ศุกร์ที่ 4 ป้ายริมถนนด้านซ้ายมือเขียนคำว่า ‘เทเวศร์’
“วันนี้รถติดจัง” เขาพูดขึ้นมาในขณะที่สองมือยังคงจับพวงมาลัย ผมมองออกไปข้างหน้าเห็นไฟสีแดงเป็นระนาว
“น่าเบื่อนะเวลาที่รถติดเป็นเวลานานเนี่ย” เขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ครับ” ผมแสดงความคิดเห็น แต่ดูเหมือนเป็นการทำให้เขาเงียบลงแทน
“แล้ววันนี้เราจะออกไปไหนกัน” ผมถามเพื่อสร้างประเด็นมากกว่าที่อยากจะรู้
“ไปเดินเล่นนะ” เขาตอบ
เย็นวันนี้ผมเดินไปที่ร้านบ้านไร่เหมือนเช่นเคย แต่ก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปในร้าน เสียงของจีนก็ตะโกนเรียกชื่อผมอยู่ด้านหลัง ผมหันหลังไปจึงพบเขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างลานจอดรถ เขาแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ๊ตสีขาวผูกเนคไทสีดำ กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนัง สวมแว่นกันแดดสีดำ เขาพาผมขึ้นรถยนต์คันสีดำที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้
ผมไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าไหร่นักว่าเขาจะพาผมไปไหน เพราะตอนนี้ผมค่อนข้างเชื่อใจว่าเขาเป็นคนดี หรืออย่างน้อยถ้าเขาจะลวงผมไปฆ่าหมกศพ ก็คงเป็นโชคดีของผมที่โดนฆ่าตัวชายหนุ่มหน้าตาดี
“คิดอะไรอยู่” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เปล่าๆ” ผมปฏิเสธ
“ปรกตินายฟังเพลงแนวไหน” เขาถามทั้งที่ยังมองถนนหนทางข้างหน้า
“เราไม่ค่อยเลือกแนวหรอก ฟังได้หมด”
“ลองเลือกเอาสักเพลงแล้วกันนะ เรากำลังใช้สมาธิในการขับรถ” เขาเอื้อมแขนไปข้างหลังเบาะ แล้วคว้านหาอะไรสักอย่าง
“เราหาเองก็ได้” ผมพูดพร้อมกับยื่นแขนไปที่เบาะด้านหลังของเขา เขาดึงแขนของตัวเองกลับไปจับพวงมาลัยต่อ ผมหยิบแผ่นซีดีที่อยู่แถวนั้นขึ้นมาอ่านทีละแผ่น จนกระทั่งแผ่นหนึ่งเขียนว่า ‘เพลงชอบ – เสือ’ ผมเกิดความอยากรู้จึงหยิบมาใส่เครื่องเล่นซีดี เมื่อกดเล่นได้สักพักเสียงเปียโนก็ดังขึ้นมาอย่างวังเวงก่อนเสียงนักร้องหญิงจะร้องตามออกมา
Spend all your time waiting for that second chance
For the break that will make it OK
There's always some reason to feel not good enough
And it's hard at the end of the day
I need some distraction or a beautiful release
Memories seep from my veins
Let me be empty and weightless and maybe
I'll find some peace tonight
“เพลงนี้ชื่อเพลง Angel ใช่ไหม เราชอบเพลงนี้มากเลยรู้ไหม?” ผมพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองเขา แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่าเขากำลังร้องไห้
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า ฝุ่นคงเข้าตาละมั้ง” เขาตอบด้วยเสียงสะอื้น
“ฝุ่นบ้าอะไรจะปลิวเข้ามาในรถยนต์” ผมพูดเสียงดัง เขาหันมามองหน้าผมด้วยด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ผมสบตากับเขาเป็นเวลานานพอสมควรก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาหันหน้ากลับไปมองถนนอีกครั้ง
“นายหัวเราะอะไร?” ผมสงสัย
“ฝุ่นบ้าอะไรปลิวเข้ามาในรถยนต์” เขาทวนคำพูดของผมอีกครั้งด้วยความตลก ผมมองหน้าเขาด้วยความงุงงง
“ถึงแล้ว” เขาพูดพร้อมกับจอดรถ
ผมก้าวเท้าลงจากรถเดินตรงเข้าไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปมองก็เห็นสะพานพระรามแปดในยามค่ำคืน
“อากาศดีไหมละ” เขาเดินเข้ามาใกล้
“ขึ้นไปข้างบนสะพานกันเถอะ” เขาชวนพร้อมกับหันหลังเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ ผมไม่รอช้าเดินตามหลังเขาขึ้นไป
บนสะพานมีรถวิ่งไปมาไม่ขาดสาย แสงไฟจากหลอดไฟข้างทางส่องสว่างชวนให้บรรยากาศของค่ำคืนนี้สวยงามขึ้น สายลมพัดพาเอาความชื้นจากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมากระทบใบหน้าของผมจนรู้สึกเย็นสบาย
“ปรกติเรามักจะมาเดินเล่นที่นี้ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจนะ” เขาพูดพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปอย่างช้าๆ
“แปลว่าวันนี้นายมีเรื่องไม่สบายใจเหรอ”
“ครับผม”
“พอจะเล่าให้เราฟังหรือเปล่า” ผมเข้าไปเดินข้างเขาแล้วหันหน้าไปถาม เขาเดินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่พูดอะไรออกมา ผมมองหน้าตาที่ปราศจากรอยยิ้มของเขาเพื่อหวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง
“ถ้านายไม่สบายใจไม่ต้องเล่าก็ได้” ผมพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองแม่น้ำเจ้าพระยา
“รู้ไหมว่าเวลาที่เราไม่สบายใจเราจะทำยังไง” ผมพูดแล้วหันหน้าไปมองเขา
“ทำยังไงละ”
“เวลาที่เราไม่สบายใจเราก็จะเดินไปพร้อมกับฮัมเพลงไปเรื่อยๆ เขาบอกกันว่าเสียงเพลงสามารถช่วยลดความเครียดได้” เขาฟังอย่างเงียบๆ แล้วหยุดยืนตรงกลางสะพานหันหน้าไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา
“ถ้านายมีอะไรไม่สบายใจก็ระบายกับเราได้นะ” ผมถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่พูดอะไรออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกถ้านายไม่อยากเล่าให้เราฟัง คนเรามักคิดว่าปัญหาของตัวเองยุ่งยากเสมอ จนลืมคิดไปว่ายังมีคนอื่นอีกมากมายที่มีปัญหามากกว่าตัวเราเอง” เมื่อผมพูดจบเขาก็หันหน้ามามองผม
“นายจะทำยังไงถ้าคนที่นายรู้จักตาย?” เขาถามขึ้น
“คนที่นายรักเหรอ” ผมถามแต่ไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา
“ตอนที่แม่ของเราตาย เราร้องไห้เสียใจ เก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอนไม่ออกไปพบใคร นั่นแหละคือสิ่งที่เราทำได้ในขณะนั้น แล้ววันหนึ่งเราก็ได้เรียนรู้ว่าการทำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้คนที่เรารักฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เลย” ผมพูดพร้อมกับมองดูเรือสำราญลำหนึ่งลอยเข้ามาแล้วหายเข้าไปใต้สะพาน
“นายคิดว่าคนเราร้องไห้ให้กับคนที่เสียชีวิตทำไมกัน ถ้าไม่ใช่การระลึกถึงความหลังที่เคยผ่านมาด้วยกัน ดังนั้นเก็บเอาความทรงจำที่ดีในขณะที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันเอาไว้ภายในใจ แล้วเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความสุขสบายใจ บางวันเวลาที่คิดถึงก็เพียงแค่นึกถึงความทรงจำเหล่านั้นก็เพียงพอแล้ว” เขาฟังผมด้วยความครุ่นคิด
“เห็นปลายดาวดวงนั้นไหม” ผมชี้นิ้วไปที่จุดหนึ่งบนท้องฟ้า เขาเงยหน้ามองตามด้วยความเร็ว
“ทำไมเหรอ” เขาถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก ชี้ให้ดูเฉยๆ ” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“ตลกใหญ่เชียวนะ” เขายิ้มตรงมุมปาก แล้วหันหลังเดินไปนั่งตรงริมถนน
“ดีใจนะที่นายยิ้มได้อีกครั้ง” ผมพูดในขณะที่เดินไปนั่งลงข้างๆ กับเขา
“ใครจะไปอารมณ์ดีเหมือนนายกันละ” เขาพูดเหน็บแนม
“ไม่จริงหรอก ทุกคนก็มีปัญหากันทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าจะพูดออกมาหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่านายก็มีปัญหา”
“นิดหน่อยนะ”
“เล่าให้เราฟังบ้างสิ” เขาหันหน้ามาถาม
“แหม เรายังไม่รู้ปัญหาของนายเลย” ผมย้อน
“เอาอย่างนี้นายเล่าของนายก่อน แล้วเราจะเล่าของเราให้ฟังทีหลัง”
“แน่นะ” ผมหันหน้าไปสบตากับเขา
“แน่นอน” เขาตอบ
เวลานี้คงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผมที่จะถามความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม
“คือว่า...” จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดี เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับกดรับโทรศัพท์ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเดินห่างออกไปจากตรงที่ผมนั่งอยู่ ปล่อยให้ผมนั่งเพียงลำพังเป็นเวลานานพอสมควร
“ขอโทษนะ เรากลับกันเถอะ” เขาพูดขึ้นเมื่อกดวางสายโทรศัพท์
“ครับผม”
“ขอบคุณนายมากนะ สำหรับวันนี้” เขายิ้มตรงมุมปากเหมือนเช่นเคย โดยที่ผมไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้มองเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของเขา