ก่อนจะอ่าน แนะนำให้เปิดเพลงคลอไปด้วยนะครับ
http://www.youtube.com/embed/ZCghVAHKzYQ*******************************************************
30
เสียงเพลงดังแผ่วเบามาจากวิทยุเก่าๆที่โต๊ะข้างเตียง เสียงกีต้าร์โปร่งฟังดูเศร้าจับใจ แทบจะเรียกได้ว่าแต่ละโน้ตกรีดลงไปในหัวใจของผู้ฟัง ทิ้งแผลไว้ลึกชนิดที่ว่าไม่มีวันรักษาให้หายได้
ดวงตาแดงก่ำแห้งแทบไม่เห็นประกายของน้ำตาจับจ้องที่ท้องฟ้าภายนอก ทำไมมันจึงเป็นสีเทาอย่างน่าใจหายได้ขนาดนั้นนะ อึมครึมราวกับอีกไม่กี่นาทีต่อมาจะสาดซัดฝนให้เปียกไปทั่วบริเวณ ทั้งที่ตอนนี้เป็นหน้าแล้งไม่สมควรจะมีฝนเลยแม้แต่น้อย เมฆสีเข้มลอยตัวต่ำแทบจะสัมผัสได้พาดผ่านดวงอาทิตย์ทำให้แสงแห่งวันแทบจะดับมืดลง เหมือนกับคนคนหนึ่งที่ชื่อของเขาหมายถึง ดวงอาทิตย์ ก็ถูกเมฆหนาบดบังเสียหมดเช่นกัน
ไม่นานฝนก็กลั่นตัวตกลงมาพรำๆ ราวกับท้องฟ้าเองก็กำลังร้องไห้ให้กับเขา คลอไปกับเสียงแหบต่ำ แผ่วเบาของนักร้องฟังดูคล้ายเสียงรำพึงของคนอกหัก ทำให้เนื้อความในเพลงดูจริงจัง ชัดเจนมากเท่าที่มันควรจะเป็น
อาจมีฝนที่หล่นมาชั่วคราว และเมฆขาวที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน
เจอะกับลมก็ปลิวไปไม่มีใครรื้อฟื้นไม่ได้เป็นความยั่งยืนเสมอไป
หนุ่มน้อยคว้าเอารูปของคนที่เขาคิดถึงจับใจมาถือไว้ในมือ จ้องมองใบหน้าอมทุกข์ของชายหนุ่มในนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกมือของตนขึ้นลูบใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่ม ก่อนจะหลับตาแน่นคิดถึงสัมผัสที่เขาใช้กับตน ทะนุถนอมเรากับตนเป็นสมบัติที่เจ้าตัวหวงแหนเหลือเกิน ทำไมนะ ทำไมเขาถึงไม่ลืมภาสกรเสียที จะใช้ความพยายามสักเท่าใดก็ไม่สามารถลืมรอยยิ้มที่อบอุ่น และน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นที่เคยพูดกับเขาได้ คิดถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างหลุดลอย ผ่านพ้นไปจากใจ หายไปจากความคิดของหนุ่มน้อยได้รวดเร็ว
แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
กับอะไรที่เป็น ก็ยังไม่เคยลืม เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ
ใจจะขาด... เจ็บเหลือเกิน เจ็บจนไม่อาจทนอยู่ได้อีกแล้ว น้ำตาที่ร้องไปจนแทบไม่เหลืออีกกลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้งจนหนุ่มน้อยปวดตาเหลือเกิน คิดถึงคำพูดของภาสกร แล้วก็แทบไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป... “ผมขอโทษนที... คุณเข้าใจผมนะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย นที ผมไม่ได้เป็นเกย์” จริงซีเหมือนกับนักร้องเพลงนี้จะรู้ทันความคิดของเขา ใช่...เราไม่เคยจะรักกันมีแต่วันที่อ่อนไหว ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา
เจ็บเพราะเขา แต่เกลียดเขาไม่ลง โกรธเขาไม่ได้ ลืมเขายิ่งไม่มีทางแทนที่จะเข็ดไม่อยากเข้าใกล้ แต่เมื่อนึกถึงภาสกรทีไรก็จะสัมผัสได้ว่าเรื่องระหว่างเขาและภาสกรกลายเป็นแค่ความประทับใจที่ยังคงแน่นหนา อย่างในเพลง มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ... แต่ฝนกับฟ้าจะมาเข้าใจอะไรเขา
ไม่มีใครเข้าใจเขาหรอก
หนุ่มน้อยเอื้อมมือปิดวิทยุ วางรูปของคุณชายไว้ที่เดิมเขาควรจะย้ายออกไปจากห้องของปุยฝ้ายในอีกวันสองวันนี้ แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้จนแล้วจนรอดว่าควรจะไปจริงๆหรือเปล่า แม้จะจ่ายค่าเช่าห้องไปแล้วแต่ก็ทำใจออกไปอยู่คนเดียวไม่ได้... ความจริงไม่มีใครรู้หรอกว่าเหตุผลเดียวที่นทีไม่ยอมไปจากแฟลตนี้คือ
มันเป็นที่เดียวที่ภาสกรจะหาเขาพบ ถ้าชายหนุ่มจะกลับมาหาเขาสักวันชายหนุ่มจะหาเขาพบได้ที่นี่เท่านั้น เขาจึงไม่ยอมย้ายออกไปจนแล้วจนรอด
นทีไม่เจอภาสกรอีกเลยเป็นเดือน นับแต่วันที่กลับมาจากนครนายก
หนุ่มน้อยตกอยู่ในสภาพที่แทบจะแย่กว่าตอนพ่อและแม่เสีย ตอนที่ยังไม่เคยเจอภาสกรอย่างไรอย่างนั้น นทีนอนร้องไห้อยู่สองสามวันแรก ซึมเศร้าไม่พูด
ไม่คุยอะไรกับใคร ปุยฝ้ายชวนไปทำงานที่ร้าน Chez Moi ก็ไม่ไป แต่ไปสมัครงานพาร์ทไทม์ร้านอาหารใกล้ๆนั้นแทน ทั้งที่เงินก็ได้น้อยกว่า งานก็หนักกว่า เพื่อนสาวเข้าใจโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกเลยว่า นทีกับภาสกรคงทะเลาะกัน หรือผิดใจกัน ไม่ก็มีอะไรสักอย่างระหว่างกันที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้
หล่อนเป็นห่วงเพื่อนเกินกว่าจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขาสองคน หล่อนก็เลยไม่ได้ถามนที ได้แต่ปลอบใจและหาอะไรให้ทำแก้เครียดเท่านั้น
นทีใจสลาย เจ็บเกินกว่าที่จะเชื่อว่าตัวเองจะเป็นได้เพียงเพราะคนคนเดียวเขารักภาสกรมาก คิดถึง อยากเจอหน้า อยากพูดคุยด้วย อยากอยู่ใกล้ชิดกับคุณชายหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้อีก เมื่อภาสกรเป็นฝ่ายบอกเองว่าเขาไม่ได้ชอบผู้ชาย... ก็คือไม่ได้ชอบเขาเลย ไม่ได้รู้สึกต่อเขาอย่างที่เขารู้สึกต่อคุณชาย
เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นก็ไม่ต่างจากที่มันเคยเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า คือเป็นไปเพราะตัณหา เหมือนเขาเป็นเครื่องระบายอารมณ์ทางเพศเท่านั้น มิได้มีความหมายอื่นสำหรับใคร แม้สำหรับภาสกรที่เขาเชื่อว่าดีกับเขามากกว่าใครในโลกแล้วก็ตาม นทีสิ้นหวังไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต กินไม่ได้นอนไม่หลับจนไม่สบาย นอนซมอยู่หลายวัน ผ่ายผอมไปจนผิดตา
“ไอ้น้ำเอ๊ยลืมเขาเถอะแก”
“เป็นแก แกจะลืมคนที่ทำให้แกเกือบตาย แต่ก็ให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้หรือ... เขาเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของฉัน เขาทำให้ฉันดีขึ้นจากตอนที่สิ้นหวังเหลือเกิน แล้วก็อีกครั้งทำให้ฉันหมดแรงจะใช้ชีวิตต่อไป คุณชายภาสกร กลายเป็นคนสำคัญในชีวิตฉันไปแล้วไม่ว่าแกจะว่าอย่างไรก็ตาม เขามีอิทธิพลต่อฉันอย่างที่ฉันปฏิเสธไม่ได้เลย”
ปุยฝ้ายโทรไปปรึกษาดาริกาแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา เพราะดาริกาเองก็ไม่ได้เจอภาสกรเช่นกัน เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งกับงานของตนจนไม่มีเวลามาพบหน้าสังสรรค์กันอีก กระทั่งวันที่ดาริกาต้องมาประชุมกับภาสกรเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถึงวันงานแฟชั่นโชว์หล่อนถึงตั้งใจจะพูดเรื่องนทีกับคุณชายหนุ่ม
หล่อนพูดเรื่องของภาสกรกับนรัตถพล ก็ได้คำตอบจากพี่ชายของตัวเองว่า “เรื่องของคนอื่นเขา เธออย่าเข้าไปยุ่งจนกว่าเขาจะต้องการความช่วยเหลือจากเราเอง ตอนนั้นจะช่วยเขาอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการให้ช่วย ไปยุ่งกับเขาก็คือแส่หาเรื่องเท่านั้นแหละ”
วันงานแฟชั่นโชว์คือวันเสาร์นี้ อีกสามวันนับจากวันนี้ วันที่จู่ๆฝนก็ตกหนักเหลือเกิน ดาริกาได้เครื่องประดับทั้งหมดที่ต้องใช้มาจากดลนภาแล้วแยกเป็นชุดไว้กับเสื้อผ้าของหล่อนเอง ภาสกรไม่ได้มายุ่งกับขั้นตอนนี้ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เข้าออฟฟิสทำงานมาหลายวัน ถามเอาจากดลนภาก็ได้ความแค่ว่า
“คุณชายไม่ค่อยสบายค่ะ”
จนดาริกาต้องเป็นฝ่ายรวบรวมความกล้าโทรไปหาชายหนุ่มเอง
“คุณชายพอจะว่างคุยกับหญิงไหมคะ หญิงอยากจะพูดกับคุณชายเรื่องวันงาน แล้วก็... เรื่องส่วนตัวบางเรื่องด้วย”
“ผมว่างทุกวันคุณหญิงนัดผมมาเลยครับ”
“วันนี้ค่ะ หญิงอยู่พัทยาแล้วถ้ารออีกจะไม่ได้คุย ถ้าไม่ใช่วันนี้หญิงไม่รู้แล้วค่ะว่าจะว่างวันไหนบางทีอาจเป็นวันงานทีเดียวก็ได้” ดาริกาพุ่งเข้าเป้าหมายทีเดียวจนภาสกรเงียบไปหลายนาทีกระทั่งตอบว่า
“ผมออกไปหาคุณหญิงได้ที่ร้าน Chez Moi เดี๋ยวนี้ แต่คุณหญิงจำได้ไหมครับ เรื่องที่เราคุยกันที่นครนายก... ผมอยากพบคุณชายนรัตถพล คุณหญิงพอจะรู้ไหมครับว่าผมจะไปหาเขาได้ที่ไหน”
“พี่ชายรัตเองก็มาเที่ยวพัทยาเหมือนกัน หญิงจะพาพี่ชายรัตไปหาด้วยค่ะ... อ๋อใช่ค่ะ วันนี้ เดี๋ยวนี้เลยค่ะ... ค่ะ ทั้งๆที่ฝนตกหนักราวกับฟ้าถล่มนี่ล่ะค่ะ”
ภาสกรผอมลง แทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นคนละคนจนดาริกาเกือบจำไม่ได้ แก้มตอบลงชัดเจนเพราะไม่ยอมกินอะไร ใต้ตาก็คล้ำเห็นชัดว่าขาดนอนมาหลายคืน สีหน้าอมทุกข์ไม่เหมือนกับภาสกรที่หล่อนรู้จัก เรียกได้ว่าครบตามคุณสมบัติของผู้มีอาการ “อกหัก” ทุกประการ
นรัตถพลปล่อยผมดำลงมาเคลียบ่า สายตาเป็นมิตรเช่นเดียวกับดาริกา ส่งยิ้มให้ภาสกรอย่างเป็นกันเอง ชายหนุ่มตรงหน้านี้ก็เป็นหนุ่มร่างบาง สะโอดสะอง หน้าสวยราวกับหญิงสาวเช่นกัน แต่แปลกเหลือเกินที่ภาสกรกลับไม่ได้สนใจเขามากเท่าที่สนใจนทีเลย
ทักทายกันไม่ให้เสียมารยาทแล้วดาริกาก็พูดขึ้น
“ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอคุณชายค่ะ แต่คุณชายผอมลงมากนะคะมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ” นี่แหละดาริกา มุ่งตรงเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม แต่ใช้น้ำเสียงเรียบสงบ นุ่มนวลน่าฟังจนชายหนุ่มไม่รู้สึกว่าถูกโจมตี
ภาสกรถอนใจ
“คุณหญิง พอจะทราบเรื่องผมกับนทีหรือเปล่า”
ดาริกายิ้มหวานดูสวยจับใจจนภาสกรอดไม่ได้ที่จะแอบชมในใจ ตอบว่า
“ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่นทีป่วยซมไปหลายวัน คุณชายก็ดูผอมๆแปลกๆ เป็นโรคอะไรแล้วติดกันหรือเปล่าไม่รู้นะคะ” หล่อนพูดอย่างขำๆ จนนรัตถพล
อดไม่ได้ที่จะเสริมว่า
“โรคอกหักหรือเปล่าครับ”
ภาสกรเงียบ นี่เขาจะต้องยอมรับกับดาริกาจนได้หรือนี่
“คุณหญิง คุณชายรัตอย่าบอกใครเลยนะครับผมขอร้อง...”รวบรวมความกล้าพูดไปได้เพียงครึ่งประโยคก็หยุดเท่านั้น นึกอายเหลือเกินที่พูดออกมา “ผมไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อนผมพูดจริงๆ อย่างที่เคยคุยกับคุณหญิงไปบ้างแล้ว จนกระทั่งที่นครนายก... ผมปล่อยให้ใจของผมถลำลึกลงไปมาก จนมาบัดนี้แม้จะไม่ได้เจอเขาอีก ผมก็ไม่สามารถลืมเขาได้เลย”
ดาริกาขยับเหมือนจะเอื้อมมือมาจับมือภาสกรบีบเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะอยู่ในที่สาธารณะที่คนพลุกพล่านเกินไป
“คุณหญิงคงพอเดาออกว่าเขาที่ผมพูดถึงนี้เป็นใคร”
ภาสกรเงียบไปในที่สุด พูดอะไรไม่ออกอีกต่อไปได้แต่มองหน้าดาริกาด้วยคงามไม่สบายใจจน นรัตพลเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“พี่กับคุณชายก็ไม่สนิทอะไรกับเท่าไหร่หรอกนะ พี่ไม่รู้นิสัยใจคอคุณชายแต่พี่รู้ว่าอาการของคนมีความรัก และอกหักน่ะเป็นยังไง... คุณชายจะยอมรับกับตัวคุณชายเองไหมว่าคุณชายอกหักเพราะคนคนนี้”
“ผม... ครับ ผมยอมรับ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว แล้วก็รู้ว่าเขาเองก็คิดไม่ต่างจากผม แต่ผมก็โง่เหลือเกินที่ได้ปฏิเสธเขาไปแล้วด้วยไม่ทันได้มีโอกาสคิดดูดีๆ” เขาเงียบไปพักหนึ่ง ราวกับจะเรียบเรียงคำพูดในหัว แล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ผมโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างซีเรียส จริงจังกับทุกๆอย่าง พี่ชายรัตคงเข้าใจว่าการเป็นคนมียศ มีศักดิ์มันลำบากมาก ทำอะไรต้องนึกถึงบรรพบุรุษไว้ให้มาก จะให้เสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูลไม่ได้เด็ดขาด
ผมถูกปลูกฝังมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าผู้ชายเกิดมาคู่กับผู้หญิง ผมไม่เคยคิดว่าการเป็นเกย์เป็นเรื่องผิดก็จริง แต่ผมก็ยอมรับไม่ได้จนแล้วจนรอดว่าตัวเองก็เป็นด้วย ผมไม่รู้ว่าชีวิตผมจะเป็นอย่างไรถ้าผมเลือกเดินทางสายนี้ ผมกลัวครับว่าจะไม่มีคนยอมรับ กลัวหม่อมแม่ กลัวท่านพ่อ กลัวสังคม ผมไม่กล้าปล่อยให้ความสัมพันธ์ของผมกับเขาดำเนินต่อไปก็เพราะแบบนี้”
“คุณชายบอกผมว่าคุณชายไม่รู้ว่าถ้าคุณชายเป็นเกย์แล้ว ชีวิตคุณชายจะเป็นอย่างไร ไหนคุณชายบอกผมทีซิว่า ถ้าคุณชายเลือกที่จะไม่เป็นเกย์ ชีวิตคุณชายจะเป็นอย่างไรครับ”
ภาสกรนิ่งไป คำถามของนรัตถพลยากกว่าข้อสอบข้อไหนที่เขาเคยทำมา สุดท้ายเมื่อถูกสายตาของนรัตถพลรบเร้าเข้าก็เลยจำใจตอบว่า
“ชีวิตของผมถูกวางไว้แล้วว่าต้องเข้าเรียนโรงเรียนดีๆ ประพฤติตัวดีๆ จบออกมาทำงานดีๆซึ่งก็คือสืบทอดกิจการของท่านพ่อ จากนี้ไปผมก็คงจะต้องแต่งงานมีลูกมีภรรยา เป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดีเป็นตัวอย่างให้คนในสังคมให้ใครเขาตำหนิไม่ได้มังครับ”
นรัตถพลยิ้มที่มุมปากแล้วพูดว่า
“คงจะต้อง... มังครับ คุณชายรู้ไหมว่าคำเหล่านี้เขาใช้กับประโยคแบบไหน” คุณชายหนุ่มผมยาวดำขลับหยักศกเป็นคลื่น ยิ้มให้ภาสกร “ประโยคที่เป็นข้อสันนิษฐานไงครับ ประโยคทรรศนะที่แสดงอาการคาดคะเน แสดงความไม่แน่ใจของตัวผู้พูด ไม่ใช่ประโยคที่เป็นข้อเท็จจริง”
ภาสกรรู้สึกเหมือนถูกจับกดน้ำ แล้วกระชากศีรษะขึ้นมาอีกครั้งทำให้ได้สติ มองเห็นอะไรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าคุณชายไม่เป็นเกย์คุณชายจะมีชีวิตแบบนั้น” ถูกของนรัตถพล ภาสกรเถียงไม่ได้เลย “ถ้าผมพูดว่า พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก ก็หมายความว่ายังไงเสียมันก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าผมพูดว่าพรุ่งนี้ ฝนคงตกอีกแน่ๆ ถึงจะมั่นใจแค่ไหนแต่ความจริง มันจะตกหรือไม่ก็ได้จริงไหมครับ ชีวิตของคุณชายก็เหมือนกัน
คุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าคุณชายเลือกไม่รักคนคนนี้ คุณชายจะได้แต่งงานมีลูก มีเกียรติมีหน้ามีตาอย่างที่คุณชายบอก แล้วคุณชายจะรู้ได้อย่างไรว่าถ้าคุณชายเลือกจะรักเขา เป็นแฟนกับเขาแล้วคุณชายจะถูกสังคมกีดกัน ไม่ยอมรับ อนาคตเป็นเรื่องของอนาคตครับคุณชาย ต่อให้เราคิดรอบคอบดีแล้วแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่จำเป็นจะต้องตรงกับที่เราคิดเสมอไป เรื่องสังคมไม่ยอมรับ ผมว่า... คนเราไม่ชอบคุยเรื่องดีๆของคนอื่นหรอกครับมันไม่สนุก ต่อให้คุณชายไม่ได้เป็นเกย์ใครต่อใครก็หาเรื่องมาว่าคุณชายได้อยู่แล้ว ยังไงเสียพูดให้คนอื่นเสียหายก็มันส์ปากกว่ากันเยอะครับ ฉะนั้นคุณชายอย่ากลัวข้อนี้เลย”
ภาสกรไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้คล้อยตามเสียทีเดียว ปล่อยให้นรัตถพลพูดต่อไป ตัวเขาจะเป็นฝ่ายเก็บข้อมูลไปก่อน
“ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเกย์แล้วดีเป็นไปเถอะ หรือจะบอกว่าเป็นชายแท้มันไม่ดีอย่าเป็นเลยนะ... แต่ผมจะบอกคุณชายว่า ถ้าคุณชายเป็นอะไรไปแล้วก็ยอมรับมันเถอะครับ ชีวิตมันมีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวมัน ยอมรับมันให้ได้ แล้วอยู่กับมันเสียเถอะครับ” นรัตพลมองหน้าเขาด้วยแววตาจริงจังเคร่งเครียดจนดาริกาต้องเสริมมาว่า
“มันมีหลายวิธีที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นคนดีค่ะคุณชาย ไม่ใช่ว่าต้องเป็นชายแท้แต่งงาน มีลูกสืบสกุลให้พ่อแม่อย่างเดียวนี่คะ” หล่อนยกมือวางบนบ่าของพี่ชาย “ดูพี่ชายรัตซีคะ เขารักใครชอบใครก็ไม่ได้เอามาเที่ยวโชว์ให้คนอื่นเห็นจริงไหมคะ เขาก็มีชีวิตของเขาก้าวเข้าบ้านเขาก็มีคู่รักที่รอเขากลับมา ออกนอกบ้านเขาก็ทำหน้าที่ที่ดี คุณชายเคยได้ยินใครมาว่าอะไรพี่ชายรัตหรือคะนอกจากเรื่องที่เขาไม่แต่งงานเสียที เราไม่สนใจเป็นทุกข์เป็นร้อนเสียอย่างคุยไปคุยมาคนก็ลืมค่ะ”
“ใครก็บอกอะไรเราได้ทั้งนั้น แล้วคุณชายจะคิดยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่ความจริงก็คือความจริง คุณชายเป็นอะไร รู้สึกอย่างไรกับใครคุณชายก็รู้ตัวเองดี แล้วคุณชายจะไปหนีความจริงทำไมเล่าครับ คุณชายรักเขาไปแล้วไม่ใช่ไม่รัก ถ้าไม่รัก ถ้าเลือกได้จะมานั่งทุกข์ใจอยู่อย่างนี้หรือครับ อนาคตเป็นเรื่องของอนาคต รีบตัดสินใจเสียครับ ก่อนที่เขาจะหลุดมือไปไม่กลับมาอีกเลย”
“เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ คุณชายยังอยากเจอน้องน้ำอีกไหมคะ” ดาริกาถาม