After Valentine :: วาเลนไทน์....แรกของผม
“พี่ตินคะ”
เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเรียกผมจากด้านหลัง ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินอ้อมมาอยู่ตรงหน้าผม พร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงในมือที่ยื่นมาให้ด้วยใบหน้าแดงกล่ำ มีเพื่อนน้องเค้าอีกสามคนยื่นเกาะแขนกันอยู่ไม่ห่างไปนัก กำลังลุ้นเพื่อนของตัวเองอยู่
“อุ้มให้พี่ค่ะ” น้องอุ้มว่า น้องอุ้มคนนี้ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ก็เหมือนหลายๆ คนที่ผมไม่เคยเห็นหน้า เดินเข้ามาพูดประโยคทำนองนี้กับผม พร้อมกับยื่นดอกไม้ การ์ด และถุงช็อกโกแลตให้ผม ตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียน เดินยังไม่ถึงห้องด้วยซ้ำ มือก็แทบจะไม่วางพอรับดอกกุหลาบสีแดงของน้องอุ้ม โชคดีครับที่น้องอุ้มคนนี้มีแค่ดอกกุหลาบมาให้ผม
“ขอบคุณครับ” ผมว่า พยายามทำมือข้างหนึ่งให้ว่างเพื่อจะรับดอกกุหลาบสีแดงดอกนั้นของน้องอุ้ม แล้วดอกไม้ดอกนั้นก็มาอยู่ในมือของผมจนได้ ก่อนจะรวมเข้ากับดอกไม้ดอกอื่นๆ ที่ผมได้มาก่อนหน้านี้
ผมกำลังคิดอยู่ว่าเย็นนี้จะหอบดอกไม้กับช็อกโกแลตขึ้นรถเมล์กลับบ้านไปยังไงดี เพราะวันนี้แม่ของผมซึ่งเป็นอาจารย์วิชาภาษาไทยที่โรงเรียนเอกชนแห่งนี้ ไม่ได้มาสอนเพราะป่วยเนื่องจากโดนฝนหลงฤดูเมื่อวันก่อน
“เย็นนี้พี่ตินว่างไหมคะ อุ้มอยากจะช่วยพี่ตินไปดูหนัง” น้องอุ้มพยายามรวบรวมความกล้าเอ่ยปากชวนผม ผมเห็นว่าเพื่อนๆ ของน้องอุ้มก็ลุ้นกันสุดตัว มีเสียงวี๊ดว๊ายที่พยายามจะทำให้มันเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ
ประโยคทำนองนี้ผมก็ฟังมาหลายรอบแล้วครับ เท่ากับจำนวนดอกไม้ในมือที่มีเกือบยี่สิบดอก ซึ่งแต่ละครั้งก็จะได้คำตอบที่ว่า
“พี่ไม่ว่างครับ” ผมบอกไปสั้นๆ ไม่รู้จะเอาเหตุผลไหนมาต่อท้ายประโยค ว่าทำไมผมถึงไม่ตอบรับคำชวน ผมไม่ใช่พวกชอบทำร้ายจิตใจใคร แต่ผมก็ไม่ใช่พวกที่ชอบให้ความหวังใครเหมือนกัน ดอกไม้ที่ให้มา ผมก็รับไว้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ช็อกโกแลตที่ให้มา ผมก็รับเอาไว้เพื่อรักษาน้ำใจเหมือนกัน ผมถือว่าเป็นเรื่องของคนที่อยากให้ ผมแค่รับ แต่ถ้าชวนไปไหนด้วยกันนั้น ผมขอปฏิเสธครับ ไม่อยากให้ความหวัง
“เหรอค่ะ” น้องอุ้มทำหน้าเศร้า ส่งยิ้มเจื่อนๆ มาให้ เพื่อนสามคนที่ยืนลุ้นอยู่ไม่ไกลเดินเข้ามากอดไหล่ปลอบ
“พี่ขอตัวก่อนนะครับ ยินดีที่รู้จักครับน้องอุ้ม” ผมบอก เหมือนที่บอกหลายๆ คนก่อนหน้านี้ เพราะมีบางคนที่ผมไม่รู้จักเอาดอกไม้กับช็อกโกแลตมาให้ผมก็เยอะ เยอะกว่าจำนวนคนที่ผมรู้จักด้วยมั้ง
“ค่ะ” น้องอุ้มรับคำเสียงเศร้า จากนั้นผมก็ไม่รู้แล้วละครับว่า น้องอุ้มกับเพื่อนๆ จะพูดถึงผมในแง่ไหน จะโกรธหรือเสียใจที่ผมปฏิเสธคำชวนนั้นยังไง ผมใส่ใจนะครับแต่ไม่อยากรับรู้ ถ้าให้ผมตอบรับทุกคำชวน มีหวังไม่ต้องแยกร่างไปกับเจ้าของดอกไม้ทุกคนเหรอครับ การปฏิเสธเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
จากประสบการณ์วันวาเลนไทน์เมื่อปีที่แล้ว ตอนผมอยู่มอสี่ เพิ่งเข้าโรงเรียนแห่งนี้เป็นปีแรก ดอกไม้ที่ผมจะได้รับตลอดทั้งวันนี้ ไม่ได้มีแค่นี้แน่ๆ
ผมไม่ได้เป็นคนที่เรียกว่าหล่ออันดับต้นๆ ของโรงเรียน มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกับผมที่หล่อกว่าผมเยอะมากในโรงเรียนนี้ แต่ก็แปลกใจทุกครั้งที่มีการทำโพลสำรวจความเห็นแบบแปลกๆ ออกมา เช่น หนุ่มน่าเลิฟที่สุดในใจคุณ ปีใหม่อยากเคาท์ดาวน์กับหนุ่มสุดฮอทคนไหน สงกรานต์นี้อยากแปะแป้งหนุ่มหล่อลากดินคนไหน วาเลนไทน์อยากบอกรักหนุ่มหล่อคนไหนที่สุด เป็นโพลที่ทำกันเองเล่นๆ ในกลุ่มนักเรียนผู้หญิง ซึ่งผมมักติดท็อปห้าเสมอ ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ผมก็ไม่ใช่คนที่หล่อลากดินขนาดนั้น
“ไอ้ตินนนนนนนนนนนนนนนนน”
เสียงที่ดังมาก่อนที่เจ้าของเสียงจะวิ่งถือกระเป๋าแฟ่บๆ มาหาผม พร้อมกับดึงกุหลาบในมือผมไปดอกหนึ่ง คือเสียงเพื่อนสนิทหนึ่งในสองคนของผม
“กูขอ” มันไม่รอคำตอบจากผม เพราะมันวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แล้วไปหยุดอยู่หน้าเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังก้าวลงจากรถเบนซ์คันยาวสีดำเป็นเงา คนที่ผมแอบมองเขาตลอดมานับตั้งแต่วันที่เจอกันครั้งแรก เมื่อตอนมอสี่
เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ขาวๆ ตาเรียวๆ และดูหยิ่งอย่างที่สุด เพราะทันทีที่เพื่อนของผมมันวิ่งโร่เอาดอกไม้ไปยื่นให้ เด็กผู้ชายคนนั้นก็แค่หยุดมองแล้วผลักดอกไม้ดอกนั้นออกไปให้ไกล อย่างไม่คิดรักษามารยาทอย่างที่ผมทำ ที่บอกว่าผมรักษามารยาทนั้นก็เพราะว่าในจำนวนดอกไม้หลายดอกในมือผม ผมก็รับมาจากมือของเด็กผู้ชายเหมือนกัน อาจจะต่างกันตรงที่ว่า ของผมเป็นเด็กผู้ชายหน้าหวาน แต่ของเค้าคนนั้นเป็นไอ้เพื่อนหน้าเข้ม รูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับผม
ผมไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรหรือทำหน้าตาหยิ่งใส่เพื่อนของผมยังไง มันถึงได้ทำคอตก เดินตามหลังเขาต้อยๆ แต่ห่างกันหลายก้าว
เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ขาวๆ ตาเรียวๆ ท่าทางหยิ่งๆ เดินมาทางที่ผมยืนอยู่ เขาไม่ได้เดินมาหาผมอย่างแน่นอน แต่ที่เดินมาทางนี้ก็เพราะเขาและผมกำลังเดินไปยังอาคารหลังเดียวกันต่างหาก ผมขยับเข้าข้างทางอีกนิด เพื่อหลีกทางให้เขาเดินเพราะเขาคงไม่เดินหลบผมแน่ๆ
เด็กผู้ชายที่เดินผ่านหน้าผมไป มีแวบหนึ่งที่เราสบตากัน ผมจำตาคู่นี้ของเขาได้ขึ้นใจ พอๆ กับจำได้ถึงวันที่เราเจอกันครั้งแรก ตรงมุมอาคารพละ เราเดินชนกัน เป็นเขาที่ล้มลง ส่วนผมยืนได้อย่างมั่นคง
ดอกไม้ในมือของผมดูไร้ความหมายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ช็อกโกแลตในมือของผมก็เป็นเพียงขนมหวานชนิดหนึ่ง ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไร มันคงจะมีความหมายและลึกซึ้งได้หากมันมาจากเด็กผู้ชายที่ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังบางๆ นั้นไปจนลับตา
หันกลับมาอีกที ผมก็เจอเพื่อนของผมยืนทำหน้าเซ็งหมุนดอกไม้ในมือไปมา
“ดอกฟ้าหรือจะคู่หมาวัด” เพื่อนผมมันพูดแบบปลงๆ ผมว่าเพื่อนผมคนนี้มันไม่ได้เป็นหมาวัดหรอกครับ บ้านมันถือว่ามีฐานะพอสมควร แต่แค่เทียบไม่ได้กับบ้านเด็กผู้ชายคนที่มันวิ่งเอาดอกไม้ไปให้ต่างหาก
“ป่ะไอ้ติน ซดโค้กให้หายเศร้า” ผมว่า มันเศร้าได้ไม่นานครับ เป้าหมายของมันมีเยอะ
.
.
.
.
.
.
ตามคาดครับว่าเพื่อนผมมันเศร้าได้ไม่นาน พักเที่ยง กินข้าวอิ่ม มันก็ทิ้งให้ผมนั่งอยู่ข้างสนามบาสคนเดียว โดยที่มันลากเพื่อนอีกคนไปแจกดอกกุหลาบสาวๆ ตามรายชื่อที่พวกมันสองคนเขียนเอาไว้ตั้งแต่ต้นเดือน ไม่ต้องบอกก็รู้กันนะครับว่า ดอกไม้ที่เพื่อนผมมันเอาไปแจกสาวๆ มาจากไหน
ความจริงผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเท่าไหร่ ตรงหน้าผมยังมีกองถุงช็อกโกแลกกับดอกไม้วางอยู่เต็มโต๊ะหินอ่อน มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง และรุ่นเดียวกันหลายคน ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่แวะเวียนเอามาให้ ตอนนี้เสื้อของผมเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์รูปหัวใจเล็กบ้างใหญ่บ้างติดเต็มไปหมด แทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่าง ผมจึงเริ่มแกะมันออกที่ละชิ้น แล้วเอาไปแปะไว้ในสมุดสเก็ตซ์ภาพ
“นาย”
แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ผมก็รู้ครับว่า คนๆ นี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเรียกชื่อผม
คนตัวเล็กๆ ขาวๆ ตาเรียวๆ หน้าหยิ่งๆ แต่ตอนนี้กำลังทำหน้ายุ่งเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง ยืนถือกุหลาบสีแดงอยู่ในมือ มีซองสีชมพูร้อยเชือกผูกติดกับก้านดอกกุหลาบ ลักษณะเหมือนดอกไม้หลายๆ ดอกที่ผมได้รับ อีกข้างหนึ่งถือถุงกระดาษสี มีตัวหนังสือบอกยี่ห้อของสิ่งที่อยู่ในนั้น ถึงผมจะไม่ได้รวยแต่ผมก็ไม่ใช่เด็กบ้านนอกที่จะไม่รู้ว่า มันเป็นยี่ห้อของนาฬิการาคาแพงมาก นาฬิกาหนังสีดำบนข้อมือของผมเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ครับ”
ใจผมเต้น หัวใจผมยิ้ม แต่ผมต้องเก็บอาการ เพราะผมนี่แหละครับ ‘หมาวัดตัวจริง’ ครอบครัวผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ผมเป็นแค่ลูกของอาจารย์ในโรงเรียน ซึ่งได้ทุนในฐานะเป็นลูกของอาจารย์ดีเด่นห้าปีซ้อน ถึงได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนนี้ได้
ผมแอบชอบเด็กผู้ชายคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่เราเดินชนกัน ผมแอบมองเขาอยู่ห่างๆ ตั้งแต่ตอนนั้นมา แล้วพักหลังๆ ผมถึงได้เจอเขาบ่อยขึ้น เพราะเพื่อนสนิทของเขาทำให้ผมได้เจอเขามากกว่าการแอบมองอยู่ห่างๆ ที่บางวันก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าน่ารักๆ ของเขาเลย แม้แต่แวบเดียว
“ได้ดอกไม้เยอะแล้วนี่ แล้วยังอยากจะได้ดอกนี้หรือเปล่า” เขากึ่งพูดกึ่งถาม ปรายตามองกองดอกไม้บนโต๊ะของผม
“....”
ผมไม่ชอบสายตาของเขาตอนนี้ ถึงเขาจะน่ารักมากในสายตาของผม แต่เมื่อเขามองผมด้วยสายตาแบบนี้ มันก็ทำให้ผมไม่พอใจเขาได้เหมือนกัน เขามองผมเหมือนเป็นอะไรสักอย่าง เป็นใครสักคนที่เขาไม่อยากพูดคุยด้วย แต่ที่มานี่ก็เพราะถูกบังคับ หน้าตาของเขาบอกให้ผมรู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นครับ และที่สำคัญผมรู้ด้วยว่าใครที่บังคับให้เขามาหาผม เพื่อนสนิทของเขาไงครับ ผู้หญิงตัวเล็กๆ น่าตาน่ารักแต่น่ารักน้อยกว่าเขาไปหน่อยหนึ่ง
“แต่ว่า.....นี่คงยังไม่มีใครเคยให้นาย” เขาว่า พลางชูถุงในมือขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตาของผม ถุงนาฬิกายี่ห้อดังถูกวางมันลงบนโต๊ะ หลังจากที่กวาดดอกไม้บนโต๊ะไปรวมกันอยู่อีกทางหนึ่งของโต๊ะ มีบางหลายดอกที่หล่นไปกองกับพื้น ผมต้องก้มลงไปเก็บขึ้นมา ปัดฝุ่นกับเศษหญ้าที่เกาะตามกลีบดอกไม้อย่างเบามือ ไม่อยากให้กลีบมันช้ำ
“ห่วงจริงนะ ก็แค่ดอกไม้......โอ๊ย” เขาร้องเสียงหลงแต่ไม่ได้ร้องดังมาก เมื่อใช้มือเปล่ากวาดดอกไม้บนโต๊ะทั้งหมดลงไปกองอยู่บนพื้น เสียงร้องของเขาน่าจะเกิดจากหนามกุหลาบตำ
ผมอาจจะรู้สึกเจ็บแทนเขามากกว่านี้ ถ้าหากเขาโดนหนามกุหลาบตำเพราะสาเหตุอื่น ที่ไม่ใช่สาเหตุนี้ ผมเห็นเขาบีบนิ้วนางของตัวเองไปมาเพื่อคลายเจ็บ ก่อนจะตวัดสายตาขึงโกรธมาทางผม
“แย่มาก เอาดอกไม้มาให้ผู้ชายทั้งที่ ทำไมถึงไม่เอาหนามออกให้หมด ดีนะที่เลือดฉันไม่ออก ไม่งั้นนายโดนแน่” เขาว่าเสียงขุ่น ผมไม่ได้ตอบโต้อะไร ไม่อยากมองหน้าโกรธๆ ของเขานานนัก เลยก้มไปเก็บดอกไม้ที่พื้น ผมเหลือบเห็นเด็กนักเรียนทั้งหญิงและชายหลายคนมองมาที่ผมกับเขา แล้วค่อยๆ ถอยออกห่าง แล้วเดินหนีไปทีละคนทีละกลุ่ม สงสัยเพราะกลัวสายตาของคนที่ทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างหน้าผม
“เอา เอาไป” เขาว่า พร้อมกับยื่นดอกกุหลาบในมือให้ผม พร้อมกับดันถุงกระดาษที่ผมคิดว่าเข้าในคงเป็นนาฬิกายี่ห้อดังที่ผมเคยเห็นในนิตยสาร
“ขอบคุณครับ” ผมบอกเขา รับดอกไม้จากมือเขา เสี้ยววินาทีที่มือผมสัมผัสกับปลายนิ้วของเขา หัวใจผมมันเต้นแรงมาก แทบจะหลุดออกมา เสี้ยววินาทีที่ดูเหมือนกินเวลาไปไม่รู้กี่ร้อยล้านนาที ผมได้เห็นหน้าของเขาใกล้ๆ ใกล้กว่าทุกครั้ง ไม่นับครั้งแรกที่เราเจอกันนะครับ
“หึ...ไม่ต้องขอบคุณฉัน ไม่ใช่ดอกไม้ของฉัน แล้วนาฬิกานั่นก็ไม่ใช่ของฉันด้วย โน่น ถ้าอยากขอบคุณ ไปขอบคุณยัยแพทโน่น เขาให้นาย แล้วก็อย่าลืมอ่านการ์ดด้วย ส่วนนาฬิกาได้แล้วก็ใส่ให้ยัยแพทเห็นด้วย ยัยแพทจะได้ดีใจ แล้วฉันจะได้รู้ว่านายไม่เอาไปขายต่อให้ใคร” เขาพูดยิ้มๆ ผมชอบรอยยิ้มของเขาแต่ไม่ใช่รอยยิ้มแบบดูถูกกันอย่างนี้
“ ผมฝากขอบคุณแพทด้วย สำหรับดอกไม้ แต่นาฬิกา ผมไม่ขอรับ” ผมตั้งใจจะไม่รับอยู่แล้วละครับ ของราคาแพงแบบนี้ ถึงบ้านผมจะไม่ได้มีฐานะร่ำรวย ผมก็ไม่ใช่คนบ้าของแพงหรือชอบเอาของใครฟรีๆ
ผมคว้าถุงขึ้นมา ส่งมันคืนให้เขา แต่เขากลับยืนเอามือไพล่หลัง
“ให้แล้วไม่รับคืน แต่ถ้าอยากคืน โน่น เอาไปคืนเจ้าตัวเองละกัน ฉันไม่เกี่ยว ฉันมีหน้าที่แค่เอามาให้ ไม่ใช่คนรับใช้ของนายที่ต้องทำตามคำนายสั่ง” เขาว่า ไม่ได้ใส่ใจกับสีหน้าจริงจังของผมสักนิด
ลูกคุณหนู เอาเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า คนๆ นี้ทั้งหยิ่ง อวดดี และถือตัวมาก ผมไม่แปลกใจหรอกครับว่า วาเลนไทน์ปีที่แล้ว ในมือของเขาจะไม่มีดอกไม้สักดอก ไม่ใช่ว่าไม่มีใครให้เขา ผมเห็นครับว่ามีหลายคนที่ยื่นดอกไม้ให้เขา แต่เขาไม่รับมัน แถมซ้ำยังทำหน้าเหมือนไม่พอใจที่มีคนเอาดอกไม้มาให้ แม้แต่สติ๊กเกอร์รูปหัวใจดวงเล็กๆ จากใครๆ ก็ไม่มีโอกาสได้มาอยู่บนเสื้อสีขาวสะอาดตาของเขาหรอกครับ
แต่ว่าวาเลนไทน์ปีนี้ อกด้านซ้ายของเขามีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีชมพูดวงเล็กติดอยู่ตรงนั้น
ใครกัน....ใครคือคนโชคดีคนนั้น ที่ได้รับโอกาสที่คนอื่นอีกหลายคนอยากได้ แต่ไม่เคยได้
“อยากได้เหรอ?” เขาถาม เขาคงเห็นผมจ้องสติ๊กเกอร์นั้น
“เปล่าครับ” ผมตอบ แล้วก็เป็นเขาที่มองมายังสติ๊กเกอร์รูปหัวใจบนอกเสื้อผม ปากเล็กๆ นั้นยกยิ้ม น่าหมั่นไส้ท่าทางนี้ของเขาอยู่เหมือนกัน ทำไมเจอกันทีไร ผมถึงไม่เคยได้รับรอยยิ้มปกติของเขาเลยสักครั้ง ทุกครั้งก็เจอแต่รอยยิ้มดูถูก เยาะเย้ย ถากถาง ทำให้บางครั้งผมก็ไม่อยากเจอหน้าเขา แต่เอาเข้าจริง วันไหนที่ไม่ได้เห็นหน้าเขา ผมมักจะกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกหม่นหมองทุกครั้งไป
“นั่นสินะ บนเสื้อนายก็ออกเยอะแยะ ให้ไปก็ไม่รู้จะเอาไปติดไว้ตรงไหน” เขาว่าเสียงเรียบ เดาอารมณ์ไม่ออก
เขามองหน้าผม
ผมมองหน้าเขา
เรามองหน้ากันอยู่นาน จนกระทั่ง...
“ตรงนี้ก็ได้ครับ” ไม่รู้ว่าผมรวบรวมความกล้ามาจากไหนถึงได้บอกแบบนั้นออกไป
‘ตรงนี้’ ที่ผมบอกเขาคือตรงสมุดสเก็ตภาพเล่มไม่เล็กไม่ใหญ่ของผม หน้าที่ผมร่างลายเส้นเป็นรูปคนครึ่งตัว ผมเพิ่งร่างมันไปเมื่อกี้ ตอนเพื่อนทิ้งให้อยู่คนเดียว ดูเผินๆ ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นใคร แต่ผมคนที่เป็นเจ้าของรู้ดีครับว่าเป็นใคร
“....” ดูเขาจะตกใจเล็กน้อย แล้วก็อึ้งไปนิด ผมเกือบจะปิดสมุดนั้นลงแล้ว ถ้ามือเล็กๆ นั้นไม่ยื่นมาดึงเอาไว้เสียก่อน
โดยไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ในขณะที่เขาค่อยๆ แกะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจบนอกเสื้อออก จนมันมาอยู่บนปลายนิ้วของเขา แล้วเดินทางอย่างช้าๆ มาอยู่บนภาพที่ผมร่างเอาไว้คร่าวๆ บนอกด้านซ้ายของภาพร่างอันนั้นอย่างพอเหมาะตามที่ผมอยากให้เป็น
แล้วเขาก็เดินกลับไปทางเดิมที่เขาเดินมา เป็นเช่นเคยที่ผมจะมองแผ่นหลังเล็กๆ นั้นไปจนลับสายตา ตลอดทางที่เขาเดินไป ผมเห็นมีหลายคนที่ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ มีดอกไม้ในมือที่อยากจะให้เขา แต่เขาไม่ได้สนใจ ยังคงเดินลิ่วๆ อย่างไม่คิดจะหยุดใส่ใจความรักของใครที่ส่งผ่านกุหลาบดอกสวยมาให้เขา
เมื่อมองตามเขาไม่ได้อีกแล้ว ผมถึงได้ดึงสายตาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หัวใจสีหวานบนหน้ากระดาษของสมุดสเต็กภาพ ผมทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง หยิบเดินสอขึ้นมาวาดภาพนั้นจนสมบูรณ์ หัวใจดวงเล็กมันแปะอยู่บนอกด้านซ้ายของภาพที่ผมวาดเสร็จสมบูรณ์ ยิ่งทำให้ภาพนั้นสมบูรณ์ขึ้นอีกเป็นล้านเท่า
ภาพ...เด็กผู้ชายที่ยิ้มได้สวยที่สุดในโลก รอยยิ้มที่ผมได้เห็นชัดๆ หลังจากที่เขาแปะหัวใจดวงเล็กนั้นให้กับผม ก่อนเขาจะเดินไป โดยไม่ได้หยิบนาฬิกาไปด้วย แต่เย็นนั้นผมก็ตามหาเพื่อนของเขาและคืนให้กับเจ้าตัว
วาเลนไทน์ปีนั้น รวมถึงทุกๆ ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยอยากได้อะไรจากใครอีกแล้ว เพราะผมพอใจกับสติ๊กเกอร์รูปหัวใจสีชมพูจากเขา ถึงแม้มันจะเป็นของของคนอื่นให้เขา แต่ผมถือว่ามันเป็นของเขาและเขาให้ผม
.
.
.
.
.
.
.
.
“ยังเก็บไว้อีกเหรอ?”
เด็กผู้ชายคนที่ผมคิดว่าเขายิ้มได้สวยที่สุดในโลกเอ่ยปากถาม เขาทิ้งตัวหอมๆ เพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จมาใหม่ๆ ลงข้างกายผม โอบผมไว้ด้วยเรียวแขนที่ไม่สามารถโอบรอบตัวผมได้รอบ ผมชื้นวางแมะอยู่บนไหล่หนาของผม เขามองภาพวาดบนสมุดสเก็ตภาพ ภาพวาดที่มีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจดวงเล็กสีชมพูหวานติดอยู่ตรงอกด้านซ้ายของภาพวาดนั้น
“ครับ เก็บไว้อย่างดี” ผมบอก แขนเรียวของเขาละจากตัวผม เพื่อจะดึงเอาสมุดนั้นไปดูใกล้ๆ เขายิ้ม ยังคงเป็นยิ้มของเด็กผู้ชายที่สวยที่สุดในโลกของผมตลอดมา
“รู้ไหมว่า....”
เขาหยุดพูดแล้วหันมายิ้มหวานให้ผม นิ้วเล็กจิ้มลงไปที่สติ๊กเกอร์รูปหัวใจ
“...ลมตั้งใจให้นะ”
เขาว่าเขินๆ เห็นได้จากการที่ไม่กล้ามองสบตาผม หัวใจของผม มันไม่ได้เต้นแรงเหมือนวันนั้นหรือเหมือนทุกครั้งที่เจอหน้าเขาในช่วงที่เรายังเรียนมอปลายโรงเรียนเดียวกัน เพราะทุกวันนี้หัวใจผมมันเต้นเป็นปกติ เต้นไปในจังหวะเดียวกันกับของเขา
“ผมไม่รู้มาก่อน” ผมว่า พลางดึงเขาเข้ามากอด
“จะรู้ได้ไงเล่า ก็ไม่เคยบอกนี่” เขาว่าเสียงเบา ก้มมองสติ๊กเกอร์ดวงนั้น โดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองผมเลย
“แล้วทำไมไม่บอกล่ะครับ” ผมถาม กอดเขาแน่นขึ้น
“บอกได้ยังไงล่ะ บ้าหรือเปล่า” เขาใช้เสียงสูงกลบความอาย ที่ไม่รู้ว่าจะอายไปทำไม
“นั่นสินะครับ ตอนนั้นลมเกลียดตินจะตาย” ผมแกล้งพูด ตอนนี้ไม่ได้คิดแล้วล่ะครับว่า เขาเกลียดผม ถ้าเกลียดคงไม่มีวันนี้ที่ผมได้กอดเขาไว้ทั้งตัวและหัวใจ คิดไปถึงตอนที่เรียนอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเขาก็คงไม่ได้เกลียดผมเหมือนกัน แต่ที่ทำไปทั้งหมดคงเพราะต้องการปกปิดความรู้สึกตัวเอง แล้วที่สำคัญเพื่อนรักของเขาอย่างคุณแพทก็ชอบผมอยู่ด้วย
“เปล่านะ ไม่ได้เกลียดสักหน่อย แค่...” เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดแล้วหยุดไปสักพัก ใบหน้าขึ้นสี ฟ้องความอายในสิ่งที่จะพูด ปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ก่อนจะคลายออกเพื่อพูดต่อ
“...แค่ไม่รู้จะทำตัวยังไง เลยทำแบบนั้นไป ขอโทษนะ” เขาพูดเสียงเบา ตาคู่นั้นของเขาฟ้องว่าเขากำลังรู้สึกผิดกับเรื่องในอดีต
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ตินไม่เคยโกรธลมเลย แม้แต่นิดเดียว” ผมหอมแก้มเขาเบาๆ ตอนนั้นเคยรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ไม่เคยโกรธอะไรสิ่งที่เขาทำเลย คงเพราะรักเขา ต่อให้เขาทำกับผมมากกว่านั้น ผมก็ไม่คิดจะโกรธ
“จริงเหรอ?” เขาย้อนถาม น้ำเสียงดูตื่นเต้นดีใจที่ได้ยินผมบอกเช่นนั้นออกไป
“จริงครับ...แต่” ผมหยุดคิด ว่าควรจะถามในสิ่งที่ค้างอยู่ในใจผมตลอดมา ตั้งแต่วาเลนไทน์ปีนั้น
“แต่อะไร?” เขาดันตัวออกจากอ้อมแขนของผม เพื่อจะเค้นเอาสิ่งที่ผมไม่กล้าถามออกไป แต่คิดไปแล้ว มันไม่จำเป็นที่ผมจะต้องเก็บมันเอาไว้ เรารักกันแล้ว เราเป็นคนๆ เดียวกันแล้ว มีเรื่องอะไรเราต้องเปิดอกคุยกันให้หมด
“แต่ตินอยากรู้ว่าสติ๊กเกอร์รูปหัวใจเป็นของใคร ลมเอามาให้ติน ไม่กลัวเขาเสียใจหรือครับ” ผมคิดว่าคนที่เอาสติ๊กเกอร์รูปหัวใจติดให้เขาได้ ต้องเป็นคนที่มีความสำคัญกับเขามากๆ เขาถึงยอมให้ติดได้
“ของลมเองล่ะ แอบขอเพื่อนในห้องมาติด ก่อนจะมาหาตินที่ข้างสนามบาส ถึงได้บอกไปเมื่อกี้ไงว่าตั้งใจให้ ” เขาบอกอายๆ ไม่ได้มองหน้าผม เอาแต่มองสมุดในมือ แล้วก็เฉไปเรื่องอื่น ซึ่งไม่ได้ไกลจากเรื่องเดิมนัก
“นี่รูปลมใช่ไหม? สวยดีนะ” เขาหันมาถามผม หน้ายังขึ้นสีฟ้องความอายกับเรื่องก่อนหน้านี้
“สวยไม่เท่าตัวจริงครับ” ผมว่า ดึงเขาเข้ามากอด ก่อนจะพรมจูบไปทั่วบนหน้าสวยขึ้นสีระเรื่อ
“ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าเป็นรูปลม” เขาพูด แต่ดูเหมือนจะเป็นเสียงพึมพรำกับตัวเองเสียมากกว่า
“ตอนนั้นมันยังวาดไม่เสร็จนี่ครับ” ผมบอก
“ตอนนั้นลมก็คิดว่าเป็นรูปของติน ก็เลย....”
“ก็เลย....” ผมทวนคำสุดท้ายของเขา เร่งให้เขาพูดให้จบ เพราะเขาหยุดมันไปเฉยๆ
“...ก็เลยติดสติ๊กเกอร์ที่ตรงนี้ไง” นิ้วเล็กของเขาจิ้มลงบนหัวใจดวงนั้นอีกครั้ง
“....” ผมยิ้มกว้างเต็มหน้า เมื่อฟังคำพูดต่อมาของเขา
“ลมให้หัวใจของตัวเองกับตินไปตั้งแต่วันนั้นแล้วนะ แต่ตินไม่ฉลาดเอาซะเลย ถึงไม่รู้ว่าลมคิดยังไงกับติน” ประโยคแรกก็น่าฟังดีอยู่นะครับ แต่ท้ายๆ เนี้ย กำลังว่าผมโง่หรือเปล่า แต่ช่างเถอะครับ เขาก็เป็นแบบนี้ของเขามาตลอด
“รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายครับ” ผมบอกเขา ก่อนจะจูบกลีบปากอิ่มสีสด จูบเบาๆ และเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งในเวลาต่อมา ไม่ต้องมีบรรยากาศหวานๆ เหมือนเมื่อสามสี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ในร้านอาหารบนยอดตึกสูง ไม่ต้องมีแสงเทียนส่องสว่างให้เห็นหน้ากันและกัน แสงจากหลอดไฟในห้องนอนของผมกับเขาเช่นทุกวันก็เพียงพอแล้วสำหรับความรักของเราสองคน
“เดี๋ยวสิลม” มือเล็กๆ ยันหน้าผมให้ออกห่าง ขืนตัวไม่ให้ถูกผมดันร่างของเขาลงไปยังที่นอนนุ่ม ขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ แต่ยังกอดเขาไว้แนบอก
“ทำไมครับ อยากรักลมอ่ะ” ผมทำเสียงอ้อนๆ อยู่ข้างหูเขา กลิ่นกายหอมๆ ทำเอาผมไม่อยากควบคุมตัวเองเอาซะเลย
“ปิดไฟก่อน” เขาว่า เพราะเขาเป็นคนขี้อาย
“ไม่ปิดได้ไหม วันนี้วันวาเลนไทน์นะครับ” ความจริงผมใช้วันวาเลนไทน์เป็นข้ออ้างครับ ผมอยากเห็นผิวกายขาวๆ ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างไปทั่วห้อง อยากเห็นใบหน้าของเขาให้ชัดเจนมากขึ้นในตอนที่เขากำลังมีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทำร่วมกัน
“....” เขาไม่พูดอะไร แต่ปากอิ่มที่เม้มแน่นก็บอกให้รู้ครับ ว่าเขากำลังคิด ไม่บ่อยหรอกครับที่เราสองคนจะเปิดไฟแล้วทำเรื่องรักๆ กัน
“....” ผมรอฟังคำอนุญาตจากเขา พลางดึงสมุดเล่มนั้นออกจากมือเขาไปด้วย เอามันไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งข้างเขา
“....” ปากอิ่มยังเม้มแน่น เป็นสัญญาที่ดีสำหรับผม ถ้าเขาไม่ยอม เขาก็น่าจะพูดมันออกมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมขอแล้ว
“สุขสันต์วันแห่งความรักของเรานะครับ” ผมกระซิบเอากับกลีบปากสีสด ตอนนี้มันเลยวันวาเลนไทน์มาร่วมชั่วโมงแล้วครับ สำหรับผมแล้ววันนี้ไม่ได้สำคัญมากไปกว่าทุกวันที่ผ่านมาหรือวันต่อไป เพราะไม่ว่าจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ทุกวันก็เป็นวันแห่งความรักของผมกับเขาเสมอ...
“รักลมนะครับ” ผมบอกคำนี้กับเขาทุกวันครับ ทั้งตอนก่อนนอน ตื่นนอน และทุกครั้งที่ผมอยากบอกเขา
“รักตินเหมือนกัน” เช่นกันครับที่ทุกครั้งเขาจะตอบกลับผมมาด้วยคำพูดนี้ ฟังไม่เคยเบื่อ แล้วไม่เบื่อที่จะฟังด้วยครับ
“ติน....”
“ครับ”
“ปิดไฟ”
“....................”
นั่นสิครับ วันวาเลนไทน์มันก็เป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมยังต้องเดินไปปิดไฟอยู่เหมือนเดิม อดอีกตามเคยครับ T^T
>>>>>>>>>>>> Happy Na Ka <<<<<<<<<<<<
สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ เลยเสิร์ฟความรักให้ทุกคนด้วยวาเลนไทน์ของตินลม
รับชิมกันให้อร่อยนะคะ อร่อยไม่เหาะแต่อร่อยเบาๆ อิอิ
ปล.มีแจ้งให้ทราบนะคะ ไม่มีอะไรมากหรอกคร้า (แอบเขินนิดๆ >_< ที่ต้องมาขายของ 555+)
แต่ไม่ต้องซีเรียสกันนะคะ อิอิ คือคนเขียนจะพิมพ์นิยายเรื่อง รัก...เธอ ออกมาค่ะ
คือว่าคนเขียนอยากมีนิยายวายของตัวเองไว้ครอบครอง แล้วจะทำให้คนรู้จักด้วยประมาณ 2 คน (ป๊าดดเยอะม๊ากกกกก) แล้วมีน้อง 1 คนที่รู้จักอยากได้เหมือนกัน (เยอะม๊ากกกเช่นกัน อิอิ) รวมกับของคนเขียนแล้วก็ 4 เล่มพอดี ตัดสินใจทำแน่นอน แล้วกะทำมาเผื่อขายด้วย (มีโรงพิมพ์โรงหนึ่งมั้งนะคะ เห็นเขาบอกว่า ไม่จำกัดขั้นต่ำ พิมพ์เท่าไหร่ก็ได้ อิอิ เสร็จโจ๋ แต่ยังไม่ได้โทรถาม)
เลยอยากเอามาขยายความว่า....มีใครสนใจนิยายเรื่อง รัก...เธอ บ้าง แจ้งมาได้นะคะ มีเวลาตัดสินใจประมาณ 6 เดือน เพราะตอนนี้ยังไม่ได้ทำอะไรสักกะอย่างเดียว มีเป็นชิ้นเป็นอันก็แค่นิยายที่แต่งจบแล้ว T^T กับไอเดียตอนพิเศษ (ที่พี่เอ๋บอกว่าควรมีอย่างยิ่ง) อีกประมาณ 6 ตอน (ไม่รวมตอนพิเศษตอนวาเลนไทน์นะคะ แล้วไม่เอาลงในเล้าด้วยนะคะ...ขอโต๊ดน้า) ตอนพิเศษที่ยังเป็นแค่ไอเดียแต่ยังไม่ได้ลงมือเขียนเลยสักตัว แต่อารมณ์คงประมาณตอนพิเศษวาเลนไทน์นะคะ หมายถึงการเล่าเรื่องนะคะ แต่ไม่ตัดจบน่าบีบคอแบบตอนนี้นะคะ T^T
คนเขียนเอามาบอกไว้ก่อนเฉยๆ นะคะ อย่าได้ซีเรียส ไม่สนใจไม่เป็นไร เราเข้าใจกันและกันคร้า ถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติมจะมาแจ้งเป็นระยะๆๆ นะคะ เผื่อมีคนสนใจ อิอิ
ปล. คนเขียนกดเป็ดกับกด+ ให้ทุกเม้นท์นะคะ เข้ามากดตลอดๆๆๆๆ
ปล. ไปแล้วนะคะ ไปเขียนเรื่องคุณหมอต่อก่อน อิอิ
สีเหลืองอ่อน // aeaw