.
คุยกันนิดจิตแจ่มใส
สวัสดีค่ะ ตอนนี้คิดว่าทุกคนคงรอ ร๊อ รอ ว่าเมือไหร่จะมี
นอกผู้อ่านที่รักทุกท่านต่างรอคอย น้องลม ของอีชั้นก็ยังรอคอย คำ ๆนี้มานาน และการรอคอยของน้องลิมก็สิ้นสุดซะทีในตอนนี้
ขอให้มีความสุขจากการอ่านนะค่ะ ตอนนี้ค่อนข้างยาวขอลงเป็น 2part นะค่ะ
.
ตอนที่ 14 รักเธอ ครึ่งแรก
“ทำไมไม่ฟังตินบ้างล่ะครับ ฟังตินก่อนนะครับ เรื่องนี้ตินอธิบายได้ ”
ภาคีกดร่างบางที่ไม่เคยฟังอะไรเขาเลยไว้ใต้ร่างกำยำของตัวเอง ความที่สีฟ้าเป็นผู้ชายเหมือนกัน ถึงร่างกายจะบอบบาง พอโกรธแรงจึงเยอะ ทำให้ต้องลำบากหน่อยที่จะต้านแรงขึงโกรธนั้น
“ฉันไม่ฟัง ปล่อยฉัน ฉันจะกลับบ้าน”
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่สีฟ้ายังมีความสุข สุขที่ได้อยู่ในกรอบวงล้อมของห้องกว้าง ที่แยกเขาและภาคีออกมาจากโลกภายนอก ให้มาอยู่ร่วมกันในโลกที่มีเพียงแค่เขาสองคน แต่ช่วงเวลานั้นกลับหายวับไปกับตา ทันทีที่เปิดตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ แล้วพบว่าในความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในนั้น ที่บรรดาเสื้อผ้าต่างๆ ถูกแขวนและพับเก็บอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของคนเป็นเจ้าของ เพราะความเป็นระเบียบนี่แหละที่ทำให้สีฟ้าเจอเข้ากับสิ่งที่ทำให้เดือดพล่านอยู่แบบนี้
ตู้เสื้อผ้าที่ควรจะมีเพียงแค่เสื้อผ้าตัวใหญ่ของผู้ชาย ผู้ชายที่เป็นเจ้าของห้องนี้เพียงคนเดียวตามที่ควรจะเป็น ตามที่สีฟ้าเข้าใจ ตามคำพูดต่างๆ ที่สื่อออกมาให้สีฟ้ารู้ ว่าภาคีไม่มีใคร ห้องนี้ในคอนโดหรู ไม่เคยเปิดต้อนรับใครเลยนอกจากเขาคนเดียว
เขามันโง่ที่คิดเอาเองว่า ภาคีอยู่ที่นี้เพียงคนเดียว ไม่มีใคร!
แล้วไงล่ะ เสื้อตัวเล็กลวดลายสวยงามสีสันสดใส กางเกงผ้าพลิ้วสีเข้ม ทั้งกระโปรงตัวยาวตัวสั้น และชุดนอนตัวสวยอีกหลายตัว เข้ามาแชร์พื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของตู้เสื้อผ้า
หึ...นี่เหรอคือสิ่งที่เขาได้รับเป็นการตอบแทน จากความอ่อนแอของตัวเอง
เขาโง่ไปใช่ไหม?
ลืมไปใช่ไหม?
ลืมผู้หญิงที่ชื่อนิรดา ผู้หญิงที่เจ้าของห้องเคยขอเธอแต่งาน ผู้หญิงที่โดนเขากลั่นแกล้งช่วงชิงเอาว่าที่เจ้าบ่าวของเจ้าเธอมาเป็นของตัวเอง ผู้หญิงที่นั่งร้องไห้ขอคนรักคืนจากเขา
หรือว่าภาคีต้องการปกปิดเขา ต้องการแก้แค้นเขาที่ทำอะไรร้ายกับภาคีสารพัดในครั้งก่อน ภาคีต้องการหลอกให้เขารัก หลอกให้เขาหลง ทำให้เขาเป็นตัวตลก เครื่องสนองความต้องการที่ไม่เคยพอ แล้วเขาก็โง่พอที่จะหยิบยื่นให้ไป
สุดท้ายเขาจะเป็นตัวตลกที่มีค่าแค่เรื่องบนเตียงใช่ไหม
หากค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างที่ภาคีต้องการ ภาคีได้ในสิ่งที่อยากได้ สิ่งที่ภาคีพยายามจะขอจากเขา
และเขาเองก็เกือบจะหลงให้ไปแล้ว สีฟ้าคงจะต้องกลายเป็นตัวตลกในวันพรุ่งที่แดดทอแสงยามเช้าใช่ไหม
คำถามต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาราวระลอกคลื่นที่สาดซัด ยิ่งเพิ่มเรี่ยวแรงของสีฟ้าให้มีมากขึ้น ไม่แล้ว
สีฟ้าจะไม่หลงกลของภาคีอีกแล้ว
พอกันที!!
