เพราะรัก....จึงเปลี่ยนได้
Part 49
รัก..ยิ่งใหญ่เหลือแสน.
.
.
.
.
ผ่านไปสิบกว่านาที ที่ผมกอดกลร้องไห้บนเตียง ทิ้งทวนโดยมอบจูบหวานๆ
อบอุ่นอ่อนโยนระหว่างเราอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกตัวออกมาล้างหน้าล้างตาเตรียมรอหมอเวรเข้ามาตรวจ
ไม่ลืมที่จะเอาผ้าขนหนูซักน้ำไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้ยอดชายเค้าด้วย เสร็จแล้วเราก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย
ส่วนใหญ่ผมก็เล่าให้มันฟังระหว่างที่นอนสลบไม่ฟื้นสองวันนั่นแหละ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
สิบโมงกว่า หมอเวรกับพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เราทั้งคู่
ก่อนลงมือทำการตรวจกลมันอย่างละเอียด ตรวจไปสอบถามอาการมันไปด้วย โดยมีพี่พยาบาลคอยจดรายละเอียดต่างๆ
ระหว่างนั้น ประตูห้องก็เปิดออก ขบวนญาติกลสิทธิ์ก็เดินเรียงแถวเข้ามา แม่ผมกับยายรั้งท้ายขบวน
ทุกคนยืนกันเงียบๆ คงเพราะเห็นว่าหมอกำลังตรวจกลอยู่ ผมเดินไปพยุงยายมานั่งตรงโซฟา พร้อมกับเชิญทั้งแม่กลแม่ผม
ให้ไปนั่งด้วยกัน พวกท่านก็เห็นดีด้วย พากันไปนั่งระหว่างรอหมอตรวจยังไม่เสร็จ ผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีเป็นอันเรียบร้อย
หมอก็รายงานผลให้พวกเราฟังทันที
“ญาติและคนไข้ไม่ต้องกังวลแล้วนะครับ คนไข้มีสุขภาพโดยรวมสมบูรณ์ดีทุกอย่าง
ไม่เกิดผลข้างเคียงใดใดให้น่าวิตก อาการทั่วไปคงไม่มีไรแล้ว สามารถกลับไปพักฟื้น..ให้ร่างกายหายอ่อนเพลียที่บ้าน
ได้ตามสะดวก ระหว่างนี้ไม่จำเป็นต้องควบคุมเรื่องอาหาร เพราะคนไข้ไม่มีโรคแทรกซ้อนแต่อย่างใด หัวใจเต้นปกติ
ความดันปกติ มีอะไรจะสอบถามหมอเพิ่มไหมครับ?” ทิ้งทวนเปิดโอกาสให้ถาม ทุกคนยิ้มที่ได้ยินดังนั้น
สรุปกลสิทธิ์ไม่มีอะไรให้ต้องวิตก หลังฟื้นจากสลบก็สามารถกลับบ้านได้ อ่อนเพลียนิดหน่อยเพราะสองวันกินแต่น้ำเกลือ
ข้าวมื้อแรกคือเมื่อเช้านี้ที่ได้กินไป ทุกคนไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร พ่อกลจะให้มันออกโรงบาลวันนี้เลย
รอเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายให้เรียบร้อย
แม่ผมรีบออกไปโทรหาพี่ไว โทรไปบ้านที่ทำงาน เพื่อให้พี่ไวมาเคลียร์ค่าใช้จ่าย
พี่ไวบอกแม่ให้พวกเรารอไม่เกินชั่วโมงจะรีบมา ระหว่างที่รอพี่ไวมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายนั้น แม่ก็พูดขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวลูกกลกลับไปพักที่บ้านแม่ก่อนนะลูก..ส่วนคุณแม่คุณพ่อ..คงต้องแจ้งทางโรงแรมขอต่อห้องอีกคืน”
เมื่อไม่มีใครพูดอะไร ผมเข้าใจว่าที่พวกผู้ใหญ่ออกไปคุยกันนั้น แม่คงคุยกับครอบครัวของกลมาแน่นอน
แต่ไม่รู้คุยยังไงบ้างในส่วนของรายละเอียด
