[คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [คุ ณ ช า ย] : บทที่ 38 - บทสุดท้ายของภาค 1 - "เปลี่ยน" - 17/10/11 - 11.50  (อ่าน 232477 ครั้ง)

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
เนื่องจากวันพรุ่งนี้ไป ผมจะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจระดับชาติ (เที่ยวสงกรานต์ ^^) วันพุธจะมาโพสไม่ได้ ดังนั้นวันนี้จึงโพสให้ทีเดียว 2 ตอน ถ้าลงไปตอนเดียวเพื่อนๆ จะต้องลงแดงตายแน่เพราะ คุณชาย-นที ไม่เจอกันสักที ฝากไว้เป็นของขวัญวันสงกรานต์แล้วกันครับมีความสุขมากๆนะครับ สวัสดีปีใหม่ไทยคร้าบบบ

***********************************************************************

17

   นที นั่งอยู่ริมหน้าต่างในห้องแฟลตของปุยฝ้าย มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างที่เขาทำประจำ นับวันดูแล้ว วันนี้ครบกำหนดคุณอดิสรณ์ต้องกลับมาไทยพอดี หน้าต่างห้องจึงแง้มอยู่เล็กน้อย เขาจับจุดผิดสังเกตได้ตรงที่มีชายแปลกหน้า ยืนสูบบุหรี่ อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่เสาไฟฟ้า ฝั่งตรงข้ามกับตึกนี้มาเป็นชั่วโมงแล้ว นานๆครั้งก็เหลือบตาขึ้นมามองหน้าต่างห้องนี้บ้าง แน่นอนว่าชายคนนี้เป็นคนที่อดิสรณ์ส่งมาเฝ้ เผื่อจะเห็นเขาเข้าออกตึกนี้บ้าง นั่นเป็นเหตุผลที่นที เก็บตัวอยู่แต่ในห้องมา สองสามวันแล้ว แต่พูดกันจริงๆ ต่อให้อยากออกไปไหน นทีก็คงทำได้ไม่สะดวกนัก เพราะขาเขายังไม่หายดี ยังคงเข้าเฝือกอยู่อย่างนั้น
   ห้องของปุยฝ้ายเล็กมาก เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา เดินมาได้สามก้าวจะเจอเตียงนอน ขนาดนอนได้สองคนเพราะปุยฝ้ายชอบนอนเตียงใหญ่ จึงไม่ลำบากเลยเมื่อนทีมานอนด้วยแบบนี้ ถัดจากเตียงคือโต๊ะทำงาน มีหนังสือวางระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบ ขอบโต๊ะชิดเตียงนอนฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งติดกับกำแพงพอดิบพอดี ตรงกำแพงนั้นเอง มีหน้าต่างบานใหญ่อยู่สองบาน ปิดม่านสนิท แง้มไว้บานหนึ่งเล็กน้อยให้นทีได้คอยสังเกต คนที่อยู่ข้างนอก
   จากปลายเตียงเดินไปประมาณหกก้าว เป็นตู้เสื้อผ้า แบบเลื่อนเปิดเพราะหากเป็นแบบประตู จะเปิดไม่ออกเพราะติดเตียง ข้างตู้เสื้อผ้า เป็นห้องอาบน้ำ เป็นเข้าไป พบชักโครก ด้านซ้าย เป็นฝักบัว เท่านั้น ไม่มีพื้นที่อื่นใดมากกว่านี้อีก แม้นทีจะชินกับห้องเล็กๆ อยู่แล้ว แต่ห้องนี้เล็กมากๆจริงๆ
   นทีเลื่อนตัวจากเก้าอี้เลื่อน ลงไปนอนบนเตียงในมือถือหนังสือโรเมโอ กับจูเลียต ฉบับภาษาอังกฤษ เปิดแบบสุ่มๆ ก็เจอหน้าที่พอจะอ่านได้ฆ่าเวลา ก็มาพบประโยคที่ว่า
       
      O Romeo, Romeo! Wherefore art thou Romeo?
       Deny thy father and refuse thy name!
      Or, if thou wilt not, be but sworn my love,
        
   นทีจำได้ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ทรงพระราชนิพนธ์แปลไว้ได้อย่างไพเราะนักว่า โอ้โรเมโอ! อ้า, เธอเปนโรเมโอใย? ตัดขาดจากบิดา และแปลงนามเสียเปนไร หรือเธอยอมมิได้, ขอเพียงปฏิญญารัก… นทีเอื้อมมือไปวางหนังสือไว้ที่เดิม พร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
   “ทำไมคุณชาย ต้องเป็นคุณชาย” หนุ่มน้อยอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ ทำไมคนที่ดีกับเขา จะต้องต่างจากเขาราวฟ้ากับดินอย่างนี้ด้วย ราวกับใครมากลั่นแกล้ง ตลอดชีวิต นทีไม่เคยมีความรักที่ดีกับใครสักคน คนที่เข้ามาก็ไม่มีใครจริงใจ ทนอยู่กับเขาไม่ได้นาน ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ผ่านมาในชีวิตที่จะดีกับเขาได้เท่าภาสกร ทำไมไม่ใช่แค่ภาสกรทำไมต้องเป็น หม่อมราชวงศ์ ภาสกร รชตานันต์ด้วย
   นทีรู้สึกโชคดี และอบอุ่นมากที่ได้รู้จักกับภาสกร เขาสนิทกับชายหนุ่มมากขึ้น มากขึ้นทุกวันจนถึงขนาดแอบหวังในใจว่าพอออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขาก็จะเข้าไปทำงานกับภาสกรเพื่อหาเงินใช้หนี้ค่ารักษาพยาบาล เขาก็จะได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก จนไม่แน่ว่าความผูกพันระหว่างนที และภาสกรอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
   สักวัน ความผูกพัน อาจเปลี่ยนเป็น รัก ก็ได้
   แต่แล้วทุกอย่างกลับพังทลายลง ความฝัน ความสุขเล็กๆน้อยๆ ความโชคดี บนความโชคร้ายของหนุ่มน้อยนทีก็ได้พังทลายลง ภาสกรเป็นคนขับรถชนเขา และต้องการรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป ไม่ได้รัก ไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว ทั้งๆที่นทีเอง มอบหัวใจให้กับคุณชายไปแล้วหมดทั้งหัวใจ แต่ก็ต้องเก็บเอาเศษหัวใจที่แตกสลายกลับมาเยียวยาด้วยตัวเอง
    “เหตุผลที่ชายมาอยู่เฝ้าไข้เด็กผู้ชายคนที่ป่วยก็เพราะว่าเพื่อนของเขา ปุยฝ้ายน่ะครับ ต้องไปต่างจังหวัดไม่มีใครมาเฝ้าไข้... เพราะคนที่ขับรถชนเขาคือชายเองครับแม่”
   นทีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกราวกับกำลังถูกบีบหัวใจอยู่ทุกที รู้สึกราวกับว่า ตัวเองถูกจับโยนตกลงมาจากสวรรค์ที่คิดว่าได้ขึ้นไปมีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แต่จะตกลงมา ก็มิได้ตกลงมาบนพื้นดิน แต่กลับต้องตกลงเหว และอาจทะลุไปถึงนรกเลยด้วยซ้ำ
   แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ตลอดเวลามานี้ หนุ่มน้อยก็ไม่อาจลืม ภาสกรได้จนแล้วจนรอด คิดถึงเสียงของเขา รอยยิ้มของเขา กลิ่นน้ำหอมจางๆที่โชยเข้าจมูกมาตลอดเวลาที่เขาอยู่ใกล้ คิดถึงคำพูดที่ทำให้เขาประทับใจ และแปลกใจในความคิดของคุณชายหนุ่ม คิดถึงความกระตือรือร้นที่จะดูแลเขา คิดถึงเวลาตื่นเช้ามาแล้วมีคนมาบอกว่า “อรุณสวัสดิ์” คิดถึงเวลาดีๆที่ภาสกรพยายามทำให้เขาหายเกร็งตอนที่พาเขาไปวาดรูปที่สวนของโรงพยาบาล
   รูปวาดของภาสกรยังอยู่บนโต๊ะทำงานข้างๆเตียงเหมือนกับวันแรกที่นทีวางมันเอาไว้ ชายหนุ่มหยิบรูปนั้นมาใกล้ๆ แล้วมองชายหนุ่มในรูปราวกับว่าได้พบกับเขาจริงๆ เสียดายเพียงอย่างเดียว... นทีไม่ได้วาดภาพ ภาสกรตอนยิ้ม ทั้งยังอุตส่าห์จัดท่าให้นั่งแบบซึมเศร้า ดูเป็นงานศิลป์มากเกินไป เวลานี้เมื่อมามองดู ก็ยิ่งทำให้คนวาดเศร้าใจหนักขึ้นไปอีก
   เสียงเปิดประตูดังขึ้น นทีไม่จำเป็นต้องหันไปมองด้วยซ้ำก็เดาได้ว่าเป็นปุยฝ้ายเพราะคงไม่มีใครคนอื่นที่มีกุญแจจะเปิดประตูเข้ามาได้สบายๆแบบนี้ แต่ชายหนุ่มก็ยังหันไปมองแล้วเอ่ยทักทายเพื่อนสาว ทำให้เขาเห็นสิ่งผิดปกติที่ปุยฝ้ายถือเข้ามาด้วย
ปกติจะเป็นถุงข้าวแกงร้านหน้าปากซอยใส่ถุงใส ธรรมดา หญิงสาวมักจะซื้อมาสามห่อคือสำหรับเย็นวันนั้น เผื่อไว้ถึงเช้าและกลางวันของวันถัดไป เนื่องจากนทีไม่สามารถลงจากแฟลตไปไหนมาไหนเองได้ หนึ่งเพราะขาเจ็บ สองเพราะนทีกลัวใครจะมาเห็น กลัวว่าคนที่อดิสรณ์จ้างมาจะเห็นเขาแล้วจับเขาส่งคืนพ่อเลี้ยง
    วันนี้ถุงกับข้าวในมือของปุยฝ้ายแปลกไปมันเป็นถุงขาวขุ่น เขียนข้อความเป็นภาษาฝรั่งที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษเพราะนทีอ่านไม่ออก มันเป็นถุงขนาดย่อมๆ มีกล่องใส่อาหารอยู่ข้างในอย่างที่นทีดูออก
   “นั่นแกซื้ออะไรมาน่ะ” นทีเอ่ยถาม ก่อนจะเอื้อมมือ เอารูปของคุณชายไปวางเก็บไว้ที่เดิม
   “เดี๋ยวก่อน ก่อนฉันจะตอบและเล่าเรื่องทั้งหมดให้แกฟัง ฉันขอถามอะไรแกหน่อย” ปุยฝ้าย เดินอ้อมมา วางถุงกับข้าวจากร้าน Chez moi ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานแล้วมองหน้าเพื่อนหนุ่มที่ยังนอนอยู่บนเตียง “แกเห็นคนที่อยู่ข้างล่างไหม”
   “เห็นสิ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันปิดม่านเสียทึบหมด”
   “ฉันเดาว่า...”
   “...เป็นคนของคุณอดิสรณ์” นทีจบประโยคให้เพื่อนสาว
   “นที ฉันว่าแกควรทำอะไรสักอย่างว่ะ คือฉันมาคิดดู คุณอดิสรณ์เขาจะไปแจ้งความคนหายไหมวะ” ปุยฝ้ายขมวดคิ้วมองเพื่อนหนุ่ม เห็นได้จากท่าทางมากขึ้นว่าหล่อนกำลังจริงจังกับเรื่องนี้อยู่มาก
   “เขาไม่แจ้งความหรอก เขาคงกลัวฉันแจ้งความกลับเรื่องเขาเหมือนกัน” ชายหนุ่ม หนุนมือขวาของตน จ้องมองบนเพดานสีขาว ...ตลก อยู่ โรงพยาบาลได้แต่มองเพดานสีขาวอย่างไร ออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังคงมองเพดานสีขาวอยู่เหมือนเดิม “เหมือนเขากับฉันต่างก็ไม่กล้าทำอะไร เขาไม่กล้าเพราะกลัวความแตกเรื่องความลับของเขา ฉันเองก็ไม่กล้า กลัวว่าทำอะไรลงไป เขาจะรู้ว่าฉันอยู่ไหน แล้วจะมาตามฉันกลับไปที่บ้านโดยเร็วที่สุด”
   “เอาเถอะ ฉันนับๆวันดูแล้วเหมือนวันนี้คุณอดิสรณ์มีกำหนดกลับมาเมืองไทย พอดีเพราะมันครบหนึ่งเดือนตามที่เขาบอกฉันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว”
   “ถ้าเขากลับมา แล้วมาตามหาฉันที่นี่ ฉันจะให้เขาพาฉันไปไหนก็ได้ ฉันจะไม่หนีอีก แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าโชคเข้าข้างฉัน ฉันก็จะหนีเขาไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”
   ปุยฝ้ายถอนหายใจ
   “แกก็ พูดเหมือนอยู่ในหนัง เดี๋ยวเขาก็กลับมาจริงๆหรอก”
   ฉับพลัน เสียงโทรศัพท์ของปุยฝ้ายก็ดังขึ้น หญิงสาวขมวดคิ้ว บ่นประมาณว่าใครโทรมา แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ฉับพลันที่เห็นชื่อ หญิงสาวก็ทำหน้าตกใจ ยื่นโทรศัพท์มือถือ หันหน้าจอให้เพื่อนหนุ่มดู
   คุณ อดิสรณ์
   นทีพยักหน้าทำนองว่าให้หญิงสาวรับ ปุยฝ้ายก็กดรับโทรศัพท์ตามที่เพื่อนหนุ่มบอก “สวัสดีค่ะ คุณอดิสรณ์”
   ปุยฝ้ายเงียบไปพักหนึ่งก็พูดทวนข้อความที่พ่อเลี้ยงของเพื่อนหนุ่มเพิ่งพูดจบไปในขณะเดียวกับที่นที หยิบสมุดเปล่าบนโต๊ะมาเขียนอะไรบางอย่าง
   “อ๋อ กลับมาถึงไทยแล้วหรือคะ กำลังนั่งรถเข้ามาพัทยาหรือคะ” หญิงสาวปั้นหน้าให้ดูใสซื่อ ไม่มีพิรุธที่สุดเผื่อว่าน้ำเสียงที่หล่อนพูดจะเป็นประมาณเดียวกับสีหน้าของหล่อน “หาอะไรนะคะ อ๋อ นทีโทรมาบ้างหรือเปล่าหรือคะ”
   ปุยฝ้ายทำหน้าลำบากใจ ก็พอดี นทีส่งสมุดนั้นให้เพื่อนสาวมันมีข้อความจดอยู่เป็นสิ่งนทีเพิ่งเขียนเมื่อครู่ ปุยฝ้ายก็พูดตามสิ่งที่เพื่อนหนุ่มเขียนไว้ ราวกับนักแสดงซ้อมท่องบทอย่างไรอย่างนั้น   
   “นทีโทรมาค่ะ บอกฝ้ายว่าเอ้อ มัน... คือนทีมันไม่ให้บอกอ่ะนะคะ แต่ฝ้ายรู้สึกว่ายังไงเสียคุณอดิสรณ์ก็เป็นพ่อเลี้ยง ควรจะได้รู้เรื่องนี้ด้วย” นทีชูนิ้วโป้งให้กับความสามารถทางการแสดงของเพื่อนสาว “คือฝ้ายไม่รู้ว่านทีมันเป็นอะไรหรือเปล่า แต่มันบอกฝ้ายแค่ว่ามันจะหนีไปกรุงเทพ”
   หญิงสาวยกมือถือห่างออกจากหูด้วยความตกใจ นทีสามารถได้ยินเสียงของคนที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต ดังลอดออกมาได้
   “อะไรหนีไปกรุงเทพอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเธอไม่โทรบอกฉัน”
   นทีรีบเขียนข้อความเพิ่มเติมให้ปุยฝ้ายอ่าน โต้ตอบกับพ่อเลี้ยงของเขา
   “ก็แหม เพื่อนมันให้ฝ้ายสัญญานี่คะว่าจะไม่บอก ฝ้ายสัญญาแล้วก็เลยคิดว่าไม่โทรบอกดีกว่าเดี๋ยวจะหาว่าฝ้ายเป็นเพื่อนทรยศ”
   คำว่า เพื่อนทรยศ ทำให้อดิสรณ์เงียบไปได้ ปุยฝ้ายพูดตามบทเป๊ะทุกประการทำให้หล่อนรู้สึกประหลาดใจอยู่พอควรว่า อะไรในข้อความนั้นที่ทำให้อดิสรณ์ถึงกับทึ่ง และเงียบไปแบบนี้ ปุยฝ้ายเห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไร หล่อนจึงพูดตามบทเมื่อครู่ที่ยังพูดได้ไม่จบ
   “ไอ้น้ำบอกว่า ถ้าคุณอดิสรณ์ถามอะไรให้บอกว่าไม่รู้ว่าไปไหน แต่ก็อย่างที่บอกแหละค่ะมันไปกรุงเทพ อ้อแล้วก็ยังบอกด้วยว่าถ้าคุณอดิสรณ์โทรมาเมื่อไร ให้บอกไปเลยค่ะว่า ไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก เท่านั้นล่ะค่ะ”
   ปุยฝ้ายยกโทรศัพท์ออกจากหูอย่างประหลาดใจ
   “เอ้า วางสายไปแล้ว” หล่อนอุทานออกมา เหลือบมองสีหน้าของนที ก็เห็นว่ายังนิ่งสนิท เพียงแต่นิ่งมากไป ได้แต่จ้องมองรูปวาดของภาสกรที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ถุงกับข้าวจากร้าน Chez moi “แกคิดถึงคุณชายใช่ไหม ไอ้น้ำ”
   ไม่มีเสียงตอบจากนที มีเสียงเสียงถอนใจเบาๆ และน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าเท่านั้น ปุยฝ้ายเอื้อมมือไปกุมมือเพื่อนสนิทไว้เบาๆ แล้วพูดต่อไปว่า
   “ฉันจะถามแกเป็นครั้งที่ร้อยนับแต่วันที่แกออกจากโรงพยาบาล ว่าทำไมแกถึงออกมาก่อนโดยไม่บอกคุณชาย”
   “ฉันไม่อยากเจอเขานี่”
   “แกไม่อยากเจอแต่แกนั่งจ้องรูปเขาทั้งวันนี่นะ ถามจริงๆ แกชอบคุณชายหรือไง” ปุยฝ้ายยิงคำถามทะลุอกเพื่อนหนุ่มทีเดียวตรงเป้า หากมันเป็นศรละก็ นทีคงตามไปแล้ว ด้วยความคมกริบของมัน
   “ฉัน... คิดถึงเขา”
   เพื่อนสาวถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปแกะ มักกะโรนี โอ กราแตง ใส่จาน แล้วยื่นให้ชายหนุ่ม “เอ้า คุณชายเขาก็คิดถึงแกเหมือนกัน”