“ปล่อยฉัน !” สีฟ้าตะเบ็งสุดเสียง หน้าสวยขึ้นสีความโกรธ หากขอบตามันร้อนผ่าว ด้วยความคิดที่บั่นทอนความรู้สึก
“ฟังตินนะครับลม” ภาคีพยายามจะทำให้อีกฝ่ายเย็นลง และฟังสิ่งที่เขาจะบอก อธิบายถึงสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด แล้วกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เขาสองคนไม่เข้าใจกัน
“ไม่ฟัง ฉันไม่ฟังอะไรนายทั้งนั้น หลักฐานพวกนั้น มันเห็นๆ อยู่ เสื้อผ้าพวกนั้นมันของยัยนุ่นใช่ไหม” สีฟ้าตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย ทั้งเท้าทั้งแขนก็ดิ้นวุ่น แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากวงแขนแกร่งได้เสียที ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งโดนรัดมายิ่งขึ้น
สาเหตุที่ทำช่วงเวลาดีๆ ดับสลาย เพราะเสื้อผ้าที่สีฟ้าเห็น
“มันไม่ใช่ของนุ่น มันเป็นของ.......” กำลังจะบอกอยู่ได้แล้วเชียว แต่เพราะคนร่างบางแต่แรงเยอะขึ้นเรื่อยๆ กลับดิ้นหลุดแล้ววิ่งไปยังประตูอีกครั้ง โชคดีที่ช่วงก้าวของภาคีมันยาวกว่าของสีฟ้า มือแกร่งถึงสามารถคว้าเอวบางไว้ได้ทัน ก่อนที่จะวิ่งหนีหายไป และอาจหนีหายไปจากชีวิตของเขาตลอดไปก็ได้ หากภาคีไม่สามารถคว้าตัวเอาไว้ได้
“ทำไมไม่ฟังตินก่อน เสื้อผ้าพวกนั้น มันไม่ใช่ของนุ่นนะครับ” ภาคีดันแผ่นหลังบอบบางติดพนังห้องใกล้ๆ กับประตู มือหนึ่งยังวางรัดไว้ที่เอวเล็ก อีกมือหนึ่งบังคับตาคู่เรียวให้มองสบกับความจริงที่เขาต้องการบอกให้รู้
ไม่ใช่คิดเองเออเอง...
“มันไม่ใช่ของนุ่น”
“อย่ามาโกหกฉัน นึกว่าฉันโง่หรือไง เสื้อผ้าพวกนั้น ถ้ามันไม่ใช่ของยัยนุ่น แล้วมันเป็นของใคร ของนายหรือไง นายใส่เสื้อผ้าพวกนั้นหรือไงหะ เห็นฉันโง่มากใช่ไหม
ใช่! ฉันมันโง่ โง่ที่หลงกลไปกับหน้าซื่อๆ ของนาย โง่ที่ยอมกลับมาให้นายหลอก ฉันมันโง่ ฉันมันคนโง่
ได้ยินไหม ได้ยินไหม ฉันมันโง่ โง่ที่ยอมใจอ่อนกับคนอย่างนาย ฉันมัน...งะ...โง่...อึก...ฮื่อ...ฮื่อ...ฉะ...ฉัน...มะ...ฮึก...มัน...อึก....งะ...โง่ ได้ยินแล้ว...อึก...กะ...ก็...อึก...ปล่อยฉันไป....สักที......”
ความอ่อนถูกถ่ายทอดสู่ขอบตาเรียวที่ร้อนผ่าว แปรเปลี่ยนน้ำใสๆ ที่คลออยู่ในเบ้าตาสวย แล้วรินไหลเป็นทางยาวเปรอะเปื้อนใบหน้านวล ราวกับไม่มีวันจะหยุดพัก ปากสีสวยที่พรั่งพรูคำเฉียดเฉือนทั้งตัวเองและคนฟัง ขบเม้มเป็นเส้นตรง หากยังทิ้งร่องรอยสั่นน้อยๆ ให้เห็นอย่างเด่นชัดสำหรับคนมอง
“อย่าร้องสิครับ ร้องแล้วไม่สวยนะครับ” เขาเกลี่ยหยาดน้ำตาให้พ้นไปจากแก้มใสขึ้นรอยช้ำ หากมันก็เหมือนจะไม่มีวันหมด สีฟ้ายังคงร้องไห้ น้ำตายังรินไหลไม่ขาดสาย ทำเขาใจสั่น ทำอะไรไม่ถูก ถ้อยคำอธิบายใดก็เหมือนไม่ยอมหลุดออกมา
“ปะ...ปล่อยฉันเถอะนะ ...ฮึก...ปะ...ฮื่อ...ปล่อยฉันเถอะ...ฮึก...ฉะ...ฉันกลายเป็นคนโง่สมใจนายแล้วไง ปล่อยฉันไปได้หรือยัง?”
กว่าจะพูดแต่ละคำแต่ละประโยคออกมาได้ มันช่างยากเย็นเหลือเกิน น้ำตามันไหลอย่างห้ามไม่อยู่ และสีฟ้าเองก็ไม่คิดจะห้ามมัน
“นายเอาคืนฉันได้แล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ...ฮึก...”
“คุณลม”
คำขอร้องของคนร่างบางเบาราวกระซิบ กับน้ำตาที่ไหลเป็นทางยาวบนแก้มนวล เรียกร้อง นิ้วอุ่นลามไล้แผ่วเบากับความชื้นที่ทำให้ใบหน้ามนหม่นหมอง พร้อมกับกดซับให้มันหายไปจากวงหน้าสวยด้วยริมฝีปากอุ่นของตัวเอง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำเช่นนั้น หวังว่าจะทำให้ความชื้นอุ่นที่ทำให้เขาต้องเจ็บยามเมื่อเห็นมันใบหน้าหวานจางหายไปได้ หากแต่มันยังคงมีเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ คล้ายกับไม่มีทางหมดไปจากวงหน้า
หากภาคีเป็นฝ่ายที่ต้องปัดเช็ดด้วยริมฝีปากหยักของเขา สีฟ้าก็คงเป็นผู้สร้างหน่วยน้ำที่ไม่มีวันจะเหน็ดเหนื่อย
“ผมรักคุณลมนะครับ” ภาคีเลือกจะกระซิบคำรักชิดริมฝีปากสีหวานที่สั่นน้อยๆ แทนที่จะเฝ้าอธิบายความจริงต่างๆ ที่สีฟ้าไม่เคยคิดจะฟัง
“คำรัก”
ภาคีเอามันออกมาจนได้ คำรักที่เขาอยากพูด อยากบอกมาแสนนาน อยากบอกให้คนๆ นี้รับรู้มาตลอด หากยังไม่เคยมีโอกาส ที่ผ่านมาความกลัวทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยมัน ไม่กล้าเอ่ยบอกให้รับรู้ ทว่าในนาทีนี้ นาทีที่น้ำตาของคนๆ นี้ทำให้เขาต้องพูดออกมา ไม่มีความลังเล ไม่เหลือความกลัว ไม่สนความต่างของฐานะที่เขาเอื้อมไม่ถึง ในตอนนี้ ภาคีมีแต่ความรู้สึกที่ไม่อยากสูญเสียผู้ชายตรงหน้าไปจากชีวิต ไม่อยากให้อ้อมแขนของเขาปราศจากคนร่างบางเหมือนเช่นครั้งก่อนที่ผ่านพ้นไป
“รักลมนะครับ ตินรักลมคนเดียว ตินรักผู้ชายคนนี้คนเดียว ได้ยินไหมครับ”
“อืมมมมม.....”
นอกจากคำรักที่บอกให้รับรู้ ความอ่อนนุ่มยังดึงดูดกลีบปากสวยอย่างแผ่วหวาน หยอกล้อเบาๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายบอกกล่าวคำรักเล็กๆ แต่มากความลึกซึ้งไม่มีวันหมด ก่อนที่ลิ้นอุ่นชื้นจะแทรกผ่านรอยแยกของเรียวปาก เข้าไปสัมผัสกับความอุ่นชื้นที่ซุกซ่อนรอยคอยการสำรวจแสนร้ายกาจ แม้จะร้ายกาจเพียงไร สีฟ้ากลับไม่เคยคิดจะต้านทานมัน อาจเพราะคำว่า ‘รัก’ ที่กระซิบบอก มันเจาะลึกฝังแน่นอยู่ในหัวใจในวินาทีที่ผ่านมา แล้วมันก็ทำให้ยากจะต่อต้านอะไรอีกต่อไป
คำรักแลกคำรักอยู่อย่างนั้นอย่างเนิ่นนาน ภาษารักขับเคลื่อนให้ร่างสูงและร่างบางเกาะเกี่ยวกันอย่างแนบแน่น แทบกลายกลืนเป็นกันและกันในวินาทีนี้อยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีผิวผ้าเนื้อนิ่มกันขวางระหว่างกันและกัน และด้วยแผ่นหลังของสีฟ้าจะควรถูกรองรับด้วยเตียงนุ่ม แทนที่จะเป็นพนังห้องที่ทั้งแข็งและเย็นอย่างตอนนี้
“พะ...พอแล้ว “ เพราะไม่มีทีท่าว่าคำรักของอีกฝ่ายจะสิ้นสุดเสียที คนร่างบางจำต้องซุกซ่อนคำรักของตัวเองไว้เสีย ก่อนที่ทั้งตัวและหัวใจมันจะละลายกองไปบนพื้นพรมนุ่มเท้า
“รู้แล้วใช่ไหมว่าตินรักลม ตินรักลมคนเดียว ตินไม่เคยรักใครนอกจากลม แล้วตินก็ไม่เคยมีใครนอกจากลมคนเดียวจริงๆ นะครับ เชื่อใจตินนะครับ” ภาคียังพร่ำบอกให้อีกฝ่ายเชื่อใจ เขาใจหายหากสีฟ้าจะเข้าใจเขาผิด
“แต่เสื้อพวกนั้น...”
แม้คำรักจะกึกก้องอยู่ในหัวใจที่พองโตและเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่สิ่งที่เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้น้ำตามันไหล จนกลายเป็นคนที่อ่อนแอได้อย่างไม่น่าเชื่อ ก็ยังคงติดค้างอยู่ในความรู้สึกและเป็นคำถามที่อยากได้คำตอบอยู่ดี
“ก็เอาแต่พูดว่าคนโกหก คนหลอกลวง ฉันไม่ฟัง ฉันจะกลับบ้าน ปล่อยฉันๆ ฉันมันโง่ๆ อยู่แต่อย่างนั้น ไม่ยอมฟังตินสักที แล้วจะรู้ได้ไงว่าเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นของใคร”
พอทำให้คนอารมณ์ร้อน ขุ่นด้วยความโกรธสงบลงได้ ภาคีก็หยิบเอาสารพัดคำพูดของอีกฝ่ายขึ้นมาล้อ ขณะที่ประคองกอดเจ้าของหัวใจของเขาไปยังจุดที่เกิดเหตุ
เพราะฤทธิ์ของคำว่ารักที่กระซิบบอกอยู่ใกล้ๆ แต่ห่างเพียงลมหายใจกั้น ได้ขับไล่อารมณ์กรุ่นโกรธราวพายุร้ายให้สลายคลายตัวไปแล้ว ทำให้คนเจ้าอารมณ์เมื่อครู่กลายเป็นเด็กตัวน้อยแสนน่ารัก ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดเคือง อ้อมกอดอุ่นที่ประคองเขาไปยังตู้เสื้อผ้าจุดเกิดเรื่อง หรือแม้แต่จะตวาดแหวใส่คนตัวสูงที่หยิบเอาคำพูดมากมายของเขาที่เอามาล้ออย่างสนุกสนาน
พอเดินมาจุดเกิดเหตุ ภาคีปล่อยอ้อมแขนจากร่างบาง แล้วก็เปิดตู้เจ้าปัญหาออก เผยให้เห็นสิ่งที่เป็นปัญหายิ่งกว่าที่แขวนอยู่ข้างด้านซ้ายมือของเขา ชุดเสื้อผ้าลวดลายสวยงามตามแบบฉบับของผู้หญิง และชุดนอนสีหวานน่ารักๆ กินพื้นที่เกือบครึ่งตู้ แล้วหันมาตีหน้าขรึมถามเอากับคนร่างบางที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างๆ
“ดูดีๆ นะครับ เสื้อพวกนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า”
เขาควรจะดีใจไหม ที่เห็นคนที่เขารักนักรักหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพียงเพราะเห็นเสื้อผ้าของผู้หญิงแขวนอยู่ร่วมตู้กับเสื้อผ้าเขา ต้องดีใจใช่ไหม ที่สีฟ้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นั่นก็เพราะพิษรักแรงหึง
ภาคีเอ้ย....ต่อให้สีฟ้าเดือดเป็นไฟกว่านี้ เขาก็จะยิ้มรับด้วยความดีใจ เพราะสิ่งที่สีฟ้าแสดงออกมาทั้งหมดคืออารมณ์ของคนขี้หึงใช่ไหมล่ะ
แล้วคนเรารักกันมันก็ต้องมีหึงมีหวงกันเป็นของธรรมดาใช่ไหม?
,มีต่อ