ตอนพิเศษ ตุลย์-ปอนด์
-2-
-ปอนด์-
“อยู่ไหน” ผมส่งเสียงผ่านทางโทรศัพท์เมื่อหมดคาบเรียนตอนห้าโมงเย็น
“โรงยิม มีอะไรหรือเปล่า” ปลายสายตอบและถามกลับมา
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่....ว่าจะชวนไปกินข้าว”
“หิวมากไหม ถ้าหิวก็ไปกินก่อนเลย แต่ถ้ารอได้ มานี่สิ เดี๋ยวกลับด้วยกัน”
“ไม่ไปหรอก มึงก็รู้กูไปไม่ได้...”
“มาเถอะ แป๊บเดียวเองไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้แจ๊มป์ไม่อยู่”
การที่มันพูดว่าแจ๊มป์ไม่อยู่แสดงว่ามันรู้สินะว่าทำไมผมไปหามันที่นั่นไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความหน้าบางของผมเองที่ไม่ต้องการให้ความอ่อนแอและน่าอับอายของตัวเองถูกเผยแพร่ออกไป ถึงแม้จะคิดเหมือนกันว่าแจ๊มป์อาจจะแค่ขู่แต่ก็ไม่อยากเสี่ยงทดสอบความร้ายกาจของสตรีเพศนักหรอก
ผมอุตส่าห์เชื่อใจมัน ถ่อมาโรงยิมเพื่อรอมันกินข้าวทั้งๆ ที่ตัวเองก็หิวมากจนแทบจะกินช้างกินม้าเข้าไปทั้งตัวได้อยู่แล้ว แต่ไอ้กระต่ายจอมวายร้ายมันดันโกหกผมได้ลงคอ เพราะเมื่อเท้าเหยียบย่างเข้าโรงยิม ก็เจอยัยแจ๊มป์เข้าพอดี แล้วยัยนั่นก็หันควับมาส่งสายตาฉงนปนเครียดเคร่งใส่ กลับดีกว่ามั้งแบบนี้
ผมถอนใจแล้วหมุนตัวเดินกลับมาที่รถ
“จะไปไหน....” เสียงตุลย์ร้องถาม ผมหันกลับไปมองแล้วยืนรอจนมันเดินมาถึง
“จะกลับน่ะสิถามได้”
“กลับทำไมรอก่อน...”
“ไม่เอาอ่ะ...ไม่อยากมีปัญหา กูมันแขกไม่ได้รับเชิญ”
“งั้นอยู่นี่สองนาทีเดี๋ยวไปกินข้าวด้วย ขอเข้าไปบอกข้างในแป๊บ”
“เฮ้ย....ไม่ต้อง....กูจะไปแล้ว”
“บอกให้รอ.... ถ้ากูออกมาไม่เจอ มึงโดนแน่...” มันบอกหน้านิ่งแล้วเดินกลับเข้าไป
ให้ตายสิ ไม่ขู่สักวันแล้วจะตายหรือไงวะ!
คำว่า “ไปกินข้าวด้วย” แปลว่าอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันไม่ได้กลับด้วยกัน แต่ถ้าอิ่มตุลย์ต้องกลับไปโรงยิมอีก สองสามวันนี้มันคงต้องซ้อมถึงสามสี่ทุ่มเพราะใกล้แข่งแล้ว
ความจริงผมเป็นคนกินข้าวเร็ว และความเร็วจะเพิ่มขึ้นอีกมากหากกำลังหิว แต่วันนี้ด้วยความรู้สึกว่าเราไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก จึงยืดเวลาการกินข้าวออกไปจนคิดว่าสามารถบดแป้งให้กลายเป็นน้ำตาลได้แน่
“ออกมาอย่างนี้จะไม่โดนว่าเหรอ?” ผมถามเมื่อนึกได้ว่ามันแอบอู้โดดซ้อมมากินข้าวกับผม
“ไม่หรอก ถ้ากลับไวก็ว่าไปอย่าง กินแล้วกลับได้เลย แต่วันนี้อยู่ดึก ถ้าไม่กินข้าวแล้วจะเอาแรงที่ไหนซ้อมล่ะ”
“งั้นทำไมไม่กินก่อนแล้วค่อยไปโรงยิม”
“ก็ยังไม่หิว กะว่าสัก 6โมงค่อยออกไป แต่เห็นมึงมาถึงไม่หิวก็คงเจริญอาหาร” ผมทำหน้าไม่ถูกกับกระต่ายเวอร์ชั่นนี้ คำพูดคำจามันดูนุ่มนวลกว่าปกติ
“ทำไมต้องโกหกด้วยว่าแจ๊มป์ไม่อยู่”
“ตอนมึงโทรมาเค้าไม่อยู่จริงๆ นะ ก็เพิ่งมาสักพักนี่แหละ” สรุปว่าเป็นผมเองล่ะมั้งที่ผิด ที่ไม่รู้ว่าไม่อยู่ไม่ได้แปลว่า ไม่มา!
“ก็ได้แต่หวังว่ายัยนั่นคงไม่แกล้งกู” ผมบ่นเมื่อนึกถึงคำขู่อันน่ากลัวนั่น
“ตอนนี้มึงไม่ได้เป็นนักร้องแล้วยังต้องรักษาภาพลักษณ์ หรือฐานแฟนคลับอะไรอีกล่ะ หรืออายมากถ้าคนอื่นเค้ารู้ว่ามึงกะกูคบกันอยู่” ผมพยายามเหลือบตามองว่ามันน้อยใจอีกหรือเปล่า และถึงมันจะทำหน้านิ่งๆ ก็ไม่เสี่ยงให้มันงอนดีกว่า ขี้เกียจจะง้อ
“เปล่าสักหน่อย แต่วันนั้นกูแกล้งเป็นลมด้วยนะ โคตรอ่อนแอเลยอ่ะ กูจะเอาหน้าไปไว้ไหนถ้ามีคนเห็นภาพนั้น” ผมตอบมันโดยพยายามเบนไปอายเรื่องอื่น ซึ่งผมรู้ว่าตุลย์มันใจอ่อนบ่อยๆ ถ้าผมทำเสียงอ้อน
“คิดมาก..” มันปลอบแล้วยิ้มอ่อนโยนกลับมา “เค้าก็แค่ขู่เท่านั้นแหละ ต่อให้มึงจะมาโรงยิมทุกวัน เค้าก็ไม่กล้าทำอะไรที่มึงไม่ชอบหรอก”
“ใครจะไปรู้ ผู้หญิงน่ะร้ายจะตาย เวลาโกรธเกลียดใคร”
“เค้าไม่ได้เกลียดมึงซะหน่อย” มันพูดยิ้มๆ เหมือนความเข้าใจของผมเป็นเรื่องตลก ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันคิดอย่างนั้น
“เหรอ? ถ้าไม่ได้เหม็นขี้หน้าไม่อยากเจอหน้ากูแล้วทำไมไม่ยอมให้กูไปโรงยิม? หรือเค้ากลัวไม่ได้สวีทวี้ดวิ่วกะมึงสองต่อสอง?” ผมถามด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ
“สองต่อสองอะไร คนมากมายเต็มโรงยิม” มันเถียงแล้วยิ้มขำ
“เหอะ!” ผมทำเสียงในลำคออย่างหมั่นไส้
“ที่จริงแจ๊มป์ฉลาดนะ เค้ารู้ว่ากูน่ะรักมึง อยากเห็นหน้ามึง พอมึงไปโรงยิมทีไร แทนที่กูจะตั้งใจซ้อม กูก็หันมาสนใจมองหามึงมากกว่าจนกูโดนรุ่นพี่ดุ เค้าก็เลยตัดไฟแต่ต้นลมขู่มึงไปแบบนั้น เพราะเค้ารู้ดีว่ามึงน่ะหน้าบาง”
ฟังมันพูดก็น่าจะเป็นไปได้นะ
“แล้วมันเป็นหน้าที่มึงเหรอไงที่ต้องมาแก้ตัวแทนให้ หรือว่าอยู่ด้วยกันทุกวันจนใจอ่อนหันไปชอบเค้าแล้วเนี่ย”
“ทีแรกก็ไม่ชอบหรอก แต่หลังๆ ก็เริ่มจะชอบมากขึ้นทุกวันนะ” มันตอบแล้วหัวเราะ
อะไรเนี่ยบอกชอบคนอื่นด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างนี้ได้ยังไง
“หมายความว่ายังไง?” ผมถามเสียงดุ ถ้าตอบไม่ดีเตรียมมีเรื่องได้เลย
“ไม่รู้สิ แจ๊มป์ทำให้รู้สึกว่ามึงหึงอยู่ทุกทีเลย ทั้งที่ปกติมักไม่ค่อยสนใจกูแท้ๆ” ที่จริงผมควรจะอายแต่พอเจอคำพูดตัดพ้อก็ต้องแก้ความเข้าใจผิดเสียก่อน
“ใครว่า...ถึงกูไม่ได้พูดหรือแสดงออกอะไรก็ไม่ได้แปลว่ากูไม่สนใจนะ” ผมรีบเถียง
