ขณะที่มอร์เฟียซหันไปมองอย่างเซ็ง ๆ

     “สวัสดีครับพ่อ แม่”

     บอกแค่นั้นแล้วก็เตรียมจะไปต่อ ทำเอาชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับชายหนุ่มตวาดใส่ด้วยความโมโห

     “สวัสดีครับอะไรกัน เจ้าลูกบ้า! ร้อยวันพันปี ไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้าน กลับมาทั้งทีก็ทำเป็นไม่สนใจ อย่างนี้จะให้เรียกว่าลูกได้อีกหรือไงหา!!”

     ชายหนุ่มชะงัก และหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “ถ้าไม่อยากเรียกก็ไม่จำเป็นต้องเรียกก็ได้นี่ครับ ผมก็บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่า ไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่อีก พ่อก็พยายามจะบังคับให้ผมกลับมาอยู่ได้!”

     ยูยะซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางการสนทนาที่เคร่งเครียด มองคนโน้นที คนนี้ที ด้วยความหวั่นวิตก จนเสียงหวาน ๆ ของหญิงสาวหน้าตาสะสวย ดังขัดการสนทนาของพ่อลูกอารมณ์ร้อนทั้งคู่

     “พอ ๆ อะไรกันคะ อิริค มอร์เฟียซ มาทะเลาะกันต่อหน้าแขกตัวน้อย ๆ ของเราได้ยังไง ดูสิ ตัวสั่นกลัวไปหมดแล้ว”

     พูดพลางเดินเข้ามาหยุดยืนพิจารณาเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ ก่อนจะกล่าวทักทายเสียงหวาน

     “สวัสดีจ้ะหนูน้อย ฉันชื่อ มาเรีย เป็นแม่แท้ ๆ ของมอร์เฟียซเขา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”

     ยูยะอ้าปากค้างด้วยความตะลึง ก่อนจะสวนกลับไปอย่างลืมตัว

     “แม่งั้นเหรอ? ผมนึกว่าเป็นพี่สาวมอร์เฟียซเสียอีก อุ๊บ! ขอโทษครับ”

     มาเรียหัวเราะเบา ๆ อย่างชอบใจ รู้สึกถูกชะตากับเด็กตรงหน้าเข้าไปอีก

     “ต๊าย! ปากหวานเอาใจคนแก่จังนะจ๊ะ”

     “ใช่แก่! ปีนี้ก็ 45 แล้ว อย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกมันหลอกตาเอาสินาโอกิ!”

     มอร์เฟียซสำทับตามมาทันที ทำเอามาเรียตวัดสายตาคมกริบกลับไปยังลูกชาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

     “ถึงแม่จะแก่ แต่ก็ยังดีกว่าบางคนที่ริทำตัวเป็นโคแก่ ชอบกินหญ้าอ่อนนะจ๊ะ”

     ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก มองมารดาเขม็งทันที

     “อย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะ มอร์เฟียซ ว่าเด็กนี่เป็นอะไรกับลูก จะดูถูกข่าวสารของตระกูลคาเตอร์มากไปแล้วนะ”

     มอร์เฟียซยิ้มเครียด ๆ ก่อนจะยักไหล่ตามมาอย่างไม่ใส่ใจ

     “ก็แล้วไง บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าคิดขัดขวางผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด ถ้าอยากจะตัดขาดผมจากตระกูลก็เชิญตามสบาย ผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว!”

     ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาจากอิริค ซึ่งนิ่งฟังอยู่ได้สักพัก

     “หึ ๆ มอร์เฟียซ แกคิดหรือว่า พวกฉันจะบ้องตื้นหลงคารมแกง่าย ๆ แบบนั้น คิดจะตัดขาดจากตระกูลงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ แกต้องเป็นคนรับสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลคาเตอร์ และปกครองแก๊งค์ ต่อจากฉันอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ!”

     ยูยะยืนฟังอึ้ง ๆ ถ้าเขาแปลไม่ผิด อิริคพูดว่าให้มอร์เฟียซปกครองแก๊งค์ต่อจากตนเองใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น ที่บ้านของชายหนุ่มก็ต้องเป็น…

     “ต๊าย! ดูสิตัวสั่นเชียว ...มอร์เฟียซลูกไม่ได้บอกหนูน้อยนี่หรือว่า ตระกูลเราเป็นพวกมาเฟียน่ะ หือ”

     มาเรียแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวาน ๆ หากแต่นัยน์ตาประกายพราวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

     “มะ…มาเฟีย” ยูยะทวนคำเสียงสั่น สมองมันรับไม่ทันจริง ๆ กับเรื่องราวเหลือเชื่อที่ได้รับฟัง

     มอร์เฟียซมองคนรักของเขาอย่างเป็นกังวล ตลอดเวลาชายหนุ่มไม่เคยเล่าให้ยูยะฟังเลยเกี่ยวกับเรื่องทางบ้าน เพราะเขากลัวยูยะจะรับไม่ได้ และพอเห็นสภาพเช่นนี้ มอร์เฟียซเองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ยูยะจะมองเขาเป็นแบบไหนกันแน่

     “นาโอกิ…”

     “มอร์เฟียซ…” ยูยะเงยหน้ามองชายหนุ่ม เนื้อตัวสั่นเทานิด ๆ จนมอร์เฟียซใจหาย ทว่า…

     “เท่จังเลย! ทำไมคุณถึงไม่บอกผมเลยล่ะครับ ว่าบ้านคุณเป็นมาเฟีย!”

     ประโยคที่ถัดมาของเด็กหนุ่ม ทำเอาคนอื่น ๆ ในบ้าน อึ้งกันเป็นแถบ ๆ โดยเฉพาะ มอร์เฟียซ อิริค และมาเรีย

     “ผมชอบดูหนังเกี่ยวกับพวกมาเฟียมาก ๆ โดยเฉพาะเวลาฉากยิงปืน หรือขับรถไล่ยิงกัน มันทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดเสียวบอกไม่ถูก อีกอย่างพวกมาเฟียแต่ละคนก็เท่ ๆ ทั้งนั้นเลย!”

     มอร์เฟียซอึ้งไปสักพัก ไม่อยากจะเชื่อว่าคนรักตัวน้อยของเขาจะชอบอะไรแบบนี้ด้วย มันดูไม่ค่อยเข้ากับคนอ่อนโยน ที่รักเสียงดนตรีอย่างยูยะ เลยแม้แต่น้อย

     “แต่ว่าพวกมาเฟียมันไม่ใช่อย่างในหนังเสมอไปนะนาโอกิ บางพวกก็ค้าอาวุธ บางพวกก็ค้ายา บางพวกก็ฆ่าคนด้วยนะ”

     ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เพราะเขาเดาว่า ยูยะคงจะอ่อนต่อโลกมากเกินไป จึงทำให้มองอะไรในแง่ดีไปเสียหมด

     “พ่อค้าปลา ก็ขายปลา พ่อค้าผัก ก็ขายผัก มาเฟีย จะค้ายา ค้าอาวุธสงครามก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่ครับ”

     ยูยะบอกด้วยสีหน้าปกติ ทำเอามอร์เฟียซกลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ ขณะที่อิริคหัวเราะลั่นชอบใจ

     “ใช้ได้ ๆ เจ้าหนูนี่พูดถูกใจฉันจริง ๆ แหม น่าเสียดายนะที่เธอเป็นเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิง ฉันจับหมั้นและจัดพิธีแต่งงาน ให้กับเจ้าลูกชายไม่รักดีนี่ไปนานแล้ว!!”

     “โธ่ อิริคคะ ถึงเป็นผู้ชายก็รับเข้าตระกูลได้ เรื่องทายาทน่ะ หาใครเป็นก็ได้ แต่สะใภ้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันแบบนี้น่ะ หายากนะคะ”

     มาเรียรีบเสริม ซึ่งอิริคก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

     “ถ้ายังไงมาคุยกันหน่อยดีไหมจ๊ะ จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นยังไงล่ะ”

     มาเรียเชิญชวน แต่มอร์เฟียซรีบดึงร่างเล็กมาไว้กับตัวเขาทันที

     “พวกผมเดินทางมาเหนื่อย ๆ อยากพักผ่อนเต็มที่แล้วครับ คงต้องขอตัวด้วย”

     แล้วก็ไม่ต้องรอคำคัดค้านชายหนุ่มกึ่งลาก กึ่งจูง ยูยะขึ้นไปชั้นบน ที่ห้องพักของเขา ทันที ตามมาด้วยเสียงบ่นของอิริค และมาเรีย ไล่หลังมาติด ๆ


     มอร์เฟียซปิดประตูห้องดังปัง ดึงร่างของเด็กหนุ่มคนรักมาเผชิญหน้ากับเขา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     “เธอคิดอย่างที่พูดมาจริง ๆ น่ะหรือนาโอกิ ที่ว่าเห็นดีด้วยกับครอบครัวของฉันน่ะ!”

     “ก็อย่างนั้นน่ะสิครับ ผมไม่เห็นว่าทุกคนจะเลวร้ายตรงไหนเลย ทั้งคุณอิริค และคุณมาเรีย ก็เป็นคนดีด้วยกันทั้งคู่” ยูยะตอบยิ้ม ๆ อย่างจริงใจ

     “คนดีตรงไหนกัน?”

     มอร์เฟียซบ่นใส่ ทว่าคำพูดประโยคถัดมาของคนรักของเขา ก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปทันที

     “ก็ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนดี จะเลี้ยงคุณมาเป็นคนอ่อนโยน และน่ารักแบบนี้ได้ยังไงล่ะครับ”

     ยูยะตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะลูบใบหน้าคมเข้มนั้นเล่นอย่างรักใคร่

     “อีกอย่างถ้าไม่พูดแบบนั้น คิดหรือครับว่าคุณพ่อ และคุณแม่ของคุณจะยอมรับเรื่องของเราง่าย ๆ ผมว่านะ บทจะดื้อพวกเขาก็ดื้อเหมือนกับคุณนั่นแหล่ะครับ”

     ประโยคถัดมาทำให้มอร์เฟียซถอนหายใจเฮือกใหญ่ นิสัยเจ้าเล่ห์แบบนี้ ไม่รู้ว่ายูยะติดมาจากใคร สงสัยเขาคงปล่อยให้เด็กหนุ่มคลุกคลี กับเคธี่ และชางมากเกินไปเสียแล้ว

     “เจ้าเล่ห์แบบนี้ต้องโดนลงโทษรู้ไหม?” บอกแล้วก็จัดการอุ้มร่างเล็กไปวางบนเตียง โดยที่ยูยะยินยอมให้ชายหนุ่มพาไปแต่โดยดีอย่างไม่ขัดขืน เพราะต้องการที่จะเอาใจอีกฝ่ายให้อารมณ์ดีขึ้นนั่นเอง

     “แล้วจะอยู่ถึงวันคริสต์มาสไหมครับเนี่ย”

     ยูยะถามขัดขึ้นในขณะที่ชายหนุ่มโน้มใบหน้าจะก้มลงมาจูบเขา

     “ก็เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงจะต้องอยู่....” มอร์เฟียซตอบเซ็ง ๆ แต่ก็เริ่มเอะใจ ที่เห็นนัยน์ตาแวววาว ด้วยความชอบใจจากคนรัก

     “นาโอกิ...คงไม่ใช่ชอบมาเฟียจริง ๆ อย่างที่บอกไว้หรอกนะ”

     ยูยะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากชายหนุ่ม ก่อนจะรีบกล่าวปฏิเสธทันที

     “มะ...ไม่ครับ ไม่ได้ชอบจริง ๆ....”

     เจ้าตัวบอกพลางพยายามหลบตาสุดฤทธิ์ จนชายหนุ่มต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เห็นทีเขาคงจะต้องกันยูยะให้ออกห่างจากพ่อและแม่เขาให้มากที่สุดเสียแล้ว มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มคงหลวมตัวหลงคารม เข้ากลุ่มกับทั้งคู่แน่ ๆ ขนาดแค่พ่อและแม่รบเร้าให้เขาสืบทอดแก๊งค์ต่อ เขาก็จะปวดประสาทอยู่แล้ว ถ้าลองยูยะให้ความร่วมมืออีกคนมีหวังเขาคงจะดิ้นไม่หลุดคราวนี้แน่

     “ฉันนี่นะหนีเสือปะจระเข้ จริง ๆ เชียว”

     ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่ร่างเล็กข้างใต้หูผึ่ง

     “ว่าอะไรนะครับ!”

     มอร์เฟียซหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหนัก ๆ ที่กลีบปากบางนั้นแรง ๆ เป็นการแกล้ง

     “ใครจะว่าอะไรได้ ก็แค่อยากจะบอกว่า ฉันมันตกหลุมรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วน่ะสิ!”

     ชายหนุ่มบอกหลังจากถอนริมฝีปากออกมาแล้ว ทำเอาคนฟังที่ตั้งท่าจะหาเรื่องเล่นงานชะงัก ใบหน้ายามนี้แดงก่ำไปหมด

     “พูดอะไรก็ไม่รู้ บ้าจัง!”

     “หึ! ถึงจะบ้าก็บ้ารักเธอนั่นแหละ ยูยะ!”

     มอร์เฟียซบอกยิ้ม ๆ ในขณะที่คนฟังชะงักอ้าปากค้างที่ถูกอีกฝ่ายเรียกชื่อต้นให้ได้ยินเป็นครั้งแรก และก็ต้องเอ่ยประท้วงในลำคอ เมื่อถูกเริ่มต้นรุกจูบอีกหน ...

     “รักเธอนะยูยะ” คำสารภาพรักอ่อนโยนกระซิบแผ่วเบาข้างหู ยูยะน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าด้วยความปลาบปลื้ม กระซิบตอบกลับไปด้วยความอ่อนโยนไม่แพ้กัน

     “ผมก็รักคุณครับ มอร์เฟียซ ....รักคุณยิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น ....”

     แม้เรื่องวุ่น ๆ ในครอบครัวของเขาจะยังคงไม่จบ แต่มอร์เฟียซก็ไม่คิดจะไปสนใจกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ขอแค่วันนี้ เวลานี้ เขามีคนรักที่น่ารักของเขาอยู่เคียงข้างตลอดไป สำหรับเขา นั่นถือเป็นความสุขที่สุดในชีวิต ยามนี้แล้ว....



+++ END +++

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #93 เมื่อ03-07-2011 19:24:05 »

สำหรับตอน 8 นี้ ตัวละครบางตัวเป็นออริจินอลจากเรื่องอื่นของปัดค่ะ~ 
แต่บางคาแรกเตอร์เป็นแฟนฟิคที่นำมาเขียนจากการ์ตูนค่ะ


Special #8 : Holiday II


     ร่างสูงสง่า ของชายหนุ่มผมยาวสลวยสีทอง สวมแว่นตาดำ ที่บัดนี้กำลังยืนอยู่ ณ อาคารผู้โดยสารขาเข้า ของสนามบินนาริตะ  เจ้าตัวกำลังก้มดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างหงุดหงิด และเมื่อเห็นว่าร่างของคนที่ตนนัดไว้ กึ่งเดิน กึ่งวิ่งมาหา  ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อข่มอารมณ์สุดขีด

    “โทษที ๆ มอร์เฟียซ รถติดไปหน่อยน่ะ!”

    ชายหนุ่มผู้มาใหม่ รีบแก้ตัวก่อนทันทีที่อีกฝ่ายจะเอ่ยอะไรออกมา

    “นายทำให้ฉันคลาดกับยูยะแล้วนะ ยูโตะ!”

    มอร์เฟียซ บอกอย่างหงุดหงิด และเดินดุ่ม ๆ นำไป ซึ่งชายที่ชื่อว่ายูโตะ ก็เดินจ้ำอ้าวกวดตามชายหนุ่มไปอย่างว่องไว

    “โธ่เอ๊ย! ยังไงก็รู้จักบ้านเขาแล้วนี่นา  เดี๋ยวก็ตามไปที่บ้านเสียก็หมดเรื่อง!”

    ยูโตะ กล่าวพลางยักไหล่ ซึ่งก็ทำให้มอร์เฟียซใช้สายตาเย็นชาเหล่มามองเพื่อนสนิทแวบหนึ่ง แล้วจึงบ่นอะไรเบา ๆ กับตัวเอง ซึ่งคนถูกบ่นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียอย่างนั้น



    “แล้วทำไมต้องแอบตามมาอย่างนี้ด้วยล่ะ  น่าจะไปค้างที่บ้านของเขาเลยก็สิ้นเรื่อง”

    ยูโตะบอกในขณะกำลังขับรถพามอร์เฟียซ ไปที่บ้านของยูยะ

    “ไปให้พ่อแม่เขาช็อกตาย หรือไม่ก็หาอะไรมาตีหัวฉันงั้นหรือ?”

    มอร์เฟียซบอกอย่างเซ็ง ๆ ก่อนจะเอนกายพิงพนักอย่างเหนื่อยใจ

    “ใช่ว่าฉันไม่อยากแสดงตัวหรอกนะ แต่ยูยะน่ะสิห้ามเอาไว้ เขาบอกว่าจะหาเวลาพูดกับพ่อแม่ของตัวเองไม่วันใดก็วันหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องของเราสองคน”

     “เอาน่า มอร์เฟียซ ฉันว่ายังไงรักแท้ ก็ต้องชนะอุปสรรคว่ะ!”

    ยูโตะปลอบใจเพื่อนสนิท ซึ่งมอร์เฟียซก็ยิ้มน้อย ๆ แทนการขอบคุณ



     แต่แล้ว เมื่อไปถึงยังบ้านของยูยะ   มอร์เฟียซก็ต้องตกตะลึงอยู่กับที่ แม้กระทั่งยูโตะเองยังแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาด ๆ 

     ทั้งนี้ เพราะภาพของเด็กหนุ่ม ที่กำลังยืนพูดคุยสนิทสนม โอบกอดเอว อยู่ตรงสวนในบ้าน กับชายแปลกหน้าที่มอร์เฟียซไม่เคยรู้จัก  รอยยิ้มหวาน ๆ ที่มีให้เฉพาะเขา แต่ยามนี้กลับมีให้กับคนอื่น  มองแล้วมันช่างแสนบาดหัวใจยิ่งนัก  ถ้าไม่ติดว่าเขาแอบตามมาโดยไม่อยากให้ยูยะรู้ตัวแล้วล่ะก็ ชายหนุ่ม คงจะเข้าไปกระชากร่างเล็กออกมา และชกหน้าผู้ชายคนนั้นเสียแล้วก็ได้ …

     “ใจเย็น ๆ น่ามอร์เฟียซ อาจจะเป็นญาติกันเฉย ๆ ก็ได้ ....เอ่อ ว่าแต่ผู้ชายคนนั้น ถ้าจำไม่ผิด น่าจะใช่เขานะ...”

    ยูโตะเพ่งมองผ่านรั้วไม้ระแนง ไปตรงสวนในบ้าน  เพราะว่าพวกเขาแอบดูอยู่ห่าง ๆ ทำให้เห็นหน้าคนในนั้นไม่ชัดเจนนัก

    “ใครกัน! หมอนั่น! นายรู้จักใช่ไหม?!”

    มอร์เฟียซกระชากคอเสื้อเพื่อนคาดคั้นถามอย่างลืมตัว ซึ่งยูโตะก็ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะผลักอกชายหนุ่มออกไปแรง ๆ เพื่อเตือนสติ

    “ไอ้บ้า! จะฆ่ากันหรือไงวะ!”

     “แล้วใครล่ะ!” มอร์เฟียซถามต่อ แต่อารมณ์หงุดหงิดลดลงมาบ้างแล้ว ยูโตะสั่นศีรษะไปมาก่อนตอบเพื่อนสนิทเสียงห้วน

    “คนที่ฉันไม่อยากยุ่งด้วย ถ้าไม่จำเป็น!  มุราคามิ  ริวยะ  ยังไงล่ะ!”



     มอร์เฟียซนั่งตีหน้าบึ้ง อยู่ภายในแมนชั่นของฮานามูระ  ยูโตะ  ทั้งนี้ เพราะชายหนุ่มเป็นคนลากเขากลับมา ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าอีกฝ่ายคือ มุราคามิ  ริวยะ   มอร์เฟียซ ก็ไม่สมควร โผล่พรวดออกไปหาเรื่อง โดยไม่ได้เตรียมแผนการรับมืออะไรไว้ก่อน

    “กับแค่ยากูซ่าญี่ปุ่นธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ทำไมคนอย่างฉันต้องกลัวมันด้วยวะ!”

    มอร์เฟียซบอก อย่างหงุดหงิด  ซึ่งยูโตะก็ชำเลืองมองเพื่อนของตนแวบหนึ่งก่อนย้อนถาม

    “ก็อย่างฉัน นายคิดว่าน่าจะมีอิทธิพลพอตัวไหมล่ะ?”

    มอร์เฟียซมองเพื่อนของเขาซึ่งประกอบธุรกิจส่งออกใหญ่โต ก่อนจะตอบสั้น ๆ ด้วยความรำคาญ

    “เออ! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเล่า!”

     “ก็ไม่อะไรหรอก  แค่อยากบอกว่า ถึงจะเป็นฉัน ก็ยังไม่อยากเสี่ยงกับหมอนั่นเลยยังไงล่ะ!”

    มอร์เฟียซถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลองยูโตะพูดออกมาอย่างนี้ ก็แสดงว่า ผู้ชายที่ชื่อมุราคามิ ริวยะ คงจะร้ายพอตัว  แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่า คน ๆ นั้นมาเกี่ยวข้องกับยูยะของเขาได้เช่นไร

    “ลองขอแรงริวอิจิช่วยดูไหม?”  ยูโตะเสนอความเห็น ขณะที่มอร์เฟียซกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

    “หือ? ริวอิจิน่ะเหรอ? หมอนั่นไม่อยู่ญี่ปุ่นตอนนี้หรอก!”

    มอร์เฟียซบอกอย่างเซ็ง ๆ ซึ่งก็ทำให้ยูโตะเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

    “ไม่อยู่? ไปไหนล่ะ จริงสิ จะว่าไปช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้ข่าวหมอนั่นเท่าไหร่เหมือนกันนี่นา”

    ยูโตะกล่าวเปรย ๆ ถึงเพื่อนสมัยเรียนร่วมรุ่นกันมาอย่าง อาซามิ ริวอิจิ   เมื่อได้ยินดังนั้น มอร์เฟียซ จึงเฉลยสาเหตุให้ชายหนุ่มได้ฟัง

    “ฉันโทรไปหาหมอนั่น ก่อนจะมาหานาย เลยรู้ว่า เขาไปฮ่องกง รู้สึกว่าคนสำคัญจะโดนใครไม่รู้จับตัวไปล่ะมั้ง หมอนั่นก็ไม่ค่อยได้บอกรายละเอียดสักเท่าไหร่หรอก นายก็น่าจะรู้นิสัยหมอนั่นดีนี่ ปากหนักจะตาย คิดอะไรอยู่ก็ไม่มีใครรู้”

    “แต่ทำให้หมอนั่นเคลื่อนไหวได้แบบนี้ ก็คงจะเป็นคนสำคัญมากพอดูเชียวล่ะ”

    ยูโตะพูดขึ้นมาบ้าง ซึ่งมอร์เฟียซก็พยักหน้าเห็นด้วย

    “อืม ฉันก็ว่าอย่างนั้น จะว่าไปก็อยากเจอสักครั้ง คนที่ทำให้คนเย็นชาอย่างหมอนั่น ร้อนรุ่มได้ถึงขนาดนี้”

    “ว่าแต่กลับมาเรื่องของนายเถอะ ตกลงจะเอายังไง”

    ยูโตะวกกลับมาเรื่องยูยะอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มอร์เฟียซนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    “ฉันจะไปหายูยะที่บ้าน ไปถามให้รู้เรื่องเลยว่า เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายที่ชื่อริวยะกันแน่!”

    ยูโตะฟังแล้วก็ถอนหายใจยาว แต่ก็ยังยิ้มขึ้นได้

    “ก็สมกับเป็นตัวนายนั่นล่ะนะ เอาเถอะยังไงฉันจะไปเป็นเพื่อน เผื่อเจอหมอนั่นอีก ยังไงคนในแวดวงธุรกิจเหมือนกัน ก็น่าจะเกรงใจกันบ้าง”

    “อืม ขอบใจนะ”

    มอร์เฟียซยิ้มรับน้ำใจของเพื่อน และคิดถึงว่าหากไปเจอยูยะอยู่กับชายคนนั้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเขาจะทนทำใจเย็นเข้าไปถามได้หรือไม่



     ยูยะนั่งจามติด ๆ กันหลายครั้ง จนทำให้ มุราคามิ  ริวยะ ยิ้มน้อย ๆ ให้ด้วยความเอ็นดู

    “โดนใครนินทาล่ะสิ ยูยะ  ดูท่าอยู่ที่อีเดนโน่น คงทำตัวไม่ดีไว้มากใช่ไหม?”

    เด็กหนุ่มสะดุ้ง ก่อนจะค้อนขวับให้อีกฝ่ายทันทีด้วยความงอน

    “ฮึ! ผมอยู่ที่อีเดนเป็นเด็กดีจะตาย ไม่เหมือนพี่หรอก อยู่ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องกับเขาได้ทุกวัน”

    “ใครบอกเธอล่ะ ว่าพี่ชอบมีเรื่องกับชาวบ้านเขา?”  ริวยะย้อนถามด้วยความเอ็นดู ไม่นึกโกรธญาติผู้น้องตรงหน้าแม้แต่น้อย

    “ก็พี่ริวจิ กับ คุณลุงเซอิจิน่ะสิครับ”

    ยูยะลอยหน้าตอบ ซึ่งก็ทำให้ริวยะส่งยิ้มให้ แต่ในใจแอบแค้นคนที่คาบข่าวไร้สาระมาบอกเรียบร้อย

    “อ้อ! เห็นพี่ริวจิ บอกว่า พี่ริวยะเตรียมว่าที่พี่สะใภ้ไว้เรียบร้อยแล้วนี่ครับ ผมอยากเจอจังเลย พี่พามาหาที่บ้านนี่ได้ไหม หรือจะให้ผมไปหาที่บ้านพี่ก็ได้นะ!”

    จู่ ๆ ยูยะก็เปลี่ยนเรื่อง แถมเรื่องดังกล่าว ก็ทำให้คนที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่ม แทบจะสำลักพรวด ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อนึกถึงหน้าเจ้าน้องชายตัวแสบ

    “ไอ้น้องบ้านั่น บอกเรื่องนั้นด้วยหรือไง!”

    “ทำไมล่ะครับ? เรื่องพี่มีแฟนนี่มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือครับ?”

    ยูยะถามด้วยความสงสัย ซึ่งแววตาจริงใจที่มองมา ทำให้ ริวยะ พอจะคาดเดาได้ว่า ริวจิยังคงบอกออกไปไม่หมด ว่า ‘คนรัก’ ของเขา คือใคร

    “มันก็ไม่ใช่ไม่ดี....แต่ ยูยะจะรับได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”

    “ทำไมล่ะครับ แฟนพี่เป็นใครหรือครับ”

    ยูยะซักไซ้ต่อ ซึ่งก็ทำให้ริวยะลังเลว่าจะพูดดีหรือเปล่า

    “เอ่อ...คือ เขา อายุประมาณยูยะนั่นล่ะ…”

    ชายหนุ่มตอบอ้ำอึ้ง แต่ก็ทำให้ยูยะผงกศีรษะรับรู้ โดยเดาไปอีกความหมายหนึ่ง

    “สมัยนี้อายุน้อยกว่า ก็ไม่เห็นแปลกนี่ครับ อีกอย่างพี่ริวยะก็ยังไม่แก่สักหน่อย ทีคู่ของพี่ริวจิ กับสึมิเระจัง ยังห่างกันตั้งหลายปี”

    “เอ่อ...แล้วไม่ใช่แค่อายุห่าง คือ เขา....”

    ริวยะค้างไว้แค่นั้น เพราะจู่ ๆ หญิงสาวมีอายุ แต่หน้าตาสะสวย ก็โผล่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

    “ขอโทษที่ขัดจังหวะนะจ๊ะ  แต่มีคนอยากพบยูยะน่ะจ้ะ”

    “พบผม??”  ยูยะทวนคำด้วยความงุนงง

    “ถ้าอย่างนั้นผมว่าผมกลับก่อนดีกว่าไหมครับ คุณน้า”

    ริวยะเตรียมจะลุกขึ้นลา แต่ยูคาริ แม่ของยูยะรีบห้ามไว้ก่อน

    “เดี๋ยวก่อนสิริวยะ อย่าเพิ่งรีบกลับ วันนี้น้าอุตสาห์ทำอาหารเย็นที่เธอชอบไว้ด้วยนะ ไหนสัญญาไว้ว่าเย็นนี้จะอยู่ทานข้าวด้วยกันไงล่ะ”

    “แต่ยูยะมีแขก…”  ริวยะแย้งเบา ๆ ซึ่งยูคาริ ก็ยิ้ม พลางเดินไปดันร่างให้หลานชายแท้ ๆ ของตนนั่งลงรอที่โซฟาเหมือนเดิม

    “ไม่ใช่แขกอะไรหรอก อาจารย์ที่สถาบันเขาน่ะ  คงจะมาเยี่ยมบ้านนักเรียนนั่นล่ะ ดังนั้นพวกเราที่เป็นญาติ ก็น่าจะอยู่ฟังความประพฤติของยูยะด้วยกันจริงไหม??”

    ยูคาริบอกยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้ริวยะสนใจ และยอมอยู่ต่อ แต่ตัวคนที่จะถูกเยี่ยมเองถึงกับตกตะลึง สมองคิดไปถึงคนคนหนึ่งทันที

    ‘…บ้าน่า เขาน่ะหรือจะตามมาถึงบ้านเรา...ไม่น่าจะ...แต่ว่า ก็ไม่น่าจะใช่คนอื่น...’

    “อาจารย์คาเตอร์คะ เชิญค่ะ”

    พอสิ้นเสียงยูคาริ ยูยะก็ถึงกับนั่งอึ้ง เพราะดันเดาได้ถูกเผง ซึ่งพอเห็นหน้าชายคนรักเดินเข้ามา เจ้าตัวก็ยิ้มหน้าซีด ๆ รับทันที

    “สวัสดีนาโอกิ  แล้วก็....”

    สายตาคมกริบ เย็นชาปราดไปยังแขกที่นั่งอยู่ก่อนหน้าตนมาถึง พร้อมกับคำทักทายที่เป็นภาษาญี่ปุ่นชัดเจน โดยที่เจ้าตัวพยายามสงบสติอารมณ์ให้เยือกเย็นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทั้งนี้สายตาที่แสดงออกมา ก็ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามจับพิรุธได้อยู่ดี

    “มุราคามิ  ริวยะ ญาติผู้พี่ของ ยูยะครับ”

    ริวยะแนะนำตัว พลางยื่นมือออกมาสัมผัส ซึ่งอาจารย์หนุ่มแห่งอีเดน ก็สัมผัสมืออีกฝ่ายเช่นกัน

    “ญาติหรือครับ?”  น้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจย้อนถาม ซึ่งก็สร้างความประหลาดใจเล็กน้อยให้กับอีกฝ่าย

     “ครับ”

    มอร์เฟียซพอได้ฟังก็ส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม บรรยากาศเคร่งเครียดเมื่อสักครู่หายวับไปในพริบตา ทำเอา ยูโตะเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    “คุณฮานามูระ ใช่ไหมครับ?”

