ตอนที่ 32 /2
[Tull]
ขอได้ไหมไม่เอ่ยคำนั้น เก็บเอาไว้เลย เพื่อคนอื่น....
ฉันไม่ขอฟังอย่างทนฝืน ไม่อยากรู้.... ไม่อยากเห็น
อยากหนีเพื่อทำใจ
อย่าบอกว่าเธอรักคนอื่นเลย
อย่าบอกว่าเธอเห็นเขาดีมากเท่าไร
ได้โปรดอย่ามาย้ำว่าเธอมีใจ....
กลัวมันจะร้องไห้ออกมา.... “ก็ได้ ... ร้องเพลงอื่นก็ได้....” มันเลิกจ้องหน้าผมแล้วก้มลงดีดกีตาร์ใหม่อีกครั้ง ด้วยเพลงช้าๆ สบายๆ
โชคดีที่ไอ้วอกเปลี่ยนใจทัน ใครจะรู้ถ้ามันร้องเพลงนี้จบ ผมอาจจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ เหมือนอย่างที่มันเคยทำได้มาแล้วครั้งหนึ่ง...
“เดฟ มีบุหรี่ป่ะ ขอสักมวนดิ๊” ผมหันไปถามหาของแก้เครียด ได้พ่นควันซะหน่อยคงรู้สึกดีขึ้น
“อ่ะ” เดฟส่งบุหรี่กับไฟมาให้ ผมยัดบุหรี่ใส่ปาก หันไปมองคนข้างกายที่เล่นดนตรีไม่สนใจคนอื่นเลย
“เฮ้ย มึง... จุดบุหรี่ให้หน่อยดิ” ความจริงจุดเองก็ไม่ลำบากอะไร แต่เป็นโรคจิตอยู่อย่าง เรื่องง่ายๆ บางอย่างก็ไม่อยากทำเอง ถ้ามีคนอื่นทำให้ มันรู้สึกดีอย่างประหลาด นี่หรือเปล่าก็ไม่รู้ที่เรียกว่า นิสัยชอบเรียกร้องความสนใจ...
“จุดเองดิ ไม่เห็นเหรอเล่นกีตาร์อยู่ มือไม่ว่าง...” มันตอบกลับมาแบบไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก
“มือไม่ว่าง หรือไม่มีใจอยากทำให้กันแน่” ผมถามกลับเหมือนจะน้อยใจหน่อยๆ
“อือ....คงทั้งสองอย่าง”
เหอะ!! เย็นชา โหดเหี้ยม คงไม่มีมนุษย์หน้าไหน มันกล้าตัดเยื่อขาดใยกับผมแบบนี้อีกแล้ว...
พูดแบบนี้มันเสียใจนะ แต่โกรธแล้วไงต่อ.... ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีทางง้อผมเด็ดขาด
ผมเลือกที่จะไม่ตอบอะไร ลุกขึ้นเดินไปสูบบุหรี่ที่อื่นเพื่อบรรเทาความหงุดหงิด
[pond]
เหอะ.... ไอ้กระต่ายบ้าอำนาจ ... แค่จะจุดบุหรี่สูบแน่นี้ จะใช้ทำซากอะไร หรือมันคิดว่าอยากจะโชว์ให้เพื่อนๆ มันเห็นว่าผมอยู่ใต้โอวาทอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะว่าผมจะว่าง่าย เล่นตามเกมไปหมดทุกอย่าง แค่ที่ตกกระไดพลอยโจนมาถึงขนาดนี้ก็มากเกินพอแล้ว....
