เพราะรัก....จึงเปลี่ยนได้
Part 15
โดนจนได้.
.
.
.
.
“กล...มึงให้กูอยู่ด้วยทำไม...ถ้ามึงอยากให้เป็นเพื่อนกินเตี๋ยวล่ะก็ รีบสั่งเถอะว่ะ!..ไม่ต้องเผื่อกูนะ
ไม่หิวจะได้รีบกลับ..เดี๋ยวดึก” พอพวกนั้นไป ผมแกล้งชวนมันคุย เพื่อสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดี
นอกจากมันจะไม่คุยด้วยแล้ว กลับจ้องผมนิ่งๆ ยอมรับตอนนี้อ่านความคิดมันไม่ออก
ว่ามันจะเอาไง เราจ้องกันอยู่สักพัก จู่ ๆ มันก็พูดขึ้นมา
“อืม..ตกลง กลับก็กลับ นั่งแท็กซี่ไปกับกูเลย กูลงหอเจริญนคร
มึงเลยไปดาวคะนองต่อรถกลับบ้านมึงใกล้ดีด้วย” เฮ้อ!..ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
นึกว่ามันจะโกรธหาเรื่องผมซะอีก ถือว่าก็ยังใช่ได้
อย่างน้อยคงคิดได้ล่ะมั้งหลังจากพวกน้อง ๆ ไปแล้ว
ผมพยักหน้าให้มัน รู้สึกดีกับมันขึ้นมานิดหนึ่งล่ะ
อุตส่าห์มีน้ำใจชวนผมนั่งแท็กซี่ไปต่อรถใกล้ ๆ
มันเป็นคนเรียกแท็กซี่..บอกจุดหมายปลายทางเสร็จ ให้ผมขึ้นไปนั่งด้านในก่อน
แล้วมันถึงขึ้นตามมา ลุงคนขับออกรถทันที รถติดชะมัด
คงเพราะช่วงสองทุ่มรถรายังพลุกพล่าน ผมถือโอกาสชวนมันคุย
เพื่อสร้างบรรยากาศในรถไม่ให้เงียบเกินไป อีกอย่างอยากรู้จักมันมากขึ้นด้วย
ผมควรศึกษาความเป็นมาของมันไว้บ้าง เพื่อจะช่วยให้เข้าใจคนอย่างมันดีขึ้น
“กล...กูถามหน่อยได้เปล่า?” ลองเชิงดูก่อน มันหันหน้ามาเหลือบตามองผม
ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา ซึ่งน้อยครั้งมาก..ที่จะได้ยินมันพูดแบบนี้กับผม
ส่วนใหญ่ไม่ตะคอก ขู่ ตวาด กวนตีน ซะทุกครั้ง
นอกจากมันจะทำดีต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น ไม่มีหรอกที่อยู่กันสองคนแล้วมันจะพูดดีด้วยนะ
“อืม..มีไร”
“มึงมีพี่น้องกี่คนว่ะ..”
“หึ..ไง..จะสอบประวัติกู..ว่างั้น” เริ่มอีกแล้วครับ อุตส่าห์ชมอยู่แม่บ ๆ กวนตีนอีกแล้วมัน
“ป่าว..กูแค่อยากรู้จักมึงบ้าง ทีมึงยังไปยำตีนกูถึงบ้าน ไมกูจะถามบ้างไม่ได้
มึงไม่ตอบก็ไม่เป็นไร” ผมขี้เกียจชวนทะเลาะ เลยตัดบทเมินหน้าออกนอกรถซะ
ขืนต่อปากต่อคำมันไป เดี๋ยวลุงคนขับจะพาลตกใจเอาได้
ไอ้เด็กช่างกลกับพาณิชย์ทะเลาะกันบนรถแก
“สองคน..” งงครับผม เสียงลอยมาตามลม นึกว่าหูฝาด
“หือ..”
“กูบอกว่าสองคน หูมึงหนวกหรือไง เมื่อกี้หมาตัวไหนแม่งถามกูกันว่ะ” ไอ้ฟราย...
ไอ้นี่สงสัยเส้นความอดทนมันต่ำชัวร์ นิด ๆ หน่อย ๆ มันต้องวีนต้องเหวี่ยงซะทุกครั้ง
“กูได้ยินแล้ว..แค่ไม่แน่ใจ..มึงจะเสียงดังไปทำซากไรเล่า..ลุงเค้ามองแล้วเห็นไหม
เดี๋ยวก็เข้าใจว่าเราทะเลาะกันหรอก” ผมเห็นลุงคนขับ มองผ่านกระจกส่องหลัง
คงงงกับมัน อยู่ดีดีเสียงดังซะงั้น
“มึงก็หัดความรู้สึกเร็วหน่อยดิว่ะ..กูรำคาญ” มีย้อนผมอีก
“แล้วผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นพี่หรือน้องมึง” ผมชวนมันคุยต่อ
“น้องสาว ห่างกูสี่ปี กูลูกชายคนโต” ผมถึงกับหันไปมองมันตาโต ไอ้เหี้ยนี้มีน้องสาว
แต่มันดันเสือกคิดอุบาทว์ชาติชั่วกับผู้หญิง มันไม่ยักกลัวบาปกรรมเลยหรือไงว่ะ..
มันคงเห็นผมจ้องมันตาค้าง พูดขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องด่ากูทางสายตา กูไม่ได้ไปโทรมญาติมึงซะหน่อย บอกความจริงให้ก็ได้
เคสนี้กูเพิ่งทำเป็นครั้งแรก ปกติเพื่อนกูพามาเอาตลอด กูไม่เคยเอี่ยวกับพวกแม่งมันหรอก
มึงดูหน้าอย่างกูไม่จำเป็นต้องใช้ของใช้ยา หญิงก็เข้าหาไม่เคยขาด แต่กรณีน้องเกศ
กูลองจีบทุกวิธีแล้ว แม่งทำเล่นตัว พยายามยัดเยียดน้องดาให้กูอยู่นั่นแหล่ะ
อย่างน้องดากูแทบไม่ต้องจีบเลยด้วยซ้ำ ขยับนิ้วก็วิ่งมาหาแล้ว
ไม่ติดว่าน้องเกศแอบชอบมึงอยู่ ไม่พ้นมือกูหรอก ดันเดินแต้มผิดแต่ต้น
เสือกบอกเป็นเพื่อนมึงซะก่อน ที่นี้เลยลำบาก น้องเค้าดันใช้กูเข้าหามึงแทน
เข้าใจแล้วสิ..ว่าไมกูถึงอยากกดให้สิ้นเรื่องสิ้นราว” ฟังมันพูดแล้ว ผมอึ้งไปไม่เป็นเหมือนกัน
จะว่ายุ่งอิรุงตุงนังก็ว่าได้ เดิมทีเหี้ยกลมันกะใช้ผมเป็นพ่อสื่อให้น้องเกศ
ซึ่งผมกับมันต่างก็ไม่รู้มาก่อนว่าน้องเกศแอบมีใจให้ผมอยู่ พอผมแนะนำให้รู้จักกัน
เหี้ยกลก็เดินหน้าจีบเลยทีนี้ เผอิญน้องเกศเห็นว่าเหี้ยกลเป็นเพื่อนสนิทผม
เลยยอมคุยกับมัน ต้องการแค่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับผม แถมมีโอกาสไปไหนต่อไหนกับผมอีก
เหมือนอย่างวันนี้ ปกติตั้งแต่เห็นน้องเค้ามาเป็นปี ไม่มีทางที่ผมจะไปกับพวกเค้า
ใช่อะไรนะครับ ผมจนไม่ค่อยมีตังค์ ไปกับสาว ๆ ก็ต้องออกเงิน จะให้ผู้หญิงมาออกให้มันก็ใช่ที่
สู้ไม่ต้องใกล้ชิดมุ่งแต่เรียนดีที่สุด เพราะงี้ผมถึงไม่เปิดโอกาสให้ใคร..เข้าใกล้จนเกินความจำเป็น
ส่วนน้องดาดันมีใจให้เหี้ยกลมัน น่าจะจริงผมพอดูออกเหมือนกัน
ดังนั้นมันเลยกลายเป็นผิดคู่ผิดฝากันไปซะงั้น กอปรกับเหี้ยกลมันคงกลัวเสียหน้า
เสียศักดิ์ศรีเหี้ยไรมันสักอย่าง ลงทุนไปแล้วแห้ว..เหมือนที่มันพูด
มันคงอายไม่มีหน้าไปคุยกับเพื่อนเหี้ย ๆ ของมันได้ มันถึงสิ้นคิดกะรวบรัดด้วยวิธีชั่ว ๆ
เพื่อนเหี้ย ๆมันทำกันบ่อย คงได้คำแนะนำมาด้วยแหล่ะ แม่งถึงได้คิดทำ
ขนานผมเตือนก็แล้ว ขอร้องก็แล้วมันยังไม่หยุด ผมพอเข้าใจบ้างแล้วล่ะ
“แล้วครอบครัวมึง ทำอะไรกันว่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องถามมันไป
พยายามไม่ไปจี้จุดที่เป็นตะกอนให้ขุ่นขึ้นมา
“เหี้ยนี่...มึงจะรู้ไปทำไม ทำยังกะเป็นนายทะเบียน ซักประวัติกูอยู่ได้
ต้องให้กูสาธยายตั้งกะโคตรกูให้ฟังเลยไหม..” อีกแล้วครับ นี่แหล่ะ...ผมถึงบอกไอ้เหี้ยนี่
อารมณ์มันขึ้น ๆ ลง ๆ โคตรยากจะเดา ผมล่ะไม่เข้าใจมันเลย เมื่อกี้มันยังให้ผมถามอยู่เลย
แถมตอบอยู่แม่บ ๆ พอถามต่อกับไม่พอใจขึ้นมาซะงั้น ผมเลยหุบปากฉับ ใช้วิธีเดิม
หันหน้าออกนอกหน้าต่างซะ จากนั้นผมกับมันต่างไม่ได้คุยไรกันอีก
จนรถข้ามสะพานตากสิน เลี้ยวเข้าถนนเจริญกรุง
ผมเลยบอกลุงคนขับให้จอดรถปล่อยผมลงแถวนี้ ผมต่อรถไปเองดีกว่า
“ลุงครับ...เดี๋ยวแวะป้ายรถเมลล์ป้ายหน้าให้ผมลงเลยนะครับ”
“ไม่ต้องครับลุง ไปส่งซอยที่ผมบอกนั่นแหล่ะ” เหี้ยกลสวนขึ้นมาทันที ผมหันไปมองหน้ามันงง ๆ
ไม่เข้าใจมันต้องการอะไร ทำไมต้องให้ผมนั่งไปถึงซอยที่มันบอกด้วย
“ไม่ต้องก็ได้กล...กูลงแถวนี้เดี๋ยวกูต่อรถไปเอง ได้ไม่ลำบาก วกไปเวียนมายุ่งยากเปล่าๆ”
ผมบอกให้มันฟัง
“มึงจ่ายค่าแท็กซี่หรือไง ใครขอความเห็นกันว่ะ” มันกับหันมามองผมตาเขียวซะงั้น
กูพูดไรผิดไปอีกเนี๊ยะ ทำห่าไรดูมันไม่พอใจผมซะทุกเรื่อง
ตกลงมันยังโมโหผมเรื่องน้องเกศอยู่หรือเปล่า เริ่มจับสังเกตุมันแหล่ะ
แต่มันก็หันไปทำหน้านิ่งของมันต่อ เลยไม่รู้เอาไง ช่างหัวแม่งมัน
ถึงหอแล้วค่อยนั่งแท็กซี่ย้อนกลับออกมาเอา
จากนั่นบรรยากาศในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง ผมกับมันต่างจมอยู่ในความคิดของใครของมัน
ไม่ได้พูดไรกันอีก จนแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาในซอยเจริญนครฝั่งน้ำเจ้าพระยา วิ่งเข้าไปลึกไม่น้อย
แถมยิ่งเข้าไปยิ่งเปลี่ยว สมัยนั้นยังไม่แออัดเหมือนเดี๋ยวนี้ มาจอดเกือบสุดซอย หน้าบ้านหลังหนึ่ง
ลักษณะบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ผมเข้าใจว่าหอมันเป็นห้องเช่าหรืออพาร์ทเม้นไรเทือกนั้น
แต่ที่เห็นตรงหน้า..มันบ้านเป็นหลังแถมมีรั้วรอบขอบชิดตะหาก รู้ตอนหลังพวกมันเรียกหอ
เจ้าของบ้านย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เป็นข้าราชการที่ต้องโยกย้าย แกเลยปล่อยบ้านให้เช่า
เหี้ยกลกับเพื่อนมันอีกสองคนเลยเช่าไว้ ในนั้นมีสามห้องนอน สองห้องน้ำ ห้องครัว ห้องรับแขก
เหมือนบ้านปกติทั่วไป ไม่สมควรเรียกว่าหอด้วยซ้ำ ไม่รู้ทำไมพวกเหี้ยมันเรียกแบบนั้น
อีกเรื่องว่าทำไมคืนนั้นมันถึงนั่งแท็กซี่ไปบ้านผม..ทั้งที่บ้านมันอยู่หนองแขม
ผมเพิ่งเข้าใจว่าความจริงแล้วส่วนใหญ่เหี้ยกลมันอยู่หอมากกว่าอยู่บ้าน
จากจอมทองบ้านผมมาเจริญนคร ก็ไม่ไกลเท่าไหร่
แต่จากจอมทองไปหนองแขมนับว่าไกลเป็นโยชนั่นแหล่ะ
จ่ายตังค์เสร็จมันเปิดประตูลงรถ เดินอ้อมมาเปิดด้านผมนั่ง เรียกผมลงรถซะงั้น
“ลงมา มึงจะนั่งทำซากอีกนานไหม” อ้าว!..ผมก็งงเข้าไปใหญ่
“กูต้องลงทำไม เดี๋ยวกูนั่งกลับออกไปเลย สามทุ่มกว่าแล้ว ค่าแท็กซี่จากนี้ไปกูจ่ายเอง”
ผมตอบมันไป ยังไม่ยอมก้าวขาลงไปกับมัน มันทนรอไม่ไหว
ยืนมือมากระชากแขนผมให้ลงรถเต็มแรง จนหัวผมโขกกับหลังคา
“โป๊ก!..โอ้ย!..” น้ำตาเล็ดมืออีกข้างรีบปิดหน้าทันที ตอนนี้มึนเห็นดาวเลยครับ
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำหลุดออกมานั่งตรงพื้นถนนตอนไหน ลืมตายังไม่ขึ้น
ได้ยินแต่เสียงรถแท็กซี่ขับออกไป มือจับ ๆ ตรงหัวเลยหน้าผากขึ้นไป ปรากฎยางเหนียว ๆ
แถมเจ็บมากด้วยเหมือนมันปูด มือลูบมาดู เลือดครับ เลือดไหลซึมออกมา
หัวผมโขกจนแตกเลยหรือเนี๊ยะ ค่อยพยุงตัวลุกขึ้นยืน จ้องหน้ามันแบบไม่พอใจสุด ๆ
ไอ้ตัวเหี้ยมันยังทำหน้ามึนไม่รู้ไม่ชี้ พูดรอดไรฟันออกมาว่า
“เข้าบ้านไป” มันสั่งผม
“ไม่..ไมกูต้องเข้า มึงดึงกูจนหัวแตก เห็นป่าวว่ะ...เจ็บนะโว้ย!..เหี้ย..เลือดออกเลย” ผมบอกมัน
คิดว่ามันอาจไม่รู้ว่าผมหัวแตก แต่ผิดคาดครับ
“กูบอกเข้าบ้าน ก่อนที่มึงจะไม่แค่หัวแตก มึงกับกูมีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ” พอมันพูดถึงตรงนี้
ผมเริ่มมองเห็นชะตากรรมริบ ๆ แล้วครับ ดันเสือกเข้าใจผิดว่ามันมีน้ำใจ
ชวนกลับก็ให้กลับ..แถมให้ติดรถแท็กซี่อีกตะหาก
ที่ไหนได้มันกะพาผมมาเคลียร์..เรื่องที่ผมให้น้องเกศน้องดารีบกลับบ้าน
ไม่ทำตามที่มันบอก
“กล..กู.กู..ไม่เข้าได้ไหม..มึงมีไรจะคุย ก็พูดกันตรงนี้ ไม่งั้นคุยกันวันหลังก็ได้ วันนี้หัวกูแตก
กูต้องรีบกลับไปทำแผล ตกลงนะ” ผมใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แต่ผิดคาดครับมันเดินเข้าประชิดตัวผม
พร้อมกับสัมผัสเย็นวาบที่จิ้มคอผมเข้าให้ตอนนี้
“มึงจะยอมเข้าไปดี ๆ หรือรอกูแทงคอหอยมึงทะลุก่อนว่ะ” ใช่แล้วครับ มีดพกปลายแหลมของมัน..
จ่อคอผมจนรู้สึกเจ็บแปลบนิด ๆ เพราะมันจิ้มเข้าไปในเนื้อหน่อย ๆ
ถึงตอนนี้ผมเสียวสันหลังวาบ ยอมรับว่ากลัวครับ พูดได้เต็มปาก
ตอนนี้ผมกลัวมันบ้าขึ้นมาแทงผมตาย แล้วเอาศพโยนลงเจ้าพระยาซะ
กว่าจะมีคนพบ..ศพคงลอยอืดออกปากอ่าวไปแล้ว ยังไงผมก็รักชีวิต
เอาแน่กับอารมณ์ไอ้เหี้ยนี้ไม่ได้ เลยต้องก้าวขาเข้าประตูบ้านมันไป
โดยมันยังเอามีดจิ้มเอวดันหลังผมเดินไปติด ๆ หากสงสัยตั้งแต่ลงรถ
จนถึงตอนนี้..ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาเลยหรือไง ผมบอกแล้วว่าซอยเปลี่ยว
ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว อีกอย่างบ้านที่มันเช่าก็ลึกเปลี่ยวอีกต่างหาก
ถึงไม่แปลกใจพวกมันมีปัญญาเช่าได้ ค่าเช่าคงไม่แพงมาก เพราะมันอยู่ลึกเกิน
แถมเปลี่ยวด้วย คงปล่อยคนเช่าแล้วไม่มีใครมาเช่ามากกว่า พวกเหี้ยมันถึงได้เช่าได้
ลองเป็นปัจจุบัน..บ้านเป็นหลังให้เช่าแบบนี้แทบพลิกแผ่นดินหา เจอหรือเปล่าก็ไม่รู้
ยิ่งย่านถนนเจริญนครด้วยแล้ว ไม่ต้องสืบกันเลยล่ะ แต่นี้ย้อนไปยี่สิบปีแล้ว
พอเปิดประตูเข้ามาในบ้านได้ พวกเหี้ยสี่ตัวอยู่พร้อมหน้า ตั้งวงเหล้าเป็นที่เรียบร้อย
หลุดเข้าประตูมาได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหี้ยกลประเคนทั้งหมัดทั้งเท้า
กระหน่ำใส่ผมแบบไม่ต้องตั้งตัวกันเลย ผมได้แต่มือกันไว้ตามที่เคยฝึกมา
พวกเหี้ยที่เหลือมันเห็นดังนั้น ต่างลุกขึ้นมารุมกระทืบผม ที่นี่กลายเป็นสิบมัดสิบเท้า
ต่อไอ้วีเทพแค่ไหนก็กันไม่อยู่ สติผมค่อย ๆหลุดจากร่าง รู้สึกว่าเจ็บ จุก ปวด จนไม่มีเสียงร้อง
เจ็บ จุกไปหมด เท้าแต่ละเท้าที่มันกระทบร่างผม เสียงดังดีจัง
ยังกะกระสอบทรายที่นักมวยเตะตอนซ้อม
“ปึ๊ก!..บึ๊ก!..บบ!.บบๆๆ!!!..” แล้วสติสุดท้ายผมก็ค่อยดับหายไป ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่ปวด ไม่จุก
ไม่รับรู้อะไรอีกเลย..................................
โอ้ย!.ไม่ไหว..เขียนตอนนี้น้ำตาร่วงไปด้วย จิตตก...นรกชัดๆ
ศาลเตี้ยจริงไอ้เหี้ยพี่กลมัน...เฮ้อ!
Luk.