33
นทีไม่รู้ว่าควรจะดีใจที่ได้พบ หรือโกรธคุณชายดีในเวลานี้
ดวงหน้าคมสันที่เขาคิดถึงสุดหัวใจ ตอนนี้ได้มาอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่กลับไม่ได้ทำให้นทีรู้สึกสมใจที่รอมานานอย่างที่ควรจะเป็นเลย ในเมื่อมันมีหน้าของใครอีกคนอยู่ข้างกันแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้านั้นก็เป็นใบหน้าที่เขาไม่อยากเห็นแม้อีกสักแวบเดียวในชีวิต
หนุ่มใหญ่กางแขนออกดึงนทีเข้าไปในอ้อมกอด แม้จะขืนตัวไว้มิได้โอนอ่อนตาม แต่อดิสรณ์ก็บีบต้นแขนเขาจนเจ็บไปหมดดึงพรวดเดียวเข้าไปชิดกับตัวจนหนุ่มน้อยตัวสั่นระรัวด้วยความโกรธ เกลียดและขยะแขยงเหลือประมาณ เมื่อใบหน้าขาวสะอาดแต่สูงวัยนั้น แนบเข้าข้างใบหน้าของเขา นทีก็รู้สึกราวกับตัวเองเป็นหนอนเป็นแมลงที่น่ารังเกียจ จนอยากละลายหายไปจากโลกนี้เดี๋ยวนั้น พออดิสรณ์ถอนร่างของเขาออกจากตัวฝ่ายนั้นก็ยังยึดไหล่เขาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มิได้ปล่อยให้เขาหลุดเป็นอิสระ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยลูก พ่อคิดถึงเรามากนะ” นทีตัวสั่นเทาราวจะร้องไห้ แต่ก็อดกลั้นใจเอาไว้ไม่ให้แสดงตัวอ่อนแอต่อหน้าอดิสรณ์ ยังคงวางหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองพ่อเลี้ยงด้วยแววตาเย็นชาที่สุดเท่าที่จะใช้มองใครได้
“ไงนที ดีใจจนพูดไม่ออกเทียวหรือที่ได้เจอพ่อเลี้ยง” ภาสกรว่าในที่สุด ยิ้มให้เขาอย่างประหม่าทำให้นทีตีความไปว่าคุณชายยิ้มอย่างฝืนใจให้เขาเท่านั้น
“คงยังไม่หายโกรธผมนั่นเอง” อดิสรณ์กล่าวเสียงเรียบอย่าง ธรรมดาที่สุดเหมือนพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ “คงยังโกรธที่ผมไม่มีเวลาให้ จนต้องหนีออกจากบ้าน”
ดวงตาเฉียบหลังเลนส์แว่นจับอยู่ที่หน้าของนที ทำให้หนุ่มน้อยแก้ตัวหรือเถียงอะไรไม่ได้ รู้ทันทีว่าอดิสรณ์คงเล่าให้ภาสกรฟังไปอย่างนี้ หากเขากระโตกกระตากพูดอะไรออกมาละก็เขาคงเสร็จมันอีกแน่แล้ว มองไปรอบๆหากำลังสนับสนุน ก็ไม่เห็นว่าปุยฝ้ายจะอยู่ส่วนไหนใกล้ๆ เห็นแต่ลูกน้องของอดิสรณ์ที่เขาพอจำได้บางคน... ด้วยเหตุผลบางประการที่ลืมอย่างไรก็ลืมไม่ลง ...ยืนอยู่รอบตัวเขาเท่านั้น
หากว่าพูดความจริงออกมา คงถูกรุมทำร้ายเข้าเดี๋ยวนั้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตอนนี้อดิสรณ์คว้าต้นแขนเขาลากออกมาไกลจากบริเวณงานมีภาสกรเดินตามมาด้วย รถของอดิสรณ์จอดอยู่ข้างๆ ใครจะมาเห็นถ้าเขาโดนรุมจริงๆ ส่วนถ้าคิดหนีก็คงไปไหนไม่ได้เลย หากออกวิ่งลูกน้องของอดิสรณ์ก็คงล้อมจับได้อยู่แล้วในเวลาชั่วพริบตา ส่วนหากอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่นานนัก อดิสรณ์ก็จะเอาเขาขึ้นรถไปได้ ทีนี้นทีไม่แน่ใจว่าจะหนีออกมาได้อีกเป็นครั้งที่สองหรือไม่
หนุ่มน้อยพยายามส่งสายตาของความช่วยเหลือจากภาสกรแต่ดูเหมือนรายนั้นจะไม่เข้าใจอะไรเลย ยังเอ่ยถามอดิสรณ์อย่างธรรมดาที่สุด
“คุณอดิสรณ์คงรับนทีกลับบ้านเสียเลยมังครับ”
“ใช่ ปล่อยเถลไถลไปอีกไม่ได้หรอกเห็นจะต้องให้รีบกลับเต็มที เพราะผมเองก็ต้องไปทำงานแถวทางใต้ ให้อยู่แถวนี้ผมไม่ค่อยสบายใจ เท่าที่รบกวนคุณชายที่ผ่านมาก็ถือว่าหนักหนาแล้ว ช่วงนั้นผมอยู่ฮ่องกงก็เลยไม่ได้มาดูแล บอกให้พวกลูกน้องดูไว้ดีๆก็ไปหาเรื่องจนเข้าโรงพยาบาลมาครั้งหนึ่ง คราวนี้เห็นจะไม่ปล่อยไปไหนละครับ”
ภาสกรหน้าเสียเพราะคำว่าหาเรื่องเข้าโรงพยาบาล ก็เลยพยายามกลบเกลื่อนด้วยการเอ่ยอย่างธรรมดาที่สุดว่า “สบายแล้วนะนที เจอพ่อเลี้ยงแล้ว” เท่านั้นเองมิได้คิดจะคุยเรื่องของเขาสองคนหรืออย่างน้อยคุยถามสารทุกข์สุขดิบนทีแต่อย่างใดเลย
“คุณอดิสรณ์ ผมต้องไปหาฝ้ายก่อนละ มาด้วยกันถ้าจะไปไหนก็ควรจะต้องไปบอกก่อน” นทีรีบหาทางหนี กะว่าพอพ้นสายตาอดิสรณ์เมื่อไหร่ วิ่งแฝงตัวเข้าไปในหมู่แขกงานแฟชั่น แล้วค่อยปลีกตัวขึ้นแท็กซี่ หรือรถแดงสองแถวไปก็คงจะพอหนีได้อยู่
“ปุยฝ้ายเจอพ่อละ บอกว่าต้องกลับก่อน” อดิสรณ์มองลอดแว่นสายตาเฉียบคม จนนทีหนาวเกร็งไปหมดขนลุกไปทั่วร่างแน่ใจว่าปุยฝ้ายคงไม่ได้ “กลับไปก่อน” ด้วยความสมัครใจแน่ๆ
“ของของผม ยังอยู่ที่...”
“เรื่องของช่างมันเถอะ วันหลังผมไปเอาให้ก็ได้” ภาสกรยิ้มให้นที ทำไมนะ ทำไมภาสกรจะต้องผลักไสเขาอย่างนี้ ราวกับว่าไม่เคยต้องการให้เขาอยู่เคียงข้างแต่อย่างใด มองตาแล้วก็เห็นว่าภาสกรมีท่าทีอย่างธรรมดาที่สุด เหมือนตั้งใจแล้วว่าจะลืมเรื่องที่นครนายกไปเสียสิ้น ลืมกระทั่งความรู้สึกดีที่เคยมีให้กันอย่างน้อยก็ก่อนจะพลาดพลั้งปล่อยตัวไปตามใจในคืนนั้น
เหมือนว่าภาสกรจะหลุดจากมือเขาไปแล้วตลอดไป
“เอ้า คุณชาย มาทำอะไรอยู่ตรงนี้เองคะ” ดาริกาพูดขึ้นเสียงนุ่มจากด้านหลัง หล่อนเดินเข้ามาอย่างมาดสาวสวยไร้ที่ติ พอพบเข้ากับอดิสรณ์ก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เหลือบมาเห็นนทีก็ร้อง เอ๊ะ เบาๆอย่างประหลาดใจ
“โลกกลมเชียวครับคุณหญิง คุณหญิงคงยังไม่รู้กระมังว่าคุณอดิสรณ์เป็นพ่อเลี้ยงของนที” ภาสกรเล่าให้คุณหญิงฟังน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมาแทบจะทันที
“หรือคะ แหมน้องน้ำไม่เคยบอกเลย.... เอ เห็นจะไม่จำเป็นต้องบอกมังคะไม่ใช่เรื่องอะไรของพี่นี่นา” ดาริกายิ้มหวานให้นที ก่อนจะถามอดิสรณ์ว่า “คุณอดิสรณ์ หญิงรบกวนขอตัวคุณชายสักครู่นะคะ ท่านหญิงแม่โปรดจะพบ”
“เชิญเถอะครับ”อดิสรณ์โค้งให้ดาริกาน้อยๆ จากนั้นภาสกรก็เลยเอ่ยอำลานที แม้ใจจะไม่อยากแต่ก็พยายามสะกดอารมณ์ไว้ให้พูดเป็นปกติที่สุด ในเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนก็ไม่อยากจะเผยความในใจของตนให้คนอื่นรู้ด้วย
“นที ผมไปก่อนนะไว้ผมจะโทรไปหา” เท่านั้นแล้วก็จากไป
ภาสกรเดินจากมาไม่กี่ก้าวดาริกาก็หันมาถามคุณชายเบาๆเหมือนไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรนัก กระนั้นน้ำเสียงก็เจือความร้อนรนเอาไว้มาก
“คุณชายคะ อย่าหาว่าหญิงละลาบละล้วงเลย”
“ว่ามาเถอะครับ”
“หญิงจำได้ว่าคุณชายเล่าให้หญิงฟังนี่คะว่า น้องน้ำแกไม่มีญาติพี่น้อง จู่ๆพ่อเลี้ยงโผล่มาจากไหนกันคะ” ดาริกาหันไปยิ้มให้แขกที่เดินสวนกันอย่างกลบเกลื่อนก่อนจะหันมามองภาสกรอย่างเคร่งเครียดอีกครั้ง
“นั่นซี” ภาสกรยอมรับงงงันและนึกไม่ถึงเรื่องนี้ แม้จะคุยกับอดิสรณ์ไปแล้ว ฝ่ายนั้นเล่าให้คุณชายหนุ่มฟังเรื่องความสัมพันธ์ของตนและนที ตบท้ายบทสนทนาว่านทีงอนที่เขาไม่มีเวลาให้ พอไปฮ่องกงหนุ่มน้อยเลยสบโอกาสหนีออกจากบ้านไป อดิสรณ์เพิ่งกลับมาก็เลยยังไม่มีโอกาสได้คุยกัน พอถ่ายทอดเรื่องทั้งหมดให้ดาริกาฟังแล้วก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่า “คงงอนอะไรกันมังครับ นทีก็ดูไม่ค่อยชอบพ่อเลี้ยงอยู่บ้างแต่ก็อาจเพราะรักพ่อแท้ๆของเขามากจริงๆ”
“แต่คุณอดิสรณ์เขาก็ทำตัวเป็นคนโสดมากอยู่นะคะ ไม่ได้ทำเหมือนว่ามีภรรยา มีลูกแล้วเลยนี่” หล่อนตั้งข้อสังเกต “แล้วก็กลับจากฮ่องกงมานานแล้วด้วยไม่ใช่เพิ่งกลับ หญิงว่าเรื่องนี้ประหลาดๆอยู่นะคะ”
ภาสกรกำลังจะพูดอะไร แต่พอดีรถตู้ที่อดิสรณ์และนทีขึ้นนั่งดันแล่นผ่านหน้าเขาไปเสียก่อน มีเวลาแวบหนึ่งสังเกตได้ว่า นทีนั้นมองออกมาจากในรถดวงตาหม่นหมองเป็นทุกข์อย่างเห็นได้ชัด จนภาสกรอดสงสัยไม่ได้ในเมื่อไม่เจอหน้าพ่อเลี้ยงนานขนาดนี้ทำไมถึงไม่คิดดีใจบ้างเลยก็ไม่รู้
“แล้วคุณชายคุยกับเขาหรือยังคะ”
ภาสกรถูกเสียงของดาริกาปลุกออกมาจากห้วงความคิด
“คุยเรื่องอะไรครับ”
“เรื่องคุณชายกับนทีไงคะ เคลียร์กันหรือยัง”
“จะคุยได้อย่างไรเล่าครับ ก็พ่อเลี้ยงเขาอยู่ด้วย” ภาสกรหน้าแดง “แล้วในเมื่อเขาก็จะไปอยู่กับพ่อเลี้ยงอยู่แล้ว ข้อเสนอที่ผมอยากจะให้เขามาอยู่กับผมก็เลยต้องพับไว้ก่อน นทีไม่ใช่เด็กตัวคนเดียวอีกแล้วผมคงทำอะไรตามใจไม่ได้อีก คงต้องแล้วแต่พ่อเลี้ยงเขาด้วย”
ดาริกาขมวดคิ้วจนเกือบหมดสวย
“ระวังเถอะค่ะ นทีจะหลุดมือไปจนกลับมาไม่ได้อีก” คุณหญิงหลุดปากไปแล้วก็รู้ตัวว่าพูดไม่ดีจึงขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ เดินกันไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว ท่านหญิงทิพวรรณ จึงหยุดบทสนทนาไว้เท่านั้นมิได้คุยกันต่อเรื่องนทีอีก ดาริกาลืมคิดถึงปุยฝ้ายไปด้วยซ้ำว่าหญิงสาวหายตัวไปไหนเสียเฉยๆแล้ว ส่วนภาสกร ใครบอกอะไรก็ฟังอยู่แล้วฉะนั้นจึงเชื่อไปจริงๆว่าปุยฝ้ายกลับแฟลตไปก่อนนทีแล้ว ไม่ได้รู้ว่าปุยฝ้ายมิได้เห็นแฟลตของตัวเองอีกเลยนับแต่นั้น
รถตู้สีขาวนั้นจอดอยู่หน้าแฟลตหลังใหม่ของนที เด็กหนุ่มเดินช้าๆ ขึ้นไปยังห้องของตน โดยลูกน้องของอดิสรณ์ควบคุมมาด้วยคนหนึ่ง เขาขอร้องอดิสรณ์ว่าไม่ว่าอดิสรณ์ตั้งใจจะทำอะไรเขา หรือพาเขาไปไหนก็ตาม อย่างน้อยขอให้เขาได้มาเอาของที่เขารักติดตัวไว้ด้วยสักชิ้น ทีแรกหนุ่มนักธุรกิจใหญ่ไม่ได้ยอมตามใจหรอก แต่เมื่อนทีลงทุนก้มลงกราบแล้วฝ่ายนั้นก็ชะงัก และยอมให้อย่างเสียมิได้ เพราะต่อให้เขาทำเรื่องร้ายแรงเพียงใดกับนที และต่อให้เขาเกลียดชังนทีเท่าใด เขาก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผูกติดอยู่ในใจก็คือ... เขารักนทีจริงๆ
ตั้งแต่เห็นนทีมาตั้งแต่เล็กๆนั่นแหละ เขารักอย่างหลานคนหนึ่ง กระทั่งนทีเริ่มโตมา เขาจึงเปลี่ยนใจมาเป็นรักอย่างสุดใจ จนกลายเป็นหวงแหนอยากครอบครองไว้คนเดียว... รักของอดิสรณ์ตรงข้ามกับรักของใครก็ตามที่ต้องเสียสละ ที่ต้องอยากให้คนที่ตนรักได้ดี รักของอดิสรณ์คือการครอบครองให้นทีอยู่กับตนแต่เพียงผู้เดียว และเขาก็ยอมทำทุกอย่างไม่ว่าจะร้ายกาจเพียงใดให้นทีอยู่กับเขา
พอนทีหนีไป คืนที่โดนรถชนนั้นอดิสรณ์ก็แค้นแทบกระอักเลือด ตั้งใจไว้ว่าจะฆ่าให้ตายได้ทีเดียวเมื่อเจอกัน แต่เอาเข้าจริงๆพอได้เจอแล้วก็ทำอะไรไม่ลง ก็อย่างที่บอกเพราะรักนั้นแหละ แม้เดี๋ยวนี้ตั้งใจจะพานทีไปที่เกาะส่วนตัว แล้วขังตายให้อยู่ที่นั่นไปตลอดก็เถอะ เมื่อนทีอุตส่าห์ขอร้อง อย่างนอบน้อมโอนอ่อนให้เขามากมายอย่างนั้นเขาถึงได้ตามใจนที
หนุ่มน้อยต้องยอมให้ลูกน้องของอดิสรณ์เดินตามมาถึงห้อง เข้ามานั่งถึงบนเตียงดูว่าหนุ่มน้อยมีพิรุธอะไรบ้างไหมก็พบว่าไม่มี นทีเพียงหยิบรูปวาดของภาสกรที่ตนเป็นคนลงมือวาดเองเมื่อครั้งอยู่โรงพยาบาลนั้นแหละใส่กระเป๋าติดตัวไปด้วย พอกลับไปขึ้นรถตู้แล้ว ก็โชว์ให้อดิสรณ์เห็นรูปวาดนั้นเสียว่าตนไม่มีพิรุธอะไรแล้วก็นั่งเงียบไปอีกตลอดทาง
ในที่สุด รถก็แล่นมาถึงบ้านเดี่ยวสองชั้น หลังธรรมดาที่สุดหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของนทีเอง แต่บัดนี้ตกอยู่ในอำนาจเบ็ดเสร็จแล้วทั้งบ้านและเจ้าของที่แท้จริง อดิสรณ์กำมือใหญ่หนาทรงพลังไว้รอบแขนเล็กๆขาวบางของนที กึ่งลากกึ่งจูงเข้าไปในบ้าน ไม่มีคำพูดใดเปล่งออกจากปากของทั้งสองฝ่ายในเวลานี้ต่างก็โกรธเกลียดกันและกันจนอยากจะให้อีกฝ่ายตายไปเสียจากโลกนี้
กระนั้นแล้วคงเป็นเพียงนทีเท่านั้นกระมังที่อยากให้อดิสรณ์ตายจากไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็เป็นเขาเองที่ตายจากไปเสียก่อน เมื่อบัดนี้ไม่มีอะไรในชีวิตเป็นเป้าหมายให้เขาอยู่ต่อไปอีกแล้ว พ่อแม่จากเขาไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ... คุณชายเองก็จากเขาไปอีกคน อย่างไม่มีวันหวนคืน เสียแรงที่รัก เสียแรงที่ผูกพันเสียเต็มที สุดท้ายก็จบแบบเดิมที่เขารักคุณชายฝ่ายเดียว อีกฝ่ายหนึ่งมิได้รักเขาตอบเสียเลย ซ้ำยังผลักไสไล่ส่งให้เขาจากมาอยู่กับอดิสรณ์เสียอย่างนี้ โดยไม่มีความอาวรณ์แต่อย่างใดอีกต่างหากแล้ว มันช้ำใจเสียยิ่งกว่าช้ำ
หากอดิสรณ์จะฆ่าเขาตายไปตอนนี้ นทีก็ไม่เสียดายในเมื่อไม่รู้จะอยู่ไปทำไม เพื่อใครอีก... คิดอย่างนี้ทั้งที่แน่ใจเพียงใดก็ตามว่าตนคงไม่ถูกอีกฝ่ายฆ่าหรอก ในเมื่ออดิสรณ์ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายกว่าฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นมาแล้ว จบชีวิตเขาลงง่ายๆอย่างนี้ คงไม่สะใจอดิสรณ์เสียกี่มากน้อย
กระนั้นนทีก็ยังมีความหวังอยู่ แม้เพียงน้อยนิดอย่างไร ก็หวังอยู่ดีนั่นแหละว่าคุณชายจะต้องมาช่วยเขาได้แน่นอน
อดิสรณ์เปิดประตูบ้าน ลากนทีผ่านห้องรับแขกไป หนุ่มน้อยเห็นจากหางตาว่ามีร่างของหญิงสาวร่างหนึ่งนอนอยู่ที่โซฟา กำลังจะร้องเรียกชื่ออดิสรณ์ก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า
“ฉันรู้ว่าเธอคงห่างเพื่อนไม่ได้ก็ตั้งใจจะเอาไปด้วย...” พูดเสียงเยือกเย็นราวกับพร้อมจะชำแหละร่างของนทีออกเป็นชิ้นๆตรงนั้น “ฉันเสียใจนะที่เธอหนีฉันไปอย่างนั้น ทั้งที่ฉันก็รักและให้เธอได้ทุกอย่าง ฉันผิดหวังในตัวเธอมากแต่ยิ่งผิดหวังเธอก็ยิ่งจะต้องตอบแทนฉันให้สมหวังมากขึ้น”
อดิสรณ์เหลือบไปมองรูปของภาสกรที่นทีกอดไว้แนบอก
“รักมันมากหรือไอ้คุณชายนั่น”
นทีไม่ตอบ แต่อดิสรณ์ถือเป็นคำอธิบายที่เข้าใจง่ายพอแล้วจึงว่าต่อไป
“ฉันขอโทษด้วยนะ แต่ฉันก็รักเธอเหมือนกัน ถึงฉันจะไม่ได้แสนดีอย่างมันแต่ฉันก็มั่นใจว่ารักเธอไม่น้อยกว่ามันหรอก” เขาดันหลังนทีเข้าไปในห้องนอน ยืนพิงขอบประตูอยู่ไม่ได้คิดจะไปไหน “โลกนี้ไม่ยุติธรรมพอให้ตัวร้ายอย่างฉันได้เผยความในใจบ้างหรอกนะ ขุนช้างก็รักนางพิมไม่น้อยกว่าขุนแผนหรอกโชคร้ายที่รูปมันไม่หล่อเท่านั้น ทศกัณฐ์ก็คงรักสีดามากแต่เสียดายมันเป็นยักษ์แถมยังเป็นพ่อแท้ๆของสีดาเสียอีก”
นทีนั่งคอแข็ง สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆแม้อดิสรณ์จะพูดไปเรื่อยๆ อย่างนึกเสียใจมากก็ตาม แต่นทีก็ไม่ได้เห็นใจ
“ถึงฉันจะรักเธอแค่ไหน แต่ฉันก็คงเป็นได้แค่ยักษ์แค่มารในสายตาเธอเท่านั้น” อดิสรณ์กล่าวเสร็จแล้วก็ทำท่าจะปิดประตู “จัดกระเป๋าเสีย เครื่องบินไฟลท์สุดท้ายไปลงภูเก็ตตอนห้าทุ่ม แล้วฉันจะพาเธอไปเกาะ ขอโทษนะที่ต้องทำอย่างนี้ แต่เธอจะต้องเป็นของฉันตลอดไป”
อดิสรณ์คงปิดประตูไปได้แล้วหากนทีไม่โพล่งออกมาเสียก่อนว่า
“คุณรู้ไหม ถึงคุณชายเขาจะไม่บอกสักคำว่ารักผมแต่เขาก็ดีกับผมมากเหลือเกินผมถึงได้รักเขา แต่กับคุณ ต่อให้คุณพร่ำบอกว่ารักผมเพียงใดแต่สุดท้ายคุณมันก็ดีแต่ทำให้ผมเจ็บ ดีแต่เอาความสุขเข้าหาตัว รักแบบเห็นแก่ความสุขของตัวเอง ดีแต่ทำร้าย ย่ำยีความเป็นมนุษย์ของผม... คุณไม่เคยแสดงออกว่ารักผมเลยฉะนั้นต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกว่ายังไงผมก็รักคุณไม่ลง”
อดิสรณ์ยิ้มแห้งๆ อย่างคนอมทุกข์แววตาเปี่ยมไปด้วยความเศร้าใจเหลือประมาณ ใจหนึ่งอยากเข้าไปบีบคอนทีให้ตาย แต่อีกใจก็ยังอยากเก็บนทีไว้ให้กับตัวเองไปอีกเรื่อยๆ
“ก็ใช่ซี” เขาปิดประตู “ฉันมันตัวร้ายของละครเรื่องนี้นี่นะ”