“วันนี้เราคงอยู่ไม่ดึกนะปอนด์ สักสี่ทุ่มก็คงจะเอาเค้กมาเป่าแล้วแหละ รีบกลับหน่อยก็ดี ตกดึกมันอันตราย กลัวงานเข้า ทีแรกไอ้ตุลย์มันเกือบไม่มา เมื่อต้นปีมันเคยมากินเหล้ากับรุ่นพี่แถวนี้ แล้วขากลับเจอพวกอันธพาลมีเรื่องกะเด็กที่คณะ ไอ้ตุลย์มันก็เลือดร้อนเข้าไปช่วย เลยโดนตีหัวเลือดอาบกลับมา กูขำซึด ฮ่าๆๆ” เดฟเล่าพลางหัวเราะสะใจ
ประสาท เพื่อนโดนตีหัวมาแทนที่จะสงสาร เห็นใจหรือโกรธแทน ดันหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง
“แล้วรู้มั้ยว่ามันตีกันเรื่องอะไร พอไอ้ตุลย์มันรู้นะ มันบ่นพึมเลย” เดฟถามต่อด้วยท่าทีสนุกสนาน ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเดฟนิ่งๆ พออีกฝ่ายเห็นสายตาผมก็ชะงักไป
“แล้วไงต่อล่ะ เล่าต่อสิ....” ผมถามตามมารยาททั้งที่ไม่อยากรู้เลยสักนิดเดียว
“เอ่อ.. ไม่มีอะไรหรอก กูว่าตอนนี้มันคงเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ”
เดฟยิ้มให้ผมเหมือนมีความสุขอะไรสักอย่าง แล้วหันไปยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไม่พูดอะไรต่อ
ความคิดคนเราเปลี่ยนได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ผมยกมุมปากแสยะยิ้ม... ก้มหน้าลงมองกีตาร์ แล้วก็รู้สึกคิดถึงใครบางคนขึ้นมา...
ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเธอ
ใจมันเคยบอกตัวเองเสมอ
ว่าเธอนั้นเป็นสุขไปแล้ว
ทุกครั้งที่ฉันเห็นภาพเธอ
วันคืนเก่าๆ ก็กลับมาเสมอ
แต่เธอนั้นจะไม่กลับมาแล้ว
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันไม่เคยพูดสักที
และมีอีกหลายอย่างที่ไม่เคยทำจนวันนี้.....
รัก..... รักเธอทั้งหมดของหัวใจ
สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน เธอได้ยินไหมคนดี
อยากขอ....ให้ความรู้สึกที่ฉันมี
ส่งไปถึงเธอที่แสนดี......ว่าชีวิตนี้ฉันมีเธอ
เป็นดั่งความฝัน.... จะพบกันอีกได้ไหม?
วืด.... บางอย่างที่วาดผ่านอากาศมาลอยอยู่ตรงหน้าทำให้ผมขมวดคิ้ว
หมุนคอตามกระเป๋าหนังใบที่คุ้นตาผ่านท่อนแขนไปมองหน้ากระต่ายหน้ามึนตัวเดิมด้วยสายตาไม่พอใจ
“อะไรอีก?”
“ติ๊บไง ถูกใจมาก ทั้งกระเป๋ายังไม่พอเลย”
“กวนตีน...” ผมเอ่ยตอบแล้วเสหันไปทางอื่น ไม่สนใจมันที่เริ่มทรุดกายที่เพียงแค่นั่งยองๆ ทีแรกเปลี่ยนเป็นหย่อนก้นลงข้างๆ ไม่วายหันหลังพิงผมแบบทิ้งตัวเต็มที่จนผมเล่นกีตาร์ไม่ได้
“อย่างพิงดิ หนัก” ผมโวยวายอย่างรำคาญใจอีกครั้ง มองตามเพื่อนไอ้ตุลย์ที่เริ่มลุกขึ้นเหมือนจะหนีพวกเรา
เฮ่ย... จะไปไหนกันวะ
“มึงรู้ไหม?” มันถามขึ้นมาแบบไม่ใส่ใจคำพูดของผมเลย “ตอนที่กูได้เจอมึงครั้งแรก มึงก็ร้องเพลงนี้แหละ”
“เหรอ?” ผมตอบ แบบใส่ใจมาก ไม่ได้อยากรู้ จะบอกทำไมวะ?
“กูซึ้งซะจน....” หูฝาดป่ะเนี่ย ซึ้งเป็นกับเขาด้วยเหรอ?
“จนอะไร?” ผมขมวดคิ้วหันไปมองหน้ามันตั้งใจฟัง
“จน.....จน....ทนไม่ไหวให้ติ๊บมึงไปตั้งเยอะ”
“โธ่เอ๊ย... นึกว่าอะไร” ผมบ่นแล้วส่ายหน้าระอาใจก่อนจะก้มหน้าลงมองสายกีตาร์
“ตั้งแต่วันนั้น กูต้องไปริมทางอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ถึงมึงจะไม่ได้ร้องเพลงนี้อีกเลย กูก็ยังจำได้ว่ามึงร้องได้เพราะแค่ไหนอยู่ดี ถือว่าเป็นการพบกันครั้งแรกที่น่าประทับใจล่ะนะ”
“ประทับใจเหรอ? มึงแน่ใจเหรอว่ามึงเจอกูครั้งแรกตอนนั้นจริงๆ”
ไอ้ตุลย์เงียบ มันมองหน้าผมด้วยใบหน้าที่แสดงถึงคำถาม
แต่เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ....
“ขอโทษนะที่ขัดจังหวะ”
ผมหันไปมองเดฟที่กลับมาอีกครั้ง เพิ่งรู้ว่าพวกมันคงไม่ได้ตั้งใจปล่อยผมไว้กับตุลย์เพียงแต่มันไปเอาเค้กมา เค้กที่ปักเทียนไว้หลายอันแต่ยังไม่ได้จุดไฟ
“ช่วยๆ กันเอามือบังหน่อย ลมมันแรง ที่จริงจุดมาตั้งหลายครั้งแล้วแต่ดับระหว่างเดินมา” เดฟบอกยิ้มๆ ไอ้ตุลย์ ยื่นมือไปบังเค้กให้อย่างว่าง่าย ผมถอนใจเบาๆอย่างเอือมๆ ช่างเป็นเซอร์ไพร้ส์วันเกิดที่บ้าบอที่สุด ต้องให้เจ้าของวันเกิดเอามือบังเทียนที่ดับตั้งแต่ยังไม่ได้เป่า แล้วก่อนจะมาไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยหรือไง จะมาเลี้ยงวันเกิดอะไรกันที่ชายหาดวะ
“วันเกิดใครวะ” ไอ้ตุลย์ถามเสียงนิ่งๆ ทำหน้างง หันมองหน้าคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
แล้วก็หันมามองหน้าผม จะบ้าเหรอ? เพื่อนมึงทั้งนั้นละจะมามองหน้าผมทำแป๊ะอะไร
“ยังไม่ถึง แต่ฉลองล่วงหน้า พรุ่งนี้วันเกิดมึงแล้ว ใจคอมึงจะลืมวันเกิดตัวเองทุกปีเลยไหม?” เดฟเป็นคนตอบ
“ก็ไม่ได้สำคัญอะไรนี่ แม่เราเจ็บท้องแทบตาย”
“โห... เพื่อนอุตส่าห์ จัดงานให้ ขอบคุณสักคำสักคำไม่มี ยังจะบ่นอีก เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลย"
“กล้าป่ะล่ะ? เดี๋ยวกูเอาส้งตีนยัดปากซะหรอก” ตุลย์ขู่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังมากนัก
เอาจริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นคนน่ากลัว โมโหร้าย ชอบหาเรื่องอย่างที่คิดหรอกนะ
ผมก้มลงมองเทียนแล้วเห็นเทียนดับไปอีกหลายเล่มเลยต้องเงยหน้าขึ้นขัดคอคนข้างๆ
“กูว่าเป่าเค้กเถอะว่ะ เห็นไหมว่าเทียนดับอีกแล้วเนี่ย”
ทุกคนเห็นด้วย ....และเราเริ่มร้องเพลง Happy birthday ร่วมกัน
งานเลี้ยงเลิกเร็วกว่าที่คิด เพราะตกดึกแล้วแถวนี้ไม่ค่อยปลอดภัย ความจริงเดฟมันอยากปิ้ง ย่าง อาหารทะเลสดๆ เอาบรรยากกาศมากกว่า ก็เลยเลือกมาที่นี่
ระหว่างที่คนอื่นๆ เก็บของผมโดนยัดเค้กชิ้นนึงใส่มือ ไล่ให้นั่งรอห่างๆ ไม่ต้องทำอะไร ผมก็เลยถอยมานั่งอยู่ตรงแนวกำแพงหินที่สร้างกั้นน้ำทะเล ดึกแล้วน้ำขึ้นสูงพอสมควร ดีหน่อยที่ช่วงนี้ทะเลไม่เหม็นขี้ปลาวาฬ ไม่งั้นคงมานั่งแถวนี้ไม่ลง
เก็บของไม่ทันเสร็จ ไอ้ตุลย์ก็หนีงานเดินมานั่งอยู่ข้างๆ
“มึงรู้ล่วงหน้าก่อนมาแล้วใช่ไหมว่า เดฟมันจะฉลองไรแบบนี้” ตุลย์ถามขึ้นมา
“อือ” ผมตอบรับด้วยเสียงในลำคอ ไม่ได้ใส่ใจ
“ไหนอ่ะของขวัญ” มันแบมือมาตรงหน้า
“เรื่อง....ไม่ใช่ธุระ” ผมตอบอย่างไร้เยื่อใย มันหัวเราะในลำคอแล้วชักมือกลับ
“นึกอยู่แล้ว ถึงมึงจะรู้ล่วงหน้าก็คงไม่ใส่ใจอยู่ดี ช่างเถอะ วันเกิดมันก็แค่วันธรรมดาวันนึง แค่ข้ออ้างที่รวมเพื่อนๆ มากินเหล้าพร้อมหน้าพร้อมตาเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่แล้ว กูว่าแทนที่จะมาฉลองกันเอง กลับไปขอบคุณแม่ดีกว่าอีกอุตส่าห์อุ้มท้องมาตั้งสิบเดือน”
“เออ... ยิ่งเป็นมึงอ่ะ ต้องขอบคุณให้มากนะที่แม่เค้าอุ้มท้องแล้วคลอดออกมายังอุตส่าห์เลี้ยงมึงโตได้ ถ้ากูมีลูกแบบมึงอ่ะ เอาขี้เถ้ายัดปากไปละ”
“นอกจากไม่ให้อะไรแล้ว ยังจะพูดแบบนี้อีกนะมึงนี่มันเหลือเกินจริงๆ”
ไอ้งกเอ๊ย.... กูเพิ่งล่วงหน้าว่าจะวันเกิดมึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเอง ใครมันจะไปหาของขวัญทันวะ บ้ารึเปล่า?
“กูว่าของขวัญน่ะมันไม่ได้สำคัญหรอก แค่มีคนจำได้ มันก็น่าดีใจแล้ว” แต่กรุณาอย่ารวมผมเข้าไป เพราะผมเพิ่งรู้ว่ามันเกิดวันไหนเมื่อเย็นนี้เอง ถึงรู้ล่วงหน้าก็ไม่คิดจะจำอยู่ดี และกว่าจะถึงวันเกิดของมันอีกที ..... เราอาจจะไม่ได้......
“เหรอ? งั้นมึงเกิดเมื่อไร”
“ถามทำไม?”
“ก็เอาไว้ถึงวันนั้น กูจะทำให้มึงดีใจไง”
“เหอะ...ไม่บอก ถึงบอกไปก็เท่านั้น มึงจะจำได้ยังไง ขนาดวันเกิดตัวเองยังลืม...”
“ก็คงมัวแต่คิดถึงคนอื่นอยู่มั้งเลยลืม”
“น่าสงสารนะ คนๆ นั้นคงโคตรโชคร้ายอ่ะ”
“กูคิดถึงใครแล้วเขาจะโชคร้ายจริงดิ? งั้นมึงระวังตัวไว้ให้ดีเลยนะ....” มันทำเสียงจริงจัง ส่งสายตาเครียดมาหา
“ทำไม?.....” ผมถาม แต่มันเงียบแล้วค่อยๆ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องเอียงหัวหนีโดยอัตโนมัติ
“ก็สงสัยมึงคงจะโชคร้ายไปอีกนาน”.........................
[นับว่าเป็นพาร์ทสองของตอนที่แล้วนะ อาจจะสั้นบ้างแต่่คิดว่าไม่ได้สั้นจู๋นะ ....]
อ้อ......ตอนจบมีคนยิ้มไหมอ่ะ?
เคยพูดเมื่อตอนที่แล้วว่า ... ถ้าตอนนี้ไม่ยิ้มให้เตะ
แต่ที่จริงตอนนี้มันยังไม่ถึงตรงที่บอกว่าจะยิ้มเลย.... ยังมีอะไรจะเขียนต่ออีกเยอะ แต่มันติดอะไรก็ไม่รู้ ทำให้กว่าจะเรียงเรื่องราวได้มันนานจนเหนื่อย ก็เลยตัดออกเป็นท่อนๆ
ถ้าคิดว่าตอนนี้ ยังยิ้มไม่พอ เอาไว้รอยิ้มตอนหน้าละกัน อย่าเพิ่งยกขาเตะนิ .....
ส่วนอารมณ์ของเรื่อง อาจจะหน่วงๆ หน่อย อันนี้ไม่มีข้อแก้ตัว แต่มันเป็นลักษณะของเรื่องและวิธีการแต่งส่วนตัวของนิอยู่แล้วอ่ะค่ะ มีทั้งหวาน เผ็ด ขม(ขื่น) กันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ จัดจ้านนัก หวังว่าคนอ่านคงเข้าใจเนอะ
ไหนๆ ก็อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้ อยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะจบละกัน