31
เอาเป็นว่าความกังวลใจในขั้นแรกหมดไปแล้ว แต่ความกังวลข้ออื่นๆก็ยังวนเวียนอยู่ในหัว เอาออกไปไม่ได้ง่ายๆอยู่ดี นรัตถพลมีเหตุผลที่ดีที่ถูกต้องจนแทบโน้มน้าวเขาได้แล้ว แต่ภาสกรก็ยังไมเห็นหนทางว่าความรักของเขาและนทีจะเป็นไปได้ได้อย่างไร กระทั่งเจอคำถามของดาริกาเท่านั้นแหละทำเอาเขาคิดหนักไปเลย จะตอบอย่างไรก็ตอบไม่ถูก
เรื่องที่เขากังวลคือเขาไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้อีกแล้วว่าเขาไม่ได้รักนทีเพราะเขารักหนุ่มน้อยคนนั้นมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับทุกครั้งที่ไม่ได้พบกัน ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันเท่านั้นแล้วจึงจะรู้สึกว่าตนมีความสุขเหลือเกิน เขาเป็นเกย์ไปแล้วไม่ใช่ยังมีสิทธิ์ย้อนกลับ
ในเมื่อทั้งกายและใจของเขามันถลำลึกไปมากเพียงนี้ เขาจะหนีต่อไปไม่ได้อีก ต่อให้เขาไม่กลับไปเจอกับนทียังไงเขาก็ต้องคิดถึงหนุ่มน้อยจนเป็นบ้าไปอยู่ดี สู้รับความจริงอย่างที่คุณชายนรัตถพลบอกไม่ดีกว่าหรือ สุขยังไงก็รู้ว่าสุขแน่ๆเมื่อมีนทีอยู่ด้วย... ส่วนเรื่องทุกข์ในเมื่อยังไม่รู้ว่าจะต้องเจอแน่ๆ ก็ช่างมันไหมเล่า เจออะไรก็ค่อยแก้ไปทีละเรื่อง
“ผมอยากเจอเขามากครับ” น้ำตาคลอมาอยู่ที่เบ้าของภาสกรอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ เขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนก็จริง แต่เขาไม่เคยอ่อนไหวกับใคร หรืออะไรขนาดนี้ “ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน คิดถึงจนทนไม่ได้อยากโทรไปหา อยากไปเจอหน้า อยากบอกเขาว่า ผมรักเขาหมดหัวใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แต่ผมไม่กล้าผมมันขี้ขลาด ผมไม่ยอมรับความจริงสุดท้ายผมก็ลืมเขาไม่ลง”
“คุณชายคะ จำได้ไหมที่คุณชายเคยบอกกับหญิงว่า คุณชายอยากรู้ว่าเขามีความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่ก็อยากเป็นคนทำให้เขามีความสุข ในเมื่อความสุขของเขาคือเรื่องง่ายๆอย่างการที่มีคุณชายอยู่เคียงข้าง... คุณชายจะให้เขาไม่ได้หรือคะ”
เหมือนถูกดาริกาตบหน้าจนชาไปหมด ภาสกรน้ำตาร่วงเผาะ ไหลเป็นทางพอมารู้ตัวอีกทีก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างไม่เคยเป็นเพราะใครมาก่อน
“ใช่ ผมมันโง่เหลือเกินผมลืมไปแล้วว่าความสุขที่สุดของเขาและผมคืออะไร... คือการได้มีกันและกัน ทำไมผมถึงลืมข้อนี้ไปได้นะ”
“คุณชายเชื่อผมเถอะครับ การที่คุณชายรักเขามันไม่ผิดหรอก ความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม มันย่อมพามาแต่สิ่งดีงาม เมื่อไหร่ที่มีอุปสรรคก็คือเครื่องทดสอบเท่านั้น เรื่องนี้ก็เหมือนกับบททดสอบแรกเท่านั้นเอง คุณชายอย่าใส่ใจเลยทำตามหัวใจตัวเองเถอะครับ”
“ไปหาเขาเถอะค่ะคุณชาย เขาเองก็คงรอคุณชายอยู่นะคะ”
“เขาอาจจะเกลียดผมไปแล้วก็ได้ ผมทำร้ายจิตใจเขามากเหลือเกิน... ทำไมนะทั้งที่สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่มีวันทำร้ายเขาอีกหลังจากขับรถชนเขาวันนั้น แต่สุดท้ายก็ทำร้ายเขาจนปางตายจนได้”
“คุณชายชนเขา แต่ก็ช่วยเขามาได้หนหนึ่งแล้วนี่คะ คราวนี้ทำไมจะทำไม่ได้จริงไหมคะ” ดาริกายิ้มอย่างอ่อนโยน ตอนนั้นเองที่ภาสกรเข้าใจว่า เพื่อนแท้ที่เขาไม่เคยมีนั้น ตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าของเขาแล้วอย่างน้อยก็หนึ่งคน
“ครับ... ขอบคุณคุณหญิงและคุณชายรัตมากครับที่ทำให้ผมตาสว่าง ผมจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้ล่ะครับ”
ฝนตกหนักจนแทบจะมองทางไม่เห็น แต่ภาสกรก็อุตส่าห์ขับรถมาจนถึงหน้าแฟลตเล็กๆ เก่าๆโทรมๆที่เคยเห็นมาหลายต่อหลายครั้งจนได้ เขาไม่เคยขึ้นไปจนถึงห้องของปุยฝ้ายก็จริงแต่เมื่อกี้นี้ก็เพิ่งโทรถามหล่อนซึ่งตอนนี้ไม่อยู่ที่ห้องว่านทีอยู่ห้องไหนชั้นไหนจะได้ขึ้นไปหาถูก ได้ความแล้วก็ไม่คิดจะรอช้าเปิดประตูรถ วิ่งฝ่าฝนไปถึงตัวอาคาร
เขาหันหลังมามองบริเวณหน้าตึกนั้น ในขณะที่ฝนเริ่มซาลงแล้วจำได้ถึงวันแรกที่ตนเห็นตึกนี้ครั้งแรก ตรงนั้นเองที่เขาบอกนทีว่า
“หลังจากที่ผมได้เล่าอะไรให้คุณฟังหลายอย่าง หลังจากรู้จักกันมาก็พักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะขอเป็น...เป็นเพื่อนกับคุณได้ไหม” จู่ๆก็มีรอยยิ้มเศร้าๆ ปรากฏขึ้นบนสีหน้า คิดอยู่ในใจว่าถ้าหากวันนี้ได้พบหน้าหนุ่มน้อย เขาจะบอกนทีให้ได้เลยว่า
“ผมมาคิดดูแล้วหลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด... หลังจากเราเป็นเพื่อนกันมาได้พักหนึ่งแล้ว ผมอยากจะขอ... ขอคบกับคุณได้ไหม”
ถึงจะน่าอายแค่ไหนก็เถอะ ภาสกรก็มั่นใจว่าจะต้องพูดประโยคนี้ให้ได้
เนื้อตัวเปียกโชก รองเท้าก็ลื่นจนแทบจะพลาดตกบันได แต่ภาสกรก็ยังอุตส่าห์วิ่งขึ้นมาได้จนถึงห้องที่นทีอยู่ เขายืนจ้องประตูไม้สีน้ำตาลเก่าๆแทบจะพังนั้นอยู่อึดใจ นึกถึงหน้าหนุ่มน้อยที่อยู่ในนั้น น้ำตาก็พาลเอ่อล้นมาคลอเบ้าอีกครั้ง
เคาะประตูสองทีแล้วก็พูดว่า
“นที...ผมเอง ภาสกร เปิดประตูให้ผมได้ไหม”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ไม่มีแม้แต่เสียงเคลื่อนไหวในห้อง ไม่แปลกหรอกนทีคงจะงอน หรือไม่ก็โกรธเขามากจนไม่ยอมพูดด้วยก็เป็นได้
“นที... เปิดประตูให้ผมเถอะนะ ผมขอร้อง ขอให้ผมได้อธิบาย ให้ผมได้ขอโทษ ได้คุยกับคุณสักครั้งเถอะครับ” เงียบอีก ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ “นที คุณโกรธผมใช่ไหม ผมขอร้องนะออกมาพูดกับผมก่อน”
น้ำตาพาลไหลลงมาอาบแก้มอีกครั้ง จนเสียงพูดกลายเป็นเสียงสะอื้น ชายหนุ่มร้องไห้ไปเคาะประตูไป พูดไปอย่างพระเอกละครน้ำเน่า ไม่ได้สนใจว่าใครจะได้ยินอะไรทั้งนั้นขอให้หนุ่มน้อยในห้องได้ยินแล้วเปิดประตูมาคุยกับเขาเถอะ
“นที ผมขอโทษ ผมผิดเองที่งี่เง่า ผิดเองที่ไม่ยอมรับความจริง ผมทำร้ายจิตใจคุณ ทำให้คุณเสียใจมากแต่ผมอยากให้นทีรู้นะว่าผมก็เสียใจไม่น้อยกว่านทีเลย ขอร้องล่ะนะเปิดประตูออกมาคุยกับผมเถอะนที นะครับ นที”
“นี่คุณ” ใครคนหนึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องที่อยู่ข้างๆนั้น สตรีร้างท่วมอายุราวสี่สิบปลายๆเดินเข้ามาหา แล้วบอกเขาว่า “เรียกยังไงเขาก็ไม่เปิดหรอก เด็กที่อยู่ในห้องนี้น่ะ เขาย้ายออกไปแล้ว ป้ายังช่วยเขาขนของอยู่เลย”
ภาสกรตะลึง เหมือนถูกทุบหัวด้วยท่อนไม้ ปวดระบมมึนไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก “ไป... ไปแล้ว ออกไปแล้ว... ไปไหน”
“ไม่รู้หรือ ไม่ได้บอกไว้นี่รู้แต่ขนของไปเยอะเลย เหมือนจะไม่กลับมาอีก คุณนี่หน้าคุ้นๆนะ” ป้าคนนั้นยืนนิ่งเหมือนจะคิดให้ออกว่าชายหนุ่มเป็นใคร “อ่อ นึกออกแล้ว น้องเขามีรูปคุณด้วยนี่... กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเลย ทั้งที่ของก็เต็มไม้เต็มมือ ป้าจะช่วยเขาก็ไม่ยอมให้ช่วย ถึงจะเห็นแว้บๆแต่มั่นใจว่าใช่คุณแน่ล่ะ”
“ป้า... เขาเอารูปผมไปด้วยหรือ”
“ใช่ซีไม่ยอมปล่อยเลย ขึ้นรถไปแล้วก็ยังกอดเอาไว้”
ภาสกรแทบจะลืมไปแล้วว่าเพิ่งตกใจ และเสียใจแค่ไหนที่รู้ว่านทีเพิ่งจะจากไป อย่างไม่รู้ว่าจะไปตามที่ไหน... นทียังไม่ลืมเขา นทีไม่ได้โกรธเกลียดเขาเลย
“ขอบคุณป้ามากครับ แต่ไม่รู้จริงๆหรือว่าเขาย้ายไปไหน”
“ไม่รู้เลยลูกเอ๊ย โทรถามหนูฝ้ายสิ เจ้าของห้องน่ะเขาเป็นเพื่อนกัน มีเบอร์ไหมล่ะ ป้ารู้จักเดี๋ยวจะเอาเบอร์โทรให้”
“อ๋อมีครับป้า... มี” ภาสกรยกมือขึ้นปาดน้ำตาเริ่มรู้สึกอายนิดๆที่โตเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้วยังมายืนร้องไห้อย่างกับเด็กๆอย่างนี้อีก
“แฟนกันเหรอลูก” หล่อนถาม หัวเราะเสียงดังเมื่อรู้ว่าภาสกรอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ “เอ้อ รีบตามไปง้อเถอะ รายนั้นก็เดินไปร้องไห้ไปเหมือนหนูนี่แหละ โชคดีนะป้าจะไปจ่ายตลาดละ...”
พอหล่อนเดินลับตาไป ภาสกรก็ทิ้งตัวนั่งหลังพิงประตูโทรไปหาปุยฝ้าย
“คุณฝ้าย ผมภาสกรนะ” คุณชายหนุ่มพูดไปก็ห้ามเสียงสะอื้นไว้ไม่ได้ “นทีเขาย้ายออกไปแล้วหรือ เขาย้ายไปไหนครับ... ไม่รู้! อะไรกันเขาไม่ได้บอกคุณไว้หรือครับ... ไม่หรือ”
ภาสกรน้ำตาไหล หลับตาแน่นราวกับว่ากำลังฝันร้ายอยู่พอลืมตาอีกทีจะตื่นมาอยู่ที่วังอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เป็นไรคุณไม่ต้องมาหาผมหรอก... ผมมันผิดเองแต่แรก ถ้าเขาจะไม่อยากพบผมอีกก็เข้าใจ แต่ถ้าเขาโทรมาหาคุณเมื่อไหร่...” คุณชายหนุ่มสะอื้น “ช่วยบอกเขาทีว่า ผมคิดถึงเขาเหลือเกิน”
ชายหนุ่มวางสายปุยฝ้าย แล้วก็โทรศัพท์หาหนุ่มน้อยที่เขาคิดถึงแทน ปรากฏว่านทีไม่รับสักสาย โทรไปกี่ครั้งก็ไม่รับมีเสียงบอกให้ฝากข้อความไว้เท่านั้นชายหนุ่มจึงไม่ทำอะไรนอกจากนั่งอยู่ตรงนั้นโทรศัทพ์ไปฟังเสียงให้ฝากข้อความซ้ำแล้วซ้ำอีก วนไปวนมาราวกับว่านั่นคือเสียงของนที
ภาสกรสะอื้นไห้ หงายศีรษะพิงประตูไว้เสียใจและหมดแรงเกินกว่าจะทำอะไร ไม่แน่ใจว่าเนื้อตัวที่เปียกปอนนั้นเปียกเพราะฝน หรือเพราะน้ำตาของตัวเอง กันแน่ ถ้าเขาจะไม่ได้เจอนทีอีกเขาก็เข้าใจว่าโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
ถ้าเขาต้องเสียใจขนาดนี้เพราะนทีบ้าง ก็สมควรแล้ว... บางทีอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อคิดถึงว่าอีกฝ่ายต้องเสียใจเพราะเขาเพียงใดตลอดเวลาที่ผ่านมานี้
นทีนั่งอยู่ในห้องพักใหม่ เล็กพอๆกับห้องของปุยฝ้ายมองรูปของภาสกรที่เอามาด้วย ไม่แน่ใจว่าที่ตัดสินใจย้ายมานี้คิดถูกหรือผิด อยากจะบอกปุยฝ้ายก็ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าโทรศัพท์หล่นหายตอนไปไหนรู้อีกทีก็ไม่เจอเสียแล้ว คนที่เก็บได้ก็ไม่รู้เลยว่าจะมีสายโทรเข้าเครื่องนั้นเป็นสิบ เป็นร้อยสายตลอดคืนนั้นในเมื่อถอดซิมทิ้ง แล้วขายเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว
งานแฟชั่นโชว์ของคุณหญิงดาริกากำลังจะเริ่มในไม่กี่นาที ดีไซเนอร์สาวเดินนวยนาดตรวจตราเครื่องแต่งกายของบรรดานางแบบทั้งหลายจะพอใจ วางใจว่างานจะออกมาเพอร์เฟกต์แล้วก็เดินออกมาที่ห้องแต่งตัวของแขกวีไอพี ตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่หล่อนต้องการคุยด้วยเหลือเกิน
ภาสกรนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอยู่ใต้เครื่องสำอางค์ทำให้ไม่รู้ว่าหน้าซีดตอบ ผิวแห้งและขอบตาคล้ำสนิทอย่างไรมองเผินๆจะเหมือนแค่ว่าคุณชายไปลดน้ำหนักมาเท่านั้น หากไม่พิจารณาสีหน้าเศร้าสร้อยปราศจาครอยยิ้มก็คงไม่รู้หรอก
ว่าคุณชายหนุ่มกำลังเศร้าเสียแทบจะอยากละลายหายไปจากโลกนี้
หล่อนเดินเข้าไปจะถึงตัวชายหนุ่มแล้วเชียวพอดี เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังจนหล่อนต้องหันไปมอง
“พี่ชายคะแต่งตัวเสร็จแล้วออกไปนั่งกับฟ้าดีกว่าค่ะ” เจ้าของประโยคเดินเข้ามาในห้องราวกับเป็นงานของตัวเอง เดินผ่านไปไม่สนใจดาริกาที่ยืนอยู่ไม่ห่างเป้าหมายของหล่อนนักนั่งลงข้างภาสกรแล้วก็ควงแขนเอาไว้ราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ “ไปค่ะไปอยู่กับหม่อมแม่ด้วย น้าวิไลถามหาแล้ว ถามหาอีก”
“คุณไหว้ดาริกาแล้วหรือทิฆัมพร” ภาสกรตำหนิเห็นแววไม่พอใจในดวงตาของเจ้าของชื่ออันหลังเล็กน้อยก่อนที่หล่อนจะหันไปยิ้มให้ดาริกา
“แหม อายุห่างกันปีสองปีพี่หญิงดาคงไม่อยากให้ฟ้าไหว้มังคะ”
“ค่ะ ไม่ต้องไหว้กันหรอกค่ะน้อง” ถ้าหล่อนไม่อยาก ดาริกาเกือบจะหลุดคำหลังไปแล้วเชียว โชคดีที่กลืนคำนั้นลงคอไปได้ก็เลยไม่เกิดศึกขึ้นตรงนั้น
“คุณหญิงมีอะไรจะพูดหรือเปล่า เห็นเดินเข้ามาก่อนทิฆัมพรเขา”
“อ๋อค่ะ” หล่อนยิ้มหวานจน หญิงสาวผมสั้นข้างๆอดหมั่นไส้ไม่ได้ “จะมาชวนออกไปพูดคุยกับแขกค่ะในฐานะเจ้าของงานด้วยกัน”
ดาริกาปราดตาไปทางทิฆัมพรราวกับจะพูดว่า “ไม่เกี่ยวกับแขกผู้ติดตามนะคะ” แล้วภาสกรก็ยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนลุกขึ้นเข้ามาหาหล่อนก่อนจะเดินออกไป โดยไม่สนใจหญิงสาวอีกคนนัก
ทิฆัมพรแทบจะกรี๊ดแต่เสียดายว่าคนอยู่ด้วยเยอะก็เลยเดินตามมาเงียบๆ โชคดีของคุณชาย แต่โชคร้ายของทิฆัมพร ที่จู่ๆบรรดาแม้บ้านทำความสะอาดก็โผล่มาเห็นหล่อนเข้าเลยกรูกันมาขอลายเซ็นภาสกรกับดาริกาจึงแยกออกไปกันสองคนได้โดยไม่มีหล่อนตามมาด้วย
“เหนื่อยไหมคะคุณชาย ดูจะซีดๆอีกแล้วนะคะ”
“เหนื่อยครับ ห่วงเรื่องงานแล้วก็... เป็นห่วงเรื่องอีกเรื่องด้วย”
ดาริกายิ้มอย่างเข้าใจเห็นว่าตรงนั้นไม่มีใครเลยหยุดเดินแล้วบีบต้นแขนภาสกรเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นมา
“เชื่อหญิงนะคะ ให้งานผ่านไปก่อนคุณชายหายเหนื่อยแน่ค่ะ” หล่อนยิ้มเหมือนรู้อะไร จนภาสกรเกือบจะถามแล้วว่ามีข่าวเกี่ยวกับนทีบ้างไหมแต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะทิฆัมพรโผล่มาแทรกกลางระหว่างเขากับดาริกาพอดี
“กว่าจะหนีมาจากแฟนคลับได้แทบแย่ ไปกับค่ะพี่ชายไปหาน้าวิไลกัน”
ภาสกรส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษมาให้ แล้วก็เดินตามทิฆัมพรไปอย่างช่วยไม่ได้ พอดีโทรศัพท์หล่อนมาก็เลยกดรับไม่ได้เดินตามไป
“จ้ะน้องฝ้าย ว่าไง... ยังไม่รู้ใช่ไหม ดีแล้วอย่าเพิ่งให้รู้ให้มาเจอกันเองในงานดีกว่าจ้ะ... โอเคๆรีบมาเลยนะจ๊ะ” หล่อนยิ้มหน้าบาน นทีซื้อโทรหาปุยฝ้ายเมื่อวานแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังก็เลยรู้ว่าหนุ่มน้อยอยู่ไหน เป็นอย่างไรบ้าง ปุยฝ้ายรู้อย่างนั้นก็ปรึกษาดาริกาก่อนยังไม่โทรบอกภาสกร หล่อนก็เลยวางแผนอย่างแนบเนียนให้ปุยฝ้ายพานทีมาดูงานแฟชั่นโชว์เสียเลย บอกว่าเป็นงานของดาริกา
ทีนี้ล่ะ สองหนุ่มจะได้มีโอกาสเจอกันริมทะเลหลังงานเสร็จ บรรยากาศ
โรแมนติกอย่างนี้แหละเหมาะแก่การบอกรักกันยิ่งนัก
ดาริกาเดินออกมาพบกับภาสกรที่กำลังยืนคุยอยู่กับหม่อมแม่ของเขา ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือมาให้ช่วยพาเขาไปจากทิฆัมพรที แต่ดาริกาก็ไม่รู้จะช่วยยังไงก็เลยเข้าไปคุยเสียก่อนฆ่าเวลา
“สวัสดีค่ะหม่อม ดิฉันดาริกาเองค่ะหวังว่าจะจำดิฉันได้”
วิไลวรรณเห็นหล่อนเข้าอีกครั้ง คราวนี้อยู่ในชุดเดรสสั้นสีเหลืองมะนาว แต่งหน้าสวยไม่เหมือนคราวก่อนที่มีเพียงชุดว่ายน้ำและหน้าใสๆแบบธรรมชาติก็รู้สึกดีกับหล่อนขึ้นมานิดหนึ่ง
“สวัสดีจ้ะหนู แหมจำได้ซีจ๊ะ ธิดาท่านหญิงทิพวรรณกับ ท่านชายเกรียงศักดิ์ใช่ไหม” หญิงสาวยิ้มกว้างตอบไปว่าใช่ “ดีใจที่ได้คนเก่งๆอย่างหนูมาร่วมงานกับชายภาสจ้ะ เก่งเชียวนะจ๊ะเลือกสถานที่ได้เหมาะจะจัดงานมากเลย”
“ไม่ใช่หนูคนเดียวหรอกค่ะ เรื่องสถานที่เนี่ยมีคนช่วยด้วยมีผู้สนับสนุนให้ความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายอยู่ค่ะ อ๊ะ” หล่อนปราดตาไปเห็นคนคนหนึ่งที่จะช่วยแยกภาสกรไปจากทิฆัมพรที่ยังยืนกอดแขนชายหนุ่มอยู่ราวกับตุ๊กแกไม่ยอมห่างแม้สักพัก “นั่นไงคะผู้สนับสนุนรายใหญ่ คุณชายคงยังไม่เคยพบเดี๋ยวหญิงพาไปทำความรู้จักค่ะ หม่อมคะขออนุญาตเถอะนะคะ อย่าว่าหนูเสียมารยาทเลย”
“เชิญจ้ะหนู ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจละก็เชิญเลยจ้ะน้าไม่ค่อยรู้เรื่อง... ไปตาชายไปคุยธุระกับคุณหญิงเธอเสียก่อนค่อยกลับมาหาหนูฟ้า ดูซิรักกันเหลือเกิน เกาะแกะกันไม่ยอมปล่อยเลย” หม่อมวิไลวรรณหัวเราะคิกคักปล่อยให้ดาริกายิ้มหวานพาภาสกรไปจากทิฆัมพร
“ไม่รู้จะขอบคุณ ยังไงคุณหญิง” ภาสกรถอนใจอย่างโล่งอก ดาริกาเองก็หัวเราะเบาๆอย่างขำขันในตัวของทิฆัมพร ดูก็รู้ว่าผู้ชายไม่รักยังจะเกาะแกะเสียจนน่ารังเกียจ หล่อนเดินพาภาสกรมาอยู่แทบถึงบริเวณที่หนุ่มใหญ่คนหนึ่งเดินเข้ามาหา ชายคนนั้นเห็นดาริกาก็ยิ้มให้ หญิงสาวยิ้มตอบแล้วแนะนำว่า
“คุณชายคะนี่คุณอดิสรณ์ ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของงานนี้ค่ะ”