“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ!?”
ผมตกใจกับภาพตรงหน้า ไอ้ภคินแทบจะตกลงมาจากเตียงอยู่แล้ว มันบิดตัวเอื้อมหยิบอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้สนใจ เพราะวิ่งไปคว้าตัวมันไว้ก่อนที่มันจะล้มหัวฟาดพื้น ตกใจเสียจนลืมตัวว่าเรายังมีเรื่องติดค้างใจกันอยู่ ผมกอดแขนภคินข้างนึงไว้และพยายามลากมันกลับขึ้นเตียง แต่เจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ มันชะงักค้างในท่าเดิมแล้วเปลี่ยนจุดโฟกัสมาอยู่ที่ใบหน้าผมแทน
บ้าเอ๊ย อย่ามองแบบนั้นได้มั้ย? ดวงตาเรียวสะท้อนภาพผมออกมาอย่างชัดเจน... อีกแล้ว นัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นทำให้ผมถลำลึกลงไปอีกแล้ว แววตาของมันที่ใช้กับผมไม่เคยเปลี่ยนไปเลย มันชวนให้หัวใจเต้นแรงขึ้น... ชั่วเวลา ณ ขณะนั้น ราวกับเข็มนาฬิกาหยุดเดิน ภคินค่อย ๆ ขยับปากช้า ๆ
“ปวดเยี่ยว” เชี่ยเอ๊ย! ให้มันได้แบบนี้สิ นี่เป็นคำแรกที่มันพูดกับผมเหรอวะเนี่ย! ผมรีบหันควับไปมองมือซ้ายของมันที่ตอนนี้มีไม้ค้ำอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว โธ่เว้ย! ไอ้กูก็นึกว่ามึงจะน้อยใจหนีไปที่ไหน ที่แท้ก็ปวดเยี่ยว “แล้วทำไมไม่เรียกพยาบาล”
“ไม่เอา เดี๋ยวเขามาแอบส่องของกู”
“ใครจะไปอยากดูวะ ตาบอดกันพอดี” บ่นไปอย่างนั้นแหละ ตอนนี้ผมสอดแขนข้างนึงที่เอวมัน แล้วพยายามพยุงตัวให้ลุกขึ้น อ่า พอก้มลงมองเฝือกที่ขาขวาแล้วเจ็บแทนชะมัดเลย ภคินเบ้หน้าเล็กน้อยจังหวะที่ดีดตัวขึ้นจากเตียง คาดว่ามันคงระบมไปทั้งตัว มันกับผมพากันเดินอย่างทุลักทุเลไปทางห้องน้ำ ผมเอื้อมมืออีกข้างไปเลื่อนประตูออก
“อูยยยยยยย” มันครางเบา ๆ ผมเลยต้องจับแขนมันให้แน่นขึ้น เผื่อมันจะทรุดลงไป
“เจ็บเหรอ...”
“ไม่เจ็บมั้ง เยินซะขนาดนี้” ทำไมไอ้พวกนั้นไม่อัดมันปากแตกไปเลยวะ จะได้ไม่ต้องมาเถียงกะกูแบบนี้ ตอนนี้มันอยู่ในสภาพยืนอิงไม้ค้ำข้างหนึ่งส่วนอีกข้างมีผมประคองเอาไว้ ภคินหันกลับมาจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง “ยังจะมองอีก แกะเชือกกางเกงดิ”
“เอ้า! ไอ้ห่านี่ มีมือมีตีนก็ทำเองสิวะ”
“มึงดูมือกูนี่!” มันแบมือข้างขวาให้ผมดู “จับช้อนแดกข้าวยังลำบากเลย”
“โธ่เว้ย! เรื่องเยอะจริง” บ่นไปก็หน้าแดงไป ไอ้นรกแตกเอ๊ย! เปิดห้องมาก็ด่ากันเลยเหรอวะ แล้วนี่กูจะพูดอะไรดีล่ะเนี่ย แม่งเขินก็เขิน แต่ก็ต้องจำใจทำ ผมค่อย ๆ คลายปมโบว์ที่ผูกตรงช่วงเอวมันออกช้า ๆ แต่สายตาจับจ้องอยู่ที่พื้นแทน ไม่กล้าสบตา “เสร็จละ... รีบ ๆ เยี่ยวได้ละ
“ถ้ากูบอกว่ากูถือของกูไม่ไหว มึงจะว่ายังไง”
“ทำไม... มันหนักมากนักรึไงไอ้ห่า” อย่านะมึง ตัดมือกูทิ้งเหอะ ผมมองอย่างเหยียดหยาม “อันเท่าหนอน”
“ระดับกูพญานาคเท่านั้นแหละ” มันยักไหล่ “ถือไม่ดีนี่กูฟาดคอห่านล้ม ได้จ่ายค่าซ่อมให้โรง’บาลนะเว้ย”
“อย่างมึงอะ พญานาคบนกล่องไม้ขีดไฟแหละโว้ย”
เดี๋ยวสิ... มันใช่เวลามาตีกันว่าของใครใหญ่มั้ยเนี่ย!? ผมล่ะปวดหัวกับตัวเองและไอ้คนข้าง ๆ นี่จริง ๆ ยิ่งมันหันกลับมาจ้องหน้าผมด้วยแววตาจริงจังแล้ว... “ใหญ่ไม่ใหญ่ก็ทำมึงนอนซมได้ละว้า...”
อุก... จุกไปถึงทรวงใน ความพ่ายแพ้มันกระแทกลงมากลางหัว ประหนึ่งไอ้ภคินได้เหยียบผมลงไปจนจมดิน อั้ก! น้ำท่วมปากเถียงไม่ออกโว้ย! “ตกลงไม่มีบริการใช่มั้ย จะได้เยี่ยวละ”
“เออสิวะ! อย่าให้กระเด็นมาทางกูนะมึง”
“จะพยายามละกัน” ไอ้พระเอกหันมายักคิ้วกวนประสาทให้ “กูจะล่อให้ยิ่งกว่าสปริงเกอร์”
แสรดดดดดดดดดดดดดด ไอ้พระเอกนรก จิตใจมึงทำด้วยอะไร!? ผมเริ่มเกร็งตัวพร้อมจะปล่อยให้มันร่วงอยู่หน้าส้วมคนเดียว แขนขวาของภคินที่อยู่ในอุ้งมือของผมสั่นนิด ๆ ภคินคงเจ็บ... เห็นว่ากระดูกซี่โครงหักตั้งสองซี่ ไม่เจ็บก็บ้าแล้ว ผมก้มหน้ามองพื้นปล่อยให้อีกฝ่ายปฏิบัติภารกิจส่วนตัวไป
ในห้องน้ำไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ อ่า อึดอัดชะมัดเลย ผมควรจะพูดอะไรดีนะ ในเมื่อหัวสมองมันว่างเปล่าขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่อยากจะมาเจอหน้าแท้ ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับไม่รู้จะพูดอะไรดี ความรู้สึกมันตีกันในหัวไปหมด ผมอยากให้ภคินเข้าใจผมบ้าง รู้ว่าตัวเองผิดที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้จริง ๆ บ้าเอ๊ย…
“ขอโทษนะ...” มันไม่ได้ออกมาจากปากผม... มันมาจากคนข้าง ๆ ดังขึ้นมาแทรกเสียงฉี่ที่ก้องไปทั่วห้องน้ำแคบ ๆ
ขอโทษงั้นเหรอ? ภคินขอโทษผม ขอโทษเรื่องอะไร? ผมถึงขั้นเผลอตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายทันที ไม่รู้ว่าภคินคิดอะไรอยู่ เพราะมันไม่ยอมสบตากับผมอย่างเคย ภคินแหงนหน้าขึ้นมองเพดานด้านบน “กูมาลองคิด ๆ ดูแล้ว กูก็ผิดเองแหละ... ที่น้อยใจอะไรโง่ ๆ ตอนที่มึงบอกไอ้ตุ้ยว่าไม่ได้เป็นอะไรกับกู กูก็เอาแต่คิดอยู่ตลอดว่า... มึงอาจจะไม่ได้รักกูจริง ๆ ก็ได้”
“ภคิน...” ผมครางเรียกมัน
“กูคิดว่ามึงอาจจะอึดอัดมาตลอดที่กูบังคับให้มาเป็นแฟน แต่พอคิดว่ามึงเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแท้ ๆ ถ้าคนอื่นรู้ว่ามึงเป็นเมียกู มึงก็คงอาย กูเข้าใจ... กูไม่โกรธมึงหรอก” มันว่าพลางดึงกางเกงขึ้นมาสวม “กูโกรธตัวเองมากกว่า... ที่เอาแต่คิดว่ามึงไม่ได้รัก ถ้ามึงไม่ได้รักกู มึงจะมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม... จริงมั้ย?”
อ่า ให้ตายเถอะ ใบหน้าหล่อคมนั่นเลื่อนลงมามองหน้าผมช้า ๆ วินาทีที่มันค่อย ๆ คลี่ยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากทำเอาผมแทบลืมหายใจ... รอยยิ้มของภคินเหมือนกับน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตที่กำลังใกล้ตายของผม ขอบคุณที่มันเข้าใจ แต่การที่มันมาขอโทษผมก่อนแบบนี้ ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดต่อมันตีตื้นขึ้นมาในอก...
ผมเองก็ผิด... ที่ไปตอบไอ้ตุ้ยมันแบบนั้น รู้ทั้งรู้ว่าภคินมันคิดยังไง ผมรู้ว่าบางทีมันก็คงจะสงสัยในความรักที่ผมมีให้มัน ผมไม่เคยทำอะไรให้มันมั่นใจเอาเสียเลย คอยแต่หลบหลีกคนอื่น หนีความจริงมาตลอด ไม่อยากให้คนอื่นรู้ สนใจแต่สายตาที่คนอื่นมองมา
จนลืมถามตัวเองว่า... ได้สนใจสายตาคนตรงหน้านี้บ้างหรือเปล่า “กูต่างหากต้องขอโทษมึง” ผมขยับตัวเอื้อมไปช่วยมันผูกเชือกกางเกง “กูเอาแต่คิดเรื่องของคนอื่น จนลืมคิดถึงความรู้สึกของมึงไป ภคิน กูไม่ได้อยากจะแก้ตัวหรอก กูรู้ว่าตัวเองผิดเต็ม ๆ แต่กูจะบอกว่าพ่อไอ้ตุ้ยแกรู้จักกับพ่อกู เพราะงั้นตอนนั้นกูถึงรีบตะโกนออกไป ขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงจิตใจมึงเลย” มือผมยังจับที่เชือกบริเวณเอวกางเกงไม่ห่าง แม้ว่าจะผูกเสร็จแล้วก็ตาม “มึงรู้มั้ย... กูกังวลมาตลอด กูกลัวพ่อแม่รู้ กลัวจะทำให้เขาผิดหวัง แล้วตอนนี้... กูก็กลัวเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง”
“.......”
ผมหลับตาลงแล้วซบหน้าลงบนไหล่มัน
“กลัวทำให้มึงเจ็บ” “ไปป์...” ผมชอบฟังเสียงทุ้ม ๆ นี่เวลากระซิบที่ข้างหูจัง “กูจะไม่สัญญาหรอกว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะทะเลาะกัน โลกใบนี้มันสอนให้กูเชื่อว่า ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก มันมีตัวแปรอะไรหลาย ๆ อย่างเข้ามา 1+1 อาจมากกว่าสอง หรืออาจติดลบไปเลยก็ได้”
ภคินช่างเป็นคนที่มีอะไรขัดกันในตัวเองเยอะจริง ๆ ในขณะที่มันมองโลกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ต่างกับนิสัยที่ไม่ได้เข้ากับความเป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย มันเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องการความอบอุ่นจากคนที่มันรัก...
“ในอนาคตเราอาจจะทะเลาะกันอีก... ไม่สิ กูว่ากูกับมึงต้องทะเลาะกันอีกแน่ ๆ” ผมหลุดหัวเราะเบา ๆ ถูกของมันว่ะ “กูจะใช้สติให้มากกว่านี้ อย่างน้อยที่สุด กูก็จะไม่คิดอะไรโง่ ๆ อย่างวันนั้นอีก... โอเคมั้ย?”
“อืม...” ผมสูดกลิ่นน้ำทะเลเย็น ๆ ที่โหยหามานาน แค่ได้สัมผัสก็ทำให้หัวใจพองโตไปหมดแล้ว ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีก ผมยังจะต้องเจออะไรอีกมากมาย ขอแค่มีไหล่ของคนคนนี้ให้ซบลงไปก็เพียงพอแล้ว...
ที่ยากกว่าการรัก คือ การอยู่กับรักต่างหาก... ในเมื่อทุกอย่างไม่มีทางควบคุมได้ 1+1 ไม่เคยเท่ากับสอง... เราคงยังต้องเจออะไรอีกมากมายในชีวิต ไม่มีอะไรที่ลงตัวไปหมดทุกอย่างเหมือนในละครหรอก เพราะเราเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งไร้ความสมบูรณ์แบบ และเราเองก็ไม่สามารถเติมใครอีกคนให้เต็มอย่างสมบูรณ์แบบได้ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ การอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบนั้นให้ได้ต่างหาก
ภคินเอียงหัวมาซบหัวผมอีกทีนึง มันถูเส้นผมลงมาเบา ๆ “อยากกอดมึงจัง...” ผมผละออกมา เราจ้องตากันเงียบ ๆ โดยไร้คำพูดใด ๆ ภคินค่อย ๆ โน้มหัวลงมาจนหน้าผากชนกับผมเบา ๆ เหมือนถูกหลอมละลายด้วยสายตาเว้าวอนแบบนั้น... หัวใจผมเต้นแทบจะหลุดออกมาด้านนอก มันค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาเพื่อจะเชยคางผม...
เผียะ ผมปัดแขนมันทิ้งโดยสัญชาตญาณ ภคินเบิกโพลงอย่างตกใจ ก่อนแววตานั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด มันเบือนหน้าออกไปอีกทางเหมือนจะสกัดกั้นความน้อยใจ ไม่นะ... มันไม่ใช่
“ภคิน... มึง...”
“พอแล้ว... อย่าพูดเลย”
“มะ... ไม่ใช่นะมึง กูไม่ได้ตั้งใจ...”
“........”
“แต่... มึงเยี่ยวแล้วยังไม่ล้างมือ” เรามองหน้ากันก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ ด้วยความโล่งใจ ฮ่า ๆ ๆ ผมพยุงภคินที่ล้างมือเรียบร้อยแล้วออกมาจากห้องน้ำ จัดแจงให้นั่งบนเตียงแล้วเอาไม้ค้ำไปวางไว้ข้างหัวเตียงตามเดิม มันฉีกยิ้มกว้างให้ผม “แม่ง... หัวเราะจนซี่โครงหักเพิ่มอีกซี่แล้วมั้งเนี่ย”
“เอ้า! อย่ามาโทษกูนะ ใครใช้ให้มึงเส้นตื้นเล่า”
“เดี๋ยวถ้าอาหารเย็นมาเสิร์ฟเมื่อไหร่ มึงต้องป้อนกูเป็นการขอโทษ”
“ขอโทษเหอะครับคุณพี่ ผมไปทำอะไรผิดตอนไหน” ผมจิ้มหน้าผากมัน “ก็มึงไม่ล้างมือจริง ๆ นี่หว่า”
เหมือนโดนเล่นทีเผลอ... เพราะไอ้พระเอกมันรอจังหวะนี้อยู่นานแล้ว มันคว้าข้อมือผมแล้วกระชากเข้าไปใกล้ ๆ แน่ใจนะว่ามึงป่วย แรงควายชิบหาย “แต่ตอนนี้ล้างแล้ว... ขอสูบไปป์ให้ชื่นใจหน่อยได้มั้ย”
“นี่มันฟาดหัวมึงไม่ได้เอาความหื่นกระเด็นออกไปเลยใช่มั้ย?”
“เดี๋ยวกูพิสูจน์เอง” มืออุ่น ๆ เชยคางผมขึ้นมาช้า ๆ ใบหน้าหล่อคมค่อย ๆ โน้มลงมา ก่อนที่ริมฝีปากของเราจะแนบกันสนิท... ภคินจูบผมเบา ๆ ขบเม้มที่ริมฝีปาก แล้วค่อย ๆ สอดลิ้นเข้ามาภายใน... เป็นจูบที่หวานเสียจนผมแทบแทบนั่งไม่ติด... เหมือนลอยอยู่กลางอากาศ หัวสมองมันโล่งไปหมด... ผมงับเบา ๆ ที่ริมฝีปากบางนั่นคืนบ้าง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้มันรู้ว่าตัวเองรู้สึกดีแค่ไหน... ในขณะที่ผมกำลังสอดลิ้นตอบรับอีกฝ่ายนั้น
“ไอ้คิน! พวกกูได้ข่าวว่ามึง...”
ตึง! ตึง! ตึง! ไอ้เหี้ยโจ้เปิดประตูออกมาได้อล่างฉ่าง อลังการงานสร้างเสียยิ่งกว่าเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์สามภาครวมกัน สมาชิกที่ยืนอยู่หน้าประตูทั้งหมดอ้าปากค้าง... ประกอบไปด้วย ไอ้โจ้ เจ้าภาพงาน ไอ้กัน ผู้ติดตาม ไอ้ฟาร์ ซึ่งไม่รู้รีเทิร์นกลับมาทำไม และไอ้อาร์ท ที่สีหน้าดูไม่ตกใจสักนิดเลย แต่มันกลับส่งเสียง หึ ๆ ๆ อย่างน่าสยดสยอง...
“ไม่นึกเลยนะครับ ว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศกันขนาดนี้” มันยิ้ม “ไม่เกรงใจผีสางกันบ้างเลยนะครับ”
โอ๊ย! เช้ดดดดดดดดดดดดดดดดด หน้ากูร้อนจนควันจะขึ้นแล้ว ไอ้เหี้ยอาร์ท! ผมฟุบหน้าลงกับเบาะนอนเพื่อหนีความจริง กูอยากจะกระโดดออกไปนอกหน้าต่างตอนนี้เลย... แม่งกำลังเคลิ้ม ๆ เอ๊ย! กำลังอายโว้ย!
“จุ๊ ๆ ๆ ๆ แหม... เดี๋ยวนี้น้องไปป์เค้าพัฒนาเว้ย” ไอ้เหี้ยโจ้เริ่มก่อนเลยครับ แม่งมาเดินวนรอบเหมือนกูเป็นเจดีย์งั้นแหละ และแน่นอนว่าคู่ขามันต้องตามมาสมทบ
“พี่กันว่าแล้ว... น้องไปป์ต้องไม่ใช่หนิม ๆ เห็นแบบนี้เร่าร้อนเหมือนกันนะเราน่ะ” แล้วมันสองคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะอันน่าสะอิดสะเอียน เชี่ยยยยยยยยยยย กูเกลียดพวกเมิงงงงงงงงงงง!
“ห่า! ขัดจังหวะ” ไอ้เหี้ยนี่ก็ไม่ได้มีองมีอายอะไรกับเค้าหรอก ไอ้ภคินขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด... ดูก็รู้ว่าหัวเสียแค่ไหนที่ถูกขัดตอนกำลังเคลิ้ม ๆ “จะได้กันอยู่แล้ว”
“น้อย ๆ หน่อยครับคิน เดี้ยงขนาดนี้ อะไร ๆ มันก็ไม่แข็งไม่แรงหรอกครับ” เหยดดดด อะไรแข็งวะ เชี่ยอาร์ท มึงมาพูดให้เคลียร์ก่อนดิ๊
ไอ้ฟาร์ที่ตอนนี้อาฟเตอร์ช็อกค้างคา ค่อย ๆ กระดึ๊บเข้ามาในห้องมากขึ้น โถเพื่อน... ถึงมึงจะไม่เคยเจอหนังสด แต่กูเชื่อว่าหนังโป๊มึงก็ต้องผ่านมาบ้างล่ะวะ มันพยายามทำตัวลีบ ๆ ไปนั่งที่โซฟา และมองผมถูกไอ้พวกที่เหลือรุมฉีกขย้ำเนื้ออย่างทารุณ โดยไม่คิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาสักนิด
“ไหนจ๊ะ น้องไปป์... ให้พี่คินฉีดยาแก้เขินให้หน่อยมั้ยครับ” ไอ้กันมาทำเสียงเล็กเสียงน้อยอยู่บนหัวผม แม่ง! อยากดีดให้กระเด็นอัดข้างฝา “ดูซิ... ทำไมหูแดงจังเลย”
“อ๊ะ... ไหน ๆ ๆ” เชี่ยโจ้ชะโงกหน้าออกมาจากอีกฝั่ง “ชะอุ๊ย! ดูสิเขินใหญ่เลย น่าร้อคเอ๊าะ!”
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย กูไม่ไหวละนะ พวกมึงจะคุมคามทางเพศกูไปถึงไหนวะ” กูเลิกฟุบหน้าให้มันแซวเล่นแล้ว ต้องด่า ๆ ๆ ด่ามันคืนนนนน “อะ... ไอ้พวกไม่มีใครเอาแล้วอิจฉาคนอื่น!”
“ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย พี่กันขา เขาหาว่าเราไม่มีใครเอาค่ะ” ไอ้โจ้สวมบทโปรดของมันทำกระแซะคู่หูมันใหญ่ ไอ้กันก็เล่นด้วยเว้ย มันทำทีเป็นตบไหล่เพื่อนรักปลอบใจ
“ไม่เป็นไรโจ้ ไม่มีใครเอา... ดีกว่าเอากันเอง”
“กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” กูเกลียดเสียงหัวเราะมึงสองคนมาก!
เถียงก็แพ้... ไม่เถียงก็แพ้... ชีวิตไอ้ไปป์ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกทีแล้วว่ะ ผมหมดอาลัยตายอยากในชีวิตมากกว่าเดิม เมื่อไอ้พระเอกเองก็ไม่มียางอายอะไรเล้ย! มันลอยหน้าลอยตาดูผมถูกทารุณด้วยคำพูดอย่างมีความสุข โชคดีที่มันเองไม่ได้โดดลงมาร่วมวงด้วย ไม่งั้นก็เอามีดแทงกูเลยเหอะ
“อยู่ดี ๆ ก็มาสูบไปป์กันในโรง’บาลหน้าตาเฉย ขี้ยาว่ะ!” โจ้... มึงยังไม่จบกับกูใช่มั้ย
“ไอ้ห่า... เสพสารเสพติดในโรง’บาล มีโทษจำคุกตลอดชีวิตนะเว้ย” ไอ้กัน หนุ่มเมืองใต้ผู้ฝักใฝ่ธรรมะถามขึ้น เพื่อส่งมุกให้ตัวพ่อที่นั่งเงียบอยู่นานตบมุกคืน
“ยอมก็ได้” ภคินยักคิ้วเผล่มาทางผม
“แต่ขอจองจำในห้องหัวใจคนนี้ได้มั้ยล่ะ” ผมหลับตาลงก่อนที่เสียงจากสัตว์นรกจะกรีดร้อง
“ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววว” แม่ง! มึงแดกยาม้ากันเข้าไปเรอะ!?
TBC
วันนี้เรามาTalkแบบมีสาระกันดีกว่าค่ะ จากที่ไร้สาระมานาน ฮ่าๆๆ
ขอเขียนถึงมุมมองความรักเสียหน่อย เพราะไม่รู้ว่าเขียนงงไปมั้ย คือคนเขียนต้องการจะสื่อว่าคนเราเป็นจิ๊กซอว์ที่ไม่มีวันต่อกันพอดี คือเราไม่สมบูรณ์ในตัวเอง และไม่สามารถต่อกับใครให้สมบูรณ์ได้ ขนาดแม่เรายังเคยทะเลาะเลยจริงไหมคะ ดังนั้นการจะอยู่กันโดยไม่ทะเลาะกันน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก ที่อยากจะสื่อให้ทุกคนเข้าใจ(ซึ่งไม่รู้ว่าสำเร็จมั้ย55)ก็คือโลกนี้ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด และไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เหมือนคินกับไปป์ก็ต่างเป็นจิ๊กซอว์ที่ไม่มีวันต่อกันพอดี ที่เราทำได้ก็เพียงแค่หมุนให้เหลี่ยมมันแนบกันเกือบสนิทที่สุดเท่านั้น
รู้สึกตัวเองเขียนดราม่าได้ไม่ยาวเลยแฮะ มากที่สุดคือ1ตอนเอง เกรงจะได้ฉายาดราม่าพริบตา คราวหน้าจะพยายามให้มากกว่านี้ค่ะ/ก้ม/
PS.ยินดีต้อนรับคนอ่านหน้าใหม่ทุกคนค่ะ(และหน้าเก่าเราจำได้ทุกคนค่ะ55) ขอบคุณที่เลือกใช้บริการสายการบินของเรา
PS.มีแขกรับเชิญพิเศษด้วยนะคะ ใครยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
เชิญค่ะ โปรโมทกันหน้าด้านๆเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ
PS.ใกล้จบแล้วเหมือนกันนะเนี้ย ใครอยากได้รวมเล่มเก็บตังรอไว้นะคะ เพราะแลดูมันจะแอบหนาเบาๆ
)
PS.ใครอยากได้ของแถมเป็นอะไรลองเสนอเข้ามาได้นะคะ คนเขียนยังมืดแปดด้านอยู่
PS.เอ่อ...คุณพี่สาบเมืองคะ อ่านเม้นแล้วหยุดขำไม่ได้ แต่คินมันอู้เมืองบ่าจ้างน่ะก่ะ