-34-
“ดีจังเลยนะครับที่โรงแรมนั้นเปิดให้บริการได้แล้ว แค่เดือนเดียวรายได้ก็เข้ามามากขนาดนี้” หวางซิงกล่าวขณะถือใบสรุปงบประมาณเข้ามาให้ในห้อง โรงแรมที่ว่านี้คือโรงแรมที่ยกให้ฉู่เหวินจือเป็นคนจัดการตอนที่เข้ามาใหม่ ๆ เจ้าตัววางแผนทั้งที่ตั้ง การวางอาคาร การออกแบบ และการบริหารด้วยตัวเองก่อนที่จะจากไป ซึ่งแม้ในเวลานี้ ฉู่เหวินจือจะหายตัวไปได้ครึ่งปีแล้วก็ตาม ผลของสิ่งที่เจ้าตัวทำเอาไว้ก็ออกดอกออกผลอย่างมหาศาล ทำให้เซินเฟยไม่ต้องเหนื่อยแรงมากนักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
เซินเฟยมองดูใบรายงานงบประมาณในมือด้วยสายตาเฉยชา สำหรับเขาแล้ว การที่ทุก ๆ อย่างดูเรียบง่ายไปเสียหมดอย่างเวลานี้เหมือนจะไม่ใช่ความเป็นจริง ราวกับกำลังติดอยู่ในความฝันที่ว่างเปล่าและหวนคิดกลับไปถึงช่วงเวลาที่ความวุ่นวายประเดประดังเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ในบางครั้งเขาก็สงสัยว่าช่วงเวลาไหนกันแน่ที่จะเป็นความจริงที่ยืนยาว
เด็กหนุ่มวางแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวเลขและเส้นกราฟกลับลงไปบนโต๊ะพลางเอนหลังพิงพนักแล้วประสานมือไว้บนตัก
“วันนี้นักสืบมู่มาใช่ไหม?” คำถามของเซินเฟยทำให้หวางซิงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางแล้วพยักหน้า
“แต่คุณมู่ดูรีบจะไปทำงานผมก็เลยไม่ได้รั้งไว้ครับ ไม่ทราบว่าคุณเซินมีธุระอะไรหรือเปล่าครับผมจะได้เรียกตัวให้” เซินเฟยส่ายศีรษะให้กับคำถามของหวางซิง เขาเพียงแค่สังเกตว่าอีกฝ่ายดูมีความสุขเป็นพิเศษจึงลองถามดูก็เท่านั้น จะว่าไป หลังจากจบเรื่องทุกอย่างแล้ว แทนที่หวางซิงและมู่อี้จิงจะห่างกันไปกลับยิ่งเพิ่มความสนิทสนมกันมากขึ้นตามลำดับจนเดี๋ยวนี้ถึงขั้นไปมาหาสู่กันจนเป็นปกติ
ตอนนี้สารวัตรหรงวางมือไปโดยสมบูรณ์แล้ว ถึงเซินเฟยจะนึกเสียดายคนดีมีฝีมือที่ทำงานให้มาตั้งแต่สองรุ่นก่อน แต่มู่อี้จิงก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังไม่ว่าการงานใด ๆ เขาจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเมื่อมู่อี้จิงและหวางซิงยังคงสานสัมพันธ์กันต่อไป
“แล้วมีอะไรอีกไหม?” เซินเฟยเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหวางซิงยังคงเงียบแต่ไม่ได้เดินออกไปจากห้องหรือหันไปทำงานอย่างอื่นตามปกติ
“ครับ” หวางซิงรีบตอบรับแล้วหยิบการ์ดใบเล็ก ๆ ออกมาจากกองเอกสารบนอ้อมแขนก่อนจะวางลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปตรงหน้าเซินเฟย
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว นึกแปลกใจว่ามีใครคิดอยากจะเชิญเขาไปงานที่ไหนอีก ในเมื่อช่วงนี้เขตของเขาแทบจะไม่มีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้น กระทั่งข่าวมงคลก็ยังเงียบเชียบ เขาเลื่อนบัตรเชิญมาตรงหน้ามองดูซองสีชมพูอ่อนปั๊มตราสีทองอย่างสวยงาม แต่รอยปั๊มนั้นทำให้เขาต้องมุ่นคิ้ว เพราะตราสีทองที่ปรากฏบนซองเป็นตราประจำตระกูลหวาง หรือหากพูดให้เจาะจงมากขึ้นก็คือตราประจำตัวของเสวียนอู่ หากมองจากซองแล้วคงจะคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากงานมงคลของทางเสวียนอู่กำลังจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และทางนั้นต้องการเชิญเขาไปร่วมงานด้วย
หากเป็นเรื่องของทางเสวียนอู่ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่มีข่าวคราวในถึงหู เซินเฟยเปิดซองออก ดึงการ์ดที่ทำจากกระดาษหอมออกมาเปิดอ่านและเขาพบว่าตนเองคาดเดาไม่ผิด
เสวียนอู่กำลังจะจัดงานหมั้นอาทิตย์หน้า....
ท่าทางคงจะเป็นการจัดการของทางครอบครัว เพราะอย่างไรเสวียนอู่รุ่นปัจจุบันก็เป็นผู้หญิง ในสังคมคนฮ่องกงก็คล้ายคลึงกับคนจีนหลายส่วน การจะปล่อยให้ผู้หญิงอายุน้อยตัวคนเดียวกุมอำนาจทั้งหมดโดยไม่มีบังเหียนถือเป็นเรื่องผิดปกติวิสัย แต่สำหรับมุมมองของเขา ถึงจะสมรสแล้วเขาก็ไม่คิดว่าคนอย่างเสวียนอู่ที่เขาเคยพบคนนั้นจะยอมให้ใครมาอยู่เหนือตนง่าย ๆ ซ้ำฝ่ายชายยังเป็นคนนอก อย่างดีก็แค่เข้ามาเป็นผู้ช่วยจัดการในบางเรื่องเท่านั้น หรือไม่ก็คงได้แค่เป็นสามีแต่ในนาม ไม่มีสิทธิในการบริหารใด ๆ
“ตอบรับกลับไปหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้วครับ” หวางซิงรับคำ เขารู้ดีว่างานในลักษณะใดเซินเฟยจะตอบรับหรือปฏิเสธ หลาย ๆ ครั้งจึงสามารถตัดสินใจเองได้ตามความเหมาะสม ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่รับรองความไว้วางใจที่เซินเฟยมีต่อเลขาของตนเองที่ร่วมทุกข์สุขกันตลอดช่วงที่ผ่านมา
“ถ้าอย่างนั้นก็จัดเตรียมของจำเป็นให้เรียบร้อยด้วย”
สำหรับงานที่ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนระดับเดียวกัน หากขาดตกบกพร่องเรื่องใดไปจะถือว่าเป็นการเสียหน้าอย่างยิ่งยวด ด้วยเหตุนั้น หวางซิงจึงรีบออกไปจัดการตามคำสั่งในทันทีเพื่อให้มั่นใจว่าของทุกอย่างต้องเตรียมพร้อม ถึงแม้จะเป็นแค่งานหมั้นไม่ใช่งานแต่งก็ตามที
------------------->
คนตระกูลหวางไม่ใช่คนที่นิยมความเรียบง่ายนัก หากไม่นับเสวียนอู่รุ่นก่อนก็สามารถพูดได้ว่าคนตระกูลหวางทุกคนชื่นชมความหรูหราฟู่ฟ่า มากกว่าครึ่งของคนในตระกูลทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่นและธุรกิจบันเทิง แม้แต่เสวียนอู่รุ่นปัจจุบันเองก็มีหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่นหลายแห่ง ดังนั้นหากใครได้รู้กิตติศัพท์เหล่านี้จะไม่นึกแปลกใจเลยว่าเหตุใดเพียงแค่งานหมั้นจึงจัดเสียโอ่อ่าหรูหราถึงขั้นปิดโรงแรมแห่งหนึ่งในเขตปกครองเพื่อจัดงานราวกับเป็นงานพบปะเสวนาระดับโลก ซึ่งนั่นก็อาจไม่แปลกเมื่อมองดูดี ๆ แล้ว ในธุรกิจแฟชั่นและบันเทิงมักจะมีการพบปะกับคนภายนอกประเทศบ่อยครั้ง ดังนั้นเสวียนอู่ที่เชื้อเชิญเพื่อนในวงการมามากหน้าหลายตาจะต้องมีสถานที่รับรองอย่างเหมาะสมตั้งแต่วันมาจนถึงวันกลับ
เซินเฟยเดินทางมาถึงงานด้วยรถยนต์ส่วนตัวและการ์ดมากกว่าสิบนาย ซึ่งทางโรงแรมก็ได้จัดเตรียมที่จอดรถเอาไว้แล้วเพื่อไม่ให้เจ้าของงานเสียหน้าได้ ถึงอย่างนั้นเซินเฟยก็ไม่มีโอกาสจะได้เห็นสถานที่จอด เพราะรถมาจอดส่งถึงหน้างานที่ปูพรมแดงรับแขกก่อนจะขับเลยไปเมื่อผู้โดยสารเข้างานไปแล้ว
“ยินดีที่ได้พบอีกนะคะ” หญิงสาวในชุดราตรีดีไซน์ใหม่เอี่ยมสีชมพูหวานเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มทันทีที่เขาเดินลงจากรถ ทั้งยังก้าวออกมารับด้วยตนเองแล้วยกมือโบกให้พนักงานต้อนรับถอยออกไป
“เช่นกันครับ” เซินเฟยรับคำก่อนจะยกแขนขึ้นให้อีกฝ่ายควงแล้วพากันเดินเข้าไปที่ซุ้มประตูซึ่งมีชายหนุ่มต่างชาติรูปร่างหน้าตาดียืนอยู่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มให้เซินเฟยอย่างสุภาพเมื่อเขาส่งตัวคู่หมั้นคืนให้ อีกฝ่ายทักทายเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเซินเฟยก็เจรจาโต้ตอบได้อย่างคล่องปาก ด้วยการพูดจาพาทีกันไม่กี่ประโยคทำให้เซินเฟยเดานิสัยคร่าว ๆ ของอีกฝ่ายได้ว่าค่อนข้างจะเป็นคนสุภาพอ่อนน้อม และค่อนข้างจะเป็นผู้ตาม มิน่าเล่าคนอย่างเสวียนอู่ถึงยอมแต่งงานด้วย
หวางซิงส่งของขวัญที่ติดไม้ติดมือมาให้กับคนที่มีหน้าที่รับของก่อนจะเดินตามเซินเฟยเข้าไปในงานและประกบติดหลังเพื่อคอยกระซิบบอกเด็กหนุ่มว่าแขกคนไหนเป็นใครบ้าง
บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยแขกเหรื่อหลากหลายชาติ หลายคนเป็นบุคคลที่เซินเฟยไม่รู้จักจึงมีการเอ่ยทักทายกันตามระเบียบซึ่งเมื่อเดินผ่านกันไปเซินเฟยก็ลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร
โดยปกติแล้ว เซินเฟยไม่ค่อยชินกับคนเยอะ ๆ มากนัก เมื่อเดินทักทายแขกไปไม่ถึงครึ่งงานก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยจึงปลีกตัวไปยืนที่มุมหนึ่งของห้องและหาคอกเทลดื่มแก้กระหายไปพลาง หวางซิงจะคอยดูแลรอบข้างอยู่ตลอดพร้อมกับการ์ดสองคนซึ่งมีหน้าที่เฝ้าระวังภัย ด้วยภาพเช่นนั้นคงมีคนเดาฐานะของเขาได้ไม่ยาก จึงไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนการพักผ่อนของเขายกเว้นบุคคลหนึ่ง....