   คุณชายเขาก็คิดถึงแกเหมือนกัน นทีนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะทำความเข้าใจเองในใจว่า ภาสกรซื้อนี่ฝากให้ปุยฝ้ายเอามาให้เขาหรือ เป็นไปได้หรือว่าสองคนนี้จะได้เจอกัน แล้วเป็นไปได้หรือว่า คุณชายภาสกรจะคิดถึงเขาและซื้อของฝากมาให้เขา
   อาหารที่ภาสกรซื้อ จะมีไม่อร่อยก็คราวนี้ แปลกตรงที่ปกติไม่ว่าจะกินอะไร ถ้าเป็นภาสกรซื้อมาให้แล้ว ไม่ว่าจะเมนูปกติ ธรรมดาขนาดไหน นทีก็ว่าอร่อย ถูกใจทุกอย่างไป หรือที่อาหารคราวนี้ไม่อร่อยจะเป็นเพราะไม่มีชายหนุ่มตัวโต ตาคมคิ้วเข้ม นั่งกินอยู่ด้วยก็ไม่รู้... พอคิดถึงภาสกรและคำว่า คุณชายเขาก็คิดถึงแกเหมือนกัน มักกะโรนี โอ กราแตง นี้กลับรสชาติดีขึ้นมาฉับพลัน หอม มัน ได้รสชาติของอาหารฝรั่งที่นทีไม่ค่อยมีโอกาสได้กินจริงๆ
   นทีไม่อยาก คิดไปเองว่าอะไรเป็นอะไร สุดท้าย จึงตัดสินใจถามปุยฝ้าย เพื่อนสาวก็ไม่ลังเลที่จะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเที่ยงของวันนี้ให้เพื่อนหนุ่มฟัง

   “อ้าวน้องฝ้าย วันนี้ไม่มีเรียนหรือคะ” ปุยฝ้ายเดินเข้าไปในร้านอาหารที่หล่อนทำงานอยู่ทุกวัน ก็เห็นลูกค้าประจำที่หล่อนเรียกว่า พี่ดา มานั่งทานอาหารอยู่กับชายหนุ่มคนหนึ่งพอดี
   เท่าที่ปุยฝ้ายรู้ เจ๊เก๋ เจ้าของร้าน Chez moi ที่หล่อนทำงานอยู่นั้น รู้จักกับดาริกา เป็นการส่วนตัว หญิงสาวแสนสวยคนนี้จึงมาอุดหนุนร้านอาหารฝรั่งเศสเล็กๆนี้อยู่เป็นประจำปุยฝ้ายที่เป็นเด็กเสิร์ฟ ก็พลอยรู้จักคุ้นเคยกับดาริกาอยู่บ้าง ด้วยความที่หล่อนเป็นคนบุคลิกร่าเริง โดดเด่น ถูกใจหญิงสาวคนนี้มากเป็นพิเศษเวลามาร้าน ‘พี่ดา’ ก็จะถามหาแต่ น้องฝ้าย ทุกครั้งไป
   เจอกับดาริกา ปุยฝ้ายไม่ค่อยแปลกใจ แต่พอหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ ‘พี่ดา’ หันมาเท่านั้น ปุยฝ้ายก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
   “คุณฝ้ายนั่นคุณจริงๆหรือ” ภาสกรร้องออกมาแบบนี้ ตอนที่เดินเร็วๆเข้ามาหาหล่อน ดาริกาเดินตามมาด้วยความฉงน
   “อ้าวนี่รู้จักกันหรือคะ”
   “เรื่องมันยาวครับคุณหญิง” คุณหญิงหรือนี่... ปุยฝ้ายได้ยินเข้าก็ตกใจ      ดาริกาที่หล่อนเรียก พี่ดาๆ อยู่ทุกวันเป็นถึงคุณหญิงหรอกหรือ “คุณฝ้ายคุณรู้ไหม ว่าผมดีใจแค่ไหนที่เจอคุณ”
   “เอ้อ คุณชายคะ หญิงว่าเราไปคุยกันที่โต๊ะดีกว่าไหมคะ ลูกค้าคนอื่นมองแย่แล้ว” คุณหญิง ดาริกาพาคุณชาย และปุยฝ้ายไปนั่งคุยกันต่อที่โต๊ะ เจ๊เก๋ เดินออกมาจากในครัวด้วยท่าทีตื่นตกใจ เพราะนึกว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น
   พอความตื่นเต้น และอะไรหลายๆอย่างหมดไป ภาสกรก็ได้คุยกับปุยฝ้ายจริงๆเสียที ซักถามกันสักครู่ภาสกรก็รู้จากหญิงสาวว่า หล่อนทำงานอยู่ที่นี่ เพราะร้านนี้ไม่ไกลจากแฟลตของหล่อนนัก แถมปุยฝ้ายยังพอพูดภาษาฝรั่งเศสได้นิดๆหน่อยๆ และบุคลิกที่ถูกใจเจ๊เก๋ทำให้หล่อนได้ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้ ถามถึงนที ภาสกรก็รู้ว่าชายหนุ่มยังอยู่สบายดี และอยู่ที่แฟลตกับปุยฝ้าย แต่พอขอร้องให้ปุยฝ้ายพาไปหาชายหนุ่ม หล่อนก็ปฏิเสธ
   “ไม่ดีหรอกค่ะคุณชาย ฝ้ายเป็นผู้หญิงคุณชายขึ้นไปหาฝ้ายถึงห้องมันไม่งามหรอกค่ะ เดี๋ยวคุณหม่อมแม่ของคุณชายจะว่าเอาได้”
   “คุณโกรธหม่อมแม่ของผมหรือ คุณฝ้าย หม่อมแม่เป็นคนปากร้ายใจดี ท่านอาจจะพูดไม่ดีไปกับคุณ แต่ท่านก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอกครับ” ภาสกรแก้ตัวแทนแม่ หญิงสาวผิวคล้ำก็รีบปฏิเสธว่าหล่อนไม่ได้โกรธแม่ของเขา
   “ไม่ได้โกรธ ก็ให้ผมไปพบนทีเถอะนะครับ” ภาสกรขอ หญิงสาวทำหน้าลำบากใจ เพราะหล่อนก็ไม่รู้ว่าเพื่อนหนุ่มจะอยากพบคุณชายตอนนี้หรือไม่ “ผมอยากจะขอโทษเขา อยากอธิบายหลายๆอย่างให้เขาเข้าใจ ผมรู้ว่าเขาโกรธ แต่ผมไม่อยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนได้มีน้องชายให้ดูแล ให้ปกป้อง ผมไม่อยากให้เราเดินจากกันโดยที่เข้าใจผิดกันอยู่ อย่างนี้”
   ปุยฝ้ายตกใจกับคำพูดของคุณชาย เพราะดูเหมือนชายหนุ่มคนนี้จะเป็นห่วงเป็นไยความรู้สึกของเพื่อนของหล่อนมากเกินไปเสียแล้ว
   “ถ้าอย่างนั้น ผมขอเบอร์โทรศัพท์ของนทีได้ไหมครับ ผมอยากโทรคุยกับเขาให้เขาเข้าใจ” ภาสกร ไม่ละทิ้งความพยายาม
   “อย่าเลยค่ะคุณชาย ถ้าฝ้ายให้ เดี๋ยวนทีจะหาว่าฝ้ายทำอะไรไปไม่บอกเขาก่อน นทีเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงนะคะ แล้วเขาก็ไม่ชอบคุยโทรศัพท์กับใคร” หล่อนตอบอย่างเกรงใจ “ฝ้ายอยากช่วยค่ะคุณชาย ฝ้ายเข้าใจว่าคุณชายไม่สบายใจ แต่ก็อย่างที่หม่อมแม่ของคุณชายพูด เราอย่าใกล้ชิดกันมากกว่านี้เลยดีกว่าค่ะ”
   “ไม่เป็นไรครับ” ภาสกร วางสีหน้าเรียบเฉยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ภาสกร ฉีกกระดาษ จากสมุดโน้ตที่เขาพกติดตัวเป็นประจำเขียนหมายเลขโทรศัพท์ของเขา แล้วยื่นให้ปุยฝ้าย“อย่างน้อยให้ผมสั่งอาหารกลับไปให้นทีก็แล้วกันครับ และฝากบอกนทีด้วยว่าผมยังไม่ลืมเขา และฝากความคิดถึงมาให้ ถ้าหากเขายังไม่คิดจะลืมผมจริงๆละก็ ผมอยากขอร้อง ให้เขาโทรศัพท์หาผมด้วย ผมอยากจะคุยกับเขาจริงๆ ถ้าเขาไม่โทรมา ผมจะเข้าใจว่าเขาไม่อยากติดต่อกับผมอีกแล้วผมก็จะทำใจให้ลืมเขาให้ได้โดยเร็วที่สุด”
 

   “ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับแกแล้วนะว่าจะทำอย่างไร”
   “ฉันไม่ทำอย่างไรทั้งนั้น ให้ห่างกันไปแบบนี้แหละดีที่สุดแล้วสำหรับพวกเราทั้งหมด” นทียื่นคำขาดกับปุยฝ้าย แต่มิได้ยื่นคำขาดกับหัวใจของตัวเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2011 22:28:38 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
18

   “ฮัลโหล”
   “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมกำลังคุยอยู่กับใครครับ” ภาสกรรับโทรศัพท์อย่างเร็วที่สุด เรียกว่าสัญญาณดังไม่ถึงสองครั้งชายหนุ่มก็กดรับสายแล้ว นทีไม่ได้เตรียมตัวจึงตกใจพูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มรอจนเพื่อนสาวหลับแล้ว ค่อยแอบเดินกระต่ายขาเดียวออกมายืนที่ระเบียง เพื่อโทรศัพท์หาคุณชาย ถึงเขาจะปฏิเสธไปกับปุยฝ้ายอย่างไรก็ตามแต่เขาปฏิเสธเสียงเรียกของหัวใจตัวเองไม่ได้ คืนแรกนทีนอนไม่หลับ คืนที่สองก็เป็นอีก จนอดรนทนไม่ไหว ต้องโทรหาชายหนุ่มในคืนที่สองนั้นเอง
   เขายอมรับ เขาคิดถึงภาสกร
   แม้จะไตร่ตรองมาเป็นวันๆแล้วก็ตาม แต่นทีก็ไม่อาจโทรหาภาสกรได้หลังจากการตัดสินใจในคืนที่สอง พอตั้งใจแล้วว่าจะโทร ก็กดปุ่มโทรออกไม่ได้อยู่ดี เขาควรแล้วหรือที่จะโทรไปหาคุณชาย เขาควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นแต่แรก ยืดยาวต่อไปอีก แต่ต่อให้คิดไปอย่างไร เหตุผล และความถูกต้องก็ไม่อาจเอาชนะหัวใจได้ ตอนนี้โทรหาชายหนุ่มแล้ว นทีจึงได้แต่ยืนตกใจเสียงรับสายของภาสกรจนพูดอะไรไม่ถูก พออีกฝ่ายถามย้ำอีกครั้งเท่านั้น ว่าเขาเป็นใครหนุ่มน้อยก็ได้สติ และตอบเสียงแผ่วเบา
   “ผมเอง นที”
   “นทีหรือ” เสียงของภาสกรฟังดูตื่นเต้น หนุ่มน้อยเห็นภาพคุณชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตื่นเต้น ขวยเขิน ป่านนี้คงยืนอยู่ริมหน้าต่าง จ้องมองฟ้าที่กระจกห้องนอนที่บ้านในพัทยาแล้วเป็นแน่ แปลกตรงที่นทีคิดถึงภาพเหล่านี้ได้ในจินตนาการ ราวกับเห็นด้วยตาเปล่า เพราะคุณชายหนุ่มก็ทำอย่างนั้นจริงๆ “นที ผมดีใจเหลือเกินที่คุณโทรมา”
   หากคุณชายอยู่ตรงนี้ คุณชายก็คงเห็นว่าผมเองก็ดีใจเหลือเกินที่ได้ยินเสียงคุณชายเหมือนกัน แต่ที่ภาสกรดีใจที่เขาโทรไป จริงๆแล้วอาจไม่ใช่ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เขาเป็นก็ได้
   “หวังว่า ผมคงไม่ทำให้คุณชายเดือดร้อน วันนั้น หลังจากที่หม่อมแม่ของคุณชายมาที่โรงพยาบาล” นทีพูดเสียงต่ำๆ พยายามกลั้นใจไม่ให้เสียงสั่นด้วยความคิดถึง
   “นที อย่าเรียกผมว่าคุณชายเลย เรียกว่าภาสกรอย่างเดิมเถอะนะ”
   “ไม่ได้หรอกครับ ผมไม่มีสิทธิ์ไปถอดยศคุณอย่างนั้น”
   ภาสกรเงียบไปนาทีกว่าๆ เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดใจ มากกว่าความเงียบที่สงบ และมีความสุขอย่างที่ทั้งสองมักมีให้กันเหมือนตอนอยู่ที่โรงพยาบาล
   “นที สบายดีนะ”
   “ครับผมสบายดี ผมโทรมาเพื่ออยากจะย้ำกับคุณชาย อย่างที่ผมเขียนบอกคุณชายไว้แล้ว คุณชายไม่มีอะไรติดค้างผมอีก ผมว่าเราหายกันแล้ว สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
   ภาสกรเงียบไปอีกพักหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
   “คุณใจร้ายมากเลยนะนที อย่างน้อยคุณน่าจะอยู่รอพบผมที่โรงพยาบาล ไม่น่าปุบปับออกมาอย่างนั้น ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
   “คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ” นทีรู้ดีว่าคำพูดนั้นฟังดูร้ายกาจเหลือเกิน แต่ก็ต้องจำใจพูดแบบนั้น เพื่อให้ทุกอย่างจบลง เพราะหากเขาคุยกับคุณชายนานกว่านี้อีกแม้นิดเดียว เขาต้องอดใจไม่ไหว เผลอพูดอะไรที่ไม่ควรออกไป ยิ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาถึงจุดแตกหักได้ สู้จากกันไป แบบยังมีความทรงจำดีๆ ของกันและกันอย่างนี้ น่าจะดีกว่า “ผมรู้ว่าคุณชายรู้สึกผิด แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นหรอกครับ ตอนนี้ผมหายดีแล้ว ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ อย่างที่เคยเป็น คุณชายเองก็ต้องมีชีวิต มีสังคมแบบของคุณชาย ผมว่าคุณชายอย่าเอาเวลามาห่วงผมเลยครับ ต่างคนต่างไป อย่างที่หม่อมแม่คุณบอก น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเราสองคน”
   “ต่อให้คุณหายดีแล้ว เราก็ไม่เห็นต้องห่างกันเลยนี่ ผมยังอยากเจอคุณอยู่ ยังอยากคุยกับคุณ คบคุณเป็นเพื่อนเหมือนคนอื่นๆ อีกอย่าง ผมเคยสัญญากับคุณไว้แล้วเรื่องหนึ่ง” ชายหนุ่มเงียบเพียงนิดเดียวก็พูดต่อ “คุณจำได้ไหม ผมเคยบอกว่าถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะพาคุณไปตระเวน ชิมอาหารอร่อยๆ ผมยังคิดจะรักษาสัญญาอยู่นะ”
   เงียบ แต่คราวนี้ เป็นเงียบอย่างอบอุ่น เป็นเงียบอย่างที่มีความสุข เงียบเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล
   “อย่าดีกว่าครับคุณชาย ถ้าใครมาเห็นผมอยู่กับคุณชาย ภาสกร              รชตานันต์ คุณชายอาจจะตกเป็นขี้ปากคนได้ ว่ามาคบกับคนอย่างผม”
   “คนอย่างคุณหรือ นทีคุณเอาความคิดพวกนี้มาจากไหน ผมไม่สนว่าคุณเป็นใครมาจากไหน ฐานะคุณ ระดับในสังคมของคุณ มันไม่เกี่ยวอะไรกับความผูกพันของเรา ผมรู้สึกว่าผมคุยกับคุณแล้วมีความสุข เห็นคุณยิ้มแล้วมีความสุข อยู่กับคุณแล้วผมมีความสุข จนอยากจะเห็นหน้าคุณอีกแทบจะตลอดเวลา เท่านั้นเอง เราเป็นเพื่อนกันได้นะ นที”
   นทีไม่ตอบ เพราะน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า บัดนี้ไหลพรากลงข้างแก้มอย่างช่วยไม่ได้ ถ้อยคำที่ได้ยิน มันบีบหัวใจของเขาทุกคำ คุณชายมีความสุขเวลาอยู่กับเขาจริงๆหรือ ต่อให้จริง คุณชายก็ไม่ได้อยู่กับเขาสองคนในโลก ยังไงก็ตามหม่อมแม่ของภาสกร ย่อมไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของเขาสองคนอย่างแน่นอน
   “ขอร้องล่ะ นที ให้ผมแวะไปหาคุณบ้างได้ไหม”
   “เชื่อผมเถอะครับคุณชาย” นทีแข็งใจ รวบรวมความกล้า เอ่ยประโยคสุดท้ายของคืนนั้นออกมา “เราอย่ามาเจอกันอีกเลย”

   นทีไม่ได้มั่นใจตั้งแต่แรกว่า ภาสกรจะทำตามที่เขาขอ ในคืนแรกเขาปิดโทรศัพท์มือถือ หนีการติดต่อ จากคุณชายได้ แต่วันต่อๆมานทีก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเปิดโทรศัพท์ได้ เพราะเขายังคงต้องติดต่อกับคนอื่นๆอีกมากมาย เท่าที่เขาทำได้ คือเวลาภาสกรโทรมา ก็เพียงแค่ปิดเสียงโทรศัพท์ทำเป็นไม่สนใจเท่านั้น
   เดือนสุดท้ายของชีวิต นักศึกษาปีที่สองของเขาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว และนทีก็ตัดสินใจไปเรียนในที่สุด
   หลังจากที่เขาให้ปุยฝ้ายยื่นคำขาดกับพ่อเลี้ยงของเขา ไม่ให้ตามหา และยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเขาอีก ชายหนุ่มประหลาดๆ ที่มักจะมายืนสูบบุหรี่หรืออ่านหนังสือพิมพ์ตรงข้ามแฟลตเล็กของปุยฝ้ายก็หายไป นทีจึงหมดห่วงเรื่องถูกคนของอดิสรณ์เฝ้ามอง ตัดสินใจกลับไปเรียนในที่สุด
   ปุยฝ้ายเรียกแท็กซี่มาจอดรับหน้าแฟลต นทีก็เดินกะโผลกกะเผลก ขึ้นรถตรงไปที่มหาวิทยาลัย วันนั้นทั้งวันผ่านไปด้วยดี นทีหยุดเรียนไป เดือนครึ่ง เกือบตามเพื่อนในเอกเดียวกันแทบไม่ทัน แต่ดีที่เขายังพอมีเพื่อนสนิทภายในเอกที่คอยช่วยจดเลกเชอร์ และทำงานให้อยู่บ้าง นทีจึงสามารถเอาตัวรอดจากการเรียนในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี
   ตอนกลางวัน ปุยฝ้ายไม่ได้มากินอาหารกับเขา นทีจึงต้องไปกินที่ร้านอาหารเล็กๆ กับเพื่อนร่วมเอกเดียวกัน แม้ไม่สนิทเท่าปุยฝ้าย หนุ่มน้อยก็พอมีเพื่อนที่พูดคุยได้ ไปไหนด้วยได้อยู่หลายคน นทีเคยเป็นที่รักของเพื่อน และครูอาจารย์อย่างไรก็เป็นอย่างเก่า กลับมาจากการหยุดเรียนไปเดือนกว่าๆนี้ ยิ่งทำให้คนรุมรัก และสงสารมากขึ้น มีแต่คนอยากช่วยเหลือเรื่องเรียน และงานที่มีเป็นตั้งของเขา
   ที่นทีแปลกใจที่สุด ในวันนั้น อาจเป็นช่วงแวบเดียวของความคิด แต่ก็กวนใจเขาไม่น้อยคือ วันนี้ ไม่มีรายการโทรเข้าจากภาสกร
   แม้ปากบอกว่าอย่าเจอกันอีกเลย แต่นทีก็แอบหวังเล็กๆว่า ภาสกรจะยังโทรมาทุกวัน วันละหลายๆครั้ง หลังจากที่เขาได้ปฏิเสธไปแล้ว โอเค ภาสกรโทรมาทุกวันก็จริง และมันทำให้นทีมีกำลังใจในการผ่านชีวิตที่แสนน่าเบื่อไปได้ในแต่ละวันอีกด้วยเหมือนว่าแค่เห็นชื่อก็อุ่นใจแล้ว
    แต่เขาก็ยังใจแข็งไม่กดรับสายจากชายหนุ่มสักครั้ง
   แปลกตรงที่วันนี้พอเขาไม่โทรมา กลับทำให้นทีอยากเหลือเกินที่จะเป็นฝ่ายโทรไป พอรู้สึกตัวก็กลายเป็นว่า นั่งจ้องโทรศัพท์ทั้งวันจนเลิกเรียนราวๆสี่โมงเย็นนั่นแหละ นทีถึงรู้สาเหตุว่าทำไม ภาสกรไม่โทรมา
   ทันทีที่ก้าวลงจากตึกคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ นทีก็เห็นคนจำนวนมากยืนออกันอยู่ที่หน้าคณะ เพื่อนหนุ่มหลายคนของเขาถึงกับสบถออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวมากหน้าหลายตาในคณะออกมาออกันอย่างนี้
   “แม่โว้ย มีดาราเกาหลีมาหรือยังไง กรี๊ดกร๊าดกันไม่หยุด”
   เปล่าไม่ใช่ดาราเกาหลี นทีเดินเข้าไปรวมกลุ่มกับบรรดาหญิงสาวเหล่านั้น ก็เห็นรถฝรั่งสีแดงสด ราคาแพงชนิดที่ว่า เอาเงินค่ารถมาให้เขาละก็ อยู่ได้ไปเป็นปีทีเดียว หัวใจของนทีเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ของเจ้าของรถ
   กระจกหน้าต่างบานหน้า ข้างซ้ายเปิดออกไว้อยู่แล้วเป็นสาเหตุของเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆ เพราะคนที่นั่งอยู่ด้านคนขับเป็นคนที่นทีรู้จักดี มากกว่าพวกคนที่ยืนมุงกันอยู่ด้วยซ้ำ สำหรับคนอื่นนี่คือแฟนหนุ่มไฮโซ ของดารานางร้ายยอดนิยม ที่ดังพอๆกับหล่อน แต่สำหรับนที นี่คือคนที่เขาเฝ้าคิดถึง เป็นคนที่สำคัญที่สุดของเขา
   “นที” ภาสกรโบกมือให้ ก่อนจะเปิดประตูเดินอ้อมหน้ารถ ตรงเข้ามาหาหนุ่มน้อยที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ท่ามกลางฝูงชน “ขึ้นรถเถอะ”
   “คุณชาย คุณชายมาทำอะไรที่นี่” นทีรู้สึกเหมือนคนโง่อยู่นาทีหนึ่งเต็มๆ เขาถามคำถามแบบนี้ออกไปได้ยังไงนะ คุณชายมาอยู่ที่นี่ก็เพราะต้องการมารับเขานั่นแหละ
   “ก็มารับคุณไง” ภาสกรยืนหน้าเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดให้ได้ยินกันสองคน “รีบไปกันเถอะ สถานการณ์ไม่ค่อยจะดี เดี๋ยวคนพวกนี้จะแตกตื่นไปใหญ่”
   “ไม่ ผมไม่ไปไหนกับคุณชายทั้งนั้น” นทีพูดด้วยเสียงระดับเดียวกับคุณชาย คนที่ได้ยินจึงเป็นเขา และคุณชายสองคนเท่านั้น
   “รีบไปกันเถอะเรากำลังทำให้คนพวกนี้สนใจกันอยู่นะ”
   “คุณชายไม่...” ไม่ทันแล้ว ภาสกรจูงมือนที ลากมาที่รถ ก่อนจะเปิดประตู ดันหลังให้ชายหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเจ้าตัวจึงเดิมอ้อมไปขึ้นรถฝั่งของตนแล้วขับรถออกไปจากบริเวณนั้น ทิ้งให้บรรดาแฟนคลับของคุณชายยืนอึ้งทำอะไรกันไม่ถูกอยู่นั่นเอง
   “แม่โว้ย ไอ้น้ำแม่งรู้จักคนระดับไฮโซ แถมยังโดนลากขึ้นรถไปอีก นี่มันอะไรกันวะ ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่องเลย”

   ร้านอาหารที่ภาสกรพานทีไป เป็นร้านอาหารทะเล ตั้งอยู่ในเมืองพัทยา ไม่ได้อยู่ริมหาด และหรูหราอย่างที่นทีคิดไว้ ตลอดทางที่นั่งรถมา ภาสกรพยายามชวนชายหนุ่มคุยหลายๆเรื่องที่ทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป ทั้งเรื่องเรียน เรื่องสุขภาพ และเรื่องร้านอาหารที่เขากำลังจะพาไป แต่ตลอดทางนทีตอบเท่าที่จะตอบได้ บางครั้งก็ไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้า สับสนในใจไปหมดว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร และจะจัดการอย่างไรกับภาสกรดี
   แต่พอมาถึงร้าน นทีก็เลิกคิดเรื่องควรหรือไม่ควร เพราะเขามีความสุขเหลือเกิน
   นอกจากภาสกรจะสั่งอาหารเหมือนอย่างที่เขาเคยซื้อมาให้เมื่อวันแรกที่รู้จักกันแล้ว เขายังคอยเอาใจ ตักอาหารจากจานนั้น จานนี้มาใส่จานข้าวของเขา ยิ้มให้ทุกครั้งราวกับผู้ใหญ่เลี้ยงเด็ก ตลอดการกินอาหารเย็นในวันนั้น นทีและภาสกรคุยกันหลายเรื่อง แต่ไม่วกกลับมาที่เรื่องจะไม่เจอกันอีกแม้ประโยคเดียว
   “ผมดีใจนะ” ภาสกรเอ่ยขึ้นเมื่อ ทั้งคู่เริ่มอิ่มกันแล้ว “ดีใจที่ได้เห็นคุณมีความสุข แล้วก็ดูทานเยอะกว่าตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล”
   นทีเขินจนหน้าแดง ทำไมภาสกรต้องทำท่าใจดี และจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้อย่างนี้ด้วยนะ
   “ใครบอกคุณชายครับ ว่าผมมีความสุข”
   “อ้าว แล้วกัน ก็ผมเห็นนทีกินเอาๆ แถมยังยิ้มไม่หยุดเลย ก็คิดว่าคุณมีความสุขน่ะซี” ชายหนุ่มยิ้มให้
   ผลที่ได้คือ หนุ่มน้อยเขินหนักกว่าเก่า ก้มมองจานข้าวที่ว่างเปล่าอย่างช่วยไม่ได้ ทำตัวไม่ถูก
   “ข้าวหมดแล้ว อิ่มหรือยังล่ะ ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวผมสั่งมาเพิ่มให้”
   “อย่าดีกว่าครับ ผมกินไป สามจานแล้วนะ กินอีก ได้อ้วนพอดี ออกกำลังกายก็ไม่ได้ ในเมื่อขาก็มาหักเสียอย่างนี้”
   ภาสกรเงียบทันที นทีมองหน้าชายหนุ่มก็รู้ตัวว่า ตัวเองคงพูดอะไรผิดไป ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขอโทษ คุณชายหนุ่มก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
   “ผมขอโทษนะ นที”
   “คุณชายขอโทษผมเรื่องอะไร ผมต่างหากที่ต้องขอโทษถ้าพูดอะไรที่คุณชายไม่ถูกใจ ให้ระคายหู” ชายหนุ่มก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาผู้ชายตรงหน้า
   “ผมขอโทษที่ทำให้นทีเป็นแบบนี้”
   “โธ่” นทีเงยหน้าในที่สุด ตอนแรกกะจะตอบโต้ไปตามนิสัย แต่เมื่อคิดถึงเวลาดีๆที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหัวเราะออกไป “คุณชายขอโทษทำไม ดีเสียอีกเดินไม่ได้ก็ไม่ต้องเหนื่อย แถมยังมีคนมาดูแลอีก รู้สึกเหมือนเป็นคุณชาย สบายจะตายครับ”
   “ผม...” ภาสกรตั้งใจจะตอบว่า ถึงผมเป็นคุณชายก็ไม่ได้สบายเท่าไหร่ แต่เมื่อมานึกขึ้นได้ ที่เขาไม่สบายก็เกิดขึ้นตั้งแต่ขับรถชนหนุ่มน้อยนี่แหละ ถ้าพูดออกไปละก็มีหวังจะทำให้บรรยากาศเสียมากขึ้นไปอีก “ถ้างั้น ให้ผมดูแลนทีเพิ่มขึ้นอีกคนนะ”
   นทีเขินจนทำอะไรไม่ถูก ก็เลยตัดสินใจลุก
   “คุณชายพูดอะไรไม่รู้ ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ”
   นั่นซี พูดอะไรไม่รู้ ภาสกร รีบลุกขึ้นยืนบ้าง เดิมอ้อมโต๊ะจะไปประคองชายหนุ่ม แต่พอเลื่อนมือไปโอบรอบเอวของนที หนุ่มน้อยก็เบี่ยงตัวออกห่าง “คุณชาย ผมมีไม้ค้ำ ผมไปเองได้ครับ”
   ภาสกร ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ยืนเกาหัว เอ่อ อ่า ไปตามเรื่องพอนทีเดินขาเดียวไปกับไม้ค้ำแล้ว ชายหนุ่มก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลงตามเดิม เขาเป็นอะไรไป เขาพูดอะไรออกไป แล้ว ตอนโอบนทีเหมือนตอนอยู่ที่ โรงพยาบาล ทำไมต้องเขาต้องเขิน ทำไมนทีต้องเขิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น นทีไม่ใช่สาวน้อยเสียหน่อย ทำไมภาสกรถึงเป็นไปได้ขนาดนี้ กับคุณหญิงดาริกา ภาสกรยังไม่เคยรู้สึกขวยเขิน เวลาอยู่ต่อหน้าเลยนี่
   แล้วทำไม กับชายหนุ่มตัวเล็กๆ โอบบ่าแค่นี้ถึงต้องขนลุกซู่ไปทั้งตัว
   ได้แต่หวังในใจเท่านั้นเองว่า นทีจะไม่รับรู้สิ่งที่เขารู้สึก

    คุณชายบ้า บ้าที่สุดนี่เขาเป็นอะไรของเขานะ
   นทีสบถกับตัวเองในใจ ขณะเข้าห้องน้ำ ที่เป็นห้องแบบเป็นตึกแยกออกมาจากตัวร้านอาหารอีกที ระหว่างตัวร้านมาถึงห้องน้ำโรยกรวดหินไว้เสียขรุขระ ยากสำหรับนทีที่ยังไม่ชินกับการเดินด้วยไม้ค้ำ จนเสียวว่าจะล้มอยู่ทุกก้าวที่เดิน พอเสร็จกิจแล้วก็ได้แต่ยืน ล้างมือล้างหน้าอยู่หน้ากระจกจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
คุณชายคิดยังไงขอเขา มาพูดจาหวานเลี่ยน ให้ผมดูแลนทีเพิ่มอีกคนนะ หรือ ทำเอาอายจนพูดอะไรไม่ถูก แล้วยังจะมาโอบเอวอีก ทำเอานทีขนลุกไปหมด กลัวเหลือเกินว่าคุณชายจะรู้ทัน ว่าเขารู้สึกอย่างไร
    ไม่น่าหลวมตัวมาด้วยเลยจริงๆ
หนุ่มน้อยคิด ก่อนจะเช็ดมือกับกระดาษทิชชู แล้วคว้าไม้ค้ำมาถือในมือขวา ถอนหายใจแล้วค่อยๆเดินอย่างทุลักทุเลออกมาจากห้องน้ำ แต่ไม่ทันได้พ้นประตูห้อง นทีก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากห้องน้ำหญิง
“นี่เธอเห็นคุณชาย ภาสกรหรือเปล่า” ทันทีที่ได้ยินคำว่าคุณชาย นทีก็หยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวออกนอกห้องน้ำอีก กลัวจะกลับออกไปเจอผู้หญิงคนนี้แล้วทำหน้าไม่ถูก
“เห็นซี แหมเคยเห็นแต่ในทีวี นี่มีโอกาสได้เห็นตัวจริง เสียดายจะเข้าไปขอลายเซ็นก็ไม่ได้เขาไม่ใช่ดารา” เสียงหญิงสาวอีกคนพูด เสียงแหลมเล็ก สำเนียงจัดจ้าน พอๆ กับคนแรก “ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีอีก นึกไม่ถึงเลยนะว่าฉันจะพูดประโยคงี่เง่าๆอย่างนี้”
หล่อนหัวเราะ แต่เสียงแรกก็พูดแทรกขึ้นก่อนพอดี
“แหม แหม ย่ะ หล่อนก็ดูแต่หน้าตาไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย ไม่เห็นหรือว่าเขามากับใคร”
“อ้าว ก็เด็กหนุ่มหน้าซื่อๆคนนั้นไง ทำไม เธอจะบอกว่าเด็กคนนี้ก็หน้าตาดีหรือไง”
“เอ๊ เธอนี่พูดอะไรแต่ละอย่าง ทำไมไม่สังเกตดีๆบรรยากาศมันแปลกๆ เขามีตักอาหารให้กัน มีโอบกันด้วยไม่เห็นหรือ”
“ก็เห็น แต่ผู้ชายเหมือนกันไม่เห็นเป็นไรเลย ไม่เสียหายตรงไหน อีกอย่างคุณชายเขาก็คบอยู่กับคนที่เป็นดาราไม่ใช่หรือ น้องฟ้า ทิฆัมพรน่ะ”
“ก็ผู้ชายเหมือนกันไงยะ ถึงแปลก คบอยู่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เก้งกวางเดี๋ยวนี้มันแอบจิตจะตาย คบคนนึงไว้หลอกประชาชนแล้วตัวเองก็แอบมามีชีวิตส่วนตัวเห็นไหม” นทีแทบไม่ได้ยินประโยคต่อมา เพราะเท่านี้ หน้าก็ร้อนผ่าวไปด้วยความอาย “แล้วเห็นหรือเปล่าล่ะ เวลาออกสื่อ เขาก็ไม่ค่อยทำตัวสนิทสนมกับน้องฟ้าด้วย”
“เธอนี่ก็ เขาอาจจะแค่ให้เกียรติน้องฟ้าก็ได้”
“อะไรกัน เธอไม่ได้อ่านข่าวหรือไง สักเดือนนึงมาแล้วน่ะ ว่าคุณชายอุปถัมภ์ดูแลเด็กที่ถูกรถชนคนหนึ่งอยู่ แถมยังบริจาคเลือดให้ด้วยนะ ถ้าเด็กที่โดนรถชนคนนี้ไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคุณชาย เขาจะมาแลทำไม”
“แหมเขาอาจจะเป็นผู้ชายจริงๆก็ได้ เรื่องวิปริตๆ แบบนี้ไม่ต้องมาเล่าให้ฉันรับรู้หรอก ฉันละอยากจะทำใจให้เชื่อได้เหลือเกินว่าในสังคมนี้มันไม่มีอะไรที่มันวิตถาร แบบพวกเกย์ พวกทอม ดี้ อะไรเนี่ย ฉันไม่ชอบ ขยะแขยง”
“ขอโทษนะครับ” นทีโพล่งออกมาตรงนั้นเอง เพราะทนฟังต่อไปไม่ได้ “ผมว่าคนที่ยอมรับความจริงในโลกไม่ได้อย่างนี้ โรคจิต วิปริตมากกว่าพวกเราอีกนะครับ เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อน แล้วคุณชายก็ไม่ใช่เกย์ด้วย วันหลังพวกคุณจะนินทาใคร ช่วยนินทาให้มันเบาๆด้วยนะครับมันดังรบกวนมาถึงคนอื่น”
พูดจบแล้วนทีก็เดินกะเผลกๆ กลับไปหาภาสกร ด้วยสีหน้าโกรธจัด

***********************************************************************
ปล. เรื่องรวมเล่มปางบรรพ์ ผมจะเปิดโอนหลังจากกลับจากไปเที่ยว เอ๊ย ปฏิบัติภารกิจนะครับ อิอิ แล้วก็จะโพสต์ภาพปก และรูปแบบการจัดหน้าด้วยครับ รอหน่อยนะคร้าบบบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2011 22:29:19 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ KIMKUNG

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
เย้ๆ  มาต่อสักที  อ่า สนุกๆ อยากให่คุณชายรักนทีมากๆๆ นะครับอิอิ

ออฟไลน์ naja-kitase

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
 :z2: ดีใจๆ เจอกันแล้ว

ขอให้เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกนะคะ
สวัสดีปีใหม่ไทยคะ

ปล.ปางบรรพ์เปิดให้โอนนานๆหน่อยก็ดีนะคะ พอดีเงินออกสิ้นเดือน 5555+

yunjaejoong

  • บุคคลทั่วไป
Re: ...รักล้นใจ...(อัพครั้งที่ 16)
«ตอบ #274 เมื่อ11-04-2011 23:24:32 »

โห ถ้าให้เป็นเราหน่อยไม่ได้มานินทากันแบบนี้

ออฟไลน์ lomekung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เจอกันแล้ว  แต่อุปสรรคใหญ่เป้งรออยู่อีกเพียบ  

butterfly_bee

  • บุคคลทั่วไป
ต่างคนต่างกลัว ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ความรู้สึกของตัวเอง
แต่หารู้ไม่ ว่าทั้งสองคนน่ะหัวใจตรงกันอยู่
อุปสรรคความรักของทั้งคู่มันมากมายเหลือเกิน
ต้องเหนื่อยกันหน่อยละทั้งคุณชายทั้งนที  :เฮ้อ:
อ่านไปก็สงสารหนุ่มน้อยนทีของเราชะมัด
ชีวิตอาภัพจริงๆเลยน้อนที T T
ส่วนพ่อเลี้ยงอดิศรณ์ทำไมถึงเลิกตามนทีได้แล้วละเนี่ย
ไม่รู็เหมือนกันแต่เค้าแอบคิดว่าพ่อเลี้ยงไม่น่าจะปล่อยนทีไปง่ายๆแฮะ
หรือมันจะมีเบื้องหลังอะไรมากกว่านั้นกันแน่
แถมหลังจากปุยฝ้ายพูดคำว่าเพื่อนทรยศพ่อเลี้ยงก็ดูอึ้งๆไปด้วย
หรือพ่อเลี้ยงจะรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ของนทีรึเปล่าหว่า
งืมม ต้องติดตามๆๆ

ขอให้(ปฎิบัติภารกิจ)เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกนะคะั เดินทางปลอดภัยน๊าา

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อ 2 ตอนรวด รักกกกกกกกกกกกกไรเตอร์จริงๆ ค่ะ  :L1:

theblink

  • บุคคลทั่วไป
แงงงงงงงงงงง   

เครียดเรื่อง นายอดิสรณ์ ไม่ไหวแล้ว    :sad4: :sad4: :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Little Devil

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ pichayakamon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
    • My Facebook
มาให้กำลังใจน้องน้ำกะคุณชาย
สู้ๆ นะคะ
เค้าเชียร์อยู่น๊าาา อย่าได้แคร์ใคร
แคร์หัวใจตัวเองก็พอ ^^

ออฟไลน์ SecondaryTrauma

  • Today is a gift, that is why call ... "The Present"
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
เฮ้อ ~ หนทางข้างหน้าแลดูจะมืดมนเหลือเกิน ผิดกับความรู้สึกที่กลับรุ่งโรจน์อยู่ในใจของคนทั้งคู่

ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
บวกให้นที ด่ามันเลย พวกปากเสีย >"<

Rhythm

  • บุคคลทั่วไป
อ่านะ นินทาซะเบาเชียว 5555 ...รออ่านนะคะ :L2:

patz

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาอ่านด้วยคนครับผม

เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆเลยครับ แต่แอบปวดหัวใจกับบางฉากเหลือเกิน



ปล.สาเหตุของอุบัติเหตุนี่ คุ้นๆนะครับ แหะแหะ
ปล2.น้ำนี่บทจะดุ ก็ดุใช้ได้เลยนะครับเนี่ย

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
โอ้ววว นทีโกรธซะแล้ววววว

เหอๆ บทจะโกรธก็โพล่งขึนมาดื้อๆเลยนะเนี่ย สงสัยผู้หญิงสองคนนั้นจะดวงซวยจริงๆ เหอๆ

แอบดีใจ คุณชายเริ่มรู้ใจตัวเองขึ้นมานิดนึง(จริงๆ--;)แล้ว

แต่ก็สงสัยรอวันเฉลยจริงๆค่ะ ว่าคุณพ่อเลี้ยงไปทำอะไรไว้นักหนา นทีถึงต้องหนีออกจากบ้านอ่า อยากรู้ๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Purple_Sky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +354/-1
19


    “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” ภาสกรทักนทีเป็นประโยคแรก เมื่อหนุ่มน้อย เดินกะโผลกกะเผลกกลับมาที่โต๊ะ “เป็นอะไร ห้องน้ำสกปรกหรือ”
   “ไม่มีอะไรครับ คุณชาย ผมอยากกลับแฟลตแล้วครับ นี่ฟ้าก็มืดแล้ว เกรงใจคุณชาย ผมขอตัวละครับ” หนุ่มน้อยตอบเรียบๆ
   “อะไรกัน” ภาสกรลุกขึ้นจากโต๊ะ “ขอตัวอะไร คุณจะกลับยังไง ให้ผมไปส่งเถอะ”
   นทีก้มหน้างุด รู้จากหางตาว่ามีผู้หญิงสองคนเดินออกมาจากห้องน้ำกลับเข้านั่ง โต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ โต๊ะของเขาและภาสกร
   “อย่าดีกว่าครับ แค่นี้คนก็มองคุณชายไม่ดีพอแล้ว ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำให้คุณชายดูแย่มากไปกว่านี้”
   หนุ่มน้อยค่อยๆเดินออกจากร้านไป ระหว่างที่ภาสกรยังตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งได้สติคืนมา ภาสกรก็วิ่งตามนทีไป ยืนขวางหน้าชายหนุ่ม
   “คุณไม่ได้ทำให้ผมดูแย่อะไรทั้งนั้น ผมจะแย่กว่าเดิม ถ้าคุณกลับเองคนเดียวแบบนี้ ให้ผมไปส่งเถอะครับ ถ้าคุณปฏิเสธ ผมจะอุ้มคุณขึ้นรถเดี๋ยวนี้ คุณก็รู้ดีไม่ใช่หรือว่าผมพูดจริงทำจริง”

    นที จึงอยู่ในรถของภาสกรแล้วตอนนี้ ทั้งคู่ไม่ได้กำลังมุ่งหน้ากลับแฟลต แต่ภาสกรกำลังพาเขาไปที่ไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ยอมบอก นทีนั่งเงียบมาตลอดทาง นอกจากถามว่า คุณชายจะพาผม ไปไหนแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดด้านลบที่โจมตีตัวเองหนักขึ้น
   เขาทำให้ภาสกรดูแย่ขนาดนี้เลยหรือ ผู้หญิงคนนั้นใช้คำว่าอะไรนะ วิปริต วิตถาร ขยะแขยง อย่างนั้นหรือนี่ ใช่ซีเขามันวิปริตนี่นะ นทีก้มหน้างุดนั่งนึกว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเขาที่ต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ ใครจะพูดว่าการเป็นเกย์มันคือทางเลือก แต่นทีคิดว่า มันไม่ใช่ทางเลือก มันไม่เหมือนกับว่า โอเควันนี้อากาศร้อนใส่เสื้อยืด ดีกว่าเสื้อเชิ้ต แต่พ่อแม่ เห็นว่าไม่สุภาพค่อยเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตแล้วกัน มันไม่ใช่ว่าตื่นมาแล้ว เอาล่ะ วันนี้ฉันจะชอบผู้ชาย ถ้าพ่อแม่ว่าค่อยเปลี่ยนไปชอบผู้หญิงเหมือนเปลี่ยนเสื้อ
   นทีลองมาแล้วทุกวิธีนับตั้งแต่รู้ความจริง นทีก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลยนับแต่จำความได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจ้องจะชอบผู้ชายทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตเหมือนกัน ความรักของนที เกิดจากความผูกพัน อย่างที่ตอนนี้ แม้พูดออกมาดังๆไม่ได้ แต่นทีรู้ว่าเขารู้สึก “ผูกพัน”กับภาสกรมากแม้จะ มีคำว่า “ความเหมาะสม” ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ขวางอยู่ก่อนจะก้าวไปถึง “ความรัก” ได้ก็ตาม
   หนุ่มน้อยนึกถึงคำพูดของผู้หญิงสองคนในร้านอาหาร
“คบคนนึงไว้หลอกประชาชนแล้วตัวเองก็แอบมามีชีวิตส่วนตัวเห็นไหม เวลาออกสื่อ เขาก็ไม่ค่อยทำตัวสนิทสนมกับน้องฟ้าด้วย”
    นทีเป็นอะไรของภาสกร คุณชายกำลังมี “ชีวิตส่วนตัว” ของคุณชายกับเขา หรือ “คบอยู่กับคนที่เป็นดารา” จริงๆกันแน่ หมายความว่า คุณชาย “เป็นแบบเขา” หรือ “เป็นผู้ชายปกติ” ธรรมดาๆ กันเล่า
   แล้วมาคิดดู อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ
   
ถ้าคุณชายเป็น”ผู้ชายปกติ” ธรรมดาๆคนหนึ่งที่ “คบอยู่กับคนที่เป็นดารา” จริงๆ นทีคงต้องเสียใจ คงต้องยอมรับความจริงว่าคุณชายไม่ได้ “เป็นแบบเขา” คุณชายมีแฟนแล้ว ไม่ได้มีใจให้เขาสักนิด และเขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคุณชายให้มากกว่านี้ เพราะเขาจะทำร้ายทั้งคุณชาย ทำร้ายทั้งตัวเองไปในเวลาเดียวกัน
แต่ถ้า คุณชาย “เป็นแบบเขา” และกำลังมี “ชีวิตส่วนตัว”อยู่จริงๆละก็ แปลว่าคุณชายมีใจให้เขาหรือ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ดีน่ะสิ เขาคงมีความสุข และลงตัวทุกอย่างกับคุณชาย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้ยิ่งจะทำให้คุณชายเสื่อมเสีย “ความถูกต้อง” ตัวใหญ่ยังคงมีให้นทีเห็นระหว่างเขากับคุณชาย ภาสกร มีชีวิตที่เป็นความคาดหวังของสังคม มีชีวิตแบบที่ว่าต้องดูดี เรียบร้อย แต่งงานก็ต้องกับคนที่มีชาติตระกูลสมกัน เป็นครอบครัวตัวอย่าง มีลูกที่เจริญรอยตามพ่อ เป็นสิ่งที่สังคมสามารถอ้างถึงในทางที่ดีได้
เขาจะทำให้ทุกอย่างที่เพอร์เฟคในสังคมของคุณชายพังทลายลงหรือ เขาต้องลืมคุณชาย... ต้องทำใจให้ลืมคุณชายให้ได้
ความกังวลคงฉายชัดบนใบหน้าของนที ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆจึงเอื้อมมือมา วางลงบนศีรษะของชายหนุ่ม ลูบผมสีดำสนิทเป็นมันสวยนั้นเบาๆอย่างทนุถนอม
“เป็นอะไรหรือ เงียบมาตลอดทางเลย”
คลื่นความอบอุ่นแผ่มาจากฝ่ามือของชายหนุ่ม แทรกเข้าไปทุกอณูจนถึงหัวใจของนทีที่เต้นดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ นทีได้แต่หวังว่าคุณชายจะไม่รู้สึกถึงมัน ไม่สนใจว่าเขากำลังขวยเขินจนถึงที่สุดอยู่
สัมผัสจากฝ่ามือนี้เอง เรียกความทรงจำของสัมผัสครั้งเก่านั้นได้   
   “จะลืมได้อย่างไรล่ะครับ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ที่ยังไงผมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ผมไม่วันลืมหรอกครับ
   ใช่ เราจะไม่มีวันลืมคุณชาย จะผิดหรือถูก นทีไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะผิด จริงๆก็ช่างมันเถอะ ถ้าความผิดมันจะรู้สึกดีได้ขนาดนี้ นทีก็คิดแบบคนเห็นแก่ตัวว่า  คงจะปล่อยให้มันผิดต่อไป
   “คิดอะไรนิดหน่อยครับ”หนุ่มน้อยรวบรวมความกล้าตอบไปในที่สุด
   “คิดอะไรอยู่ ให้ผมรู้ได้ไหม”
   นทีก้มหน้าอีกครั้ง จะบอกได้อย่างไรล่ะว่า คิดเรื่องคุณชายอยู่นั่นแหละ “คิดว่า คุณชายจะพาผมไปไหน”
   ภาสกรหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
   “เอาเถอะน่าผมไม่เอาคุณไปฆ่าไปแกงหรอก คราวที่แล้วพาไปที่สวนคุณก็ชอบนี่นา คราวนี้ต้องชอบมากกว่าเก่าแน่” ชายหนุ่มว่า “แต่คราวนี้ไม่มีวาดรูปแล้วนะ ผมเข็ด ไม่เป็นแบบให้ใครอีกแล้ว”
   สองหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน
   “ดีใจ” ภาสกรว่าต่อไป “ดีใจที่เห็นนทีหัวเราะ ไม่ได้ยินเสียงคุณหัวเราะมานานแล้วนะ” เขาว่า “คุณใจร้ายมากเลยนะ คราวที่โทรมาหาผม ไม่รู้หรือว่าเป็นห่วงแค่ไหน โทรมาแทนจะถามสารทุกข์สุกดิบ กลับตัดขาดไม่ให้ไปยุ่งได้เสียนี่”
   “ก็ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนี่นา” นทีเงียบไปพักหนึ่งก็พูดต่อ “ผมเห็นว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ที่เราจะเจอกันหม่อมแม่ของคุณชายรู้เข้า คุณชายจะซวย”
   “ก็ไม่ต้องให้รู้ซี ผมจะมีเพื่อนของผม ไม่ได้ให้เป็นเพื่อนหม่อมแม่ซะหน่อย” ภาสกรยืนยันคำพูด หนักแน่น ราวกับคิด และฝึกซ้อมมาดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น “นอกจากคุณบอกผมมาคำเดียวเท่านั้นว่าคุณไม่อยากเจอผมอีก เพราะคุณไม่ชอบผม ผมถึงจะยอม”
   จะให้ผมบอกคุณชายหรืออย่างไรล่ะว่า ผมชอบคุณชายน่ะ นทีคิดในใจ เงียบกันไปอีกพักใหญ่ หนุ่มน้อยในชุดนักศึกษาก็เอ่ยถามขึ้นมา
   “คุณชายจะว่าละลาบละล้วงไหมครับ ถ้าผมอยากถามเรื่องส่วนตัวคุณชายบ้าง” นทีหน้าแดง ตามองออกถนน ก็เห็นว่าออกมาไกลจากตัวเมืองและแฟลตของปุยฝ้ายแล้ว แต่กำลังมุ่งหน้าไปทางชายหาด ภาสกรคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ
   “ถามมาซี ถ้าตอบได้ผมจะตอบ”
   นทีก้มหน้า พูดเสียงเบา ราวกับไม่อยากให้คำพูดผ่านออกมาจากปากมากเกินไป “ข่าวที่ว่า คุณชายเป็นแฟนกับ ดาราที่ชื่อ ฟ้า ทิฑัมพรน่ะ จริงหรือเปล่าครับ”
    ภาสกรหัวเราะออกมาเสียงดังขณะเลี้ยวรถเข้าซอยเล็กๆ ที่นำไปสู่บ้านหลังขนาดย่อม อยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยมีบ้านคนอื่นอยู่ หรือแม้แต่โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ พอภาสกรขับรถเข้าใกล้ๆประตูรั้วมันก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ ชายหนุ่มเคลื่อนรถเข้าจอดในโรงรถข้างๆรถยนต์สีขาวเงินที่จอดอยู่แล้ว แล้วดับเครื่องยนต์
   “ที่นี่ที่ไหนครับ”
   “บ้านผมเอง ไม่มีใครอยู่ ทุกคนกลับกรุงเทพไปแล้ว คุณเข้ามาก่อนซี” ชายหนุ่มว่าอย่างไม่คิดเล็กคิดน้อย ไขกุญแจเปิดเข้าบ้านจากโรงรถ ไม่ได้เข้าทางประตูใหญ่หน้าบ้าน เพราะจะดูเอิกเกริก ไปใหญ่ กระนั้น นทีก็ยังไม่ยอมเดินตามชายหนุ่มเข้าไป
   “คุณชายครับ ผมว่าอย่างนี้คงไม่เหมาะ ผมคงไม่เข้าไปดีกว่าเดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า จะน่าเกลียดนะครับ” นทีพูดอย่างอายๆ คาดหวังให้ภาสกรคิดได้และเข้าใจ “ผมรบกวนคุณชายไปส่งผมที่หน้าปากซอยให้ผมเรียกแท็กซี่กลับห้องดีกว่า”
   “น่าเกลียดยังไงล่ะ ผมจะพาเพื่อนมาบ้านไม่ได้เลยหรือ”
   คุณชายคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนซะหน่อย
   “ไม่รู้ละ ถ้าคุณไม่เข้ามาผมจะถือว่าคุณรังเกียจผม ผมจะยอมขับรถไปส่งคุณที่แฟลตก็ได้ แต่ขอให้คุณรู้ไว้ว่า ผมเพียงต้องการหาที่นั่งคุยกับคุณ ในเมื่อคุณไม่อยากนั่งตามที่สาธารณะ ผมก็พาคุณมาที่ส่วนตัวของผมก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน คุณกับผมก็ผู้ชายเหมือนกัน”
   นทีหน้าแดงหนักกว่าเก่า แต่ก็ไม่ได้พูดตอบอะไร
   “ก็ได้ถ้าอย่างนั้น ผมจะขับรถไปส่งคุณก็แล้วกัน ถ้าคุณรังเกียจละก็”
   “ไม่ได้รังเกียจซะหน่อย” นทีตอบเสียงเบา อย่างเขินอาย “ถ้าคุณไม่กลัวคนอื่นเขานินทา ก็ตามใจคุณ”
   “ไม่กลัวเลยครับผม แถวนี้ไม่มีใครเลย คุณก็เห็นมีบ้านผมบ้านเดียว บ้านอื่นเป็นของญาติๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่ด้วย เข้ามาเถอะ”
   นทีจึงเดินเข้าไปในบ้านของคุณชายหนุ่ม พอคุณชายปิดประตู นทีก็ใจเต้นแรง จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา คุณชายคิดอะไรกันแน่.... ไม่ซี คุณชายไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ต่อให้คุณชายคิดอะไรกับเขา นทีก็เชื่อว่าคุณชายมีเกียรติพอ และก็คงให้เกียรติเขาด้วย.. คงไม่ทำอะไรเขาหรอกนะ นทีเดินตามชายหนุ่มไปยังห้องนั่งเล่น
   ภาสกรไม่ได้บอกให้นทีนั่ง หนุ่มน้อยจึงได้แต่ยืนพิงตู้หนังสือ สายตาเหลือบไปเห็นภาพเด็กน้อยคนหนึ่งในกรอบรูป ยืนยิ้มแฉ่งให้คนที่มองอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรูปของภาสกรในยามเด็ก ชายหนุ่มใส่ชุดสูทเรียบร้อย ราวกับตามท่านพ่อ และหม่อมแม่ไปออกงานสังคม นทีเห็นภาพนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ มัวแต่ยิ้มให้รูป ไม่ทันได้เห็นว่า ชายหนุ่มที่เคยเป็นเด็กน้อยในรูป กำลังรูดม่านเปิดออก เผยให้เห็นประตูเลื่อนบานกระจก เปิดออกไป เป็นนอกชาน กว้างขวาง มองเห็นทะเลได้ จากข้างในบ้าน
   “นที ออกมานั่งข้างนอกซี”
   หนุ่มน้อยได้ยินภาสกรเรียกก็เงยหน้าจากรูปขึ้นมองชายหนุ่ม ภาพเบื้องหลังของเขา คือทะเลสีเข้มที่ถูกย้อมด้วยความมืด ซัดสาดเข้าหาฝั่งอย่างสงบเงียบในคืนนี้ ด้วยความที่ลมไม่แรงนัก
   นทีเดินออกไปยังนอกชานที่ปูพื้นไม้ไว้อย่างสวยงาม หนุ่มน้อยนั่งลงที่ม้านั่ง มันไม่ได้หันหน้าออกไม่ยังทะเล แต่หันข้างให้ ดังนั้น เมื่อนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นนทีจึงเห็นภาพของหาดทราย ทอดยาวออกไป ที่อยู่ไกลลิบนั้นคือเมืองพัทยาที่เต็มไปด้วยแสงสี ด้านซ้ายของนทีเป็นทะลีสีดำหากแต่สวยงามเป็นประกายยั่วล้อ กับแสงจันทร์เต็มดวง
   “สวยมากครับคุณชาย”
   ภาสกรยิ้มให้ เขาไม่ได้นั่งข้างๆหนุ่มน้อย หากแต่ยืนอยู่ใกล้ๆประตูกระจก ยืนนิ่งมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป คิดถึงความฝันที่เขาเห็นคืนก่อนที่นทีจะฝื้นขึ้นมา เมื่อเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้ว ภาสกรก็หันไปถามนที
   “กาแฟไหมครับ หรือน้ำชา หรือว่าน้ำผลไม้”
   “กาแฟก็แล้วกันครับ” จบประโยคชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้หนุ่มน้อย นั่งมองทะเลสีดำสนิทอยู่คนเดียว
   นานเป็นเดือนแล้ว ที่เขาไม่ได้เห็นทะเล ครั้งสุดท้ายคือคืนก่อนที่เขาจะถูกรถชน นทีมองเส้นขอบฟ้าด้วยความเศร้าใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น แต่ก็ส่ายหัวแรงๆ สลัดความคิดนั้นออกไป ในเมื่อเวลานี้ นทีกำลังมีความสุข ก็อยากซึมซับความสุขนั้น ให้อยู่กับเขาไปชั่วระยะหนึ่ง... ทั้งๆที่อยากพูดว่า ซึมซับความสุขนั้นตลอดไป แต่หนุ่มน้อยก็รู้ดีว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเขาได้ “ตลอดไป” พ่อ... แม่... บุคคลที่เขารักมากที่สุดทั้งสองคนได้จากไปแล้ว คนรักของเขาแต่ละคนก็ไม่เคยกลับมาให้เขาได้เห็น หรือพูดคุยกันอีก ไม่มีใครอยู่กับเขาได้ตลอดไป
   ภาสกรก็จะเป็นหนึ่งในนั้น
   ไม่นาน หากคุณชายล่วงรู้ความจริงที่อยู่ในใจของเขา ชายหนุ่มจะมองหน้าเขาได้ไหม จะบอกเขาว่าจะเป็นอีกคนที่คอยดูแลเขาได้ไหม จะบอกเขาว่า ภาสกรเองก็รักเขาเหมือนกัน ได้ไหม หรือจะจากไป แล้วความสุขก็จะลาจากเขาไปพร้อมกันในที่สุด
   “ทิฆัมพรกับผมไม่ได้เป็นแฟนกัน” ภาสกรว่า ถือถ้วยกาแฟมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งยื่นให้นที อีกถ้วยเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลสำหรับตัวเขาเอง ภาสกรหย่อนก้นนั่งลงข้างๆนที พอหนุ่มน้อยกล่าวคำขอบคุณ ภาสกรก็เล่าต่อ “หม่อมแม่ของผม หมายมั่นจะให้ผมแต่งงานกับทิฆัมพร แต่ก็ไม่เคยพูดอะไรให้ผมรู้ ผมเองเป็นคนที่ได้ยินจากคนอื่นมาด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทิฆัมพรก็เป็นเพียงเพื่อนที่รู้จักมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น ผมไม่คิดจะแต่งงาน หรือแม้แต่เป็นแฟนกับเขา ข่าวที่ออกมาตามหน้าบันเทิง ก็เพราะทิฆัมพรใกล้ชิดกับผมเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น”
      นที จิบกาแฟรสเยี่ยมฝีมือคุณชาย เข้าไป ก่อนจะพยักหน้าให้คุณชายรู้ว่า เขาฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ชายหนุ่มอีกคนจึงเป็นคนถามเขาเอง
   “คุณอยากรู้ทำไมหรือ”
   นทีเงยหน้าจากถ้วยกาแฟ สบตาเข้ากับชายหนุ่ม จะหลบตาก็ไม่กล้าเดี๋ยวคุณชายจะยิ่งเห็นพิรุธหนักเข้า ตราบใดที่นทียังไม่แน่ใจว่าคุณชาย คิดแบบเดียวกับเขา เขาก็ไม่อยากทำอะไรให้ชัดเจนนัก... อย่างน้อย เขาก็ได้รู้แล้วว่า คุณชายกับทิฆัมพร ดารานางร้ายคนนั้น ไม่ได้มีอะไรกันเลย
   “ก็ ผมเห็นเพื่อนๆ ที่ม.คุยกันผมก็อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า ก็เท่านั้นเองล่ะครับ” หนุ่มน้อยตอบแบบขอไปที โชคดีที่ภาสกรไม่ได้ติดใจอะไร จึงไม่ได้ถามต่อ
   “สวยไหม ชอบหรือเปล่า” คุณชายเอ่ยถาม
   “ชอบซีครับ ชอบมากบ้านสวย ทะเลก็สวย เงียบอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าพัทยาจะมีที่แบบนี้” หนุ่มน้อย จ้องท้องฟ้าไกล ไม่ได้มองหน้าผู้ที่เขากำลังสนทนาด้วย “ขาดอย่างเดียว ถ้ามีกีตาร์ละก็ คงเหมือนในหนัง ฉากพระเอกอกหักนั่งดีดกีตาร์ให้ทะเลฟัง”
   นทีหันกลับมาเจอคุณชายยิ้มที่มุมปาก ดวงตาเป็นประกายเหมือนนึกอะไรได้    “เอ้า ถ้าอยากให้เหมือน งั้นผมก็จะทำให้เหมือนแล้วกัน”
   คุณชายพรวดพราดลุกออกไป ไม่ทันที่นทีจะได้พูดอะไร กลับมาอีกทีก็มีกีตาร์อยู่ในมือเสียแล้ว ภาสกรยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวยอยู่ในปากหนาสีชมพูเข้ม
   “มาแล้ว แต่ขออย่าง อย่าเอาฉากพระเอกอกหัก เอาฉากพระเอก มาบ้านเพื่อนพระเอก แล้วโชว์ฝีมือให้เพื่อนพระเอกฟังก็แล้วกัน”
   นทีหัวเราะเบาๆ
   “เสียอย่างเดียว แขนซ้ายผมหักอยู่ คงจับคอร์ดไม่ได้”
   “ถ้างั้น ผมจับคอร์ดให้ คุณดีดละกัน”
   ภาสกร กระเถิบตัวเข้าใกล้ชายหนุ่ม ทำให้ลำตัวแนบชิดกันอย่างไม่ตั้งใจ คุณชายคงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่นทีสิใจเต้นจนกลัวว่าคนที่อยู่ข้างๆจะพลอยได้ยินมันด้วย ภาสกรนับหนึ่งถึงสามก็จับคอร์ดกีตาร์ ให้นทีใช้มือขวาที่เกาสายกีตาร์เบาๆ เสียงร้องเพลงของคุณชายทุ้มนิดๆ เมื่อร้องเพลงกลับฟังดูแหบห้าว ไม่เหมือนยามพูดหากแต่เมื่อฟังเอาเพลินๆ นทีรู้สึกว่าเสียงของคุณชายช่างเพราะจับใจเหลือเกิน
    หนุ่มน้อยมิได้สนใจเนื้อร้องในเมื่อมันเป็นภาษาอังกฤษ เขาฟังไม่ค่อยออกนักหากไม่ตั้งใจฟัง แต่เมื่อมาถึงท่อนสุดท้ายไม่รู้เพราะอะไร นทีกลับฟังออกทุกคำ เข้าใจได้โดยไม่ต้องตั้งใจฟัง
    
        There is only one wish on my mind,
    when this day is through; I hope that I will find
    that tomorrow will be just the same for you and me.
    All I need will be mine if you are here

มีสิ่งเดียวที่ใจฉันนั้นปรารถนา
เมื่อเวลาหมดลงแล้วในวันนี้ ให้ฉันได้พบว่า
วันต่อไปก็ยังเหมือนเดิมสำหรับเธอและฉัน
ฉันจะได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการหากเพียงมีเธออยู่ข้างกัน...


    “เพราะมากครับ คุณชาย” จะปรบมือให้ก็ทำไม่ได้นทีจึงได้แต่เอ่ยปากชม “แต่ว่า ผมไม่ค่อยรู้จักหรอกครับเพลงฝรั่ง”
   “อ้าวแล้วกัน เพลงนี้ดังออก” ภาสกรหัวเราะ “ชื่อเพลง Top of the world ดังสมัย ท่านพ่อ ตอนท่านเสด็จไปเรียนอยู่ที่ อเมริกา ช่วงนั้นเพลงของ The Carpenters นี่ดังมากๆ ใครไม่รู้จักถือว่าเชย เสียดายผมเกิดช้าไป 7-8 ปี ถ้าเป็นเพลง Yesterday Once more หรือ They long to be close to you คุณต้องรู้จักแน่ๆ”
   “every cha la la la every whoa whoa อันนี้พอรู้จักครับ”  
   ภาสกรหัวเราะ เมื่อได้ยินเสียงใสๆ ของนทีร้องเพลง
   “คุณร้องเพลงเพราะ เสียงใสอย่างกับเด็ก ผมนี่ ร้องเพลงไม่ว่าเพลงไหน ต้องเสียงแหบไม่รู้ทำไม”
   “คุณชายร้องเพลงเพราะออก”
   “คุณร้องให้ผมฟังบ้างซี” ภาสกรกระเซ้า แหย่
   “ไม่เอาหรอกครับ อายคุณชายจะแย่ ผมไม่ได้ร้องเพลงเพราะขนาดนั้น” นทีหน้าแดง รีบปฏิเสธเสียงดัง
   “ขี้โกงนี่ ผมร้องให้คุณฟังแล้ว คุณก็ต้องร้องให้ผมฟังบ้าง แลกกัน”
   มาไม้นี้ นทีไม่รู้จะทำอย่างไร เลยต้องร้องเพลงให้ภาสกรฟังอย่างอายๆ คุณชายหนุ่มดีดกีตาร์ให้ ปล่อยให้หนุ่มน้อยร้องเพลงไปอย่างเดียว ไม่รู้ทำไม แต่ภาสกรมีความสุขที่สุด เมื่อได้ยินเสียงของหนุ่มน้อย ร้องเพลง ผ่านเข้าหูของเขา คนดีดกีต้าร์มองหน้าหนุ่มน้อยข้างๆไป ก็ยิ้มไปตลอดเพลง ไม่ได้ฟังว่าเป็นเพลงอะไร หรือ มีความหมายอย่างไรด้วยซ้ำ แค่ได้เห็นหน้าของนที และได้ยินเสียงเขา ก็มีความสุขแล้ว
   เหมือนที่เขาร้องให้นทีฟังเมื่อครู่นั่นแหละ เขามีความสุขที่สุดเมื่อนทีอยู่ใกล้ และเขาหวังเพียงอย่างเดียวจริงๆว่า วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป เขาจะได้มีความสุขแบบนี้อีกเรื่อยๆ
    “คุณชายยิ้มทำไม ผมบอกแล้วว่าเสียงผมมันไม่เพราะ”
   “ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมชอบของผมนี่นา” คุณชายว่า “เสียงคุณเพราะออกอย่างนี้ สาวๆคงติดกันตรึม”
   “ไม่เห็นมีมาติดเลย” นทีบ่นงึมงำ แต่ภาสกรก็ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งชายหนุ่มพูดประโยคต่อมา “คุณชายมากกว่า ร้องเพลงก็เก่ง หน้าตาก็ดี นิสัยก็ดีแบบนี้ คงมีผู้หญิงมาให้เลือกเยอะแยะ”
   “ก็มีให้เลือกนะ แต่ไม่เลือก” ภาสกรว่า “จริงๆผมมันเป็นคนน่าเบื่อ คุณเป็นคนแรกที่ชม คนอื่นๆเห็นหน้า และรู้จักว่าผมเป็นใครก็ชอบ พอผ่านๆไปก็ไม่เห็นจะสนใจผมจริงๆสักคน ผมคงน่าเบื่อเกินไป ไม่แพรวพราวอย่างใครเขา... อย่าว่าแต่แฟนเลย เพื่อนผมก็ไม่ค่อยมี”
   “อะไรกัน ผมไม่เชื่อหรอกอย่างคุณชายเนี่ยนะไม่มีเพื่อน”
   “ถ้าเพื่อนแบบคบกันหวังผลประโยชน์ หรือพูดจากันเพราะบทบาททางสังคมล่ะเยอะเลย นับไม่ไหวหรอก แต่เพื่อนสักคนที่จะไว้ใจ ไปไหนมาไหนด้วย คุยกันได้ทุกเรื่องอย่างถูกคอ ผมนับคนได้เลยว่าไม่กี่คน”
   คุณชายเงียบไปพักหนึ่งราวกับพักหายใจ แล้วพูดต่อ
   “ผมไปอยู่อังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบ จบมหาวิทยาลัยตอนยี่สิบต้นๆ ถึงกลับมาอยู่ที่ไทย แล้วก็กลับไปเรียนออกแบบอัญมณีต่ออีก ปีสองปี เพื่อนผมส่วนใหญ่อยู่ที่อังกฤษ พอกลับมาไทยก็ขาดการติดต่อไปบ้าง ไม่มีเวลาคุยกัน ด้วยความต่างของเวลาบ้าง ก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนไหนอีก
อยู่ไทยผมก็เอาแต่ทำงาน ช่วยท่านพ่อบริหารงานร้าน รชตานันต์  อัญมณี เพื่อนส่วนมากก็รู้จักผ่านท่านพ่อ เป็นลูกเจ้าลูกนาย คุยกันก็ต้องมีมารยาท วางตัวดี ห้ามพูดจาเล่นหัว คุยกับคนที่รู้จักผ่านงานก็ได้แต่คุยเรื่องงาน เพื่อนสนิทจริงๆของผม ผมบอกเลยว่า ไม่มี ผมไม่มีคนให้ไปทานข้าวด้วย ดูหนังด้วย หรือแม้แต่โทรหาเวลาดีใจ หรือเสียใจ คนที่ผมคุยได้ด้วยมากที่สุดก็ไม่ใช่ท่านพ่อ หรือหม่อมแม่แต่เป็นแม่นม ตลกไหมครับ ”
“คุณชาย” นทีมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสาร นึกคำจะปลอบเขาอยู่แต่ไม่ทันพูดอะไร ภาสกรก็เอื้อมมือมาแตะหลังเขาเบาๆสองสามที ไม่ต่างจากเพื่อนชายทั่วไปปฏิบัติต่อกัน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้นที รู้สึกหวั่นไหว ใจเต้นแรงจนต้องก้มหน้าด้วยความเขินอาย
“ไม่ต้องทำหน้าสงสารขนาดนั้น  ตอนนี้ผมมีความสุขแล้ว… มีความสุขตั้งแต่มีคุณ” ภาสกรยิ้มให้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า จิตใจของหนุ่มน้อยตรงหน้ากำลังปั่นป่วนราวกับมีพายุลูกน้อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจมากขนาดไหน

สองทุ่มครึ่ง ภาสกรก็ตัดสินใจไปส่งนทีที่แฟลต ทั้งคู่คุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม ไม่มีความอึดอัดใจ หรือความเงียบอย่างกระดาก เขินอายอีก จนลืมมองเวลาว่า มันล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว ภาสกรขึ้นรถเบนซ์สีขาวเงินอีกคันหนึ่งเพราะไม่อยากให้รถยนต์สีแดงสดเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนแถวแฟลตของปุยฝ้ายมากนัก
“บ้านคุณชายสวยจริงๆเสียดายไม่มีสี กับกระดานวาดรูป” นทีชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบนั้นลง แม้เป็นความเงียบแบบอุ่นใจ และมีความสุข ไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัด ทำอะไรไม่ถูกก็ตาม
“ไม่เอาแล้ว คุณจะวาดก็วาดวิวไปนะ ผมไม่เป็นแบบอีกแล้ว เข็ดไปจนตาย” ภาสกรรีบปฏิเสธแบบทีเล่นทีจริง ที่ท่าทางจะแฝง “ทีจริง” ไว้เยอะเหลือเกิน นทีไม่ว่าอะไรได้แต่นั่งหัวเราะ จนรถเลี้ยวเข้าในซอยแฟลตของปุยฝ้ายพอดี“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมไปส่งข้างบน”
“แน่ใจครับ มีลิฟต์ ผมไม่ต้องเดินเยอะ” เขาว่า แต่ก็ไม่อาจเปิดประตูลงไปได้จนแล้วจนรอด ด้วยคิดว่า ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลย “ขอบคุณ คุณชายมากครับ วันนี้ผมมีความสุขมาก ขอบคุณจริงๆ”
หนุ่มน้อยเปิดประตูทำท่าจะลงจากรถ พร้อมๆกับ ภาสกรที่เดินอ้อมมา เปิดประตูหลัง หยิบไม้ค้ำยื่นให้หนุ่มน้อยที่ลุกออกจากรถ แล้วยืนขาเดียว นิ่งอยู่พักหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตอนนั้นเป็นนาทีที่เงียบสงบ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ลุ้นอยู่ในใจว่าใครจะพูดอะไรก่อน
แล้วก็เป็นภาสกรที่ทำลายความเงียบนั้นก่อน
“นที คุณมีความสุขผมก็ดีใจ... หลังจากที่ผมได้เล่าอะไรให้คุณฟังหลายอย่าง หลังจากรู้จักกันมาก็พักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะขอเป็น...”
นทีแทบกลั้นหายใจเพื่อฟังประโยคต่อมา
“เป็นเพื่อนกับคุณได้ไหม”
“เอ้อ...” หนุ่มน้อยอุทานออกมา เพราะคิดไปไกลแล้วว่าภาสกรจะพูดว่าอะไร ไกลจากความจริงไปมากพอควรทีเดียว “ก็ เป็นซีครับ”
ชายหนุ่มยิ้มให้กับหนุ่มน้อยตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยตามต่อไป “แล้ว คุณไม่คิดว่าเราไม่ควรจะเจอกันแล้วใช่ไหม”
นทีพยักหน้าอายๆ
“แล้วถ้าผมจะโทรหาคุณบ้าง มาหาคุณบ้าง ไปรับคุณที่มหาวิทยาลัย แล้วไปทานข้าว ไปเที่ยวกันบ้างได้ไหม” คุณชายถามต่อ
“ไม่ได้ครับ”
“อ้าว” คนฟังหน้าเสีย เมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากหนุ่มน้อยตรงหน้า
“ทุกข้อได้หมดยกเว้นข้อสุดท้าย ถ้าคุณชายเอารถสีแดง สะดุดตาคันนั้นไปรับผมที่มหาวิทยาลัยอีก คนในคณะก็จะแตกตื่นอย่างวันนี้ แล้วเขาก็จะเอาเรื่องคุณชายไปพูดกันให้สนุกปากอีก ฉะนั้นผมไม่อนุญาต”
“โธ่” คุณชายหัวเราะลงลูกคอเบาๆ “งั้นถ้าผมเอารถคันนี้ ไปรับคุณก็คงจะเต็มใจใช่ไหมครับ”
“ก็... อย่าจอดหน้าตึกก็แล้วกันมันจะขวางทางใครหลายๆคน” นทีก้มหน้าต่ำด้วยความอาย ไม่อยากเชื่อว่า คำพูดของตัวเอง มันเท่ากับบอกคุณชายว่า ผมอยากให้คุณชายมารับผม อย่างไรอย่างนั้น
ภาสกรหัวเราะเสียงดัง เอื้อมมือมาขยี้ผมหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดูอย่างเดิม รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ต่างคน ต่างถ่ายทอดให้กัน ทั้งคู่ยืนยิ้มอยู่นานก่อนที่จะกล่าวราตรีสวัสดิ์ และแยกย้ายกันไป ภาสกรยังนั่งมองจากในรถจนแน่ใจว่านทีขึ้นห้องไปแน่แล้วจึงขับรถออกจากบริเวณนั้นด้วยความสุขล้นเต็มหัวใจ อย่างอธิบายเหตุผลไม่ได้ ฮัม เพลงที่เพิ่งร้องให้หนุ่มน้อยฟัง ตลอดทางกลับบ้าน

Everything I want the world to be
is now coming true especially for me.
And the reason is clear, it’s because you are here.
You're the nearest thing to heaven that I’ve seen


***********************************************************************
สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องขอรายงานตัวก่อนเลยว่า “ผมกลับมาแล้วคร้าบ”  เดินทางปลอดภัยหายห่วง แล้วก็สนุกมากๆเลยด้วยคงเพราะมีเพื่อนๆอวยพรให้แน่เลย ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ไม่หายไปไหนนะครับผม

สำหรับหลายๆคนที่สงสัยเรื่องอดิสรณ์ ตอนนี้เขาฝากผมมาบอกว่าอยู่ทางใต้ทำธุรกิจอยู่ครับ แต่ไม่ต้องกลัวเพราะเขาส่งลูกน้องไปตามหานทีเสียให้ทั่วกรุงเทพตามที่ถูกปุยฝ้ายหลอกไปเรียบร้อยแล้ว หารู้ไม่ว่านทียังอยู่พัทยาอยู่เลย 555+ เรื่องความชั่วของอดิสรณ์อย่าเพิ่งสนใจเลยครับ เอาใจช่วยให้ภาสกรรู้ใจตัวเองก่อนดีกว่า เพราะคุณชายน่ะ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... ใจตัวเองแท้ๆดูไม่ออกซะงั้น 555+

จากบทที่แล้วคงเห็นว่า นทีของเราเห็นเรียบร้อยๆ แต่บทจะโกรธก็โกรธจริงจังมากเลยนะครับ เหวี่ยงไม่แคร์ใครเลย 555+

สำหรับตอนนี้หลายคนก็คงเคลิ้มไม่น้อยกับบรรยากาศที่วังพัทยาของชายภาส แนะนำให้หาเพลงมาเปิดฟังคลอไปด้วยนะครับ จะรู้สึกเหมือนมีผี้สื้อมาบินอยุ่รอบๆทีเดียว

ปล.
ผมโพสต์รายละเอียดหนังสือ และระเบียบการโอนเงินที กระทู้ปางบรรพ์ แล้วนะครับ อย่าลืมตามไปดูนะคร้าบ
@คุณzeen11 คุณ zeen11 ใช่คนที่โพสต์คลิป พี-ก้อง ในยูทูปรึเปล่าครับ ชื่อ login เหมือนกันเลย 555+
@คุณpatz สาเหตุรถชนนี่ ผมแต่งไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์คุ้นๆนั้นอีกนาครับ อิอิ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2011 23:12:59 โดย Purple_Sky »

ออฟไลน์ naja-kitase

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
โอ้วว บรรยากาศหวานมากๆ
เปิดเพลงฟังไปคลอๆยิ่งได้อารมณ์ ไม่ใช่แค่นทีที่เขินนะ เราก็เขิน  :-[ ฮ่าๆๆ
อยากให้คุณชายรู้ใจตัวเองเร็วๆจัง

ปล.สำหรับอดิสรณ์   :z6: (อันนี้ขอซ้อมไว้ก่อน 555)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ JJHJJH

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +293/-2
นทีแอบเจ้าเล่ห์น๊า แต่ดีแล้ว เรามีโอกาสแล้วเราต้องพยายามเราจึงจะได้(เขา)มา 555

ออฟไลน์ lomekung

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1

patz

  • บุคคลทั่วไป
ตอนใหม่มาแล้ว... ต่างฝ่ายต่างเริ่มจะเปิดใจให้กันแล้วสิเนาะ ถึงแม้คุณชายจะยังไม่รู้ตัว ว่านั่นจะเรียกว่ารักรึเปล่า แต่ก็ดูเป็นสัญญาณที่ดีอยู่


@คุณpatz สาเหตุรถชนนี่ ผมแต่งไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์คุ้นๆนั้นอีกนาครับ อิอิ
ยังดีที่หลังเกิดเหตุ คุณชายไม่ไปยืนกดบีบีอยู่ข้างทางเนาะ หุหุ

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
คุณชายเเมนมาก ทั้งเป็นสุภาพบุรุษ ปากหวาน พูดจาดี จิตใจดี น้องน้ำจะไม่ชอบไม่รักได้ยังไง
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ตื่นเต้นทุกครั้งเวลาจะอ่าน เเอบเขินตามน้องน้ำด้วย

ยังเเอบติดใจเรื่องพ่อเลี้ยง ทำอะไรไว้เนี่ย

ขอบคุณพี่ฟ้าม่วงมากค่ะ


** ชอบตอนเล่นกีตาร์ กรี๊ดดดดด เขินนนนนตามน้องน้ำ**

Little Devil

  • บุคคลทั่วไป

BF-e

  • บุคคลทั่วไป
 ตอนนี้ผมมีความสุขแล้ว… มีความสุขตั้งแต่มีคุณ



  อ๊ายยยยยยยยยยย! ผีเสื้อบินว่อนน  :o8: :-[

zeen11

  • บุคคลทั่วไป
@คุณzeen11 คุณ zeen11 ใช่คนที่โพสต์คลิป พี-ก้อง ในยูทูปรึเปล่าครับ ชื่อ login เหมือนกันเลย 555+
++++++++++++++++++++
ใช่ค่ะ ดูด้วยเหรอค่ะ ^____^


เม้มท์นิยายก่อน ตอนนี้กำลังหวานเชียว ขอให้หวานต่อไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งดราม่านะ  o18

butterfly_bee

  • บุคคลทั่วไป
 :เฮ้อ: คุณชายจะรู้มั้ยเนี่ยว่าทำให้หัวใจนทีวุ่นวายไปขนาดไหน
แต่คุณชายคงไม่รู้แน่ๆแหละ ขนาดหัวใจตัวเองยังไม่รู้เลย  :laugh:

Rhythm

  • บุคคลทั่วไป
เคลิ้มจริงๆด้วยอ่ะ
รออ่านนะคะ :L1:

ออฟไลน์ cheyp

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1536
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-0
หวานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
 :-[
ขนาดคุณชายยังไม่รู้ใจตัวเองนะเนี่ย

แต่แบบนี้เหมือนให้ความหวังนทีเลยอ่าาาาาาา

ลุ้นให้คุณชายรักนทีไวๆ
 :L1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด