คุยกันนิดจิตแจ่มใส
ช่วงนี้เห็นว่าแต่ละคนน่าจะเกิดภาวะ ตับช้ำ ตัวบวม จึงปวดตับกันทั่วหน้าทั่วตา
ดังนั้นน้องแอ๋วคนเขียนผู้แสนจะน่ารักใจดีจัดเตรียมอุปกรณ์ทำขนมหวานมาฝาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
ขั้นตอนการทำขนมหวานต้องเตรียมน้ำตาลเตรียมเคี่ยวน้ำเชื่อมใช่มั้ยค่ะ
และแน่นอนว่า ตอนนี้เป็นเพียง ขั้นแรก คือ เตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ ตอนต่อไปถึงจะได้น้ำเชื่อมหวานๆ
ยังไงก็เชิญรับชิมได้นะค่ะตอนที่ 12
วิธีทำให้สีฟ้าฟังได้ชัดขึ้นของภาคี คือการยกร่างบางให้นั่งใกล้ชิดที่เรียกว่าแทบจะเกยตักกันเลยทีเดียว
“จะทำอะไร”
เสียงที่ถามออกมาจากปากสวยติดจะสั่น กลิ่นเหล้าที่ลอยคลอเคลียอยู่เนื้อผิวแก้มชวนให้วาบไหว ตาคู่หวานที่มองสบตอบกลับมาก็ทำใจมันวาบหวิว ท่อนแขนใหญ่ที่โอบรอบไหล่ลาดแล้วกระชับให้ร่างบางแนบชิดกับอกกว้างแกร่งอุ่น ทำให้คนถูกกอดทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ รับรู้ถึงผิวแก้มที่ร้อนผ่าว เกรงกลัวว่ามันจะขึ้นสีระเรื่อให้อีกฝ่ายจับได้ว่า หวั่นไหวไปกับการกระทำนั้นอยู่ไม่น้อย
ห่างหายไปนานหลายเดือนกับอ้อมแขนนี้ คิดถึงนะ เพราะมันเป็นอ้อมกอดที่อุ่นและทำให้เขาสุขอย่างที่สุด
“เปล่า ผมก็แค่คิดว่าแบบนี้ คุณลมจะฟังอะไรชัดขึ้น แล้วก็เข้าใจอะไรมากขึ้น....ก็เท่านั้น” ว่าแล้วภาคีก็ฝังปลายจมูกบนแก้มนวลอย่างแรง ความหอมที่ได้จากแก้มนวลทำให้อยากทำอะไรมากกว่านี้ แต่ก็กลัวอีกฝ่ายโกรธ ถึงภาคีจะกล้า หากมันก็เพราะฤทธิ์น้ำเมา
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ” ตาคู่เรียวจ้องอย่างเอาเรื่อง หากร่างกายก็ไม่ได้ดิ้นหนีจากอ้อมแขนที่โอบกอดอย่างถือสิทธิ์
“มากกว่านี้ผมก็เคยทำมาแล้ว หรือคุณลมว่าไม่ใช่” ภาคีย้อนถาม แต่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาได้รวดเร็วทันใจ ทำเอาสะอึก
“ใช่ แต่นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้นายไม่มีสิทธิ์” สิทธิ์ของนายมันหมดไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น วันที่นายไม่คิดจะรั้งฉันไว้
“อ๋อ...ผมไม่มีสิทธิ์ แต่ไอ้หมอสัตว์นั่นมันมีสิทธิ์ใช่ไหม?”
ถามเองก็เจ็บเอง ยิ่งแววตาคู่สวยที่มองสบมาก็ทำเอาเขาเหน็บหนาว จนนึกโกรธตัวเองที่ถามคำถามนั้นออกไป ให้มันกลับมาทิ่มแทงซ้ำรอยแผลเดิมทำไมกัน เขาอ่อนแอกับสายตาคู่นี้เสมอ ไม่ว่าจะมองเขาด้วยความรู้สึกแบบไหน
“ใช่”
คำตอบสั้นๆ หากกระชับทุกความหมาย ชัดเจนจนเจ้าของคำถามต้องปิดเปลือกตาลงช้าๆ เก็บกลืนความเจ็บเปร่าที่แทบจะทำให้ใจขาด
กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยชิน....กับความหมางเมินที่ได้รับ เคยไหมที่จะเห็นใจกันบ้าง ไม่เคยมี ทุกครั้งที่แนบใกล้ ก็เหมือนไม่เคยจะได้แนบใจ ทุกครั้งที่คิดว่าคงรักกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยจะรักกัน
“แล้วอย่ามาถือสิทธิ์ในตัวฉัน นายไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวฉันทั้งนั้น จำใส่สมองนายเอาไว้ มีพี่หมอคนเดียวเท่านั้นที่ฉันจะให้สิทธิ์”
สีฟ้ายิ่งตอบย้ำความเจ็บปวดให้กับภาคีอีกเป็นระรอกที่สอง คำนั้นมันแรงแค่ไหน สีฟ้ารู้ดี แต่สีฟ้าก็จะพูดมันออกมา
“ทำไมคุณใจร้ายอย่างนี้ครับ คุณลม ที่ผ่านมาผมไม่มีค่าอะไรเลยใช่ไหม นอกจากตัวตลกโง่ๆ คนหนึ่งที่คุณอยากจะยัดใส่มือก็ได้ บอกผมหน่อย ผมไม่เคยมีค่าอะไรในสายตาคุณเลยใช่ไหม”
ถ้อยคำตัดพ้อเพียงเบาๆ กระซิบแนบชิดที่ผิวแก้ม ลมหายใจที่ดูเหมือนจะขาดเป็นห้วงๆ ผสมปนเปมาพร้อมกับกลิ่นเหล้า ทำเอาหัวใจที่เพียรสร้างให้แข็งดุจขุนเขากลับอ่อนยวบ อยากใช้มือนิ่มปลอบประโลมถ้อยคำเหล่านั้นผ่านใบหน้าคมที่แนบใกล้ หากต้องห้ามใจเอาไว้
สีฟ้าไม่อยากทำร้ายหัวใจตัวเองด้วยคำพูดของตัวเอง แต่จะให้ทำยังไงได้ คำพูดของน้ำเพชรยังคงติดค้างอยู่บนความเป็นจริง
‘เพื่อนทรยศ’
คำนี้มันยังดังก้องซ้อนทับถ้อยคำเดิมๆ ของน้ำเพชรที่สีฟ้าไม่เคยลบมันไปได้เลย เขาไม่อยากทำร้ายน้ำเพชรไปมากกว่านี้ ถึงน้ำเพชรไม่รู้ แต่สีฟ้าก็รู้ว่าเขาเลวแค่ไหน หากยังคงยึดคนร่างสูงเอาไว้อยู่เหมือนเมื่อวันวาน
แค่นี้ แค่น้ำตาของน้ำเพชรที่สีฟ้าเห็น คำพูดที่ร้าวรานของน้ำเพชร มันทำให้สีฟ้าร้องไห้ให้กับความสัมพันธ์ที่ยาวนานมามากกว่าสิบปี เขาทำลายมันลงไปแล้วด้วยมือของตัวเอง แล้วอย่างนี้จะให้สีฟ้าทำยังไงต่อไปล่ะ เพราะเขายังปรารถนาที่จะได้น้ำเพชรกลับมาเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิม
ความจริงแล้วเราไม่ได้รักกันใช่ไหม ภาคีไม่ได้รักเขา มีแต่เขาคนเดียวที่รักจนทำให้ตัวเองต้องเจ็บ ถ้าภาคีรักเขาสักนิด วันนั้นภาคีคงไม่เลือกที่จะจากไป โดยไม่คิดจะดึงรั้งเขาเอาไว้เลย ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน มันก็คงเป็นแค่ความสัมผัสทางกาย หาใช่ทางใจไม่....