“อือ...นั่นสินะ กูก็ลืมไปว่ามึงมันเป็นพวกรักนะ.....แต่ไม่แสดงออก” มันสรุปความแล้วก็คลี่ยิ้ม
ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่โคตรนาน เพราะกว่าเราจะกลับมาที่โรงยิมอีกครั้งก็มืดแล้ว
“กูกลับแล้วนะ” ผมบอกเมื่อลงจากเคเอชอาร์คันสวยแล้วเดินไปที่รถตัวเอง ตุลย์เดินตามมาด้วยแม้รถจะจอดไม่ห่างกันมากนัก ผมหันไปมองด้วยแววตาสงสัยเมื่อมันยังไม่ยอมเดินไปในโรงยิมเสียที
“กลับดีๆ นะ” มันบอก ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้ววาดเท้าคร่อมรถเตะขาตั้ง
ยังไม่ทันได้สตาร์ทรถ สัมผัสบางอย่างก็วูบลงมาแตะที่ข้างแก้มจนผมรีบหันไปมอง แต่ใบหน้าและริมฝีปากของมันผละออกไปอย่างรวดเร็ว
หอมแก้ม... ที่นี่ตอนนี้เนี่ยนะ!!
“เชี่ยตุลย์!!” ผมเรียกอย่างตกใจแล้วเอามือลูบแก้มตัวเองพลางแยกเขี้ยวใส่มันที่ทำอะไรไม่คิด...
“อะไร?” คำถามดูไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราว หน้ามึนที่สุด
“จะบ้าหรือไง เดี๋ยวใครมาเห็น” ผมโวยวายแล้วหันซ้ายหันขวาเลิกลั่ก แต่โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาตอนนี้
“มืดแล้ว ถึงเห็นก็ไม่รู้หรอกว่าใคร” มันตอบแบบไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น ซึ่งผมก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย โชคดีที่รถเราจอดอยู่ด้านข้างโรงยิมไม่ใช่ตรงส่วนติดถนนเส้นหลัก และรอบด้านมีต้นไม้ใบหญ้าอยู่บ้าง และผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน ไม่งั้น.... ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ!! มันก็ยังน่าด่าอยู่ดี
“มึงนี่มัน.....” ผมยกมือชี้หน้ามันอยากจะด่า...แต่ก็นึกคำด่าไม่ออก เพราะถึงด่าไป ไอ้กระต่ายหน้าด้านมันก็ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอกผมรู้
“ขอโทษนะ พอดีกูน่ะมันเป็นประเภท รัก.....แล้วก็แสดงออกด้วย” มันบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินหนีเข้ายิมไป
แสดงออกน่ะได้ แต่ไม่ต้องทำต่อหน้าสาธารณะชนบ่อยๆ ได้ไหม ช่วยเห็นแก่ยางอายกูบ้าง! ++++++++++++++++++++++++
ว่าง.... ว่าง.... ว่างอะไรอย่างนี้หนอ
เป็นอีกคืนที่ผมนอนกลิ้งเกลือกเพราะนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ห้องทั้งห้องมืดสนิทเหลือแต่แสงสว่างจากมือถือ
ดึกแล้ว..ยังได้แต่นอนมองโทรศัพท์รุ่นเก่านั่นอย่างชั่งใจ...
ป่านนี้แล้วไอ้ตุลย์อยู่ไหนทำอะไรอยู่ มันหายไปสองวันแล้วและผมไม่อยากเป็นคนโทรไปก่อน เพราะเราสองคนเป็นประเภทไม่ค่อยชอบคุยโทรศัพท์ ด้วยเหตุผลเดียวกันว่าเวลาไม่ได้เจอหน้ามันเหมือนนึกเรื่องจะพูดไม่ค่อยออก
คิดถึงก็คิดถึงนะ แต่ก็นั่นแหละ นิสัยเสียสุดๆ ของผมเลยก็คือคิดนะ แต่บางครั้งก็พูดไม่ออก ปากมันหนักเหมือนมีอะไรมาทับไว้ น่าแปลกปกติผมเป็นคนพูดมาก ยิ่งเรื่องโกหกปลิ้นปล้อน หรือเรื่องที่พูดเล่นๆ นี่พูดได้น้ำไหลไฟดับ แต่พอให้มาพูดอะไรซึ้งๆ แสดงความรักต่อกันอย่างจริงจังจะเกิดอาการใบ้กินขึ้นมาเสียทุกที
ทั้งๆ ที่อยากไปหาแต่ก็กลัวจะรบกวน อยากโทรไปแต่ก็พูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า” ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันจนคบกันมาหลายเดือนแล้ว ไอ้นิสัยเสียทั้งหลายก็ยังแก้ไม่หายสักที
วันนี้วันอาทิตย์ พรุ่งนี้ตุลย์จะไปแข่งแล้ว คิดดูสิ แม้แต่คำอวยพรสักคำผมยังไม่ได้พูดเลย
เบื่อตัวเองชะมัด .....ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ...
แสง.....ที่สว่างจ้าจนแสบตาทำให้ต้องลืมตาขึ้นมอง แต่หนังตามันหนักมากจนลืมแทบไม่ขึ้น คงเพราะเมื่อคืนนอนดึกมากไปหน่อยจึงไม่มีแรงแม้แต่จะยกหนังตา แต่ก็พยายามฝืน
“ตุลย์.....” ผมปรือตาขึ้นพบกับใบหน้านั้น ใบหน้าที่ผมคิดถึงก่อนนอนทุกๆ วัน...
“อื้อ กูเอง” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันมาเข้าฝัน...
กระต่ายนี่มันเก่งนะ ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ไม่เว้นแม้แต่การเข้าฝันคนอื่น ผมคิดขำๆ แล้วพริ้มตาลงอีก เหมือนว่าตัวเองตื่นแล้วแต่มันแสบตาจนลืมไม่ขึ้น...
ว่าแต่สัมผัสเบาๆ ที่ค่อยๆ ทาบประทับลงมาบนหน้าผากนี่มันช่างเหมือนจริงมากกว่าฝัน เดี๋ยวนะ... ไม่ใช่แค่หน้าผากแล้วล่ะ มันเริ่มลุกลามไปที่ริมฝีปาก ปลายคางและลำคอ...
วินาทีต่อมา รู้สึกหนัก.... เหมือนโดนทับจนต้องขยับตัวดิ้นหนีแต่ขยับไม่ได้ดังใจ หรือว่าผมโดนผีอำ?
ความเย็นเยียบที่แตะลงมาที่หน้าท้องใต้เสื้อยืดทำให้เกือบสะดุ้ง และเมื่อเศษผ้าตัวบางนั่นถูกร่นรั้งขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มหนาว... จนอยากบอกให้ไอ้คุณผีช่วยปิดพัดลมเพดานตัวใหญ่ที่หมุนคว้างนั่นให้ที...
ตาย...ไอ้ปอนด์ตายแน่...ถ้าเป็นผีจริงก็คงเป็นผีที่น่ากลัวมาก เพราะถ้าผีเลือกจะแปลงร่างเป็นตุลย์มาอำก็คงเป็นผีบ้ากาม หน้ามึนที่สุดแบบไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป
ผมเริ่มตื่นตัวเมื่อสัมผัสนั้นเริ่มสมจริงขึ้นเรื่อยๆ และแทบจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อความนุ่มชื่นแตะลงที่ยอดอกเปลือย...
“อื้อ...” ผมครางอือแล้วไล่ความง่วงสุดฤทธิ์สุดเดชนั่นแล้วขืนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพที่ผมเห็นก็คือผีไอ้ตุลย์สุดเฮี้ยนที่ตามรังควาญกันได้ทั้งก่อนหลับและก่อนตื่น...
“เห็นไม่ยอมตื่นเลยไม่รอ...ว่าจะลักหลับ...” มันบอกแล้วยิ้มกวนๆ อยู่บนอก เมื่อเห็นผมลืมตาขึ้นแล้ว แบบนี้ไม่ใช่ผีหรอก กระต่ายต่างหาก!
“สัด.... มึงนี่มันหื่นตัวพ่อ....” ผมกัดฟันด่า...