ชายซึ่งสวมชุดสูทสีดำเรียบกริบเป็นทางการตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเดินก้าวฉับ ๆ เข้ามาในรัศมีที่ทำให้การ์ดของเขาไหวตัวอย่างระแวดระวังและเข้ากันชายคนดังกล่าวออกจากเจ้านายด้วยการขยับเข้าหากันจนเกือบชิด ชายคนนั้นจึงหันไปทางหวางซิงแทน
“ผมเป็นคนของชิงหลง เจ้านายของผมต้องการจะสนทนากับจูเชว่เป็นการส่วนตัวจึงให้ผมลงมาเชิญครับ” เจ้าตัวว่าพลางเปิดถุงมือสีขาวให้เห็นรอยสักรูปมังกรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชิงหลงบนหลังฝ่ามือ
หวางซิงจ้องมองตรานั้นอย่างละเอียดจนกระทั่งรายละเอียดเล้กน้อยก็ยังไม่รอดพ้นสายตาจนแน่ใจว่าเป็นของจริงจึงหันมาทางเซินเฟยแล้วรายงานตามที่อีกฝ่ายพูดอย่างครบถ้วน
เด็กหนุ่มหลุบตาลงพลางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
ชายแปลกหน้าที่บอกว่าตนเป็นคนของชิงหลงเดินนำทางไปยังลิฟต์ตัวหนึ่งก่อนจะปล่อยให้ลิฟต์พาขึ้นไปถึงชั้นบนที่ตัวเซินเฟยเองไม่ได้ใส่ใจจะมองตัวเลข แต่คำนวณจากเวลาน่าจะเกินชั้นที่ 20 มาไม่กี่ชั้น
เสียง ‘ติ๊ง’ เตือนให้คนภายในรู้ว่าลิฟต์มาถึงชั้นที่กำหนดแล้ว ชายหนุ่มผู้นำทางกดให้ลิฟต์เปิดประตูค้างไว้แล้วผายมือให้เซินเฟยเดินนำออกไปพร้อมการ์ดและเลขาคนสนิท เจ้าตัวจึงเดินออกมาสมทบ
“เชิญทางนี้ครับ” เขาผายมือไปยังห้องที่อยู่สุดทางเดินด้านหนึ่ง ทว่าเมื่อเซินเฟยเดินไปถึงหน้าห้องเขากลับถูกกันเอาไว้ด้านนอกโดยการ์ดสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู กระนั้นตัวผู้นำทางก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยืนนิ่ง ๆ เซินเฟยจึงเงียบและรอดูสถานการณ์ต่อไป
การ์ดคนหนึ่งเคาะประตูพร้อมบอกคนในห้องว่า “จูเชว่มาถึงแล้วครับ”
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็เปิดออกโดยคนด้านใน ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งเดินออกมา เขามีใบหน้าเฉยชาอันเป็นกิจลักษณะประจำตนดังที่ผู้คนเล่าลือกันปากต่อปากถึงชิงหลงผู้ครองด้านตะวันออกของเกาะรวมถึงน่านน้ำฝั่งแปซิฟิกที่เป็นอาญาเขตของฮ่องกง
“มีคนรอคุณอยู่” เขากล่าวพลางเปิดทางให้เซินเฟยเดินเข้าไปในห้อง “ส่วนคนอื่น ๆ ขอให้รออยู่ด้านนอก”
“เขาเป็นเลขาของผม” เซินเฟยว่าขึ้นเมื่อชิงหลงให้การ์ดกันตัวกระทั่งหวางซิง
“ไม่ไว้ใจผมงั้นหรือ?” คำถามของชิงหลงทำให้เซินเฟยเม้มปากนิ่งก่อนจะพรูลมหายใจออกมาแล้วบ่ายหน้ากลับไปทางเดิมพร้อมคำสั่ง
“รออยู่ตรงนี้” จากนั้น ประตูก็ปิดลง
เซินเฟยถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสำรวจห้องตรงหน้า และเขาก็พบว่าที่มุมนั่งเล่นซึ่งประกอบด้วยโซฟายาวสองตัวกับโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่งและโต๊ะกระจกมีคนสองคนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่เขามองเห็นไม่ชัดนักเพราะดีไซน์ของห้องเป็นการแบ่งสัดส่วนระหว่างประตูกับบริเวณภายในด้วยกระจกแผ่นหนึ่งที่ทำให้เนื้อกระจกเป็นริ้วรอยคลื่นเพื่อให้เห็นภาพด้านหลังไม่ชัดเจนดังที่ควรจะเป็น
เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่จนกระทั่งบุคคลภายในรู้สึกผิดสังเกตจึงส่งเสียงทัก
“จูเชว่มาถึงที่นี่แล้ว จะไม่เข้ามาหรือครับ?”
เซินเฟยมุ่นคิ้วก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินอ้อมแผ่นกระจกเพื่อให้เห็นสภาพภายในห้องและบุคคลที่รออยู่อย่างถนัดตา
ที่โซฟาตัวยาวนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหันหน้ามาทางเขาและส่งยิ้มให้ เรือนผมสีน้ำตาลดูไม่เหมือนคนเอเชียทำให้เซินเฟยรู้สึกแปลกตาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น กระนั้นใบหน้าและลักษณะท่าทางของคน ๆ นี้ก็บ่งบอกเขาว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เขารู้จักดี แน่นอน....อาจจะไม่เคยพบปะเจรจากันมาก่อน แต่ว่า หากเป็นรูปถ่ายเขาได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วน...เพราะคน ๆ นี้เคยเป็นเจ้าบ้านตระกูลเซินซ้ำยังเป็นคนที่ชักนำเขาเข้ามาในวงการนี้
“....เซิน...หมิงเฟิ่ง?”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นก่อนพยักหน้ารับแล้วเสมองไปด้านข้างซึ่งมีชายหนุ่มอีกคนในชุดสูทสีดำยืนเอามือไขว้หลังนิ่งสงบอยู่ เจ้าตัวสวมแว่นกันแดดสีดำ เสยผมเรียบกริบ ประดับยิ้มตรงมุมปาก แม้จะดูคุ้นตาแต่กลับไร้ท่าทางหยิบโหย่งอย่างที่เซินเฟยเคยเห็นเป็นประจำทำให้เขาไม่แน่ใจนักในคราวแรก มีเพียงความลึกลับในรอยยิ้มเท่านั้นที่ทำให้เซินเฟยมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เขารู้จักอย่างแน่นอน
หัวใจของเซินเฟยเต้นผิดจังหวะไปชั่ววูบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นปกติในวินาทีต่อมาเมื่อได้ยินเสียงเชื้อเชิญ
“นั่งลงก่อนสิจูเชว่”
“อย่าเรียกผมอย่างนั้นเลยครับ ยังไงคุณก็เป็นอาของผมแถมยังเป็นถึงจูเชว่รุ่นก่อนด้วย” เซินเฟยกล่าวแล้วนั่งลงตามคำเชิญ ชายหนุ่มจึงหัวเราะออกมา
“แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่คนของตระกูลเซินแล้ว ทั้งคุณกับผมก็เป็นเพียงญาติห่าง ๆ กัน เรียกอย่างนี้จะสะดวกใจกว่าสำหรับเราทั้งคู่จริงไหม?”
“....ครับ ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น” เซินเฟยจำยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย เพราะหากจะให้เรียกจริง ๆ แล้วเขาคงจะรู้สึกกระดากตัวเองเป็นแน่หากจะเรียกอีกฝ่ายเป็นอาหรือพ่อเพราะพวกเขาไม่เคยได้พบกันโดยตรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งยังไม่เคยพูดคุยกันอย่างที่ญาติหรือกระทั่งพ่อลูกบุญธรรมควรจะทำ
“ซากุระฝากความคิดถึงมาหาคุณด้วย”
“ครับ....” เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรกับผู้ชายตรงหน้า หรือหากพูดจริง ๆ แล้ว เซินเฟยไม่ใช่คนเจนจัดในการเข้าสังคมจึงไม่ถนัดที่จะคิดหาวิธีตอบโต้กับคู่สนทนาอย่างฉับพลัน โดยส่วนใหญ่หวางซิงจะเป็นคนทำหน้าที่เหล่านี้โดยมีเขาเสริมเป็นช่วง ๆ เมื่อขาดเหลืออะไร ดังนั้นเซินเฟยจึงตอบรับเพียงคำสั้น ๆ และเหลือบสายตามองชายหนุ่มที่เขามั่นใจว่าตนเองรู้จักดี และดูเหมือนเซินหมิงเฟิ่งก็จะเข้าใจเจตนาทางสายตานั้น
“คุณอาจจะไม่รู้แต่ในรุ่นพ่อของผม ท่านมีหัวหน้าการ์ดคนสนิทอยู่คนหนึ่งที่คอยรับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่สมัยเด็ก เขาเป็นคนแซ่ฉู่ที่ถูกทางบ้านขายตัวมาไถ่หนี้ เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็รับเด็กคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรมเพื่อให้มาทำงานเป็นหัวหน้าการ์ดของผม” เขาเล่าเรื่องราวในอดีตครู่หนึ่งก็เงียบไปก่อนจะเริ่มพูดต่อ “อาจจะช้าไปหน่อยแต่ผมอยากจะแนะนำคน ๆ นั้นให้คุณรู้จัก”
ชายหนุ่มในชุดสูทดำยิ้มกว้างขึ้นแล้วเอ่ยอย่างสุภาพ
“ฉู่เหวินจือครับ”
เซินเฟยเม้มปากจนเป็นเส้นตรง แนะนำอย่างนี้จะให้เขาตอบอย่างไร? ยินดีที่รู้จักหรือ? หรือว่าดีใจที่ได้พบอีกครั้ง? ในที่สุดแล้วเซินเฟยจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา เพราะเขาแน่ใจว่าถึงจะพูดอะไรออกไปก็ล้วนแต่ไม่เข้ากับสถานการณ์นี้ทั้งสิ้น
“ผมคิดว่าพวกคุณคงมีอะไรให้คุยกันหลายอย่าง ดังนั้นผมจะให้พวกคุณคุยกันตามสบาย” เซินหมิงเฟิ่งลุกขึ้นยืนแล้วดึงปืนพกของฉู่เหวินจือออกมาจากเสื้อนอกของเจ้าของก่อนวางลงบนโต๊ะกระจก “ผู้ชายคนนี้เป็นสมบัติของจูเชว่ ดังนั้นผมขอยกเขาให้คุณซึ่งเป็นผู้สืบทอดของผม” หลังกล่าวจบ เซินหมิงเฟิ่งก็เดินจากไป ประตูถูกเปิดและปิดลงทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เซินเฟยมองดูปืนที่ถูกขัดจนมันวาวบนโต๊ะ เขาตีความของพ่อบุญธรรมตนเองได้ไม่ยาก ฝ่ายนั้นต้องการทดสอบใจของเขาว่าจะจัดการอย่างไรกับผู้ชายที่ชื่อ ฉู่เหวินจือ ซึ่งตอนนี้ได้กลับมายืนตรงหน้าเขาอีกครั้งในฐานะที่แตกต่างจากครั้งแรก
“นายเป็นคนของเซินหมิงเฟิ่งมาตลอด”
“ผมเป็นคนของจูเชว่ครับ” คำตอบของฉู่เหวินจือสามารถตีความได้หลายแง่ ไม่ได้เจาะจงลงไปอย่างชัดเจน
“นั่นไม่ใช่คำตอบที่ทำให้ฉันพอใจได้ นายก็รู้” เซินเฟยเหลือบสายตาขึ้นจากกระบอกปืนบนโต๊ะแล้วเปลี่ยนท่านั่งโดยยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วเอนศีรษะวางลงบนมือที่เท้าศอกบนที่พักแขน “นายชอบทำเรื่องเซอร์ไพรซ์ แต่ครั้งนี้ไม่คิดหรือว่าเป็นมุกที่ฝืดมาก”
“ขออภัยครับ” วิธีพูดของฉู่เหวิอนจือผิดไปจากปกติทำให้เซินเฟยรู้สึกระคายคออย่างน่าประหลาด หรือว่าตลอดเวลาที่อยู่กับเขาเป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น?
“พูดมาสิ”
“อะไรหรือครับ?”
“คำสั่งของเซินหมิงเฟิ่ง เขาสั่งให้นายมาข่มขืนฉันแล้วตีจากหรือยังไง?” เซินเฟยประชดแดกดันเสียงเข้มสื่อถึงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ในชั่ววินาทีนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองเห็นรอยยิ้มขบขันทอในดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดสีดำ บางทีเขาอาจจะตาฝาด
“อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว เจ้านายสั่งให้ผมทำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันคุณขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดและหมายรวมถึงการขจัดขวากหนามที่ทิ่มแทงคุณอยู่ด้วย แม้กระทั่งคนใกล้ชิดก็ต้องถูกทดสอบถึงความจงรักภักดี จนถึงตอนนี้หน้าที่ของผมได้สิ้นสุดลงแล้วผมจึงได้จากมา” ฉู่เหวินจือคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่เซินเฟยไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก
“แล้วกล้าดียังไงถึงกล้ากลับมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันอีก” เซินเฟยกดเสียงต่ำอย่างคุกคาม
“เจ้านายของผมต้องการยกผมให้คุณอยู่แล้ว แต่เพราะในตอนนี้เขาเป็นเพียงคนไร้ตัวตนตามกฎหมายจึงไม่สามรถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ จำเป็นต้องรอช่วงเวลาอย่างนี้เท่านั้นครับ”
“แสดงว่าตอนนี้นายเป็นของฉันแล้ว?”
“ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น แม้แต่ชีวิตผมก็เป็นของคุณ” ฉู่เหวินจือตอบคำโดยไม่มีท่าทางลังเลหรือกระอักกระอ่วนใจที่ชีวิตตนเองถูกกระทำเหมือนเป็นสิ่งของที่ถูกยกให้คนอื่นง่าย ๆ