“คุณใจร้ายมากเลยนะคุณลม คุณไม่เคยรักผมเลยหรือไง”
ภาคียังคงกระซิบแผ่วเบากับใบหูเล็ก หน่วยตาเศร้าเปิดขึ้นช้าๆ มองเสี้ยวหน้านวลแสนเฉยชากับปากอิ่มที่ขบเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนคลายออก
“ใช่ ฉันไม่เคยรักนาย รู้แล้วใช่ไหม รู้แล้วก็ปล่อย ฉันจะกลับ” คำพูดที่กว่าจะเปล่งมันออกมาได้ ก็ยากสุดแสน แต่มันไม่สามารถคลายอ้อมกอดแนบแน่นของภาคีออกไปจากตัวได้ ซ้ำร้ายคล้ายกับว่ามันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้อ้อมแขนนั้นตวัดรัดรึงร่างบางให้แน่นขึ้น จนสีฟ้ารู้สึกอึดอัดมากกว่าที่จะอบอุ่นเช่นเมื่อครู่
“ฉันเจ็บ” สีฟ้าบอก พลางสบตากับเจ้าของอ้อมแขนที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บอย่างที่พูดออกมาจริงๆ ภาคีรัดตัวเขาแน่นมาก แน่นจนเจ็บ
“ผมก็เจ็บ” อีกฝ่ายมองตอบมาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ารู้สึกจริงอย่างที่พูดเหมือนกัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่สีฟ้าเจ็บปวดทางร่างกาย ส่วนภาคี เขาเจ็บปวดเพราะใจถูกคำพูดของสีฟ้าทำร้าย
“นายจะมาเจ็บอะไร”
“คุณลม คุณไม่เคยรู้ตัวเลยใช่ไหมว่าทำให้ผมเจ็บ” เจ้าตัวถาม ใส่อารมณ์ ความอดทนมันเริ่มน้อยลงตามถ้อยคำของอีกฝ่ายที่กรีดหัวใจเขาทุกครั้งที่พูดออกมา
“ฉันทำอะไรนาย ปล่อยฉัน ฉันบอกให้ปล่อยไง ปล่อย!”
เสียงหวานตวัดแห้วสุดอารมณ์ พร้อมทั้งดิ้นดึงพาร่างของตัวเองออกจากคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างสุดแรง แต่ก็ทำได้เท่านั้น ภาคียังคงขังไว้ในท่อนแขนของตัวเอง แปลกตรงที่แรงกระชับนั้นอ่อนลง
“คุณก็ยังเป็นคุณลมที่ใจร้ายเหมือนเดิม ทำไมคุณลม ทำไมเราถึงรักกันไม่ได้”
ภาคีจับไหล่บอบบางให้เจ้าของมันหันมาเผชิญหน้า ตาเรียวไม่เคยอ่อนแสงเลยสักนิด ปากอิ่มที่เคยสัมผัสเม้มเป็นเส้นตรง ใบหน้าสวยใสนิ่งเรียบเสียจนน่ากลัว สีฟ้ายังคงดื้อดึงเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยน เขาไม่อยากนำพาอารมณ์ที่เริ่มร้อนของเขา เข้าไปปะทะกับอารมณ์ที่ร้อนกรุ่นของอีกฝ่าย
“บอกผมหน่อยได้ไหม ทำไมเราถึงรักกันไม่ได้” แม้จะเป็นคำถามเดิม แต่น้ำเสียงของภาคีกับอ่อนลงอย่างมาก เขายังไม่อยากให้อารมณ์ร้อนเข้ามาทำร้ายสิ่งที่เขาต้องการจะบอกอีกฝ่ายให้รู้
“กลับไปถามยัยนุ่นของนายสิ” แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาด้วยอารมณ์ที่ไปคนละทิศละทางกัน
“นุ่นไม่เกี่ยว นี่มันคือเรื่องระหว่างเราสองคนนะครับคุณลม” ภาคีพยายามที่จะไม่ไหลไปตามอารมณ์ของสีฟ้า
“ไม่เกี่ยวเหรอ ไอ้ที่นายขอยัยนั่นแต่งงานล่ะ แล้วไอ้ที่มานั่งร้องไห้กระซิกๆ ต่อหน้าฉันที่บริษัท ขอนายคืนล่ะ ยืนกอดกันกลมหน้าบ้านของนายอีก มันไม่เกี่ยวกันเลยใช่ไหม” สุดท้ายสีฟ้าก็ขุดเรื่องเก่าที่ค้างคาใจมาพูดจนหมด
“ผมไม่เห็นรู้เรื่อง” ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องที่ยืนกอดกับนิรดาตรงหน้าบ้าน แต่เป็นเรื่องที่นิรดาไปหาสีฟ้าถึงที่บริษัท เขาไม่เคยรู้
“พูดง่ายดีนี่ งั้นนายก็นอนละเมอไปขอยัยนั้นแต่งงาน ละเมอไปกอดกันกลมให้ใครๆ เห็นสินะ” ใครๆ นั้นหมายถึงเขาเอง เขาเห็นเต็มสองลูกตา
“ผมยอมรับว่าผมขอนุ่นแต่งงานจริง แต่ที่ผมขอนุ่นแต่งานก็เพราะ...” ยังไม่ทันจะอธิบายอะไรให้เข้าใจ สีฟ้าซึ่งไม่เคยพร้อมจะฟังอะไรจากภาคีทั้งนั้นกลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“นั่นไง แล้วอย่างนี้นายจะว่ามันไม่เกี่ยวได้ไง”
“แต่ผม...”
“พอเถอะ หยุดพูดได้แล้ว ต่างคนต่างอยู่เถอะ ขอร้องล่ะ”
ครั้งนี้ล่ะมั้งนับตั้งแต่ที่เปิดปากคุยกัน ที่สีฟ้าใส่อารมณ์น้อยที่สุด หรือจะพูดให้ถูกต้องเลยก็คือ น้ำเสียงของสีฟ้าแผ่วลงอย่างน่าใจหาย สำหรับภาคีแล้ว น้ำเสียงใส่อารมณ์ที่ตวาดใส่เขา หรือตาสวยที่จ้องคล้ายจะทิ่มแทงเขาได้ทุกเมื่อ มันยังดูจะดีกว่าสีหน้า ท่าทางและน้ำเสียงยามนี้ของสีฟ้าเป็นไหนๆ แต่จะให้เขาปล่อยคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไปอีกครั้งหรือ ไม่มีอยาก.... ไม่อยากให้สีฟ้ากลายเป็นของคนอื่น เพราะสีฟ้าเป็นของเขา
ภาคีดึงร่างบางสู่อ้อมกอดอีกครั้ง หวังจะให้ความรักที่เขามีทั้งหมดแทรกซึมผ่านอ้อมแขนเข้าสู่หัวใจอันร้ายกาจของสีฟ้าให้ได้ ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เขาโอบร่างนั้นไว้ทั้งตัว แต่ไม่เคยได้โอบกอดไปถึงหัวใจ สิ่งที่ได้คืนกลับมาคือแรงแข็งขืนที่มากกว่าครั้งไหนที่เขารู้สึกได้ พร้อมกับคำพูดที่ช่วยให้อะไรๆ มันกระจ่างชัดขึ้น
“ฉันบอกแล้วไง คนที่มีสิทธิ์ในตัวฉันคือพี่หมอ”
มันปักลึกกว่าครั้งไหน
ท่อนแขนแกร่งอ่อนแรงลงในทันใดที่ประโยคนั้นถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ภาคีรู้แล้ว ตอนนี้เขาไม่เหลือความหวังอะไรอีกแล้ว ท่อนแขนแกร่งตกลงไปอยู่ข้างกาย ปลดปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ
เมื่อถูกปล่อย ไร้พันธนาการจากมือใหญ่ สีฟ้าขยับไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ปล่อยให้ภาคีจมอยู่กับความอ้างว้างและว่างเปล่าที่สีฟ้าหยิบยื่นให้
.......Rrrrrrrrrrrrrrrr..............
เสียงโทรศัพท์ของภาคีดังขึ้น ทำลายความน่าอึดอัดที่ต่างฝ่ายต่างหันหน้าหนีไปคนละทิศทาง มันดังอยู่นานหลายรอบ โดยที่เจ้าของของมันไม่ยอมสนใจมัน แผ่นหลังที่พิงพักไว้กับขอบโซฟาขยับเพียงเล็กน้อย เพียงเพื่อจะล้วงมันออกมาจากกระเป๋า หลังจากที่เรียกร้องมานานหลายครั้ง ภาคีไม่มีกระจิตกระใจจะดูว่าใครโทรเข้ามา หากแต่กดรับมันไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
กดรับแต่ไม่ยอมกรอกเสียงลงไป ยามนี้สายตาของเขาจับจ้องที่ร่างบางที่นั่งฝั่งตรงข้าม อยากให้สีฟ้าได้รู้ว่าเขาเสียใจมากแค่ไหนกับคำพูดนั้นของเจ้าตัว หากสีฟ้าก็ไม่ยอมมองสบตากับเขาเลย
เพื่อจะหนีสายตาตัดพ้อที่เข้ามาทำให้สีฟ้ารู้สึกเหมือนกับว่าเป็นคนผิด แก้วน้ำสีอำพันที่ถูกทิ้งไว้มานานกลับเป็นตัวช่วยชั้นดีของสีฟ้าในเวลานี้ ชายหนุ่มเสหยิบมันขึ้นมาจิบ รสชาติมันแปร่งๆ เพราะค่าที่ถูกทิ้งไว้มานาน แต่กระนั้นเขาก็ยังจะละเลียดมันไปเรื่อยๆ จนเกือบจะหมดแก้วอยู่แล้ว
“เฮ้ย....ไอ้ติน มึงเป็นบ้าอะไรวะ รับแล้วไม่พูด แล้วกูโทรหาตั้งนาน ทำไมไม่รับวะ หรือว่า ฮ่าๆๆ หรือว่ากูโทรไปขัดจังหวะจู๋จี๋ของมึงวะ”
ปลายเสียงคือคณิตที่พอนั่งรถของณัชชาปุบ โดยมีสารถีเป็นเจ้านายหนุ่ม คณิตก็จัดการโทรหาเพื่อนรักทันที แต่เจ้าเพื่อนตัวดีก็ไม่ยอมรักสักที จนตอนนี้แหละถึงรับ
“เฮ...เฮ...ไอ้ตินนนนนนนน ฟังอยู่รึเปล่าวะ เฮ้ย! ไอ้ตินนนนน....” แอ่กโค่ซะจนคนในรถที่เหลืออีกสองคนต้องหันมามอง
“มีไร” กว่าจะเปิดปากออกมาได้ คนปลายสายก็ถือสายรอเสียนาน
“โห...ไอ้ติน เป็นเชรี้ยอะไรวะ กว่าจะพูดออกมาได้นะโว้ย โกรธละซี่ที่กูโทรมาขัดจังหวะ งั้นไม่เป็นไร ฟังกูดีๆ นะ กูจะบอกแผนที่มึงอยากรู้ให้ฟัง แผนก็คือ กุญแจของบอสที่อยู่กับมึงไง จัดการพาคุณลมของมึงไปเคลียร์ได้เลย ทุกอย่างปลอดโปร่ง เพราะกู บอส และแฟนบอส เปิดทางสะดวกให้มึงแล้ว แถมตังค์ค่าเหล้าที่มึงกินยังกะกินน้ำ บอสใจดีก็จัดการจ่ายให้เรียบร้อยแล้วด้วย คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับมึงที่จะโง่พาคุณลมกลับไปส่งที่บ้านของเขา หรือจะพากลับไปเคลียร์กันโต้รุ่งที่คอนโดมึง มึงก็เลือกเอาเองนะ แล้วพรุ่งนี้รายงานผลด้วย แค่นี้ล่ะเพื่อนรัก แต่เดี๋ยวก่อน บอสฝากบอกด้วยว่าโชคดี ถ้ายังเคลียร์ไม่จบอนุญาตให้ลาพักร้อนได้อาทิตย์หนึ่ง เออ....แค่นี้ว่ะ เปลือง...”
เสียงปลายสายที่ร่ายยาวเป็นชุดก่อนจะหายไปนั้น ทำให้ใบหน้าคมเหยียดยิ้มให้กับตัวเองอย่างเศร้าๆ เคลียร์หรือคณิต โชคดีหรือครับบอส คงไม่มีหรอกครับคำต่างๆ พวกนั้น
ภาคีเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ร่างสูงที่หายจากอาการมึนเมาเพราะคำพูดที่ทิ่มแทงใจ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและตัวตั้งตรง ไม่มีอาการเอนซ้ายเอนขวาเช่นครั้งก่อน
“กลับกันเถอะครับ คุณลม”
คณิตจะรู้ไหม ว่าตอนนี้เขาขอเป็นคนโง่ที่พาสีฟ้ากลับคืนสู่บ้านที่อบอุ่นของสีฟ้าเอง แทนที่จะเป็นคอนโดกว้างหากอ้างว้างของเขา ที่เขาซุกซ่อนหัวใจอันบอกซ้ำตลอดมา
สีฟ้ามองหน้าคนพูด เกิดคำถาม
“แต่ว่าหวาน...” ยังพูดไม่ทันจะจบ ภาคีก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ทั้งสามคนกลับไปแล้วครับ คงไม่ต้องบอกนะครับว่าทำไมถึงกลับไปก่อนพวกเรา” เจ้าตัวระบายลมหายใจออกช้าๆ หันหลังเดินออกไป ไม่หันมามองด้วยซ้ำว่าคนร่างบางจะเดินตามเขาออกมาด้วยหรือไม่ อาจจะนึกรังเกียจเขาจนไม่อยากเข้าใกล้ด้วยมั้ง
สีฟ้าเดินตามแผ่นหลังที่ก้าวยาวๆ นำหน้าเขาไป โดยไม่คิดจะหันมามองเลยว่าเขาแทบจะวิ่งตามอยู่แล้ว
ขณะที่กำลังเปิดประตูรถฝั่งคนขับ รถที่อชิตะทิ้งไว้ให้เขา และกำลังจะพาตัวเองเข้าไปนั่ง มือเรียวก็ยืนมาจับที่ข้อมือของเขาเสีย ภาคีหันไปมองหน้าหวานที่อยู่ไม่ห่าง ไม่อยากเห็น ไม่อยากเห็นอีกแล้ววงหน้าหวานที่ทำเอาเขาเพ้อ แต่ในวินาทีเดียวกันก็กรีดใจเขาจนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่แต่จุดเดียว จุดที่เจ็บปวดแสนสาหัสที่สุด
“มีอะไรครับ” มือเล็กๆ ข้างที่เหลือยื่นมาตรงหน้าของภาคี
“นายเมาแล้ว เอากุญแจมาให้ฉัน ฉันขับเอง”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่พาคุณลงข้างทางแน่”
“ติน”
น้ำเสียงนั้นแผ่วเบา ราวกับไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก พลางดึงร่างสูงให้ถอยห่างออกมาจากประตูฝั่งคนขับ ดึงกุญแจมาจากมืออีกฝ่าย จากนั้นก็ลากร่างสูงไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เปิดประตู ดันร่างนั้นให้เข้าไปนั่ง ก่อนที่จะปิดประตู แล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ พารถคันหรูของอชิตะมุ่งสู่ถนนเบื้องหน้าอย่างช้าๆ
“คอนโดอยู่ที่ไหน?”
สีฟ้าถามขึ้นมา ขณะที่เขากำลังพารถแล่นออกมาสู่ท้องถนน เขารู้มาคร่าวๆ จากคนเป็นแม่ว่า ภาคีย้ายออกจากบ้านหลังเล็กไปอยู่ที่คอนโดเช่าแห่งหนึ่ง แต่ไม่รู้ที่ไหน
ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย ภาคีนั่งนิ่งคล้ายๆ กับหลุดไปอยู่อีกโลกใบหนึ่ง
“คอนโดอยู่ที่ไหน ฉันจะไปส่ง” สีฟ้าถามย้ำอีกครั้ง หากคำตอบก็ยังเป็นเช่นเดิม คือความเงียบ ภาคีหันมามองหน้าเขา แต่ไม่พูด แล้วก็หันหนี มองออกไปนอนรถ
“ติน” อีกครั้งที่สีฟ้าเรียกขานชื่อชายหนุ่มที่นั่งนิ่งเป็นหุ่นอยู่ข้างๆ คราวนี้ภาคีคล้ายจะรับรู้
นานมาแล้วที่ไม่ได้ยินชื่อของตัวเองจากปากสวยได้รูปนี้ สีฟ้าเรียกชื่อของเขาแทนคำว่า ‘นาย’ ที่มักจะเรียกขานยามที่ความหวานห่างหาย ทุกค่ำคืนไม่ใช่เหรอที่ปากนี้จะเอื้อนเอ่ยชื่อของเขาได้อย่างเพราะพลิ้วหวานหวาม เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ สีฟ้าเรียกชื่อเขา มันทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเข้ามานั่งในรถตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองอีกครั้ง
สีฟ้าเลี้ยวหัวรถเข้าไปจอดในปั้มน้ำมัน เขาไม่อยากคุยไปด้วย ขับรถไปด้วย กลัวอันตราย เพราะสงสัยต้องถามกันอีกนาน กว่าคนปากหนักอย่างภาคีจะเปิดปากพูด เหมือนกำลังแกล้งเขา
“คอนโดนายอยู่ไหน?”
อะไรกัน เมื่อกี้นี้ สีฟ้ายังเรียกเขาว่า ‘ติน’ อยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงใช้คำว่า ‘นาย’ อีกล่ะ หรือว่าเขาหูฝาดไปเอง
“คอนโดนายอยู่ไหน?” ไม่รู้ว่าต้องถามคำถามนี้อีกกี่รอบถึงจะได้คำตอบ สีฟ้าคร้านจะถามเอาคำตอบจากคนที่นั่งมาด้วยกัน เมื่อไม่ตอบก็อย่าตอบ เขาถามคนอื่นก็ได้ ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมา กดต่อสายไปยังหมายเลขล่าสุดที่เขาบันทึกเอาไว้
“จ๊ะลม ว่าไง มีอะไรให้หวานช่วยหรือเปล่า ตินทำอะไรลมไหม ตอนนี้ลมยังอยู่ที่ร้านหรือเปล่า ให้หวานไปรับไหม หรือว่าออกมาแล้ว หวานเป็นห่วงลมนะ บอกมาเถอะลม ตินทำอะไรลมหรือเปล่า หวานขอโทที่ทิ้งลมไว้กับติน หวานไม่ได้ตั้งใจนะ แต่หวานถูกบังคับ”
คนปลายสายร่ายคำถามยาวเหยียดด้วยความเป็นห่วง เพราะณัชชายังรู้สึกผิดอยู่ที่จำยอมเข้าร่วมแผนการของอชิตะกับคณิต ร่ำๆ จะให้แฟนหนุ่มเลี้ยวรถกลับไปที่ร้านนั้นตั้งหลายครั้ง แต่ถูกอชิตะและคณิตทำหูทวนลมไปซะทุกครั้ง เลยได้แต่นั่งฮึดฮัดทำอะไรไม่ได้ จะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาเพื่อน ก็โดนยึดอีก โชคดีนะที่สีฟ้าโทรมาหาเธอเอง คนรักหนุ่มถึงคืนโทรศัพท์ให้
“ไม่มีอะไร ตินไม่ได้ทำอะไรลมหรอก แล้วก็ไม่ต้องมารับด้วย เพราะลมออกมาจากร้านแล้ว ว่าแต่ลมขอคุยกับหนึ่งหน่อยได้ไหม” สีฟ้าตอบทุกความห่วงใยของณัชชา ก่อนจะขอคุยกับคณิต เพราะเขาคิดว่าคณิตคงจะรู้ว่าคอนโดของภาคีอยู่ที่ไหน
“หนึ่งไม่อยู่แล้ว” คำบอกของณัชชาทำให้นั่งถอนหายใจยาวออกมาอย่างเหนื่อยๆ เหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้ซ่อนหน่วยตาไว้ใต้เปลือกหนาไปแล้ว
“ลมมีอะไรจะคุยกับหนึ่งเหรอ” ณัชชาคงถามต่อ เมื่ออีกฝ่ายเงียบไป
“คือว่าลมจะถามหนึ่งเรื่องคอนโดของตินนะ ลมอยากรู้ว่าอยู่ที่ไหน จะได้พากลับไปได้ถูก”
เปลือกตาหนาขยับนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินชื่อของตัวเองหลุดออกมาจากปากของสีฟ้า หูเขาไม่ได้ฝาดไปแน่ๆ
“อ้าว? ทำไมไม่ถามตินล่ะ” คนไม่รู้ก็ยังคงไม่รู้อีกเช่นเดิม
“เมาหลับไปแล้ว”
“เดี๋ยวนะลม เดี๋ยวหวานถามพี่อิงให้ พี่อิงน่าจะรู้นะ”
จริงด้วย สีฟ้าลืมอชิตะไปได้ยังไง ก็อชิตะเป็นเจ้านายของภาคีนี่นา น่าจะพอรู้อยู่บ้างว่าคอนโดของลูกน้องอยู่ที่ไหน
แว่วเสียงของณัชชาถามแฟนหนุ่มเกี่ยวกับเรื่องคอนโดของภาคี ซึ่งมันก็ดังพอที่จะลอดผ่านปลายสายมาให้เขาได้ยินอย่างชัดเจน สงสัยอชิตะคงจะรู้ว่าณัชชาไม่ชำนาญท้องถนนของกรุงเทพเท่าไหร่ เลยเพิ่มระดับเสียงที่บอกให้ดังจนเขาได้ยินชัด พอณัชชากรอกเสียงมา สีฟ้าจึงบอกหญิงสาวไปว่า
“ขอบใจนะหวาน ลมรู้แล้วล่ะ ฝากขอบคุณพี่พี่อิงด้วยนะ แล้วพรุ่งนี้ลมจะขับเอาไปคืนที่บริษัทนะ”
สีฟ้าวางสายจากณัชชาแล้วหันมามองคนที่ปิดเปลือกตานิ่ง แล้วต้องถอนหายใจหนักอีกรอบ คืนนี้เป็นคืนวันพฤหัส แล้วพรุ่งนี้ภาคีจะไปทำงานไหวเหรอ นึกแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้
แค่ ‘เป็นห่วง’ คงไม่ผิดมากใช่ไหม?
คำถามที่มีคำตอบอยู่แล้วว่า....
‘ไม่’ หรอกมั้ง อย่างน้อยๆ ก็เคยเป็นคนคุ้นเคย
...
กว่าชั่วโมงที่สีฟ้าพาตัวเองและคนที่เอาแต่นอนนิ่งไม่รับรู้อะไรอย่างภาคี มาถึงคอนโดนหรูโดดเด่นท่ามกลางแนวต้นไม้สูงที่ปรุงแต่งให้คอนโดนหรูดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นในความมืดที่มีแสงไฟเพียงน้อยนิด แม้กระทั่งตอนนี้เวลามันจะก้าวเข้าสู่วันใหม่ไปแล้วก็ตาม
รถของอชิตะที่สีฟ้าขับแล่นเข้ามาจอดสนิทตรงใต้คอนโดสูงสไตล์หรู ที่สีฟ้าไม่อยากจะเชื่อว่าภาคีจะสามารถจ่ายค่าเช่าที่แพงอยู่ไม่น้อยได้ ไม่ได้ดูถูก แต่เพราะมันไม่อยากจะเชื่อต่างหาก หรือว่านลินจะช่วยคนเป็นน้องชายออกค่าเช่าก็ได้
“ตะ....” กำลังจะปลุกคนที่นอนมาตลอดทางอยู่แล้วแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากรถไปได้อย่างหน้าตาเฉย
“ขอบคุณครับ” เท่านั้นแหละประตูรถก็ปิดสนิท พร้อมกับร่างสูงที่ก้าวฉับๆ ไปยังประตูที่มียามตัวใหญ่เดินถือตะบองไปมาท่าทางกระฉับกระเฉง
อย่าบอกว่าตลอดเส้นทางที่ทอดยาวมาถึงคอนโดแห่งนี้ ภาคีรู้สึกตัวตลอดเวลา ภาคีไม่ได้หลับสนิทเพราะฤทธิ์น้ำเมาเหมือนที่เขาคิดไว้แต่แรก
แล้ว...แล้ว....การกระทำทั้งหมดของเขาล่ะ ภาคีก็รู้หมดสิ
มือของสีฟ้าที่ปัดปอยผมที่หล่นมาปกใบหน้าคมหวานด้วยความนุ่มนวล
มือของสีฟ้าที่สัมผัสผิวแก้มสากๆ อย่างเบามือด้วยความรัก
มือของสีฟ้าที่เอื้อมไปทาบทับไว้กับมือใหญ่ที่วางอยู่หน้าตักแผ่วเบา หากถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดลงไป
โอ้ย....แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถึงจะเอาไว้ที่คอของตัวเองเหมือนเดิม มันก็คงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สีฟ้านะสีฟ้า ทำใจแข็งมาได้ตลอด ฝืนกลั่นคำพูดทิ่มแทงอีกฝ่ายมาทุกครั้ง กลับต้องมาเสียท่าเอาตอนนี้
ร่างของคนตัวสูงหายลับไปจากสายตานานแล้ว แต่สีฟ้ายังคงนั่งนึกโกรธผสมความอายอยู่ในรถอีกนานทีเดียว
........ก๊อกๆๆๆ............
เสียงเคาะกระจกรถฝั่งคนขับดังขึ้น ปลุกให้คนหน้าหวานที่หลับตานิ่ง เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างรวดเร็ว นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเองจอดรถอยู่ตรงนี้นานเกินไปหน่อย สงสัยพี่ยามตัวล่ำมาเคาะกระจกไล่
สีฟ้าลดกระจกลงเพียงเพื่อจะขอโทษขอโพยยามร่างใหญ่ที่จอดรถตรงนี้นานไปหน่อย หากแล้วก็พบว่าคนที่เคาะประตูไม่ใช่พี่ยามยักษ์ตัวใหญ่ดังที่คิดไว้แต่แรก หากแต่เป็นคนที่สีฟ้าไม่อยากเอาหน้าแตกๆ กับหัวใจที่อ่อนไหวเข้าพานพบ
“ขึ้นไปทานกาแฟก่อนไหมครับ คุณลม”
......................................................................
จบตอน