ต่อค่ะ
ตอนที่11
"เดินระวังนะฮะ.."
เสียงใครบางคนกำลังบอก"หนึ่ง" เขาหันไปยิ้มให้ ใบหน้านั้นยังน่ารักสำหรับเขาไม่เคยเปลี่ยน มือขาวสะอาดกำลังช่วยประคองคนตัวโตอย่างเขาเดินเข้าบ้าน... บ้านที่เคยวิ่งเล่นตั้งแต่เด็กๆ บ้านของบิดาและมารดา ตั้งแต่เรียนจบมีงานทำ หนึ่งก็ออกจากบ้านหลังนี้ เพียงเพราะเขาอยากยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง อาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวคิดแบบเด็กฝรั่ง เรียนจบก็อยากแยกตัวออกจากพ่อแม่ พยายามอยู่ให้ได้ด้วยตัวตนเอง หนึ่งเรียนอยู่เมืองนอกหลายปี ก็ได้รับอิทธิพลในส่วนนั้นมาด้วยเหมือนกัน เขาเองก็ไม่ได้คิดจะทอดทิ้งผู้บังเกิดเกล้า เพียงแต่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องท้าทาย เขาอยากแสดงให้ใครๆเห็นว่า ตัวเขาเองไม่ใช่ลูกแหง่ ต้องอาศัยเงินพ่อแม่ ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านของหนึ่งจะไม่ได้ขัดสน ซ้ำยังมีมากพอให้หนึ่งใช้ได้ตลอดชั่วชีวิตนี้ แต่หนึ่งไม่ต้องการแบบนั้น แม้จะโดนบิดาเคี่ยวเข็ญให้ทำงานที่บริษัท แต่สุดท้าย เขาก็ดื้อแพ่งเอาจนได้ โดยมีมารดาเป็นแรงสนับสนุน หนึ่งย้ายออกไปทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก เขาประสบความสำเร็จ มีรายรับสามารถตั้งตัวได้สบายๆ แต่มันกลับต้องแลกกับ อิสระเสรีที่จะได้ไปเที่ยวกับครอบครัว เพื่อนฝูง หรืออยู่กับคนรัก หนึ่งมีงานยุ่งหนักหนาสาหัสตลอดเวลา ..จนสุดท้าย เพราะความบ้างาน เขาถึงกับต้องเสียคนรักไป
ใช่...เขาเสียคนรักไปเพราะเธอไม่สามารถอยู่กับคนที่ไม่มีเวลาให้กับเธอได้ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกเสียศูนย์ขนาดนั้น เขาจมปลักอยู่กับตัวเอง เฝ้าโทษความไม่ดีของตัวเอง เขาปล่อยให้ตัวเองทรุดโทรม ช่วงเวลานั้นหนึ่งคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่เอามากๆ แต่ไม่คิดเลย..ในภาวะแบบนั้น มันกลับนำเขาไปรู้จักกับใครบางคน ใครบางคนที่คอยมองเขา ใครบางคนที่เฝ้าคิดถึงเป็นห่วงเขา ใครบางคนที่พยุงเขาขึ้นมาจากการเสียศูนย์ในครั้งนั้น ใครบางคนที่ทำให้หนึ่งไม่คิดจะมองหาความรักจากที่ไหนอีกแล้ว เพราะคนๆนี้มีให้หนึ่งอยู่เต็มเปี่ยม และไม่เคยลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว
คนๆนี้ทำให้หนึ่งรู้จักที่จะต่อสู้ ช่วงเลวร้ายในชีวิตของเขาได้ผ่านมาแล้ว หนึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ว่าตนเองจะต้องมาประสบเคราะห์กรรมถึงขนาดล้มหมอนนอนเสื่อ ช่วงเวลาที่ไม่สามารถใช้สองขาที่มีมาตั้งแต่เกิดคู่นี้เดินไปไหนมาไหนได้อย่างที่ใจนึก มันช่างทรมานเหลือเกิน เขาว้าวุ่นในใจและวิตกกังวลในหลายๆเรื่อง แต่แล้วเด็กตัวเล็กคนนี้ก็ทำให้เขาเห็นว่า ไม่ว่าจะยังไง หนึ่งก็ไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว หนึ่งยังมีคนรอบข้างที่รักและคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะเด็กหนุ่มตัวเล็กๆในสายตาของเขาขณะนี้ คนที่กำลังช่วยพยุงเขาให้เดินก้าวต่อ คนที่ทำให้เขามีมานะที่จะทำให้ตัวเองกลับมาเดินได้เป็นปกติอีกครั้ง และตอนนี้ หนึ่งก็สามารถเดินได้แล้ว ถึงแม้ว่ายังใช้ไม้ค้ำยันช่วยอยู่บ้าง แต่เขารู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน รู้สึกถึงเลือดเนื้อ และกระดูกที่รองรับน้ำหนักใต้ฝ่าเท้า รู้สึกเจ็บบ้างในยามทีฝืนเดินออกกำลังขาเป็นเวลานานๆ ตั้งแต่มีเด็กหนุ่มตัวเล็กเข้ามาช่วยดูแล หนึ่งก็มีกำลังใจขึ้นมาก เขาพยายามต่อสู้กับตนเองทุกวัน จนสุดท้ายคุณหมอเจ้าของไข้ก็อนุญาตให้หนึ่งกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ เรื่องนี้สร้างความดีใจให้กับพีชายและพี่สาวของหนึ่ง และแน่นอนย่อมไม่พ้นมารดาของเขา คนที่ดูจะทุกข์ระทมสุดๆไม่แพ้หนึ่ง พอทราบข่าวว่าหนึ่งสามารถกลับบ้านได้ หนึ่งก็เห็นเธอยิ้มทั้งน้ำตา วินาทีนั้นเองหนึ่งก็แอบรู้สึกเสียใจอยู่เล็กๆ ที่ตอนแรกทำตัวดื้อดึงไม่ยอมเข้ารับการบำบัด เขาเสียใจที่ทำให้มารดาต้องทุกข์ใจ แต่เรื่องร้ายๆผ่านไปแล้ว ตอนนี้เขาต้องการเริ่มต้นใหม่ ที่น่าประทับใจก็คือ ความจริงใจที่คนตัวเล็กมีให้เขา ทำให้พี่สาวของหนึ่งและมารดาเปิดใจยอมรับความรักระหว่างหนึ่งกับเด็กน่ารัก การที่เทียวไปเทียวมาดูแลเขาทั้งเช้าเย็นช่วยทำให้คนตัวเล็กของเขาสนิทกับมารดามากขึ้น จนตอนนี้ เด็กน่ารักก็กลายเป็นลูกชายคนโปรดของมารดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พอหนึ่งได้กลับบ้าน สองก็ได้รับคำเชื้อเชิญจากคุณแม่ของหนึ่ง ให้ไปช่วยดูแลหนึ่งที่บ้าน โดยให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันซะเลย เรื่องนี้ทำเอาหนึ่งแอบทึ่งอยู่ในใจ เขาไม่คิดว่ามารดาของตัวเองจะรับได้มากขนาดนี้ เพราะมันมากพอที่จะสร้างความบาดหมางให้กับใครอีกคนได้ ใครคนนั้นก็คือบิดาของหนึ่งเอง แน่นอน..หนึ่งไม่อยากเห็นบิดามารดาทะเลาะกันเพราะเรื่องของเขากับสอง แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับคำยืนยันจากมารดาว่า ไม่ว่ายังไงก็จะช่วยให้ถึงที่สุด ท่านจะทำให้บิดาของหนึ่งยอมรับคนตัวเล็กของเขาให้ได้ เรื่องนี้ทำเอาหนึ่งซึ้งใจอย่างมาก
และสุดท้ายสองก็ยอมย้ายเข้ามาอยู่ด้วยที่บ้านของหนึ่ง ตามคำเชื้อเชิญของมารดาบวกกับแรงเชียร์ของพี่สาวของหนึ่งด้วยอีกทาง คนตัวเล็กได้นอนห้องติดกับห้องของเขา มารดาจัดการเตรียมทุกย่างไว้พร้อมแล้ว หนึ่งรู้สึกได้ว่าคนตัวเล็กเกรงใจมารดาอย่างมาก จากที่ตัวเล็กอยู่แล้ว พอเดินตัวลีบแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กนิดเดียว สุดท้ายหนึ่งก็ได้ยินมารดาพูดขึ้นในทำนองที่ว่า เธอดีใจที่ลูกชายได้กลับบ้านจะได้อยู่กันพร้อมหน้า แถมตอนนี้เธอได้ยังลูกชายเพิ่มขึ้นอีกคน บ้านหลังนี้ถ้ามีเด็กๆกลับมาอยู่เหมือนเดิมก็จะดูมีชีวิตชีวาขึ้น เธอคงไม่รู้สึกเงียบเหงา คำพูดทำนองนั้นพอจะช่วยคลายอาการเกร็งและประหม่าของเจ้าคนหัวทุยข้างๆเขาได้ หนึ่งได้แต่ยิ้มบางๆแล้วก็กล่าวขอบคุณมารดาที่เธอเป็นแม่ที่ดีและดูแลเขาเสมอมา
"จะไปไหนครับ?"
มือแข็งแรงคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ พอเดินเข้าห้องแล้วนั่งลงบนเตียงของตนเอง คนตัวเล็กก็จะทอดทิ้งเขาเสียแล้ว
"สองจะไปจัดของที่ห้องฮะ"
"จริงๆ...พี่ว่าเราน่าจะอยู่ห้องเดียวกันนะ" ชายหนุ่มบอกใบหน้ายิ้มละไม
"บ้าเหรอ ..พี่หนึ่งอ่ะ แค่นี้สองก็เกรงใจคุณแม่จะแย่แล้ว" คนพูดทำหน้าบูด แต่แก้มใสแดงระเรื่อ
"เฮ้ย..สองเกรงใจคุณแม่เองหรอกเหรอ พี่นึกว่าสองไม่อยากนอนกับพี่ซะอีก" หนึ่งแกล้งพูดน้อยใจ มือแข็งแรงยังเกาะกุมข้อมือเล็กไว้แน่น
"บ้า..สองไม่เคยบอกซะหน่อยว่าไม่อยากนอนกับพี่ แต่สองเกรงใจคุณแม่ ท่านดีกับสองมากๆ สองไม่อยากเป็นภาระ"
"สองไม่ได้เป็นภาระนะ พี่ต่างหากที่เป็นภาระของสอง คุณแม่ท่านเห็นความจริงใจของเราสองคน ท่านเห็นความดีของสอง ท่านก็อยากรู้จักสองให้มากขึ้น พอพี่กลับบ้านได้ ท่านก็คิดว่าสมควรให้สองมาช่วยพี่ที่บ้าน แต่จะให้สองเทียวไปเทียวมาเหมือนตอนอยู่โรงพยาบาลก็คงไม่ได้ ท่านเลยเห็นว่าสองควรมาอยู่ซะเลย เพราะจริงๆแล้วบ้านนี้ไม่ค่อยครึกครื้นเหมือนสมัยก่อนๆน่ะ ตอนนี้ทุกคนต่างทำงาน พี่ชายของพี่มีครอบครัวแล้ว ก็ย้ายออกไปอยู่อีกบ้าน ส่วนพี่นุชก็มีเคสต้องไปโรงพยาบาลตลอด คุณพ่อพี่ก็ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ คุณแม่ท่านเลยอยู่บ้านคนเดียวซะส่วนใหญ่ ท่านดีใจมากนะที่สองยอมมาอยู่ด้วยน่ะ" หนึ่งพูดยิ้มๆ สายตาคมกรุ้มกริ่ม
"อื้อ..แล้วยิ้มแบบนั้นทำไมฮะ?" พอเห็นรอยยิ้มกับสายตาแปลกๆก็อดไม่ได้ที่จะถาม
"ไม่รู้สิ..พี่รู้สึกเหมือน.." เสียงทุ้มกล่าวทีเล่นทีจริง
"เหมือนอะไรฮะ?"
และตอนนั้นเอง สองก็ถูกมือแข็งแรงข้างนั้นกระตุกจนเสียหลัก สุดท้ายก็ล้มลงในอ้อมกอดอบอุ่นของคนที่นั่งอยู่บนเตียง สองย่นคอเพราะรับรู้ได้ถึงคางสากๆที่คลอเคลียอยู่ริมใบหูด้านหลัง
"เหมือน..พี่พาเมียเข้าบ้านน่ะ" เสียงทุ้มกระซิบข้างหู
"บ้า..พี่หนึ่งพูดอะไรน่ะ สองไม่เป็นเมียพี่หนึ่งหรอก" คนตัวเล็กพูดแก้เก้อ
"อย่าบอกนะว่าสองอยากเป็นสามีพี่น่ะ" เสียงทุ้มยังเย้าแหย่
"อื้อ..ใช่สิ ระดับสองน่ะ ต้องเป็นสามีนะ มีพี่หนึ่งเป็นภรรยาคอยดูแลบ้าน" คนบนตักพูดเสียงอู้อี้
"จะดีเหรอครับ พี่ทำงานบ้านไม่เก่งนะ" เสียงทุ้มนุ่มกระซิบอยู่ด้านหลัง
"ฮื่อ ไม่เป็นไร ฝึกได้"
"หึๆ..จริงด้วยสินะ แต่บางอย่างคงไม่ต้องฝึก พี่มั่นใจพอตัว"
"ก็นอกจากช่วยหยิบของตอนทำกับข้าว แล้วก็ทำข้่าวผัดกับต้มไข่ได้ ทำความสะอาดบ้าน แล้วพี่หนึ่งทำไรได้อีกล่ะฮะ" คนตัวเล็กแหวกลับมาเบาๆ ซ่อนรอยยิ้มในใบหน้า
"หึๆ..สองไม่รู้จริงๆเหรอครับ"
"ฮื่อ..นึกไม่ออก คุณสมบัติพี่หนึ่งท่าจะหมดแล้วล่ะ"
"จริงเหรอ ว้า..พี่ด้อยค่าขนาดนั้นเชียว" แกล้งตัดพ้อ
"55+..ใช่เลยฮะ ก็ถ้าพี่หนึ่งมั่นใจไหนลองบอกมาซิ ว่ายังมีข้อดีตรงไหนอีก"
"อยากรู้จริงเหรอครับ..ตอนนี้คิดได้หลายข้อด้วยสิ"
"55+..ไหนลองพรีเซ้นต์มาหน่อยซิ เผื่อสองจะเอากลับไปคิด ต้องดูก่อนนะว่าผ่อนได้รึเปล่า ดอกเบี้ยเยอะมั้ย รับประกันกี่ปี"
"หึๆ สินค้าชิ้นนี้ซื้อแล้วไม่ผิดหวังแ่น่นนอนครับ เพราะไม่ต้องผ่อน ให้เลยฟรีๆ แถมใจให้ด้วย รับประกันตลอดชีพไม่มีหมดอายุ"
"55+แล้วคุณสมบัติล่ะ ไหนบอกมีหลายข้อไง"
"คุณสมบัติก็...สามารถกอดคุณได้ เวลาคุณเหนื่อยก็สามารถใช้เป็นพนักพิงได้ ช่วยกล่อมให้คุณนอนหลับได้ ปกป้องคุณได้ ซื่อสัตย์กับคุณคนเดียว และจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิต"
"ฮื่อ..เหรอฮะ..ของฟรีนี่ทำได้หลายอย่างจัง" คนตัวเล็กก้มหน้างุด แก้มใสแดงระเรื่อ
"ยังมีอีกนะ...คุณสมบัติพิเศษ"
"อะไรอีกล่ะ..ยังไม่หมดอีกเหรอ"
"ยังครับ..คุณสมบัติในหมวดนี้ขาดไม่ได้ สำคัญมาก"
"ฮื่อ.เหรอฮะ อะไรเหรอ?"
"ก็..ขนาดถึงใจ ใช้ได้ไม่จำกัด แรงกำลังดี ที่สำคัญ ..ทำให้คุณมีความสุขสุดๆในครั้งเดียว..หรือมากกว่านั้นก็ได้.." เสียงทุ้มๆที่ริมใบหูแหบพร่า
"พี่หนึ่ง!.. ทะลึ่งแล้วนะ!"
"สองอยากรู้ระบบการทำงานของมันมั้ยครับ เดี๋ยวพี่พรีเซ้นต์ให้ฟังนะ"
"บ้า..ไม่เอาแล้ว พอแล้วล่ะ" ก้มหน้างุดซ่อนความอาย
"ว้า..ไม่ฟังแล้วเหรอครับ..งั้นคราวนี้ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ต้องการข้อมูลบ้าง...เอาเป็นว่าหลังจากการทดลองใช้แล้วเป็นยังไงครับ"
"บ้า..ไปลองตอนไหน..นี่เพิ่งสอบถามข้อมูลนะ"
"55+จริงเหรอครับ ถ้าไม่เคยลองแล้วหน้าแดงทำไมครับ เอ้า..เร็วครับ ตอบมาดีๆ ไม่งั้นคุณลูกค้าต้องโดนลงโทษนะ"
"ฮื่อ..ตอบอะไรอีกล่ะฮะ"
"ก็ตอบว่าหลังจากทดลองใช้แล้ว..ดีมั้ยครับ หึๆ"
"อื้อ.." อายจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ถ้าไม่ติดว่าถูกพันธนาการไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรง คนตัวเล็กคงวิ่งหนีออกจากห้องไปแล้ว
"อื้อ..อะไรครับ เร็ว ตอบพี่มาเร็วๆ"
"ฮื่อ..พี่หนึ่งชอบแกล้ง" คนตัวเล็กเง้างอด
"ถ้าไม่ตอบก็ไม่ปล่อยนะ แล้วจะให้ลองใช้อีกด้วย" ปลายลิ้นเรียวลอบสัมผัสที่หลังหูนิ่มๆเบาๆ
"ก็..ก็ดี" เสียงเล็กแห้งตอบแทบไม่ได้ยิน
"หืม..ว่าไงนะครับ"
"ฮื่อ..ก็บอกว่าดีไงล่ะ ดีฮะ ดี ดีมากด้วย พอใจยัง" คราวนี้ทำเสียงแข็งข่มความอาย
"หึๆ พอใจแล้วครับ แต่...ไม่ปล่อยแล้วล่ะ"
"อ้าว..พี่หนึ่งขี้โกง คุณแม่รอทานข้าวเย็นอยู่ข้างล่างนะฮะ"
"55+ สองไม่รู้อะไรซะแล้ว...คณแม่ทานข้าวเย็นตอนหกโมงครับ นี่เพิ่งจะสี่โมง ยังมีเวลาเหลือเฟือ สองว่าเราจะทำอะไรกันดีครับ"
ดวงตาโตหันไปสบสายตากรุ้มกริ่มในระยะประชิด แล้วก็ทนกับความซุกซนของประกายแพรวพราวในดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องรีบหันกับมา อ้อมแขนแกร่งยังไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
"จะ..จัดของฮะ...พี่หนึ่งให้สองไปจัดของนะ" คนตัวเล็กเสียงอ่อยๆ
"55+ ครับ..ไปครับ สองพาพี่ไปที่ห้องด้วยนะ พี่อยากช่วย ไปครับ พี่ไม่แกล้งแล้ว เดี๋ยวคนขี้แยร้องไห้" คนตัวโตกล่าวอย่างอารมณ์ดี อ้อมแขนแข็งแกร่งยอมปล่อยร่างเล็กเป็นอิสระแล้ว เด็กน้อยหัวทุยรีบลุกขึ้น ก่อนช่วยพยุงคนชอบแกล้งไปที่ห้องของตน
ขอบคุณค่ะ จะพยายามต่อเรื่อยๆนะ