23
กว่าจะถึงรีสอร์ตที่ว่า ก็เกือบๆ บ่ายโมงแล้ว ป้ายทางเข้าทำจากแผ่นไม้ ปักอยู่บนเสาสูงหน้าซุ้มโค้งมีเถาไม้เกาะ ขับเข้ามาก็ผ่านทางที่เป็นถนนยาวๆ มีต้นไม้ประดับเต็มสองข้างทาง เลยทางเข้ามาแล้วนิดหน่อย ก็พบว่ามีบ้านทำจากไม้ทั้งหลังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น พนักงานต้อนรับสวมชุดไทยแบบง่ายๆยืนรออยู่ ภาสกรจอดรถข้างๆบ้านหลังนั้น ก่อนจะตกลงกันว่าจะทำอะไรกันก่อน ก็พบว่าต่อให้กินแซนด์วิชมาแล้วแต่ทุกคนก็หิวกันอีกครั้ง ภาสกรจึงตัดสินใจว่า ให้กินข้าวเสียที่นี่ให้เรียบร้อยแล้วค่อยเข้าไปเก็บข้าวของ พอทิ้งกระเป๋าไว้ในรถแล้วทั้งหมดก็ลงจากรถเดินเข้าไปยังบ้านหลังนั้นทั้งที่ยังไม่ทันได้เห็นส่วนอื่นๆของรีสอร์ต
“สวัสดีค่ะ หม่อมราชวงศ์ ภาสกร และเพื่อนๆใช่ไหมคะ”
“ครับ” ภาสกรรับไหว้พนักงานสาวก่อนที่หล่อนจะบอกว่า
“คุณชายจะเช็คอินเลยไหมคะจะได้ให้พนักงานช่วยนำทางไปให้”
“ยังครับ เดี่ยวจะทานข้าวกันก่อน”
“ได้ค่ะ ร้านอาหารอยู่ชั้นบนค่ะ” หล่อนผายมือ จากนั้นทั้งสี่ก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องอาหารมีทั้งที่อยู่ในตัวบ้าน และอยู่บนระเบียงด้านนอก ภาสกรเลือกนั่งสูดอากาศที่ริมระเบียง โดยนั่งโต๊ะที่อยู่ที่มุมหนึ่งของระเบียง
มองลงไปด้านล่างเห็นลานสนามหน้ากว้างใหญ่ มีต้นไม้ใหญ่ปลูกไว้เป็นระยะ มีม้านั่งตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ จากนั้นก็มีถนนตัดผ่านข้างๆ ยาวลึกเข้าไปมองเห็นไกลๆว่ามีบ้านหลังเล็กหลังน้อยอยู่เรียงรายเต็มไปหมด
พอสั่งอาหารหมดแล้ว ยังไม่ทันที่อาหารจะมาเสิร์ฟ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“คุณชาย” ปีเตอร์นั่นเอง หนุ่มเจ้าของรีสอร์ตในเสื้อโปโล กางเกงยีนส์แบบธรรมดาๆ เดินเข้ามาต้อนรับ พอภาสกรเห็นเขาเข้าก็ลุกขึ้นเข้าไปกอดลูบหลังกันสองสามที มองเลยไปเห็นสาวฝรั่งร่างสูงผมทองมัดไว้เป็นหางม้าจูงมือลูกวัยห้าขวบเข้ามาด้วยก็ทักเป็นภาษาฝรั่ง
“สวัสดีโรซาลี จำผมได้ไหม”
“ได้ซีคะ ดีใจจังเลยที่ได้เจอกันอีก ในประเทศของคุณ” หล่อนว่า เข้ามาจับมือภาสกร ก่อนที่จะแนะนำลูกสาวของตนให้ภาสกรรู้จัก “นี่ แมรี่ ลูกสาวฉันค่ะ เตอร์เขาเรียกว่า มะลิ เป็นภาษาไทย”
ภาสกรนั่งยองๆลงทักสาวน้อย
“น่ารัก น่าชังเหมือนแม่เลยนะ” เด็กน้อยยังไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า จึงหลบไปอยู่หลังแม่ ภาสกรเห็นท่าทางก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะแนะนำให้เพื่อนๆของเขารู้จักกับ ดาริกา ปุยฝ้าย และ นที
“เฮ้ยนี่ กินข้าวหรือยัง” ภาสกรถามเพื่อนหนุ่ม
“ยังเลย ยังๆ” เตอร์ตอบเสียงดังอย่างร่าเริง “งั้นขอนั่งกินด้วยนะ เพิ่มอีก 3 ที่เอง ไม่ได้เจอกันนานจะได้คุยกันด้วย หวังว่าจะไม่ว่าอะไรนะ”
“เอาซี” คุณชายรับคำ ก่อนจะทันได้ว่าอะไรเจ้าของรีสอร์ตก็จัดแจง เรียกพนักงานสาวเข้ามาต่อโต๊ะ สั่งอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง อย่างไม่คิดเสียเวลา
ตอนแรกนทีค่อนข้างเกร็งเมื่อคิดว่ามีฝรั่งมานั่งอยู่ด้วย แล้วภาสกรเองก็เจอเพื่อนเก่าคุยกันสนุกสนาน เขาคงจะทำตัวไม่ถูกแน่ๆ แต่กลับเป็นว่าปีเตอร์นั่งตรงหัวโต๊ะ ติดกับภาสกร คุยกันอย่างออกรสก็จริงแต่ก็ไม่ลืมชวนนทีคุยด้วยไม่ให้อึดอัด ส่วนโรซาลีพอนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสามี ข้างๆดาริกา ก็ชวนหล่อนคุย คุยไปคุยมาดาริกาก็พบว่า จริงๆแล้ว สาวผมทองเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-อเมริกัน หล่อนเองก็เคยไปเรียนที่ฝรั่งเศสมา กลายเป็นนั่งคุยภาษาฝรั่งเศสกันอย่างสนุกสนาน มีปุยฝ้ายคอยถามคำศัพท์สนุกไปหมด
นทีอยู่ตรงกลางก็ถูกทั้งสามี ทั้งภรรยาเจ้าของรีสอร์ตผลัดกันซักถามพูดคุยไม่ให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวจนมื้อนั้นเป็นอีกมื้อหนึ่งที่มีความสุขเหลือเกิน
โดยเฉพาะกับเด็กหญิงตัวน้อย แมรี่ ที่พูดคล่องทั้งไทย ทั้งอังกฤษ พอหายตื่นคนแล้วก็ชวนหนุ่มน้อยที่นั่งข้างๆหล่อนคุยเป็นภาษาไทยบ้างอังกฤษบ้าง เล่นกันสนุกสนานบ้าง จนนทีต้องหัวเราะออกมาหลายครั้ง ไปๆมาๆ โรซาลีคุยกับดาริกาเพลิน ลืมดูแลลูกสาว ไม่ได้เห็นว่าหล่อนไม่ได้กินอะไรถนัดนัก นทีจึงกลายเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นไปเลย
“กินอะไรคะ คนสวย” นทีถามหญิงสาว ใช้คำลงท้ายว่า “คะ” คุยกับเด็กหญิงจนหนูน้อยหัวเราะคิก ตอบไปว่าอยากกินกุ้ง หนุ่มนทีก็จัดแจงแกะเปลือกส่งให้เด็กน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อย คนที่นั่งถัดจากเขาไปหันมามองก็อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นนทีก้มลงหน้าเกือบจะชิดกับเด็กหญิงฟังเรื่องที่หล่อนพูดอย่างสนุกสนาน แล้วก็หัวเราะออกมาเหมือนเด็กๆ นทีรู้สึกว่าภาสกรมองอยู่ก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้ชายหนุ่มด้วย
เวลาที่นทีพูดว่า
“เก่งจังค่ะ แม่รี่” ภาสกรก็อดหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัวไม่ได้ จู่ๆก็เห็นภาพตัวเองกับนที จูงมือเด็กหญิงตัวเล็กๆไปเที่ยวที่โน่นที่นี่ กัน มีนทีคอยป้อนข้าวเด็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ตน... คงจะดีหากเขามีครอบครัวเป็นของตัวเอง
มีครอบครัวกับนทีเนี่ยนะ!
ภาสกรสั่นหัวแรงๆราวกับว่า หากทำอย่างนั้นแล้ว ความคิดจะถูกสลัดหลุดออกไปจากหัวได้อย่างนั้น... เขาจะบ้าไปแล้วหรือ อยากมีครอบครัวกับผู้ชายเนี่ย พอมองไปอีกทีก็พบว่า เมื่อเห็นหน้านที ก็เหมือนภาพของดาริกาซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เพราะสองคนนี้หน้าคล้ายกันอย่างน่าประหลาดกระมังเขาจึงเผลอคิดว่าอยากให้นทีเป็นแม่ของลูกเขา ... ความจริงคงอยากให้เป็นดาริกามากกว่าที่อยู่ตรงนั้นในมโนภาพของเขา เขาคงไม่ได้อยากมีลูกกับผู้ชายจริงๆหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นก็น่าขำเกินไปแล้ว
อิ่มข้าวแล้วแมรี่ก็จูงนที หรือที่หล่อนเรียกว่า แนทที่ ลงไปวิ่งเล่นข้างล่าง พอคนพ่อร้องห้ามเพราะเกรงใจ กลัวว่านทีจะกินข้าวไม่อิ่ม หนุ่มน้อยก็บอกว่าตนมีความสุขดีที่ได้เล่นกับเด็กหญิง วิ่งตามไปอย่างสนุกสนาน เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทำเอาสองหนุ่มที่โต๊ะอาหารหัวเราะขึ้นเบาๆ
“รุ่นน้องนายนี่ ทำลูกฉันติดแล้วไหมล่ะ”
“น้ำก็อย่างนี้ล่ะค่ะรักเด็ก เด็กเล่นด้วยแล้วก็ติดใจ” ปุยฝ้ายแย่งภาสกรตอบ “แต่เอาเข้าจริงจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ติดใจทั้งนั้นแหละค่ะ”
“เห็นด้วยค่ะ” ดาริกายิ้ม “ขนาดหญิงเพิ่งเจอไม่กี่วันยังติดใจเลยคนอะไรหน้าตาก็น่ารัก นิสัยก็น่ารัก ใครได้มารู้จักก็ต้องติดล่ะค่ะ ใช่ไหมคะคุณชาย”
คำถามนั้นเป็นคำถามที่ธรรมดาเหลือเกินแต่ภาสกรกลับตอบไม่ได้ หรือตอบอืมรับไปแล้วเบาๆ ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจ เพราะเสียงหัวใจของเขา มันเต้นดังเหลือเกินจนกลบเสียงอื่นๆที่เขาได้ยินไปจนหมด เมื่อเห็นภาพของนที กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปกับเด็กน้อย มีคำว่า “จะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ติดใจทั้งนั้นแหละค่ะ” ที่ปุยฝ้ายว่าก้องอยู่ในหัว
เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ภาสกรยอมรับ อยากเห็นหน้า อยากพูดคุย อยากอยู่ใกล้นทีตลอดเวลา... คำนี้หรือเปล่านะ คำที่จะมานิยามความรู้สึกที่เขามีต่อนที ที่คิดแล้วคิดอีกอย่างไรก็คิดหาคำมาเรียกไม่ได้
เขา“ติดใจ”นที เข้าแล้ว...
“ติดใจ” คงไม่เหมือน “ชอบ”... คงไม่เหมือน “รัก” หรอกนะ
ภาสกรเดินมาตามนทีเมื่อหลายคนกินข้าวเสร็จแล้วพร้อมจะเช็คอินเข้าพักผ่อนที่บ้านพัก ก็พบว่า นทีกำลังวิ่งไล่จับเด็กน้อยอยู่ พอหนุ่มน้อยก้มลงกอด แมรี่ไว้ได้ เด็กหญิงตัวเล็กเหมือนตุ๊กตาก็ร้องกรี๊ดออกมา คุณชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ พอนทีเห็นว่าภาสกรเดินเข้ามาก็อุ้มแมรี่เข้าไปหานั่งลงข้างๆภาสกร
“อิ่มแล้วหรือครับคุณชาย”
“อืม” เขารับ เขยิบตัวเข้าไปใกล้นทีเพื่อเล่นกับเด็กหญิงด้วย “คุณเถอะ อิ่มแล้วหรือมาเล่นอยู่แต่กับเด็กน้อยคนนี้”
“อิ่มแล้ว ผมกินแซนด์วิชมาแล้วตั้งเยอะ” หนุ่มน้อยตอบ เห็นคุณชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ๆเด็กหญิงจี้เอวเล่นจนดิ้นพล่านร้องกรี๊ด หัวเราะอย่างเสียงดังก็หน้าแดง ในเมื่อยิ่งใบหน้าของภาสกรอยู่ใกล้เด็กหญิงมากเท่าใด ก็เท่ากับว่ามันใกล้เขามากเท่านั้น
“หรอ” เขาว่าพูดเบาๆ อย่างไม่รู้ตัวพอพูดจบประโยคไปแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองพูดอะไรที่ประหลาดได้มากเพียงใด “คุณดูเด็กเก่งจังนะ นที คงจะเป็นพ่อที่ดีได้แน่ๆเลย”
นทีหน้าแดง ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็เฉไฉว่า
“หาแม่ให้เด็กยังไม่ได้เลย จะเป็นพ่อที่ดีได้ยังไง” สิ้นประโยค คุณชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมามองหนุ่มน้อยที่กอดเด็กหญิงอยู่ หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นใบหน้าขาวนวลเนียน รื้นเป็นสีชมพูไปด้วยเลือดฝาด ปากสีชมพูใสอ้าออกเล็กน้อยเพราะเพิ่งพูดจบประโยค เหมือนจะเชิญชวนให้เข้าเคลื่อนตัวเข้าไปหา
ถ้านทีเป็นผู้หญิง ถ้าเขายังอยู่ที่อังกฤษ และถ้าประโยคของเขาเป็น “คุณคงเป็นแม่ที่ดีได้แน่” แล้วนทีตอบว่า “หาพ่อให้เด็กยังไม่ได้เลย...”แล้วล่ะก็ ภาสกรคงจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากสีชมพูที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะพูดว่า
“ผมไงครับ พ่อของเด็ก” ไปแล้ว แต่ประโยคใดก็ตามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “ถ้า” ละก็ในเชิงไวยากรณ์แล้วมันก็เป็นการสมมติสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ภาสกรจึงเรียกสติของตัวเองกลับมา คิดได้ในที่สุดแล้วก็ค่อยๆ ถอนตัวออกจากนที หันไปทางอื่นแล้วพูดเสียงอ่อยๆว่า “เขาทานข้าวกันอิ่มแล้ว ไปเช็คอินกันเถอะ”
“เอ๊ะ น้องฝ้ายดูสองคนนั้นซีคะ” ดาริกาสะกิดให้ปุยฝ้ายหันไปดู ตอนที่ภาสกรจ้องหน้านทีอยู่ด้วยแววตาลึกซึ้ง ในขณะที่นทีก้มลงคุยกับเด็กหญิงในอ้อมกอดของตนอย่างไม่รู้เรื่องพอดี “นั่นพี่คิดไปเองหรือว่า เขา... เอ้อ เขาดูเหมือน ... อุ๊ยพูดยังไงล่ะคะ เขาดูแปลกๆกันหรือเปล่าคะนี่”
ปุยฝ้ายหัวเราะ แต่ไม่ตอบอะไรดาริกา
คนที่ถูกมองไม่เห็นอะไร จึงเดินนำนทีออกมาก่อน ปล่อนให้หนุ่มน้อยเล่นจี้เอวเด็กหญิง แมรี่ดิ้นพล่าน หันไปขยี้หัวนทีจนผมพันกันยุ่ง หนุ่มน้อยร้อง “โอ๊ย” ขึ้นมาเบาๆ แล้วก็ปล่อยมือออกจากตัวของเด็กหญิง ปล่อยให้หล่อนหัวเราะเสียงดัง พร้อมกับวิ่งหนีจากไป
ภาสกรหันหน้ามาดูแล้วก็อมยิ้มที่มุมปาก เดินเข้ามาหานที
“ผมยุ่งหมดแล้ว ไปแกล้งแมรี่เขาทำไมล่ะ คุณนี่”
ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ก็เอื้อมมือมาลูบผมของนทีให้เข้ารูปเข้าทรง หนุ่มน้อยเขินอายอีกครั้งเมื่อนึกถึงสัมผัสนี้ เมื่อครั้งอยู่ที่โรงพยาบาล และตอนที่ไปที่บ้านของคุณชายหนุ่ม สัมผัสที่อบอุ่นแบบนี้ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว แต่นี่ถึงสาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า หนุ่มน้อยมีความสุขเพียงใด
แล้วเมื่อคิดว่า สักวัน เมื่อภาสกรรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับคุณชายอยู่กันแน่ ความรักความเอ็นดูแบบพี่มีต่อน้องที่ภาสกรมีให้เขาจะเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกับเขา หรือว่าต้องจากกันไปเพราะกลายเป็นความเกลียดชังกันแน่
นทีไม่อยากคิดต่อ จึงยิ้มให้ภาสกร คุณชายหนุ่มก็ยิ้มตอบแล้วเดินกลับเข้าไปหาดาริกา และปุยฝ้าย ความกระดากอายอย่างอึดอัด และน่าลำบากใจนั้น มลายหายไปสิ้น เหลือไว้แต่ความอุ่นใจ สบายใจ และสุขใจเหลือเกิน จนแม้แต่ต้นไม้เพียงไม่กี่สิบต้น ระหว่างทางจากตรงนั้นไปบ้านพักของเขานั้นก็กลับสวยงามขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
บ้านพักของภาสกร นที ปุยฝ้าย และดาริกา อยู่บนเนินสูงตรงบริเวณเกือบในสุดของรีสอร์ต มันเป็นบ้านหลังย่อม ทำจากไม้ทั้งหลังมีลำธารสายเล็กไหลเอื่อยๆ ผ่านจากหลังบ้านอ้อมไปด้านข้าง บริเวณหลังบ้านนั้นแหละ มีโต๊ะไม้สีขาวสะอาดตั้งอยู่ ไว้ให้นั่งชมวิวกันตอนเช้าๆ
เพียงเปิดประตูเข้าไปด้านในก็พบว่า ทางซ้ายมือมีบันไดไม้ขึ้นไปยังชั้นสอง ด้านขวามือ มีโต๊ะกระจกกลมมีเก้าอี้เรียงอยู่รอบๆสี่ตัวครบจำนวนคน เดินเลยเข้าไปข้างในก็พบว่า มีเก้าอี้ยาวรับแขก และชุดโทรทัศน์ตั้งอยู่ ห้องใต้บันใดมีบาร์ไม้เล็กๆ เป็นบาร์เครื่องดื่ม มีตู้เย็นขนาดย่อมอยู่ตรงนั้นด้วยด้านในมีทั้งน้ำเปล่า น้ำอัดลม และ ไวน์ฝรั่งเศสอย่างดีอีกหนึ่งขวดบรรจุไว้ เดินเลยห้องครัวเข้าไปด้านในก็พบว่ามีห้องนอนขนาดเล็กอยู่คู่กับห้องน้ำที่เปิดโล่งออกข้างนอก มีเพียงฉากไม้ไผ่กั้น กันอุจาดไว้ หากมองขึ้นไปตรงๆจะเห็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ข้างนอก ได้เต็มตา มีเสียงลำธารไหลเอื่อยๆอยู่ใกล้ๆ เรียกได้ว่า อาบน้ำกันใต้ร่มไม้ทีเดียว
แค่เห็นปุยฝ้ายก็ร้องว่า
“อี๊ ไม่อยู่ล่ะค่ะ คุณชายกับนทีอยู่กันไปนะคะ เป็นผู้ชายอาบอย่างนี้คงไม่เป็นไร แต่ฝ้ายไม่เอาด้วยค่ะ ยิ่งสวยๆอยู่ใครมาปีนดูล่ะก็จบ”
เรียกเสียงหัวเราะไปยกหนึ่งก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน คุณชายและนทีทิ้งกระเป๋าของตนไว้ตรงนั้น แล้วช่วยพวกผู้หญิงขนของขึ้นไปด้านบน
บันไดทอดตัวขึ้นไปยังระเบียงทางเดินที่อยู่ด้านหน้าห้องก่อนจะเปิดเข้าไปเป็นห้องนอนห้องหนึ่งพร้อมห้องน้ำขนาดใหญ่ มีอ่างอาบน้ำอยู่อย่างน่าสะดวกสบาย เป็นอันว่าพวกผู้หญิงได้ห้องที่เหมาะสมแล้ว
“คุณสองคนอยากไปไหนไหม หรือจะพักผ่อนกันก่อน” คุณชายถาม
“ขับรถมาเหนื่อยๆ คุณชายไปพักก่อนเถอะค่ะ พวกเราอาจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย แล้วก็ไปเดินเล่นแถวนี้ไม่งั้น ถ้าไม่มีอะไร หญิงคงต้องรบกวนคุณชายนำเที่ยวนอกรีสอร์ตแล้วค่ะ” ดาริกาชี้แจง ภาสกรก็เห็นด้วย จึงปล่อยสองสาวไว้
ตัวเองเดินกลับลงมาข้างล่างพร้อมนที
พอเอาของเข้าไปเก็บในห้อง นทีก็ง่วนอยู่กับการจัดกระเป๋าให้ดูวุ่นวายไปอย่างนั้นเอง ยังไม่อยากพูด หรือทำอะไรไปตอนนี้ เพราะ บรรยากาศที่อึดอัด และน่าใจหาย แต่มีความสุขอย่างประหลาด ยังคงอบอวลอยู่จนปรับตัวไม่ทัน พอหันกลับมาอีกทีนทีก็พบว่าภาสกรทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วเรียบร้อย นอนคว่ำ แต่หันหน้ามามองทางหนุ่มน้อยถามว่า “เก็บของอะไรหรอ”
“เอ้อ พวกของใช้ส่วนตัว ผ้าเช็ดตัวอะไรอย่างนี้ล่ะครับ” นทีว่ามุบมิบ เดินมานั่งที่ปลายเตียง หันหน้ามองภาสกรเช่นกัน
“นอนพักกันก่อนเถอะ เดินทางมาเหนื่อย”
ภาสกรบิดตัวไปมา แล้วก็หาวออกมาเสียงดัง ปากกว้างแบบไม่คิดจะปิดปากรักษาภาพจนนทีอดยิ้มไม่ได้ เขาไม่เคยใกล้ภาสกรขนาดนี้เลย ไม่เคยเห็นภาสกรทำตัวเหมือนเด็กอย่างนี้ ตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลถึงใกล้กันทางกายก็จริงแต่ทางใจแล้วไม่ได้ใกล้ชิดราวกับเป็นเพื่อนสนิทสนมกันมานานเท่านี้
หนุ่มน้อยทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันไปทางภาสกรบ้างนอนจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง ในความเงียบ ... เงียบอย่างอบอุ่น และสงบอย่างทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันสองคน ต่างฝ่ายต่างไม่ได้สังเกตหรอกว่า ระยะห่างของเตียง เพียงโต๊ะเล็กข้างเตียงกั้นนั้น มันไม่ได้ต่างจากนอนบนเตียงเดียวกันสักเท่าไหร่ ภาสกรยิ้มขึ้นมาก่อน นทีก็ยิ้มตาม “คุณมีความสุขหรือเปล่าครับ” ภาสกรถามเบาๆคล้ายจะกระซิบ
“ครับ” นทีตอบเบาๆเช่นกัน ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ภาสกรจะบอกว่า
“ดีใจนะ ที่คุณมีความสุข... ผมก็มีความสุข มากเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดเสร็จก็หลับตาลงนิ่งๆอย่างนั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทิ้งให้นทีนอนจ้องหน้าเขาต่อไปอีกนานหลายสิบนาที จนหนุ่มน้อยเกือบจะห้ามใจไม่ไหว คิดว่านอนอยู่บนเตียงเดียวกันแล้วกระเถิบตัวเข้าไปซุกอยู่บนอกกว้างที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามนั้น ก่อนจะแอบกระซิบเบาๆว่า “ผมมีความสุขมากแล้ว ตั้งแต่มีคุณชายเช่นกันครับ”