(เรื่องสั้น)นายมีฉัน..ฉันมีนาย จบบริบูรณ์.(P.2)รบกวนย้ายไปห้องจบได้เลย
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น)นายมีฉัน..ฉันมีนาย จบบริบูรณ์.(P.2)รบกวนย้ายไปห้องจบได้เลย  (อ่าน 97035 ครั้ง)

Motor-tricycle

  • บุคคลทั่วไป
พี่หนึ่งอ่า มาแกล้งเค๊า เอ๊ย แกล้งน้องทำมัยย   :-[

พาเมียเข้าบ้าน 5555  ชอบๆๆๆ  แล้วทำไมให้เมียไปอยู่อีกห้องล่ะค๊า




ปล.บวกไม่ได้ให้ดอกไม้นะน้องรัก  :L2:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ยังเหลือด่านคุณพ่อ
ตอนนี้ก็ตักตวงความสุขกันซะนะจ๊ะ

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ต่อค่ะ  (ช่วง1 ของวันที่ 16/06/11)


                        หลังจากที่หนึ่งกลับมารักษาตัวที่บ้าน  หลายสัปดาห์ต่อมา  เขาก็สามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติ โดยมีสองเป็นคนคอยช่วยในช่วงที่ไม่ต้องไปโรงเรียน  คนตัวเล็กต้องไปเรียนพิเศษวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์เด็กหนุ่มตั้งใจจะเก็บไว้เพื่อที่จะช่วยคนตัวโตฝึกเดิน  และสุดท้ายความพยายามก็ประสบผล  เมื่อในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่สองไม่ได้ไปเรียนพิเศษ  หนึ่งก็สามารถเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันอีกต่อไป

                       เรื่องนี้สร้างความดีใจแก่มารดาของหนึ่ง  เธอตั้งใจว่าจะทำบุญสะเดาะเคราะห์ให้กับลูกชายในวันรุ่งขึ้น  ในตอนเย็นของวันนั้น ขณะนั่งรับประทานอาหาร  มารดาของหนึ่งจึงชวนลูกชายและว่าที่ลูกชายคนใหม่ตื่นตอนเช้าเพื่อที่จะทำบุญด้วยกัน  

                       "คุณพ่อยังไม่กลับจากฮ่องกงอีกหรือครับ?"  หนึ่งถามมารดา

                       "เอ่อ..แม่ก็ไม่แน่ใจนะ  สงสัยพ่อเค้าคงมีคุยเรื่องธุรกิจอีกนิดหน่อยน่ะ"  มารดาตอบลูกชาย คนพูดใบหน้าเรียบเฉยเมื่อบทสนทนาวกเข้ามาที่หัวหลักของบ้าน
  
                       "ครับ..ผมแค่..เป็นห่วง  คราวนี้คุณพ่อไปนานนะครับ  น่าจะเดือนได้แล้วสินะ"  หนึ่งพูดขึ้นลอยๆ ขณะเอื้อมมือไปตักไข่ลูกเขยมาใส่ไว้ในจานข้าวของคนที่นั่งตรงกันข้าม

                       "..............." อีกคนยังคงเคี้ยวตุ้ยๆ  วันนี้เด็กตัวเล็กไม่ต้องออกแรงเอื้อมมือไปตักกับข้าวเลยด้วยซ้ำ เพราะเดี๋ยวก็มีคุณผู้หญิงใจดีตักผัดผักให้ เดี๋ยวคนตรงข้ามก็ตักหมูทอดมาให้  ตอนนี้ก็ไข่ลูกเขยอีก หัวทุยๆก้มลงมองจานของตัวเอง รู้สึกอายเล็กน้อย ก็มันเป็นจานข้าวที่ไม่มีระเบียบเอาซะเลย มีกับข้าวกองอยู่เต็มไปหมด  ได้แต่จำใจตักเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย  เพราะไม่รู้ว่าจะมีใครตักอะไรให้อีกตอนไหน

                      "พอแล้วล่ะลูก น้องเคี้ยวไม่ทันแล้ว" หญิงสูงวัยบอกลูกชาย สายตาเอ็นดูหันไปมองคนแก้มพองเคี้ยวข้าวอย่างเอาเป็นเอาตาย และพอรู้ตัวว่ากลายเป็นจุดเด่นไปซะแล้ว แก้มบางๆก็เริ่มออกสีแดงอ่อนๆ

                      "หึๆ  ดีแล้วล่ะครับเยอะๆแบบนี้น่ะ  ผอมแห้งแล้วยังตัวเล็กอีกจะเอาแรงที่ไหนไปอ่านหนังสือ  ทานเยอะๆนะ จะได้โตทันพี่ซะที"  คนหนุ่มพูดติดตลก  มารดาได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มบางๆก่อนก้มลงจัดการกับอาหารในจานของเธอ

                      สองลอบมองมารดาของหนึ่ง  คนตัวเล็กสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มีความสุข  คงเป็นเพราะว่าเธอดีใจที่ลูกชายหายเป็นปกติเสียที ก่อนหน้านั้นสองแอบได้ยินมารดาของหนึ่งโทรหาพี่นุช  พี่สาวของคนตัวโต  คิดว่าอีกฝั่งของปลายสายก็คงดีใจไม่แพ้กันกับคนทางนี้  เพียงแค่เห็นรอยยิ้มแบบนั้น สองก็มีความสุขไปด้วย  มันคงเหมือนยกภูเขาออกจากอก  ก็แน่ล่ะ ลูกชายทั้งคน ถ้าคนเป็นแม่ไม่รักไม่ห่วงก็คงเป็นไปไม่ได้  สองได้ยินเธอบอกกับหนึ่งว่า พี่นุชติดเคสด่วนที่โรงพยาบาล ไม่งั้นคงซื้ออะไรอร่อยๆมาฉลองที่บ้าน  โดยปกติบางวันพี่นุชก็จะมานั่งทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้า  บางทีก็มื้อเช้า  บางทีก็มื้อเย็นแล้วแต่โอกาส  แต่สองได้ข่าวว่าอีกไม่ถึงสองเดือน เธอก็จะยอมสละโสดเสียที หลังจากหมั้นหมายกับคุณหมอที่เป็นรุ่นพี่ที่โรงพยาบาลมาหนึ่งปีแล้ว  พอถึงตอนนั้น บ้านนี้ก็คงเงียบลงไปอีก สองคิดว่าบางทีมารดาของหนึ่งก็อาจจะรู้สึกเหงาๆ เพราะบิดาของคนตัวสูงก็แทบจะไม่ได้อยู่ติดบ้านเลย  สองไม่เข้าใจเลยว่า  ทั้งๆที่เป็นผู้บริหารแล้วแท้ๆแต่แค่หาเวลากลับมานอนที่บ้านนี่มันช่างยากเสียเหลือเกิน  สองเลยตั้งใจว่า ถ้าเป็นไปได้  สองก็อยากให้คนตัวสูงอยู่ติดบ้านเสียทีไม่ต้องแยกไปอยู่ที่อื่นอีก

                      ขณะที่สองกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย  และตอนนั้นเอง..

                      "คุณแม่ครับ..หนึ่งว่า  อีกสักสองอาทิตย์หนึ่งจะกลับไปทำงาน"
 
                      "ที่เก่ารึเปล่าลูก  เค้ายังรับหนึ่งใช่มั้ย"

                      "ครับ...ผมลองโทรคุยกับเค้าแล้ว  ทางโน้นเค้าบอกว่ายินดีเสมอ สัญญาว่าจ้างยังเหมือนเดิมครับ"

                      "เอ่อ..แล้วหนึ่งจะไปอยู่คอนโดอีกเหรอจ๊ะ" หญิงสูงวัยมีสีหน้ากังวล

                      "อืม...หนึ่งยังคิดอยู่ครับ"

                      คนตัวเล็กรีบเคี้ยวข้าวในปาก ก่อนกลืนมันลงคออย่างรวดเร็ว

                      "พี่หนึ่ง..อยู่บ้านนี่ล่ะ  ดีแล้ว.."

                     "หืม.. " สายตาคมจับจ้องที่ดวงตาโต

                     "ก็...คุณแม่..ไม่มีใคร...พี่นุชก็งานยุ่ง"  คนตัวเล็กตอบเสียงอ่อยๆ  เพียงแค่ฟังเหตุผลสั้นๆ  มีเหรอที่คนอายุมากกว่าอย่างผู้หญิงสูงวัยที่นั่งหัวโต๊ะและคนหนุ่มอย่างลูกชายของเธอจะไม่รู้  ว่าเด็กตัวเล็กกำลังจะบอกอะไร

                     "ขอบใจนะลูก..แม่อยู่ได้  อยู่มาแบบนี้จนชินแล้วล่ะ  เลี้ยงจนพวกนี้เค้าโตเอาตัวรอดได้ แม่ก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น  อีกอย่าง  ถ้าอยู่คอนโดหนึ่งเค้าจะสะดวกกว่า  แล้วสองก็ไปอยู่กับพี่เค้า  เพราะว่าจะได้หาตรงที่มันใกล้โรงเรียนขึ้นหน่อย"

                     "ไม่ได้หรอกฮะ  คุณแม่อยู่บ้านคนเดียวเกือบตลอด ถึงจะมีพวกพี่ๆที่เป็นแม่บ้าน  แต่ยังไงพี่หนึ่งก็น่าจะอยู่ที่นี่ด้วย  จะได้ดูแลคุณแม่ด้วยไงฮะ...พี่หนึ่งว่าดีมั้ยฮะ.."  คนตัวเล็กรีบหาแนวร่วม

                     "อืม..คือพี่น่ะไม่ได้อะไรนะ..ว่าตามจริงพี่ก็อยากจะกลับมาอยู่บ้านจริงๆจังๆซะที  สำหรับพี่น่ะพอทำงานแล้วก็ขับรถไป ไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร  เพราะว่าบางวันพี่ก็ไม่ได้เข้าออฟฟิศ แต่อาจออกไปตามโครงการ  แต่ว่าสองน่ะ ต้องไปโรงเรียน  บางทีพี่อาจไปส่งไม่ได้ สองก็ต้องนั่งรถไป พี่กลัวสองเหนื่อยนะ แค่สองดูแลพี่เต็มที่ แถมต้องทำงานเรียนอะไรอีกเยอะแยะ  พอเห็นเราผอมลงๆพี่ก็กังวล"

                     "นั่นน่ะสิ..แม่ว่าสองต้องใช้เวลาเดินทางนะ ทุกวันนี้ที่หนูไปโรงเรียนก็ต้องออกก่อนหกโมงอีก  บอกให้คนขับรถไปส่งให้ก็ไม่ยอม  แล้วนี่อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบอีกแล้วไม่ใช่เหรอ"

                     "เอ่อ........."  สองล่ะงงเลย  สรุปว่าทุกคนกำลังเป็นห่วงตัวเขาเอง

                     "ว่าไง  ตกลงว่าจะยังอยู่ที่นี่ใช่มั้ยครับ.."  คนตัวสูงถาม

                     "อยู่ฮะ..ถ้าคุณแม่ให้อยู่  สองอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ตลอดไปก็ได้  พี่หนึ่งไม่อยู่ก็ไม่สนหรอกฮะ"

                     "555+  เจ้าคนขี้ประจบ  คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง  สองอยู่ไหนพี่ก็อยู่ที่นั่นแหละครับ" หนึ่งบอกคนตรงข้ามใบหน้าระบายยิ้ม

                     "แม่ขอบใจนะสอง  แม่รู้ว่าสองอยากให้ตาหนึ่งอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนแม่  แม่ยอมรับนะ ว่าคิดถึงลูกๆน่ะ แต่เค้าโตแล้วก็ต้องมีชีวิตของเค้า  แม่ไปกะเกณฑ์อะไรไม่ได้  อีกอย่างบางทีก็ต้องนึกถึงความสะดวกถ้าอยู่ที่บ้านตาหนึ่งกลับบ้านดึกดื่น  เค้าก็ต้องเรียกให้คนเปิดประตูให้  แม่รู้ว่าเค้าไม่อยากรบกวนคนในบ้าน  ส่วนสองน่ะ  ต้องไปโรงเรียน  ก็ต้องเดินทาง  ดูว่ามันจะไกลกว่าตอนอยู่คอนโดใช่มั้ย  ถ้าตาหนึ่งไปรับส่งได้ก็ไม่เป็นไร  เอาอย่างงี้นะ ถ้าวันไหนตาหนึ่งขับไปให้สองไม่ได้ แม่จะให้คนขับรถไปส่งนะ  หรือไม่ก็ไปรับ แม่จะได้สบายใจ  ตกลงตามนี้นะจ๊ะ"

                     "ฮะ..."คนตัวเล็กยิ้มรับคำของผู้สูงวัย
 
                     "ส่วนหนึ่ง...แม่ก็ขอบใจนะ ที่ลูกตั้งใจจะอยู่ที่นี่  บอกตามตรงนะ  เมื่อก่อนน่ะ หนึ่งงานยุ่ง พออยู่คนละที่ก็ไม่ได้เจอกัน  จะโทรถามก็ยากลำบาก  แม่เป็นห่วงมาก ยิ่งหนึ่งเป็นวิศวะกร แม่ยิ่งเป็นห่วง  หนึ่งเข้าใจมั้ยลูก  พอเราเงียบหายไปหลายๆวัน แม่ก็ใจไม่ดี"

                     "ผมขอโทษนะครับคุณแม่...ที่ผ่านมาผมละเลย  ผมไม่ได้ทำหน้าที่ลูกทีดี  ต่อนี้ไปผมจะอยู่ที่บ้านนี้ล่ะครับ  ถ้ามีดูงานหลายวันติดกัน  ผมจะเรียนคุณแม่ให้ทราบนะครับ  คุณแม่จะได้สบายใจ"
 
                     "จ้ะ..ขอบใจมากลูก  รับทานข้าวพักผ่อนกันซะ  เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ  แล้วสองคนลงมาตักบาตรกับแม่ที่หน้าบ้านนะ"

                     "ฮะ"

                     "ครับ"

                     คนตัวเล็กและคนตัวสูงรับคำพร้อมกัน  ทุกคนต่างยิ้มแย้มมีความสุข  

                                  
                                                        ............................................................................

                      ชายภูมิฐานวางแก้วบรั่นดีชั้นดีลงบนจานรองแก้ว  นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้แตะต้องของมึนเมา  แสงไฟที่สะท้อนอยู่ในน้ำสีอำพันดูเย้ายวนน่าหลงใหล   หากใครได้ลิ้มลองความนุ่มลุ่มลึกในรสชาติ  ก็คงติดอกติดใจ  แต่ถ้าเมื่อได้ชิมแล้วก็ต้องรู้จักพอ  เพราะบางทีสิ่งเหล่านี้ก็นำพาความไม่ดีมาให้  โดยเฉพาะสุขภาพร่างกายสำหรับคนแก่อายุมากอย่างเขา  ก็ถ้าไม่มีเรื่องให้ยุ่งยากใจ  เขาเองก็ไม่อยากจะแตะมันนักหรอก  ตอนหนุ่มๆเคยติดมันอยู่ช่วงหนึ่ง พอแต่งงานก็เลิกเด็ดขาดตั้งใจทำงานดูแลครอบครัว  จนตอนนี้ลูกๆต่างก็ทำงานเอาตัวรอดได้หมด  

                         แต่แล้วเจ้าลูกชายตัวดี  มันก็นำพาเรื่องที่รบกวนจิตใจมาให้  อุตส่าห์ส่งเสียเล่าเรียนจบมามีการศึกษาดี  คิดว่ามันจะกลับมาช่วยดูแลกิจการที่มีอยู่จนล้นมือ  มันดันไปทำงานตามใจตัวเอง  เรื่องนั้นเขาก็ยอมให้ไปแล้ว  เพราะไม่อยากขัดใจกับศรีภรรยาสุดที่รัก ที่เข้าข้างกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย  มันคงถือว่ามีแม่คอยหนุนหลังเลยไม่เห็นหัวคนเป็นพ่อแบบเขา   ถึงเขาจะอายุมากขึ้น  แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถจะปล่อยให้ผ่านเลยไปได้  ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลต้องพลอยเสื่อมเสีย เป็นขี้ปากของชาวบ้าน  เขายิ่งยอมไม่ได้

                         “ไง เดช...”  
                         เสียงชายมีอำนาจดังขึ้นอยู่ด้านข้างโซฟาที่เขานั่ง  เขาเงยหน้าขึ้นมอง  แล้วก็ต้องยิ้มออกมา เมื่อเห็นผู้มาเยือนคือรุ่นพี่ที่เคยเรียนมหาลัยเดียวกัน  นับถือเป็นเหมือนญาติผู้พี่คนสนิท  ตั้งแต่จบออกมาทำงาน  คนๆนี้ก็คอยให้คำปรึกษาเขาได้ทุกเรื่อง

                         “อ้าว  สวัสดีครับ พี่สิทธิ์  เชิญครับ  เชิญ”  เขาลุกขึ้นผายมือให้กับชายสูงวัยที่แก่กว่า

                         “ไหนบอกไปฮ่องกงไง”  ผู้มาใหม่ถามขึ้น

                         “ครับ...กลับมาได้ซักพักแล้วครับ”

                         “อ้อ...”  ชายผู้มาใหม่พยักหน้ารับรู้  สายตาคมปราบลอบมองแก้วบรั่นดีที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า

                         “พี่สิทธิ์  มาคุยงานเหรอครับ  ดีนะครับ  ที่นี่สะดวกดี บริการเยี่ยม  เลานจ์ของโรงแรมก็ตกแต่งดีนะ  ส่วนตัวดีด้วยครับ  สมกับที่เพื่อนผมมันแนะนำมา”  เขาพูดแล้วก็มองไปรอบๆอย่างชื่นชม

                         “ก็..ทำนองนั้นล่ะ  พอดีเจ้าของที่นี่รู้จักกับชั้นน่ะ   มาเยี่ยมเยียนเค้าแล้วก็คุยเรื่องงานด้วย”  อีกคนกล่าวอย่างอารมณ์ดี

                         “อ้อ  ครับ...พี่สิทธิ์สบายดีนะครับ  แล้วศักดิ์มันไปไหนล่ะเนี่ย”  เขาถามถึงคนขับรถส่วนตัวของอีกฝ่าย  ซึ่งปกติจะเห็นตลอดเหมือนเป็นเงาตามตัว

                         “ให้ศักดิ์รออยู่ที่รถน่ะ”

                         “อ้อ..ครับ”  เขารับคำแล้วยกแก้วสะท้อนสีอำพันขึ้นมาจิบ

                        “กลับมานานแล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะ  ทำตัวเป็นเด็กรุ่นหนุ่มไปได้  นี่ท่าจะมาเปิดโรงแรมนอนล่ะสิ  แปลกนะ..”  คนที่นั่งไขว่ห้างตรงข้ามยิงคำถามเป็นชุด  แต่ท่วงท่ายังดูผ่อนคลาย

                  “เฮ้ย...”  เดชคิดชื่นชมคนๆนี้ในใจ   ผู้ชายคนนี้รอบคอบและฉลาดไม่เคยเปลี่ยน  เพียงแค่เห็นเขามานั่งกินเหล้า  ก็เดาเรื่องราวได้เป็นฉากๆ  

                        “มีปัญหาที่บ้านรึไง  ท่าทางจะหนักนะ”

                        “ครับพี่...ก็ไอ้เจ้าลูกคนเล็กผมน่ะ  มันก่อเรื่องให้ปวดหัว”

                        “หืม...หนึ่งน่ะเหรอ  ไอ้เจ้าหนึ่งเนี่ยนะ  ก็มันเพิ่งจะหายป่วยไม่ใช่รึ   ได้ข่าวว่ากลับมาบ้านแล้วนี่ ชั้นงานยุ่งๆ  ไม่ได้เป็นดูหลานมันเลย”

                        “ครับกลับมาบ้านแล้ว  แต่มันดันพาคนอื่นมาอยู่ด้วย”

                        “เฮ่ย!!...อย่าบอกนะว่ามันพาเมียเข้าบ้าน  บ๊ะ...ไอ้เจ้าคนนี้เห็นเงียบๆแต่ไม่ธรรมดา”

                        “เอ่อ..”  เดชสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที   เขายกแก้วบรั่นดีขึ้นซดอีกอึกใหญ่

                       “เฮ่ย! นี่ชั้นพูดเล่นนะ  ตกลงว่ามันเรื่องจริงรึเนี่ย”  คราวนี้อีกคน ทำสีหน้าเหลือเชื่อ

                       “ครับ...นี่ล่ะ  ที่ผมกลุ้มเลย.. แต่ก็คงเอ่อ...ไม่ถึงเป็นเมียหรอกครับ  คงแค่คบๆกัน  เพียงแต่เด็กนั่นเข้ามาดูแลลูกผมที่บ้านตอนป่วยน่ะ”

                        “แล้วยังไงล่ะ  ลูกมันมีคนรักแล้วก็ดี  จับมันแต่งงานกันซะเลย  จะได้มีเจ้าตัวเล็กๆไว้ทันเราเห็นมันวิ่งเล่น”

                        “ไม่ได้หรอกครับ...แต่งไม่ได้แน่นอน”  เดชกล่าวหนักแน่น  ก็จะให้มันแต่งกันได้ยังไง    ในเมื่อมันเป็นผู้ชายทั้งคู่  เรื่องมีลูกมีหลานไม่ต้องพูดถึง  แต่จะให้เขาเอาเรื่องที่ลูกบ้ามันมีรสนิยมแบบนี้ไปบอกคนอื่น
คงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  แม้ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่นับถือกันมาอย่างคุณสิทธิ์ประสงค์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนี่ก็เถิด  เรื่องอย่างนี้มันน่าอายเกินกว่าจะพูดออกมาเสียด้วยซ้ำ

                        “ทำไมล่ะ  รึพ่อสามีอย่างแกไม่ถูกใจว่าที่ลูกสะใภ้”

                       “เด็กคนนั้น..เด็กมากครับ  อยู่แค่ม.ห้าเอง”

                       “อ้อ..ก็รอไปก่อนสิ  เดี๋ยวก็จบแล้ว”

                       “ไม่ได้หรอกครับ...คือ  ผมกำลังคิดว่า  เด็กนั่นอาจไม่ได้จริงใจกับลูกของผม  เท่าไหร่นัก”

                       “ขนาดนั้น...อะไรทำให้คิดแบบนั้นล่ะ”
            
                       “พี่สิทธิ์  คิดดูสิครับ  ลูกผมแก่กว่าเด็กนั่นมาก  เด็กนั่นอนาคตอีกไกล แต่ทำไมต้องมาติดใจอะไรลูกของผม  ไอ้เจ้าหนึ่งมันก็คนบ้างาน  นิสัยของมันใครๆก็รู้  มีที่ไว้แค่ซุกหัวนอน  ถ้าเด็กนั่นไม่หวังเงินทอง  แล้วจะยอมอยู่กับมันทำไม  ถึงขนาดมาดูแลกันที่โรงพยาบาล  แล้วตอนนี้ก็ย้ายเข้ามาบ้านผมเรียบร้อยแล้ว  ดูมันจะรวบรัดดีนะครับ   ผมว่าเด็กนั่นแผนสูงมากว่า  พี่ก็รู้นะ  สังคมเราทุกวันนี้  ความคิดคนมันพัฒนากันไปขนาดไหน  ไอ้เรื่องไม่ดีน่ะ  พี่กับผมอยู่วงการค้าขายเห็นคนมาก็มาก  ยิ่งไอ้พวกหน้าอ่อนๆนี่น่ะ  ร้ายนะครับ  ไอ้ลูกผม ถึงมันจะทันคน  แต่มันก็โง่ได้นะครับ  อ้อ  สงสัยเด็กนั่นคงปั่นหัวคุณณีอีกคนจนยอมให้เข้าบ้าน  เฮ้ย...ผมล่ะกลุ้มเลย  เค้ามาอยู่แล้วจะไล่ออกก็ไม่ได้”   เดชพูดออกไปตามที่คิด  สีหน้ากลุ้มใจจนปิดไม่มิด

                       “อืม...ถ้ามันจริงอย่างที่แกคิด  ก็แย่หน่อยนะ  เพราะคนของเรารับเค้ามาเอง  จะให้ไปไล่เค้าออกก็ไม่ได้”

                       “อีกอย่างนะครับ   ผมว่านะ  เจ้าหนึ่งมันคงแค่หลงใหลไปชั่วคราวเท่านั้นล่ะครับ   แต่กว่ามันจะรู้ตัว  ผมเกรงว่ามันจะถอนตัวไม่ทัน”

                 “แย่นะ  ชั้นก็ว่าอย่างแกเห็นคนมามาก  คงดูคนไม่ผิด”

                      “ครับ  พี่ก็รู้  ผมไม่เคยดูคนผิด  อย่างเราๆกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ก็ผ่านอะไรมาเยอะ  เดี๋ยวนี้มองหน้าก็เห็นไปถึงไส้ถึงพุง”

                      “แล้วจะทำยังไงล่ะ”

                      “เฮ้ย...ยังคิดไม่ออกครับ  ตอนนี้หลบมาตั้งหลัก”

                      “ไม่ยอมกลับบ้านเนี่ยนะ  เป็นวิธีของแก”  สิทธิ์ถามรุ่นน้อง
          
                      “กลับครับ....ก็ว่าจะกลับพรุ่งนี้ล่ะครับ  ยังไงๆก็คงต้องเจอ”

                      “ดีแล้ว  อย่าหนีปัญหา  ยังไงหนึ่งมันก็เป็นลูก  ถึงบางทีมันจะโดนตามใจบ้าง  แต่สำหรับชั้นมันก็ไม่ใช่เด็กไม่ดี”

                     และตอนนั้นเอง....

                      “อ้าว...คุณลุงยังไม่กลับอีกเหรอคะ”  หญิงสาวหน้าตาอิ่มเอิบ  สะอาดผุดผ่อง  ก้าวเข้ามากล่าวทักทาย

                   สิทธิ์ประสงค์หันไปมองตามเสียงหวานไพเราะ  หญิงสาวที่เข้ามาทักทายคือลูกเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ที่เขาเพิ่งจะพบปะมาเมื่อครู่

                      “อ้าว..หนูรดา...”
                  