    คราวนี้ริวยะหันมาทางยูโตะ ซึ่งสะดุ้งโหยงทันที

    “ครับ คือผมเป็นเพื่อนกับหมอนี่ เลยอาสาเป็นไกด์นำทัวร์ตลอดที่หมอนี่อยู่ญี่ปุ่นน่ะครับ”

    ยูโตะรีบอธิบาย ซึ่งริวยะก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันมาคุยกับมอร์เฟียซต่อ

    “ว่าแต่อาจารย์คาเตอร์นี่ดีจังนะครับ มาเยี่ยมบ้านลูกศิษย์ถึงต่างประเทศเชียว แล้วเวลาอยู่โรงเรียนยูยะเกเรบ้างไหมครับ?”

    มอร์เฟียซชำเลืองตามามองยูยะซึ่งนั่งตีสีหน้าลำบากใจ   แล้วก็เผลอนึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    “ก็มีบ้างน่ะครับ มีเรื่องที่ต้องทำให้หักคะแนนพฤติกรรมกันบ่อยเชียว!”

    ยูยะสะดุ้งโหยง มองชายคนรักอย่างตกใจ ปากอ้าพะงาบ ๆ อยากอธิบาย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

    “ขนาดนั้นเลยหรือครับ?”  ริวยะถามด้วยความแปลกใจ ส่วนยูคาริผู้เป็นมารดา ก็ส่งยิ้มหวานให้ลูกชาย แต่นัยน์ตาวาววับอย่างเอาเรื่อง

    “ก็ประมาณนั้นล่ะครับ  แต่ว่า ถ้าพูดถึงมนุษยสัมพันธ์ในการเข้าสังคม เขาทำได้ดีทีเดียว นาโอกิ เป็นที่รักของเพื่อนในห้อง และหลายคนในโรงเรียน  รวมไปถึงบรรดาอาจารย์ด้วยครับ”

    มอร์เฟียซพูดต่อ ซึ่งคราวนี้ก็ทำให้ยูยะโล่งอก ในขณะที่ริวยะเองกลับลอบสังเกตสายตาอ่อนโยนของผู้พูดที่ส่งมาให้ญาติผู้น้องของเขาเป็นระยะ …แล้วจึงปรากฏรอยแย้มยิ้มบาง ๆ ที่ริมฝีปากได้รูปนั้น

     “งั้นหรือครับ”  บอกได้แค่นั้น จู่ ๆ ก็โอบไหล่ของเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ตัว และจูบศีรษะของอีกฝ่ายเบา ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ฝ่ายตรงข้าม

    “ยูยะเขาก็น่ารักแบบนี้ล่ะครับ เข้ากับคนง่าย ใคร ๆ ก็เลยรัก”

    มอร์เฟียซแทบจะกระโจนไปต่อยหน้าอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่ก็พยายามเก็บท่าทีอย่างเต็มความสามารถ เพราะพอจะรู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายกำลังยั่วโมโหเขาอยู่

    “ใช่ครับ...ใคร ๆ ก็รัก”

    บอกพร้อมกับใช้นัยน์ตาสีเขียวคมกริบ จับจ้องไปยังเด็กหนุ่ม ที่นั่งอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้จะรับมือกับเรื่องตรงหน้ายังไงดี

    “แหม ๆ ขอบคุณอาจารย์จริง ๆ นะคะ ที่อุตสาห์มาเยี่ยมเยียนกันแบบนี้ ถ้ายังไงเย็นนี้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ”

    ยูคาริซึ่งไม่ได้รับรู้ถึงการลองเชิงของสองหนุ่มเอ่ยชวนขึ้นอย่างอารมณ์ดี เนื่องจากลูกชายคนเดียวได้รับคำชมจากอาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนเช่นนี้

     “ขอบคุณครับ ผมชอบทานอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว และอีกอย่าง นาโอกิ เคยบอกผมว่า คุณแม่ทำอาหารอร่อยมาก ยังไงวันนี้ผมคงต้องขอชิมเสียแล้วล่ะครับ”

    ยูยะกลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ  ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า มอร์เฟียซ กำลังโกรธ และเขาก็ไม่แน่ใจแล้วสิว่า ญาติผู้พี่จะจับพิรุธเรื่องของพวกเขาได้มากแค่ไหนแล้ว

    ฝ่ายริวยะซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า เขาเดาได้ว่า ความสัมพันธ์ของอาจารย์ผู้นี้กับญาติผู้น้องของเขา คงจะไม่ใช่ แค่ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ธรรมดาเสียแล้ว สังเกตแววตาคู่นั้นก็พอจะรู้ เขาเองเวลามองเด็กหนุ่มคนรัก ก็คงใช้สายตาที่แทบจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นักหรอก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2011 19:33:09 โดย Xenon »

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #6 : Holiday / I (1 ก.ค. 54)
«ตอบ #94 เมื่อ03-07-2011 19:32:16 »





“หมอนั่นรู้ว่าฉันเป็นอะไรกับยูยะล่ะสิ เลยคิดยั่วโมโหเอาแบบนั้น”

มอร์เฟียซบ่นกับยูโตะ หลังจากที่ทั้งคู่ออกมาเดินเล่นในสวนหน้าบ้าน ตามลำพัง

“แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ” ยูโตะถาม เมื่อพอจะเดาได้ว่าเพื่อนคงยังไม่ยอมถอยกลับง่าย ๆ แน่

“ก็จะดูท่าทีไปก่อน อยากรู้เหมือนกันว่าจะมาไม้ไหน อีกอย่างถึงเป็นญาติก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี!”

“ไอ้เจ้านิสัยขี้หึงไม่เลือกน่ะ เมื่อไหร่จะเลิกสักที” ยูโตะบ่นอย่างเซ็ง ๆ ซึ่งริวยะก็เหลือบมองเพื่อนสนิท ก่อนจะเปรยออกมา อย่างไม่สบอารมณ์

“คนที่ไม่มีคนสำคัญบ้าง ยังไงมันก็ไม่เข้าใจหรอก”

“เออ ๆ มีแล้วต้องวุ่นวายแบบนี้ ฉันก็ยังไม่อยากมีหรอกน่า อยู่เป็นโสดแบบนี้ล่ะดีแล้ว” ยูโตะตอบพลางยักไหล่ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อร่างสูงของใครคนหนึ่ง ก้าวเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

“ขออนุญาตพูดธุระอะไรบางอย่างกับอาจารย์คาเตอร์ตามลำพังได้ไหมครับ”

ยูโตะยิ้มแห้ง ๆ เพราะถึงจะขออนุญาตอย่างสุภาพ แต่กระแสเสียงนั้นก็แฝงแววบังคับอยู่กลาย ๆ

“เชิญครับ ตามสบาย”

บอกแล้วสั่นศีรษะเบา ๆ อย่างนึกระอา กับเจ้าความรักที่แสนจะน่าปวดหัวของเพื่อนสนิทของตน



เมื่อลับร่างของยูโตะไปแล้ว ริวยะก็หันมาเผชิญหน้ากับมอร์เฟียซ พลางยิ้มให้น้อย ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่นยิ้มตอบให้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“ผมอยากพูดเรื่องของยูยะ”

“เกี่ยวกับเรื่องไหนมิทราบล่ะครับ” มอร์เฟียซย้อนถาม

“หึ! คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ผมหมายถึงเรื่องความสัมพันธ์ของคุณ กับญาติผู้น้องของผม”

เมื่อริวยะพูดตรง ๆ ออกมา มอร์เฟียซก็เงียบไปสักครู่ ก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสนจะจริงจัง

“ถึงยังไงผมก็ไม่มีวันยกเด็กนั่นให้ใครเด็ดขาด และจะไม่มีวันเลิกยุ่งกับเขาด้วย ไม่ว่าใครหน้าไหนจะคัดค้านก็ตาม!”

ริวยะหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อเรื่องเป็นไปอย่างที่คิดไว้ เขาเองก็ไม่ได้คิดรังเกียจอะไร หากคนที่ยูยะรักจะเป็นผู้ชาย แถมผู้ชายตรงหน้านี้ ริวยะเชื่อมั่นว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มก็ต้องช่วยปกป้องยูยะไม่ให้ได้รับอันตรายใด ๆ แน่นอน

“สำหรับผม การตัดสินใจของยูยะถือว่าสำคัญที่สุด” ริวยะบอกยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินผ่านชายหนุ่มกลับเข้าห้องรับแขกของบ้าน ซึ่งเขาก็กระซิบอะไรบางอย่างกับมอร์เฟียซประโยคหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับถอนหายใจยาว ก่อนจะยิ้มกับตัวเองคนเดียวในเวลาต่อมา



พอถึงมื้อเย็น ยูยะรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เมื่อเห็นท่าทีของชายคนรักเปลี่ยนไป เจ้าตัวพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับญาติผู้พี่ของเขาอย่างถูกคอ ซึ่งนั่นก็สร้างความโล่งอกให้กับเด็กหนุ่ม และยูโตะยิ่งนัก

“ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปนัก ผมอยากให้นาโอกิ ช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวโตเกียวสักวันได้ไหมครับ เพราะพรุ่งนี้ยูโตะติดธุระด่วนพอดี”

มอร์เฟียซบอกกับยูคาริหลังทานอาหารเย็นเรียบร้อย โดยที่ยูโตะได้แต่ยิ้มให้แห้ง ๆ เพราะเขาจำไม่ได้เลยว่า ตนมีธุระด่วนในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“แหม~ ได้สิคะอาจารย์คาเตอร์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง จริงไหมยูยะ?”

ยูคาริยิ้มตอบรับอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่ยูยะก็ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ เพราะรู้ดีว่าคนรักนั้นจงใจ

“ความจริงถ้าไม่รังเกียจ ผมยินดีพาอาจารย์คาเตอร์เที่ยวแทนได้นะครับ”

ริวยะกล่าวแทรก พร้อมกับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ชายหนุ่มที่มีสีหน้าเครียดลง แต่แล้วก็แทบสะดุ้งที่จู่ ๆ ยูยะก็ขัดขึ้นมา

“ดีสิครับ พา ‘ยูคิจัง’ มาด้วยก็ดีนะครับ”

“เอ๋? ยูคิจัง น่ะใครหรือจ๊ะ ยูยะ”

ยูคาริถามด้วยความสงสัย แต่ก่อนที่ริวยะจะชิงอธิบาย ยูยะก็รีบแย่งพูดเสียก่อน

“ก็ว่าที่พี่สะใภ้ผมไงครับแม่ พี่ริวจิเขายืนยันเลยนะว่าคนนี้น่ะตัวจริง”

ริวยะกุมขมับ ขืนพายูคิมาโชว์ตัว มีหวังยูคาริต้องลมใส่แน่ ๆ ถึงบางทียูยะอาจจะรับได้ก็เถอะ

“เอ่อ ขอโทษทียูยะ พอดีพี่นึกได้ว่ามีธุระด่วนพอดีในวันพรุ่งนี้ คงพาอาจารย์คาเตอร์ไปเที่ยวไม่ได้แล้วล่ะ อ๊ะ จริงสิ วันนี้รู้สึกอากิระบอกว่าจะมีงานด่วนให้เข้าไปเคลียร์นี่นา ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนดีกว่าครับคุณน้า ลาล่ะครับ อาจารย์คาเตอร์ คุณฮานามูระ”

แล้วเจ้าตัวก็เดินจ้ำอ้าว ๆ จากไป ทำเอาคนแถวนั้นยืนอึ้งไปตาม ๆ กัน และเสียงถอนหายใจของยูยะก็ดังขึ้น

“อีกแล้ว! เรื่องชอบเลี่ยงนี่เก่งเป็นที่หนึ่งเลยนะ!”

เด็กหนุ่มบ่น ในขณะที่ มอร์เฟียซซึ่งยืนฟังอยู่อมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนนึกถึงประโยคคำพูดที่ริวยะกระซิบกับเขาในสวน

‘ผมเองก็มีคนรักแล้ว …น่ารักพอ ๆ กับของคุณนั่นล่ะ...’



เช้าวันรุ่งขึ้นมอร์เฟียซขับรถมารอยูยะตั้งแต่หกโมงเช้า แถมยังขออนุญาตยูคาริ ขึ้นมาปลุกเด็กหนุ่มเองอีก เล่นเอายูยะแทบตกใจตายตอนที่ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าชายคนรัก

“ความจริงรออยู่ข้างล่าง แล้วให้แม่ขึ้นมาบอกผมก็ได้นี่ครับ”

ยูยะบอกขณะที่กำลังหยิบเสื้อผ้าเพื่อไปผลัดเปลี่ยนในห้องน้ำ ซึ่งร่างสูงที่ยึดเตียงของเด็กหนุ่มเป็นที่พักผ่อน ก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนแกล้งหยอกอีกฝ่ายเล่น

“ก็อยากเห็นหน้าเธอตอนหลับนี่นา ว่าแต่ ต้องให้ไปช่วยอาบให้ด้วยไหม?”

ยูยะสะดุ้งก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุ ๆ แต่ใบหน้าหวาน ๆ นั้นแดงระเรื่อ

“ไม่ต้องครับ!”

ยูยะตอบเสียงแข็ง ก่อนจะเดินเข้าห้องอาบน้ำส่วนตัวซึ่งตั้งอยู่ภายในห้อง แต่แล้วก็แทบจะสะดุดล้มหัวคะมำตรงหน้าประตูด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินประโยคถัดมาของชายหนุ่ม

“ จริงสิ ถ้าฉันขอร้องแม่เธอว่าขอค้างด้วยคืนนี้ เธอคิดว่าคุณแม่ของเธอจะอนุญาตให้ฉันค้างห้องเดียวกับเธอไหม?”

“ไม่มีทางหรอกครับ!” ยูยะตะโกนด้วยใบหน้าแดงหนักกว่าเดิม และปิดประตูดังโครมทันที ซึ่งมอร์เฟียซซึ่งอยู่ข้างนอก ก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ด้วยความเอ็นดูเด็กหนุ่มคนรักยิ่งนัก



.... บ้า ๆ แต่ไหนแต่ไรเรื่องเอาแต่ใจนี่ไม่เคยเปลี่ยนสักที ฮึ ขอค้างงั้นหรือ อยากให้เรื่องแตกก็เอาสิ! ที่สำคัญคุณน่ะหรือจะกล้าให้คนอื่นรู้เรื่องของตัวเองแบบนั้น มันเสี่ยงกับชื่อเสียง และหน้าตา ของคุณจะตายไป ...

คิดได้ดังนั้นใบหน้าหวานก็สลดลงทันที

.... ถึงผมจะเป็นฝ่ายบอกคุณให้รอจนกว่าจะถึงเวลา แต่ความจริง ผมก็อยากให้เรื่องของเราเป็นที่รับรู้นะครับ มอร์เฟียซ แต่ผมกลัว ...กลัวว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้ว คุณนั่นล่ะ จะเป็นฝ่ายยอมรับไม่ได้ และทิ้งผมไปในที่สุด ...

ยิ่งคิด ยูยะก็ยิ่งรู้สึกปวดใจจี๊ดขึ้นมา เด็กหนุ่มเปิดน้ำฝักบัว ทิ้งไว้ ปล่อยให้มันราดลดศีรษะของตน เพื่อให้ชะล้างความไม่สบายใจที่ก่อตัวขึ้นลงไปเสีย แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้มันจะไร้ประโยชน์ก็ตาม



มอร์เฟียซรู้สึกผิดสังเกตที่เห็นยูยะเข้าไปนานจัด เขาจึงเดินไปที่ประตูห้องน้ำและทุบมันเบา ๆ

“ยูยะ เธอโอเคไหม?”

“......ครับ ใกล้เสร็จแล้วครับ”

น้ำเสียงเบาหวิวกล่าวตอบ แต่คนฟังขมวดคิ้วยุ่งเรียบร้อย เพราะจับได้ว่า มีเสียงสะอื้นปนมากับกระแสเสียงนั่นด้วย

“ยูยะ! เป็นอะไรไปหรือเปล่าน่ะ!”

มอร์เฟียซทุบประตูอีกครั้งดังกว่าเดิม ทำให้คนในนั้นต้องรีบเปิดประตูด้วยความตกใจ ซึ่งพอเด็กหนุ่มออกมา มอร์เฟียซ ก็รีบดึงร่างบางในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ เข้ามาสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายทันที

“มะ...มอร์เฟียซ”

“ตาแดง...ร้องไห้มาใช่ไหม!?”

น้ำเสียงทุ้มกล่าวคาดคั้น ซึ่งยูยะก็รีบปฏิเสธทันที

“มะ...ไม่ใช่นะครับ ก็แค่แชมพูเข้าตาเอง”

ชายหนุ่มหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา และเมื่ออีกฝ่ายหลบตาวูบ เขาก็รู้แน่ว่า เจ้าตัวโกหก

“แล้วเสียงสะอื้นนั่นล่ะ จะให้เหตุผลว่ายังไง”

“คะ...คุณฟังผิดมากกว่าครับ”

เด็กหนุ่มยังคงเถียงโดนไม่ยอมสบตาเช่นเคย ทำเอามอร์เฟียซเริ่มชักจะหมดความอดทนขึ้นทุกที

“มานี่!” ร่างสูงจูงมือของเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ออกแรงจนเหมือนจะเป็นกระชาก ไปจากห้องนอน ลงมายังด้านล่างทันที

“อ้าว อาจารย์คาเตอร์ ไม่ทานเข้าเช้ากันก่อนหรือคะ?”

ยูคาริเอ่ยถามเมื่อเห็นชายหนุ่มกับลูกชายลงมาพร้อมกัน ซึ่งมอร์เฟียซก็ยิ้มให้หล่อน พลางตอบอย่างสุภาพ

“เผอิญมีโปรแกรมหลายที่ต้องไปน่ะครับ ขอตัวเลยนะครับ เย็น ๆ จะมาส่งให้ที่บ้านแน่นอน”

“ตามสบายค่ะ ยูยะเป็นไกด์ดี ๆ นะจ๊ะ”

ยูคาริโบกมือให้ทั้งคู่ อย่างไม่คิดอะไรมาก แม้จะเห็นยูยะถูกอีกฝ่ายจูงมือเดินไปขึ้นรถด้วยก็ตาม



มอร์เฟียซขับรถไว จนยูยะใจเต้น เพราะชายหนุ่มไม่ยอมพูดจาอะไร แถมไม่ถามเขาสักคำว่าจะไปไหน และที่แน่ ๆ มอร์เฟียซ ไม่น่าจะมีใบขับขี่ที่ญี่ปุ่นหรอกนะ

“มอร์เฟียซครับ...เอ่อ เรื่องรถนี่น่ะ ...คือ คุณขับได้หรือครับ”

ยูยะพยายามชวนคุย แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อนัยน์ตาสีเขียวคมกริบ ตวัดขวับมายังเขาวูบหนึ่ง ก่อนจะเบือนกลับไปมองทางด้านหน้า พลางตอบเสียงห้วน

“ยูโตะเขาจัดการให้แล้ว เธอไม่ต้องห่วงหรอกน่า!”

...ไม่ให้ห่วงได้ยังไง ก็ขับไวขนาดนี้ ถึงจะไม่ถูกตำรวจเรียก ก็มีสิทธิลงไปนอนแอ้งแม้งที่ข้างถนนนี่นา ...

เด็กหนุ่มคิดอย่างกังวล แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป เพราะรู้ดีว่าคนข้างกายกำลังอารมณ์เสียอย่างหนัก

“ผมขอโทษนะครับ...”

ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไป เพราะหากขืนไม่บอก เขาอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเป็นครั้งที่สองก็ได้

“......” มอร์เฟียซชำเลืองมองเด็กหนุ่มคนรักที่นั่งก้มหน้าคล้ายดังจะสำนึกผิดข้าง ๆ ก่อนจะชะลอรถไปจอดยังข้างทางแห่งหนึ่ง ซึ่งเนื่องจากทางเส้นนั้นเป็นทางที่ไม่ค่อยมีรถแล่นมากนัก จึงไม่มีใครสนใจรถสปอร์ตสีดำที่จอดแช่อยู่ข้างทางเลยสักคน

“จะบอกได้แล้วใช่ไหม ว่าทำไมถึงร้องไห้”

น้ำเสียงที่อ่อนโยนลง ทำให้ยูยะเริ่มลังเล เขาตัดสินใจจะพูดก็จริง แต่พอจะพูดออกไป มันก็คล้ายจะพูดไม่ออกเอาเสียดื้อ ๆ

“ยูยะ...”

มอร์เฟียซเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดแนบอก และบรรจงมอบจุมพิตอันอ่อนหวาน เพื่อปลอบโยนให้เด็กหนุ่มสบายใจ   

“เล่าได้หรือยัง หือ?”

ยูยะเงยหน้าขึ้นมองชายคนรัก ก่อนจะซุกหน้ากับอกกว้างนั้น และเล่าในสิ่งที่ตนกังวลทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง



พอได้รับฟังเรื่องกังวลในใจของเด็กหนุ่มคนรักเรียบร้อย มอร์เฟียซก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะขับรถย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม โดยไม่พูดไม่จาอะไร ทำเอายูยะงง และเริ่มคิดมากอีกครั้งว่าชายหนุ่มอาจจะโกรธ

จนเมื่อมอร์เฟียซขับรถมาจอดยังหน้าบ้านของเขา และจัดการเปิดประตูให้เขาลง ยูยะก็เข้าใจไปเองว่า ชายหนุ่มคงจะรำคาญ และเบื่อหน่ายเขาแล้วจริง ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ยูยะโค้งลา ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าว ๆ เข้าบ้านตนทันที เพราะกลัวว่าจะเผลอร้องไห้ออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น

“อ้าว? ทำไมกลับไวจังจ๊ะยูยะ อาจารย์คาเตอร์ก็ด้วย”

เสียงทักทายจากยูคาริผู้เป็นแม่ ทำให้ยูยะต้องหันกลับไปมองด้านหลัง ซึ่งก็พบว่ามอร์เฟียซกำลังเดินตามเขามาด้วย

“มิสซิสนาโอกิ เอ่อ...คุณแม่ครับ คือผมมีเรื่องสำคัญอยากให้คุณแม่รับทราบไว้เรื่องหนึ่งครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนยูคาริมองเขาอย่างงุนงง ทว่า ยูยะ กลับใจเต้นแรงมากขึ้นทุกที

“ผมรักยูยะ....รักลูกชายของคุณแม่คนนี้เหลือเกิน ผมขออนุญาตคบหากับเขาอย่างเป็นทางการจะได้ไหมครับ”

มอร์เฟียซกล่าวพร้อมโค้งศีรษะต่อหน้าหญิงสาว ซึ่งยูยะเองถึงจะตกใจแต่ก็ตื้นตันใจมากเช่นกัน

“.....ยูยะ แล้วลูกล่ะ คิดยังไงกับอาจารย์คาเตอร์”

ยูคาริซึ่งยืนอึ้งและเงียบไปนานพอสมควร หันไปถามผู้เป็นลูกชาย ซึ่งยูยะ ก็เบือนหน้าไป คล้ายไม่อยากพูด แต่พอหันไปสบกับสายตาจริงจังของมอร์เฟียซที่เงยหน้าขึ้นและจับจ้องมายังเขา เด็กหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ พลางหันมาเผชิญหน้ากับมารดา พร้อมกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ผมรักเขาครับแม่!”

ยูคาริถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อลูกชายพูดจบ ก่อนจะยิ้มและดึงร่างของบุตรชายมากอด

“ถ้าเป็นการตัดสินใจของยูยะ แม่ก็ไม่คิดขัดขวาง แต่อย่าลืมบอกพ่อเขาตอนที่กลับมาด้วยล่ะ”

ยูยะแทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่ามารดาจะรับได้ เขากอดยูคาริแรง ๆ พร้อมกับพยักหน้าลงกับอกอบอุ่นนั้น

“ครับแม่ ผมจะบอกกับพ่อ ว่าผมได้ตัดสินใจแล้ว และจะไม่เสียใจเด็ดขาด ...แม่ครับ ผมขอโทษนะครับ”

ท้ายประโยคเจ้าตัวพึมพำเสียงสั่น ซึ่งยูคาริผู้เข้าใจบุตรชายดีก็ขยี้ศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ

“ขอโทษอะไรกันล่ะลูก ลูกไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ จริงไหม?”

“แต่ผมเป็นลูกชายคนเดียว...” ยูยะแย้ง ซึ่งมอร์เฟียซพอได้ฟังก็พาลรู้สึกผิดตามไปด้วย

“เพราะเป็นลูกชายคนเดียวน่ะสิ ถ้าลูกมีความสุข พ่อกับแม่ก็มีความสุขด้วย”

บอกแล้วหญิงสาวก็หันไปทางมอร์เฟียซซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน

“ฉันฝากลูกชายด้วยนะคะ อาจารย์คาเตอร์ ฉันคิดว่าถ้าเป็นคุณคงจะดูแลลูกชายฉันได้ดีแน่นอน”

“ผมจะดูแลยูยะด้วยชีวิตครับ” มอร์เฟียซรับคำอย่างหนักแน่น ซึ่งก็สร้างความพอใจให้กับยูคาริยิ่งนัก

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ”

ชายหนุ่มกล่าวอำลา ซึ่งยูคาริก็กล่าวชวนให้อีกฝ่ายอยู่ต่อด้วยกันก่อน

“จะกลับแล้วหรือคะ ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรือคะ”

“ไม่ดีกว่าครับ วันนี้ผมตั้งใจมาบอกถึงความรู้สึกของผมเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ผมก็ยังตื่นเต้นจนยืนแทบไม่อยู่เหมือนกัน”

มอร์เฟียซบอก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ นั่นก็เรียกรอยยิ้มได้จากทั้งยูยะ และยูคาริ ทั้งคู่

“ถ้าพรุ่งนี้อาจารย์ยังไม่มีธุระอะไร ขอเชิญมาทานข้าวเย็นที่บ้านสักมื้อนะคะ พอดีคืนนี้ คุณพ่อของยูยะเขากลับจากทำงานต่างจังหวัดน่ะค่ะ พรุ่งนี้จะได้เจอกัน”

“ผมจะโดนคุณพ่อของยูยะต่อยไหมครับ?” มอร์เฟียซถามยิ้ม ๆ ซึ่งยูคาริก็หัวเราะเสียงใส ส่วนยูยะแอบหันไปอมยิ้มไม่ให้ชายหนุ่มเห็น

“แหม ๆ จะต่อยอะไรกันคะ คุณมาซาบุ เขาเป็นคนใจเย็น รับฟังเหตุผลจะตายไป”

“แต่ผมล่วงเกินลูกชายของเขานี่ครับ”

มอร์เฟียซแย้งอ่อย ๆ ซึ่งยูคาริพอได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ

“ไม่เป็นไรค่ะ กว่าจะถึงเย็นพรุ่งนี้ ถ้าคุณมาซาบุโกรธจริง ๆ ฉันก็มีวิธีที่จะทำให้เขาใจเย็นลงอีกตั้งเยอะแยะ”

“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นผมลาล่ะนะครับ ไปนะยูยะ”

“เดี๋ยวผมไปส่งที่รถครับ”

ยูยะบอก พลางเดินออกมาส่งชายหนุ่มถึงรถ

“มอร์เฟียซครับ”

“หือ?”

“ผมรักคุณนะครับ” ยูยะบอกพลางเขย่งขึ้นจูบปากชายหนุ่ม และวิ่งหน้าแดงกลับเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้มอร์เฟียซยืนอึ้ง ก่อนจะหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ

“อยากให้เปิดเทอมไว ๆ จริง ๆ น้า”

ชายหนุ่มพึมพำด้วยจิตใจเบิกบาน ในที่สุดความสัมพันธ์กับคนรักตัวน้อยของเขาก็ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป และถ้าหากไม่เกรงใจว่ายูยะยังเรียนไม่จบ เขาคงจะไปขอยูยะมาเป็นของตัวเองกับพ่อและแม่ของเด็กหนุ่มเรียบร้อยไปแล้ว

แต่ว่าความสัมพันธ์ระดับนี้ ก็ถือว่าก้าวหน้าพอสมควร ต่อจากนี้ ยูยะก็ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับความรู้สึกของเขา และเขาก็ประกาศให้คนได้รู้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการกันไม่ให้ใครเข้ามาวอแวกับยูยะได้อีกทางหนึ่งด้วย

... วันหยุดยาวปีนี้ มันช่างมีความสุขเสียจริง ๆ แฮะ ...



+++ End +++



ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #95 เมื่อ03-07-2011 19:56:23 »

ถ้าครอบครัวยอมรับแล้ว ก็ไม่มีอุปสรรคใดจะมาขวางกั้นได้อีก
เหลือแต่ประคับประคองความรักของกันและกันให้ดี
แต่แอบสงสารยูยะจัง มีแฟนเป็นพวกขี้แกล้ง น่าเบิร์ดกระโหลกจริง

ออฟไลน์ TanyaPuech

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4341
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +531/-23
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #96 เมื่อ03-07-2011 20:18:59 »

 :o8:


ไร้ซึ่งอุปสรรคแล้วววว



ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #97 เมื่อ03-07-2011 20:29:12 »

 :o8: :o8:

พ่อ แม่ ทั้งสองฝ่าย รับรู้แล้ว และก็ไม่ขัดขวางด้วย
ดีใจจัง

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #98 เมื่อ03-07-2011 20:30:15 »

น่ารักจิงๆน้า  :กอด1: ว่าแต่ชื่อตัวละครคนอื่นคุ้นๆนะ  :z2:

ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #99 เมื่อ03-07-2011 21:19:37 »

ยาววว พิเศษ ^^ น่าร้ากกกก

ช่างเป็นพ่อแม่ที่น่ารักอะไรเช่นนี้...
ครอบครัวมาเฟียก็อบอุ่น ครอบครัวญี่ปุ่นก็ใจดี อิอิ

ไม่มีอะไรน่ากังวลเท่าไหร่แล้ว...รอเด็กเรียนจบก็เรียบร้อย ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
« ตอบ #99 เมื่อ: 03-07-2011 21:19:37 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jaymaza

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #100 เมื่อ03-07-2011 23:16:44 »

น่ารักจังงง

มีอีกไหม

อยากอ่านอีก

,,, :]

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #101 เมื่อ03-07-2011 23:30:32 »

ชอบครับ มาต่ออีกนะครับ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #102 เมื่อ04-07-2011 13:53:53 »

คู่คาเตอร์กับยูยะ เนี่ย น่ารักที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดด เลยอะ
ยิ่งอ่านตอนพิเศษ มาดโหดของคาเตอร์ ชักจะไม่ค่อยเหลือแล้วนะ เหลือแค่ความหวานอย่างเดียวเลย กรี๊ดดดด  :o8:

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #103 เมื่อ04-07-2011 14:39:12 »

ว้าว...แต่อดเห็นหน้ายูคิจังเลยแฮะ
ดีจังที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผิดคาดนิดหน่อยที่ครอบครัวมอร์เฟียสเป็นมาเฟีย
ริวยะเป็นยากูซ่า ญาติอย่างยูยะน่าจะไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ นึกถึงบ้านทรงญี่ปุ่น ยูยะใส่กิโมโนคงทั้งน่ารักทั้งเซ็กซี่เลยล่ะ

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #104 เมื่อ04-07-2011 15:21:05 »

ว้าว...แต่อดเห็นหน้ายูคิจังเลยแฮะ
ดีจังที่ทุกฝ่ายยอมรับ ผิดคาดนิดหน่อยที่ครอบครัวมอร์เฟียสเป็นมาเฟีย
ริวยะเป็นยากูซ่า ญาติอย่างยูยะน่าจะไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ นึกถึงบ้านทรงญี่ปุ่น ยูยะใส่กิโมโนคงทั้งน่ารักทั้งเซ็กซี่เลยล่ะ

น้องยูคิ กับป๋าริวยะ มาจากเรื่องนี้ค่ะ กรงรักพันธนาการใจ  ~
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #105 เมื่อ04-07-2011 17:44:31 »

ตอนนี้เป็นตอนพิเศษสุดท้ายของ The Eden School ที่แต่งไว้แล้วนะคะ ^ ^
(ความจริงมีอีกตอนแต่สั้น ๆ และคิดว่าจะแต่งแทรกเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นด้วย เลยไม่เอามาลง)

ถ้าจะคิดแต่งหลังจากนี้ ก็จะเป็นแต่งสดใหม่ ๆ ทั้งหมด สนใจอยากอ่านคู่ไหนก็รีเควสไว้ล่วงหน้าได้เลยค่ะ
ถ้าไม่หัวหมุนกับเรื่องอื่นจะสลับมาเขียนให้นะคะ ^ ^"

สุดท้ายก็ขอบคุณนักอ่านที่ตามอ่าน ตามคอมเมนต์กันค่ะ  ถ้ายังไงจะทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยแจ้งย้ายนะคะ และถ้าจะลงตอนพิเศษต่อไป ก็จะมาลงกระทู้เดิมค่ะ

-----------------------------------------------

Special #9 : Story of Lee Chang


    ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผู้เป็นเจ้าของเรือนผมดำยาว และใบหน้าคมเข้ม ที่ออกไปทางสวย เจ้าตัวกำลังฟุบหลับอยู่บนโซฟาภายในห้องทำงาน เพราะความเหนื่อยล้าที่ต้องลุยงานมาตลอดตั้งแต่หัวค่ำของเมื่อวาน จนถึงตอนเย็นของวันนี้โดยไม่ได้หยุดพัก

     ภาพดังกล่าว ทำให้ร่างสูงในชุดสูทที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาในห้องชะงัก ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะแย้มยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดู

     “อืม...” เสียงละเมอเบา ๆ และการพลิกตัวน้อย ๆ ของร่างตรงหน้า ทำให้คนที่กำลังจับจ้องมองภาพดังกล่าวได้สติ พลางขยับเท้าพาตัวเอง มายืนอยู่ใกล้กับร่างนั้น แล้วจึงทรุดนั่งคุกเข่าลงให้ระดับสายตาอยู่พอดีกับอีกฝ่าย
     มือใหญ่ลูบไล้เรือนผมนุ่มสลวยของคนหลับเบา ๆ อย่างไม่อาจอดใจไหว นัยน์ตาสีเขียวฉายแววอ่อนโยน ยามเมื่อจับจ้องใบหน้านั้นที่ไม่ได้เห็นมานานถึง 3 ปี

     “อืม...ใคร...” เสียงพึมพำ พร้อมกับเปลือกตาที่ปรือขึ้นมอง ก่อนที่นัยน์ตาสีเทาจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่า คนที่กำลังอยู่ตรงหน้าของตนเป็นใคร

     “เอ็ดเวิร์ด! นายทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ ... แล้วนายเข้ามาห้องฉันได้ยังไงกัน!”

     ลี ชาง โพล่งพร้อมยันกายลุกขึ้น ก่อนจะกระเถิบหนีอีกฝ่าย ด้วยท่าทีรังเกียจสุดฤทธิ์ ทำให้คนมองนัยน์ตาสลดลงวูบหนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนทีท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “ผมก็เดินเข้ามาเรื่อย ๆ นั่นล่ะครับ ไม่เห็นจะแปลกอะไร ในเมื่อสถาบันวิจัยนี้ สร้างขึ้นได้ก็ด้วยเงินทุนของผม ถ้าผมเข้ามาไม่ได้นี่สิถึงจะแปลก”
     ชายหนุ่มผมทองตอบกวน ๆ ซึ่งก็ทำให้ชาง กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ เพราะเถียงอีกฝ่ายไม่ออก

     อีเกิล เอ็ดเวิร์ด เป็นบุตรชายคนรองของตระกูลอีเกิล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐี ตระกูลหนึ่งของโลก ที่สำคัญตระกูลนี้ยังเป็นตระกูลผู้สนับสนุนการก่อตั้ง สถาบันอีเดนแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่า แผนกวิจัย และค้นคว้า ที่ ลี ชาง เป็นหัวหน้าอยู่ตอนนี้ก็ได้รับเงินทุนจากตระกูลอีเกิลสนับสนุน เช่นกัน
     “ถ้านายอยากจะมาสำรวจความคืบหน้าของงานวิจัย ก็เชิญที่ห้องค้นคว้าแล้วกัน ฉันจะให้คนพาไปให้”

     ชางตัดบท จากนั้นจึงยันกายลุกขึ้นเดินโงนเงนเพื่อไปตามคนอื่น ทว่า เพราะความที่ลุยงานหนักจนล้า เจ้าตัวจึงเกือบสะดุดขาตัวเองล้ม
     “ระวังหน่อยสิครับ ชาง”

     ร่างสูงที่คว้าเอวอีกฝ่าย พร้อมดึงร่างนั้นเข้ามาแนบอกกระซิบที่ใกล้ ๆ หู ดอกเตอร์หนุ่มหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห ก่อนจะผลักอกของเอ็ดเวิร์ดให้ออกห่างตัวเอง

     “ปล่อยฉัน!”

     นัยน์ตาสีเขียวฉายแววเศร้า กับปฏิกิริยาดังกล่าว ซึ่งทำให้คนมองชะงัก แต่ก็จำต้องสะบัดหน้าหนี พร้อมกล่าวเสียงห้วนโดยไม่ยอมมองหน้าอีกฝ่าย

     “ฉันจะไปตามเจ้าหน้าที่ให้ แล้วจะขอตัวกลับบ้านไปพักผ่อนสักหน่อย”
     กล่าวจบ ชายหนุ่มก็เดินจากไป โดยไม่คิดแม้แต่จะหันกลับมามองคนข้างหลัง และเมื่อลับร่างของชางไปแล้ว เสียงถอนหายใจยาวก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงพึมพำเศร้า ๆ ของคนที่เหลืออยู่

     “คุณจะไม่ยอมให้อภัยผมไปตลอดชีวิตเลยหรือชาง ทั้ง ๆ ที่ผมทำอย่างนั้นลงไป ก็เพราะว่าผมรักคุณแท้ ๆ”




     ลี ชาง เดินเรื่อย ๆ เพื่อตรงกลับบ้านพัก แต่แล้วเจ้าตัวก็ตัดสินใจหยุดฝีเท้า และเปลี่ยนทิศไปอีกทางตรงข้าม

     สักพัก ชายหนุ่มก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่ ของห้องทำงานส่วนตัวของอาจารย์ฝ่ายปกครองแห่งอีเดน ....มอร์เฟียซ คาเตอร์

     ...ก๊อก ๆ...

     เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังทำงานอยู่ข้างในชะงักปากกาในมือ ก่อนเอ่ยถาม

     “ใคร?”

     “...ฉันเอง มอร์เฟียซ”

     เสียงแผ่วตอบ ทำให้เจ้าของห้องแปลกใจ เพราะจำเสียงคนพูดได้ดี ชายหนุ่มลุกขึ้นมาเปิดประตูให้อีกฝ่าย ซึ่งพอเห็นสีหน้าของชาง เขาก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายเข้าห้อง

     “เข้ามาข้างในก่อนสิ”

     ชางเดินเข้ามาในห้อง และทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงด้วยความอ่อนล้า เห็นดังนั้นมอร์เฟียซเลยเดินไปชงกาแฟมาให้ และยืนพิงโซฟาแถวนั้น โดยไม่คิดจะถามอะไร หากอีกฝ่ายยังไม่เอ่ยปากเล่าด้วยตนเอง
     กลิ่นกาแฟที่โชยเข้ามา ทำให้ชางลืมตาขึ้นมามอง เจ้าตัวยิ้มน้อย ๆ และเอ่ยขอบคุณเบา ๆ เขาดื่มเข้าไปได้นิดเดียว ก็วางถ้วยกาแฟลง
     “หมอนั่นกลับมาแล้ว”

     น้ำเสียงแผ่วเบาของชางกล่าว มอร์เฟียซชะงัก พร้อมกับเดินมานั่งข้าง ๆ ชายหนุ่ม

     “เอ็ดเวิร์ดน่ะเหรอ?”

     “ใช่...หมอนั่นมาหาฉันที่แผนกเมื่อครู่นี้ ทั้งที่ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็ไม่เคยมาให้ฉันเจอหน้าตั้ง 3 ปีแล้วแท้ ๆ”

     ชางบอกด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด จนมอร์เฟียซต้องถอนหายใจเบา ๆ และใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะชายหนุ่มราวปลอบโยน โดยไม่พูดอะไร การกระทำเช่นนั้น ทำให้คนถูกปลอบยิ้มน้อย ๆ ในน้ำใจของเพื่อนสนิท ก่อนแกล้งแซวกลับ

     “อย่าทำมาเป็นใจดีกับฉันเลยน่า เดี๋ยวยูยะคุงมาเห็นก็เข้าใจผิดกันหรอก”

     “เด็กนั่นไม่ใช่คนที่จะตัดสินผิดถูกคนอื่น แค่มองภายนอกหรอกน่า” มอร์เฟียซบอกอย่างมั่นใจ ซึ่งก็ทำให้ชางหัวเราะเบา ๆ

     “น่าอิจฉานะ ที่มีคนรักที่เข้าใจตัวเองแบบนี้”

     มอร์เฟียซมองเพื่อนสนิทของตน ด้วยสายตายากอ่านใจ พลางเอ่ยบางคำที่ทำให้ชางชะงัก

     “ฉันว่า ความจริงแล้ว หมอนั่นเองอาจจะคิดแบบนั้นกับนายก็ได้นะ”
     “ไม่จริงสักหน่อย!”

     ชางตวาดพร้อมกระชากเสื้อร่างสูงข้าง ๆ อย่างลืมตัว

     “หมอนั่นน่ะเหรอ! มันก็แค่ต้องการทำให้ฉันเจ็บ เพื่อแก้แค้นที่ฉันชนะเขาในทุกด้านนั่นต่างหากล่ะ! แล้วพอทำสำเร็จ หมอนั่นก็หนีหน้าไปเกือบ 3 ปี! 3 ปี เชียวนะมอร์เฟียซ! ที่ฉันต้องทนอยู่กับฝันร้ายบ้า ๆ นั่น อยากจะลืมมันก็ไม่ลืม ตราบใดที่ต้องข้องเกี่ยวกับพวกอีเกิลอยู่แบบนี้น่ะ!”

     แต่เมื่อมอร์เฟียซนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ชางก็ค่อย ๆ ปล่อยคอเสื้อนั่นออก ก่อนนอนเอนหลังพิงไปกับพนักโซฟา หลับตาลงด้วยความอ่อนล้า
     “บ้าชะมัด...ฉันไม่สนหรอกว่าหมอนั่นจะคิดอะไรอยู่ ขอแค่อย่ามายุ่งกับฉันเกินเรื่องงานก็พอแล้ว ...แค่นั้นก็พอแล้ว….”

     เสียงพึมพำดังขึ้นจากร่างที่หลับตาอยู่ จากนั้นไม่นาน มอร์เฟียซก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากร่างนั้น ชายหนุ่มถอดสูทด้านนอก คุมให้คนหลับ และชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่หยุดอยู่ตรงประตู

     “อ๊ะ...ขอโทษครับ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนพวกคุณ” ยูยะพูดเสียงตะกุกตะกัก เพราะไม่คิดว่าชางจะมาหลับในห้องของมอร์เฟียซแบบนี้
     ชายหนุ่มเจ้าของห้องยกนิ้วทำสัญลักษณ์ให้เด็กหนุ่มเงียบ แล้วจึงเดินเบา ๆ ออกไปนอกห้อง พร้อมอีกฝ่าย จากนั้นจึงจัดการปิดประตูเพื่อให้คนในห้องได้พักผ่อนอย่างสงบ

     “ตอนนี้หมอนั่นค่อนข้างจะแย่... ในหลาย ๆ เรื่อง ปล่อยให้เขาพักผ่อนไปแบบนั้นล่ะ”

     มอร์เฟียซตอบสายตาที่ตั้งคำถามจากเด็กหนุ่มคนรัก และเดินโอบบ่าอีกฝ่าย ไปทางห้องสมุดของโรงเรียน

     “ฉันว่าเราเปลี่ยนที่ติวของพวกเราเป็นที่ห้องสมุดแทนแล้วกัน ถึงมันจะทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก แต่ก็ยังมีความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง อย่างน้อยตอนนี้ก็เย็นแล้ว คงไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องหรอก”

     ชายหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เล่นเอาคนที่ตั้งใจจะมาติวหนังสือ หน้าแดงน้อย ๆ เพราะเข้าใจความนัยที่แฝงมากับประโยคดังกล่าวดี
     “ผมว่า ถ้ายังไงไว้พรุ่งนี้....” ยูยะตั้งท่าจะแย้ง แต่ก็ต้องเงียบกริบเมื่ออีกฝ่ายขัดขึ้นมาเสียก่อน

     “ถ้าไม่ติวเย็นนี้ คืนนี้ไปค้างที่บ้านฉัน แล้วฉันจะติวให้เธอเองทั้งคืน ตกลงไหม?”

     “งั้นไปเย็นนี้ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงอ่อย เพราะไม่ว่าเขาจะเสนออะไร หากมอร์เฟียซตัดสินใจแล้วว่าจะทำ ยังไงเขาก็คงไปเปลี่ยนใจชายหนุ่มไม่ได้อยู่ดีนั่นล่ะ




     ดอกเตอร์หนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดของห้อง เจ้าตัวยิ้มกับตัวเองน้อย ๆ เมื่อพบว่ามีเสื้อของใครบางคนคลุมร่างให้เขาแทนผ้าห่ม
     “กลับแผนกดีกว่าแฮะ ป่านนี้เจ้าบ้านั่นคงกลับไปแล้วล่ะ”

     เจ้าตัวบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินฝ่าความมืดไปที่ประตู เพื่อตรงกลับแผนกวิจัยของตน เพราะต้องการสะสางงานที่ยังคงคั่งค้างอยู่ต่อไป

     ลี ชาง หยุดชะงักฝีเท้า เมื่อเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวแล้วยังคงพบว่า อีเกิล เอ็ดเวิร์ด ยังนั่งอยู่ในห้องเขา ไม่ยอมกลับไปสักที

     “ผมเดาไม่ผิดเลยนะชาง ว่าคุณต้องกลับมาสะสางงานที่เหลือต่อ เรื่องนิสัยรับผิดชอบต่อหน้าที่สูงอย่างคุณ ก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบนะ”

     เอ็ดเวิร์ดบอกยิ้ม ๆ ทว่า คนฟังแทบไม่อยากสนใจฟัง เพราะกำลังคิดว่าจะอยู่หรือจะกลับดี

     โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ ชายหนุ่มผมทองลุกขึ้นจากโซฟา เดินเพียงไม่กี่ก้าว ก็ไปถึงตัวของชาง เขาใช้อ้อมแขน รวบเอวของคนตรงหน้าเข้ามาภายในห้อง และจัดการปิดล็อกห้อง โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะรวบมือที่เตรียมจะป้องกันตัวเองของชายหนุ่มพร้อมดันทั้งร่างนั้นไปติดกับผนัง
     “ถึงด้านความเป็นอัจฉริยะของคุณจะเหนือกว่าผม แต่เรื่องกำลังกาย คุณสู้ผมไม่ได้หรอกนะชาง”

     เอ็ดเวิร์ดกระซิบกับร่างที่พยายามขัดขืนนั้น นัยน์ตาสีเขียวไล่มองลงมาเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ นัยน์ตาสีเทาดื้อดึงคู่สวย จมูกโด่งคมสัน ริมฝีปากได้รูป ไล่มาจนถึงลำคอขาว และเรือนร่างงดงามตามแบบบุรุษเพศของอีกฝ่าย

     ลี ชาง รู้สึกร้อนวูบวาบ ที่ถูกคนตรงหน้าโลมเลียด้วยสายตาร้อนแรง พลางพยายามเบือนหน้าหลบเมื่อนัยน์ตาสีเขียวไล่ขึ้นมาสบกับนัยน์ตาของตนอีกครั้ง

     “นับตั้งแต่ 3 ปี ที่ได้กอดคุณ ... ผมไม่เคยลืมคุณสักครั้งเลยนะชาง ทุกครั้งที่คิดถึงคุณใจผมมันร้อนรุ่มไปหมด อยากจูบ อยากกอดคุณอีก จนทนไม่ไหว ...”

     น้ำเสียงแหบพร่า กระซิบข้างหู พร้อมกับใช้ลิ้นไล้เลียเล่น จนทำให้ชางหลุดครางเบา ๆ ออกมาอย่างลืมตัว

     “อา...หยุดนะ...”

     ชายหนุ่มพยายามขัดขืน ทว่า เขากลับรู้สึกเหมือนทั้งร่างจะพาลหมดแรงเอาเสียเฉย ๆ อย่างน่าประหลาด

     “ผมอยากกอดคุณอีกครั้งเหลือเกินชาง...คุณจะอนุญาตผมได้ไหม”

     เอ็ดเวิร์ดพร่ำกระซิบอ้อนวอนข้างหู มือข้างที่ว่าง ก็แหวกผ่านสาบเสื้อที่ถูกปลดกระดุมออกเรียบร้อย ชางสะท้านไปทั้งกาย สัมผัสเก่า ๆ ย้อนคืนเข้ามาในความทรงจำ แต่แล้วชายหนุ่มก็พลันชะงัก เมื่อมือนั้นเริ่มไล่ลงไปวนแถวท้องน้อยของตน

     “ปล่อยฉัน...”

     ชางกลั้นใจสะกดความต้องการทางธรรมชาติของตน ริมฝีปากมีเลือดไหลน้อย ๆ เนื่องจากเจ้าของตั้งใจกัดให้เจ็บ เพื่อเรียกสติของตัวเอง

     “ชาง!” เอ็ดเวิร์ดตกใจเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แววตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจนั้นสั่นระริก และเริ่มมีน้ำใส ๆ คลอเบ้าตา

     “ฉันไม่ใช่ของเล่นที่เวลานายนึกสนุกก็หยิบมาเล่น พอเบื่อก็โยนทิ้งหรอกนะ!”

     คำพูดตวาดตามมา ทำให้ชายหนุ่มผมทอง ปล่อยมือข้างที่รวบมืออีกฝ่ายให้เป็นอิสระ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นจับบ่าคนตรงหน้าเขย่าด้วยความหงุดหงิด ที่ถูกเข้าใจผิด

     “ชาง! ทำไมคุณพูดแบบนั้นออกมา ผมไม่เคยคิดแบบนั้นกับคุณเลยนะ!”

     “ไม่เคยคิดงั้นรึ!” ดอกเตอร์หนุ่มสวนกลับทันควัน

     “ใช่สิ...นายมันไม่เคยคิดอะไรสักนิด ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าฉันจะรู้สึกยังไง หลังจากที่นายทำเรื่องนั้นกับฉัน และหนีหน้าหายไปเกือบ 3 ปีแบบนั้นน่ะ!”

     น้ำเสียงเจ็บปวด พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาจากสองตานั้น ทำเอาเอ็ดเวิร์ดอึ้งพูดอะไรไม่ออก เขาปล่อยมือทั้งสองที่จับบ่าคนตรงหน้าเสีย จากนั้นจึงถอยออกมายืนห่าง ๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความสำนึกผิด และเป็นทุกข์ยิ่งนัก
     “ชาง...ผม....”

     “ฉันเกลียดนาย! และจะไม่มีวันให้อภัยสิ่งที่นายทำกับฉันไว้ตลอดชีวิตนี้!”

     ดอกเตอร์หนุ่มตวาดใส่ พลางจัดการเสื้อผ้าของตัวเองลวก ๆ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกจากห้องไป โดยทิ้งให้ร่างสูง ได้แต่มองตามไปจนร่างนั้นลับตา จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินมาที่โซฟา ทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง มือทั้งสองยกขึ้นปิดหน้าตนเอง พร้อมพึมพำถึงคนที่จากไปแผ่วเบา

     “ชาง....ผมขอโทษ”

     ร่างสูงโปร่งเดินกระแทกเท้ากลับบ้านพักด้วยความโมโห มือไม้ไล่เช็ดหน้าเช็ดตา ในส่วนที่ถูกสัมผัส ยิ่งหวนนึกถึงอดีตเมื่อสามปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บใจ ที่ไม่อาจโต้ตอบอะไรอีกฝ่ายได้ นอกจากคำพูด และการกระทำที่แสดงออกว่ารังเกียจเท่านั้น



     ชาง ยังคงจำได้ไม่ลืมเลือน ถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา 3 ปีก่อน ทั้งเขาและเอ็ดเวิร์ด เพิ่งเข้าทำงานในแผนกค้นคว้าและวิจัย และก็เป็นเขากับเอ็ดเวิร์ดที่ถูกคนอื่นมองว่า หนึ่งในสองคนนี้ ต้องมีสักคนที่จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าแผนกค้นคว้า และวิจัย ต่อไปในอนาคต

     แน่นอนเวลานั้นเขาไม่เคยสนใจถึงตำแหน่งหัวหน้าเลยสักนิด แค่มีความสุขที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบก็พอ และเขาก็คิดว่าเอ็ดเวิร์ดก็น่าจะคิดเหมือนเขาเช่นกัน ใช่แล้ว ...ตอนนั้น เขายังไม่มีความรู้สึกเกลียดชังชายหนุ่ม เหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้

     หลังจากเพียงเข้าทำงานแค่ 3 เดือน หัวหน้าแผนกคนเก่าลาออกกะทันหันเพราะความจำเป็นบางอย่าง คณะกรรมการทุกคนเสนอชื่อเขาและเอ็ดเวิร์ดให้เป็นหัวหน้าแผนกตามคาด และเป็นเอ็ดเวิร์ดที่ได้รับการคัดเลือก ส่วนเขานั้นถูกเสนอให้เป็นรองหัวหน้าแผนก คอยช่วยชายหนุ่มทำงานแทน

     จะว่าไป พอทราบเรื่องเขากลับรู้สึกเฉย ๆ เพราะไม่เคยแคร์กับตำแหน่งนี้อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเอ็ดเวิร์ด พอรับทราบผล เขากลับดูเงียบ ๆ ไป แต่ชางก็ไม่ได้ถามอีกฝ่าย ทว่า วันนั้น ทั้งแผนกยกกันไปดื่มฉลองให้กับหัวหน้า และรองหัวหน้าคนใหม่นอกสถานที่ ซึ่งตอนนั้นเขาซึ่งกำลังเมาได้ที่ และลุกไปเข้าห้องน้ำ ก็บังเอิญเจอเอ็ดเวิร์ดยืนอยู่หน้าห้อง ซึ่งพอตัวเขาเองจะเข้าไปถามว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่ ก็บังเอิญได้ยินเสียงคนคุยกันในห้องน้ำแวบเข้ามาพอดี

     ชางอึ้งอยู่กับที่ เมื่อรู้ว่า แท้จริงแล้ว ที่พวกคณะกรรมการ ตัดสินใจเลือกเอ็ดเวิร์ดเป็นหัวหน้าแผนก ก็เพราะอำนาจของตระกูลอีเกิล ผู้สนันสนุน สถาบันที่ชายหนุ่มมีอยู่

     เขาชำเลืองมองสีหน้าของเอ็ดเวิร์ด ที่ซีดเผือดและเจ็บปวด แต่เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าเขามายืนอยู่ด้วย เจ้าตัวก็ตกใจ ก่อนมีสีหน้าปวดร้าวตามมา และเดินหนีไปทั้งแบบนั้น

     หลังจากเกิดเหตุ เอ็ดเวิร์ดไม่มาทำงาน 3 วัน โทรไปก็ไม่มีคนรับ ทำให้ชางอาสาเพื่อน ๆ ไปตามตัวชายหนุ่มที่บ้านพักเอง

     บ้านพักเงียบสนิท ชางกดออด ซึ่งก็เงียบไม่มีเสียงตอบ เขาเลยตัดสินใจทุบประตู และตะโกนเรียกอีกฝ่าย

     "เอ็ดเวิร์ด! นายอยู่ข้างในบ้านใช่ไหม? เป็นอะไรไปหรือเปล่า! นี่ฉันชางนะ!"

     ไม่มีเสียงตอบรับพักใหญ่ แต่เมื่อชางกำลังจะตัดสินใจ ว่าจะหาทางไหนงัดเข้าบ้านดี ประตูบ้านก็เปิดออก พร้อมกับร่างสูงในสภาพที่ดูแทบไม่ได้

     "เอ็ดเวิร์ดนี่นายดื่มจัดขนาดนี้ได้ยังไง! แล้วทำไมถึงไม่ยอมไปทำงาน!"

     ชางตวาดใส่ เมื่อได้กลิ่นเหล้าคุ้งมาจากอีกฝ่าย

     "คุณมาทำไมกัน"

     น้ำเสียงที่ถาม ทำเอาคนฟังหงุดหงิด เพราะมันฟังดูห้วน และเย็นชา ไร้มนุษยสัมพันธ์ ผิดกับที่เจ้าตัวเคยมีต่อเขาลิบลับ

     "ก็มาลากตัวนายกลับไปทำงานน่ะสิ เป็นหัวหน้าแผนกประสาอะไร ถึงทำตัวไร้ความรับผิดชอบแบบนี้!"

     ชางตวาดใส่ แต่ก็ต้องชะงัก เมื่ออีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างเหยียด ๆ

     "หึ ๆ หัวหน้าแผนกที่ใช้เส้นตระกูลเอาตำแหน่งมาน่ะเหรอ ไปทำให้เขาแอบนินทาลับหลังน่ะสิ"

     คนฟังกำมือแน่น ก่อนจะกระชากเสื้อของอีกฝ่ายเข้ามา พร้อมโพล่งใส่ด้วยความโมโห

     "ใครเขาจะว่าอะไรทำไมต้องไปใส่ใจด้วย! ความสามารถที่นายมีมันของแท้ไม่ใช่หรอกรึ! แสดงให้ทุกคนเห็นไปสิ! แสดงให้พวกนั้นยอมรับในตัวนาย! ฉันคนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่านายน่ะมีความสามารถที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องอิทธิพลเข้ามาเกี่ยว นายก็ทำได้ ฉันเชื่อนะ!"

     คนฟังอึ้งไปสักพัก นัยน์ตาสีเขียวฉายแววปวดร้าว ก่อนจะสะบัดตัวหนีอีกฝ่าย เดินเข้าไปในบ้าน หยิบเหล้ารินใส่แก้วกระดกเข้าปากรวดเดียวหมด ชางรีบวิ่งมาแย่งแก้วเหล้าของอีกฝ่ายทันที พลางตวาดใส่

     "เจ้าบ้า! นี่ยังไม่เข้าใจอีกงั้นรึ! จะให้ฉันพูดยังไงนายถึงจะเข้าใจได้นะ! นายไม่ใช่คนท้อถอยอะไรง่าย ๆ แบบนี้นี่เอ็ดเวิร์ด!"

     "ผมไม่เหมือนคุณสักหน่อยชาง!" เอ็ดเวิร์ดตะโกนกลับ

     "คุณมันเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิด เป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่คนนิยมชมชอบ ไม่เหมือนกับผม ที่ต้องทนต่อสู้สายตาของคนอื่นที่ว่าเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ก็เพราะบารมีครอบครัว ขนาดตั้งใจเรียนแทบตายได้คะแนนดี ยังไม่วายโดนนินทาหาว่าใช้เส้นโกงข้อสอบ พอจบมาทำงานที่ตัวเองรัก ได้รับการเสนอชื่อเป็นหัวหน้าแผนก นึกว่าเพราะเป็นความสามารถของตัวเอง แต่กลับเป็นเพราะอิทธิพลของตระกูลที่มีอยู่ ถ้าเป็นคุณคุณจะทำยังไงชาง!"

     ชางอึ้ง หาคำพูดปลอบไม่ถูกไปชั่วขณะ ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะใช้คำพูดอะไร จู่ ๆ ร่างสูงตรงหน้า ก็ผลักร่างของเขาให้ลงไปนั่งบนโซฟา พร้อมกับใช้มือจับร่างนั้นกดพิงไปกับเบาะ ใช้เข่าข้างหนึ่งดันเข้าไปในหว่างขา คร่อมร่างเขาอยู่เช่นนั้น

     "เอ็ดเวิร์ด! นายจะทำบ้าอะไรน่ะ! ปล่อยนะ!"

     ชางตวาดใส่ด้วยความตกใจ ทว่า ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่สนใจฟังเสียแล้ว

     "ชาง...ผมอิจฉาคุณเหลือเกิน ผมเคยอยากเป็นแบบคุณมาตลอด"

     เอ็ดเวิร์ดพึมพำ พร้อมกับซุกไซ้ จูบไปทั่วใบหน้าและลำคอของอีกฝ่าย
     "ผมไม่อยากให้คุณรับรู้เรื่องนี้เลยชาง...คุณคนเดียวเท่านั้น ที่ผมไม่อยากให้เห็นส่วนที่น่ารังเกียจของผม.. ผมอยากเป็นเพื่อนที่แสนดีในสายตาของคุณ... อยากเป็นคนที่คุณมอบความสำคัญให้.. ชาง..."     

     ชางพยายามจะต่อต้าน ทว่า พละกำลังของเขา และอีกฝ่ายนั้นผิดกันลิบลับ และเมื่อมือทั้งสองถูกมือใหญ่จัดการใช้เสื้อเชิ้ตของตัวเอง ที่ถอดออกมามัดพันธนาการไว้ เขาก็ยิ่งหมดหนทางต่อต้านมากขึ้นไปอีก

..
..

ออฟไลน์ Xenon

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +482/-4
Re: The Eden School.... Special # 9 (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #106 เมื่อ04-07-2011 17:45:52 »


เสียงลมหายใจหอบสม่ำเสมอของร่างหนา ที่ทาบทับอยู่บนตัวของตน ทำให้ชางปรือตาขึ้นมอง ก่อนจะนิ่วหน้า เมื่อรู้สึกปวดแปลบบริเวณที่ถูกอีกฝ่ายล่วงล้ำ

     น้ำใส ๆ คลอที่เบ้าตาน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง ที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

     ร่างหนาที่หลับสนิท ถูกพลิกดันให้นอนหงายไปบนโซฟา ส่วนตัวของเขาขยับออกมา ยืนมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ทั้งขุ่นแค้น ทั้งสมเพชเวทนา และลึก ๆ ในใจ กลับรู้สึกสงสารคนตรงหน้า คนที่เฝ้าพร่ำเรียกว่าเขาเป็นคนสำคัญ ตลอดเวลาที่กอดเขา คนที่มอบจุมพิตอ่อนโยน อันเต็มไปด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยรักให้แก่เขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     ชางก้มลงเก็บเสื้อผ้าขึ้นสวมใส่ และเดินกระโผลกกระเผลก จากไปโดยไม่คิดปลุกเจ้าของบ้าน ในใจนึกเพียงแต่ว่า พรุ่งนี้ หากเจอกันแล้วคงต้องหาเวลาคุยเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า อีกฝ่ายคิดจะทำยังไงต่อไป...

     ทว่าวันรุ่งขึ้น เอ็ดเวิร์ดก็ไม่มา ชางยืนแข็งค้างทั้งตัวเมื่อได้ฟังจากคนในแผนกว่า เอ็ดเวิร์ดโทรมาลาออกจากสถาบันไปแล้ว และเมื่อเขาถามถึงเหตุผล ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้ เพราะข้อความที่ฝากมาจากเจ้าตัวมีเพียงแค่นั้น ซึ่งไม่ว่าใครจะพยายามติดต่อกับชายหนุ่มไม่ว่าทางไหน ก็ไม่อาจสาวถึงเจ้าตัวโดยตรงได้แม้แต่น้อย

     จากวันนั้น ชางได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแผนกแทนเอ็ดเวิร์ด หากแต่ความไม่เข้าใจในตัวของคนที่จู่ ๆ ก็จากไป ไร้ซึ่งการติดต่อ กลับย้อนเข้ามาทำร้ายความคิดของเขา จากความสงสัย ความกังวล เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง และข้อสรุปที่เขาให้กับตัวเองได้ในยามนั้นก็คือ ...อีกฝ่ายไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเขา ที่ทำเช่นนั้นลงไป ก็เพราะแค้นที่ตัวเองไม่ได้รับการยอมรับนั่นเอง...


 
     "ชาง...เฮ่ย! ชาง! ได้ยินไหม!"

     เสียงตะโกนที่ดังขึ้นใกล้ ๆ และมือใหญ่ที่จับบ่า ทำเอาชายหนุ่มชะงัก ชางหันกลับไปมองเจ้าของเสียง แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย ทว่า นัยน์ตาสีเทาคู่สวยกลับดูว่างเปล่าจนน่าวิตก

     "มอร์เฟียซ...มีอะไรเหรอ?"

     อาจารย์หนุ่มขมวดคิ้ว และจึงหันไปทางเด็กหนุ่ม ซึ่งเดินมาด้วยกัน  กับเขา

     "ยูยะกลับหอเองได้ไหม ฉันมีธุระจะคุยกับหมอนี่หน่อย"

     ยูยะพยักหน้าหงึก ๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทั้งคู่มีปัญหาอะไรก็ตาม แต่การที่เห็นดอกเตอร์หนุ่มไม่ร่าเริงแบบนี้ เขาก็รู้สึกเป็นห่วงมากเช่นกัน

     "ครับ ผมกลับเองได้...เอ่อ..คือ ดอกเตอร์ครับ"

     ชางเลิกคิ้ว เมื่อถูกเด็กหนุ่มเรียก

     "มีอะไรหรือ ยูยะคุง?"

     ยูยะอ้ำอึ้ง ก่อนตัดสินใจตอบ

     "ถึงผมจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ...แต่ผมไม่อยากให้ดอกเตอร์คิดมากคนเดียว ถึงบางครั้งผมจะให้คำปรึกษาอะไรดี ๆ ไม่ได้ แต่ผมก็พร้อมรับฟังปัญหาของคุณเสมอนะครับ"

     มอร์เฟียซยิ้มให้กับคนรักของเขา ชางเองก็เช่นกัน ชายหนุ่มลูบศีรษะร่างเล็กตรงหน้าด้วยความเอ็นดู

     "ขอบใจที่เป็นห่วงนะ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกยูยะ แค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย เดี๋ยวก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้แล้ว"

     ยูยะยิ้มรับ ก่อนจะโค้งลาทั้งคู่และวิ่งกลับหอไป จากนั้นมอร์เฟียซจึงชวนชางไปที่บ้านพักของเขา ซึ่งชายหนุ่มก็ตามไปเงียบ ๆ โดยไม่คิดปฏิเสธ

     เมื่อถึงบ้านพัก มอร์เฟียซจัดการชงนมอุ่น ๆ ส่งให้กับเพื่อนของเขา ซึ่งชางก็รับมา พร้อมกับยิ้มขำ ๆ ตอบคนให้

     "ฉันไม่ใช่เด็กสักหน่อย ถึงต้องดื่มนม .. ว่าแต่ที่บ้านนายมีนมผงกับเขาด้วยงั้นหรือ?"

     "ฉันติดไว้เพราะยูยะชอบดื่ม" มอร์เฟียซตอบง่าย ๆ โดยไม่สนใจคำแซว หากแต่เมื่อเห็นชางยังไม่ยอมดื่มนมนั่น เจ้าตัวจึงกล่าวต่อ

     "ดื่มไปซะ มันทำให้หลับสบาย สภาพอย่างนายตอนนี้สมควรพักผ่อนให้มากจะดีที่สุด"

     ชางยิ้มรับในความเป็นห่วงของเพื่อน และจึงดื่มนมในแก้วนั้นจนหมด ก่อนจะเอนกายลงนอนบนโซฟา ซึ่งมอร์เฟียซก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับเปรยบางอย่างให้คนที่กำลังนอนหลับตาฟังแทน

     "ชาง...รู้ไหม ที่นายเครียดแบบนี้ เพราะนายเฝ้าแต่สงสัยเรื่องของเขามาตลอด 3 ปี ...แต่เขากลับไม่เคยยอมโผล่หน้ามาตอบคำถามนายเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ...ทำไมนายไม่ถือโอกาสขจัดข้อสงสัยเมื่อ 3 ปีก่อนไปเสียเลยล่ะ ไม่ลองถามเขาไปเลยว่า ทำไมถึงได้ทำแบบนั้นกับนายแล้วหายตัวไป"

     ชางลืมตาขึ้นมองมอร์เฟียซ เพื่อนสนิทที่รู้เรื่องทุกอย่างดี โดยที่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจบอก หากแต่เพราะดื่มหนักเกินไป และในตอนนั้นคนที่อยู่ด้วยก็คือมอร์เฟียซ คงเพราะว่าเขาเพิ่งผ่านเรื่องกลุ้มต่าง ๆ นานา เอ็ดเวิร์ดหายตัวไปหลังจากเกิดเรื่องดังกล่าวและไม่สามารถติดต่อได้ เขาต้องรับผิดชอบตำแหน่งหัวหน้าแทน ปัญหาต่าง ๆ สุมประดัง จนในที่สุดเขายามไม่มีสติ ก็ไม่อาจปิดบังความกลัดกลุ้มนั้นเอาไว้กับตัว จึงระบายออกไปให้ชายหนุ่มรับฟังจนหมดสิ้น

     แต่ มอร์เฟียซ ก็ยังคงเป็นผู้รับฟังที่ดี ชายหนุ่มเก็บเรื่องดังกล่าวไว้เป็นความลับ ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครทราบ แม้แต่เคธี่ เพื่อนสาวที่สนิทกับพวกเขามากที่สุด ก็ยังไม่เคยรับรู้เรื่องดังกล่าวนี้

     คำแนะนำของชายหนุ่มเองก็มีเหตุผล แต่จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเรื่องมันก็ผ่านมานานถึง 3 ปี

     3 ปี ...มันนานพอ จนทำให้หัวใจของเขาด้านชาไปเสียแล้ว...

     สายตาที่ตอบกลับมา โดยไม่มีแม้แต่คำพูด ทำให้มอร์เฟียซถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะคบกันมานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

     "นอนซะ...พักให้เต็มที่ก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดอะไรดีกว่า"

     อาจารย์หนุ่มบอก พร้อมกับหยิบผ้าห่มที่เข้าไปเอามาจากในห้อง โยนให้อีกฝ่าย ชางรับมาพร้อมกล่าวขอบคุณเบา ๆ และเมื่อเจ้าของบ้าน ปิดไฟ เขาก็ลืมตาอยู่ในความมืดสักพัก ความคิดลอยไปถึงใครคนหนึ่ง.... คนที่เขาให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันอภัยให้อีกฝ่ายตลอดชีวิต...



     ชางปรือตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมอง แล้วต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

     "ห้าโมงเช้า!" ชายหนุ่มรีบลุกผลุนผัน ตรงไปยังห้องน้ำล้างหน้าล้างตาอย่างลวก ๆ แล้วจึงวิ่งออกจากบ้านพัก ไปยังแผนกวิจัย และค้นคว้าของตนทันที

     "เจ้าบ้านั่นต้องใส่อะไรไว้ในนมแก้วนั้นแน่!" ชางบ่นด้วยความหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิท เขาคาดเดาว่า มอร์เฟียซอาจจะใส่ยานอนหลับ เพื่อต้องการให้เขาพักผ่อนได้เต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าจะเต็มที่เกินไปหน่อย เพราะตอนนี้มันทำให้เขามาทำงานสายกว่าที่ควรจะเป็นเกือบสามชั่วโมง

     "หัวหน้าครับ....เอ่อ..ข้างในนั่น..."

     เสียงทักเบา ๆ จากเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำอยู่ทางเข้าแผนก ไม่ได้เข้าหูชางที่กำลังรีบร้อนแม้แต่น้อย คนทักหันมาทำหน้าเสียกับเพื่อน หากแต่อีกคนก็ตบบ่าปลอบเบา ๆ

     "เอาน่า ...คงไม่เป็นไรหรอก ยังไงเขาก็เพื่อนเก่ากัน"

     ชางยืนพักหอบอยู่หน้าประตูห้องตัวเองครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผลักประตูห้องเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตา กำลังนั่งตรวจเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา

     "นาย!  ทำไมยังไม่กลับไปอีก!"

     ชางโพล่งด้วยความหงุดหงิด พลางหวนคิดถึงเมื่อครู่ว่าเหมือนจะมีเสียงเจ้าหน้าที่เรียกเขาตอนวิ่งเข้ามา เพราะเขาสั่งไว้ว่าถ้าเอ็ดเวิร์ดอยู่ให้เตือนเขาก่อน เพื่อที่เขาจะได้เลี่ยงไม่ต้องเจออีกฝ่าย แต่นี่คงเพราะเมื่อครู่รีบไปหน่อย เลยไม่ทันได้เอะใจ นึกแล้วมันก็น่าโมโหตัวเอง รวมไปถึงมอร์เฟียซด้วยอีกคนที่ทำให้เขาตื่นสายแบบนี้

     "เพราะผมอยากอยู่คุยกับคุณน่ะสิชาง เลยต้องมาดักรอพบแบบนี้ ก็คุณเล่นไม่ยอมให้โอกาสผมพูดด้วยเลยนี่"

     เอ็ดเวิร์ดตอบยิ้ม ๆ ซึ่งก็ทำให้คนฟังฉุนกึก ก่อนโพล่งกลับไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

     "โอกาสงั้นรึ! ฉันให้โอกาสนายพูดมานานแล้วตั้ง 3 ปี แต่นายไม่เคยใช้โอกาสนั้นเองต่างหาก แล้วตอนนี้จะมาขอโอกาสเพื่อพูดกับฉัน มันจะไม่ตลกไปหน่อยงั้นรึ!"

     คนฟังหน้าสลดลง แล้วจึงฝืนยิ้มเศร้า ๆ ให้อีกฝ่าย

     "ผมรู้ คุณคงไม่มีวันให้อภัยผมในเรื่องที่ผมทำลงไป แต่ผมอยากให้คุณรู้เอาไว้ว่า สิ่งที่ผมทำลงไปกับคุณนั้น มันมาจากความปรารถนาส่วนลึกของผมอย่างแท้จริง เพราะผมรักคุณ ผมต้องการคุณ ผมถึงทำแบบนั้นกับคุณ"

     คำพูดจริงใจไร้การเสแสร้งที่ออกมาจากปาก ทำให้คนฟังนิ่งเงียบ ภาพเมื่อครั้งอดีตย้อนกลับมาทาบทับกับความเป็นจริงตรงหน้า ....ตอนนั้นก็เช่นกัน เพราะรู้ดีถึงความรู้สึกจริงใจนั้น เขาถึงยอมให้โอกาสอีกฝ่ายอธิบายในการกระทำของตน ทว่า ชายหนุ่มกลับทำลายโอกาสนั้นด้วยมือของตัวเอง และทิ้งให้เขาต้องจมอยู่กับความทุกข์ จนแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นเช่นนี้

     "มันสายไปแล้ว....เอ็ดเวิร์ด ถึงสิ่งที่นายพูดออกมาจะเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่มีความหมายอะไรกับฉันในตอนนี้แม้แต่น้อย ...และถึงฉันจะยอมให้อภัยนาย แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะยอมให้นายเดินเข้ามาในชีวิตฉัน ... เรื่องของพวกเรามันจบไปแล้ว..."

     นัยน์ตาสีเทาคู่สวยว่างเปล่า น้ำเสียงราบเรียบเย็นชา จนคนฟังรู้สึกว่าหัวใจตัวเองมันโหวงเหวง เอ็ดเวิร์ดก้มหน้ารับคำตอบนิ่ง มือใหญ่ค่อย ๆ กำแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บที่อุ้งมือนั้น ก่อนจะคลายออก และเงยหน้ามองอีกฝ่ายนิ่ง

     "ผมเข้าใจแล้ว"

     คำตอบสั้น ๆ แต่กลับสะกิดหัวใจคนฟังให้รู้สึกปวดแปลบอย่างน่าประหลาด

     เอ็ดเวิร์ดลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน และเดินผ่านร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง สีหน้านั้นยังคงเรียบเฉยจนเขาอ่านความรู้สึกไม่ออกเช่นเคย

     "…ถึงจะรู้ว่าคำตอบเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังแอบหวังนะชาง...หวังว่าคุณจะให้อภัยผม และเราสองคนจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง..."

     เอ็ดเวิร์ดเดินออกจากห้องไปนานแล้ว แต่ชางกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่อาจทราบ แต่มารู้สึกตัวเมื่อสัมผัสถึงความเย็นบนแก้มทั้งสอง

     ...น้ำตา...

     น้ำใส ๆ ที่ไหลรินออกมา ทำให้เจ้าของร่างชะงัก ถึงแม้สมองจะปฏิเสธ แต่หัวใจไม่อาจโกหกได้...

     "...บ้าที่สุด...งี่เง่าที่สุด..." น้ำเสียงพึมพำดังขึ้น หากเจ้าตัวรู้ดีว่า ที่ต่อว่าไปนั้นหาใช่ ผู้ชายที่เดินจากไปแต่อย่างใด แต่กลับเป็นตัวเอง ที่ถือทิฐิ ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับอีกฝ่ายแบบนี้

     ชางหลับตาลง เพื่อตัดสินใจ ว่าจะเลือกศักดิ์ศรี หรือ เลือกในสิ่งที่หัวใจตนปรารถนา...

     และเขาก็ต้องหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ พลางลืมตาขึ้นมองโลกตรงหน้า

     … นี่เขามัวทำบ้าอะไรมาตลอด 3 ปีนี้ คนอย่างเขา หากคิดจะตามหาตัวอีกฝ่ายจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ แต่เพราะส่วนลึกแล้ว เขากลัวต่างหาก กลัวว่า ถ้าเอ็ดเวิร์ด ทำกับเขาลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เขาอาจจะเจ็บหากต้องรู้คำตอบนั้น ...

     ขาทั้งสองข้าง พาร่างตัวเองเดินออกไปนอกห้อง ก่อนจะกลายเป็นวิ่ง เมื่อทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า เอ็ดเวิร์ดกลับไปแล้ว

     ....ไม่ยอมให้กลับไปง่าย ๆ หรอก ก็เขายังไม่รู้ถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายหายตัวไปเลยนี่นา หมอนั่นบอกแต่เพียงว่าเขาสำคัญ บอกแต่เพียงว่ารักเขา แต่ไม่ยอมบอกเลยสักนิด ว่าทำไมถึงทิ้งเขาไปตั้ง 3 ปีแบบนี้ !....

     ชางมองไปยังถนนว่างเปล่าที่ทอดยาว ไปข้างหน้า เจ้าตัวหายใจหอบเพราะรีบวิ่งมาโดยไม่หยุดพัก ก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้นถนนก้มหน้าลง พร้อมกับแค่นหัวเราะ ด้วยความสมเพชเวทนาตัวเองที่กว่าจะรู้ใจตัว มันก็สายเกินไป ...อีกครั้ง

     "ชาง..."

     เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทำเอาชางชะงัก ไม่กล้าที่จะหันกลับไปมอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะเพียงแค่หูแว่วไปเท่านั้น

     "ชาง....ทำไมมานั่งอยู่ที่กลางถนนนี่ล่ะ มันอันตรายนะครับ"

     คำพูดด้วยความเป็นห่วง พร้อมกับมือที่ยื่นมาตรงหน้า ทำให้ชางค่อย ๆ เงยหน้ามองคนพูด ก่อนหลุบตาลง พร้อมกับยื่นมือตัวเองส่งให้อีกฝ่ายช่วยฉุดให้ลุกขึ้น

     "...เห็นว่ากลับไปแล้วไม่ใช่หรือไง ทำไมยังอยู่แถวนี้อีก"

     คำถามที่คนถามไม่ยอมสบตา เอ็ดเวิร์ดมองปฏิกิริยา ดังกล่าวแล้วรู้สึกเจ็บแปลบ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังคงรังเกียจ และไม่ยอมให้อภัยเขาอยู่เช่นเคย

     "ว่าจะกลับเหมือนกันล่ะครับ...แต่ไม่รู้ทำไม ถึงตัดใจไปไม่ได้สักที อาจเป็นเพราะไม่อยากหนี เหมือนเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ได้...แต่ว่าถึงจะอยู่ต่อไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี"

     คำตอบเศร้า ๆ ของคนตรงหน้า ทำให้คนฟังกำหมัดแน่น ก่อนจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาเขย่าถามอย่างหงุดหงิด

     "มันไม่มีประโยชน์แน่อยู่แล้ว ในเมื่อนายไม่ยอมพูดในสิ่งที่ฉันอยากรู้จริง ๆ สักที! ทำไมนายถึงหนีไปเมื่อ 3 ปีก่อน ไม่ยอมติดต่อฉันเลย นี่ล่ะที่ฉันอยากรู้ มากกว่าคำบอกรักอะไรนั่นของนายอีก!"

     เอ็ดเวิร์ดอึ้งพูดอะไรไม่ออก กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้น ชางจึงโพล่งตามมา โดยไม่คิดจะเก็บสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองไว้อีกต่อไป

     "นายบอกว่ารักฉัน บอกว่าฉันเป็นคนสำคัญ! แต่นายกลับทิ้งฉันไป! นายคิดว่าการกระทำที่มันขัดกันกับคำพูดแบบนั้น มันจะทำให้ฉันยอมรับ และเชื่อนายหรือว่า นายคิดถึงฉันตลอดเวลา และรักฉันน่ะ! งี่เง่าชะมัด!"

     เอ็ดเวิร์ดยังคงนิ่งเงียบ แต่ในหัวใจของชายหนุ่ม กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นประหลาด เมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงตัวตนเดิม ๆ เมื่อก่อนของคนที่เขารักเต็มหัวใจตรงหน้านี้

     "ชาง...ผมขอโทษ ผมมันคนขี้ขลาด ผมกลัวว่าคุณจะรังเกียจผม จะปฏิเสธผม ...ซึ่งผมในตอนนั้น คงจะทนรับสภาพดังกล่าวเพิ่มอีกไม่ไหว ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าจะมีวิธีไหนดีนอกจากหนีไปให้พ้น เพื่อที่จะได้ไม่รับรู้ถึงปัญหารอบด้าน ไม่ต้องรับรู้ว่า คุณไม่ต้องการผม... ถ้าผมรู้ว่าคุณแคร์ผมแบบนี้ ผมคงไม่ตัดสินใจงี่เง่าแบบนั้นลงไปแน่นอน"

     เอ็ดเวิร์ดกระซิบข้างหูอีกฝ่าย ชางรับฟังด้วยความนิ่งเงียบ ก่อนชะงักกึก เมื่อได้ยินประโยคท้ายสุด

     "ใครแคร์นาย! คิดเข้าข้างตัวเองมากไปแล้ว! ฉันเกลียดนายจะตายไป แน่นอนว่า ถ้าขืนนายไม่หนีไปเมื่อ 3 ปีก่อน ฉันได้ชกนายให้หายแค้นแน่"

     เจ้าตัวโพล่งโวยวายแก้ตัว แต่ใบหน้านั้นกลับแดงระเรื่อด้วยความเขินอายผิดกับคำพูดที่แสดงออกมาลิบลับ

     ชายหนุ่มผมทองยิ้มอย่างยินดีกับท่าทีของอีกฝ่าย เขากอดรัดร่างที่ดิ้นโวยวายขัดขืน โดยไม่เกรงว่าจะมีคนผ่านมาเห็นแต่อย่างใด

     "ดีใจจริง ๆ ชาง ผมดีใจจริง ๆ ที่ตัดสินใจกลับมาหาคุณอีกครั้ง ...ผมมันบ้า ผมมันงี่เง่าเอง ผมขอโทษ"

     น้ำเสียงยินดีอย่างไม่มีปิดบังของเจ้าตัว ทำให้คนในอ้อมกอดถอนหายใจ หยุดดิ้น และจึงพึมพำตอบกับอกกว้าง

     "ใช่แล้ว...นายมันบ้า นายมันงี่เง่า ชอบทำอะไรไม่เคยคิดหน้าคิดหลังเสมอ...แต่ฉันมันบ้ายิ่งกว่า ที่เอาแต่คิดถึงคนงี่เง่าอย่างนายอยู่ได้มาตลอด 3 ปีนี่"

     เอ็ดเวิร์ดกอดกระชับร่างโปร่งในอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก ราวกับกลัวว่า ถ้าปล่อยไปแล้ว ร่างในอ้อมกอดจะหลุดลอยหายไปจากเขาเสียอย่างนั้น

     "เอ็ดเวิร์ด...ฉันอึดอัดนะ ปล่อยได้แล้ว!"

     ชางดุ เมื่ออีกฝ่ายกอดแน่นจนเขาเกือบหายใจไม่ออก

     "ไม่ปล่อย...นับแต่นี้ต่อไปผมจะกอดคุณแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมปล่อยอีกเด็ดขาด ..."

     ชางถอนหายใจอย่างระอา ตอนนี้ก็คงต้องยอมให้หมอนี่ทำตามใจตัวเองไปก่อน แต่อีกสักพักพอเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาคงต้องจับอบรมนิสัยเอาแต่ใจนี่เสียใหม่ อย่างน้อยก็ต้องให้อยู่ในโอวาทของเขา และฟังที่เขาพูดบ้างนั่นล่ะ

     ดอกเตอร์หนุ่มยิ้ม เมื่อคนตัวสูงกว่าโน้มหน้าลงมาจูบแก้มของเขาเบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยง และผลักอีกฝ่ายออกไปเต็มแรง เมื่อเห็นร่างของเพื่อนสนิทที่กำลังเดินมาทางนี้

     "ทำอะไรกันอยู่น่ะชาง?" มอร์เฟียซถามพลางขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเอ็ดเวิร์ดลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าบนพื้นถนน ส่วนชางยืนหน้าแดงก่ำ

     "ปะ...เปล่าสักหน่อย นายต่างหากล่ะมาทำอะไรแถวนี้ นี่มันชั่วโมงสอนไม่ใช่หรือไง"

     น้ำเสียงถามตะกุกตะกัก กับสถานการณ์ตรงหน้า ทำให้มอร์เฟียซประมวลเหตุการณ์ได้ไม่ยาก ชายหนุ่มซ่อนยิ้มไว้ในหน้า ก่อนตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     "ฉันแค่ลืมเอกสารไว้ที่บ้านพักเลยกลับมาเอา พวกนายสองคนเองก็เถอะ ถ้าจะหาที่คุยกัน น่าจะเลือกที่ที่มันมิดชิดหน่อยนะ"

     บอกแล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ หากแต่คนมองตามรู้ดีว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องหมดแล้ว

     "บ้าจริง...แต่ก็ดีที่เป็นมอร์เฟียซ ไม่ใช่เคธี่"

     ชางพึมพำกับตัวเอง และก็ต้องสะดุ้ง เมื่อนึกถึงอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกันขึ้นมาได้

     "เอ็ดเวิร์ด! …ขอโทษทีเป็นอะไรหรือเปล่า"

     ชายหนุ่มฉุดให้ร่างสูงที่นั่งอยู่ลุกขึ้น เอ็ดเวิร์ดสั่นศีรษะน้อย ๆ กับพฤติกรรมเขินอายที่ค่อนข้างรุนแรงของอีกฝ่าย ก่อนจะยิ้มและกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของดอกเตอร์หนุ่ม

     "บ้า! กลางวันแสก ๆ แบบนี้นี่นะ และอีกอย่างฉันก็มีงานค้างอยู่อีกเพียบ ไม่มีเวลาพอจะทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นหรอก!"

     ชางโวยลั่น หน้าแดงน้อย ๆ จากนั้นเขาก็สะบัดหน้าหนี และเตรียมเดินกลับแผนกตัวเอง โดยมีเอ็ดเวิร์ดที่มีสีหน้าผิดหวัง เดินตามมาด้วย

     "...แต่ถ้างานเสร็จเมื่อไหร่ ก็ไม่มีปัญหานะ..."

     ประโยคที่ตามมา ทำให้คนฟังหูผึ่ง แล้วจึงรีบวิ่งตามคนที่พูดแล้วก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความเขินอายให้ทัน เพื่อถามให้แน่ชัดอีกทีว่า ตัวเขาหูฝาดไปหรือเปล่า



+++ End +++

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #107 เมื่อ04-07-2011 18:09:28 »

คู่นี้ดูคิกขุกว่าที่คิดอีก

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #108 เมื่อ04-07-2011 19:10:06 »

 :o8: :o8:

สุดท้ายก็เข้าใจกัน


ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
«ตอบ #109 เมื่อ04-07-2011 22:46:34 »

น้องยูคิ กับป๋าริวยะ มาจากเรื่องนี้ค่ะ กรงรักพันธนาการใจ  ~
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=19318.0

อ้อออออออ นึกออกแล้ว ว่าแล้วว่าชื่อคุ้นๆ  :laugh: พระเอกโหดเหมือนกันเลย หุๆ โหดซ่อนหวาน  o22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The Eden School.... Special # 7 - 8 (3 ก.ค. 54)
« ตอบ #109 เมื่อ: 04-07-2011 22:46:34 »





ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #110 เมื่อ04-07-2011 23:22:34 »

โอ้ ชางมีอดีตที่เศร้ามากกว่าที่คิดนะ

debubly

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #111 เมื่อ04-07-2011 23:54:16 »

 :o8: :-[

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #112 เมื่อ05-07-2011 14:29:47 »

คู่นี้  น่ารักจังครับ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #113 เมื่อ05-07-2011 16:48:32 »

ไม่คิดว่า ชาง จะมีบท อาย บทเขิน กับคนอื่นด้วยนะเนี่ย 5555

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #114 เมื่อ05-07-2011 21:11:46 »

เหมือนจะเคยอ่านแฮะ...แต่จำได้ว่าริวยะมันเย็นชากว่านี้นี่นา
ทำไมโผล่มาเรื่องนี้แล้วดูยียวนอย่างนี้ล่ะคะ

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #115 เมื่อ05-07-2011 22:52:34 »

เอ็ดเวิร์ดนิสัยไม่แมนเลย...แต่ชางน่ารักจังเลยค่ะ แอบกรี๊ดเบา ๆ ด้วยแหละ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #116 เมื่อ16-07-2011 15:24:12 »

ชาง น่ารักเกินไปแล้ว

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #117 เมื่อ16-07-2011 17:36:10 »

ก็ว่าป๋าริวยะชื่อคุ้นๆ555

อยากอ่านชางกะเอ็ดเวิร์ดเพิ่มจัง แล้วก็อยากอ่านคู่อื่นๆเพิ่มด้วย ว่าแต่ ไม่มีเด็กในห้องพิเศษที่มาจากแอฟริกาบ้างเหรอคะ เห็นมีแต่เอเชีย ไม่ก็อเมริกา
ถ้ามีแอฟฟริกากับทางฝั่งยุโรปตอนบนอย่างรัสเซีย ตุรกี หรือประเทศที่คนไม่ค่อยรู้จัก คาแรกเตอร์คงแปลกๆดี เรื่องคงสนุก^^

ออฟไลน์ gumrai3

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-4
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #118 เมื่อ21-07-2011 11:57:06 »

สนุกมากๆ มอร์เฟียรก้อนะไม่พูดไม่กล่าวจับกดเฉย 555
ยูยะก็มีตกใจบ้าง

ชางไม่คิดว่าเลยว่าจะน่ารักเเบบนี้ 555

PAAPAENG~

  • บุคคลทั่วไป
Re: The Eden School.... Special #9 : Story of Lee Chang (4 ก.ค. 54)
«ตอบ #119 เมื่อ23-07-2011 03:45:55 »

ตามมากรี๊ดเรื่องนี้อีกเรื่องค่ะ  กรี๊ด!!
ชอบจริงอะไรจริง  คาเตอร์อย่างกับหมาบ้า!!

สุดท้ายแล้วชอบคู่ชางรุนแรง
คนอะไรเขินได้ไม่มีใครเกิน  ฮ่าๆ

อยากอ่านผลงานของคุณ Xenon อีกจังเลยค่ะ
คลอดผลงานออกมาอีกเยอะๆนะคะ  ชอบมากกกกกกกกกกกกกก!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด