เห็นมีเพื่อนเข้ามารออ่าน ก็รู้สึกผิด นะครับ พอดีเป็นช่วงเช็คสต็อกประจำปีของลูกค้าเลยวุ่น ๆ หน่อย
วันนี้มาต่อให้แล้วนะครับ ใครลืมที่มาที่ไปก็กลับไปอ่านใหม่นะครับ

ข้าวของที่ผมจะสามารถเอามาด้วยได้ก็คงแค่เสื้อผ้าชุดทำงานเท่านั้น ผมเป็นคนแบกระเป๋าไอพี่ลมเป็นคนขับ นั่งซ้อน
รถมอเตอร์ไซค์ในมือหอบแค่กระเป๋าสองใบ ใครผ่านมาเจอเค้าคงไม่คิดว่านี่เป็นการย้ายห้องหรอกครับ คนอื่นเค้าคง
จะมองว่าผมหอบเสื้อผ้าหนีตามผู้ชายมากว่า เห้อ ๆ คิดแล้วก็อนาถตัวเอง ระหว่างที่กลับ ไอพี่ลมแวะรับโทรศัพท์ที่
ข้างทาง ผมก็พอเดาได้ว่าใครโทรมา ผมไม่ได้แอบฟังแต่มันอยู่ใกล้ซะจนชัดเจนในทุกคำพูด
“ อืม ขับรถอยู่” ไอพี่ลมตอบ ขณะเลี้ยวรถจอด
“ขับรถไปไหน ทำไมไม่รอเค้า” เสียงพี่แดงลอดผ่านโทรศัพท์
“ มาขนของช่วยไอพงษ์มัน ย้ายห้องวันนี้”
“ ทำไมต้องไปช่วยมันด้วย”
“ มันไม่มีรถ แล้วก็ไม่มีใครก็ต้องมาช่วยสิ”
“แล้วเค้าละ ทำไมไม่รอเค้าเลิกงานก่อน ทำไมอะไร ๆ ก็มีแต่พงษ์ ๆ ๆ ด้วย”
“นี่...อย่างี่เง่าได้ไหม ตัวเองก็ยังไม่เลิกไม่ใช่เหรอ”
“ จะเลิกแล้วจะกลับตอนนี้ มารับด้วยเร็ว ๆ แล้วทีหลังจะไปไหนบอกด้วย โดยเฉพาะไปกับไอพงษ์ เค้าไม่ชอบ”
“...............................” สิ้นเสียงของพี่แดง สัญญาณก็ตัดไปแล้ว
พี่ลมไม่พูดอะไรต่อ เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง มีเพียงเสียงถอน
หายใจยาว ๆ ที่เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยิน ส่วนผม นั่งก้มหน้าจ้องมองที่กระเป๋าผ้าในมือ รู้สึกว่าตัวเองตัวชา
เหมือนมีอะไรมาจุกที่หน้าอก มันแน่นไปหมด มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทำไมต้องให้
ผมได้ยินด้วย ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี่หรอก ผมแค่วานให้พี่ลมช่วยขนของเท่านั้น แค่นั้นจริง ๆ
เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน พี่ลมมาส่งผมที่หน้าหอพัก ผมก้าวลงจากรถมายืน
ข้าง ๆ ก้มหน้ามองกระเป๋าตัวเองต่อ ส่วนพี่ลมยังคงนั่งอยู่บนรถ ไม่ได้ดูหรอกว่าพี่ลมจะมีสีหน้าอย่างไร ตอนนี้ผมไม่
อยากมองหน้ามัน แต่ผมรู้ว่าพี่ลมต้องคิดอะไรอยู่ในใจแน่ ๆ มันมีอะไรที่ต้องคิดมากสินะ ผมคงเป็นต้นเหตุจริง ๆ
“ ขอบคุณครับ รีบไปรับพี่แดงเถอะ” ผมพูดได้แค่นี่ครับ ความรู้สึกน้อยใจมัน
เกิดขึ้นกับผม อีกแล้ว ทำไมผมต้องน้อยใจด้วยก็ไม่รู้ และไม่อยากยืนอยู่ที่นี่นาน ๆ ผมหิ้วกระเป๋ารีบก้าวขึ้นบันไดไป
บนชั้นสอง ไม่มีเสียงพูดใด ๆ ตอบกลับมา ผมรีบเดินและหยุดยืนที่ระเบียงหน้าห้อง ผมรู้ว่าพี่ลมยังไม่ไปถึงแม้ผม
ไม่ได้มอง ระยะห่างระหว่างห้องกับหน้าบันได ไม่ได้ไกลกันจนจะไม่ได้ยินเสียงของรถเครื่องนี่ ผมจึงหันหลังกลับ ไป
ส่งยิ้มให้พี่ลมก่อนจะไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป
“ อย่าลืมมาเลี้ยงฉลองห้องใหม่นะครับ” ประโยคนี่ผมคงจะพูดได้แค่ในความ
รู้สึกเท่านั้น คนฟังเขาคงไม่ได้ยิน ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ทำใจแล้วว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับพี่ลม ทั้งกายและใจ
ปล. ไม่ใช่ว่าผมจะไปมีอะไรกับพี่ลมนะครับ ที่บอกเลิกยุ่งเกี่ยวทางกายเนี้ยะ คือ ไม่อยากเจอหน้า ไม่ไปกินข้าว กินเหล้าด้วยอะครับ
ส่วนทางใจ เพราะผมยังไม่แน่ใจตัวเอง และไอพี่ลม ว่าจริง ๆ แล้วเราคิดยังไงกันแน่ เลิก ๆ คบกันไปเลยดีกว่า ว่ามะ