11
[/B]
ทิฆัมพรอารมณ์เสียมาก แม้อีริค จะพยายามเกลี้ยกล่อมชักจูงหล่อนว่าจะพาไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ พาไปเลี้ยงเหล้าตามผับตามบาร์อย่างไร ทิฆัมพรก็ไม่อาจปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ หลังจากโยนตัวนั่งลงบนเบาะข้างคนขับแล้วหญิงสาวก็แผดเสียงแหลมใส่ชายหนุ่มที่นั่งไม่รู้อิโหน่ อิเหน่อะไรข้างๆ
“หน็อย นังดลนภานั่นมันคิดว่ามันเป็นใคร ทำคอแข็งเชิดหน้า ถามคำตอบคำไม่เล่าอะไรให้ฟังบ้างเลย”
“แหม ก็เขาจะไปพูดอะไรได้ล่ะครับ เขาก็เป็นแค่ลูกจ้างนี่นา ขืนพูดอะไรเกินกว่าที่ควรจะพูด คุณชายก็คงไม่เก็บเขาไว้ในบริษัทอีกหรอกครับ”
อีริคตอบแบบทีเล่นทีจริงทำเสียงหัวเราะไปอย่างนั้นให้หญิงสาวอารมณ์ดีขึ้น กระนั้นหล่อนก็ยังไม่เลิกทำหน้างอบ่นอะไรไปตลอดทาง หลังจากเล่าเรื่องเหตุการณ์ในร้านอย่างละเอียดราวกับเล่นละครเดี่ยวอยู่อย่างไรอย่างนั้น จนชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าเขาเองกำลังนั่งอยู่ในร้านนั้นด้วย
“มาทำเป็นบอกว่าดูคุณชายเธอจะชอบคุณหญิงมากเลยนะคะเนี่ย เชอะพี่ชายนะหรือจะชอบยัยคุณหญิงนั่น ฟ้าเคยเจอตามงานสังคม ทื่อเป็นสากกระเบือ พูดอะไรเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ ทำตัวเป็นสาวหวานเลี่ยนเสียไม่มี”
“แต่คุณหญิงอะไรนั่นก็สวยไม่ใช่หรือจ๊ะ เท่าที่ฟ้าเล่า”
ทิฆัมพรมองชายหนุ่มตาขวาง
“ก็สวยน่ะซีถึงกลัว เกิดพี่ชายไปชอบแม่นั่นขึ้นมาถึงขั้นตบแต่งกัน ฉันก็ซวยซี” เสียงแหลมยังดังไปเรื่อยไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ถ้าเป็นภาสกร ชายหนุ่มคงทำหน้างอ ไม่โต้ตอบ ไม่แสดงความคิดเห็น หรืออย่างมากหน่อยก็พูดตัดบททำนองว่า
‘พี่ปวดหัวเธอหยุดพูดหน่อยซี ทิฆัมพร’
แต่นี่เป็นอีริค หนึ่งในบรรดาหนุ่มๆ ที่มาติดพันหล่อน เขาฉลาดพอที่จะทำเป็น ‘นิ่งเสียตำลึงทอง’ อย่างที่รู้ดีว่าทิฆัมพรชอบ เวลาหล่อนจะบ่นหรือเล่าอะไร หากทำหน้าตาสนใจ พูดเข้าข้างบ้างตามโอกาสแล้ว คนอย่างทิฆัมพรย่อมสงบลงได้มากกว่า ไปพูดกล่อมให้หล่อนสงบ ทีนี้สักยี่สิบนาทีหรือน้อยกว่านั้นหญิงสาวก็จะเงียบและเปลี่ยนเรื่องไปเอง
แต่คราวนี้ต่างออกไปตรงที่ชายหนุ่มไปสะดุดหูคำว่า ฉันก็ซวยละซี เข้า ทิฆัมพรจะซวยเรื่องอะไรในเมื่อหล่อนเองก็มิได้สนใจคุณชายอะไรอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่เกาะแกะกันมา คุณชายทำได้อย่างมากก็ซื้อโน่น ซื้อนี่ให้หล่อน จะ ‘สนอง’ สิ่งที่หล่อนต้องการได้หรือก็หาไม่ ตาคุณชายไก่อ่อนนั่น ต่อให้หล่อนยั่วแล้วยั่วอีกอย่างไร ก็หาทางหลีกเลี่ยงไปได้ทุกครั้ง ก็มีบรรดานายตำรวจ นายทหาร หรือ นายแบบ แบบอีริค หรือหนุ่มอื่นๆที่หล่อนเคยลงไป ‘คั่ว’ ด้วยเท่านั้นที่จะ ‘สนอง’ หล่อน ‘แบบนันสต็อป’ ได้ แต่ทิฆัมพรก็ฉลาดพอที่จะ ป้องกัน ไม่ให้อะไรเกิดขึ้นมากไปกว่า มีเพื่อนร่วมเตียง เช้าแล้วก็แยกกันไป จะให้มีมารหัวขนมาให้หล่อนกับคุณชายแตกแยกกันไม่ได้อยู่แล้ว
อีริคเข้าใจตามประสาเขาว่าทิฆัมพร คงคบกับคุณชายเพื่อหวังเงินเท่านั้น ส่วนตัวจริงก็คงเป็นเขาที่อยู่ในข้อยกเว้นของทฤษฎี เช้าแล้วก็แยกกันไป ของทิฆัมพร เพราะหญิงสาวกับเขาก็ยังมาเจอกันได้บ่อยๆแม้จะ เช้าด้วยกันมากี่เช้าแล้วก็ตาม
แล้วทิฆัมพรจะมาซวยถ้าคุณชายแต่งกับหญิงอื่นได้อย่างไร
เขาถามหล่อนไปอย่างที่เขาถามตัวเอง คราวนี้ทิฆัมพรไม่มีคำตอบให้อย่างเคยมีแต่ เสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจในลำคอเท่านั้น นายแบบเลือดละตินจึงต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“หรือฟ้าคบผมฆ่าเวลา จริงๆแล้ว ฟ้ารักไอ้คุณชายอะไรนั่นใช่ไหมครับ ผมก็แค่ทางผ่านใช่ไหม”
“จะบ้าหรือคะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก หล่อนชอบเวลามีคนพูดเพราะๆ เอาใจหล่อนให้หล่อนเห็นว่าตัวเองมีค่า เท่านี้ทิฆัมพรก็สงบลงได้ อีริคจี้หล่อนเข้าถูกจุดพอดีแบบนี้อีกแล้ว เพราะอย่างนั้น หล่อนจึงโอนอ่อนให้นายแบบหนุ่มคนนี้ เหนือ กิ๊ก คนอื่นๆมากเป็นพิเศษเสมอ “ฟ้าน่ะก็ทำตามคุณพ่อ คุณแม่ ไม่ให้มีเรื่องบาดหมางกันกับบ้านคุณชาย จะให้ฟ้ารักหรือไม่มีทางเสียหรอก คนอย่างนั้น จูบยังจูบไม่เป็นเลย จะทำอย่างอื่นไหวหรือคะ”
หล่อนพูดอย่างนี้เสมอ ให้บรรดากิ๊กๆ ของหล่อนฟัง เนื่องจากยังแค้นไม่หาย เกี่ยวกับเรื่องในคืนที่หล่อนพยายามโน้มน้าวให้ชายหนุ่มติดกับ รวบหัวรวบหางเขาเร่งฤกษ์แต่งงานให้เร็วขึ้น แต่จูบกันได้เพียงปากประกบปาก ภาสกร ก็ถอนริมฝีปากขึ้นไม่ต่างจากโดนไฟฟ้าช็อต ‘อย่าทำอย่างนี้เลยนะ ทิฆัมพร’
ดึงตัวเองกลับมาในปัจจุบัน หญิงสาวก็ได้ยินอีริคพูดอะไรสักอย่างข้างหู ทำนองว่ารอให้ถึงโรงแรมก่อน จะทำอย่างอื่นสนองเสียให้ลืมคุณชายไปเลย เท่านั้นเองทิฆัมพรก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“อีริค พาฟ้าไปส่งที่...”
บ้านพักตากอากาศ ของคุณชาย หรือจริงๆแล้วก็คือวังของท่านชายเรืองเดชที่พัทยานั้น ขนาดเล็กกว่าวังผกากรองพอสมควร เพราะไม่มีบริเวณบ้านกว้างขวางอย่างวังผกากรอง เป็นเพียงบ้านขนาดสี่ห้องนอน สามห้องน้ำ ธรรมดาๆ เท่านั้น เพราะเป็นเพียงตำหนักที่ท่านชายเรืองเดช ทรงซื้อเอาไว้เพื่อมาพักผ่อนหย่อนใจ นานๆเสด็จมาที ไม่ได้ใช้เป็นที่ประทับถาวร แบบวังผกากรองที่ต้องกว้างขวาง ตกแต่งสวยงามหรูหรา สมกับเป็นวังของท่านชาย บ้านหลังนี้อยู่ติดทะเล เป็นหาดส่วนตัวที่ไม่มีนักท่องเที่ยว เพราะแถวนี้ไม่มีสถานบันเทิงนัก มีแต่หาดทรายขาว กับทะเลเท่านั้น หน้าบ้านหันเข้าถนน หลังบ้านเป็นลาน ปูด้วยไม้เป็นซี่ๆ มีบริเวณกว้างพอๆกับห้องนั่งเล่นมองไปเห็นน้ำทะเลสีครามอยู่ไม่ไกล เดินลงไปก็ถึงแล้ว
ที่ว่าเดินลงไปเพราะตัวบ้านยกขึ้นจากทะเล เวลาน้ำขึ้น น้ำจะอยู่เกือบชิดกับบริเวณบ้าน ถ้าน้ำลงในตอนเช้า ก็จะเห็นหาดทรายค่อนข้างกว้าง อยู่ติดกัน เดินลงบันไดหินจากตัวบ้านลงไปไม่กี่ขั้นก็ถึงชายหาด ขาวสะอาดแล้ว
ห้องนอนในบ้านนี้ ชั้นบนมี 3 ห้อง ชั้นล่างมีห้องเดียว เป็นห้องพักของแม่นมของเขา และบรรดาสาวใช้ในกรณีที่ติดตามมาดูแลเวลาท่านชายเสด็จมาประทับที่นี่ ชั้นบนมีห้องบรรทมของท่านชายห้องหนึ่ง ห้องของภาสกรห้องหนึ่ง และห้องพักแขกห้องหนึ่ง ห้องนอนของภาสกรอยู่ฝั่งที่มองไม่เห็นทะเล ด้วยความจำเป็นต้องยกห้องฝั่งติดทะเลให้ท่านพ่อของเขา และเผื่อไว้ให้แขกสำคัญนอนชมทะเลด้วยห้องหนึ่ง แต่วันไหนที่ไม่มีแขก ภาสกรจะไปนอนห้องฝั่งนั้นก็ได้
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องก็พบว่า ห้องยังอยู่ในสภาพเรียบร้อยดี เหมือนก่อนที่เขาจะไปนอนค้างที่โรงพยาบาล ภาสกร ไม่เสียเวลามากนัก เพียงหยิบของที่เขาต้องการ เป็นของที่เขาซื้อมาไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้ใช้เพราะยังไม่มีอารมณ์ นี่ละ ของที่เขาจะเซอร์ไพรส์ นที ชายหนุ่มต้องเดินสองรอบ เพราะของที่ว่านั้น บางชิ้นใหญ่ไป ไม่สามารถขนรวมกันไปทีเดียวได้
ชายหนุ่มดื่มน้ำแก้วเดียวก็ปิดบ้าน ขึ้นรถขับกลับไปหานที
ภาสกรออกจากบ้านอย่างรีบร้อน เขาต้องกลับไปถึงโรงพยาบาลให้ทันก่อนเที่ยง เพราะไม่อย่างนั้น แดดจะร้อนเกินไปของที่เขาจะเอาไปให้นี้ก็จะหมดความหมายไปเลย ชายหนุ่มจึงไม่ทันได้สังเกต รถยนต์ที่ไม่คุ้นตา จอดห่างจากบ้านของเขา เยื้องไปทางปากซอยเล็กน้อย พอเห็นชายหนุ่มขับรถผ่านไปแล้ว รถคันนั้นก็ขับตามหลังไป โดยที่ ภาสกรมิได้รู้ตัวเลย
เพราะชายหนุ่มกำลังคิดถึงแต่เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ห่างกันไม่กี่สิบกิโลเมตรโดยที่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้จนแล้วจนรอดว่า คิดถึงอะไรในตัวเด็กคนนั้นกันแน่
“คุณจะพาผมไปไหนครับ” เขาถามเป็นครั้งที่สี่ หลังจากภาสกรเข็นเก้าอี้เข็นเข้ามาในลิฟต์แล้ว
พอกลับมาถึงโรงแรม ภาสกรก็ประสานงานกับพยาบาลที่เขารู้จักและเตรียมสถานที่เอาไว้แล้วอย่างดี เขาเรียกเก้าอี้เข็นสำหรับผู้ป่วยขึ้นมาที่ห้องจัดแจงกึ่งอุ้มกึ่งประคองนทีขึ้นนั่งเก้าอี้เข็น ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มถามขึ้นครั้งแรกว่าจะพาไปไหน ภาสกรพบว่า ชายหนุ่มตัวเบากว่าที่คิด เมื่อเขาได้ประคองนทีขึ้นเก้าอี้เข็น พอเขากล้าที่จะจับตัวเด็กหนุ่มเต็มที่โดยไม่เคอะเขิน นทีก็ดูเหมือนแทบจะไม่เบี่ยงตัวหนีอย่างเกรงใจอีกต่อไป
พอภาสกรบอกพยาบาลว่าเขาจะเข็นเก้าอี้ไปเอง นทีก็ถามขึ้นมาอีกอย่างคนขี้สงสัยว่า ‘ตกลงคุณจะพาผมไปไหนเนี่ย’ ภาสกรไม่ตอบได้แต่ยิ้มให้เท่านั้น นทีก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ภาสกรจึงต้องหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ให้คำตอบเขาเพียง ‘ผมไม่พาคุณไปฆ่าไปแกงหรอกน่า’ กระทั่งชายหนุ่มพาเขามายืนรอหน้าลิฟต์ เขาก็ถามขึ้นเป็นครั้งที่สาม ภาสกรก็ไม่ตอบอีกตามเคย
จนกระทั่งอยู่ในลิฟต์กันสองคนแล้ว เขาจึงตอบคำถามครั้งที่สี่ของนทีว่า “ถ้าบอก จะเรียกว่าเซอร์ไพรส์หรือ”
พอลิฟต์เปิดที่ชั้นที่ภาสกรต้องการแล้วเขาก็กระซิบบอกชายหนุ่มเบาๆ
“เอาล่ะจากตรงนี้คุณต้องหลับตาแล้ว”
นทีอยากจะถามสวนไปว่า “นี่คุณเล่นอะไรของคุณ” แต่ก็ไม่ได้ทำลงไป เขาไม่อยากชวนทะเลาะ นานๆทีจะมีคนมาทำดีกับเขา ตามใจเขาบ้าง นทีก็ไม่อยากจะปฏิเสธ จึงตัดสินใจทำตามอย่างว่าง่าย หลับตาลงให้ภาสกรพาเขาออกจากลิฟต์ตัวนั้น
ภาสกรออกจากลิฟต์ เลี้ยวขวา พานทีผ่านผู้คนมากมาย ที่ส่งเสียงจอแจ ทั้งเป็นภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ หลายชาติ หลายภาษา ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ผิวของเด็กหนุ่มลุกขึ้นเป็นตุ่ม แต่ไม่ทันไร เสียงจอแจเหล่านั้นก็หายไป ภาสกรเข็นเขาช้าลง อย่างระแวง ระวัง ไม่นานความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็หายไปด้วย กลายเป็นความอบอุ่นของอากาศภายนอก เท้าซ้ายของนที เรี่ยไปกับพื้นอย่างตั้งใจเพื่อให้รู้ว่า เขาออกมาข้างนอกแล้วจริงๆหรือ ก็พบว่า เท้าของเขากำลังสัมผัสกับยอดหญ้าอย่างแน่นอน
เขาออกมาข้างนอกแล้ว
ลมพัดมาตลอดเพราะเป็นเมืองชายฝั่ง หากอยู่ที่กรุงเทพ คงร้อนกว่านี้มาก ภาสกรคิดอย่างสบายใจ แล้วก็กระซิบให้เด็กหนุ่มลืมตาได้เสียที
นทีสำรวจสถานที่ก่อนสิ่งอื่นใด ตรงนั้นเป็นสวนหย่อมลอยฟ้าเล็กๆของโรงพยาบาล มีการปลูกต้นไม้ไว้สวยงาม ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่แต่งแต้มสีสัน ให้กับนทีที่ได้แต่มองเพดานขาวๆมาเป็นเวลานาน ที่นั่งพักมีอยู่ตามจุดต่างๆในสวนหย่อมนั้น ทางเดินทำไว้อย่างดี ทำให้ภาสกรพานทีไปดูจุดต่างๆ ได้อย่างถูกใจ สระน้ำเล็กๆ และน้ำพุ ทำให้นทีรู้สึกสบายใจ ทั้งๆที่มองไปไกลหน่อย เกือบสุดสายตาไปนิด ก็จะเห็นทะเลแล้ว นทีหันไปยิ้มให้กับภาสกร
“คุณภาสกร ขอบคุณมากนะครับ” เขายิ้มดวงตาใสเป็นประกายราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ “สวนสวยมาก ผมชอบมากครับ ขอบคุณจริงๆ ที่พามา”
ภาสกรไม่ตอบเพียงแต่ยิ้มให้เท่านั้น เขาเข็นเก้าอี้ พา นทีดูโน่นดูนี่สักพัก ก็เข็นรถไปทางศาลาขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้ชนิดต่างๆ และดอกไม้สวยประดับไว้ ตรงกลางศาลา นั้นเองมีกระดาษติดกับ ขาตั้งวางเอาไว้ นทีหันหน้ามามองภาสกร ราวกับต้องการย้ำความเข้าใจว่าเขาเข้าใจถูกตามที่ภาสกรต้องการหรือเปล่า
“ผมจำได้ว่า คุณพ่อคุณชอบพาคุณไปวาดรูปวิวจากบนดอยคุณก็เลยชอบวาดรูป ผมเลยถามเมื่อเช้า รู้ว่าคุณชอบดรออิ้ง ก็เลยไปเอากระดาษ กับดินสอ EE มาให้เผื่อคุณจะอยากวาดรูป แต่ก็มีสีน้ำถ้าคุณอยากระบายสีวิวเผื่อไว้ด้วย” ภาสกรอธิบายรวดเดียวจบ คนฟังก็เป็นปลื้มที่ได้ยินคนที่จำเรื่องราวเล็กน้อยของตนได้
“ระบายสีน้ำ ยุ่งยากต้องใช้อุปกรณ์เยอะ ผมวาดดินสอธรรมดาดีกว่า” นึกอะไรได้ นทีก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดต่อไปอีก “คุณเป็นแบบให้หน่อยซี”
“หา” ภาสกรร้อง “ผมเนี่ยนะเป็นแบบให้คุณ บ้าเหรอไม่เอา”
“อ้าว ก็ถ้าวาดวิวมันต้องใช้สี ถึงจะสวยกว่า ถ้าวาดดินสอ ผมก็อยากวาดคน จะให้ผมไปขอนายฝรั่งคนนั้น มาเป็นแบบหรือไงล่ะครับ”
‘นายฝรั่งคนนั้น’ คือชายหนุ่มร่างสูงราวกับนายแบบจริงๆ หน้าตาดูคล้ายคนไทย แต่ก็มองออกว่าคงมีเชื้อสายทาง เม็กซิโก หรือ เปอร์โตริโกมากกว่า ไม่ใช่คนเชื้อสายเดียวกับเขาหรือนทีแน่นอน แม้จะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แต่ก็มีบ้างที่ชำเลืองมองมาทางเขาสองคน
ภาสกรไม่เคยเห็นนายคนนี้มาก่อน แต่ก็มีความรู้สึกว่าคน คนนี้น่าจะเคยเห็นเขา ไม่อย่างนั้น จะเหลือบตาขื้นจาก บางกอกโพสต์ ขึ้นมามองเขาทำไมบ่อยๆ ไม่แน่หนุ่มคนนี้อาจจะเคยเห็นเขา จากหน้าหนังสือพิมพ์บ้างก็ได้ ภาสกรไม่แน่ใจในข้อนี้ จึงไม่ได้หลบหน้าให้ยิ่งน่าสงสัยไปใหญ่ เท่าที่ทำได้ คือหันหลังให้ชายหนุ่มคนนั้นเสีย แล้วพูดกับนที
“คุณจะเรียกนายฝรั่งนั่นก็ตามใจคุณซี”
“แหม” นทียิ้ม กรุ้มกริ่ม “ให้ผมวาดคุณภาสกรเถอะ เอาไว้ดูเป็นที่ระลึก เผื่อไม่ได้เจอกันแล้ว จะได้ไม่ลืมกัน”
ภาสกรประหลาดใจแต่ก็มิได้ยิ้ม หรือขมวดคิ้วให้เห็นอีก เขาได้แต่ฟังคำแนะนำของนทีให้นั่งพิงเสาของศาลา หันข้างให้จิตรกรหนุ่มน้อย ที่กำกับให้วางขาซ้ายแนบไปตามความยาวของที่นั่งศาลา ยกเข่าขวาขึ้น วางแขนพาดลงไป ราวกับนายแบบในนิตยสาร มีพื้นหลังเป็นต้นไม้นานาชนิด และบางส่วนของโรงพยาบาล จะติดนายฝรั่ง ก็ติดมาเพียงนิดเดียว
นทีลงมือร่างก็ พอดีที่ภาสกรเห็นใบไม้บนหัวของเด็กหนุ่ม จึงขยับตัว อย่างลืมตัว หยิบใบไม้ออกจากผมยาวๆของหนุ่มน้อย
“ใบไม้ติดผมเดี๋ยวใครก็มองว่าเป็นช่างวาดภาพทาร์ซานหรอก นที”
เด็กหนุ่ม หน้าแดง ใจเต้นระรัวแปลกๆเมื่อภาสกรเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้ ห่างเพียงไม่เท่าไร มีเพียง กระดาษบนขาตั้งไม้เท่านั้นที่อยู่ข้างๆ ไม่อย่างนั้น เขาจะพลอยคิดว่าอยู่กับภาสกรสองคนเหมือนในห้องพักผู้ป่วยแล้ว
จะกลบเกลื่อนท่าทีที่เขินอาย ก็ทำได้เพียงดุเท่านั้น
“ขยับแบบนี้ ผมจะวาดคุณได้อย่างไรล่ะ” เขาว่า แม้ยังหน้าแดงอยู่ “เดี๋ยวกว่าจะเสร็จก็เย็นพอดี”
ภาสกรหัวเราะร่า มองหนุ่มน้อยหน้าใสได้ก็เพียงตาเดียวเท่านั้น เพราะเขาต้องหันข้างให้ กระนั้น ใบหน้าสวยราวกับเด็กหญิงก็พลันให้เขานึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง ... คิดถึง ดาริกา บางส่วนในดวงหน้าของ หล่อน และ นทีคล้ายกันทีเดียว ปากบางเล็ก จมูกโด่งยาว แต่ไม่เป็นสันจนดูเหมือนฝรั่ง เวลายิ้ม ก็ยิ้มทั้งหน้า จนดวงตาสดใสเป็นประกาย
ภาสกรใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีก จนต้องถอนสายตาจากเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่จะอดคิดถึงคุณหญิงไม่ได้ จนต้องโทรศัพท์หา
‘นายฝรั่งคนนั้น’ ลุกออกจากเก้าอี้ พอห่างไปได้สักพัก ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ชั่งใจ ว่าจะโทรหาทิฆัมพรดีหรือไม่ ใจหนึ่งก็อยากเล่าสิ่งที่ได้เห็นมาด้วยความสนุกปาก อีกใจหนึ่งก็ยังลังเล ว่าสิ่งที่เห็น เป็นสิ่งที่ควรเล่าหรือเปล่า เขามองท่าทีของผู้หญิงหลายล้านคนในประเทศได้ว่า เมื่อมีความรู้สึกหลงรักชายหนุ่มนั้น ผู้หญิงจะแสดงออกอย่างไร พอๆกับที่เขารู้ดีว่า เวลาชายหนุ่มหลงรักหญิงสาวนั้น เขาจะแสดงออกอย่างไร ก็ในเมื่อเขาเป็นผู้ชายที่มีผู้หญิงมาปลื้มเขาหลายคน
แต่ผู้ชายที่กระมิด กระเมี้ยนมองผู้ชายด้วยกัน แล้วหลบตาต่ำ หน้าแดงเขินแบบนั้น เพิ่งเห็นใกล้ๆ ก็วันนี้เอง มันไม่ต่างจากหญิงสาวมองชายหนุ่มเท่าไหร่นัก ไอ้หนุ่มน้อยที่ชื่อ นที นั่น หน้าก็สวยคล้ายผู้หญิง ยิ่งมีจริตเขินอาย ก็ยิ่งดูคล้ายผู้หญิงเข้าไปกันใหญ่ เขาไม่อยากคิดว่าคุณชาย ภาสกร รชตานันต์ หนุ่มหล่อ ที่สาวๆเกือบทั้งประเทศต้องการได้มาเป็นพ่อของลูก จะมาอยู่กับคนแบบนี้
ไหนจะท่าปัดใบไม้ออกจากผม
ไหนจะสายตาของ เจ้าหนุ่มนั่นที่มองคุณชาย
ไหนจะ ท่าทางของคุณชายที่หลบตาเด็กหนุ่มคนนั้นอีก
อีริค ไม่อยากจะคิดเลย หรือว่าคุณชายที่ทิฆัมพร หมายมั่นจะแต่งงานด้วย มีรสนิยม รักเพศเดียวกัน!
ไม่ทันจะได้ตัดสินใจ ว่าจะโทรหรือไม่โทรดี ทิฆัมพร ก็โทรศัพท์เข้ามาหาเขาก่อน เสียงจากปลายสายทำให้รู้ว่าเจ้าหล่อนดูร้อนใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับตวาดเขาลั่น แบบเมื่อเช้า
“อีริค คะ เป็นอย่างไรบ้าง เจอหรือเปล่า”
“เจอครับ ตอนแรกก็หาอยู่นานว่าไปชั้นไหน คลาดกันตอนเขาขึ้นลิฟต์ไปก่อน ไม่รู้ไปชั้นไหน ผมเลยเดินเซ็งๆอยู่พักหนึ่งก็เห็นเขาเข็นเก้าอี้เข็นผ่านไปพอดี” ชายหนุ่มตอบ
“เข็นเก้าอี้เข็น หรือ”
เท่านั้น ชายหนุ่มก็เลยต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง พอได้ยินคำว่า แขนหัก ขาหัก ก็พอจะอนุมานได้ว่า เป็นชายหนุ่มที่รถชนคนนั้นแน่ๆ หญิงสาวเลิกคิ้ว ให้กับกระจกรถที่หล่อนนั่งอยู่ด้านล่าง ราวกับชายหนุ่มที่กำลังคุยด้วยนั่งอยู่ตรงนั้น เห็นไหมเล่า ในที่สุดหล่อนก็รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร คำอธิบายของทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่ม นายแบบเล่าให้ฟัง
คุณชายเป็นเกย์ นั่นเอง
ภาสกร เริ่มกระสับกระส่าย แดดร้อนขึ้นเรื่อยๆ พอๆกับเวลาที่ผ่านไปมากขึ้น นทีวาดโครงร่างอย่างคร่าวๆ ก่อนจะค่อยๆลงรายละเอียดของ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าทีละส่วนๆ เขากำกับภาสกร หันซ้ายหันขวาตามที่เขาพอใจ แต่เป็นเพราะความร้อนของประเทศไทยเวลาใกล้เที่ยง ทำให้ภาสกร ถึงกับต้องออกปากบ่น
“นทีไม่ร้อนหรือ ผมร้อนจะแย่อยู่แล้ว พอก่อนได้ไหมครับ ไว้ค่อยวาดต่อพรุ่งนี้นะ”
นทีหัวเราะลงลูกคอเบาๆ
“นี่ยังไม่ทันได้วาดเลยนะครับ ทนต่ออีกนิดละกัน”
ภาสกรบ่นพึมพำ ทำนองว่า ใครจะไปรู้ว่าเป็นแบบวาดภาพ มันต้องเหนื่อยขนาดนี้ ทั้งต้องเกร็ง ต้องอยู่นิ่งๆ เมื่อยก็เมื่อย เหงื่อก็ออกมากไปหมด ทำเอาคนฟังอย่างนทีขำขึ้นมาอีก
“โธ่ นะ นทีพักทานข้าวกันก่อนก็ได้ ผมเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว”
หนุ่มน้อยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ นั่งวาดรูปต่อไป ฝ่ายนายแบบแทนที่จะโกรธกลับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับท่าทางของเด็กหนุ่มตรงหน้า กระนั้น ภาสกรก็ยังไม่อยู่นิ่ง ถ้าไม่เกานั่น ขยับนี่ ก็ชวนคุยพูดมากไปไม่จบ ไม่นานนัก นทีก็ยอมแพ้ วางดินสอลง แบมือสองข้างแบบ ทำอะไรไม่ได้
“เอาเถอะครับ ทั้งๆที่คุณเป็นคนพาผมมาวาดรูปแท้ๆ แต่ถ้าร้อนนักก็พักเสียก่อน” ภาสกรยิ้มออกจนได้ในที่สุด
“โอ๊ย เหงื่อออกจนอยากอาบน้ำ คุณนั่งรอผมที่นี่ไหม เดี๋ยวลงไปซื้ออะไรง่ายๆมากินกันตรงนี้”
“ไม่เป็นไรครับผมอยากขึ้นห้องมากกว่า คุณอยากอาบน้ำก็อาบบนห้องก็ได้ เดี๋ยวผมทานอาหารโรงพยาบาลก็ได้ครับ”
“แล้วผมจะทานอะไรล่ะ ไม่เอาหรอกอาหารโรงพยาบาลคุณทานได้ไม่อร่อย ผมลงไปซื้อข้าวหมูแดงแถวนี้มาให้ อร่อยมากเลยนะ ผมเคยผ่านมา แวะทานแล้วติดใจเลย อร่อยกว่าเจ้าประจำที่กรุงเทพอีก คุณไปรอผมที่ห้องจะได้เย็นๆ ผมรับรองว่าไปเดี๋ยวเดียวกลับ”
ด้วยเหตุนี้ นทีถึงต้องอยู่ในห้องพักผู้ป่วยคนเดียว แต่ภาสกรก็คือภาสกร เขาบอกว่าไปเดี๋ยวเดียวกลับก็คือ เดี๋ยวเดียวกลับจริงๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงภาสกรก็ชูถุงใส่ข้าวหมูแดงสองห่อให้นทีดู สองหนุ่มยิ้มให้กันก่อนที่ภาสกรจะบ่นว่าร้อนอีกครั้ง
“ไม่ไหวเลย ถ้าเมืองไทยร้อนกว่านี้แค่ห้าองศาเท่านั้นผมคงเกรียมละครับ นี่เหงื่อออกแล้ว เหงื่อออกอีก”
“ร้อนก็อาบน้ำก่อนซีครับ”
“คุณไม่หิวหรือ”
“ยังไม่หิวครับ ผมรอคุณก่อนก็ได้” นทีว่า ภาสกรจึงตัดสินใจเดินเข้าห้องอาบน้ำไปก่อน สิบกว่านาทีต่อมากภาสกรก็ออกจาห้องแต่งตัวใส่เพียงกางเกงขาสั้น และมีผ้าเช็ดตัวผาดอยู่บนไหล่เท่านั้น ท่อนบนเปลือยเปล่า ยังมีหยาดน้ำเกาะอยู่บนผิวกายเนียนละเอียด ผิวไม่ขาวสะอาดเท่ากับนที หากแต่เนียนสวย ดูออกว่าได้รับการดูแลมาอย่างดี
“ผมหยิบเสื้อที่ใช้แล้วเข้าไปน่ะครับ ก็เลยไม่ได้เปลี่ยนในห้องน้ำ” เขาแก้ตัว กระนั้น นทีก็ยังรู้สึกวูบๆในท้อง ราวกับมีอะไรวิ่งวนอยู่ในนั้น ภาสกรหยิบเสื้อในกระเป๋าเดินทางออกมาสวม หลังจากเช็ดตัวจนแห้งสนิทแล้ว มีเวลาพอให้นทีเห็นรูปร่างที่สวยงามอยู่ระหว่างความผอมเพรียว กับ ความแข็งแกร่งกำยำ เป็นหุ่นดีที่นทีแอบคิดว่าอยากมีบ้างเท่านั้น
เขาประหลาดใจเมื่อภาสกร ถืออ่างพลาสติกใบเล็กใส่น้ำ และผ้าขนหนูผืนเล็ก เหมือนผ้าเช็ดเหงื่อออกมาด้วย
“นั่นไว้ทำอะไรน่ะครับ”
ภาสกร ก้มมอง ก็รู้ว่าที่ชายหนุ่มถามไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เพื่อขอให้เขาย้ำให้มั่นใจมากกว่า เขาจึงเพียงตอบสั้นๆให้เข้าใจ
“ก็เช็ดตัวให้คุณไง”
“หา”
“หาอะไรล่ะครับ ผมอยู่นี่แล้ว ก็คุณไปวาดรูปตากแดดเสียเหงื่อออกขนาดนั้น รอพยาบาลมาเช็ดตัวตอนเย็น เดี๋ยวกลากขึ้นพอดีมาผมจะเช็ดตัวให้”
“เอ่อ...” นทีหน้าแดงพยายามจะหาทางหลีกเลี่ยง ภาสกรเห็นเข้าก็ขำ กับท่าทางของหนุ่มน้อย
“แหมทีพยาบาลสาวๆ ให้เช็ดได้ ผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน คุณจะอายทำไมล่ะครับ ลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวผมช่วยถอดเสื้อ” แล้วภาสกรก็ประคองนทีลุกขึ้น ก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อของโรงพยาบาล แล้วลงมือเช็ดตัวให้ อย่างทะนุถนอม กลัวว่าเนื้อขาวบางตรงหน้าจะช้ำไป หากเขาลงมือแรงสักเพียงนิดเดียว