The End II
.....เมื่อคืนเราคงฝันไปแน่ ๆ เช้านี้วุธก็ยังนอนอยู่ข้าง ๆ มองหน้ามันตอนหลับ แสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดเข้ามาสามารถทำให้ผมแสบตาได้ เพราะคืนที่ผ่านมาร้องไห้จนปวดกระบอกตาจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง.....
.....เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาปกติที่ผมตื่นไปทำงานในรอบบ่าย...ผมต้องกระพริบตาถี่ ๆ มองที่ข้างตัว...วุธไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว...กระเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว...มองผ่านหน้าต่าง ไม่เห็นรถมันจอดอยู่ในที่เดิม...ผมเดินไปดูตามที่ต่าง ๆ ที่มันชอบเขียนโน้ตแปะไว้...กระจกโต๊ะเครื่องแป้ง...กระจกในห้องน้ำ...หน้าประตู...หน้าทีวี...ประตูตู้เย็น...กระจกรถ...ไม่มีกระดาษซักแผ่น...ไม่มีคำร่ำลาแม้แต่คำเดียว.....
.....ผมทรุดตัวลงบนโซฟา นั่งทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ยิ้มปลอบใจตัวเอง...ใช้เวลาทำใจนานเกินไปแล้ว...เราต้องทำมาหากินนะ...เราไม่ใช่เด็ก ๆ ที่มัวแต่นั่งฟูมฟายจนลืมหน้าที่...เราต้องอยู่ได้สิ...ไปทำงานเถอะ...คิดซะว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่ละกัน...เรื่มต้นชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียว.....
.....บรรยากาศของบ่ายวันอาทิตย์...ฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว...ไม่อยากไปทำงานเลย...ปวดหัวปวดตา...ต้องฝืนตัวเองขับรถไปทำงาน ไม่งั้นคงเปียกไปทั้งตัวแน่ ๆ...ออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ เพราะไม่อยากอยู่บ้านนาน ๆ รายการโทรทัศน์น่าเบื่อยามบ่ายวันอาทิตย์มันหลอกหลอนให้ผมคิดถึงไอ้วุธเพราะมันชอบบ่นว่าไม่มีอะไรดู ไม่เห็นสนุกเลย แต่มันก็นั่งดูฆ่าเวลาเพื่อรอขับรถส่งผมไปทำงานทุกอาทิตย์ที่มันไม่ได้ไปตีกอล์ฟ.....
และแล้วก็ถึงเวลา และแล้วเธอก็ต้องไป
ฉันก็เข้าใจที่เธอเลือกเดิน
ฝืนยิ้มด้วยความยินดี ทั้งที่เจ็บปวดเหลือเกิน
ได้แต่ยืนมองเธอเดินไปกับเขา
รัก แม้รักยังไงก็รัก ได้เพียงหัวใจ
สุดท้ายต้องยอมปล่อยเธอไปกับเขา
จากนี้ เธอคงไปดี ก็ขอให้เธอจงสุขสบาย
เธอจงเดินไปตามความฝันของเธอที่เธอตั้งใจ
แม้จะต้องเสียใจ แต่ฉันจะรับไปไว้เอง
อย่างน้อย เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าเคยมีความสุขเพียงใด
ได้เป็นคนที่เธอเคยรักก็ดีแค่ไหน
ฉันต้องยอมเข้าใจ เกิดมาแค่เพียงได้รักกัน
สุดท้ายไม่เป็นอย่างฝันฉันยอมทำใจ
ชีวิตที่เราเคยมี แขวนไว้บนด้ายบางๆ
ไม่รู้ว่ามันจะขาดเมื่อไหร่
เมื่อเธอเจอทางทีดี เธออยากมีชีวิตใหม่
ไม่ผิดอะไรเมื่อเธอต้องเลือกเขา
รัก แม้รักยังไงก็รัก ได้เพียงหัวใจ
สุดท้ายต้องยอมเป็นคนที่ปวดร้าว
จากนี้ เธอคงไปดี ก็ขอให้เธอจงสุขสบาย
เธอจงเดินไปตามความฝันของเธอที่เธอตั้งใจ
แม้จะต้องเสียใจ แต่ฉันจะรับไปไว้เอง
อย่างน้อย เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าเคยมีความสุขเพียงใด
ได้เป็นคนที่เธอเคยรักก็ดีแค่ไหน
ฉันต้องยอมเข้าใจ เกิดมาแค่เพียงได้รักกัน
สุดท้ายไม่เป็นอย่างฝันฉันยอมทำใจ
เกิดมาแค่เพียงได้รักกัน สุดท้ายชีวิตของฉันก็ไม่มีใคร
.....ฝนตก...รถติด...เหงา...คิดถึงคนรัก...ดีเจก็เปิดเพลงได้โดนใจดีจริง ๆ ตอกย้ำความเจ็บ...มองกระจกหน้าไม่ชัด...ไม่รู้ว่าเพราะสายฝนที่มันเทกระหน่ำลงมาหรือเพราะน้ำตาที่มันเอ่อล้นอยู่กันแน่...ผมเอนตัวพิงเบาะ กระชับเสื้อ กอดตัวเองให้อุ่นขึ้น ทั้ง ๆ ที่หรี่แอร์แล้ว แต่ผมก็ยังหนาวอยู่ดี...เพราะอากาศข้างนอกเย็นด้วยมั้ง...ไม่สิ รถเราไม่เคยมีปัญหาเลยต่างหาก...วุธมันดูแลรถเป็นอย่างดี...ต่างประสาช่างยนต์ อะไรนิดอะไรหน่อยมันก็จัดการซะเรียบร้อย...ไม่ต้องกังวลเรื่องรถเสียกลางทาง ไม่ต้องกังวลว่าแอร์ไม่เย็น ไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมด หม้อน้ำแห้ง ยางแบน...ผมไม่ต้องกังวลอะไรเลยตอนที่มันอยู่...แล้วต่อไปหล่ะ.....
*
*
*
“...Congratulations...” อีธีทักผมทันทีที่เห็นหน้า
“...อะไรของมึง...” ผมถามเสียงเนือย ๆ
“...ก็ซี้พี่เอ้ Check out ไปแล้วอ่ะดิ...” อีธีทำเสียงมีความสุข
“...เหรอ...” ผมรับคำหลังอึ้งไป
“...พี่เอ้ไม่ดีใจเหรอ...” มันคงเห็นสีหน้าผมที่แอบคิดสงสัยอะไรบางอย่าง
“...เสียดายเซอร์วิส ชาร์จ...” ผมพูดปัดไป
“...ไม่รู้ชีรีบไปไหนนะ...เอ้าท์ตั้งแต่เมื่อคืน...อีพวกเบลล์รอบดึกได้ทิปไปคนละหลายเลยแหละ...”
“...รีบไปแต่งงานมั้ง...” ผมพูดจบก็เดินไปรับแขกที่กำลังเดินเข้ามาถามข้อมูล
....เพื่อนร่วมงานหลายคนพยายามถามว่าทำไมวันนี้ผมถึงไม่ร่าเริง...อีธีจับได้ว่าผมตาแดงช้ำ...ผมก็หาทางเลี่ยงได้ตลอด...หาอะไรมาทำให้ยุ่ง ๆ คิดแล้วเหนื่อย...ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมต้องเข้างานรอบดึกอีกนาน...วันนี้ผมโทรไปฝากพี่ข้างบ้านที่ทำความสะอาด ให้ช่วยเข้าไปให้ข้าวให้น้ำน้องหมาผมด้วย.....
“...พี่เอ้...ตอนนี้อีคุณพีทไม่อยู่แล้ว...พวกเราก็ไม่โดนคอมเพลน...งั้นพรุ่งนี้หนูจะพูดกับเอฟโอให้เอาพวกเราไว้รอบเดียวกันเหมือนเดิม ดีปะ...” อีเบสโทรมาตอนหัวค่ำ เพราะรู้ว่าช่วงนี้เราว่าง...เสียงมันกระดี้กระด้าเมื่อรู้ว่าพี่พี่ทไปแล้ว ดังจนผมต้องหรี่เสียงสปีคเกอร์โฟน กลัวว่าจะได้ยินทั้งฟร้อนท์
“...ไม่มีทาง เค้าไม่ยอมหรอก...” ผมพูดปลง ๆ เพราะรู้นิสัยผู้จัดการ
“...ถ้าไม่ได้กูจะลาออก...” อีธีก้มลงไปพูดใกล้ ๆ โทรศัพท์
“...เออ...กูด้วย...พี่เอ้...เราสองคนจะลาออกจริง ๆ นะ...”
“...เฮ้ย...ใจเย็น ๆ ...”
“...เย็นอะไรพี่เอ้...หนูไม่ชอบทำงานรอบเช้าอ่ะ...ให้แหกตาตื่นตั้งแต่ตีสี่ตีห้า...รถไฟฟ้าคนก็เยอะ...” อีเบสบ่น
“...จริง ๆ แล้วกูก็ชอบทำงานรอบบ่ายนะ...แต่พี่เอ้ก็ไม่อยู่ มึงก็เด้งไปอยู่รอบเช้า...แม่งทำงานไม่หนุกเลย...ไปเรียนต่อดีกว่า...”
“...ที่พี่บอกให้ใจเย็น ๆ นี่รอให้พี่หางานได้ก่อน แล้วค่อยออก...จะได้ออกพร้อมกันเลยไง...” ผมกระซิบ อีธีหน้าเหวอ ส่วนอีเบสกรี๊ดเหมือนโดนน้ำมนต์
“...เริ่ด...แล้วเมื่อไหร่พี่เอ้จะหางานใหม่ได้อ่ะ...หนูไม่รอจนหอยแห้งเหรอ...”
“...อีเวร...หนังหน้าอย่างชั้น ประสบการณ์อลังการ หางานไม่ได้ให้มันรู้ไป...” ผมพูดอย่างมั่นใจ ทั้งที่ยังหวั่น ๆ เพราะไม่ได้ออกไปหางานนานแล้วเหมือนกัน
“...ดี ๆ งั้นทนอีกหน่อยก็ได้...ฝากบอกแอนดี้ด้วยนะพี่เอ้ว่าให้รอเบตตี้อีกนิดนึง...”
“...แหม พูดยังกับว่าเค้าจะรับมึงไปทำงานที่บริษัทเค้า...” อีธีกัด
“...มึงไม่รู้หรอกว่ากูแอบไปสมัคร สัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว...รอวันที่กูลาออกจากที่นี่เท่านั้นแหละ...แอนดี้รีเควสกูทำงานกับเค้าซะขนาดนั้น...ยังไงก็ได้ทำที่นั่นแน่นอนย่ะ...”
“...แล้วหล่อนจะไปเรียนต่อที่ไหนอ่ะ...” ผมหันไปถามอีธี
“...หนูว่าจะขอเงินพ่อโกอินเตอร์อ่ะพี่...อยากไปสวิส...”
“...ดอก...แหกหอยไปซะไกลเชียว...แต่ไม่เป็นไร...อีกหน่อยพอกูได้กับแอนดี้แล้วกูค่อยให้เค้าพาไป...”
“...อีห่า...ระวังแอนดี้เค้าจะเอามึงนะ...”
“...พอ ๆ กรุ๊ปเข้าแล้ว...แค่นี้ก่อนนะ...” ผมทำท่าจะกดวางสาย แต่อีธีขอเม้าธ์กับเพื่อนมันอีกนิด บอกให้ผมไปรับกรุ๊ปก่อนแล้วเดี๋ยวมันจะมาช่วย
*
*
.....ก่อนเลี้ยวรถเข้าบ้าน...ผมแอบภาวนาให้รถวุธจอดที่เดิมในบ้านของผม...หวังว่ามันคงล้อผมเล่น...หวังว่าเข้าไปแล้วจะเจอมันนอนรออยู่บนโซฟา...ผมถอนหายใจยาว ๆ ยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง...หน้าบ้านผมว่างเปล่า...ในบ้านปิดไฟมืด...ผมลงมาเปิดรั้ว เอารถเข้าจอด ทักทายน้องหมา...ล้างไม้ล้างมือ...กินข้าว...ทำทุกอย่างเหมือนตอนที่วุธอยู่ ต่างกันตรงที่ ทุกวัน วุธมันจะมาป้วนเปี้ยน ชวนคุยทั้ง ๆ ที่ตาจะปิด...บางวันก็มานั่งสะลืมสะลือดูผมกินข้าว...ต้องไล่ให้ไปนอน มันถึงจะไป.....
.....ส่วนวันนี้...ผมต้องนั่งกินข้าวคนเดียวหน้าทีวี...ข้าวแต่ละคำกว่าจะกลืนเข้าไปได้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน...รู้สึกว่ามันจุกอยู่ที่คอ...พยายามสนใจกับรายการทีวีตรงหน้าเพื่อไม่ให้คิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ.....น้อยครั้งนักที่ผมกินข้าวไม่หมดจาน...จะว่าอิ่มก็ไม่ใช่ แต่มันตื้อยัดอะไรไม่ลงแล้ว.....
.....ทำไมต้องทรมานสังขารตัวเองขนาดนี้ก็ไม่รู้...วันพรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานรอบดึกเป็นวันแรก…ดังนั้น คืนนี้จึงนอนเวลาเดิมไม่ได้ ไม่งั้นจะลำบากในคืนถัดไป เพราะผมก็จะตื่นมาตอนกลางวัน และคงนอนไม่หลับไปตลอด ทีนี้ตอนกลางคืนที่ทำงานอยู่ต้องน็อคแน่ ๆ.....
.....แพลนไว้ว่าจะนอนซัก 7-8 โมงเช้า...ดูหนังให้สว่างคาตา...รอให้ง่วงสุด ๆ กะว่าตื่นอีกทีก็หัวค่ำเลย...เขียนโน้ตบอกพี่ที่ทำความสะอาดไว้แล้วว่าให้ดูน้องหมาของผมด้วย...หนังในเคเบิ้ลทีวีก็ไม่ค่อยน่าสนใจ...เอาหนังแผ่นมานั่งดูดีกว่า...แรก ๆ ก็เทปคอนเสิร์ต ดูแผ่นละเพลงสองเพลง...มาหยุดอีตรงคอนเสิร์ตสีฟ้า 1 ตั้งแต่ซื้อมาได้ดูแค่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก...ว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว แต่กลั้นไม่อยู่จริง ๆ เพลงหลายเพลงที่ไม่คิดจะฟัง ก็โดนไปหมด...เมื่อไหร่จะดีขึ้นซะทีนะเรา...ไม่ได้...เปลี่ยนไปดูหนังดีกว่า...ร้องไห้ไปอีกยกกับ Love Actually ไม่ไหวแล้ว...ผมตัดสินใจกินยาแก้แพ้เพื่อให้หลับง่าย (ที่บ้านไม่อ่ะครับ).....
.....นอนตั้งแต่ 6 โมงกว่า ยาวไปถึง 5 โมงเย็น...พอลืมตาปุ๊บสิ่งแรกที่ผมคิดคือวันนี้วุธมันน่าจะกลับมา...ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงง...มองลงไปที่จอดรถ ก็ไม่มี มันยังไม่เลิกงานมั้ง...พักผ่อนเพียงพอทำให้ร่างกายผมดีขึ้น...หาอะไรกินก่อน...หัวค่ำค่อยนอนใหม่ เก็บแรงไว้ทำงานคืนนี้.....
*
*
*
.....ผ่านไป 1 สัปดาห์ที่ผมต้องดำเนินชีวิตคนเดียว...ตอนเช้ากลับจากทำงานเดินเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง คนบนรถไฟฟ้าตอนเช้าสวย หล่อ หอมฟุ้ง...ส่วนผมเพิ่งเลิกงาน หน้าหมองคล้ำ ตาโรย ถึงจะอาบน้ำจากที่โรงแรม แต่ก็ไม่ได้ทำให้สดชื่นขึ้นมากนัก.....แวะซื้อของกินที่ตลาดสด ก็ไม่ค่อยมีอารมณ์อยากกินโน่นกินนี่ผิดวิสัย เพราะแสงแดดแยงตา อยากกลับไปนอน แต่ท้องก็หิว.....
.....ถึงบ้าน อาบน้ำอีกที กินข้าว ดูทีวีจนผู้หญิงถึงผู้หญิงจบก็นอน...ตื่นมาอีกทีเย็น ๆ อาบน้ำลวก ๆ ออกไปซื้อกับข้าว...คลุกข้าวให้น้องหมา พามันไปเดินเล่น...กลับเข้ามานอนต่ออีกนิดเพราะต้องเซฟแรงไว้ให้ได้มากที่สุด ทั้ง ๆ ที่งานรอบดึกไม่ได้หนักกว่ารอบอื่น ออกจะสบายกว่าด้วยซ้ำ เพราะแขกไม่เยอะ ผู้ใหญ่ก็ไม่มีมาคอยจับผิด...แต่ปัญหาแต่ละอย่างในรอบดึกมักเป็นปัญหาที่ทำให้ปวดหัวมาก...นี่มั้งคงเป็นเหตุที่ทำให้เพลียกว่ารอบอื่น....
.....ก่อนออกจากบ้านทุกวัน ผมต้องยื่นนิ่ง ๆ หน้าบ้านซักพัก รู้สึกอ้างว้างยังไงไม่รู้...ข้างบ้านเค้าอยู่กันเป็นครอบครัว...คนรักกันกำลังกินข้าวเย็นด้วยกัน...พ่อแม่ลูกนั่งดูทีวี...เด็กวัยรุ่นนั่งจับกลุ่มคุยกันหน้าบ้านหัวโจก...ส่วนผมต้องปิดไฟ ปิดบ้านให้เรียบร้อย เตรียมตัวเดินทางไปทำงาน ในเวลาที่คนอื่นกำลังมีความสุขกัน...บางวันฝนตก ผมต้องกางร่ม ถือของพะรุงพะรังไปหาแท็กซี่ขึ้น...ขับรถไปทำงานก็ไม่ได้ เพราะขากลับในตอนเช้าอาจจะต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงครึ่งเพื่อกลับบ้าน ในขณะที่ใช้เวลาไม่ถึงครี่งขั่วโมงถ้าเดินทางโดยรถไฟฟ้า....
.....ทำเหมือนไม่เคยอยู่รอบดึกมาก่อน...เคยสิ แต่ครั้งนี้มันเหมือนเมื่อก่อนที่ไหน...ขาไปไอ้วุธก็ไปส่ง ถ้าไม่ถึงที่โรงแรม อย่างน้อยก็หน้าบ้าน...เวลาทำงานก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีโจรมายกเค้าหรือเปล่า.....วันเสาร์อาทิตย์วุธก็อุตส่าห์ตื่นเช้ามารับผมที่โรงแรม ไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้าน...ไปทำบุญให้อาหารปลา ปล่อยนกที่วัด...ไม่เห็นเหนื่อยหรือเพลียอย่างนี้เลย.....
*
*
“...เฮ้ย...วันนี้ชั้นจะไปหางานแล้วนะโว้ย...” ผมพูดกับอีเบส ที่หน้าตาสะลืมสะลือเหมือนยังไม่ตื่นมาทำงานในรอบเช้า
“...หาให้ได้เร็ว ๆ นะพี่...จะได้แท็กทีมออกกัน...หนูไม่ไหวแล้วนะเนี่ย...” อีเบสทำท่าดีใจเหมือนผมหางานได้แล้ว
“...ทน ๆ อีกนิดเหอะ...” ผมยังหวั่นใจว่าจะหางานได้หรือไม่ ตอนนี้กำลังเล็ง ๆ งานไว้หลายที่
“...พี่เอ้จะไปหางานที่ไหนอ่ะ...”
“...ก็กะจะลองหางานออฟฟิศแถวบ้านก่อนแหละ...ถ้าไม่ได้จริง ๆ ค่อยไปทำเซลล์ที่โรงแรม XXX...” ผมบอกชื่อโรงแรมชื่อดังแถวสาทร
“...อลังการนะยะ...ไปเลย...พี่เอ้ได้อยู่แล้ว...” อีเบสให้กำลังใจผม
“...ยังอ่ะ...ขี้เกียจไปทำงานไกล ๆ...”
“...แหม...กะจะขลุกอยู่กับพี่วุธทั้งวันทั้งคืนเลยสิ...” มันยังไม่รู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม
“...ไม่หรอก...พี่กลับก่อนดีกว่า...” ผมหลบตามัน แล้วเดินเข้าหลังฟร้อนท์
.....วันนี้ผมแวะหางานที่บริษัทแห่งหนึ่งซึ่งเป็นทางผ่านที่จะกลับบ้าน...คำตอบในแง่บวกของผู้บริหารที่ผมโชคดีได้เข้าไปสัมภาษณ์เลยหลังจากเขียนใบสมัคร...แม้สารรูปจะโทรมไปบ้าง แต่สติยังดีอยู่ เพราะเริ่มปรับตัวเข้ากับเวลาทำงานในรอบดึกได้แล้ว ทำให้ทุกอย่างน่าจะไปได้ด้วยดี.....
.....คืนวันศุกร์ ฝนตกพร่ำ ๆ ผมตื่นเร็วกว่าปกติ กะจะออกจากบ้านให้เร็วขึ้นด้วยเพราะวันนี้จะเอารถไปทำงาน พรุ่งนี้เช้าวันเสาร์การจราจรบนถนนสุขุมวิทไม่ติดขัดเท่าวันธรรมดา...ไม่รู้เพราะบรรยากาศพาไป หรือเพราะผมยังทำใจให้ลืมวุธไม่ได้...ที่ผ่านมา...มันไม่โทรหาผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว...ความคิดที่ฟุ้งซ่านของคนเหงา ทำให้ผมเลี้ยวรถไปทางบ้านพีพีทเพียงเพื่อจะได้เห็นกับตาว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข.....
.....ผมมองผ่านประตูรั้วอัลลอยด์บานใหญ่ ไม่เห็นรถสปอร์ตคันหรูของพี่พีท และไม่เห็นรถของวุธเช่นกัน...ผมขับรถกลับมาทางเดิม...มองเวลาก็ยังมีเหลือเฟือก่อนเข้างาน...ฝนตกในคืนวันศุกร์อย่างนี้แต่รถไม่ติดเท่าไรนัก...แวะบ้านไอ้วุธอีซักที่คงไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอก...ผมบอกตัวเองก่อนเลี้ยวเข้าซอยบ้านมันไป...ใจเต้นตุบ ๆ...ยื่งใกล้บ้านมัน มือผมจับพวงมาลัยแน่น เหงื่อซึม...นั่นไง รถมันจอดอยู่หน้าบ้าน...ผมโล่งใจไปอีกเมื่อไม่เห็นรถพี่พีทบริเวณนั้น...แสดงว่าเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน เอ๊ะ หรือพี่พีทไปรับไปส่งไอ้วุธวะ...ผมยังอดคิดไปเองไม่ได้.....
.....ผมเผลอตัวขับรถช้า ๆ เพื่อจะได้มองเข้าไปในบ้าน เผื่อจะเห็นวุธซักวินาทีเดียวก็ยังดี หรือจะว่าไป แค่เห็นหลังคาบ้านคนที่เรารักก็นอนหลับแล้ว...ที่บ้านวุธดูคนเยอะแยะ...คงเป็นเด็กที่ร้านมั้ง...เค้าอาจจะมีการประชุมเพื่อปรับปรุงร้าน...มองเพลินไปนิดนึง อีรถคันหลังเสือกบีบแตรไล่...คนในบ้านหันมามองรถผมเป็นตาเดียว...แวบเดียวเท่านั้นที่ตาผมประสานกับวุธผ่านกระจกรถสีชา...ผมเหยียบคันเร่งให้พ้นบ้านมันใจเต้นไม่เป็นจังหวะ วุธมันต้องจำรถผมได้แน่นอน...เสียฟอร์มว่ะ.....แต่ทำไมวันนี้ทำงานอย่างมีความสุขจังวะ.....
*
*
*
.....หัวค่ำวันเสาร์...คนอื่นเค้าหยุดอยู่บ้าน หรือไม่ก็ไปเที่ยวกัน แต่ผมต้องไปทำงาน...ไม่อยากไปไหนเลย...ผมมองเพดานบ้านผ่านความมืด...เค้ามีแต่ให้แสงสว่างปลุกคนให้ตื่น...แต่ผมต้องตื่นในตอนมืดสนิท เพราะนั้นคือเวลาที่ผมต้องลุกจากเตียงอีกครั้งเพื่อไปทำงานที่ครั้งนึงผมเคยรัก...รักมากกว่าคนที่ผมคิดถึงมันทุกลมหายใจในขณะนี้...เสียใจที่ไม่ได้ทำดีกับมันเท่าที่ควร...ปล่อยให้มันไปอยู่กับคนที่เขาดีกว่าเราเถอะ...น้ำตาไหลอีกแล้ว...อุตสาห์ไม่ร้องไห้มาตั้งนาน ครั้งที่แล้วน้ำตาเปียกหมอนเป็นดวง ๆ อายพี่ที่ทำความสะอาดจัง...พลิกตัวไปมาบนเตียงจนนาฬิกาปลุกดังขึ้น เป็นเวลาที่ผมต้องลุกไปอาบน้ำแต่งตัว.....
“...ตายห่า...ลืมปิดโทรทัศน์ตั้งแต่เมื่อเย็นเลยเหรอวะ...” ผมบ่นกับตัวเอง ขณะเดินลงบันไดมาชั้นล่าง ได้ยินเสียงทีวีเปิดไว้
“...ลงมาช้าจัง...กินข้าวหรือยังจ๊ะ...” ผมยืนตัวแข็ง ไม่ตอบคำถามของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม
“...มาทำไม...” ผมแทบตบปากตัวเองทันทีที่พูดจบ วุธมันอึ้งนิดนึงก่อนส่งยิ้มที่ทำให้ผมละลายได้ทุกครั้ง
“...มีเรื่องจะมาบอกครับ...”
“...ขอเรื่องมงคลนะ...” ผมพูดเสียงแข็ง เผื่อมันอาจจะทำให้ใจผมแข็งขึ้นตาม
“...ครับผม...” มันตอบรับยิ้ม ๆ
“...มีอะไร...ว่ามา...จะรีบไปทำงาน...” ผมนั่งหลังตรงที่โซฟาอีกตัว พยายามทำให้บรรยากาศดูเป็นทางการ
“...ทำงานรอบดึกนานแล้วเหรอ...”
“...นานแล้ว...” พูดโดยไม่มองหน้ามัน “...ก็ตั้งแต่มึงไปจากกูนั่นแหละ...” ผมตอบในใจ
“...ถามไปงั้นแหละ...แวะมาหาตอนเช้า ๆ ไม่เคยเจอเลย...” มันพูดหน้าตาเฉย ส่วนผมได้แต่อึ้ง
“...ตกลงมีธุระอะไร...”
“...แล้วเมื่อวานไปหาผมทำไมอ่ะ...”
“...แค่ผ่านไปเฉย ๆ...”
“...เหรอ...แล้วนี่พร้อมจะไปทำงานแล้วใข่มั้ย...” ผมมองหน้ามันงง ๆ
“...อืม...ก็รอวุธพูดธุระเสร็จก็ไปแล้ว...”
“...งั้นไปกันเลย...เดี๋ยวผมไปส่ง...”
“...ไม่ต้องอ่ะ..วันนี้จะเอารถไป...มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า...”
“...ก็คุยกันในรถไง...จะได้ไม่เสียเวลา...” ผมนิ่งคิดในใจว่า เราไม่ได้โกรธมันนี่หว่า เราจากกันด้วยดี คิดซะว่ามันก็เป็นเพื่อนคนนึงละกัน
“...รอเดี๋ยวละกัน...ไปดูประตูหน้าต่างก่อน...” ผมลุกไปสำรวจความเรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน
“...ผมไปรอที่รถนะ...” วุธส่งเสียงบอกผม
============================================================
คราวหน้าจะลงต่อให้จบเลยนะครับบบบบบบบบบ ดีใจจะหมดหน้าที่โดยสมบูรณ์แบบบบบบบบ