ขอบคุณทุกท่านสำหรับความคิดถึงนะคะ
ไม่ได้เขียนน้องฐายาวๆ มาปีนึงแล้ว สินะ T^T
+++++++++++++++++++++++++++++++++
sp.......น้องฐาพาไปเที่ยวววววววว
กราบ.... สวัสดีเหล่าแม่ยกทั้งหลายทั้งปวง ห่างหายไปนานไม่รู้ยังมีคนคิดถึงกันอยู่บ้างหรือเปล่า
ตอนนี้หนูเรียนปี 4 เทอมสุดท้าย อยากบอกว่าหน่วงมาก ด้วยความเขลาแล้วดรอปไปเทอมนึงทำชีวิตหนูหนูโหดหฤหรรษ์ที่ต้องมาตามเก็บหน่วยกิตกันแบบอลังการงานสร้างแต่ถ้าไม่เรียนแบบเพิ่มหน่วยจนเกินพิกัด บอกเลยได้มีปี5 ไม่เอาอ่ะ เพื่อนเรียนจบกันไปหมดแล้วเหลือเราโดดเดี่ยวเดียวดายเป็นกะเทยเฝ้ามหาวิทยาลัยก็กระไรอยู่
แต่ตอนนี้ก็ผ่อนคลายไปได้มากแล้ว เพราะมันแบบสุดท้าย ท้ายสุดคือแหลือแต่รายงานนิดหน่อย กับสอบไฟนอล ตอนนี้ไม่หวังเกรดอะไรมากขอให้จบพอแล้วค่ะ สาธุ
จบรายงานสถานการณ์ตรึงเครียด มาเข้าสู่โหมดสบายๆ กันบ้าง
บอกเลยช่วงนี้น้องฐากำลังแซดๆ เพราะอยู่ในช่วงลดความอ้วน ก็คุณสามีบอกน้องฐาหน้าบวม
บงบวมอะไรกันเค้าเรียกมีน้ำมีนวลหรอกย่ะ....
ที่จริงก็ไม่อยากจะวอรี่เอาไปคิดมาก ถ้าไม่ใช่ว่าช่วงนี้เข้าช่วงเทศกาล น้องฐาก็เลยหวาดระแวงเกรงคุณพ่อค้าจะเอาหนูไปชั่งกิโลขาย เอาเงินไปซื้อของไหว้ตรุษจีน....
อ้อใช่ค่ะ ตอนนี้เข้าช่วงตรุษจีน ถามว่าหนูทำอะไร?
หนูก็เป็นลูกกตัญญูกลับบ้านไปช่วยแม่ห่อขนมเทียน ทำขนมเข่ง อั๊ยยะ ทำไปขายนะคะ ไมได้ไหว้อะไรกับเค้า พอดีที่บ้านไม่มีเชื้อจีน (ถ้าจะมีก็มีแต่จีนเตี๊ยค่ะ) แต่ไม่ต้องห่วง ของกินนี่อลังการ เพราะหรอยจากข้างบ้านเอาได้
ส่วนพี่โต้งล่ะทำอะไร? แน่นอนรายนั้น ต้องมีเชื้อจีนอยู่แล้วเล่นตาตี่ตี๋ขาวเวอร์ หน้าซีดเป็นพระเอกแวมไพร์ทไวไลท์แบบนั้น พี่โต้งก็ไหว้ค่ะ บอกว่าไหว้ตอนเช้าแล้วตอนบ่ายๆ จะขับรถมาหา แหม.....เกรงใจจริงๆ บ้านหนูอยู่ตั้งไกลต้องให้ถ่อมา แต่ถ้าพี่เขาอยากมาก็ไม่อยากขัดคะนะ เผื่อจะมีแต๊ะองแต๊ะเอียติดมือมาบ้าง อิอิ
“สวัสดีครับ” บ่ายแก่ๆ เสียงพี่โต้งก็ดังขึ้น... หนูหันไปมองคุณพ่อค้าหอบหิ้วถุงบางอย่างเดินเข้ามาในบ้านแล้วยกมือไหว้แม่กับยายที่อยู่ในบ้านพอดี
แม่หันไปรับไหว้ลูกเขยด้วยรอยยิ้ม เอาจริงๆ คนบ้านนี้ใจดี ใจอ่อนกันทุกคน อย่างพี่โต้งนี่หายหน้าหายตาไปตั้งนาน พอกลับมาอีกแม่ก็ไม่ถามเลยสักคำ คงเพราะแม่คิดว่าสิ่งที่หนูเลือกคือสิ่งที่ดีที่สุดและทำให้หนูมีความสุขที่สุดล่ะมัง
1 ปีมาแล้วพี่โต้งแวะเวียนมาที่บ้านหลายต่อหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะแวะมาส่งหนูกลับบ้านตอนช่วงเทศกาลที่หยุดยาวๆ เพราะพี่โต้งทำงานที่กทม. ส่วนหนูเรียนอยู่ต่างจังหวัด เราจึงไม่ได้อยู่ด้วยกันเจอหน้ากันทุกวันอย่างเมื่อก่อน แต่รักทางไกลไม่ค่อยสร้างปัญหาเท่าไรเพราะโลกเซเชียล บางทีก็ไลน์ บางทีก็สไกด์คุยกัน อีกอย่างพี่โต้งแวะมาหาบ่อยมากช่วงวันหยุดเทศกาล หรือบางทีเสาร์อาทิตย์ที่คิดถึงก็ยังมา เลยไม่รู้สึกว่าห่างมาก แต่รู้สึกว่าคิดถึงตลอดเวลา บางทีถ้าหนูจะกลับบ้านเขาก็ขับรถมาส่ง ถือว่าเป็น 1 ปี ที่ใช้พิสูจน์ใจเลยก็ว่าได้ อาจจะเพราะเราทั้งสองคนก็ต่างโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เลยอดทนมากขึ้น และอาจจะรักกันมากขึ้นด้วยมั้งนะ ต่างคนก็ต่างพยายามปรับตัวเองและประคับประคองความรักนี้ให้ยาวนานไปอีก
ต๊าย..... เขียนอะไรมีสาระเป็นด้วยนะเรา เขินจัง
“ซื้ออะไรมาคะ” หนูลุกขึ้นไปรับของที่หิ้วมาฝากพร้อมกับถาม
“ขนมเปี๊ยะ”
“ฮะ!!”
“ขนมมงคล เจ้านี้อร่อยนะ ลองชิมแล้วจะติดใจ”
โถๆ ไอ้เราก็นึกว่าจะหิ้วเป็ดไก่ ขนมข้าวต้มของไหว้มาฝากบ้าง ที่ไหนได้ กลายเป็นขนมเปี๊ยะ ซื้อเอาแถวนี้ก็ได้มั้งพี่
หนูข่มความผิดหวังที่ไม่ได้ของกินที่ต้องการแล้วดึงถุงขนมจากมือพี่โต้งไปส่งให้แม่
“ขอบใจนะที่ซื้อมาฝาก ยี่ห้อนี้เค้าอร่อยและดังอยู่นะ แต่ดูท่าฐามันคงไม่ค่อยชอบเท่าไร”
“ครับ ไม่ชอบก็ดี กินมากเดี๋ยวกลมกว่าเดิม...” พี่โต้งหันไปคุยกับแม่แต่ทำไมมากระทบหนูได้ล่ะ
ม่ายยยย ไม่ได้กลม อย่ามาใส่ความปรักปรำกันอย่างนี้ อีพี่โต้งใจร้ายยยย ฮือ.....
มันน้อยใจกะเทยเหลืออนาถ เกลียดพี่โต้งใจร้ายๆๆๆ ไม่คุยด้วยแล้ว หนูเบะหน้าแล้วเดินเลี่ยงหนีไปทางอื่น
“เป็นอะไรเรา....” พี่โต้งทักด้วยเสียงเริงร่า หลังจากมาหักหน้าด่าคนอื่นว่าอ้วนแล้วยังจะมาทำเหมือนไม่มีอะไร
งอน..... ถ้าน้ำหนักขึ้นแค่ 2 กิโลแล้วแปลว่าอ้วน เค้าก็อ้วนกันทั้งประเทศแล้ว... ฮึก ฮึก
สวบ ระหว่างที่กำลังงอนจนตูดบิด พี่แกก็เดินมากอดจากช้างหลังแนบหน้าลงบนไหล่ แต๊ะเอียก็ไม่ได้ แถมยังโดนแต๊ะอั๋งเสียอีก หนูแสร้งทำเป็นสะดีดสะดิ้งดีดดิ้นด้วยมารยาสาไถ
“ปล่อยค่ะ หนูมันอ้วน จะมากอดทำไม...”
“อะไร ใครบอก ใครว่าน้องฐาอ้วนคะ ปากไม่ดีเลย”
หนูหมุนตัวกลับไปมองหน้าด้วยดวงตาเขียวปั้ด ก็มันใคร ก็ใครกันล่ะยะ....โธ่!!!!
“โอ๋... ล้อเล่นนิดเดียวเองทำเป็นงอนไปได้ ไม่อ้วนหรอกค่ะ กำลังนุ่มมือ กอดแล้วอุ่นดีต่างหาก....”
เชอะ! เบื่อพ่อค้าเจ๊กเวลาขายเสื้อ ตัวเล็กก็หาว่าซักแล้วยืด ตัวโตก็หาว่าซักแล้วหด พลิกลิ้นไปมาน่าโมโห
“หายงอนแล้วได้แล้ว หน้าบึ้งนานๆ เดี๋ยวตีนกาขึ้นนะคะ”
อะไร... หาว่าอ้วนไม่พอหาว่าแก่อีก เดี๋ยวเหอะ!!!
“เลิกทำหน้าบึ้งได้แล้ว เดี๋ยวพี่พาไปเที่ยวดีไหม?”
เที่ยว....เที่ยว..... เที่ยว..... จะว่าไปก็ไม่ได้เที่ยวตั้งนานแล้วอ่ะนะ.....
ข้อเสนอเล่นเอาหายงอนเป็นปลิดทิ้ง แต่ต้องซ่อนเก็บไว้แต่ในใจเดี๋ยวหาว่าหายงอนง่ายเกินไป
“ทะเลไหมคะ ไปหาอาหารทะเลกินกันริมหาด...”
“ไม่เอาอ่ะ ไปทะเลเดี๋ยวดำ....”
“ไปน้ำตกไหม?”
อืม...ก็น่าสน.....
ชวนแม่ไปด้วยค่ะ แต่แม่ขอผ่าน บอกว่าปวดๆ เมื่อยอยากพัก แต่หนูว่าแกไม่อยากไปขัดจังหวะของคู่รักเสียมากกว่า เลยได้ไปเที่ยวกับพี่โต้งแค่สองคน
น้ำตกอยู่ไกล.... นั่งรถไปเป็นชั่วโมง เลยรู้สึกเหมือนไม่ค่อยคุ้ม เพราะพอมาถึงก็ได้นั่งรับลมเย็นฟังเสียงน้ำไม่นานก็ต้องกลับ และเพราะมาตอนใกล้ปิด หนูเลยไม่ได้ลงเล่นน้ำให้ชื่นใจเลยด้วย ได้แค่เดินถ่ายรูปตามป้าย และวิวทิวทัศน์ระหว่างทางเท่านั้น ดังนั้นหนูจึงรู้สึกว่าเที่ยวไม่อิ่มเท่าไร เลยยังไม่อยากกลับบ้านเลยค่ะ ระหว่างนั่งอยู่ในรถนั่นเองป้ายข้างทางก็ทำให้ยิ้มบอกแล้วหันไปเรียกคนขับทันที
“พี่คะ.....”
“หือ....”
“พี่นับถือพุทธหรือเปล่าคะ?”
“ใช่ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เข้าวัดเข้าวาทำบุญมานานแล้วเหมือนกันนะ”
“ไปกันไหมคะ วันนี้?”
“ตอนนี้เนี่ยนะ มันเย็นแล้วนะคะ” พี่โต้งหันมาทำหน้าแปลกใจ แต่ก็เจอสายตาเป็นประกายปิ๊งปั๊งของหนูที่มองสบ
“เย็นก็ไปได้.... ไปนะคะ หนูอยากปิดทอง....”
“โห พี่ดูวัดสิ ซ้วยสวย...” หนูชี้ชวนดูวัดที่ตั้งอยู่บนเขา ประดับไฟ มองไกลๆ แล้วงามมาก พอรถวิ่งเข้าใกล้ทางเข้ามีป้ายดูเด่น บอกทางให้ไปทำบุญ หลังยูเทิร์นเราเลี้ยวรถเข้าไปตรงป้ายทางเข้าแล้ววิ่งไปตามทาง แต่วัดสวยๆ ที่เห็นตอนแรกกลับไม่ใช่วัดที่มีงานปิดทองฝังลูกนิมิต เราเลยต้องเดินทางกันต่อไปอีก
วัดอยู่ไกลมาก ทำให้ต้องตามแสงไฟไปเรื่อยๆ ดีที่ระหว่างทางไปวัดประดับประดาไฟโยงสองฟากไปตลอดทางอย่างกับไฟศาลเจ้าเลยดูเพลินตาดี พอถึงทางแยกก็มีจนท.มายืนโบกรถให้ด้วย พอเราถึงวัด แสงไฟนี่ระยับจับตาน่ามอง ไฟประดับสว่างจ้าทั้งๆ ที่มืด อลังการจนกลัวเงินทำบุญไม่พอจ่ายค่าไฟ
รถเยอะพอสมควร แต่ก็หาที่จอดรถได้ หนูรู้สึกตื่นเต้นกับไฟประดับที่ตกแต่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่มองแล้วเหมือนฝนดาวตก นอกจากนี้สิ่งแรกที่เห็นก็คือซุ้มปาโป่ง... อยากเล่น อยากเข้าไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...
“ไหนว่าจะมาทำบุญ มองของเล่นอย่างแรกเลยนะเรา” พี่โต้งสัพยอก ทำเอาหนูเขิน แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินนำเข้าไปในวัด
“แลกเงินก่อนเลยพี่ เอาแบงค์ 20 มาสักสองสามร้อย” หนูหันไปบอกคนที่ยืนงงแต่พยายามทำตัวนิ่งๆ ไม่กระโตกกระตาก ก็พี่โต้งน่ะแกไม่เคยมาปิดทองฝังลูกนิตนี่คะ บอกว่าเคยแต่ปิดทองแบบลูกเดี่ยวๆ หรือไปไหว้พระทั่วๆ ไปเท่านั้น
พี่โต้งเดินไปยังจุดแลกเงินอย่างว่าง่ายหลังหนูชี้ทางสว่าง ส่วนหนูเดินไปซื้อดอกไม้บูชาเผื่อพี่เขาด้วย
“ทางนี้ค่ะ...” เมื่อได้ดอกไม้มาแล้ว หนูก็เดินไปหาพี่โต้งที่ยืนรออยู่ แล้วจับจูงคนตัวสูงกว่าให้เดินตามไปยังโต๊ะที่ถูกจัดไว้ให้ ดูเหมือนพี่เขางงกับของที่หนูส่งให้นิดหน่อย
หนูนั่งลงเทของที่ได้ออกมาจากซอง วัดนี้ดูดีจังมีซองใส่ให้ด้วยแต่เทลำบาก โดยเฉพาะทองคำเปลว
“มีเข็มกับด้ายด้วย?” พี่โต้งบอกทำเสียงแปลกใจนิดหนึ่ง
“ช่าย....มันมีความหมายนะ ด้ายช่วยให้ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้ามีความผาสุกอย่างต่อเนื่อง เข็มช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม ความจำดี ร้อยตอนนี้เลยพี่ ถ้าเข้าไปร้อยในโบสถ์นี่ไม่ไหว คนเยอะเดี๋ยวโดนเข็มทิ่มเปล่าๆ” หนูบอก แล้วพยายามร้อยด้ายใส่เข็มตัวเองอย่างตั้งใจ
“กระดาษนี่เขียนชื่อใช่ไหม”
“ช่าย... เค้าให้เขียนคำอธิษฐานไว้ข้างหลังนะ แต่ถ้าเป็นแม่หนู แม่จะเขียนว่าอุทิศส่วนกุศลให้ใครบ้าง อะไรอย่างงี้” หนูเริ่มจ้อแล้วหยิบกระดาษมาเขียนชื่อตัวเองใส่ลงไป พับกระดาษพันกับดินสอและม้วนด้ายแล้วเอาเข็มจิ้มไว้อีกที
เนื่องด้วยจน ติดโพธิ์เงินกับโพธิ์ทองอันละยี่สิบบาทก็พอมั้งเนี่ย เงยหน้าขึ้นมาดูของสามี ติดใบละ100 อนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ
เราสองพากันไปไหว้พระวางดอกไม้ ปักใบโพธิ์ แล้วก็กุมมือกันเข้าโบสถ์แต่ว่า
“น้องฐาถืออะไรอยู่?”
“ทองคำเปลวค่ะ....”
“ทำไมพี่ไม่เห็นมีเลย?”
“ไม่มีได้ไงมันก็อยู่ในซองที่เขาให้มานั่นแหละ...”
“.......” นิ่ง....
“ไม่ได้เอามาแหงเลย” หนูคาดเดาแล้วก็รีบเดินกลับไปยังโต๊ะเดิมที่มีคนมานั่งต่อแล้ว โชคดีค่ะ โชคดีที่ทองคำเปลวยังอยู่ดีไม่หายไปไหน เหอๆ สงสัยคุณพี่โต้งจะสายตายาวเลยมองไม่เห็นของสำคัญ ไม่มีทองคำเปลวแล้วจะเรียกว่ามาปิดทองได้ยังไงคะ? โธ่!
โฆษกเค้าพูดดีไปหมดจนพี่โต้งควักได้ทุกด่าน ไม่ว่าจะเป็นผ้าป่าลอยฟ้า หรือเติมน้ำมันตะเกียง หนูเดินเข้าไปในโบสถ์ก็ชวนพี่โต้งซื้อที่ดินกันคนละร้อยไร่ จนท.บอกว่าจะเอากลับบ้านหรือเอาไปฝังก็ได้ เรานั่งไหว้พระในโบสถ์ และอธิษฐานกันอยู่นาน แล้วนำเข็มด้าย ใบเขียนคำอธิษฐาน+โฉนดใส่ลงไปใต้ลูกนิมิต ตามความเชื่อเขาจะนำของพวกนี้ไปฝังพร้อมกับลูกนิมิต เพื่อให้คำอธิษฐานอยู่ใกล้เขตพัทธสีมา อยู่ใกล้พระพุทธองค์ เพราะเขตพัทธสีมาเป็นเขตแห่งผู้ชนะมารทั้งปวง
เราเดินปิดทองอย่างไวมาก ตั้งแต่ลูกแรกในโบสถ์ ลูกที่สองทางทิศตะวันออก(หน้าโบสถ์)จนครบ9ลูก มีแวะทำบุญวันเกิด (พระประจำวัน) บ้างแล้วรีบกลับ เพราะหนูเริ่มหิวจัดเลยรีบเดิน จนจะกลับอยู่แล้ว ยังอุตส่าห์แวะทำบุญตีฆ้องอีก... ถือว่าเป็นอีกวันที่อิ่มบุญ พี่โต้งก็เหมือนจะสนุกคงเพราะแกไม่เคยมาเที่ยวงานแบบนี้
ขากลับหนูกับพี่โต้งแวะทานข้าวต้มกุ๊ยระหว่างทางกลับบ้าน
“วันหลังมากันอีกไหมคะ” พี่โต้งชวน ต๊ายยย มีติดใจ
“คงต้องปีหน้าแล้วล่ะค่ะ ปกติปิดทองฝังลูกนิมิตเค้ามีตอนช่วงตรุษจีน”
“จริงเหรอ? ทำไมล่ะ เกี่ยวอะไรกันเหรอ?”
“อืม... หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่ามันมีช่วงนี้ทุกปีแค่นั้น” ทีแรกก็ไม่รู้ค่ะ แต่พอไปหาข้อมูลแล้วจึงรู้ว่ามันไม่เกี่ยวกันเลย แต่วัดทั่วไปนิยมจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตพร้อมกับเทศกาลตรุษจีนก็เพราะว่าคนจีนเป็นผู้ที่มีศรัทธาในการทำบุญมาก และมีวันหยุดเพื่อจะไปเที่ยว ส่วนหนึ่งก็จะมาทำบุญปิดทองฝังลูกนิมิตกันนั่นเอง
“ถ้างั้น... ปีหน้า...แล้วก็ถัดๆ ไป ค่อยมาด้วยกันใหม่นะคะ” พี่โต้งชักชวนด้วยรอยยิ้ม....
“ค่ะพี่.....” หนูตอบแล้วยิ้มหวาน
ขอให้เราได้มาทำบุญปิดทองด้วยกันอย่างนี้ทุกๆ ปี จนแก่ จนเฒ่า เลยนะคะ
ความสุขใจทำให้น้องฐาหันไปสั่งข้าวต้มเพิ่มอีกถ้วย และอีกถ้วย
อิ่มบุญและอิ่มตื้อ
แต่เอ๊ะ เหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง........
อ้อรู้แล้ว.................
ลืมตัวกินเยอะไปหน่อย
แอร๋ย....หวังว่ากลับไปคราวนี้น้ำหนักคงไม่ขึ้นอีกนะ!!!!
++++++++++++++++++
สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะ
++++++++++++++