เกือบชั่วโมงพี่ไว พี่วิน และเจ้าของบ้านก็พากันมาที่โรงบาล ส่วนพี่วันพี่ไวให้อยู่ดูแลคนงาน
เก็บงานให้เรียบร้อย หลังแนะนำกันพอเป็นพิธี เจ้าของบ้านก็ออกไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับโรงบาล หมดไปร่วมห้าพันกว่าบาท
กลับมาแกก็ยื่นซองขาวเป็นค่าทำขวัญให้กลสิทธิ์มันสองพันให้กับมือมันเลย พี่ไวเองก็ใส่ซองให้มันอีกสามพัน
เงินเจ้าของบ้านมันรับเอาไว้ แต่ของพี่ไวมันจะไม่ยอมรับ แต่พี่ไวก็ไม่ยอม..ยืนยันให้มันรับไปให้ได้
มันถึงยอมในที่สุด จากนั้นผมก็ให้มันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ เพื่อพากลับบ้าน พี่ไวกลับไปพร้อมเจ้าของบ้าน
โดยทิ้งรถให้พี่วินขับไปส่งผมกับแม่และกลมันที่บ้านผม
หลังจากทำธุระเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ยกขบวนกันออกจากโรงบาล ไปแวะแจ้งทางโรงแรมว่า
ครอบครัวกลขอพักต่ออีกคืน เสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่วินก็ขับนำขบวนพาทุกคนมาแวะทานกลางวันที่ร้านอาหารเหนือ
เป็นร้านดังขึ้นชื่อในจังหวัด เพื่อเลี้ยงต้อนรับญาติๆ กลสิทธิ์ โดยมื้อนี้หมดไปร่วมพันพี่วินเป็นคนจ่ายเอง
ระหว่างนั่งทานกันไปนั้น พวกผู้ใหญ่ต่างก็พูดคุยกันดี มีถามกลมันบ้างเป็นครั้งคราว
แต่ผมไม่ค่อยได้พูดไรกะใครเค้าหรอก กลับขึ้นรถทุกคนตามมาส่งกลที่บ้านผมด้วย ระหว่างนั่งในรถนั้น
มันแอบเอาเงินห้าพันยัดใส่มือผมไม่ให้ใครเห็น ผมปฏิเสธไม่ยอมรับไว้ เงินค่าทำขวัญมัน..จะเอามาให้ผมไว้ทำไม
มันกลับกระซิบข้างหูผม..เพื่อไม่ให้แม่กับพี่วินที่นั่งด้านหน้าได้ยิน
“
กูให้เมียเก็บให้ ได้เปล่า?” แค่นี้..หน้าผมคงแดงเป็นตำลึงสุกแล้ว จำเป็นต้อง
เอามาเก็บไว้ในกระเป๋าตัวเองซะงั้น บ้า!...ใครจะปฏิเสธลงเล่าเหว้ย!....เหตุผลเค้าดีขนาดนี้ มันก็ต้องยอมหละหว้า!
มาถึงบ้านผม ลงรถกันเรียบร้อย ผมจัดการหาน้ำท่ามาบริการแขกทุกท่านยกโถน้ำต้น
(น้ำฝนใส่ในคันโถดินปั้น คลายแจกันทรงสูง เรียกน้ำต้น) ทุกคนก็กินกันอย่างชื่นใจ พ่อกลกับน้าก้องพากันเดินสำรวจสวน
คอกหมู ท้องร่องเลี้ยงปลา ไก่บ้านที่แม่เลี้ยงไว้ โดยมีไกด์คือพี่วินเป็นคนคอยตามให้รายละเอียด
ส่วนแม่ผม ยาย แม่กล น้องกลอย ผม กล เรานั่งคุยกันในบ้าน แม่บอกว่าพรุ่งนี้เช้า
จะพากลไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัด เพราะถือว่าพ้นเคราะห์ต้องไปทำบุญ และถือโอกาสพาครอบครัวกลไปทำบุญด้วย
เพราะพรุ่งนี้เที่ยงครอบครัวกลก็เช็คเอ้าท์เดินทางกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว แม่บอกให้พี่วินฆ่าไก่บ้านสามตัวทำต้มยำและห่อหมกเย็นนี้
พร้อมสั่งวิวกับวุ้นเก็บผักในสวนมาทำเลี้ยงครอบครัวกลมัน
น้ำใจคนต่างจังหวัด เป็นที่ประทับใจทุกคน แม้พ่อจะพูดน้อย แต่ผมก็สังเกตุว่าท่าน
เริ่มผ่อนคลายลงมาก มื้อนี้แม่ให้ผมกับพี่วินพี่วันวิววุ้น ลงมือทำครัวกันเอง เพราะพวกเราพี่น้องสามารถทำอาหารได้อร่อย
ไม่ขายหน้าเลยหละ รับประกันฝีมือ โดยเฉพาะพี่วินขั้นเทพเลยพี่ผม
ตอนเด็กๆ ก็ได้พี่ผมนี่แหละ..ที่คอยทำกับข้าวให้พวกผมกินกัน ช่วงนั้นแม่ผมต้องทำงานหนัก
หาเงินเลี้ยงดูพวกผม เลยไม่ค่อยมีเวลาทำอะไรพวกนี้ พอพวกพี่ผมโตมาทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัวแทนแม่ได้แล้ว
แกถึงเริ่มสบายแค่รับหน้าที่เป็นแม่บ้านดูแลสวนเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ไปวันๆ เพราะอายุแกปาเข้าไปห้าสิบกว่าแล้ว พี่หวั่น พี่ไว
พี่วิน พี่วัน พี่วาดที่อยู่นครสวรรค์ ต่างทำงานส่งเสียให้แม่กันแล้ว จึงให้แม่พักแล้วตอนนี้ รอผมเรียนจบอีกคน
คงสบายขึ้นกว่าเดิมแน่
ระหว่างที่พวกเราพี่น้องช่วยกันทำกับข้าวนั่น กลสิทธิ์มันก็คอยมานัวเนียอยู่ใกล้ๆ ผมนี่แหละ..
ช่วยเด็ดผักหยิบนั่นจับนี่ไปเรื่อย ผมให้ไปพักมันก็ไม่ยอม..บอกไม่เป็นไรแล้วดื้อที่จะอยู่กับผมอีก..เลยต้องปล่อยยอดชายเค้า..
ไม่อยากขัดใจมัน กลายเป็นพี่ๆน้องๆผม..คอยชำเลืองมองเราสองคนเป็นระยะๆ
ผมรู้สึกได้..แต่ก็ไม่รู้ทำไง เมื่อแม่บอกว่าพี่ๆน้องๆรู้ถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่แล้ว
ได้แต่วางตัวให้เป็นปกติ ไอ้ที่จะไม่ปกติก็เพราะท่าทางแต่ละคนที่คอยสังเกตุพฤติกรรมเราทั้งคู่นี่หละ พาลจะทำให้หน้าผมร้อนอยู่ตลอด
พวกผู้ใหญ่เค้านั่งคุยกันข้างนอก พวกผมไม่รู้หรอกว่าเค้าคุยไรกัน แค่ยอมให้กลมันกลับมา
พักบ้านผม..แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้ว ไม่อยากเรียกร้องหรือคาดหวังไรอีก ตอนนี้ได้แค่นี้ก็ขอบคุณแล้วครับ
พี่ไวให้พี่วันไปบ้านลุง ไปเอาสาโทมาเลี้ยงพ่อกับน้าก้อง ซึ่งพี่ๆ ผมเค้าเตรียมตั้งวงสาโท
พ่อแกชอบน้าก้องก็คอแข็งใช่ย่อย ระหว่างรอกับข้าวมื้อเย็น..คาดว่าไม่เกินหกโมงคงเสร็จ พี่ไวพี่วันพ่อกับน้าก้อง
ก็ตั้งวงสาโทกินรอไปก่อน กับแกล้มก็พวกแหนมทางเหนือ แกงโฮ๊ะ มะดันดอง ประมาณนั้น
หกโมงทุกอย่างเรียบร้อย พวกเราจัดสำรับใส่โตกแบ่งออกเป็นสามโตก ยกไปตั่งตรงชาน
เสร็จเรียบร้อยก็เชิญพวกผู้ใหญ่ล้างมือกินข้าวกัน มีทั้งข้าวเหนียวและข้าวสวย ครอบครัวกลกินข้าวสวยเป็นหลัก
บ้านผมกินข้าวเหนียวเป็นหลัก เราแบ่งนั่งกันตามนี้
พี่ไว พี่วิน พี่วัน พ่อกล น้าก้อง กินสำรับแรก (ดื่มสาโทไปด้วย)
แม่ผม ยาย แม่กล น้องกลอย กินสำรับสอง
ผม กล วิว วุ้น กินสำรับสาม
ต่างกินต่างคุยกันไป ผมก็คอยดูแลยอดชายมันไปด้วย เพราะรู้ว่ามันเลือกกินมาก อันไหนที่มันกินได้ก็คอยตักใส่จานให้
อันไหนที่มันไม่ชอบผมก็รู้อีกนั่นแหละ มันก็ยิ้มแฉ่งให้ผมตลอดเหมือนเด็กๆ ที่มีคนดูแลเอาใจ
แม้จะรู้ว่ามีสายตาหลายคู่คอยชำเลืองดูเราอยู่ก็ตาม ถึงจะเขินแต่ผมไม่ยอมสบตาใครเลย ก้มหน้าก้มตากินของผมไป..
สนใจเฉพาะไอ้ยอดชายที่นั่งข้างผมคนเดียวพอแล้ว ไหนๆ ก็รู้กันหมดแล้วนี่ว่าผมสองคนคบกันแบบไหน
มื้อเย็นผ่านพ้นไป พวกผมกับน้องๆ ทำหน้าที่เก็บสำรับเรียบร้อย ล้างจานชามทุกอย่าง
ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม พอออกจากครัวมา แม่ก็เรียกผมสองคนเข้าไปหา ซึ่งขณะนี้บรรยากาศกลับอึมครึมอีกแล้ว
ทั้งที่เพิ่งดูผ่อนคลาย แต่ไหงตอนนี้มันดูเป็นการเป็นงานซะงั้น
พวกผู้ใหญ่นั่งบนตั่งกันครบ แต่ข้างล่างมีเสื่อปูไว้ ให้ผมสองคนเข้าไปนั่ง
เหมือนจะมีการพิพากษาซะทีเรื่องของเราสองคน กลมันเผลอเอามือมาจับมือผมไว้แน่น เดินจูงเข้าไปนั่งท่าทางที่มันทำ
ไม่แคร์ใครเลยสักนิด ผู้ใหญ่ทุกคนรวมทั้งพี่ๆน้องชายผม ต่างมองการกระทำของมันกันหมด
เอาว่ะ!...เมื่อมันไม่สนฟ้า ผมก็บ้าตามไม่แคร์ดินเหมือนกัน ไปไหนไปกันลุยโรด....ยี่ห้อกลสิทธิ์ซะอย่าง...
ผมกับมันนั่งพับเพียบตรงเสื่อเรียบร้อยเสร็จ แม่เริ่มพูดขึ้นทันที
“เอาหละ...กลกับวี...วันนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนจะคุยเพื่อความชัดเจนอีกครั้ง
เรื่องของเราสองคน แม่อยากให้ลูกๆ คิดให้ดีก่อนตอบคำถาม เข้าใจที่แม่พูดกันแล้วใช่ไหม?” พูดจบแม่จ้องหน้าผมนิ่ง
“ผมเข้าใจครับแม่ / ผมก็เข้าใจครับ” เสียงผม....เสียงกล
“เราสองคนแน่ใจแค่ไหนว่ารักกัน?” พ่อกลถามขึ้นก่อน
“ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้พ่อมั่นใจว่าผมรักวี แต่ผมตอบพ่อได้เลยว่า หากให้เลิกคบกัน
ผมทำตามที่พ่อต้องการไม่ได้” กลสิทธิ์ชิงตอบทันที แกมองหน้ามัน ก่อนจะเบือนสายตามามองผม ผมเลยต้องตอบแกไป
“ผมไม่รู้ว่าความรัก..ในสายตาทุกคนต้องเป็นแบบไหน แต่สำหรับผม รักของผมคือ
เสียกลไปไม่ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะด้วยอะไร หากบทสรุปคือเราไม่สามารถได้ดูแลกันและกันแล้ว
ผมคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตครับ” ผมพูดจบพ่อกลก็ยังจ้องผมนิ่งๆ แม่เองก็มองผมเหมือนกัน ทุกคนเลยด้วยซ้ำ
กลสิทธิ์กุมมือผมแน่นเข้าไปอีก
“ไม่คิดหรือว่าจะอยู่ด้วยกันลำบาก ไม่กลัวคนเค้าจะนินทาเอาหรือ พาลมาถึงครอบครัวญาติพี่น้องด้วยอีก..
ที่นี่ได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านสนุกกันหละ แล้วพ่อแม่พี่น้องจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ส่งเสียให้เรียนกันมาก็สูง
มีความรู้กว่าพ่อแม่เสียอีก แล้วคิดกันไหมว่าสิ่งที่ทำมันสมควรหรือเปล่า?” พ่อกลท่านก็ยังพูดต่อ
ทุกคนก็จ้องฟังคำตอบจากพวกผม กลสิทธิ์เม็มปากแน่น ผมเงยหน้าสบตากับพ่อกล....ครั้งแรกที่ผมมั่นใจตัวเองมาก
ไม่รู้สึกว่าผมผิด ออกปากพูดกับท่านไปว่า
“ถ้าความรักของเราทั้งคู่ มันทำความเดือดร้อนให้ทุกคนขนาดนั้น ผมคงไม่มีอะไรจะอธิบาย
ให้พ่อแม่เข้าใจและเห็นใจได้อีกแล้ว ขืนพวกผมดื้อดึงกันต่อไป ก็เหมือนคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมฟังผู้ใหญ่
ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเสียหน้า กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน หากสิ่งเหล่านี้คือความทุกข์ใจ..ที่พ่อแม่พี่น้องทุกคนต้องได้รับ..
จากผลที่เราสองคนรักกันแล้ว ผมสองคนก็คือคนเนรคุณดีดีนี่เอง ใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจว่าความรักแบบนี้...
มันแปลกประหลาดในสายตาคนอื่น ‘
ถึงแปลกประหลาด แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนี่ครับ’ มีมากมายในโลกนี้ที่เป็นเรื่องแปลก
ทำให้คนเอามาพูดกัน..แล้วไงหละครับ สิ่งแปลกเหล่านั้นสักวันก็กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เพราะมันคือเรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องเลวที่ใครต้องพากันประนามสาปแช่ง..ยังกะเราคือคนชั่ว
หากแม้แต่พ่อแม่พี่น้อง..คนที่เรารักเคารพยิ่งกว่าใคร ยังยอมรับเราไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นเค้าจะไม่คิดเช่นนั้น
ถ้าหากรักของเรา..เลวร้ายเกินจะรับกันได้ จนไม่กล้าเงยหน้าสู่ฟ้า ก้มหน้าต้องอายดินกันแล้วหละก็
ผมแล้วแต่พ่อแม่จะเห็นควรเถอะครับ ยังไงแล้วพ่อแม่ก็คือผู้ให้ชีวิตเรามา ผมไม่อยากถูกตราหน้าว่าเนรคุณ
เพราะคำนี้มันหนักหนาสาหัสเป็นบาปติดตัวเราไปจนตาย เจ็บปวดยิ่งกว่าสายตาดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนอื่นเสียอีก..
ผมคิดเสมอว่าความรักคือสิ่งสวยงาม..ของคนสองคนรู้สึกต่อกัน ไม่ใช่เพื่อใคร
เพราะรักเกิดกับคนสองคนเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกิดจากสังคม” พูดจบพ่อกลท่านอึ้งไปเหมือนกัน
ส่วนแม่ผมท่านยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่น ก่อนที่ยายจะพูดแทรกขึ้นมาว่า
“
เจ้ากลเอ้ย!..ยายสงสัยเอ็งจัง ตกลงไปไงมาไง..ถึงมารักผู้ชายด้วยกันได้เล่านี่...
แต่ไหนแต่ไรก็เห็นออกจะเจ้าชู้ประตูดิน แน่ใจแล้วหรือที่ว่ารู้สึกอยู่นี่ต้องการจริงๆ ไม่ใช่นึกสนุกชั่วครั้งชั่วคราว
หากเป็นเช่นนั้น มันได้จะไม่คุ้มเสียเอานะลูก” ยายท่านพูดเนิ่บๆ น้ำเสียงห่วงใย..ฟังแล้วกินใจชะมัด
“ยายเชื่อไหม....ตอนที่ผมสลบ ผมฝันว่าเดินอยู่คนเดียวในที่มืด...ตะโกนเรียกพ่อแม่..
แม้แต่ยายก็ไม่มีใครตอบผมสักคน...ผมเดินอยู่นานมากเดินจนเหนื่อย มองไปทางไหนก็มืดไปหมด...จนผมหมดแรงเดิน..
ท้อแล้วด้วย..คงไปไหนไม่ได้แล้ว ไปไม่ถูกมันไม่มีทางไปมืดไปหมด...คนที่ผมนึกถึงคนสุดท้ายและคิดถึงมาก..
เมื่อรู้ว่าอาจจะไม่ได้เจออีกเลยคือวี...
ผมไม่อายเลยครับยาย พอคิดถึงวีน้ำตาผมไหล ร้องไห้เสียใจมากแค่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีก
อย่างน้อยขอได้ยินเสียงก็ยังดี ทั้งที่ก่อนหน้านี่ผมไม่นึกอยากร้องไห้เลยสักนิด..ตอนเดินตามหาพ่อแม่และยายอยู่นั่น
ไม่รู้สึกเศร้าเท่ากับที่คิดว่า..ผมจะไม่ได้เจอวีอีกต่อไป
แล้วผมกลับได้ยินเสียงลอยมาไกลๆ จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของวี ถึงไม่เห็นตัวผมก็จำเสียงได้..
เสียงวีแน่นอน เหมือนเรียกผมอยู่ที่ไหนสักแห่ง ให้ผมกลับไปหาเค้า...ผมคลำสะเปะสะปะตะโกนตอบเค้าไปจนคอแห้ง..
ว่าผมอยู่ตรงนี้ ได้ยินผมไหม...ผมได้ยินวีแต่วีไม่ได้ยินเสียงผม ผมพยายามจับต้นเสียงเพื่อเดินตามเขาไปเรื่อยๆ
เสียงมันขาดๆ หายๆ บางครั้งหายไปนานมาก จนต้องหยุดพักและรอฟังเสียงเขาอีก..เป็นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา
ผมไม่ได้ยินเสียงใครเลยนอกจากเสียงวี
พอดังมาทีผมต้องรีบลุกเดินตาม ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่มันเป็นแบบนี้ จนสุดท้ายก็เจอแสงสว่างจ้า
แสบตาไปหมด..ผมลืมตาไม่ขึ้นวูบดับไปเฉยๆ ลืมตามาอีกทีถึงรู้ว่านอนอยู่บนเตียงในห้อง สิ่งแรกที่ทำคือผมเหลียวหาวีก่อนอันดับแรก
พอเห็นเค้าหลับอยู่บนโซฟาข้างเตียงผม ทั้งโล่งใจทั้งดีใจมากได้แต่นอนจ้องเค้านิ่งๆตลอดเวลา รอจนเค้าตื่นมาเจอผมนั่นแหละ
ยายรู้ไหม..ว่าความรู้สึกผมในตอนนั้น ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจกันได้หรอก
แต่ผมขอบอกพ่อแม่และทุกคนไว้เลยนะว่า ผมจะไม่ยอมแยกจากวีเป็นอันขาด ความทรมานที่ต้องคอยเดินตามเสียงวีไปนั้น
มันเจ็บปวดทรมานมากพอแล้ว ผมโดดเดี่ยวอ้างว้างแค่ไหนในความมืดที่มองไม่เห็นอะไรเลย แค่ได้ยินเสียงเค้าผมก็มีกำลังใจ
ที่จะลุกเดินตามหาต่อไปแล้ว ผมจะไม่ยอมทนรับความเจ็บปวดเหล่านั้นอีกแน่นอน ในขณะที่ตอนนี้
ผมมีโอกาสได้กลับมาเจอเค้าอีก มีเค้าคอยอยู่ข้างๆผมแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครมาพรากเราจากกันอีกแน่
ผมจะไม่ยอมเดินคนเดียวอีกเป็นอันขาด ข้างกายผมต้องมีกวีเท่านั้น
หากผมต้องเสียสละเพื่อรักษาหน้าตาของทุกคนแล้ว..ขอถามหน่อยเถอะว่า..ทุกคนหละ
เคยคิดจะเสียสละเพื่อผมกันบ้างไหม? ไหนบอกว่ารักผมไง ที่แท้ต่างรักตัวเองกันทั้งนั้น ไม่อยากงั้นแล้วความสุขที่ผมขอ
ทำไมยอมให้ผมไม่ได้ เพียงเพราะแค่ผมรักผู้ชายด้วยกัน แล้วมันผิดมากหรือครับ เราเป็นผู้ชายแล้วเกิดมารักกันมันผิดหรือ?...
ถ้าเลือกได้ผมก็อยากให้มันเป็นรักของหญิงกับชาย แต่เมื่อผมรักกันไปแล้วจะให้ทำยังไง
อย่าจับเราแยกกันเพียงเพราะแคร์คนอื่น
มากกว่าลูกในไส้ของตัวเองเลยนะครับพ่อ”........???????????????
ไว้รออ่านต่อตอนหน้า.......
ขอบอกว่าตอนหน้ามีข่าวแจ้งค่ะ
เรื่องนี้พี่วีจะเขียนอีกไม่เกินสี่ตอนจบแล้วนะค่ะ
Luk.