“ล้อเล่นน่า ขอชื่นใจสักนิดก็จะไปแล้ว...” มันบอกแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ไปไหน?” ผมถามอย่างข้องใจ
“ไปแข่ง...” มันตอบสั้นๆ พยายามดึงกางเกงผมลง ผมตกใจรีบคว้าหมับ... ไม่ยอม...
“ถอดเร็ว....รีบ...” มันบอกห้วนๆ ด้วยน้ำเสียงของกระต่ายเอาแต่ใจคนเดิมแต่ไม่ได้ดุดันนัก
“รีบอะไรนัก...” ผมถามแบบงงๆ แต่ยกก้นขึ้นง่ายๆ
“มาเช้าๆ ก็ดีนะ ไม่ต้องทำอะไรก็เข็งแล้ว...” ปัดโธ่.... นี่มันเรื่องปกติก็ผู้ชายไม่ใช่เหรอ
“ตุลย์” ผมเรียกเสียงอ่อน เมื่อมือใหญ่สัมผัสปอนด์น้อยนั่นเบาๆ อยากจะดิ้นหนีไปให้ไกลเมื่อจมูกโด่งระไล้ไปตามซอกขา ริมฝีปากและฟันที่ขบเม้มเบาๆ ตรงขาด้านในทำให้สยิวแปลกๆ จนพยายามขยับตัวหนี...
แต่.... นักร้องตัวเล็กๆ มันจะไปต้านทานแรงนักกีฬาตัวโตกับร่างล่ำๆ นั่นได้ยังไง จึงได้แต่ต้องกัดฟันทนต่อไปอย่างนั้น...
ผมอยากจะบ้าตายเมื่อจมูกและปากมันไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วหยุดนิ่งให้ลุ้นระทึก... ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผงกหัวขึ้นมอง แต่เมื่อริมฝีปากและความนุ่มชื้นเข้าครอบงำก็ทำให้ต้องทิ้งกายลงที่เดิมอีก
“อืม.....” ผมรีบกดหลังมือลงที่ริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงตัวเองไม่ให้เล็ดลอด เมื่อถูกรุกเร้าในส่วนอ่อนไหว
เอาจริงๆ ผมอาย... แต่ความต้องการมีมากจนไม่อยากปฏิเสธสัมผัสนั้น ความเพลิดเพลินถูกขัดจังหวะเมื่อความแข็งขืนนั่นถูกปล่อยเป็นอิสระ จนผมผ่อนลมหายใจด้วยโล่งอก แต่แล้วก็ต้องตกใจเพราะแรงควายที่ค่อยยกขาผมขึ้นพับลงมา....
เดี๋ยวๆ.... มันจะทำอะไร...
ผมอยากตาย....เมื่อสิ่งที่คิดเป็นจริง ทันทีที่ปลายลิ้นไล้แตะที่ช่องทางเบื้องหลังผมก็สะดุ้งเฮือก... พยายามจะดิ้นออก แต่เป็นอีกครั้งที่รู้ว่าผมสู้แรงมันไม่ไหว... เป็นช่วงเวลาที่ผมกระสับกระส่ายไปมาและไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับความรู้สึกประหลาดที่กำลังได้รับ
“พอแล้ว... จะเอาก็เอาเลย พอแล้ว...ไม่เอาแล้ว ตุลย์” ไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่ความรู้สึกมันทรมานมาก...
ทรมานเพราะความเสียวกระสันอันน่าอาย...
ผมไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีกับตัวเองที่หนีไปไหนไม่ได้ ขอร้องให้ทำมันก็ไม่ยอมหยุด ได้แต่ทำใจว่าคนเป็นรุกมันเอาแต่ใจกันเสมอ ผมทำได้แต่กัดหลังมือตัวเองกับจิกเล็บลงบนที่นอนเพื่อระบายความคลั่ง และได้แต่อ้อนวอนมันในใจขอให้มันหยุด...หยุดทำแบบนี้สักที....
ผมควรดีใจที่ปลายลิ้นนั้นละจากด้านหลังไปได้เสียที แต่ยังไม่ทันโล่งใจได้นาน สองขาก็ถูกกางออกแล้วดึงลงไปแนบเอว ช่องทางเบื้องหลังถูกรุกล้ำจากปลายนิ้วที่บดเบียดและกดลงละน้อย จนลึกขึ้นเรื่อยๆ แก่นกายอันรุ่มร้อนถูกสัมผัสอีกครั้ง ก่อนจะถูกครอบครองทั้งหมด
การกระตุ้นทั้งหน้าและหลังนั้นทำให้ผมแทบขาดใจตาย ความต้องการมากมายที่หลั่งล้นจนได้แต่ขยับเอวตัวเองเพื่อขับไล่ความทรมานนั้นให้หายไป... และมันก็สำเร็จในเวลาไม่นานหลังจากนั้น...
ผมหอบเหนื่อย หลับตาทิ้งกายลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง... กำลังจะหลับลงไปอีก ณ นาทีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะส่วนหวงแหนยังถูกสัมผัสและไล้เลียไม่จบสิ้น...
“เฮ้ยทำอะไร... อย่า.....” พยายามจะห้ามแต่ไม่ทันแล้ว
โอ๊ย... ไอ้ตุลย์มึงทำอะไร มึงเป็นบ้าอะไร... กินทำไมเนี่ย
ฮือ.......................................
เหี้ย!!!!!!!!!!! คงไม่มีคำไหนจะดีมากไปกว่าคำนี้แล้ว.....
ผมเริ่มอยากร้องไห้เมื่อเรื่องเดินมาถึงตอนนี้ เพราะความเป็นรุกมาตลอด ผมไม่เคยถูกใครทำแบบนี้ให้ ถึงมีออรัลให้อย่างมากก็แค่ข้างหน้า ส่วนข้างหลัง ไม่เคยมีใครล่วงเกินมาก่อนจากนอกจากมัน แต่ที่ผ่านมา...แต่ถูกเสียบเฉยๆ มันก็ไม่เหมือนแบบนี้... ไม่เคยรู้เลยว่าแบบนี้มันเสียวเหี้ยๆ กว่าถูกเสียบอีก....
แล้วเรื่องที่น่าตกใจเข้าไปใหญ่ก็คือไอ้กระต่ายบ้านี่แหละ จากคนที่เอาแต่กด นึกอยากเสียบก็เสียบ เมื่อก่อนมันไม่เคยใส่ใจความรู้สึกผมสักหน่อย แม้แต่เจลมันยังใช้ไม่เป็น แต่ดูตอนนี้แม่งพัฒนายาวมาจนล้างตู้เย็นเป็นแล้ว ไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนว่ามันจะทำได้ หรือทำเป็น แล้วมันเป็นบ้าหรือไงถึงมาทำอะไรแบบที่ไม่เค้ย ไม่เคยทำเลยในชีวิต...แบบนี้
ผมเคยคิดนะว่าตุลย์แม่งเป็นผู้ชายที่มีดีตรงที่ มันหล่อ รวย หุ่นล่ำ ผู้หญิงเลยชอบมัน
หลายครั้งที่ผมคิดว่าทำไมผมถึงเสร็จมัน คำตอบเลยก็คือมันแรงเยอะกว่า และอีกข้อนึงคือผมมีใจให้มันอยู่บ้าง จึงไม่ได้ขัดขืนแบบเอาเป็นเอาตายจนอยากทำร้ายร่างกายมัน แต่ในความรู้สึกของผมคือ ถ้าผมไม่ได้ชอบมันเป็นทุนอยู่บ้างบทรักที่เน้นแรงกับความเอาแต่ใจของมันจะเป็นเซ็กที่ค่อนข้างห่วยเลยก็ว่าได้... เรียกว่าเอาแค่สะใจก็พอ...
แต่ตอนนี้ผมว่า.....บางอย่างมันเริ่มจะเปลี่ยนไปแล้ว หลังๆ มันเริ่มใส่ใจผมมากขึ้น อะไรไม่เคยทำก็เริ่มจะทำเป็นขึ้นมา และถ้ามันยังพัฒนาได้เรื่อยๆ แบบนี้ล่ะก็ ต่อไปผมจะหาข้อเสียอะไรจากมันได้ล่ะทีนี้!!!
เคยได้ยินวลีที่ว่า โลกนี้มันอยู่ยากไหม?
สำหรับผมในตอนนี้ไม่ใช่นะ
มันกลายเป็น พระจันทร์นี่ มันอยู่ยากขึ้นทุกวัน!!!!!! ขอเวลาเศร้าใจสักครู่.........
“.....ข้นนะ แสดงว่า..ไม่ค่อยได้ทำ” พูดทำไม มึงพูดแบบนี้ทำไม
หลังจากบทรักที่ทำผมสูญเสียความมั่นใจไปมากโข ไอ้ตุลย์ก็ดันเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้น้อยใจเพิ่มมาอีก
“แน่สิ ก็ใครล่ะบอกว่าห้ามทำคนเดียว... ถ้าทำให้ทำพร้อมกัน...” ผมบอกแบบประชดนิดหน่อย
“จริงเหรอ... นอกจากมีอะไรกะกูมึงไม่ได้ทำ?” มันทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ....
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่มองกลับไปอย่างไม่พอใจเป็นเชิงถามว่า.....
เหอะ!! แล้วกูจะโกหกไปทำมะเขืออะไรล่ะ คิดสิ คิดบ้าง โธ่!!
“นานนะ รู้สึกมีอะไรกันครั้งสุดท้าย ตอนไหนนะ หยุดปีใหม่ใช่ไหม? ขอโทษนะ มึงคงเหงา” เป็นอีกครั้งที่มันส่งเสียงสำนึกผิดมา ผมพูดไม่ออกทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่คุ้นชินกระต่ายเวอร์ชั่นนี้เท่าไร....
“แต่จบกีฬานี่ไป กูคงว่างเสียทีจะได้มีเวลาให้มึงมากๆ” มันบอกกลับมา
มันยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วทำหน้าโศกนิดๆ
“6โมงครึ่งแล้ว กูต้องไปแล้วล่ะ” มันบอกแล้วลุกขึ้น
“ไปไหน...”
“ไปแข่งไง”
“อ้าว แล้วมึงไม่.....” ผมอยากจะถามว่าผมเสร็จแล้ว แล้วมันไม่ทำเหรอไง แต่มันก็กระดากปาก...
“ไม่ทันแล้วล่ะ ต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะสาย....” รู้สึกเหมือนรถจะออก 7 โมง
ผมพลอยเศร้าไปด้วยเมื่อรู้สึกว่าตัวเองสบายอยู่คนเดียว...
“อย่าทำหน้าอย่างนั้น แค่นี้กูก็มีความสุขแล้วแหละ ถ้ากูอยากทำมาก คงมาตั้งแต่เมื่อคืน แต่กูกลัวใจตัวเอง กลัวจะทิ้งทวนจนมึงเจ็บหนัก เลยมาตอนเช้า บอกแล้วไง ขอแค่ชื่นใจสักหน่อยเท่านั้น” มันบอกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องน้ำ คงเพื่อล้างหน้าและเช็กความเรียบร้อยก่อนไป
มันเดินออกมาเมื่อผมดึงกางเกงมาสวมและดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอง แม้แต่ตอนนี้ยังรู้สึกหมดแรงแม้แต่จะลุกไปชำระร่างกาย
“ไปแล้วนะ...” มันบอกซ้ำเมื่อมายืนข้างเตียง
“โชคดี ขอให้ชนะ....” ดีใจ ในที่สุดก็ได้พูด
“คงงั้น เพราะกูคงเป็นนักกีฬาที่แรงเยอะสุดๆ เพราะแดกโปรตีนแต่เช้า”
บ้าเอ๊ย... ผมด่ามันในใจ แล้วได้แต่อมยิ้ม
“ไปจริงๆ แล้วนะ” มันบอกอีกครั้งแล้วก้มลงมาหอมแก้ม ซึ่งบางครั้งผมว่าไม่ลึกซึ้งร้อนแรงเหมือนจูบปาก แต่แบบนี้ก็อบอุ่นดี
“รอนะ.....ขนมปัง... อีกไม่นานกระต่ายจะกลับมากิน” มันบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป......
ผมยิ้มอย่างอาลัยกับร่างของมัน....
พร้อมกับความรู้สึกในใจที่หลั่งล้น.....
กลับมาเร็วๆ ได้ไหม... สงสารใจคนรอ... +++++++++++++++
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ (ย้อนหลัง จะลงวันที่ 14 แต่แต่งจบไม่ทัน - -)
ขอให้มีความสุขกันทุกๆๆๆๆๆๆๆ คน
อยากแต่งถึงวันวาเลนไทน์ แต่เนื้อหายังไม่ถึง คิดว่าคงเป็นตอนหน้า
ตลกตัวเองคือยืดเยื้อได้แม้กระทั่งตอนพิเศษ 5555+
พบกัน ตอนพิเศษตอนหน้านะคะ *3*