32
ภาสกรรู้สึกคุ้นชื่อของผู้ชายคนนั้นอย่างประหลาด แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นหน้าก็เลยสรุปกับตัวเองว่า คงจะคิดไปเองมากกว่าในเมื่อเขาไม่เคยเจอกันเลย
คุณอดิสรณ์ เป็นหนุ่มใหญ่อายุราวๆ สี่สิบกลางๆไปถึงสี่สิบปลาย กระนั้นก็ยังดูดีเท่าที่จะดูได้ ใบหน้าบ่งบอกว่ามีเชื้อสายจีนคือตาเล็กชี้แหลมที่อยู่หลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยม มีพลังอยู่ในแววตาบ่งบอกว่าเป็นคนมีอำนาจ และมั่นใจในตัวเองมาก จมูกโด่งเล็กน้อยริมฝีปากเหยียดยาวออกคล้ายยิ้มหยันอยู่ตลอดเวลา ริ้วรอยบนใบหน้ามีบ้างเท่าที่วัยขนาดนั้นควรมี ผมของอดิสรณ์คงเป็นสีขาวแค่บางส่วนเจ้าตัวเลยรำคาญย้อมจนมันขาวโพลนไปทั้งหัวทำให้ดูแก่กว่าความจริงเล็กน้อย กระนั้นคิ้วเข้มหนาก็ยังพอทำให้ดูหน้าคมได้บ้าง
หุ่นสูงใหญ่กำยำอยู่ใต้ชุดสูทอย่างดีมองปราดเดียวก็รู้ว่าของมียี่ห้อ ไม่ก็ตัดมาราคาแพงแน่ มือแข็งแกร่งยื่นมาจับมือภาสกร เชคแฮนด์แบบฝรั่งตัดปัญหาว่าใครควรจะเป็นฝ่ายไหว้ใครแน่ ในเมื่อฐานันดรศักดิ์ของฝ่ายที่อายุน้อยกว่าดันสูงกว่าคนสามัญที่อาวุโสกว่าอย่างนั้น
“สวัสดีครับคุณชายภาสกร” น้ำเสียงหนักแน่นกล่าวทั้งรอยยิ้มบ่งบอกว่าถ้าคนคนนี้ไม่ใช่คนเสียงดังประเภทเฮฮา ขี้เล่นละก็คงเป็นประเภทโวยวาย เอาแต่ใจอารมณ์ร้อนเป็นแน่ “ได้ยินชื่อมานานเพิ่งมีโอกาสได้รู้จักกันก็วันนี้นะครับ”
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยิ้มเนือยๆ ตามประสาคนที่ทำไปเพื่อผลประโยชน์ไม่ได้อยากสมาคมด้วยนัก “คุณหญิงก็พูดถึงคุณอดิสรณ์ไว้มากเหมือนกันครับ”
“คงพูดไว้ว่าผมน่ากลัวมากล่ะสิ” อดิสรณ์หัวเราะตัวโยน ก่อนจะหันไปหาลูกน้องที่ใส่ชุดสูทยืนเป็นกลุ่มอยู่ด้านหลัง พยักหน้าให้น้อยๆก่อนที่ชายเหล่านั้นจะแยกย้ายกันไป ทิ้งให้นายของมันยืนอยู่กับภาสกรอย่างนั้น
“ไม่หรอกครับ คุณหญิงเล่าว่าเป็นคนเก่ง มีความสามารถมากครับ” ภาสกรว่าไปตามบททั้งที่จำไม่ได้หรอกว่า ความจริงได้ยินชื่ออดิสรณ์ที่ไหน... ที่แน่ๆคือไม่ได้มาจากปากของดาริกา
“คุณอดิสรณ์ทำธุรกิจอยู่หลายอย่างค่ะ มีทั้งนำเข้า ส่งออกพลอยไปถึงทำการค้ารังนกกับจีนแล้วก็ฮ่องกงใช่ไหมคะ”
“ครับ ก็เรื่องรังนกนี่เพิ่งมาทำยังไม่ได้ชำนาญอะไร ดีที่ว่าไปเจอถ้ำในเกาะส่วนตัวเข้าพอดีมันมีรังนกเยอะ ก็เลยผันตัวไปเล่นทางนี้บ้าง” อดิสรณ์เล่าไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้คิดคุยหรืออะไร
“โอ้โห มีเกาะส่วนตัวด้วยอยู่ที่ไหนหรือครับในพัทยาหรือว่าแถวทางใต้”
“อยู่ทางใต้น่ะครับ” เจ้าตัวตอบเท่านั้น เห็นว่าไม่อยากคุยเยอะเรื่องเกาะ ภาสกรก็เลยเลิกสนใจเรื่องนี้ แล้วพยายามชวนคุยเรื่องอื่นไปเท่าที่จะทำได้ สองหนุ่มวิสาสะกันอยู่ไม่นานภาสกรก็ต้องแยกออกมาดูแลความเรียบร้อยของเหล่าเครื่องประดับหลังเวที เพราะงานเดินแฟชั่นจะเริ่มในไม่กี่นาทีนี้แล้ว
ไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนเพิ่งจะเข้ามาในบริเวณงาน
นทีสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อน เปิดกระดุมไว้สองสามเม็ดเพราะความร้อน ปล่อยผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด เดินช้าๆตามปุยฝ้ายเข้ามาในงานเดินแบบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พอแจ้งชื่อกับพนักงานว่าเป็นแขกของเจ้าของงานแล้วก็เดินเข้าไปนั่งกันอยู่เกือบสองแถวสุดท้ายถัดมาจากรันเวย์ไม่ทันได้เข้าไปคุยกับดาริกาก่อนเพราะว่างานเริ่มไปแล้วกว่าทั้งคู่จะเข้ามาถึงที่นั่งได้
หนุ่มน้อยนั่งลงข้างๆเพื่อนสาวที่ดูร้อนรน ตาลอกแลกมองซ้ายมองขวาอยู่ไม่เป็นสุข ไม่ได้สนใจบรรดานางแบบที่เดินออกมาในชุดว่ายน้ำสีสดใสเลย
“ฝ้ายเป็นอะไร ดูแปลกๆนะแกไม่เห็นสนใจนางแบบเลยแล้วจะลากฉันมาแต่แรกทำไม” หนุ่มน้อยอดไม่ได้พูดบ่นขึ้นมา
เพื่อนสาวได้ยินดังนั้นก็แทบจะสะดุ้ง กลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะแหะๆ อย่างไม่ใส่ใจแล้วก็ดูแฟชั่นต่อไปแต่พอนทีผิดสังเกตแล้ว หนุ่มน้อยก็อดที่จะระแวงไม่ได้ต้องมองซ้ายมองขวาหาความผิดปกติที่ทำให้เพื่อนสาวกระสับกระส่าย แต่หาไม่เจอก็เลยหันมาคาดคั้นเอาจากเพื่อนแทน
“แกหาใครอยู่ล่ะ หาคุณหญิงหรือ”
“เปล่าๆ คุณหญิงก็น่าจะอยู่หลังเวที ดูแลนางแบบให้เรียบร้อยไม่งั้นก็คงนั่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งในนี้แหละ” หล่อนว่าอย่างมีพิรุธ แล้วก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ดูนางแบบสาวสวยร่างสูงเดินไปตามความยาวของรันเวย์ที่วางตัวขนานไปกับชายหาด เห็นเกลียวคลื่นด้านหลังสาดซัดเข้าหาฝั่งอย่างสวยงาม
“เอ้าแล้วแกหาใคร คนรู้จักหรือไง”
“เปล่า ก็บอกว่าเปล่า เอ๊” ปุยฝ้ายขึ้นเสียงแหลมอย่างไม่พอใจ กลัวว่าเพื่อนหนุ่มจะรู้ทันแผนการของหล่อน แล้วก็กลัวด้วยว่า หากต่างฝ่ายต่างเห็นกันเองก่อน แล้วดันเล่นตัวไม่ยอมอ่อนเข้าหากันละก็ แผนของหล่อนคงล่มแน่ๆ ปุยฝ้ายจึงรีบผละออกมาจากนที แล้วตัดสินใจโทรรายงานดาริกา แม้ว่าหล่อนอาจจะยุ่งอยู่ก็ตาม แต่แผนนี้จะต้องไม่ล่ม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
หลังเวที ภาสกรดูภาพนางแบบสาวสวยแต่ละคนเดินกระฉับกระเฉงไปบนรันเวย์ มีเครื่องประดับที่ตนออกแบบและควบคุมผลิตเองอยู่บนเรือนร่าง ผ่านจอมอนิเตอร์ที่ถ่ายทอดภาพจากด้านนอกมาฉายให้เขาได้เห็นข้างในแล้วก็รู้สึกสบายใจไปเปราะหนึ่งว่าอย่างน้อย คนก็พอจะชอบผลงานของเขาอยู่บ้าง แต่ใจหนึ่งก็แอบกังวลไม่น้อยเกี่ยวกับนที