                      เดชหันไปมองตาม  หญิงสาวยิ้มให้ก่อนพนมมือไว้  เขารับไหว้หญิงสาวที่หน้าตาอ่อนคราวลูก

                        “อ้อ...นี่คุณกรเดชนะ  น้องลุงเอง   เรียกอาเดชก็ได้นะ รดา  ส่วนนี่รดา ลูกคุณหญิงเพียบพร้อม  เจ้าของโรงแรมนี้ล่ะ  เดช”  สิทธิ์ทำการแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน

                        “สวัสดีนะหนูรดา  เมื่อกี้ลุงก็เพิ่งจะพูดชมโรงแรมให้พี่สิทธิ์ฟังอยู่เลย  คุณแม่หนูบริหารดีมากๆนะ”  เดชกล่าวอย่างจริงใจ

                       “ค่ะ  ขอบคุณคุณอามากนะคะ  ที่มาใช้บริการของเรา  เอ๊ะ!....คุณอานี่หน้าคุ้นๆนะคะ...ตายแล้ว!  คุณอาคือคุณอาเดช คุณพ่อของพี่หนึ่งรึเปล่าคะ”

                  “หืม...หนูหมายถึง  ณฤเดช  ตาหนึ่ง ลูกลุงน่ะนะ”   เดชหันไปถามรดาที่นั่งลงข้างๆกัน

                       “ค่ะ  ใช่ค่ะ  หนูจำคุณอาได้ตอนงานรับปริญญา  ก็หนูเรียนที่มหาวิทยาลัยITUที่เดียวกับพี่หนึ่งนี่คะ  ที่นั่นคนไทยน้อยจะตาย  พี่หนึ่งเป็นรุ่นพี่หนูค่ะ”

                       “อ้อ...โลกกลมจริงๆนะ...55+”  เดชพูดด้วยใบหน้าระบายยิ้ม

                       “ค่ะ..พี่หนึ่งสบายดีนะคะ”

                       “ก็...ไม่เชิงน่ะ  หนึ่งเค้าเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล  เพิ่งหายป่วย”

                      “ตายแล้ว..พี่หนึ่งเป็นอะไรคะ  คุณอา”

                      “โดนเหล็กทับขาที่งานก่อสร้างน่ะ  เกือบเดินไม่ได้   แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้วล่ะ  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว”

                      “ดีจังเลยนะคะ”

                      “อืม..ว่างๆหนูก็ไปเยี่ยมสิ  ลุงยินดีต้อนรับนะ “

                      “จริงเหรอคะ  หนูไปเยี่ยมคุณลุงกับพี่หนึ่งได้เหรอคะ”  คนพูดแอบอมยิ้มหวาน  ดวงตาคู่สวยหลุบลงเล็กน้อย

                      “หึๆ  ได้สิ...คนกันเองทั้งนั้น” เดชตาเป็นประกาย   และแล้วสวรรค์ก็เข้าข้างเขา   เด็กสาวน่ารักคนนี้ล่ะ  เธอเปรียบเสมือนนางฟ้าที่ลงมาเพื่อช่วยลูกชายของเขาให้พ้นจากบ่วงมาร

                      “ขอบคุณค่ะ”  รดายิ้มรับอย่างปลาบปลื้ม  เธอดีใจเหลือเกิน  ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอคนที่เธอเคยชื่นชมในอดีตอีกครั้ง  คนที่เธออยากสานสัมพันธ์ด้วยในตอนนั้น   เพียงแต่เพราะอายุที่ห่างกัน  ทำให้เวลาไม่เพียงพอที่จะพัฒนาความใกล้ชิด  เนื่องจากเขาตั้งใจจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยเสียก่อน

                       เดชยิ้มอย่างพอใจ...เขาลอบสบสายตาคมแฝงรอบรู้ของสิทธ์ที่นั่งตรงกันข้าม  สิทธิ์ส่ายหน้าน้อยๆแล้วยิ้มบางๆ  อ่อนใจกับเจ้าคนชอบวางแผน   เพียงได้แต่หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรให้ยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้
                    

                    

                        






+1  ให้คนอ่านทุกคนเลย ขอบคุณมากๆ :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-06-2011 10:47:14 โดย cancan »

ออฟไลน์ in_blu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-0
โอ้วว มาม่าชามใหญ่กะลังรอเสิร์ฟช่ายมะเนี่ย

คุณสิทธิ์นี่ คือ คู่กรณีของน้องสองช่ายมะคะเนี่ย

ออฟไลน์ ขนมหวาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +190/-2
เอาหละซิ เริ่มมาม่าแล้ว เอาใจช่วยน้องสองนะจ๊ะ
ขอให้ความน่ารักจริงใจ ทำให้คุณพ่อ (สามี)
ใจอ่อนยอมรับนะจ๊ะ ส่วนชะนีนางนั้น ไม่รู้ไม่ชี้ 5555

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
คุณพ่อชักพาตัวปัญหาเข้าบ้านซะแล้ว  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ minmin96

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
อย่าได้กังวล...ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง :a2:
เชียร์น้องสองต่อปายยย

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2520
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
อืม คุณพ่อคิดว่าลูกเป็นตุ๊กตาเหรอไงกัน จะได้หาแต่สิ่งดี ๆ ให้โดยไม่สนใจจิตใจลูกกัน ว่าต้องการมั้ย ชริ

น้องสองน่ารักจะตาย น้องสองสู้ ๆ

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ต่อค่ะ(ช่วง2 ของวันที่ 16/06/11)

                  หลังจากวันนั้น..เดชก็กลับมาอยู่บ้านตามที่ได้บอกไว้กับรุ่นพี่คนสนิท  การกลับมาครั้งนี้ของเขาทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูอึมครึมคล้ายกับวันที่มีเมฆหมอกตั้งเค้าจางๆ   ไม่ใช่เพียงแต่เขาเองเท่านั้นที่รับรู้ได้  คนอื่นๆก็เช่นกัน ทุกคนภายในบ้านไม่ค่อยพูดคุยกันเหมือนเคย  เรื่องราวที่สนทนาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องผิวเผิน  ช่วงที่ดูจะอึดอัดน่ารำคาญใจที่สุดก็คือเวลารับประทานอาหารกันพร้อมหน้า  วันไหนถ้ามีลูกสาวช่างพูดร่วมวงด้วยบรรยากาศก็จะดูครื้นเครงอยู่บ้าง  ซึ่งเขาเองจะใช้ช่วงนั้นพูดคุยไถ่ถามกับลูกสาวเป็นส่วนใหญ่  ส่วนเจ้าลูกตัวดีที่นั่งหน้าเคร่งนั่นถ้าจะไม่พูดด้วยเลยก็ไม่ได้  เพราะมันก็ยังมีบางเรื่องที่เขาเองอยากรู้ เช่นอาการเจ็บป่วย หรือเรื่องที่จะทำงานต่อ  พอได้คุยกับเจ้าลูกคนโปรด  ก็มักจะมีคนพูดให้ท้ายคอยสนับสนุนอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็คือ  ภรรยาสุดที่รักของเขาเอง  ในความเป็นจริงคนที่เขาควรคำนึงถึงเวลารับประทานอาหารควรจะมีเพียงแค่นี้  ถ้าไม่นับ  เด็กคนนั้น  ไอ้เด็กที่มันนั่งนิ่งห่างออกไปจากลูกชายของเขา  เพียงแค่รู้สึกว่ามีเจ้าเด็กนั่นนั่งร่วมโต๊กอยู่ด้วย เขาเองก็แทบจะทานข้าวไม่ลง  เพราะฉะนั้นเขาถึงเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะไปพาดพิงถึงเด็กคนนั้น  สู้ไม่พูดถึงและลืมไปเลยเสียดีกว่า  จะได้ทานข้าวได้อย่างสบายอารมณ์ขึ้น

                  วันนี้ไม่มี "นุช" ลูกสาวคนเก่งของเขาต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้า  อาหารมือเช้าบนโต็ะรับประทานอาหารจึงดูจืดชืดไร้รสชาติสำหรับเขา

                  "อ้อ...คุณณี  คุณยังจำคุณหญิงเพรียบพร้อมได้มั้ย.."  เดชหันไปพูดกับภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกัน

                  "ค่ะ..ได้ข่าวว่าโรงแรมเปิดใหม่ที่คุณหญิงลงทุนนี่กิจการกำลังไปได้ดีนะคะ  ยิ่งได้ลูกสาวมาช่วยยิ่งดีใหญ่เลย"

                  "ใช่...นี่..คุณรู้มั้ย ลูกสาวคุณหญิงน่ะ รู้จักกับไอ้เจ้าหนึ่งนะ  เห็นบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย"
              
                  "เอ๋..เหรอคะคุณ   จริงเหรอจ๊ะหนึ่ง"  มารดาหันไปทางลูกชาย ที่กำลังเงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินชื่อของตนอยู่ในบทสนทนา

                  "เอ่อ..ใครนะครับ.." หนึ่งถามสีหน้ายังจับต้นชนปลายไม่ถูก

                  "ก็หนูรดา ลูกคุณหญิงเพรียบพร้อม  วันนั้นพ่อเจอเธอ  แล้วก็ได้คุยกัน รดาบอกว่าเป็นรุ่นน้องหนึ่งอีกที"

                  หนึ่งทำหน้านึกอยู่สักพัก  แล้วก็จดจำหญิงสาวใบหน้าสวยที่เคยเจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย

                  "อ้อ..ครับ  น้องดา  ใช่ครับ..นี่คุณพ่อได้เจอน้องดาอีกหรือครับ เธอสบายดีนะครับ"

                  "ใช่  พ่อเลยเล่าเรื่องที่หนึ่งประสบอุบัติเหตุ  เห็นรดาตกใจไม่น้อย  พ่อเลยชวนเธอมาเยี่ยมหนึ่งบ้าง คนเคยคุ้นเคยกัน"

                  "อ่อ..เอ่อ.ครับ จริงๆผมก็หายแล้วนะครับ  เกรงใจดาเปล่าๆ" หนึ่งพูดแก้เก้อ ก่อนก้มลงตักข้าวต้มในชามต่อ

                  "เฮ่ย..ได้ไง  ก็ถ้าเค้าอยากมา พ่อจะปฏิเสธเค้าได้ยังไง  เอาน่า  น้องเค้าหวังดี  อย่าให้เสียมิตรภาพ ตอนอยู่นู่นเค้าก็คงช่วยอะไรๆแกไว้บ้างใช่มั้ย"

                  "เอ่อ..ก็พอมีบ้างน่ะครับ  ตอนจบเธอช่วยผมเรื่องโปรเจคนิดหน่อย"

                  "ก็นั่นไงล่ะ  พ่อถึงบอกว่าอย่าให้เสียมิตรภาพ คนดีๆสมัยนี้หายาก  รู้หน้าไม่รู้ใจ"

                  ท้ายประโยคเสียงทุ้มกังวาลแดกดันเล็กน้อย  เพียงแค่นั้นก็ถึงกับทำให้คนที่นั่งก้มหน้าเขี่ยข้าวเปล่าในจานต้องแอบสะดุ้ง  ทั้งๆที่ไม่ได้เอ่ยชื่อใครแท้ๆ  แต่ทำไมรู้สึกเหมือนโดนพูดกระทบกระเทียบ

                  "อ้าว..สอง  ทำไมไม่ทานกับข้าวบ้างล่ะ  พี่บอกให้ทานเยอะๆไง   ตอนนี้สองผอมไปแล้วนะ " หนึ่งพูดเบาๆ  แต่ก็ดังพอจะทำให้ได้ยินกันทั่วถึง

                  "เอ่อ.."  คนตัวเล็กอึกอัก  ก็บรรยากาศแสนจะกดดันแบบนี้  แค่ความกล้าที่จะยกมือขึ้นเอื้อมไปตักกับข้าวตรงหน้ายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

                  "ครืดดดดดดด...."

                  เสียงขาเก้าอี้ครูดไปกับพื้น เรียกความสนใจให้ทุกคนหันไปมอง

                  "ผมอิ่มแล้วล่ะคุณ  เดี๋ยวผมขอตัวไปเช็คหุ้นก่อนนะ"  เดชหันไปบอกภรรยา  ก่อนเดินหายเข้าไปทางห้องทำงาน
                  หญิงสูงวัยได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา  ทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะ  ว่าที่สามีของเธอพูดน้อยเช่นนี้เพราะว่าอะไร ดวงตาแฝงความอาทรหันกลับมามองคนหัวทุยๆที่ยังก้มหน้าเขี่ยข้าวอยู่ในจาน  พอสบตากับลูกชายของเธอที่นั่งอยู่ข้างเด็กคนนั้น  เธอก็เห็นแววตาหนักใจของลูกตนเอง  นี่เธอจะช่วยลูกชายกับเด็กน้อยคนนี้ได้ยังไง  แม้แต่เธอเองก็กลุ้มใจ

                  พอวันถัดมา  หญิงสาว ร่างกลมกล่อมใบหน้าน่ารักสะสวย ก็มาเยี่ยมเยียนหนึ่งถึงบ้าน ตามคำเชิญของบิดาของหนึ่ง  สองแอบลอบสังเกตรดา  เธอเป็นผู้หญิงที่ดีพร้อมทุกอย่าง  ทั้งสวย มีเสน่ห์ รู้จักพูดคุยกับผู้ใหญ่  รดาเป็นผู้หญิงที่ดี รู้จักการวางตัว  แม้แต่มารดาของหนึ่ง  สองก็แอบเห็นเธอมีสีหน้าชื่นชมอยู่ไ่ม่น้อย  แน่ล่ะ  ผู้หญิงที่ดูมีความรู้แบบนี้ จะไม่นึกสงสัยเลยหรือว่าสองเป็นใคร  แต่ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับคำตอบจากบิดาของหนึ่งแล้ว  ว่าสองเป็นญาติห่างๆ  ญาติห่างๆอย่างนั้นเหรอ  ดูเหมือนว่าสองจะเจอคนที่ยิ่งกว่ามารดาของหนึ่งเสียแล้ว  เพียงแค่ตอนนั้น  ตอนที่มารดาของหนึ่งยังไม่ได้เปิดใจรับสอง  แค่นั้นสองก็จะแย่  แล้วนี่ยังจะมีบิดาของหนึ่ง  คนที่แสดงอาการไม่ยอมรับสองอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้  สองจะชนะใจคนๆนี้ได้อย่างไร  การมาของรดาสาวสวยคนนี้ สองมั่นใจว่าเป็นการจัดการโดยบิดาของหนึ่ง  เพราะท่าทางและอาการที่ต้อนรับอย่างเปิดเผยของชายสูงวัยผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในบ้านหลังนี้  ทำให้รดาดูเป็นคนสำคัญที่สนิทสนมกันอย่างมาก  

                  และด้วยความที่หนึ่งกับรดาเคยรู้จักกัน  สองเองก็ไม่แน่ใจว่าตอนที่ยังเรียนอยู่นั้น หนึ่งสนิทกับรดามากน้อยแค่ไหน  แต่พอจะเดาได้จากความมีอัธยาศัยดีของทั้งสองฝ่าย  สองจึงคิดว่าสองคนนี้คงเข้ากันได้ดีทีเดียว  แม้แต่ตอนนี้  หลังจากที่ขาดการติดต่อกันไป  แต่ดูเหมือนว่าระยะเวลาช่วงที่ไม่ได้เจอกันไม่ได้ทำให้หนึ่งกับรดามีทีท่าห่างเหินกันเลยสักนิด  สองคนนั้นยังคุยกันได้ออกรสชาติเหมือนเดิม  ส่วนมารดาของหนึ่งก็คงรู้สึกเพลิดเพลิน  เพราะรดาเป็นคนคุยเก่งและมีเรื่องสวยๆงามๆมาเล่าให้หญิงสูงวัยได้ฟังตลอด  สำหรับสองนั้น  ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกผู้หญิงแสนสวยคนนี้ละเลย  เธอยังชวนเด็กอย่างเขาคุยบ้าง  เพียงแต่บางเรื่องที่รดาพูดถึงกลับเป็นสิ่งที่อยู่ไกลตัวจากสองตอนนี้  เพราะว่าสองเด็กที่สุด  ยังเรียนชั้นมัธยม  ไม่ได้จบจากเมืองนอก  ดังนั้น เรื่องราวในชีวิตตอนนี้ก็มีแต่เรื่องของหนึ่งและเรื่องที่โรงเรียน

                  พอหลายวันต่อมา  รดาคนสวยก็มาเยี่ยมคนตัวสูงบ่อยขึ้น  เธอยังคงมานั่งพูดคุยกับมารดาบ้าง หรือหนึ่งบ้างส่วนบิดาของหนึ่ง  ถ้าไม่ติดธุระก็จะออกมาต้อนรับเสมอ   สองเองก็เคยไปนั่งฟังอยู่บ้าง  แต่หลังจากรู้สึกว่าตนเองไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร  ได้แต่นั่งนิ่งเป็นแจกันประดับห้อง  สองจึงคิดว่าเขาควรเลี่ยงออกมาเสียดีกว่า  ช่วงหลังๆมานี้  สองเลยไม่ได้สนใจอีกว่ารดาจะมาเยี่ยมใครบ้าง เธอจะตั้งใจมาหาหนึ่ง  หรือว่ามารดากับบิดาของหนึ่ง  สองก็ไม่ได้อยากรับรู้  ได้แต่หลบอยู่ในห้อง  นั่งทำการบ้านบ้าง หรือว่าท่องหนังสือ  เพราะถึงยังไง ก็คงไม่มีใครสนใจหรือสังเกตอยู่แล้ว  บางครั้งสองคิดว่ามันก็ดีเหมือนกัน  เพราะรดาเหมือนวันที่ฟ้าสว่างสดใส  เมื่อไหร่ที่รดามาที่บ้านหลังนี้  บรรยากาศอึมครึมก็ดูจะมลายหายไป

                  "ดึกแล้วล่ะฮะ  พี่หนึ่งกลับไปนอนได้แล้วล่ะ"  ดวงตาใสมองคนตัวสูงที่ยืดตัวบิดขี้เกียจ  ช่วงนี้สองใกล้จะสอบแล้ว  หนึ่งเลยรับอาสาติวเลขให้ตอนดึกๆของทุกคืน

                  "สองเข้าใจหมดแล้วนะ อ้อ  แต่เมื่อกี๊ทำได้ทุกข้อแล้วล่ะ  คราวนี้เตรียมตัวติดท็อปเท็นได้เลยครับ"  หนึ่งพูดยิ้ม  เอาฝ่ามือยีหัวทุยเบาๆ  

                  "ฮะ...ขอให้ได้อย่างที่พี่หนึ่งว่านะ"  คนตัวเล็กยิ้มบางๆ  ย่นคอรับน้ำหนักของฝ่ามือนั้น

                  และตอนนนั้นเอง ฝ่ามือหนาก็เลื่อนลงมาประกบลงบนแก้มใส

                  "สอง.."  หนึ่งขยับตัวเข้าไปนั่งใกล้  สายตาคมแสดงว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

                  "ฮะ..."  คิ้วเล็กเลิกขึ้น  ดวงตาหวานช้อนขึ้นมอง

                  "เรื่องรดา...พี่ไม่ได้คิดอะไรนะ"  หนึ่งพูดหนักแน่น

                  "ฮะ"  คนตอบรับยิ้มพราย  ฝ่ามือเล็กทาบลงบนฝ่ามือหนา

                  "สองห้ามคิดอะไรทั้งนั้น  นอกจากว่าพี่รักสองคนเดียว  พี่มีสองคนเดียว  เข้าใจนะครับ"

                  "ฮะ..เข้าใจฮะ  พี่หนึ่งกลับไปพักผ่อนได้แล้วนะ  ดึกแล้วฮะ"

                  "ครับ  กู๊ดไนท์ครับ"  คนตัวสูงยื่นใบหน้าเข้าไป  ริมฝีปากจรดลงตรงหน้าผากมน  ก่อนเลื่อนลงมาจุมพิตที่ปลายจมูกเล็ก
 
                  "ฮะ.."  ดวงตาหวานลืมขึ้นหลังจากรับจุมพิตนั้น  ใบหน้ามนยื่นเข้าไปหอมแก้มคนตัวสูงฟอดใหญ่ๆเป็นการตอบแทน  ร่างสูงลุกขึ้น  เดินไปที่ประตู  แต่ก่อนที่จะเปิดออกไป  เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง

                  "สอง  เรื่องคุณพ่อ.."

                  "ฮะ...สองไม่เป็นไรฮะ.."

                  "พี่ขอโทษแทนคุณพ่อนะ  บางทีท่านก็ทำอะไรเกินเลย สองอย่าโกรธท่านเลยนะครับ"

                  "ไม่ฮะ  สองเข้าใจดีฮะ  สองไม่โกรธหรอกฮะ"

                  "ครับ  ขอบคุณครับ พี่ไปนอนก่อนนะ  เจอกันพรุ่งนี้นะครับ"

                  "ฮะ"

                  ประตูห้องปิดลง  คนๆนั้นเดินไปนานแล้ว  แต่คนตัวเล็กยังนั่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม  เสียงถอนหายใจเล็กๆดังขึ้นเป็นระยะๆ  สองไม่คิดมาก่อนเลยว่าความรักของตนเองจะมีอุปสรรคมากมายขนาดนี้  สองขอแค่ผ่านพ้นมันไปได้  อย่างน้อยๆเรื่องราวที่ผ่านมาก็ทำให้เขารู้ว่า หัวใจของเขาและของหนึ่งยังคงมั่นคงเสมอ  สองมั่นใจว่าอย่างนั้น

                   หลังจากที่บิดาของหนึ่งกลับมาอยู่บ้าน  เวลาไปไหนมาไหน  ก็ต้องใช้คนขับรถให้  เพราะสะดวกกว่าการขับรถเอง  ดังนั้นหนึ่งจึงเป็นคนขับรถไปส่งและรับสองแทน  แต่พอหนึ่งต้องเริ่มทำงาน  บางครั้งคนตัวเล็กก็ต้องเดินทางไปเอง  หรือกลับเอง  เพราะสำหรับหนึ่งแล้ว  พอได้เริ่มงาน เขาก็มีหลายโปรเจคระดมเข้ามา  เนื่องจากหนึ่งเป็นคนไฟแรงและมีฝีมือ  จึงได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย  หนึ่งมีงานเข้ามามากขึ้น  สองเคยเห็นโต๊ะทำงานในห้องของหนึ่งเต็มไปด้วยแบบแปลน  วางไว้ก่ายกันไม่เป็นระเบียบ  อาศัยที่เคยจดจำเรื่องราวได้บ้าง ก็เลยจัดให้  แต่สุดท้ายพอมีอันใหม่มาก็เละเทะอยู่ดี  เดือดร้อนคนตัวเล็กต้องคอยจัดให้เป็นระเบียบตลอด  ไม่เช่นนั้นเวลาเร่งด่วนหนึ่งคงต้องใช้เวลาในการควานหาแบบที่ตัวเองวางไว้ระเกะระกะ  พอมาช่วงหลังๆ  ช่วงที่สองต้องสอบ  คนตัวเล็กก็ไม่ค่อยได้เจอหนึ่ง  เพราะต้องออกจากบ้านแต่เช้า แล้วก็รีบกลับมาท่องหนังสือต่อ  กว่าหนึ่งจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปตีหนึ่งตีสอง  คนตัวเล็กก็หลับไปแล้ว  ส่วนตอนเช้าบางทีที่สองเตรียมตัวไปโรงเรียน หนึ่งก็ยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ  ช่วงสอบเป็นเวลาที่สองต้องเหนื่อยมาก  เพราะต้องใช้เวลาเดินทาง  แต่เขาก็ยังได้รับความห่วงใยจากมารดาของหนึ่ง  เธอจะคอยกำชับสาวใช้ให้อุ่นนมไว้ให้สองเสมอ   ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตย์สองก็จะปิดห้องนั่งท่องหนังสือ  แต่บางครั้งก็ยังได้ยินพี่ๆที่เป็นแม่บ้านคุยกันว่ามีแขกมาหา  ก็คงไม่ใช่ใคร สองเดาได้ว่าคือรดานั่นเอง  เพราะความสวยของเธอมักเป็นที่พูดถึงของผู้หญิงด้วยกันเสมอ

                  หลังจากสอบเสร็จแล้ว  สองจึงได้พักหายใจบ้าง  พอจัดการเรื่องรายงานที่ต้องส่งได้หมด  สองก็ไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนอีก เพราะตอนนี้ก็ปิดเทอมพอดี  เหลือเพียงแต่นั่งรอลุ้นคะแนนวิชาเลขว่าจะได้เต็มตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่  เพราะว่าสองตั้งใจแน่วแน่ว่า คะแนนเต็มครั้งนี้ต้องคว้ามาเป็นของขวัญให้กับคุณครูจำเป็นที่มีงานยุ่งจนล้นมือให้ได้  

                  วันหนึ่งขณะที่สองอยู่บ้าน  มารดาและบิดาของหนึ่งออกไปงานจัดเลี้ยงที่โรงแรมแห่งหนึ่ง  ส่วนคนตัวสูงก็คงจะกลับดึกๆดื่นๆอีกตามเคย  สองเลยใช้เวลาว่างๆเข้าไปจัดข้าวของที่ไม่เป็นระเบียบให้กับหนึ่ง  ซึ่งส่วนนั้นจะเป็นเอกสารทำงาน ที่หนึ่งไม่อนุญาตให้ใครยุ่ง นอกจากคนตัวเล็กเพียงคนเดียว  

                  สองเดินไปที่โต๊ะทำงาน  แบบแปลนต่างๆยังวางระเกะระกะเหมือนเดิม  สองใช้เทคนิคในการจดจำรายละเอียด บางทีหนึ่งก็เล่าเกี่ยวกับปัญหาของงานที่ทำให้ฟังบ้าง  จึงทำให้สองจำได้ว่างานไหนเป็นงานสำคัญหลักและรองๆลงมา  แบบแปลนมีเยอะแยะเต็มไปหมด  สองตาลาย  ไม่เข้าใจว่าหนึ่งเพิ่งเข้าทำงานเพียงเดือนเดียว แต่ทำไมถึงมีงานกองสุมเป็นภูเขาแบบนี้  สองเลื่อนลิ้นชักออกมาเอามือควานหาที่ทับกระดาษ  แต่แล้วมือเล็กก็เปะปะไปเจอบางสิ่งที่ไม่คุ้นเคย

                  กล่องอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น  สองหยิบมันออกมา  ดวงตาโตใสเบิกกว้าง  เพียงแค่เห็นแวบแรก  สองก็มั่นใจว่ามันคือกล่องที่มีค่า  เนื่องจากมันบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท  คนตัวเล็กกลั้นใจลองเปิดดู  บางทีอาจเป็นกล่องเปล่า ก็ได้  ถ้ามีของมีค่าข้างใน  หนึ่งน่าจะหาที่เก็บที่ดีกว่านี้

                  ฝาของกล่องถูกมือบางค่อยๆเปิดออก ดวงตาโตหวานสะท้อนภาพของแหวนทองคำขาวเป็นประกายสองวงอยู่เคียงคู่กัน  ความมันวาวกระทบกับไฟนีออนบนเพดาน  ที่ตัวเรือนของแหวนวงเล็กมีเพชรเม็ดเล็กๆประดับอยู่ด้วย  เพียงสายตากระทบถูกเพชรเม็ดจิ๋ว  มันก็สะท้อนแสงออกมาเจ็ดสี  แม้จะถูกเจียรไว้เล็กแค่ไหน  แต่ของล้ำค่าก็ยังอวดโฉมของมันให้เห็นอยู่ดี

                  สองอึ้งกับสิ่งที่เห็น  คนตัวเล็กรีบปิดมันแล้วเก็บไว้ตามเดิม  รู้สึกงุนงงสับสน  ทำไมคนตัวสูงถึงมีของแบบนี้  สองยอมรับว่าอีกใจหนึ่งก็แอบตื่นเต้น  หรือว่ามันจะเป็นสิ่งที่หนึ่งเตรียมไว้เพื่อเขาสองคน แต่พอคิดว่ามันยังไกลตัวเกินไป  สองเพิ่งเรียนชั้นมัธยมเอง และหนึ่งก็ไม่เคยเกริ่นหรือบอกเรื่องราวเลยสักนิด  มันจะเป็นไปได้ยังไง  เท่าที่ดูนี่มันเป็นแหวนแต่งงานชัดๆ  บางทีอาจจะเป็นแหวนที่หนึ่งเตรียมไว้กับพี่แจงก็ได้  แต่พอเลิกกันก็เลยถูกทิ้งไว้แบบนี้  สุดท้ายสองก็เก็บกล่องแหวนไว้ที่เดิม  พยายามสอดมันเข้าไปให้ลึกๆ สองคิดว่าอย่างน้อยๆ  มันก็ยังเป็นของมีค่าอยู่ดี เอาไว้วันหลังสองค่อยๆเลียบๆเคียงๆถามดู  เผื่อว่าหนึ่งอาจจะลืมไปแล้ว  สองจะได้หาที่เก็บให้มันมิดชิดกว่านี้

                 แต่จนแล้วจนรอด สองก็ไม่ได้คุยกับคนตัวสูงจริงๆจังๆ  เพราะหนึ่งต้องออกพื้นที่ วันนี้ก็เช่นกัน  หนึ่งออกไปแต่เช้า  บอกไว้แต่ว่าจะกลับมาดึกๆ  ส่วนมารดาของหนึ่งมีนัดพบปะกับเพื่อนฝูง  ก็คงเป็นที่ร้านทำผมร้านประจำ  สองจึงอยู่บ้านเงียบเหงา  แต่ที่น่าหวาดหวั่นอยู่บ้างก็คือ  วันนี้บิดาของหนึ่งไม่ได้มีธุระไปไหน  และตอนบ่ายๆของวันนั้นเอง  สองก็ถูกเรียกให้เข้าไปพบที่ห้องทำงาน

                 "เอ่อ..."

                 "นั่งสิ"  เสียงมีอำนาจดังขึ้น  คนพูดพยักเพยิดให้นั่งลงตรงโซฟา

                 "ถามตรงๆล่ะนะ  ไม่อ้อมค้อม  เธอตั้งใจจะอยู่ที่นี่อีกนานมั้ย"

                 "เอ่อ...ฮะ.."  คำถามครั้งนี้ทำเอาสองหน้าชาขึ้นทันที
              
                 "เอาล่ะ...ถ้าอึกอักก็จะถามอีกข้อ  เธอเป็นอะไรกับหนึ่ง  ไหนตอบมาให้ชัดๆ"

                 "เอ่อ..ผม..ผมเป็น..."  คราวนี้คนตัวเล็กก้มหน้า  รู้สึกถึงภาวะกดดันจากคนด้านบน

                 "เฮ้ย...ตอบไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ  แม้แต่ตัวเธอเองยังตอบไม่ได้เลย  แล้วจะให้ชั้นยอมรับได้ยังไง เธอคิดจะอยู่กับเจ้าหนึ่งมันไปแบบนี้ตลอดน่ะเหรอ"

                 "พ่อแม่เธอรู้มั้ย"

                 "เอ่อ...ฮะ"

                 "ฮึ..โดนตามใจสินะ  เจ้าหนึ่งมันก็โดนตามใจแบบนี้ล่ะ  อยากได้อะไรก็ต้องได้"

                 "เอาล่ะชั้นจะพูดให้จบๆไปเลย  ชั้นมีลูก  ชั้นย่อมคาดหวังให้มันเป็นคนสืบทอดตระกูล  อยากเห็นหลาน  อยากให้มันดูแลกิจการ  ชั้นต้องการคนที่เหมาะสมกับลูกของชั้นจริงๆ  เธอคงเข้าใจนะ  หนึ่งบอกเธอเรื่องข้อตกลงรึยัง"

                 "ข้อตกลง...ข้อตกลงอะไรฮะ?...."  สองเลยหน้าถามสายตาคมที่ปลายตามองลงมา

                 "อ้อ...คงจะยุ่งจนไม่ได้บอกเธอ  ชั้นจะบอกให้เลยแล้วกัน    ชั้นจะให้มันแต่งงานกับหนูรดา ถ้ามันยอม ชั้นจะอณุญาติให้มันติดต่อกับเธอได้  แต่เธอต้องออกไปจากบ้านหลังนี้   แต่ถ้ามันไม่แต่ง  ชั้นก็คงต้องตัดพ่อตัดลูกกับมัน  เธอคงเข้าใจนะ  ชั้นรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้  ยิ่งเห็นมันมีเด็กมาเกาะแกะยิ่งรู้สึกรำคาญ  เอาเป็นว่าอย่างนี้แล้วกัน  ชั้นจะให้ค่าที่เธอเสียเวลามายุ่งกับลูกของชั้น  นั่นในถุงกระดาษบนโต๊ะ  ชั้นว่ามันคงมากพอที่จะทำให้เธอใช้จ่ายได้อย่างสบายไปหลายเดือน"

                 คนตัวเล็กก้มหน้านิ่ง  รู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าว หัวใจเหมือนถูกบีบอัด  สองกำมือทั้งสองข้างอย่างเจ็บใจ  ความรักของสองที่มอบให้หนึ่ง  ไม่สิ สองพยายามมอบความจริงใจให้ทุกคน  โดยเฉพาะคนๆนี้  แต่มันกลับมีค่าแค่เงินในถุงกระดาษเท่านี้น่ะเหรอ  นี่ถึงขนาดจ้างกันให้เลิกกับลูกชายของตัวเองเชียวเหรอ  แล้วคนตัวเล็กก็นึกอะไรขึ้นมาได้  กล่องสีดำกล่องนั้น...คงไม่ได้หมายความว่าหนึ่งเตรียมแหวนไว้เพื่องานนี้หรอกนะ  หรือว่านั่นคือทางออกของคนตัวสูง  เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทะเลาะกับพ่อ และก็ยังได้คบกับสอง  เขาจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ...

                  "ว่าไง...ตกลงว่าไง  จะไม่ยอมเปิดดูก่อนเหรอ ไม่ใช่น้อยๆนะ ชั้นว่ามันมากกว่าที่เจ้าหนึ่งมันให้เธอซะอีก"

                  "........................"  คนตัวเล็กกัดริมฝีปากจนห้อเลือด

                  "เอ้า..เร็วตอบมา ชักช้าน่ารำคาญ"
  
                  "คุณลุงเก็บเงินไว้เถอะฮะ...สองรักพี่หนึ่ง  คบพี่หนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ  พี่หนึ่งไม่เคยให้เงินสอง  และสองก็ไม่เคยขอพี่หนึ่ง  ถ้าคุณลุงอยากให้สองออกไปจากบ้าน  สองก็ยอมฮะ  ส่วนเรื่องที่พี่หนึ่งจะแต่งงานหรือไม่  คุนลุงคงต้องไปถามพี่หนึ่งเองนะฮะ..."  คนตัวเล็กค่อยลุกขึ้น  ก่อนยกมือขึ้นพนม  แล้วกล่าวต่อ

                  "สองขอโทษนะฮะ...ที่ทำให้คุณลุงรำคาญใจ  สองเองก็ไม่คิดว่าพี่หนึ่งจะยอมรับสองได้ด้วยซ้ำ  แต่สุดท้ายพี่หนึ่งก็ทำให้สองรู้ว่าพี่หนึ่งรักสอง  แต่ถ้าความรักครั้งนี้ มันถึงกับต้องทำให้พี่หนึ่งตัดขาดความเป็นพ่อเป็นลูกกับคุณลุง  สองก็พร้อมจะเป็นคนไปจากพี่หนึ่งเองฮะ  สองขอโทษนะฮะ ที่นำความเดือดร้อนมาให้"  

                  สองเดินจากมาทันทีที่พูดจบ  เขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว  ไม่อยากหันไปมอง  ภายในใจตอนนี้สับสนปนเปไปหมด  ทั้งร้อนรุ่ม ทั้งเสียใจ  อยากเจอคนตัวสูง...แต่พอคิดว่าเมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องทำตามที่พูด  คนตัวเล็กเดินขึ้นชั้นบน  หยิบเป้ใบเก่าออกมา  ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้มันอีกครั้ง  ข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เป็นประจำถูกยัดลงกระเป๋าอย่างลวกๆ  ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่สองไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มเติม  นอกจากสบู่ยาสีฟัน  ของใช้จำเป็น  ส่วนเสื้อผ้าก้มีแต่ชุดนักเรียนและชุดลำลอง  สองเลือกชุดเ่ก่าๆที่ใส่เป็นประจำยัดลงเป้  มือเล็กรูดซิปปิดก่อนเหวี่ยงมันขึ้นบ่าสะพายเข้าที่ก็ออกเดินดุ่มๆ  คนตัวเล็กเดินออกไปนอกบ้าน ไม่สนใจสายตาของพี่ๆแม่บ้านที่เคยพูดคุยสนิทสนมกัน  ไม่สนใจพี่ยามที่เคยทักทายกันประจำซึ่งตอนนี้กำลังเปิดประตูให้  พี่ยามกล่าวอะไรบางอย่าง  แต่สองไม่ได้สนใจ  ในใจของสองว่างเปล่า  เขาจะไปที่ไหนดี  เขาจะไปหาความอบอุ่นที่ไหนดี  ตอนนี้คงไม่มีที่ไหนที่ดีกว่านี้อีกแล้ว  ถ้าไม่ใช่ ที่บ้านของเขาเอง...




+1สำหรับผู้อ่านทุกท่าน ขอบคุณมากๆ :L2:

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด  คืนนี้น่าจะปิดเรื่องนี้ได้... (เหอะๆจะพยายามนะ>.<)


  
                

                  

                  

ออฟไลน์ nabua

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
รออย่างใจจดจ่อค่ะ
สงสารสอง เหมือนถูกใช้ประโยชน์เสร็จแล้วก็เขี่ยทิ้ง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ขนมหวาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +190/-2
สงสารสองง่ะ อ่านแล้วน้ำตาคลอเบ้า
ทำไมพ่อทำอย่างนี้ อินไปใช่มะ
เดี๋ยวมารอตอนท้ายของเรื่องคืนนี้นะคะ
อย่าให้รอเก้อน๊า เอาใจช่วงน้องสองจ้า

ออฟไลน์ k00_eng^^

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 647
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-2

KARNKATREE

  • บุคคลทั่วไป
รอนะค้าบบบ 
รอดูบทสรุปของพี่หนึ่งแล้วก็น้องสอง ครับบ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
ร้องไห้กระซิกๆๆๆ
เศร้าจัง

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
แง๊ ทำไมอ่า คุณพ่อใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย พี่หนึ่งก็ใจร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย ไม่ดูแลน้องเลยเป็นผู้ใหญ่ซะปล่าว อย่างงี้ต้องทิ้งซะให้เข็ด
ดูดิ๊ตอนป่วยจะเป็นจะตายน้องดูแลอย่างดี พอหายดีก็ทิ้งๆขว้างๆ ปล่อยให้อยู่คนเดียวกับงานซะให้เข็ดเลย  :z6: :z6:

tawan

  • บุคคลทั่วไป
ทำเราร้องไห้อะ :m15:

สงสารน้องสองอะ

พ่อใจร้าย

 :call:

LiTTlE [A]

  • บุคคลทั่วไป
น้องสองงงงงงงงงงงงงงง :sad11: :sad11:

คุณพ่อน่าตีจริงๆๆ เลย..เดียวปั๊ด

พี่หนึ่งรีบกลับมาเคลียร์ด่วนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

คุณแม่ช่วยพี่หนึ่งน้องสองด้วยยยยยยยยยยยยยยยยย

 :pig4: :L2: :pig4:

natty _lovelove

  • บุคคลทั่วไป
ใจร้ายกับน้องสองมาก

พอพี่หนึ่งหาย ก็ถีบหัวส่ง 

เชอะ

ถ้าพี่หนึ่งเดินไม่ได้ น้องดายังจะอยากได้อยู่ป่าว

samsoon@doll

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ nn~~NN

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +295/-1
 :dont2:  มันคือมา่ม่าชามโต..  ฮือ..
รีบมาต่อเร็วๆนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ต่อค่ะ(ช่วง3 ของวันที่ 16/06/11)


                  "Rrrrrrrr......."  

                  เสียงโทรศัพท์สั่นที่ใส่ไว้ในกระเป๋า  ทำให้สิทธิ์ที่นั่งหลับตาอยู่ในรถต้องสะดุ้งตื่นขึ้น   เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบเจ้ามือถือจอมปัญหาขึ้นมา  เพียงเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ต้องระบายยิ้มอย่างเหนื่อยหน่ายแกมเอ็นดู

                  "ว่าไง...ชั้นกำลังไปหาแกพอดีเลยเดช"  

                  "55+ครับพี่...พี่ใกล้ถึงยังครับ"

                  "เออ...เดี๋ยวชั้นก็เลี้ยวเข้าซอยบ้านแกแล้ว  ใช่มั้ยศักดิ์"  สิทธิ์ถามคนสนิทที่กำลังขับรถให้   ศักดิ์เพียงแต่พยักหน้าตอบกลับมาทางกระจกมองหลัง

                  "ได้เลยครับพี่  เดี๋ยวเจอกันครับ  ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ดีสุดๆ"

                  "พูดแบบนี้แสดงว่าแกจัดการเรื่องที่บ้านเรียบร้อยแล้วงั้นสิ"

                  "ครับพี่  เด็กนั่นไปแล้วล่ะ  เห็นผมให้เงิน  ตอนแรกนึกว่าจะตาโต  ที่ไหนได้เกิดหน้าบาง  คงละอายน่ะครับเลยยอมรามือแต่โดยดี"

                  "เออ..ง่ายๆแบบนี้ก็ไม่ต้องหนักใจแล้วสินะ  คราวนี้ก็เดินหน้าเรื่องหนูรดากับเจ้าหนึ่งได้แล้วสิ  ว่าแต่แน่ใจนะ  ว่าหนึ่งมันไม่ได้รักเด็กคนนั้นน่ะ"

                  "โธ่พี่  ผมก็ว่ามันก็คงหลงใหลชั่วครั้งชั่วคราว  เหมือนเราสมัยตอนหนุ่มๆไงครับ  อยากรู้อยากลอง  แต่พอรู้ว่ามันไม่ดีก็ต้องรีบเลิก  ผมเห็นมาแล้ว  ผมไม่ยอมให้ลูกพลาดหรอกครับ"

                  "เออๆ  ชั้นเข้าใจแก  งั้นแค่นี้นะเว่ย  เดี๋ยวก็ถึงบ้านแกแล้วล่ะ"

                  "อาๆๆ ครับพี่ โอเคครับ"

                  ปลายสายกดวางไปเรียบร้อยแล้ว  สิทธิ์กำลังเก็บโทรศัพท์เข้าที่   แต่แล้วศักดิ์ที่กำลังขับรถอยู่ก็เรียกเสียงดัง

                  "นายครับนาย  นั่นมันเด็กคนนั้นรึเปล่าครับ"

                  "หืม...ใครกัน..ศักดิ์"

                  "เด็กที่ชื่อสองไงครับ  ที่ผมขับไปชนแกล้มเมื่อตอนนั้น"

                  "จริงเหรอ  ไหนล่ะ"  สิทธิ์ชะโงกหน้ามองออกไปที่กระจก

                  "นั่นครับ  กำลังเดินอยู่ข้างทาง"

                  "อ้อ  ใช่จริงด้วย  ชั้นจำได้  เด็กที่ดูเงียบๆคนนั้นน่ะนะ  ศักดิ์เรียกซิ"

                   ศักดิ์เคลื่อนรถเข้าไปช้าๆ  ตรงที่คนตัวเล็กกำลังเดินดุ่มๆไม่สนใจผู้คน  ศักดิ์จึงบีบแตรสองครั้ง เพื่อเรียกความสนใจ  เขาเห็นเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น คิ้วขมวดกัน คงสงสัยว่าใครมาบีบแตรใส่แถวนี้  เขาจึงลดกระจกลง ยื่นหน้าไปทักทาย

                   "ว่าไง  ไอ้หนู  มอเตอไซด์ใช้ดีมั้ย"  ศักดิ์กล่าวอารมณ์ดี

                   "อ้าวพี่ศักดิ์  สวัสดีฮะ ไม่ได้เจอกันนานเลย  พี่สบายดีนะฮะ"

                   "เออ  สบายดี  เอ้านี่่  วันนี้นายพี่มาด้วยนะ"

                   สองเดินมาที่กระจกตรงส่วนของเบาะผู้โดยสารซึ่งศักดิ์กดปุ่มเพื่อให้กระจกลดลง  ใบหน้าชายสูงอายุใจดีก็ปรากฏให้เห็น  เขายิ้มให้สอง

                   "สวัสดีครับคุณลุง"

                   "ไหว้พระเถอะ สอง  ไปไงมาไงล่ะนี่  บ้านอยู่แถวนี้เหรอเรา"

                   "เอ่อ...สองกำลังจะกลับบ้านฮะ  สองมาค้างบ้านเพื่อนแถวนี้ล่ะฮะ"

                   "55บังเอิญจริงๆ  วันนั้นลุงยังพูดถึงสองกับศักดิ์อยู่เลย  ว่าป่านนี้ไม่รู้ไปขับรถใจลอยที่ไหนอีกรึเปล่า"

                   "เอ่อ..จริงๆสองก็ไม่ค่อยได้ขับหรอกครับ  นั่งรถเมล์มากกว่า"  สองพูดแก้เก้อ
 
                   "อ้อ...แล้วคนที่จะไปหาตอนนั้นก็คงสบายดีแล้วสินะ"

                   "เอ่อ..ฮะ  พี่เค้าสบายดีแล้วฮะ  ตอนนี้เดินได้ปกติแล้ว"  เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นลง

                   "หืม..เค้าประสบอุบัติเหตุงั้นสิ"  ชายสูงวัยถามอย่างสนใจ

                   "เอ่อฮะ "  แล้วคนตัวเล็กก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เคยเล่าเรื่องหนึ่งให้ศักดิ์กับชายสูงวัยใจดีคนนี้ฟังเสียที  จึงกล่าวเสริมไปอีกบางส่วนเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
  
                   "คือพี่คนนั้นเค้าเป็นวิศวกรฮะ  เค้าเจออุบัติเหตุที่ไซด์งานฮะ  ผมกับพี่เค้าสนิทกัน  พอทราบข่าวก็ต้องรีบไปฮะ  แต่ตอนนี้เค้าหายแล้ว"

                   "อ้อ  งั้นก็ดีแล้วล่ะสิ  เอ้อ  งั้นเดี๋ยวลุงขอตัวไปก่อนนะ  พอดีนัดคนไว้"

                   "ฮะ...สวัสดีฮะ"

                   สิทธิ์รับไว้เด็กหนุ่ม  ก่อนที่ศักดิ์จะกดปุ่มให้กระจกเลื่อนขึ้นมาตามเดิม  ตัวรถเคลื่อนคล้อยมาจากเด็กหนุ่มร่างเล็กคนนั้นมาไกลแล้ว  แต่ทำไมสิทธิ์ถึงรู้สึกทะแม่งๆในเรื่องราวของสองเสียเหลือเกิน  เด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ  ถึงแม่จะดูเป็นเด็กเงียบๆธรรมดาคนหนึ่ง  แต่เขาจำได้ดี ประกายตาแบบนั้น  ประกายตาที่ไม่ยอมแพ้ มันสร้างความประทับใจให้เขา อีกทั้งท่าทางสุภาพอ่อนน้อมไม่เรียกร้องสิ่งใด  นั่นทำให้เขาพอใจในตัวเด็กหนุ่มคนนี้เพิ่มขึ้น  เพียงแต่วันนี้  แม้เวลาจะผ่านไปหลานเดือนแต่เขาก็สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ดี  ตอนนี้เด็กน้อยดูซูบผอม  แถมยังปรากฏสีหน้าท้อแท้อย่างเห็นได้ชัด  ถ้าทุกอย่างราบรื่นอย่างที่เจ้าตัวเล่ามา  ทำไมเขาถึงรู้สึกว่า คู่สนทนาของเขาไม่มีความสุขเอาซะเลย..

                   แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญก็คงเป็นเรื่องลูกชายของเจ้ารุ่นน้องคนสนิท  เดชได้ทาบทามให้เขาเป็นพ่อสื่อให้อีกแรง  เขาเองก็เห็นว่ารดาเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักมีคุณสมบัติพร้อม  คิดว่าคงจะทำให้คนหนุ่มอย่างหนึ่งเปลี่ยนใจได้  โดยส่วนตัวแล้วถ้าเป็นเรื่องในครอบครัว เขาเองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง  แต่นี่เดชเป็นคนขอร้องอ้อนวอน  คนเคยคบหาสนิทกันมาเขาเองก็ไม่อาจละเลยได้  ยังดีที่เด็กผู้หญิงที่เจ้าหนึ่งมันติดพันยอมเลิกราแต่โดยดีไม่อย่างนั้นเขาคงต้องช่วยเดชคิดหาวิธีแยกหนึ่งออกมาจากตัวผู้หญิงจนปวดหัว  และด้วยความเชื่อใจ  เพราะเขาเชื่อว่าเดชคงดูคนไม่ผิด  เพราะโดยปกติเดชจะอ่านคนเก่ง
ด้วยเพราะสมัยหนุ่มๆเดชก็มีประสบการณ์ชีวิตโชคโชน  ผ่านผู้หญิงมาหลายแบบ  ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าเดชสามารถจัดการกับผู้หญิงที่หวังรวยทางลัดได้  ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

                                                      ..............................................


                  หนึ่งมองนาฬิกาข้อมือ  ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่ง  เขาจอดรถ  กำลังจะลงไปเปิดประตูเพื่อเอารถเข้าบ้าน  ก็พอดีกับพี่ยามประจำบ้านเลื่อนประตูให้ก่อน

                  หนึ่งขับรถเคลื่อนเข้ามาในบ้าน  พี่ยามรีบปิดประตูแล้วก็วิ่งตามมา  หนึ่งจอดรถเสร็จแล้ว เขาหอบข้าวของกำลังเดินเข้าบ้าน

                  "คุณหนึ่ง  คุณหนึ่ง เดี๋ยวครับ"

                  "หืม..มีอะไรครับพี่"  หนึ่งหันไปหาพี่ยามที่ยังหอบหายใจเพราะต้องวิ่งตามมาจากหน้าบ้าน

                  "คือ..เอ่อ..คือ"

                  "มีอะไรครับ..?"  หนึ่งสงสัยมากขึ้น  เมื่อเห็นสีหน้ายุ่งยากปรากฏบนใบหน้าของพี่ยาม

                  "เ่อ่อ..วันนี้คุณสองออกไปข้างนอก  ยังไม่กลับเลยครับ  ผมถามว่าไปไหน  ก็ไม่ยอมตอบสะพายเป้เดินดุ่ยๆออกไปเลยครับ"

                  "หืม...ว่าไงนะครับ  ไม่เห็นน้องบอกอะไรผมเลย  ขอบคุณครับพี่  ผมขอตัวก่อนนะครับ"  เพียงแค่ได้ฟังเท่านั้น หัวใจของหนึ่งก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ  นี่มันห้าทุ่มจวนนะเที่ยงคืนแล้วนะ  คนตัวเล็กของเขาไปไหนกัน  หนึ่งเดินขึ้นไปที่ห้องของสอง  เขากองของในมือลงบนเตียงของคนตัวเล็กที่จัดไว้อย่างเรียบร้อย  ภายในห้องไร้ร่องรอยของคนตัวเล็ก  หนึ่งรู้สึกใจหาย  เขาค่อยๆเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า  ภายในนั้นยังมีเสื้อผ้าชุดใหม่ๆอยู่บ้าง  แต่กระเป๋าเป้สุดรักของคนตัวเล็กหายไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าที่สองชอบใส่เป็นประจำด้วยเหมือนกัน  หนึ่งเอามือกุมขมับ  นี่คนตัวเล็กของเขาไปไหน เขารีบคว้ามือถือขึ้นมากดหมายเลขของเด็กหัวทุย  แต่สิ่งที่ได้รับคือข้อความตอบรับอัตโนมัติ

                  หนึ่งยืนเคว้งอยู่ภายในห้อง  เขาทำสมาธิอยู่สักพัก  ก่อนหันหลังเดินกลับออกไปข้างนอก  หนึ่งตรงไปยังห้องทำงานของบิดา  เขาทราบว่าวันนี้บิดาของเขาไม่ได้ไปทำงาน  พอเดินถึงหน้าประตูหนึ่งก็เคาะเบาๆ  ได้ยินเสียงตอบรับเป็นเชิงอณุญาติว่าให้เข้าไป  พอประตูเปิดออกเขาก็เห็นว่า  ภายในห้องมีทั้งบิดาและมารดาที่มีสีหน้ายุ่งยากใจไม่แพ้กัน  โดยเฉพาะมารดาของเขา

                  "คุณแม่ครับ..น้องไปไหนครับ"  แต่แล้วหนึ่งก็เลือกถามมารดาก่อนเป็นอันดับแรก

                  "คือ..น้อง...เอ่อ"  มารดาของเขาอึกอัก

                  "เด็กนั่นไปแล้วล่ะ" บิดาของหนึ่งกลับตอบได้หน้าตาเฉย

                  หนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆพยายามกลั้นโทสะที่กำลังเกิดขึ้นภายใน  เขาขบกรามแน่น  พยายามวางท่าทีให้สุภาพที่สุด

                  "หนึ่งใจเย็นนะลูก  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไป.."  ก่อนที่มารดาจะพูดต่อก็ถูกขัดขึ้น

                  "หยุดเลยนะคุณ เข้าข้างมันตลอด  เห็นผิดเป็นชอบ"

                  "ชั้นไม่เข้าใจเลย  ทำไมคุณถึงได้ใจแคบแล้วก็ร้ายกาจแบบนี้นะ  คุณทำแบบนั้นได้ยังไง"

                  เพียงได้ยินมารดาต่อว่าบิดาแบบนั้น  มันก็เหมือนอะไรบางอย่างสะกิดต่อมอยากรู้ของเขา  หนึ่งจึงถามบิดาโดยตรง
                  "อะไรครับ..คุณพ่อทำอะไร?"

                  "ชั้นก็แค่บอกเงื่อนไขที่ชั้นเคยบอกแกให้เด็กคนนั้นฟัง  ชั้นรู้ว่าแกต้องเงียบเฉย  อ้อ  ชั้นอุตส่าห์ใจดีหยิบยื่นค่าขนมให้ เด็กนั่นกลับหยิ่งผยอง  ทำเป็นหน้าบาง  ป่านนี้ก็คงกลับบ้านไปซุกอกพ่อแม่แล้วล่ะ"

                  "คุณพ่อดูถูกสองเกินไปแล้วนะครับ สองเป็นเด็กดีคบกับหนึ่งก็ไม่เคยแบมือขอเงินหนึ่งเลยสักครั้ง"

                  "ฮึ  แกก็พูดได้  เอาอะไรกับคนหลงหัวปักหัวปำ"  

                  "นี่คุณ  คุณก็ว่าชั้นด้วยใช่มั้ย  คนที่ไม่มองอะไรเลยคือคุณต่างหาก" คราวนี้ผู้หญิงคนเดียวในห้องกลับมีอารมณ์ขึ้นบ้าง

                  "คุณแม่ครับ...หนึ่งขอความกรุณา คุณแม่ขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะครับ  เดี๋ยวทางนี้ หนึ่งขอคุยกับคุณพ่อ  หนึ่งมีเรื่องอยากพูดกับคุณพ่อ  หนึ่งต้องการพูดครั้งนี้ครั้งเดียว  คุณแม่เข้าใจนะครับ"  หนึ่งพูดกับมารดาอย่างนอบน้อม

                  "เอางั้นเหรอจ๊ะ"

                  "ครับ"

                   "จ้ะ  ก็ได้จ้ะ"  เพียงได้ยินลูกชายสุดที่รักพูดแบบนั้น  เธอก็ยอมออกมาจากห้องแต่โดยดี  เธอเองก็ทราบดีว่า  นี่คือวิธีที่หนึ่งเลือกแล้ว  และเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะคุยกับคนดื้อดึงแบบเดช  เพราะถึงเธออยู่ด้วย  เดชก็จะอ้างว่าเธอเข้าข้างลูกชายคนนี้ตลอด  การที่ปล่อยให้พ่อลูกเค้าคุยกันแบบลูกผู้ชาย น่าจะดีซะกว่ามีเธอเกะกะอยู่ด้วย  คราวนี้เธอคงได้แต่ภาวนาขอให้ทุกอย่างราบรื่น..






เดี๋ยวมาต่อนะ  (โดนใช้งานT^T) รีบๆ ยังไม่ได้ตรวจคำผิด  ถ้าอ่านเจอขออภัยด้วยนะ

                                          


  

                  
  
                
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2011 02:55:12 โดย cancan »

KARNKATREE

  • บุคคลทั่วไป
รออยู่นะคร้าบบบบ

nuum

  • บุคคลทั่วไป
รีบมาต่อ น้าคับ
นอนรอคอยอ่านอยู่ คับ
หนุกมาก :t3:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26

ออฟไลน์ ขนมหวาน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +190/-2
มาเอกเขนกรอ

ออฟไลน์ sakiko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-25
ค้าง อย่าง รุน แรง อ่ะ  พ่อ นะ พ่อ  

คิดเอง เออ เอง อีก แล้ว

ไม่เคยได้ ยินรึไงว่าลูก หน่ะ เลี้ยง ได้ แค่ ตัว

ออฟไลน์ TENSHINEKO

  • A heart can be broken, but it keeps beating just the same.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
มีคนมาช่วยแล้วน้องสอง

ออฟไลน์ Piaanie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
แง๊ ค้างคาใจ บีบหัวใจเหลือเกิน คุณพ่อใจร๊ายยยยยยยยย :o12:

ออฟไลน์ cancan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +581/-0
ต่อๆ  เอิ๊กๆ สงสัยหลับกันไปหมดแล้ว55

ช่วงที่1 วันที่17/06/11

                  "สอง...ทำไมไม่ลงไปทานข้าวลูก"  เสียงบุพการีดังขึ้นด้านหลัง  สองรับรู้ได้ว่ามารดากำลังนั่งลงบนเตียง สองนอนหันหลังให้  ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน  เขาก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย

                  "สองแค่เหนื่อยฮะ" ดวงตาคนตัวเล็กล่องลอยออกไปไกล

                  "งั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะลูก  แล้วลงไปทานข้าวค่อยขึ้นมานอนต่อนะ"  ฝ่ามืออบอุ่นลูบลงบนศีรษะทุยเบาๆ

                  "สองขอนอนอีกแป๊บนะฮะ"

                  "จ้ะ..เอ..นี่ตัวรุมๆนะ  สองไม่สบายรึเปล่า"

                  "เปล่านี่ฮะ  แค่ปวดหัวนิดหน่อยฮะ"  สองหันกลับไปหาบุพการรี  เอาใบหน้าซุกไว้ที่ตักอบอุ่น

                  "งั้นรีบไปอาบน้ำ ทานข้าวและทานยาซะนะลูก"

                  "ฮะ"

                  "เดี๋ยวแม่กับพ่อไปที่ร้านก่อนนะ"

                  "ฮะ"

                  มารดาของสองลุกขึ้น  เธอเดินออกมาจากห้องของลูกชายตัวน้อย  เมื่อคืนนี้หนึ่งโทรมาที่บ้าน  สามีของเธอเป็นคนรับสาย ก็พอจะเดากันได้อยู่แล้ว  ว่าต้องมีปัญหาอะไรแน่นอน  ทางนั้นก็ยอมรับโดยดี  เพียงแต่บอกแค่ว่าจะขอจัดการเรื่องราวฝั่งนู้นให้เรียบร้อย เธอและสามีไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ลูกชายของเธอถึงกลับมาบ้านราวกับนกปีกหัก  มีหรือที่คนเป็นแม่จะไม่อาจใส่ใจ  มีหรือที่คนหวงลูกอย่างสามีของเธอจะไม่รู้สึกขุ่นเคือง  เพียงแต่การที่หนึ่งโทรมาบอกด้วยน้ำเสียงที่ยุ่งยาก  ก็พอจะทราบว่าปัญหาหนักมิใช่น้อย  แต่การยืนยันหนักแน่นว่ายังรักในตัวลูกชายของเธอ ทำให้เธอและสามีพอเบาใจลงได้....

                  สองเห็นมารดาเดินออกไปจากห้อง  คนตัวเล็กค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง  แปลกใจที่ตอนนี้เขารู้สึกเศร้าอย่างมาก แต่มันกลับไม่มีน้ำตาไหลลงมาเลยสักหยด รึว่าไอ้สอง  ไอ้เด็กขี้แยคนนี้มันจะเข้มแข็งขึ้น สองนอนนิ่งๆ  ไม่ได้คิดถึงสิ่งใดทั้งนั้น นอนเลื่อนลอยไปสักพักก็หลับไปอีก  กว่าจะตื่นอีกที่ก็ปาเข้าไปบ่ายโมง  สองรู้สึกมึนหัว  จึงลุกขึ้นอาบน้ำ  แล้วลงไปหาอะไรกินในครัว  ก่อนที่จะขึ้นมากินยาพารา แล้วหลับไปอีกครั้ง

                  "ตื้ดๆๆๆๆๆ   ตื้ดๆๆๆๆ.."  เสียงโทรศัพท์ของบ้านดังขึ้น  เสียงนั้นดังอยู่ด้านนอก  แล้วก็ปลุกให้คนตัวเล็กตื่น

                  สองเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์อีกเครื่องที่พ่วงสายกันตรงหัวเตียง  

                  "สวัสดีครับ  บ้านลุงอ้วนครับ"

                  "เฮ่ย..สองกูเอง"

                  "อ้าว  เนม  ว่าไง"

                  "เห็นลุงอ้วนบอกมึงกลับมา  กูเลยว่าจะชวนไปเฮฮา"

                  "เหรอ..ที่ไหนล่ะ"
 
                  "ก็ที่เดิมล่ะว่ะ  ไปนั่งกินเบียร์รับลมทะเล  ร้องเพลงตีคอร์ด  พอดีไอ้พีกับไอ้เต้มันกลับบ้านเหมือนกัน พวกมันบอกอยากเจอมึงฉิบหาย"

                  "เหรอ  กี่โมงวะ"

                  "ซักหกโมงครึ่งก็ได้มึง  กูขอลุงอ้วนให้มึงและ  เค้าอณุญาติ"

                  "เออ  ดีมากมึง  รู้หน้าที่ดี  งั้นหกโมงครึ่งเจอกันที่เดิมนะ"

                  "ได้ๆ  เอาเบียร์มาด้วยนะมึง555จิ๊กลุงมานะเว่ย"

                  "ไอ้ห่าน  มึงก็อยู่ที่ร้าน  ก็จิ๊กเองดิ"

                  "ไม่เอาเว่ย  กูต้องรักษาเครดิต"

                  "โหมึง  ไม่ค่อยเลยเนอะ  เออๆ  เดี๋ยวกูหิ้วไปให้สองแพ็ค  ที่เหรอ ลงขันซื้อกันเองนะเว่ย"

                  "เออ  ได้ๆ  แค่นี้นะมึง"

                  "โอเค  เจอกันเว่ย"  สิ้นเสียง  คนตัวเล็กก็วางสาย  จริงๆก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะไม่สบาย  แต่ตอนนี้สองก็ไม่อยากอยู่คนเดียว รู้สึกว่าภายในหัวยังนึกถึงแต่เหตุการณ์เดิมๆ  คำพูดแบบนั้น  สายตาแบบนั้น  ถุงสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะ  คำพูดเรียบๆและการกระทำง่ายๆที่เหมือนเอาไม้หน้าสามฟาดที่ใบหน้าของสองอย่างแรง มีหรือที่คนอย่างสองจะไม่เจ็บปวด  ยิ่งนึกก็ยิ่งเจ็บ  กระบอกตาร้อนผ่าว  แต่แล้วก็รีบลบความทรงจำ  สลัดมันออกไปแรงๆ  พอเลิกคิดถึง  สมองก็ว่างเปล่าเลื่อนลอย  สองไม่ชอบอาการแบบนี้ของตัวเองเลย  มันเหมือนคนไม่มีสติ  เพราะฉะนั้น  การที่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน  อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง

                  สองมาถึงตามที่นัดกันไว้กับเนม  ที่สิงสถิตของพวกสองและเพื่อนคือชายหาดเงียบสงบ  ซึ่งห่างออกมาจากบ้านของสองเพียงไม่กี่ร้อยเมตร  สถานที่แห่งนี้บิดามารดาของสองจึงรู้จักดี  และวางใจให้สองออกมานั่งกินดื่มกับเพื่อนๆจนมืดค่ำเสมอ

                  "เฮ่ยสองๆ ทางนี้เว่ย"  เนมเรียกสอง  ในมือมีกีร์ต้า  ข้างๆมีเด็กหนุ่มอีกสองคนนั่งอยู่  สองเดินเข้าไปพร้อมกับกระป๋องเบียร์ อีกสองแพ็ค

                  "เฮ่ยสอง  เป็นไงบ้างวะ"  เด็กหนุ่มคนหนึ่งทักขึ้น  เขานั่งอยู่ติดกับเนม

                  "สบายดีว่ะเต้  โห  กูว่ามึงตัวใหญ่ขึ้นนะ  ถ้าจะสูงกว่าไอ้เนมอีกนะเนี่ย  มึงกินไรวะ  ตอนอยู่ม.สามก็ตัวเท่าเนมมันนี่หว่า" สองวิจารณ์พร้อมทั้งมองเนมกับเต้สลับไปมา

                  "โห มึง น้อยๆ  กูก็สูงพอๆกับมันล่ะ แต่กูไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนกีฬานี่หว่า  จะให้บึกเหมือนมันได้ไง"  เนมรีบแก้ตัว

                  "55+ เออแล้วมึงอ่ะพี  มึงก็อยู่ที่เดียวกะเต้ใช่ป่าววะ"  สองหันไปคุยกับพี  พีนั่งเงียบอยู่นานแล้ว  พอรู้สึกว่าสายตาของพีกำลังมองมาที่ตัวเอง  สองเลยหันไปทัก

                  "เราสบายดี  ก็อยู่กับเต้มันนั่นล่ะ"

                  "โหมึง  ยังพูดจาเรียบร้อยเหมือนเดิม"  เนมหันไปพูดกับพี  พีที่ดูว่าจะสูงกว่าใครเพื่อน  เพราะเป็นนักบาสเกตบอลของโรงเรียน  หันไปยิ้มให้เนม  ก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซด กว่าสองจะมาถึง เพื่อนสามคนก็ดวดเบียร์กันก่อนหน้านั้นแล้ว

                  "เออ  ดีนะมึง  วันนี้ลมดี  ฟ้าก็สว่าง อากาศแจ่มจริงๆ"

                  "55+ เออๆ กูก็ว่างั้น"  สองลดตัวนั่งลงตรงข้ามกับพี  คนตัวเล็กรู้สึกถึงสายตาแปลกๆของพีที่ส่งมาให้

                  เด็กหนุ่มสี่คนนั่งคุยเฮฮาตามประสาวัยรุ่น จริงๆแล้วพีกับเต้ เป็นเพื่อนอีกกลุ่มของ สอง  ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเพื่อนที่สนิทกันนัก แต่สามารถคุยกันได้  สมัยก่อน  สองคนนี้ชอบไปนั่งที่ร้านของลุงอ้วน  เพราะติดใจในรสชาติอาหาร  บางทีก็พาครอบครัวมาทานด้วย  พอเห็นสองเข้า ก็เลยจำได้ว่าเป็นเพื่อนอยู่โรงเรียนเดียวกัน  ทำให้เริ่มสนิทกัน  ซึ่งต่อมาพีกับเต้ก็สนิทกับเนมด้วย  เพราะว่าทำงานอยู่ที่ร้าน  และเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

                  "เฮ่ย  เนมๆ กูกลับก่อนนะ รู้สึกปวดหัวอยากนอนแล้วว่ะ "

                  "หราาา  เออๆ  กลับก็กลับวะ"  เนมที่ตอนนี้นั่งโงนเงนไปมาพูดกับสอง  ดวงตาปรือเหมือนคนจะหลับเต็มที

                  "เฮ่ย  สภาพแบบนี้จะกลับยังไงวะ"  สองเขย่าไหล่เนม

                  "เดี๋ยวเราไปส่งเองก็ได้"  พีบอกขึ้น หน้าแปลก  สองจำได้ว่าพีดื่มไปมากกว่าเนมซะอีก  แต่เพื่อนคนนี้คงจะคอแข็งไม่เบา  เพราะนอกจากดวงตาแดงก่ำฉ่ำเยิ้ม  พีก็ไม่มีสภาพเมามายให้เห็น  ส่วนเต้ก็คอพับไปแล้วไม่ต่างอะไรกับเนมที่หมดสภาพเรียบร้อย

                  "เหรอ  พีเอารถมาเหรอ"

                  "อื้มม"

                  "เดี๋ยวพีจะไปส่งพวกนี้ใช่มั้ย"

                  "ใช่  เดี๋ยวพีไปส่งพวกมันเอง"

                  "งั้นเอาไงดี  งั้นพีช่วยเราพาพวกนี้ขึ้นรถเถอะ"

                  "เดี๋ยวสิ สอง"  

                  แล้วทันใดนั้นเอง  ข้อมือของสองก็ถูกคว้าไว้  มือของพีบีบแน่นจนสองนิ่วหน้า  คนตัวเล็กถูกเพื่อนที่ตัวสูงกว่าและมีกำลังมากกว่า ลากออกมาอีกทางไม่ไกลกันนัก  สองได้แต่เดินตามด้วยความงุนงง

                   "อะไรเหรอพี  นายจับเราทำไม"  สองพยายามบิดให้ข้อมือหลุดจากการเกาะกุมของพี

                   "สอง   พีรักสองนะ  พีชอบสอง"

                   นั่นทำให้สองถึงกับอึ้งอยู่หลายนาที  ก่อนพยายามพูดด้วยดีๆ

                    "พี  เราว่านายเมาแล้วล่ะ  กลับเหอะ"  ไม่พูดเปล่า  สองพยายามบิดข้อมือ  แต่ไม่เป็นผล

                    "ทำไมล่ะสอง  นายมีแฟนแล้วเหรอ เรารู้นะ  สองก็ชอบผู้ชายเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ  เราชอบสองนะ ชอบมากๆ ชอบมานานแล้วด้วย"

                    "แต่เราคิดกับพีแค่เพื่อนนะ   เป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้วนะ พีเมาแล้ว ปล่อยเราเหอะ"

                    "ไม่  พีไม่ปล่อย  สองรับรักพีสิ  พีรอสองมานานแล้วนะ สองหนีไปเรียนกรุงเทพฯ  พีอยากตามไปใจจะขาดรู้มั้ย  สองอย่าให้พี่รออีกเลยนะ"  พีคว้าตัวสองไปกอดไว้แน่น  สองเริ่มอึดอัดพยายามขืนตัวไว้

                    "เฮ่ย..พี  นายบ้าไปแล้ว  นายสงบสติอารมณ์เถอะ  นายอย่าพูดแบบนี้อีกเลยนะ"

                    "ไม่สอง  เรารักสอง"

                    "พีหยุดพูด  ถ้านายไม่หยุดเราจะโกรธแล้วนะ"

                    "ทำไมล่ะสอง  ทำไมต้องปฏิเสธเราด้วย  หรือว่าสองมีแฟนแล้ว  มันเป็นใคร  ใครมาแย่งสองไปจากเรา  เราไม่ยอม"

                    "เฮ่ย..."  และแล้วสองก็รู้สึกถึงแรงผลักของพี  คนตัวเล็กล้มลงก้นกระแทกพื้น  แรงกระแทกทำให้ปวดร้าวขึ้นมาถึงศีรษะที่ปวดตึ้บอยู่ก่อนแล้ว

                    "นะ  นายจะทำอะไรน่ะ"  สองตกใจเบิกตาสวย  เมื่อร่างกายถูกกดทับด้วยร่างใหญ่โตกว่าของพี

                    "พีรักสอง  พีจะเอาสอง  สองต้องเป็นของพี พีไม่ยอมปล่อยสองให้ใครอีกแล้ว"  คราวนี้พีจัดการเอาตัวทับขาของสองไว้  ใช้มือแค่ข้างเดียวก็ยึดข้อมือเล็กของสองไว้ที่พื้นทรายได้แน่นหนา

                    "ไม่  ปล่อยนะพี  พีบ้าไปแล้ว  ปล่อย.. ชะ  ช่วยด้วย  เนมช่วยด้วย อ๊ะ  อุ๊บ.."
        
                    สองพยายามตะโกนเรียก แต่แล้วริมฝีปากก็ถูกปิดทับด้วยริมฝีปากของพีอย่างรุนแรงและจาบจ้วง สองรู้สึกถึงริมฝีปากที่ถูกกระแทกกับฟัน  รสเค็มบางอย่างสัมผัสลิ้น  พร้อมทั้งกลิ่นคาวตามมา  สองรู้สึกระบมที่ปาก และอึดอัด เพราะหายใจไม่สะดวก  แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวมื่อรับรู้ได้ถึงลิ้นของพีที่แทรกเข้ามาในโพลงปาก

                    สองดิ้นสุดแรงเกิด ขาข้างหนึ่งหลุดจากพันธนาการ สองจึงเตะมันไปที่สีข้างของพีโดยแรง  ได้ผล..พีที่ไม่ทันตั้งตัวทิ้งตัวลงด้านข้าง

                    "อุ๊ก"  แรงเตะของคนตัวเล็กทำให้พีรู้สึกจุก  และมันก็เหมือนน้ำมันเชื้อเพลิงชั้นดีที่กำลังทำให้เลือดของใครบางคนพลุ่งพล่านได้อีกด้วย

                   สองรีบตะกายลุกขึ้น  แต่ก็ช้ากว่าพีที่คว้าข้อเท้าไว้ได้  สองถูกกระตุกจนล้มลงตัวกระแทกพื้น  ตอนนี้คนตัวเล็กระบมเนื้อตัวไปหมด  แต่สัญชาตญาณสั่งให้รีบเอาตัวรอด  มากกว่ามานั่งห่วงความเจ็บ  สองจิกเล็บลงไปบนพื้นทราย  ก่อนหันไปเอาทรายปาใส่หน้าพี  

                   "โอ้ย!" พีร้องเสียงดังเมื่อถูกปาทรายใส่เข้าหน้า

                   สองได้โอกาสวิ่งหนี  แต่วิ่งเปะปะไปได้สองสามก้าวก็ถูกผลักล้มลง  ตอนนี้มึนหัวไปหมด  ดวงตาพล่าเลือนเต็มที
                  
                   พีฉวยโอกาสรีบโถมตัวเข้าทับ ตรึงข้อมือของคนตัวเล็กได้อีกครั้ง  เขาระดมจูบไปทั่วซอกคอขาว อย่างหน้ามืดตามัว  สองดิ้นไปมาอย่างรุนแรง

                   "อึก  ฮือ..พี  พีปล่อยสองไปเหอะฮือๆ"  คนตัวเล็กหมดสภาพอย่างสิ้นเชิง  ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการครั้งนี้ได้อีกแล้ว
                  
                   "อยู่นิ่งๆนะสอง..เดี๋ยวก็สบาย" พียังไม่สนใจเสียงร้องอ้อนวอนของคนตัวเล็ก  แรงดิ้นที่ค่อยๆเหือดหายกลายเป็นเหลือแค่กระสับกระส่ายไปมา  ใบหน้าขาวสะอาดที่เปรอะเปื้อนคราบน้ำตา  ยิ่งปลุกสัญชาตญาณดิบของพีจากภายใน  พีฉกริมฝีปากไปที่ไหปาร้า  ก่อนกัดมันจนห้อเลือด  ทราวงอกเล็กๆของคนข้างใต้ สะท้อนขึ้นลงด้วยแรงสะอื้น  มันกลับยิ่งทำให้พีมัวเมา  ปากของเขาเลื่อนลงไปประกบยอดอกจนมันนูนขึ้นจากภายใต้เสื้อยืดตัวบาง  พีใช้สันคางนวดแรงๆก่อนกัดที่ยอดจนมันตั้งชัน  เจ้าของทรวงอกหอบฮักๆพร้อมทั้งสะอื้นจนตัวโยน  แรงที่ข้อมือยังมีบิดไปมาอยู่บ้าง

                   พีใช้มือข้างหนึ่งยึดข้อมือคนข้างใต้เอาไว้กับพื้นทราย  เสียงสะอื้นและอ้อนวอนขอร้องความเมตตาดังไม่หยุดจากปากคู่สวย  ใบหน้าขาวนวลเปรอะเปื้อนน้ำตาส่ายไปมา  พีมองสิ่งนั้นเหมือนลูกนกในกำมือ  เขามาไกลเกินกว่าจะคิดถอยหลังอีกแล้ว

                   พีล้วงเข้าไปในกางเกงของคนข้างล่าง  เขายอมให้ขาเรียวเล็กเป็นอิสระ แล้วยกมันขึ้นพาดบ่า  ก่อนใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดกดไว้อีกที  คนด้านล่างหัวเข่าถูกยึดติดกับหน้าอกของตนเอง  หนั่นเนื้อขาวนวลถูกเผยออกกระทบแสงจันทร์ยามค่ำคืน  เด็กหนุ่มลากนิ้วสัมผัสตรงนั้น  ลากลงมาถึงรอยจีบปริศนาแล้วก็วนเวียนอยู่แถวนั้น  เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก  เบื้องล่างของตัวเองกำลังบ่งบอกว่าต้องการปลดปล่อย  พีไม่สนใจเสียงร่ำไห้ของลูกนกในกำมืออีกต่อไป  เขาเอานิ้วสอดเข้าไปในรอยแยกของรอยจีบนั้นอย่างแรง  เพียงแค่นั้นก็ทำให้ลูกนกถึงกับร้องเสียงดังอย่างทรมาน  เขารีบประกบปาก  เอาลิ้นเกี่ยวกระหวัด  แต่ความไม่ร่วมมือทำให้ ฟันคมกระทบถูกลิ้น  พีไม่รู้ว่ากลิ่นเลือดที่คาวอยู่ในปากคือของใครกันแน่  แต่กลิ่นนั้นมันช่างปลุกอารมณ์ของเขาตอนนี้ได้ดีเสียเหลือเกิน

                   พีใช้นิ้วที่สองแหย่ตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว  ตอนนี้เขารอไม่ได้อีกแล้ว  นิ้วที่สามจึงแหวกตามเข้าไปติดๆ  โดยไม่สนใจของสภาพร่างกายที่ต้องการความยืดหยุ่น  เสียงคนด้านล่างร้องเจ็บปวดทรมานสุดแสน  ก่อนที่จะเงียบไปในที่สุด  ลูกไก่สลบไปแล้ว...

                   และตอนนั้นเอง....

                   "ผลั่ก!!!!"

                   พีรู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง  ตัวเขาปลิวไปอีกทางด้วยแรงของหมัดเน้นๆของใครซักคน  ตอนนี้สายตาของเขาพล่าเลือนเพราะฤทธิ์ของเบียร์ที่ดื่มเข้าไป  พีรู้สึกถึงแรงอัดกระแทกอีกหลายครั้ง  เขาพยายามปัดป้อง  แต่ก็ทำไม่สำเร็จ  สุดท้ายเขาก็นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นทราย  สติค่อยๆดับลง...





ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน   :L2:
                
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2011 09:43:47 โดย cancan »

tawan

  • บุคคลทั่วไป
ใจร้ายอะ :sad4:

มาตัดอย่างนี้ก็ตายซิ

 :call:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด