สั้นๆ นะคะตอนนี้เพราะรวมกับตอนที่แล้ว แหะๆ พึ่งได้โน๊ตบุคคืนเย้ๆ ขอบคุณทุกคอมเม้นค่ะ
ตอนที่ 11
งานคือเงิน เงินคืองาน งานคือเรื่องของเงิน เพราะเงินมันมาจากงาน
ผมนั่งท่องคำนี้เป็นรอบที่สามร้อยยี่สิบเบ็ดล้าน ลงอ่ะดิ ทำไมต้องเบ็ด ? เพราะว่าเอ็ด มันเชยยยยยยย ก๊ากกกกกกกกก อึ้ง ? อึ้งอ่ะดิ ? โด่ๆ
ผมนั่งทำงานที่เหมาะกับตัวเองที่สุด แต่เหมือนมันจะไม่ง่ายแบบที่คิดแฮะ
“น้องๆฉากตรงนั้นลงสีเข้มอีกหน่อย เวลาเรามองตาเปล่าอ่ะคือมันโอเคแล้ว แต่เวลาใช้จริงๆเวลาสปอร์ตไลท์ส่องมันจะซีดกว่านี้เยอะ”
“ครับๆ”
ใช่แล้วครับ งานของผมคือ !! วาดฉาก แม้ว่าสมัยนี้มันจะมีซีจีใช้บลูสกรีนแทนแล้วตัดต่อได้ แต่บางงานมันก็อยากได้ความสมจริง หรือออริจินอลตามแต่ลูกค้าจะปรารถนา ผมเลยมานั่งจับพู่กันอันเท่าบ้านปีนนั่งร้านสูงๆ เพื่อมาระบายสีฉาก ! แถมฝ่ายวาดฉากมีแค่สามคน เพราะไม่ได้ใช้บ่อย ! และแต่ละคนก็ภาษาอังกฤษห่วยขั้นเทพพอๆกับผม มันก็เลยสื่อสารกันยากเลยงงๆงวยๆกันทั้งสามคนนี่แหละ คิดแล้วอนาถใจ ผมก็จุ่มๆพู่กันยักษ์บิ๊กไซส์ลงในถึงสีแล้วระบายสีต่อไป
ฉากก็สุดแสนจะอลังการงานสร้าง เสร่อมีคนวาดแค่สามคน ไอ้พี่น้องมฤตยูมันงกหรือไงวะ บริษัทก็ใหญ่อลังการ ดันขาดคนวาดฉาก คิดแล้วแค้นๆ ดีนะที่ฉากลายนี้ผมชอบ ทำเลียนแบบกำแพงตึกที่โดนสเปรย์เขียน อาร์ตๆ อะไรนี่แหละ ก็เลยมันส์มือหน่อย
“ไปๆพักกันก่อน กินข้าวๆ” ดุจเสียงสวรรค์บันดาลผมก็ปีนลงมาจากนั่งร้านทันทีในสภาเสื้อเชิ้ตสีขาวสกรีนตราบริษัท ที่มีสีเลอะสุดๆกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีดำปักตราบริษัท พร้อมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลที่ปักตราบริษัทเช่นกัน ที่มันก็ไม่ได้ช่วยกันเปื้อนอะไรมากมาย คว้าๆแตะที่ยังคงปักตราบริษัทมาใส่ ยังดีมีชุดฟอร์มให้ไม่งั้นชอค !
เราสามคนแผนกวาดฉากพร้อมจะไปกินข้าวในสภาพเละๆนี่แหละครับ
หัวหน้าแผนกคือคุณอากิที่ตัดสกินเฮดไถลายหน้ายิ้มกลางหัว อายุ 30 แล้ว ผมชอบทรงผมพี่แกมากเลย ส่วนรองหัวหน้าแผนกหรือคุณมาโอะก็เป็นผู้ชายผอมสูง ผมยาวยุ่งๆระต้นคอถูกมัดด้วยเชือกฟางสีส้ม แล้วก็มีผมเป็นลูกน้องคนเดียวของแผนกมนสภาพหัวกระเซอะกระเซิงผมที่เริ่มยาวก็ชุ่มเหงื่อ ดังนั้นเราสามคนเลยเหมือนหลุดออกมาจากโลกอะไรสักอย่าง เพราะเดินออกมาจากสตูดิโอที่ทำงานกันอยู่ก็กลายเป็นบริษัทมีพนักงานใส่สูทบ้าง บางทีก็เป็นเสื้อผ้าทีมสตาฟมั่งอะไรมั่ง ต่างจากเราสามคนโดยสิ้นเชิงที่เหมือนไปผ่านการรบกับบันดาสีทาบ้าน
“แอร์นี่มันหนาวจริงๆ ในสตูนี่ก็เปิดได้แต่พัดลมจนไม่ค่อยชินกับแอร์แล้วเนี่ย” เสียงบ่นของคุณอากิที่ผมไม่รู้เรื่อง
“ฮิคารุคุงเดี๋ยวพวกเราพาไปกินราเมงเจ้าอร่อยข้างบริษัท รสชาติดีมาก”
“อะไรนะไม่เข้าใจ ไอ้ด๊อนอันเด้อสแต๋น” สำเนียงพร้อมแกรมม่าผิดๆถูกๆของคุณมาโอะทำผม งง
“อีทติ้งราเมง ราเมง โอเค๊ ราเมงๆ”
“อ้อ โอเคๆ อันเด้อสแต๋นแล้วครับ โกๆ เวรี่ฮังกรี่”
“โอเคโกๆ” แม้จะต่างภาษาแต่มันก็สนุกไปอีกแบบนะเออ มีอะไรขำๆฮาๆดี
ร้านราเมงข้างบริษัทที่ผมได้กินนี่มันเดอะเบสท์จริงๆ มันเหมือนเป็นรถตู้เปิดข้างๆเป็นโต๊ะยาวตัวเดียวมีสี่ที่นั่งแถมอร่อยเหาะอยากจะเบิ้นชามที่สองก็ไม่มีตัง มีตังอยู่น้อยนิดพกติดกระเป๋ามา อ้อลืมบอกไปผมได้สัมภาระของตัวเองที่อยู่โฮมเมทมาแล้วนะเออ แล้วก็พึ่งรู้ว่า บักเซย์เป็นญาติไอ้สองพี่น้อง ส่วนบักโชเป็นพนักงานอะไรสักอย่างของสองพี่น้องนี่แหละ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
“#%^%##%^ !!” มีคนมานั่งข้างๆผม การแต่งตัวเขาดูขัดกับร้านเล็กๆแบบนี้ในชุดสูทสีขาวกับใบหน้าลูกครึ่ง สงสัยฝรั่งมาเที่ยว
“hello” เขายิ้มทักทายผมที่กำลังดูดเส้นราเมง ฝรั่งนี่มันเฟรนด์ลี่ดีแฮะ แต่แม่งขัดเวลากินว่ะ
“hi” ผมทักตอบไปตามมารยาทเอาตะเกียบพันๆเส้นเป็นกลมๆก่อนจะตวัดเข้าปากตัวเองทั้งก้อน แขนอีกข้างกอดชามไว้แน่น ใครแย่งมีกระทืบ
“you very beautiful” พรวด ! ผมตกใจจนพ่นเส้นทั้งก้อนใส่หน้าฝรั่ง ที่มันก็อึ้งพอกัน คุณมาโอะกับคุณอากิก็ชะงัก ผมที่มีเส้นบางส่วนอยู่ในปากก็มองซ้ายมองขวารีบๆเคี้ยวๆกลืนๆ
“โอ้ ซอรี่ๆ เวรี่ซอรี่ ครับ” เอาไงดีวะผ้าก็ไม่มี ผมจัดการถอดผ้ากันเปื้อนเช็ดหน้าให้ฝรั่ง แต่เสื้อมันดันเลอะสีแดงทำให้หน้ามันตอนนี้เป็นสีแดงผสมราเม็ง
“เฮ้ยๆ เอาไงดีวะ ยูๆไอ เวรี่เสียใจ เอ้ย เวรี่ซอรี่ เออๆช่างแม่ง กูขอโทษ” สุดท้ายผมเลยคว้าน้ำเปล่านั่นแหละจะล้างหน้าให้แต่มันดันปัดมือผมทำเอาน้ำเปล่าเทลงบนหัวมันทั้งขวด
“$^%#$^&&$#%^ !!! ” เสียงโวยวายร้อนปนเย็นของฝรั่งทำเอาผมเกือบหัวเราะออกมา สภาพมันตอนนี้ดูดีที่ไหน สูทสีขาวเลอะไปด้วยราเมง บนหน้าก็มีเส้นราเม็งผสมสีแดง เหมือนหนอนเลือดกระฉูด หัวก็ลู่ลงเพราะเปียกน้ำ
“เอ่อ ซอรี่จริงๆนะ โว้ยภาษาอังกฤษว่าไงนะ คำว่าจริงๆ มันต้อง real ใช่ปะ อือๆ ซอรี่เรียลๆ ” ผมนี่เก่งจริงๆ !
“คัมแบคๆ ฟินนิชอิทติ้ง” คุณอากิกับคุณมาโอะที่เหมือนจะหายตกใจรีบลากผมกลับบริษัททันทีก่อนเรื่องจะบานปลาย พอมาถึงสตูดิโอเราก็ขำกันออกมายกใหญ่ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก มันตลกน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ !
ฝ่ายฝรั่งสูทขาว (ในความคิดพอยท์)
“มารับฉันที่ร้านราเมงบริษัทไอ้นาซึโนะด่วน !”
มันน่าแค้นใจนัก ! คนสำคัญของคนต้องห้ามแม้เขาจะแปลกใจที่เจอในสภาพชุดผ้ากันเปื้อนเลอะสี แต่ที่แปลกใจกว่าคือดันเป็นผู้ชายที่สวยกว่าในรูปเยอะ แต่มันน่าโมโหที่ดันทำให้เขากลายสภาพเป็นตัวตลก เกิดมา 26 ปีไม่เคยที่ครั้งในที่ เร็น รู้สึกแค้นขนาดนี้มาก่อน ฮิคารุ ! เธอจะต้องชดใช้ให้ฉัน !
ตอนเย็นหลังเลิกงานผมก็ได้ลองขึ้นรถไฟฟ้าของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเวลาเลิกงานนี่เบียดเสียดจนผมเกือบได้เสียกับประตูรถไฟฟ้า ทั้งบันดาเด็กนักเรียน วัยทำงาน ชาวต่างชาติ ตอนนี้ผมกลับมาหล่อแล้วครับ ในเสื้อเชิ้ตสีดำปกแดงกางเกงเดฟขาดๆสีดำคอนเวิร์สสีแดง ผมมัดเป็นกระจุกเล็กๆ ยืนหล่อริมประตูพร้อมคุณอากิและคุณมาโอะที่ดันกลับบ้านทางเดียวกัน มีสาวๆไฮสคูลซุบซิบๆมองมาที่ผม คุณอากิบอกว่าพวกเธอชมว่าผมหล่อ ผมก็เลยยิ้มหว่านเสน่ห์ไปเป็นที่เรียบร้อย สาวๆญี่ปุ่นนี่กระโปรงสั้นกันจริงๆครับ แต่มันก็น่ารักดีเพราะขาขาวๆนี่แหละ แต่ผมก็ชอบนักเรียนไทยมากกว่าอยู่ดี ใสๆดีครับ บางคนที่นี่ก็แต่งหน้าจัดไปหน่อย
เอี้ยดดดดดดดดดดดดด
แรงเบรกของรถไฟฟ้าที่ดูเหมือนทุกคนจะชินแต่ผมดันไม่ชิน หน้าเลยกระแทกเข้ากับประตูอย่างแรง เห็นดาวเลยตู ผมสะบัดหัวเบลอๆ อาการปวดตุบๆตรงหัวทำเอาผมรู้สึกว่ามันกำลังจะปูดออกมาแฮะ
“แบบนี้แหละครั้งแรก”
“ใช่ๆ ฮ่าๆ” เออมันก็ตลกดี ผมก็ขำตามประสบการณ์ชีวิตอ่ะครับ ฮ่าๆ
“หัวไปโดนอะไรมา” เสียงซีเรียสจากโนโนะส่งมาทันทีเมื่อเห็นหัวปูดๆของผม
“อ๋อ กระแทกประตูรถไฟฟ้าอ่ะ มันเบรกแรง”
“คราวหลังรอกลับพร้อมกัน”
“หะ ทำไมล่ะ ไหนบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้ใครรู้ว่าอยู่ด้วยกัน” คือผมไม่อยากถูกมองว่าเป็นเด็กเส้น แม้จะเส้นจริงๆแต่ก็อยากให้มองที่ความสามารถผมนี่
“อันตรายวันแรกก็เจ็บตัวมาแล้ว”
“อย่ามางอแงดิ นิดเดียวเอง” มันจะเครียดไรนักหนาวะกับอีแค่หัวโนเนี่ย เหมือนผมกำลังจะตายงั้นแหละ
“เอาน่าพี่ ปล่อยๆพอยท์เหอะ เราประคบประหงมมากเดี๋ยวทำอะไรไม่เป็นพอดี”
“ใช่ๆๆๆ โตแล้ว หล่อแล้ว” เกี่ยวปะวะ ?
“แต่ ..”
“ผมก็ห่วงไม่น้อยกว่าพี่หรอก แต่ถ้าเรายิ่งดูแลมากพวกไอ้เร็นก็ยิ่งรู้ถึงความสำคัญนะพี่” ประโยคนี้ดันพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นมันคุยไรกันวะ
“อืมๆ ก็ได้ คราวหลังระวังตัวด้วย”
“คร๊าบบบบบบบบบบบบบบบ”