19
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” ภาสกรทักนทีเป็นประโยคแรก เมื่อหนุ่มน้อย เดินกะโผลกกะเผลกกลับมาที่โต๊ะ “เป็นอะไร ห้องน้ำสกปรกหรือ”
“ไม่มีอะไรครับ คุณชาย ผมอยากกลับแฟลตแล้วครับ นี่ฟ้าก็มืดแล้ว เกรงใจคุณชาย ผมขอตัวละครับ” หนุ่มน้อยตอบเรียบๆ
“อะไรกัน” ภาสกรลุกขึ้นจากโต๊ะ “ขอตัวอะไร คุณจะกลับยังไง ให้ผมไปส่งเถอะ”
นทีก้มหน้างุด รู้จากหางตาว่ามีผู้หญิงสองคนเดินออกมาจากห้องน้ำกลับเข้านั่ง โต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ โต๊ะของเขาและภาสกร
“อย่าดีกว่าครับ แค่นี้คนก็มองคุณชายไม่ดีพอแล้ว ผมไม่อยากเป็นคนที่ทำให้คุณชายดูแย่มากไปกว่านี้”
หนุ่มน้อยค่อยๆเดินออกจากร้านไป ระหว่างที่ภาสกรยังตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กระทั่งได้สติคืนมา ภาสกรก็วิ่งตามนทีไป ยืนขวางหน้าชายหนุ่ม
“คุณไม่ได้ทำให้ผมดูแย่อะไรทั้งนั้น ผมจะแย่กว่าเดิม ถ้าคุณกลับเองคนเดียวแบบนี้ ให้ผมไปส่งเถอะครับ ถ้าคุณปฏิเสธ ผมจะอุ้มคุณขึ้นรถเดี๋ยวนี้ คุณก็รู้ดีไม่ใช่หรือว่าผมพูดจริงทำจริง”
นที จึงอยู่ในรถของภาสกรแล้วตอนนี้ ทั้งคู่ไม่ได้กำลังมุ่งหน้ากลับแฟลต แต่ภาสกรกำลังพาเขาไปที่ไหนก็ไม่รู้ที่เขาไม่ยอมบอก นทีนั่งเงียบมาตลอดทาง นอกจากถามว่า คุณชายจะพาผม ไปไหนแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดด้านลบที่โจมตีตัวเองหนักขึ้น
เขาทำให้ภาสกรดูแย่ขนาดนี้เลยหรือ ผู้หญิงคนนั้นใช้คำว่าอะไรนะ วิปริต วิตถาร ขยะแขยง อย่างนั้นหรือนี่ ใช่ซีเขามันวิปริตนี่นะ นทีก้มหน้างุดนั่งนึกว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของเขาที่ต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ ใครจะพูดว่าการเป็นเกย์มันคือทางเลือก แต่นทีคิดว่า มันไม่ใช่ทางเลือก มันไม่เหมือนกับว่า โอเควันนี้อากาศร้อนใส่เสื้อยืด ดีกว่าเสื้อเชิ้ต แต่พ่อแม่ เห็นว่าไม่สุภาพค่อยเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตแล้วกัน มันไม่ใช่ว่าตื่นมาแล้ว เอาล่ะ วันนี้ฉันจะชอบผู้ชาย ถ้าพ่อแม่ว่าค่อยเปลี่ยนไปชอบผู้หญิงเหมือนเปลี่ยนเสื้อ
นทีลองมาแล้วทุกวิธีนับตั้งแต่รู้ความจริง นทีก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลยนับแต่จำความได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจ้องจะชอบผู้ชายทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตเหมือนกัน ความรักของนที เกิดจากความผูกพัน อย่างที่ตอนนี้ แม้พูดออกมาดังๆไม่ได้ แต่นทีรู้ว่าเขารู้สึก “ผูกพัน”กับภาสกรมากแม้จะ มีคำว่า “ความเหมาะสม” ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม ขวางอยู่ก่อนจะก้าวไปถึง “ความรัก” ได้ก็ตาม
หนุ่มน้อยนึกถึงคำพูดของผู้หญิงสองคนในร้านอาหาร
“คบคนนึงไว้หลอกประชาชนแล้วตัวเองก็แอบมามีชีวิตส่วนตัวเห็นไหม เวลาออกสื่อ เขาก็ไม่ค่อยทำตัวสนิทสนมกับน้องฟ้าด้วย” นทีเป็นอะไรของภาสกร คุณชายกำลังมี “ชีวิตส่วนตัว” ของคุณชายกับเขา หรือ “คบอยู่กับคนที่เป็นดารา” จริงๆกันแน่ หมายความว่า คุณชาย “เป็นแบบเขา” หรือ “เป็นผู้ชายปกติ” ธรรมดาๆ กันเล่า
แล้วมาคิดดู อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ
ถ้าคุณชายเป็น”ผู้ชายปกติ” ธรรมดาๆคนหนึ่งที่ “คบอยู่กับคนที่เป็นดารา” จริงๆ นทีคงต้องเสียใจ คงต้องยอมรับความจริงว่าคุณชายไม่ได้ “เป็นแบบเขา” คุณชายมีแฟนแล้ว ไม่ได้มีใจให้เขาสักนิด และเขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคุณชายให้มากกว่านี้ เพราะเขาจะทำร้ายทั้งคุณชาย ทำร้ายทั้งตัวเองไปในเวลาเดียวกัน
แต่ถ้า คุณชาย “เป็นแบบเขา” และกำลังมี “ชีวิตส่วนตัว”อยู่จริงๆละก็ แปลว่าคุณชายมีใจให้เขาหรือ ถ้าเป็นแบบนั้น ก็ดีน่ะสิ เขาคงมีความสุข และลงตัวทุกอย่างกับคุณชาย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าความสัมพันธ์แบบนี้ยิ่งจะทำให้คุณชายเสื่อมเสีย “ความถูกต้อง” ตัวใหญ่ยังคงมีให้นทีเห็นระหว่างเขากับคุณชาย ภาสกร มีชีวิตที่เป็นความคาดหวังของสังคม มีชีวิตแบบที่ว่าต้องดูดี เรียบร้อย แต่งงานก็ต้องกับคนที่มีชาติตระกูลสมกัน เป็นครอบครัวตัวอย่าง มีลูกที่เจริญรอยตามพ่อ เป็นสิ่งที่สังคมสามารถอ้างถึงในทางที่ดีได้
เขาจะทำให้ทุกอย่างที่เพอร์เฟคในสังคมของคุณชายพังทลายลงหรือ เขาต้องลืมคุณชาย... ต้องทำใจให้ลืมคุณชายให้ได้
ความกังวลคงฉายชัดบนใบหน้าของนที ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆจึงเอื้อมมือมา วางลงบนศีรษะของชายหนุ่ม ลูบผมสีดำสนิทเป็นมันสวยนั้นเบาๆอย่างทนุถนอม
“เป็นอะไรหรือ เงียบมาตลอดทางเลย”
คลื่นความอบอุ่นแผ่มาจากฝ่ามือของชายหนุ่ม แทรกเข้าไปทุกอณูจนถึงหัวใจของนทีที่เต้นดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ นทีได้แต่หวังว่าคุณชายจะไม่รู้สึกถึงมัน ไม่สนใจว่าเขากำลังขวยเขินจนถึงที่สุดอยู่
สัมผัสจากฝ่ามือนี้เอง เรียกความทรงจำของสัมผัสครั้งเก่านั้นได้
“จะลืมได้อย่างไรล่ะครับ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม ที่ยังไงผมก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ผมไม่วันลืมหรอกครับ ใช่ เราจะไม่มีวันลืมคุณชาย จะผิดหรือถูก นทีไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะผิด จริงๆก็ช่างมันเถอะ ถ้าความผิดมันจะรู้สึกดีได้ขนาดนี้ นทีก็คิดแบบคนเห็นแก่ตัวว่า คงจะปล่อยให้มันผิดต่อไป
“คิดอะไรนิดหน่อยครับ”หนุ่มน้อยรวบรวมความกล้าตอบไปในที่สุด
“คิดอะไรอยู่ ให้ผมรู้ได้ไหม”
นทีก้มหน้าอีกครั้ง จะบอกได้อย่างไรล่ะว่า คิดเรื่องคุณชายอยู่นั่นแหละ “คิดว่า คุณชายจะพาผมไปไหน”
ภาสกรหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
“เอาเถอะน่าผมไม่เอาคุณไปฆ่าไปแกงหรอก คราวที่แล้วพาไปที่สวนคุณก็ชอบนี่นา คราวนี้ต้องชอบมากกว่าเก่าแน่” ชายหนุ่มว่า “แต่คราวนี้ไม่มีวาดรูปแล้วนะ ผมเข็ด ไม่เป็นแบบให้ใครอีกแล้ว”
สองหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ดีใจ” ภาสกรว่าต่อไป “ดีใจที่เห็นนทีหัวเราะ ไม่ได้ยินเสียงคุณหัวเราะมานานแล้วนะ” เขาว่า “คุณใจร้ายมากเลยนะ คราวที่โทรมาหาผม ไม่รู้หรือว่าเป็นห่วงแค่ไหน โทรมาแทนจะถามสารทุกข์สุกดิบ กลับตัดขาดไม่ให้ไปยุ่งได้เสียนี่”
“ก็ผมคิดอย่างนั้นจริงๆนี่นา” นทีเงียบไปพักหนึ่งก็พูดต่อ “ผมเห็นว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ที่เราจะเจอกันหม่อมแม่ของคุณชายรู้เข้า คุณชายจะซวย”
“ก็ไม่ต้องให้รู้ซี ผมจะมีเพื่อนของผม ไม่ได้ให้เป็นเพื่อนหม่อมแม่ซะหน่อย” ภาสกรยืนยันคำพูด หนักแน่น ราวกับคิด และฝึกซ้อมมาดีแล้วอย่างไรอย่างนั้น “นอกจากคุณบอกผมมาคำเดียวเท่านั้นว่าคุณไม่อยากเจอผมอีก เพราะคุณไม่ชอบผม ผมถึงจะยอม”
จะให้ผมบอกคุณชายหรืออย่างไรล่ะว่า ผมชอบคุณชายน่ะ นทีคิดในใจ เงียบกันไปอีกพักใหญ่ หนุ่มน้อยในชุดนักศึกษาก็เอ่ยถามขึ้นมา
“คุณชายจะว่าละลาบละล้วงไหมครับ ถ้าผมอยากถามเรื่องส่วนตัวคุณชายบ้าง” นทีหน้าแดง ตามองออกถนน ก็เห็นว่าออกมาไกลจากตัวเมืองและแฟลตของปุยฝ้ายแล้ว แต่กำลังมุ่งหน้าไปทางชายหาด ภาสกรคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ
“ถามมาซี ถ้าตอบได้ผมจะตอบ”
นทีก้มหน้า พูดเสียงเบา ราวกับไม่อยากให้คำพูดผ่านออกมาจากปากมากเกินไป “ข่าวที่ว่า คุณชายเป็นแฟนกับ ดาราที่ชื่อ ฟ้า ทิฑัมพรน่ะ จริงหรือเปล่าครับ”
ภาสกรหัวเราะออกมาเสียงดังขณะเลี้ยวรถเข้าซอยเล็กๆ ที่นำไปสู่บ้านหลังขนาดย่อม อยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยมีบ้านคนอื่นอยู่ หรือแม้แต่โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ พอภาสกรขับรถเข้าใกล้ๆประตูรั้วมันก็เปิดออกอย่างอัตโนมัติ ชายหนุ่มเคลื่อนรถเข้าจอดในโรงรถข้างๆรถยนต์สีขาวเงินที่จอดอยู่แล้ว แล้วดับเครื่องยนต์
“ที่นี่ที่ไหนครับ”
“บ้านผมเอง ไม่มีใครอยู่ ทุกคนกลับกรุงเทพไปแล้ว คุณเข้ามาก่อนซี” ชายหนุ่มว่าอย่างไม่คิดเล็กคิดน้อย ไขกุญแจเปิดเข้าบ้านจากโรงรถ ไม่ได้เข้าทางประตูใหญ่หน้าบ้าน เพราะจะดูเอิกเกริก ไปใหญ่ กระนั้น นทีก็ยังไม่ยอมเดินตามชายหนุ่มเข้าไป
“คุณชายครับ ผมว่าอย่างนี้คงไม่เหมาะ ผมคงไม่เข้าไปดีกว่าเดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า จะน่าเกลียดนะครับ” นทีพูดอย่างอายๆ คาดหวังให้ภาสกรคิดได้และเข้าใจ “ผมรบกวนคุณชายไปส่งผมที่หน้าปากซอยให้ผมเรียกแท็กซี่กลับห้องดีกว่า”
“น่าเกลียดยังไงล่ะ ผมจะพาเพื่อนมาบ้านไม่ได้เลยหรือ”
คุณชายคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนซะหน่อย
“ไม่รู้ละ ถ้าคุณไม่เข้ามาผมจะถือว่าคุณรังเกียจผม ผมจะยอมขับรถไปส่งคุณที่แฟลตก็ได้ แต่ขอให้คุณรู้ไว้ว่า ผมเพียงต้องการหาที่นั่งคุยกับคุณ ในเมื่อคุณไม่อยากนั่งตามที่สาธารณะ ผมก็พาคุณมาที่ส่วนตัวของผมก็เท่านั้นเอง ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน คุณกับผมก็ผู้ชายเหมือนกัน”
นทีหน้าแดงหนักกว่าเก่า แต่ก็ไม่ได้พูดตอบอะไร
“ก็ได้ถ้าอย่างนั้น ผมจะขับรถไปส่งคุณก็แล้วกัน ถ้าคุณรังเกียจละก็”
“ไม่ได้รังเกียจซะหน่อย” นทีตอบเสียงเบา อย่างเขินอาย “ถ้าคุณไม่กลัวคนอื่นเขานินทา ก็ตามใจคุณ”
“ไม่กลัวเลยครับผม แถวนี้ไม่มีใครเลย คุณก็เห็นมีบ้านผมบ้านเดียว บ้านอื่นเป็นของญาติๆทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่ด้วย เข้ามาเถอะ”
นทีจึงเดินเข้าไปในบ้านของคุณชายหนุ่ม พอคุณชายปิดประตู นทีก็ใจเต้นแรง จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา คุณชายคิดอะไรกันแน่.... ไม่ซี คุณชายไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ต่อให้คุณชายคิดอะไรกับเขา นทีก็เชื่อว่าคุณชายมีเกียรติพอ และก็คงให้เกียรติเขาด้วย.. คงไม่ทำอะไรเขาหรอกนะ นทีเดินตามชายหนุ่มไปยังห้องนั่งเล่น
ภาสกรไม่ได้บอกให้นทีนั่ง หนุ่มน้อยจึงได้แต่ยืนพิงตู้หนังสือ สายตาเหลือบไปเห็นภาพเด็กน้อยคนหนึ่งในกรอบรูป ยืนยิ้มแฉ่งให้คนที่มองอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นรูปของภาสกรในยามเด็ก ชายหนุ่มใส่ชุดสูทเรียบร้อย ราวกับตามท่านพ่อ และหม่อมแม่ไปออกงานสังคม นทีเห็นภาพนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ มัวแต่ยิ้มให้รูป ไม่ทันได้เห็นว่า ชายหนุ่มที่เคยเป็นเด็กน้อยในรูป กำลังรูดม่านเปิดออก เผยให้เห็นประตูเลื่อนบานกระจก เปิดออกไป เป็นนอกชาน กว้างขวาง มองเห็นทะเลได้ จากข้างในบ้าน
“นที ออกมานั่งข้างนอกซี”
หนุ่มน้อยได้ยินภาสกรเรียกก็เงยหน้าจากรูปขึ้นมองชายหนุ่ม ภาพเบื้องหลังของเขา คือทะเลสีเข้มที่ถูกย้อมด้วยความมืด ซัดสาดเข้าหาฝั่งอย่างสงบเงียบในคืนนี้ ด้วยความที่ลมไม่แรงนัก
นทีเดินออกไปยังนอกชานที่ปูพื้นไม้ไว้อย่างสวยงาม หนุ่มน้อยนั่งลงที่ม้านั่ง มันไม่ได้หันหน้าออกไม่ยังทะเล แต่หันข้างให้ ดังนั้น เมื่อนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นนทีจึงเห็นภาพของหาดทราย ทอดยาวออกไป ที่อยู่ไกลลิบนั้นคือเมืองพัทยาที่เต็มไปด้วยแสงสี ด้านซ้ายของนทีเป็นทะลีสีดำหากแต่สวยงามเป็นประกายยั่วล้อ กับแสงจันทร์เต็มดวง
“สวยมากครับคุณชาย”
ภาสกรยิ้มให้ เขาไม่ได้นั่งข้างๆหนุ่มน้อย หากแต่ยืนอยู่ใกล้ๆประตูกระจก ยืนนิ่งมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป คิดถึงความฝันที่เขาเห็นคืนก่อนที่นทีจะฝื้นขึ้นมา เมื่อเรียกสติของตัวเองกลับมาได้แล้ว ภาสกรก็หันไปถามนที
“กาแฟไหมครับ หรือน้ำชา หรือว่าน้ำผลไม้”
“กาแฟก็แล้วกันครับ” จบประโยคชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ทิ้งให้หนุ่มน้อย นั่งมองทะเลสีดำสนิทอยู่คนเดียว
นานเป็นเดือนแล้ว ที่เขาไม่ได้เห็นทะเล ครั้งสุดท้ายคือคืนก่อนที่เขาจะถูกรถชน นทีมองเส้นขอบฟ้าด้วยความเศร้าใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น แต่ก็ส่ายหัวแรงๆ สลัดความคิดนั้นออกไป ในเมื่อเวลานี้ นทีกำลังมีความสุข ก็อยากซึมซับความสุขนั้น ให้อยู่กับเขาไปชั่วระยะหนึ่ง... ทั้งๆที่อยากพูดว่า ซึมซับความสุขนั้นตลอดไป แต่หนุ่มน้อยก็รู้ดีว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเขาได้ “ตลอดไป” พ่อ... แม่... บุคคลที่เขารักมากที่สุดทั้งสองคนได้จากไปแล้ว คนรักของเขาแต่ละคนก็ไม่เคยกลับมาให้เขาได้เห็น หรือพูดคุยกันอีก ไม่มีใครอยู่กับเขาได้ตลอดไป
ภาสกรก็จะเป็นหนึ่งในนั้น
ไม่นาน หากคุณชายล่วงรู้ความจริงที่อยู่ในใจของเขา ชายหนุ่มจะมองหน้าเขาได้ไหม จะบอกเขาว่าจะเป็นอีกคนที่คอยดูแลเขาได้ไหม จะบอกเขาว่า ภาสกรเองก็รักเขาเหมือนกัน ได้ไหม หรือจะจากไป แล้วความสุขก็จะลาจากเขาไปพร้อมกันในที่สุด
“ทิฆัมพรกับผมไม่ได้เป็นแฟนกัน” ภาสกรว่า ถือถ้วยกาแฟมาสองถ้วย ถ้วยหนึ่งยื่นให้นที อีกถ้วยเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลสำหรับตัวเขาเอง ภาสกรหย่อนก้นนั่งลงข้างๆนที พอหนุ่มน้อยกล่าวคำขอบคุณ ภาสกรก็เล่าต่อ “หม่อมแม่ของผม หมายมั่นจะให้ผมแต่งงานกับทิฆัมพร แต่ก็ไม่เคยพูดอะไรให้ผมรู้ ผมเองเป็นคนที่ได้ยินจากคนอื่นมาด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทิฆัมพรก็เป็นเพียงเพื่อนที่รู้จักมาตั้งแต่เด็กเท่านั้น ผมไม่คิดจะแต่งงาน หรือแม้แต่เป็นแฟนกับเขา ข่าวที่ออกมาตามหน้าบันเทิง ก็เพราะทิฆัมพรใกล้ชิดกับผมเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น”
นที จิบกาแฟรสเยี่ยมฝีมือคุณชาย เข้าไป ก่อนจะพยักหน้าให้คุณชายรู้ว่า เขาฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ชายหนุ่มอีกคนจึงเป็นคนถามเขาเอง
“คุณอยากรู้ทำไมหรือ”
นทีเงยหน้าจากถ้วยกาแฟ สบตาเข้ากับชายหนุ่ม จะหลบตาก็ไม่กล้าเดี๋ยวคุณชายจะยิ่งเห็นพิรุธหนักเข้า ตราบใดที่นทียังไม่แน่ใจว่าคุณชาย คิดแบบเดียวกับเขา เขาก็ไม่อยากทำอะไรให้ชัดเจนนัก... อย่างน้อย เขาก็ได้รู้แล้วว่า คุณชายกับทิฆัมพร ดารานางร้ายคนนั้น ไม่ได้มีอะไรกันเลย
“ก็ ผมเห็นเพื่อนๆ ที่ม.คุยกันผมก็อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า ก็เท่านั้นเองล่ะครับ” หนุ่มน้อยตอบแบบขอไปที โชคดีที่ภาสกรไม่ได้ติดใจอะไร จึงไม่ได้ถามต่อ
“สวยไหม ชอบหรือเปล่า” คุณชายเอ่ยถาม
“ชอบซีครับ ชอบมากบ้านสวย ทะเลก็สวย เงียบอีกต่างหาก ไม่น่าเชื่อว่าพัทยาจะมีที่แบบนี้” หนุ่มน้อย จ้องท้องฟ้าไกล ไม่ได้มองหน้าผู้ที่เขากำลังสนทนาด้วย “ขาดอย่างเดียว ถ้ามีกีตาร์ละก็ คงเหมือนในหนัง ฉากพระเอกอกหักนั่งดีดกีตาร์ให้ทะเลฟัง”
นทีหันกลับมาเจอคุณชายยิ้มที่มุมปาก ดวงตาเป็นประกายเหมือนนึกอะไรได้ “เอ้า ถ้าอยากให้เหมือน งั้นผมก็จะทำให้เหมือนแล้วกัน”
คุณชายพรวดพราดลุกออกไป ไม่ทันที่นทีจะได้พูดอะไร กลับมาอีกทีก็มีกีตาร์อยู่ในมือเสียแล้ว ภาสกรยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวยอยู่ในปากหนาสีชมพูเข้ม
“มาแล้ว แต่ขออย่าง อย่าเอาฉากพระเอกอกหัก เอาฉากพระเอก มาบ้านเพื่อนพระเอก แล้วโชว์ฝีมือให้เพื่อนพระเอกฟังก็แล้วกัน”
นทีหัวเราะเบาๆ
“เสียอย่างเดียว แขนซ้ายผมหักอยู่ คงจับคอร์ดไม่ได้”
“ถ้างั้น ผมจับคอร์ดให้ คุณดีดละกัน”
ภาสกร กระเถิบตัวเข้าใกล้ชายหนุ่ม ทำให้ลำตัวแนบชิดกันอย่างไม่ตั้งใจ คุณชายคงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่นทีสิใจเต้นจนกลัวว่าคนที่อยู่ข้างๆจะพลอยได้ยินมันด้วย ภาสกรนับหนึ่งถึงสามก็จับคอร์ดกีตาร์ ให้นทีใช้มือขวาที่เกาสายกีตาร์เบาๆ เสียงร้องเพลงของคุณชายทุ้มนิดๆ เมื่อร้องเพลงกลับฟังดูแหบห้าว ไม่เหมือนยามพูดหากแต่เมื่อฟังเอาเพลินๆ นทีรู้สึกว่าเสียงของคุณชายช่างเพราะจับใจเหลือเกิน
หนุ่มน้อยมิได้สนใจเนื้อร้องในเมื่อมันเป็นภาษาอังกฤษ เขาฟังไม่ค่อยออกนักหากไม่ตั้งใจฟัง แต่เมื่อมาถึงท่อนสุดท้ายไม่รู้เพราะอะไร นทีกลับฟังออกทุกคำ เข้าใจได้โดยไม่ต้องตั้งใจฟัง
There is only one wish on my mind,
when this day is through; I hope that I will find
that tomorrow will be just the same for you and me.
All I need will be mine if you are here
มีสิ่งเดียวที่ใจฉันนั้นปรารถนา
เมื่อเวลาหมดลงแล้วในวันนี้ ให้ฉันได้พบว่า
วันต่อไปก็ยังเหมือนเดิมสำหรับเธอและฉัน
ฉันจะได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการหากเพียงมีเธออยู่ข้างกัน... “เพราะมากครับ คุณชาย” จะปรบมือให้ก็ทำไม่ได้นทีจึงได้แต่เอ่ยปากชม “แต่ว่า ผมไม่ค่อยรู้จักหรอกครับเพลงฝรั่ง”
“อ้าวแล้วกัน เพลงนี้ดังออก” ภาสกรหัวเราะ “ชื่อเพลง Top of the world ดังสมัย ท่านพ่อ ตอนท่านเสด็จไปเรียนอยู่ที่ อเมริกา ช่วงนั้นเพลงของ The Carpenters นี่ดังมากๆ ใครไม่รู้จักถือว่าเชย เสียดายผมเกิดช้าไป 7-8 ปี ถ้าเป็นเพลง Yesterday Once more หรือ They long to be close to you คุณต้องรู้จักแน่ๆ”
“every cha la la la every whoa whoa อันนี้พอรู้จักครับ”
ภาสกรหัวเราะ เมื่อได้ยินเสียงใสๆ ของนทีร้องเพลง
“คุณร้องเพลงเพราะ เสียงใสอย่างกับเด็ก ผมนี่ ร้องเพลงไม่ว่าเพลงไหน ต้องเสียงแหบไม่รู้ทำไม”
“คุณชายร้องเพลงเพราะออก”
“คุณร้องให้ผมฟังบ้างซี” ภาสกรกระเซ้า แหย่
“ไม่เอาหรอกครับ อายคุณชายจะแย่ ผมไม่ได้ร้องเพลงเพราะขนาดนั้น” นทีหน้าแดง รีบปฏิเสธเสียงดัง
“ขี้โกงนี่ ผมร้องให้คุณฟังแล้ว คุณก็ต้องร้องให้ผมฟังบ้าง แลกกัน”
มาไม้นี้ นทีไม่รู้จะทำอย่างไร เลยต้องร้องเพลงให้ภาสกรฟังอย่างอายๆ คุณชายหนุ่มดีดกีตาร์ให้ ปล่อยให้หนุ่มน้อยร้องเพลงไปอย่างเดียว ไม่รู้ทำไม แต่ภาสกรมีความสุขที่สุด เมื่อได้ยินเสียงของหนุ่มน้อย ร้องเพลง ผ่านเข้าหูของเขา คนดีดกีต้าร์มองหน้าหนุ่มน้อยข้างๆไป ก็ยิ้มไปตลอดเพลง ไม่ได้ฟังว่าเป็นเพลงอะไร หรือ มีความหมายอย่างไรด้วยซ้ำ แค่ได้เห็นหน้าของนที และได้ยินเสียงเขา ก็มีความสุขแล้ว
เหมือนที่เขาร้องให้นทีฟังเมื่อครู่นั่นแหละ เขามีความสุขที่สุดเมื่อนทีอยู่ใกล้ และเขาหวังเพียงอย่างเดียวจริงๆว่า วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป เขาจะได้มีความสุขแบบนี้อีกเรื่อยๆ
“คุณชายยิ้มทำไม ผมบอกแล้วว่าเสียงผมมันไม่เพราะ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมชอบของผมนี่นา” คุณชายว่า “เสียงคุณเพราะออกอย่างนี้ สาวๆคงติดกันตรึม”
“ไม่เห็นมีมาติดเลย” นทีบ่นงึมงำ แต่ภาสกรก็ไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งชายหนุ่มพูดประโยคต่อมา “คุณชายมากกว่า ร้องเพลงก็เก่ง หน้าตาก็ดี นิสัยก็ดีแบบนี้ คงมีผู้หญิงมาให้เลือกเยอะแยะ”
“ก็มีให้เลือกนะ แต่ไม่เลือก” ภาสกรว่า “จริงๆผมมันเป็นคนน่าเบื่อ คุณเป็นคนแรกที่ชม คนอื่นๆเห็นหน้า และรู้จักว่าผมเป็นใครก็ชอบ พอผ่านๆไปก็ไม่เห็นจะสนใจผมจริงๆสักคน ผมคงน่าเบื่อเกินไป ไม่แพรวพราวอย่างใครเขา... อย่าว่าแต่แฟนเลย เพื่อนผมก็ไม่ค่อยมี”
“อะไรกัน ผมไม่เชื่อหรอกอย่างคุณชายเนี่ยนะไม่มีเพื่อน”
“ถ้าเพื่อนแบบคบกันหวังผลประโยชน์ หรือพูดจากันเพราะบทบาททางสังคมล่ะเยอะเลย นับไม่ไหวหรอก แต่เพื่อนสักคนที่จะไว้ใจ ไปไหนมาไหนด้วย คุยกันได้ทุกเรื่องอย่างถูกคอ ผมนับคนได้เลยว่าไม่กี่คน”
คุณชายเงียบไปพักหนึ่งราวกับพักหายใจ แล้วพูดต่อ
“ผมไปอยู่อังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบ จบมหาวิทยาลัยตอนยี่สิบต้นๆ ถึงกลับมาอยู่ที่ไทย แล้วก็กลับไปเรียนออกแบบอัญมณีต่ออีก ปีสองปี เพื่อนผมส่วนใหญ่อยู่ที่อังกฤษ พอกลับมาไทยก็ขาดการติดต่อไปบ้าง ไม่มีเวลาคุยกัน ด้วยความต่างของเวลาบ้าง ก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนคนไหนอีก
อยู่ไทยผมก็เอาแต่ทำงาน ช่วยท่านพ่อบริหารงานร้าน รชตานันต์ อัญมณี เพื่อนส่วนมากก็รู้จักผ่านท่านพ่อ เป็นลูกเจ้าลูกนาย คุยกันก็ต้องมีมารยาท วางตัวดี ห้ามพูดจาเล่นหัว คุยกับคนที่รู้จักผ่านงานก็ได้แต่คุยเรื่องงาน เพื่อนสนิทจริงๆของผม ผมบอกเลยว่า ไม่มี ผมไม่มีคนให้ไปทานข้าวด้วย ดูหนังด้วย หรือแม้แต่โทรหาเวลาดีใจ หรือเสียใจ คนที่ผมคุยได้ด้วยมากที่สุดก็ไม่ใช่ท่านพ่อ หรือหม่อมแม่แต่เป็นแม่นม ตลกไหมครับ ”
“คุณชาย” นทีมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสาร นึกคำจะปลอบเขาอยู่แต่ไม่ทันพูดอะไร ภาสกรก็เอื้อมมือมาแตะหลังเขาเบาๆสองสามที ไม่ต่างจากเพื่อนชายทั่วไปปฏิบัติต่อกัน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้นที รู้สึกหวั่นไหว ใจเต้นแรงจนต้องก้มหน้าด้วยความเขินอาย
“ไม่ต้องทำหน้าสงสารขนาดนั้น ตอนนี้ผมมีความสุขแล้ว… มีความสุขตั้งแต่มีคุณ” ภาสกรยิ้มให้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่า จิตใจของหนุ่มน้อยตรงหน้ากำลังปั่นป่วนราวกับมีพายุลูกน้อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจมากขนาดไหน
สองทุ่มครึ่ง ภาสกรก็ตัดสินใจไปส่งนทีที่แฟลต ทั้งคู่คุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม ไม่มีความอึดอัดใจ หรือความเงียบอย่างกระดาก เขินอายอีก จนลืมมองเวลาว่า มันล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว ภาสกรขึ้นรถเบนซ์สีขาวเงินอีกคันหนึ่งเพราะไม่อยากให้รถยนต์สีแดงสดเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนแถวแฟลตของปุยฝ้ายมากนัก
“บ้านคุณชายสวยจริงๆเสียดายไม่มีสี กับกระดานวาดรูป” นทีชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบนั้นลง แม้เป็นความเงียบแบบอุ่นใจ และมีความสุข ไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัด ทำอะไรไม่ถูกก็ตาม
“ไม่เอาแล้ว คุณจะวาดก็วาดวิวไปนะ ผมไม่เป็นแบบอีกแล้ว เข็ดไปจนตาย” ภาสกรรีบปฏิเสธแบบทีเล่นทีจริง ที่ท่าทางจะแฝง “ทีจริง” ไว้เยอะเหลือเกิน นทีไม่ว่าอะไรได้แต่นั่งหัวเราะ จนรถเลี้ยวเข้าในซอยแฟลตของปุยฝ้ายพอดี“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมไปส่งข้างบน”
“แน่ใจครับ มีลิฟต์ ผมไม่ต้องเดินเยอะ” เขาว่า แต่ก็ไม่อาจเปิดประตูลงไปได้จนแล้วจนรอด ด้วยคิดว่า ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลย “ขอบคุณ คุณชายมากครับ วันนี้ผมมีความสุขมาก ขอบคุณจริงๆ”
หนุ่มน้อยเปิดประตูทำท่าจะลงจากรถ พร้อมๆกับ ภาสกรที่เดินอ้อมมา เปิดประตูหลัง หยิบไม้ค้ำยื่นให้หนุ่มน้อยที่ลุกออกจากรถ แล้วยืนขาเดียว นิ่งอยู่พักหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ตอนนั้นเป็นนาทีที่เงียบสงบ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ลุ้นอยู่ในใจว่าใครจะพูดอะไรก่อน
แล้วก็เป็นภาสกรที่ทำลายความเงียบนั้นก่อน
“นที คุณมีความสุขผมก็ดีใจ... หลังจากที่ผมได้เล่าอะไรให้คุณฟังหลายอย่าง หลังจากรู้จักกันมาก็พักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะขอเป็น...”
นทีแทบกลั้นหายใจเพื่อฟังประโยคต่อมา
“เป็นเพื่อนกับคุณได้ไหม”
“เอ้อ...” หนุ่มน้อยอุทานออกมา เพราะคิดไปไกลแล้วว่าภาสกรจะพูดว่าอะไร ไกลจากความจริงไปมากพอควรทีเดียว “ก็ เป็นซีครับ”
ชายหนุ่มยิ้มให้กับหนุ่มน้อยตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยตามต่อไป “แล้ว คุณไม่คิดว่าเราไม่ควรจะเจอกันแล้วใช่ไหม”
นทีพยักหน้าอายๆ
“แล้วถ้าผมจะโทรหาคุณบ้าง มาหาคุณบ้าง ไปรับคุณที่มหาวิทยาลัย แล้วไปทานข้าว ไปเที่ยวกันบ้างได้ไหม” คุณชายถามต่อ
“ไม่ได้ครับ”
“อ้าว” คนฟังหน้าเสีย เมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากหนุ่มน้อยตรงหน้า
“ทุกข้อได้หมดยกเว้นข้อสุดท้าย ถ้าคุณชายเอารถสีแดง สะดุดตาคันนั้นไปรับผมที่มหาวิทยาลัยอีก คนในคณะก็จะแตกตื่นอย่างวันนี้ แล้วเขาก็จะเอาเรื่องคุณชายไปพูดกันให้สนุกปากอีก ฉะนั้นผมไม่อนุญาต”
“โธ่” คุณชายหัวเราะลงลูกคอเบาๆ “งั้นถ้าผมเอารถคันนี้ ไปรับคุณก็คงจะเต็มใจใช่ไหมครับ”
“ก็... อย่าจอดหน้าตึกก็แล้วกันมันจะขวางทางใครหลายๆคน” นทีก้มหน้าต่ำด้วยความอาย ไม่อยากเชื่อว่า คำพูดของตัวเอง มันเท่ากับบอกคุณชายว่า ผมอยากให้คุณชายมารับผม อย่างไรอย่างนั้น
ภาสกรหัวเราะเสียงดัง เอื้อมมือมาขยี้ผมหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดูอย่างเดิม รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ต่างคน ต่างถ่ายทอดให้กัน ทั้งคู่ยืนยิ้มอยู่นานก่อนที่จะกล่าวราตรีสวัสดิ์ และแยกย้ายกันไป ภาสกรยังนั่งมองจากในรถจนแน่ใจว่านทีขึ้นห้องไปแน่แล้วจึงขับรถออกจากบริเวณนั้นด้วยความสุขล้นเต็มหัวใจ อย่างอธิบายเหตุผลไม่ได้ ฮัม เพลงที่เพิ่งร้องให้หนุ่มน้อยฟัง ตลอดทางกลับบ้าน
Everything I want the world to be
is now coming true especially for me.
And the reason is clear, it’s because you are here.
You're the nearest thing to heaven that I’ve seen ***********************************************************************
สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องขอรายงานตัวก่อนเลยว่า “ผมกลับมาแล้วคร้าบ” เดินทางปลอดภัยหายห่วง แล้วก็สนุกมากๆเลยด้วยคงเพราะมีเพื่อนๆอวยพรให้แน่เลย ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่ไม่หายไปไหนนะครับผม
สำหรับหลายๆคนที่สงสัยเรื่องอดิสรณ์ ตอนนี้เขาฝากผมมาบอกว่าอยู่ทางใต้ทำธุรกิจอยู่ครับ แต่ไม่ต้องกลัวเพราะเขาส่งลูกน้องไปตามหานทีเสียให้ทั่วกรุงเทพตามที่ถูกปุยฝ้ายหลอกไปเรียบร้อยแล้ว หารู้ไม่ว่านทียังอยู่พัทยาอยู่เลย 555+ เรื่องความชั่วของอดิสรณ์อย่าเพิ่งสนใจเลยครับ เอาใจช่วยให้ภาสกรรู้ใจตัวเองก่อนดีกว่า เพราะคุณชายน่ะ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... ใจตัวเองแท้ๆดูไม่ออกซะงั้น 555+
จากบทที่แล้วคงเห็นว่า นทีของเราเห็นเรียบร้อยๆ แต่บทจะโกรธก็โกรธจริงจังมากเลยนะครับ เหวี่ยงไม่แคร์ใครเลย 555+
สำหรับตอนนี้หลายคนก็คงเคลิ้มไม่น้อยกับบรรยากาศที่วังพัทยาของชายภาส แนะนำให้หาเพลงมาเปิดฟังคลอไปด้วยนะครับ จะรู้สึกเหมือนมีผี้สื้อมาบินอยุ่รอบๆทีเดียว
ปล.
ผมโพสต์รายละเอียดหนังสือ และระเบียบการโอนเงินที กระทู้ปางบรรพ์ แล้วนะครับ อย่าลืมตามไปดูนะคร้าบ
@คุณzeen11 คุณ zeen11 ใช่คนที่โพสต์คลิป พี-ก้อง ในยูทูปรึเปล่าครับ ชื่อ login เหมือนกันเลย 555+
@คุณpatz สาเหตุรถชนนี่ ผมแต่งไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์คุ้นๆนั้นอีกนาครับ อิอิ