เขายังไม่ได้คุยกับหนุ่มน้อยแม้สักครั้งเดียวหลังจากกลับมาจากนครนายกแล้ว ต่อให้เขาจะตั้งเป้าไว้กับตัวเองแล้วว่าให้ทำงานให้เสร็จเสียก่อนค่อยไปสนใจเรื่องส่วนตัวของตัวเองก็ตาม แต่เขาก็ยังคิดถึงอยู่นั่นแหละ
นทีคงชอบอะไรแบบนี้ คุณชายหนุ่มคิดแล้วก็ได้แต่เพียงก้มหน้านิ่งโทษตัวเองว่าไม่ควรปล่อยให้ฝ่ายนั้นหายไปจากชีวิตของตนเลยจริงๆ เมื่อไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้คุยกันแล้ว ภาสกรก็รู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นขาดอะไรที่ไม่ควรขาดไป... คนเราต่อให้มีอาหารดีๆกินสักกี่มื้อ หากขาดน้ำสักเพียงแก้วเดียวในแต่ละวันก็คงจะรู้สึกไม่สบายตัวแน่ๆ
ดาริกาเดินเข้ามาหาภาสกรจากด้านข้าง ชายหนุ่มก็คงจะพอรู้ตัวก็เลยหันมากำลังจะอ้าปากทัก โทรศัพท์ก็ดังเข้าเครื่องของหม่อมราชวงศ์หญิงเสียก่อน ดาริกาจึงส่งสัญญาณทำนองขอตัวมาให้ แล้วหล่อนก็ผละออกไปสักพัก
คุณชายหนุ่มดูแลนางแบบจนแน่ใจว่าเรียบร้อยดีแล้วก็เลยออกมาสูดอากาศริมทะเลข้างนอกบ้าง พอออกมาจากหลังเวทีก็แทบจะชนเข้ากับอดิสรณ์ที่กำลังเดินจ้ำๆ คุยโทรศัพท์เสียงเครียดอยู่ผ่านออกไป คุณชายเอ่ยขอโทษเบาๆแล้วก็ปล่อยให้นักธุรกิจหนุ่มเดินหายไปด้านหลังเวที ตัวเองเดินไปมองเกลียวคลื่นในทะเลที่สาดซัดเข้าระรอกแล้วระรอกเล่า แสงของดวงอาทิตย์ฉายอยู่บนผิวน้ำระยิบระยับราวอัญมณี
น้ำทะเลจะสวยได้อย่างไรหากไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องมาอย่างนี้ และดวงอาทิตย์ไม่ว่าจะทอแสงไปกระทบสิ่งใด ก็คงสู้ไม่ได้กับส่องมากระทบผืนน้ำ
ภาสกรขมวดคิ้วแน่น หรือเป็นเพราะเขาและนทีเกิดมาคู่กัน จะแยกออกจากกันไม่ได้เล่า... เมื่ออยู่ไกลกันถึงได้ทุกข์ใจเช่นนี้
“น้องฝ้ายโทรมาค่ะว่าถึงแล้ว เสร็จงานจะมาพบคุณชายทนรอหน่อยเดียวค่ะ” เสียงหวานนุ่มของดาริกาดังมาจากด้านหลัง ภาสกรได้ยินคำว่าปุยฝ้ายก็รีบหันไปมองโดยไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดนอกจากเพื่อนชายคนสนิทของเจ้าของชื่อนั้น ประกายแห่งความสุขฉายชัดอยู่ในแววตาของภาสกรจนดาริกาเองก็สัมผัสได้
“คุณฝ้ายมางานหรือครับ” ภาสกรถามอย่างร้อนรน “แล้วเขาเจอนทีแล้วหรือยัง นทีจะมางานนี้ด้วยหรือเปล่าครับ”
“ใจเย็นๆค่ะคุณชาย ถามเสียหลายคำถามจนหญิงตอบไม่ถูกแล้ว”
ดาริกาหัวเราะร่า ไม่รู้ว่านักธุรกิจหนุ่มใหญ่ได้ยินทั้งคู่คุยกันแทบทุกคำจากด้านหลัง
“น้องฝ้ายอยู่ในงานแล้ว ส่วนน้องนทีก็มาด้วยค่ะ”
ในโลกนี้จะมีคนชื่อฝ้ายสักกี่คนที่มีเพื่อนชื่อนทีพอดีเล่า เหมาะเจาะเสียจนไม่ต้องเดาแล้วว่าเป็นคนคนเดียวกับที่อดิสรณ์ต้องการพบเช่นกัน เขาควานหาตัวหนุ่มน้อยคนนี้อยู่ตั้งนานไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเอาง่ายๆโดยบังเอิญขนาดนี้
อดิสรณ์มีรอยยิ้มแสยะขึ้นบนใบหน้า ราวกับรอยยิ้มของพญามารที่พร้อมจะดึงเอานทีกลับเข้าขุมนรก เด็กคนนี้เป็นคนที่เขารักมากก็จริง แต่ในขณะเดียวกันมันก็สร้างแผลให้เขามากเหลือเกิน... สาหัสเพราะมันมากเสียจนต้องเอาคืนให้สาสม! นักธุรกิจหนุ่มใหญ่รอจนดาริกากลับเข้าหลังเวทีไปดูแลนางแบบเสียเรียบร้อยแล้วจึงเดินเข้าไปหาภาสกรช้าๆ
“คุณชายครับ” เขาเอ่ยเรียกชายหนุ่มเบาๆ เจ้าของชื่อไม่รู้หรอกว่า หากตนทำหูทวนลมไม่รู้เรื่องแล้วเดินหายไปเสีย ความหายนะต่อตนและคนที่ตัวเองรักก็คงจะไม่บังเกิดขึ้น... เพราะไม่รู้นี่เอง ภาสกรจึงหันไปหาอดิสรณ์ด้วยความแปลกใจ เอ่ยปากทักอีกฝ่ายขึ้นว่า
“มีอะไรหรือครับคุณอดิสรณ์”
“ขอโทษที่ต้องเข้ามาทักทั้งๆที่คุณก็ดูเหมือนอยากอยู่คนเดียวอย่างนี้” เขามุ่งเข้าประเด็นแทบทันทีหลังจากหยอดคำทักทายโปรยไว้ให้ตายใจเสียก่อน ด้วยมาด และชั้นเชิงของนักธุรกิจใหญ่ที่โน้มน้าวให้ใครต่อใครก็คล้อยตามเซ็นสัญญาใบละสิบล้านให้เขาได้นั้นเอง อดิสรณ์กำลังจะกล่อมภาสกรให้เข้าไปติดกับ “ผมบังเอิญได้ยินคุณชายคุณกับคุณหญิงดาริกา เกี่ยวกับคนที่ชื่อ ฝ้าย และ นที”
“อ้อครับ”
“จะเป็นไปได้แม้สักนิดไหมครับว่า นทีที่พูดถึงอยู่นี้ คือคนที่ชื่อ นที เสถียรลาภน่ะครับ” เขาพูดเสียงเรียบแต่วางหน้าราวกับร้อนใจเหลือประมาณจนไปกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของภาสกรเข้า ชายหนุ่มไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลังเลยตอบไปตามความจริง
“ใช่ครับน้องน้ำ นที เสถียรลาภ เอ...ท่าทางคุณอดิสรณ์จะรู้จักเด็กคนนี้นะครับ” ชายหนุ่มไม่สังเกตเห็นแววแห่งชัยชนะในดวงตาของคนตรงหน้าเอาเลย
“แหม จะให้พูดว่ารู้จักคงไม่ได้มังครับ ในเมื่อมันยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก” เขาเงียบไปพักหนึ่งให้ภาสกรลุ้นเล่นๆก่อนจะตบท้ายประโยคว่า “ก็ผมเป็นพ่อเลี้ยงของเขานี่ครับ แล้วคุณชายภาสกรเล่าไปรู้จักกับเด็กคนนี้ได้อย่างไรครับ”
ภาสกรตกใจจนอ้าปากค้าง นทีมีพ่อเลี้ยง! ทำไมไม่เคยบอกเขาเลย
“เห็นทีคุณชายกับผมคงจะต้องคุยกันนานเสียแล้ว” นักธุรกิจหนุ่มพยักเพยิดให้ลูกน้องที่ยืนประสานมือรออยู่เบื้องหลัง ก่อนจะเดินนำภาสกรไปที่ห้องแต่งตัวหลังรันเวย์ ลูกน้องที่ว่าเดินไปอีกทางหนึ่งตรงข้ามกับนายโดยสิ้นเชิง เรียกลูกน้องรายอื่นมารวมตัว แล้วแยกกันไปปิดทางเข้าออกงานทุกทาง
เพื่อว่าเมื่อเห็นนทีโผล่มาใกล้ทางออกใดก็ตาม เขาจะได้รวบตัวหนุ่มน้อยคนนั้นเอาไว้ก่อน เมื่อโทรแจ้งนาย ฝ่ายนั้นจะได้มาจัดการกับนทีได้ด้วยตัวเอง
คุณหญิงดาริกา เดินปรบมือไปตามรันเวย์ในฐานะดีไซเนอร์เสื้อผ้า ในขณะที่คุณชายภาสกรก็เดินเคียงคู่ไปกับหญิงสาวด้วยราวกับคู่รักหวานชื่นก็ไม่ปาน พอเดินไปสุดปลายรันเวย์ดาริกาก็คล้องแขนภาสกรโพสต์ท่าให้บรรดาช่างภาพถ่ายรูปกันยกใหญ่
ทิฆัมพรแทบจะหยิกท่านหญิงวิไลวรรณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆหล่อนแล้วถ้าหล่อนทำได้ เรื่องอะไรของดาริกาที่มาเข้าใกล้คุณชายของหล่อนถึงขนาดนั้น แต่จะโวยวายไปก็เท่านั้นเอง เสียภาพพจน์ของหล่อนเปล่าๆ ทิฆัมพรจึงเพียงแต่นั่งไขว่ห้างมองไปอย่างไม่สบอารมณ์ยกมือขึ้นปรบไปตามคนอื่นเท่านั้น
อีกฟากหนึ่งของรันเวย์ ก็มีอีกคนที่คราวนี้รู้สึกไม่ต่างจากทิฆัมพร
นทีนั่งจ้องคุณชายตาเขม็งทันทีที่ฝ่ายนั้นปรากฏกายขึ้นบนรันเวย์ โกรธหรือเปล่า นทีก็บอกไม่ได้ ดีใจที่ได้พบไหม นทีก็ไม่แน่ใจกับความคิดของตัวเองนัก เขาไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของปุยฝ้ายหรือเปล่าที่ให้เขามาพบกับภาสกรวันนี้ หรือไม่แน่ก็อาจเป็นความบังเอิญก็ได้ แต่พอหันไปมองหน้าเพื่อนสาวจนเต็มตาแล้ว หนุ่มน้อยก็มั่นใจว่าคงเป็นแผนการของหล่อนนั่นเอง
“แกเป็นคนวางแผนให้ฉันมาเจอคุณชายใช่ไหม”
ปุยฝ้ายไม่ยอมรับ เพียงนั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนนทีถองหล่อนแรงๆ หล่อนจึงยอมหันมาสบตาเพื่อนหนุ่ม จ้องกันได้ไม่นานหรอกหล่อนก็เป็นฝ่ายแพ้
“ย่ะๆ ฉันพาแกมาเจอกับเขาเอง ทำไมหรือแกจะบอกว่าแกไม่อยากเจอเขาล่ะ” ปุยฝ้ายมองจิกนทีด้วยสายตาทำให้อีกฝ่ายร้อนวูบวาบไปหมด รู้ดีว่าปฏิเสธปุยฝ้ายไปก็เท่านั้น เพราะหล่อนรู้จักเขา ดีกว่าเขารู้จักตัวเองเสียอีกแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถือทิฐิตอบไปว่า
“ก็ไม่อยากเจอน่ะสิ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายไม่อยากเจอฉันเองแต่แรก”
“อย่ามาปากแข็งหน่อยเลย” ปุยฝ้ายจ้องเพื่อนหนุ่มเขม็ง “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างแกกับคุณชายมีอะไรหรือเปล่า แต่ฉันก็ไม่อยากให้แกจากเขามาเฉยๆอย่างนี้ ตั้งแต่ที่นครนายกวันสุดท้ายนั่นแกก็ไม่คุยกับเขาอีกเลย กลับมาแกก็ย้ายห้องหนี แกจะให้ฉันคิดยังไง นอกจากแกงอนอะไรคุณชาย แต่แกก็ปฏิเสธไม่ได้
หรอกว่า แกก็คิดถึงเขา”
นทีไม่เถียงอะไรแต่ลุกขึ้นเฉยๆ อย่างนั้นก้าวเท้าหนีมาจากเพื่อนสาวคนสนิท ฝ่ายนั้นพยายามวิ่งตามเขามา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าพยายาม เพราะนทีสูงกว่า ขายาวกว่า ก้าวได้ไกลกว่าเผลอแปบเดียวหนุ่มน้อยก็หายไปจากสายตาของปุยฝ้ายเสียแล้ว หญิงสาวเดินตามไปอย่างท้อใจกระทั่งถูกมือแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งคว้าหมับเข้าที่แขนของหล่อน หันไปก็จำได้ว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งของ
อดิสรณ์! “น้องฝ้าย... ไปเดินเล่นดูทะเลกับพี่ดีกว่า”
น้ำตาของนทีเอ่อคลอเบ้า... เพราะอะไร? ทำไมเขาต้องหนี ทำไมเขาต้องแคร์ภาสกรในเมื่ออีกฝ่ายไม่เคยแคร์เขาเลย เมื่อเขาหนีออกมาจากห้องของปุยฝ้าย คุณชายก็น่าจะใส่ใจตามหาเขาบ้างซี ไม่ใช่ก็ปล่อยเลยตามเลยหายไปด้วยแบบนี้ ความหวังลึกๆว่าคุณชายจะมาตามหาเขา บอกว่าคิดถึงเขา บอกว่าอยากอยู่กับเขาตลอดเหมือนที่เคยๆบอกมานั้น พังทลายลงไปแล้ว จนจู่ๆ ปุยฝ้ายลากเขามาเจอกับภาสกรในวันนี้มันก็ก่อตัวขึ้นอีก แต่ทั้งๆที่อยากเข้าไปหา อยากเข้าไปพูดคุยและบอกรักเท่าไร นทีก็ไม่อาจทำได้ในเมื่อคุณชายก็กำลังเจริญก้าวหน้าไปเป็นคนใหญ่คนโต อนาคตดูสดใส และรุ่งเรือง ดูจากงานนี้ก็รู้ได้แล้วว่าเขาเองก็มีความสุขและประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องพึ่งนทีเลยแม้แต่น้อย...
“ผมไม่ได้เป็นเกย์” คำพูดของภาสกรดังก้องขึ้นในใจ... ใช่นี่แหละคือคำตอบของปัญหานี้ คุณชายไม่ได้เป็นแบบเขา ฉะนั้นคุณชายก็ไม่จำเป็นต้องแคร์เขา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือห่วงใยจนต้องตามมาง้องอนอย่างที่เขาหวัง นึกไปถึงสิ่งที่ปุยฝ้ายเคยพูดเมื่อครั้งก่อนไปเที่ยวกับภาสกรแล้ว นทีก็รู้สึกกลัวขนลุกไปหมด
“...เขาก็คิดกับแกแค่เพื่อนแบบที่เขาไม่เคยมี อาจจะเผลอใจบ้างแต่สุดท้ายถ้าเขาแมนเต็มร้อย เขาก็ต้องลงเอยกับผู้หญิงวันยังค่ำ แล้วฉันก็ไม่เห็นใครจะดีเท่าพี่ดา”
รอยยิ้มบนหน้าคุณชายบอกเขาชัดเจนอยู่แล้วว่า ผู้หญิงที่เขาจะลงเอยด้วย ก็คงเป็นคุณหญิงดาริกาอย่างที่ปุยฝ้ายเคยเชียร์ออกหน้าออกตานั้นแหละ
คิดไปคิดมาไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบตัว พอนทีเงยหน้าขึ้นแล้วก็พบว่า มีชายใส่สูทสีดำร่างสูง สวมแว่นสี่เหลี่ยมส่องประกายล้อแสงแดดยืนยิ้มกว้างอยู่ต่อหน้าเขา... ไม่ใช่รอยยิ้มของพ่อเลี้ยงที่ดีใจเมื่อได้พบลูก แต่เป็นรอยยิ้มของผู้ชนะ รอยยิ้มของปีศาจที่แสยะออกเมื่อรู้ว่าเหยื่อของตนได้กลับมาตายรังอยู่ในนรกขุมเดิมแล้ว
“เอ้า ลูก! ดีใจเหลือเกินที่ได้มาพบกันที่นี่ แหมถ้าไม่ได้คุณชายภาสกรมาช่วยไว้ เห็นทีเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้วกระมัง!” นทีเหลือบไปเห็นภาสกรยืนยิ้มอยู่ด้านหลังของอดิสรณ์ ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าทำให้นทีอยากตายไปเสียเดี๋ยวนั้นเพียงใด