ยามเมื่อได้พบพาน2:ปราบพยศ
ตู๋เสอ+เสินเหม่ยตอนที่2
หลังจากนั้นเสินเหม่ยก็ได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของพิษร้าย ที่ตู๋เสอแอบถ่ายทอดจากพลังปราณลงสู้ถ้วยชาใบนั้น ซึ่งเป็นพิษร้ายที่สร้างความทรมานอย่างเหลือแสน ความเจ็บปวดมิได้เกิดขึ้นทางกาย หากแต่เกิดขึ้นทางใจ ความทรมานยากยิ่งที่จะอดกลั้นมิได้เกิดขึ้นทางใจ หากแต่เกิดขึ้นทางกาย การเจ็บปวดทางใจคือความอัปยศอดสู น่าอับอาย ด้วยถูกย่ำยีศักดิ์ศรีแห่งบุรุษเพศ การเจ็บปวดทางกายคือความกระสันซ่านเสียวอย่างเหลือแแสน แต่มิอาจทำให้ทุเลาลงได้ด้วยตนเอง....
สุดท้ายเสินเหม่ยก็ได้แต่ยินยอม เขามิใช่คนขลาดเขลาหากตอนนี้ยังดื้อดึงกลับไป ก็ใช่ว่าจะรักษาชีวิตน้อยๆไว้ได้ ทางหนึ่งอาจทรมานเพราะพิษนี้จนตาย จะให้เขาทรมานเพราะความกระสันนี่จนตายน่ะหรือ...ช่างน่าอนาจยิ่งนัก ทางหนึ่งคือหนีไป หากแต่ออกไปจากนิวาสสถานแห่งนี้ได้ อย่างไรก็มิอาจแน่ใจว่า ต้องมุ่งสู่ทิศใดถึงกลับยังบ้านเกิดตนเองได้ กลัวเสียว่า..ยังมิทันจะไตร่ตรองอันใด คงถูกสุนัขป่าร้ายกาจของเจ้าปิศาจนั่นเล่นงานเสียก่อน เช่นนั้นย่อมเอาชีวิตน้อยๆไปตายเหมือนกัน
หลังจากเสินเหม่ยยินยอมอยู่เป็นทาสเชลยของตู๋เสอ เขาก็ได้รับการช่วยเหลือตามสัญญาที่ตู๋เสอให้ไว้ คือ ระงับพิษร้ายที่กำเริบอยู่ให้ โดยการถ่ายทอดลมปราณของตู๋เสอ เสินเหม่ยมิทราบแน่ว่าตู๋เสอใช้วิธีถ่ายทอดอันใด เขาเห็นเพียงแต่คนผู้นั้นใช้สองนิ้วหนึ่งชี้หนึ่งกลางวาดลงบนฝ่ามือของเสินเหม่ย เพียงเท่านั้นความร้อนรุ่มภายในก็มลายหายไป รู้สึกพลังความร้อนบางกลุ่มไหลย้อนเข้าจุดเหลากงบริเวณฝ่ามือที่ตู๋เสอใช้สองนิ้วแตะเอาไว้ หลังจากนั้นความร้อนนั้นก็มลายหายไปเช่นกัน สุดท้ายตู๋เสอเอ่ยเพียงว่านี่มิใช่การถอนพิษ หากแต่เป็นการสะกดไว้ในฝ่ามือของเสินเหม่ย ตู๋เสอกำชับว่าหากทำตัวได้ดีจริงเขาก็จะให้ยาถอนพิษ แต่ถ้าเสินเหม่ยคิดกลับคำ เขาก็จะขับเคลื่นพิษนี้ออกมาใหม่ เช่นนั้นจงระวังตัว ขอเพียงรู้ฐานะความเป็นเชลย ต้องเชื่อฟังทุกคำบอกกล่าว เพียงเท่านี้ก็ไม่มีปัญหายุ่งยากอันใด
และด้วยรู้ว่ามิมีหนทางใดจะฝ่าฝืนเสินเหม่ยก็ได้แต่เก็บงำความโกรธแค้นไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉย เขายอมอยู่ที่นี่ ยอมเชื่อฟังตู๋เสอ เป็นทาสรับใช้ ซึ่งหน้าที่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมาก ออกจะเป็นงานบ้านงานเรือนเสียด้วยซ้ำ ถึงจะเป็นงานที่ไม่ต้องใช้สมอง หรือพละกำลังเท่าใดนัก แต่ก็ทำให้เสินเหม่ยรู้สึกเจ็บปวดโกรธแค้น เพราะงานเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของอิสตรีทั้งสิ้น แรกๆเสินเหม่ยเอาแต่เถียงคอแข็งว่างานเช่นนี้ต้องให้สาวใช้เป็นผู้กระทำถึงถูกต้อง ส่วนงานอื่นเช่นตัดฝืน หรือก่อสร้างซ่อมแซมเขายินยอมทำทั้งสิ้น เพียงเอ่ยออกไปเท่านั้น เสินเหม่ยก็เห็นตู๋เสอเอาแต่หัวร่อฮอฮาเป็นการใหญ่
พอหัวร่อจนหนำใจ ตู๋เสอก็อธิบายว่า เขาไม่มีสาวใช้ ทุกครั้งงานพวกนี้เขาก็ทำเองเแทบทั้งสิ้น ไม่เห็นต้องคิดมากอันใด เหตุไฉนเสินเหม่ยผู้เป็นเพียงเชลยต้องเรื่องมากด้วย ทั้งคนผิวบอบบางเช่นเสินเหม่ยจะทำงานแบบนั้นได้อย่างไร ถึงจะมีวรยุทธแต่ยังอ่อนหัดนัก เนื้อตัวก็บอบบางดูไร้พละกำลัง มิหนำซ้ำส่วนสูงนั้นยังดูมีปัญหา เนื่องจากเสินเหม่ยเตี้ยแค่ปลายคางของตู๋เสอเท่านั้น
หลังจากได้ยินวาจาของตู๋เสอที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องส่วนสูง เสินเหม่ยก็ให้รู้สึกเหมือนโดนลูกดอกธนูปักกลางอก ก็เรื่องส่วนสูง มันเป็นเหมือนปมด้อยแต่วัยเยาว์ ถูกล้อเลียนเรื่อยมา เช่นนี้เป็นเหตุให้เสินเหม่ยมุ่งมั่นฝึกยุทธ พอมีวิชาหมัดมวยแก่กล้ากว่าเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาก็ไม่ถูกล้อเลียนอีก คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์โดยตู๋เสอ ผู้ที่เขาไม่อาจต่อกรด้วย พอฟังคำนั้นของตู๋เสอก็ทำให้เสินเหม่ยเลือดขึ้นหน้า โกรธตัวสั่น ต่อว่าตู๋เสอที่พูดจาดูถูก ตอนแรกตั้งใจจะอาละวาดพังข้าวของเครื่องใช้นั่นแหละ เอาให้ย่อยยับ เพราะสู้กับคนไม่ได้นี่ แต่พอได้ยินเสียงตวาดดังๆ พร้อมกับสัมผัสได้ถึงรังสีอำหิตอันเย็นชา เสินเหม่ยก็มีอันต้องกล้ำกลืนโทสะเอาไว้ทั้งหมด ด้วยไม่อยากทรมานเพราะพิษร้ายที่ถูกสะกดเอาไว้ในฝ่ามือ นึกได้เพียงแต่ว่า รอก่อน รอก่อนเถิด ตู๋เสอ เจ้ามันก็ร้ายกาจไม่แพ้พญามารม่อเจวียน ขอเพียงเขามีโอกาส โอกาสอันน้อยนิด เสินเหม่ยผู้นี้จะรีบคว้าเอาไว้ โอกาสที่จะควักเอาหัวใจคนอำมหิตออกมาเหยียบย่ำให้จมดิน
ทุกวัน..นอกจากเสินเหม่ยต้องดูแลเช็ดถู ทำความสะอาดมิให้ขาดตกบกพร่อง ใช่แล้ว...ตู๋เสอ นอกจากนิสัยเย็นชา อ่านใจได้ยาก คนผู้นั้นยังเป็นคนละเอียดรอบคอบ ตรวจตราทุกกระเบียดนิ้ว ส่วนไหนที่เสินเหม่ยยังทำไม่สะอาดเรียบร้อย เมื่อตู๋เสอได้เห็นเพียงเท่านั้น เสินเหม่ยก็เป็นอันต้องลงมือทำใหม่ทุกครั้งไป สร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่เขายิ่งนัก นอกจากนี้เสินเหม่ยยังมีหน้าที่ดูแลเรื่องข้าวปลาอาหาร ทั้งกับของตู๋เสอและของสุนัขป่าที่เป็นบริวารของตู๋เสอ ทุกวันเสินเหม่ยต้องเอาชิ้นเนื้อสดขนาดใหญ่สี่ชิ้นไปวางไว้ในป่า ซึ่งอยู่ในระยะของเคหะสถานของตู๋เสอ แน่นอนว่าทุกย่างก้าวของเสินเหม่ยนั้น ตู๋เสอสามารถรับรู้ได้ทั้งสิ้น เนื้อสดที่เสินเหม่ยเอาไปให้สุนัขป่าเหล่านั้น ตู๋เสอจะเป็นผู้หมักและคลุกเคล้ากับสมุนไพรตำหรับพิเศษ ตู๋เสอบอกเพียงแต่ว่า ยาสมุนไพรเหล่านี้บำรุงกำลังแก่สุนัขของเขาได้อย่างดี
สำหรับสำรับอาหารของตู๋เสอนั้น เสินเหม่ยก็ต้องเป็นผู้จัดขึ้น แล้วยกเข้าไปให้ตู๋เสอถึงในห้องหับ ทุกครั้งก่อนลงมือรับประทาน ตู๋เสอจะใช้เข็มเงินจิ้มสำรวจอาหาร เพื่อความแน่ใจว่าเสินเหม่ยมิได้แอบวางยา จนเมื่อหลายวันผ่านไป ตู๋เสอก็ล้มเลิกการทดสอบอาหาร ทุกวันนี้ขอเพียงสำรับตั้งตรงหน้า ตู๋เสอก็จะลงมือจัดการทันที เฉกเช่นวันนี้ ก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่เสินเหม่ยเอาสำหรับอาหารที่ปรุงเรียบร้อยเข้าไปให้ตู๋เสอ ที่นั่งรออยู่แล้ว เสินเหม่ยค่อยๆเดินเข้าไปแล้วเอาสำรับวางลงบนโต๊ะ
"อืม..หอมดีจริง..หน้าตาไม่เลว" ตู๋เสอชมอาหารในสำรับ ซึ่งมีข้าว น้ำซุป และเนื้อผัดกับสมุนไพร
"เช่นนั้น..ข้าขอตัว.." เมื่อวางสำรับเรียบร้อย เสินเหม่ยก็เอ่ยวาจาขอออกมา ทุกครั้งตู๋เสอจะรับประทานคนเดียว ส่วนเสินเหม่ยจะรับประทานในครัว
"นั่งลง..วันนี้ทานด้วยกัน"
"........................." ประโยคเอ่ยชวนทำเอาเสินเหม่ยยืนตัวแข็ง เพราะมิคิดว่าตู๋เสอจะอยากให้เขาทานด้วย
"นั่งลง..อย่าให้พูดเป็นครั้งที่สาม..เพราะข้ารับรองได้ว่ามันจะไม่มีแน่นอน" เสียงนั้นเริ่มเย็นชา
เมื่อเสินเหม่ยได้ยินเช่นนั้นเขาจึงต้องจำใจนั่งลง ตู๋เสอกำลังจะลงมือรับประทานแล้ว หากแต่เห็นเสินเหม่ยยังนั่งนิ่ง สร้างความหงุดหงิดยิ่งนัก จึงกล่าววาจาขึ้น
"เหตุใดไม่ถือตะเกียบ หากยังนั่งนิ่งเช่นนี้ ข้าคงต้องเอาอาหารพวกนี้กรอกเข้าปากของเจ้าด้วยตัวเองเสียแล้ว"
เสียงนั้นฟังดูหงุดหงิด และเริ่มจริงจัง จนเสินเหม่ยต้องรีบถือตะเกียบ...และสิ่งที่ตู๋เสอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าเสินเหม่ยเอาตะเกียบคีบชิ้นเนื้อส่งให้ถึงปาก ทั้งยังโปรยยิ้มหวานราวกับเทพยดา สร้างความงุนงงแก่เขายิ่งนัก แต่ก็มิอาจเอื้อนเอ่ยอันใดได้ทัน ได้แต่คาบชิ้นเนื้อกลืนกินเข้าไปเพราะตกตะลึงในรอยยิ้มเช่นนั้นของเสินเหม่ย
เพียงแค่นั้น เสินเหม่ยก็ได้แต่คีบนู่นคีบนี่ให้ตู๋เสอรับประทาน พร้อมทั้งยังสาธยายคุณประโยชน์ต่างๆของสมุนไพรที่เสินใหม่ปรุงลงไปในอาหาร สร้างความเพลิดเพลินแ่ก่ตู๋เสอยิ่งนัก
แต่เพียงไม่นานตู๋เสอก็ต้องนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด เนื่องจากเขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนในกระเพาะ ตู๋เสอปล่อยตะเกียบเอามือกุมท้องไว้ เขาตบโต๊ะดังปัง ถ้วยชามกระเด็นกระจัดกระจาย ตู๋เสอเอามือข้างหนึ่งเท้าโต๊ะยันกายลุกขึ้นยืน เพียงแค่เคลื่อนไหว อาการปวดแสบปวดร้อนก็แผ่กระจายไปทั่ว ตอนนี้กำลังแสบถึงในลำคอของตู๋เสอแล้ว ตู๋เสอชี้หน้าเสินเหม่ยอย่างโกรธแค้น กล่าวออกมาด้วยโทสะ
"เจ้า...เจ้าวางยาข้า"
"ใช่...หึ หึ ..ข้าวางยาพิษในอาหาร...ตู๋เสอ อาหารที่เจ้ากินไปเมื่อครู่นั่นยังไง" เสินเหม่ยแค่นยิ้มตอบ ตอนนี้เสินเหม่ยลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับตู๋เสอ เขากล่าวออกไป
"นี่เป็นยาพิษ ไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รส โดยปกติข้าจะเอาไว้อาบคมกระบี่ ยาพิษนี้หากเข้ากระแสเลือดหรือกลืนกินเข้าไปย่อมอันตรายถึงแก่ชีวิต ต้องปวดแสบปวดร้อนนอนตายอย่างอนาจ และที่สำคัญไม่มียาอันใดถอนพิษนี้ได้" เสินเหม่ยกล่าวอย่างผู้มีชัย
"เจ้า...เจ้า.."ตู๋เสอกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ล้มลง
"ฮาฮา ..โทษใครไม่ได้ เจ้าอยากประมาทเอง เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องกลัวเจ้าแพร่พิษในร่างกายข้าอีกต่อไป ขอเพียงข้าหลบหลีกจากสุนัขป่าของเจ้าได้ ข้าย่อมเป็นอิสระ...เจ้าจงรอความตายอยู่ที่นี่เถิด ตู๋เสอ..ข้าไปล่ะ" เสินเหม่ยกล่าวทิ้งท้าย เขาหันกายเดินไปที่ประตู และช่วงที่จะก้าวข้ามธรณีประตูออกไป เสินเม่ยก็ต้องสะดุ้งตัวโยน เมื่อเขาได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหู
"หึ หึ เสินเหม่ย..เจ้าผิดแล้ว"
สินเหม่ยคิดคำนึง นั่นมิใช่เสียงของตู๋เสอหรอกหรือ เขามิได้นอนชักอยู่หรอกหรือ เหตุใดน้ำเสียงถึงแฝงด้วยพลังลมปราณอันแข็งแกร่ง มิใช้เขาโดนยาพิษครอบงำหรอกหรือ
สินเหม่ยยืนค้างนิ่งตัวแข็งทื่อ เขายังมิได้ก้าวขาข้ามธรณีประตูออกไปเลยด้วยซ้ำ ไม่ทันที่เสินเหม่ยจะคิดใคร่ครวญอะไรไปมากกว่านั้น เขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังมืดมน ก่อนสิ้นสติสมประดีไปในที่สุด
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
พอรู้สึกตัวอีกที เสินเหม่ยก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องหับ เขาพยายามส่ายหัวไปมาเพื่อขับไล่อาการมึนงง เสินเหม่ยพยายามขยับแข้งขา แต่แล้ว...เขาก็ต้องตกใจ เมื่อสองมือสองเท้าถูกพันธนาการไว้ทั้งสี่ด้าน สองมือแยกออกถูกพันธนาการไว้เหนือศรีษะ สองเท้าแยกออกถูกพันธนาการไว้ด้านปลายของเตียง เสินเหม่ยรู้สึกถึงไอเย็นของอากาศที่กระทบถูกผิว เขายกศรีษะขึ้นสำรวจเสื้อผ้า ก็ต้องพบว่า บนร่างกายไม่มีอาภรณ์ลงเหลือเลยสักชิ้น ใบหน้างามของเสินเหม่ยเริ่มเปล่งสีแดงเรื่อ พร้อมกับดวงตาสวยที่เบิกโพรงด้วยความตระหนก และแล้วเสินเหม่ยก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง
"หึ หึ ดูผิวของเจ้าสิ ช่างขาวนวลเปล่งปลั่งดั่งดรุณีแรกแย้มก็มิปาน" ตู๋เสอที่นั่งจิบชา กำลังมองเรือนร่างของเสินเหม่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
"ทะ...ทำไม...เจ้าไม่ตาย" ถึงแม้ตอนนี้ความอับอายและความโกรธมันประดังประเดปั่นป่วนไปหมด แต่เสินเหม่ยก็ยังอยากรู้ว่าเหตุใดยาพิษนั้นถึงใช้การไม่ได้ เขาจึงกัดฟันถามออกไป
" ฮา ฮา ฮา เจ้านี่น่าหัวร่อยิ่งนัก....ข้าเป็นใครเจ้าก็รู้ดี...เหตุอันใดพิษเช่นนี้ข้าจะจัดการไม่ได้ ขอเพียงมันไม่แล่นเข้าขั้วหัวใจอย่างเฉียบพลัน ข้าย่อมผลักดันลมปราณภายในขับเอามันออกมาได้ นี่ช่างง่ายยิ่งนัก ฮา ฮา ฮา" ตู๋เสอหัวร่อต่อความอ่อนต่อโลกของเสินเหม่ย
"เจ้า..เจ้า..ฆ่าข้าเสียเถิด" เสินเหม่ยกัดฟันกล่าวออกไป
"ฆ่าเจ้า..ฆ่าเจ้าแล้วสนุกอันใดเล่า" ตู๋เสอนั่งจิบชากล่าวออกมาอย่างสบายๆ แล้ววางถ้วยชาลง เขามองเสินเหม่ยด้วยแววตาที่แสนเย็นชา
"ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ อย่าทำให้มีปัญหายุ่งยาก ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เห็นทีต้องลงโทษเพื่อให้หลาบจำ"
"อย่า.." เสินเหม่ยส่ายหน้า ด้วยรู้ถึงบทลงโทษ เขาไม่อยากให้ตู๋เสอกระตุ้นพิษนั้นออกมา เขาไม่อยากรู้สึกแบบนั้น ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะสายไปเสียแล้ว เมื่อตู๋เสอกำลังพุ่งพลังปราณมายังเสินเหม่ย เขาขับเคลื่อนพิษออกไปแล้ว
"อึก....อ๊ะ..อึก" เสินเหม่ยเกร็งลำตัว ความร้อนรุ่มกำลังก่อตัวในท้องน้อยช่วงล่าง
ตู๋เสอมองร่างขาวสะอาดที่เริ่มเปล่งสีชมพูเรื่อๆบิดไปมาด้วยความทุรนทุราย
หลังจากความร้อมรุ่มแผ่ซ่านไปทั่ว เสินเหม่ยก็แทบจะทนไม่ไหว เขากัดริมฝีปากเอาไว้แน่น ไม่อยากให้เสียงน่าอายเล็ดลอดออกมา ตอนนี้ความร้อนนั้นก่อตัวไปทั่ว มันเคลื่อนไปทุกที่ที่ไวต่อสัมผัส ความกระสันซ่านเสียว ทำให้เสินเหม่ยแอ่นกายจนโค้ง เขามิอาจเก็บเสียงน่าอายไว้ได้ต่อไป
"อึก...อ๊ะ...อ๊าา..อึก"
ตู๋เสอมองร่างขาวอมชมพู เขาใช้สายตาที่แสนเย็นชาเพ่งพิศใบหน้างามที่เชิดขึ้นด้วยความทรมานเกร็งกระสัน เกศาเป็นมันดำขลับหลุดจากผ้าที่พันรวบเอาไว้ เส้นผมแผ่สยายไปทั่ว ใบหน้างามยังมีไรผมที่แปดเปื้อนหยาดเหงื่อ ติดแต้มคลอเคลียตามเนินหน้าผากและโหนกแก้ม ตู๋เสอไล่สายตามาตามลำคอระหง ลงไปที่ไหปลาร้า เนินอกที่มีกล้ามแบบบุรุษเพศ หากแต่เนื้อนวลเนียนชวนสัมผัส เนินอกกำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจหอบถี่ของเสินเหม่ย แต่สิ่งนั้นยังไม่เย้ายวนเท่ากับ เม็ดทับทิมสีชมพูทั้งสองด้านที่เต่งตึงจนเห็นได้ชัด มันกำลังลอยขึ้นลงตามแรงเคลื่อนตัวของคลื่นแห่งเนื้อนวล สายตาของตู๋เสอยังคงไล่ลงไปเรื่อยๆ ผ่านซี่โครงที่เกร็งจนเห็นเป็นรูป ผ่านรอยบุ๋มของสะดือ สายตาของตู๋เสอแทบจะแหวกเข้าไปในพงหญ้าด้านล่างนั้น ก่อนไล่ขึ้นไปสำรวจความโดดเด่นของหอคอยที่ตั้งตระหง่าน เจ้าของพื้นที่นี้กำลังนอนระทวดระทวยสีหน้าทรมานเป็นอย่างยิ่ง
ตู๋เสอลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้เตียง เขานั่งลงตรงหัวเตียง ก้มลงกระซิบวาจาข้างๆใบหูของเสินเหม่ย
"ต้องการให้ช่วยหรือไม่?"
"มะ..อ๊ะ..อ๊าา..ไม่..อึก"
เสินเหม่ยแข็งใจตอบ เขาพยายามเม้มริมฝีปากให้สนิทกริ่งเกรงว่าจะปลดปล่อยเสียงน่าอาย
"หึ..หึ..เป็นเช่นนั้น..จริง?"
เสียงเย็นชากวนโทสะยังคงดังอยู่ข้างใบหู
"ขะ..ฆ่า..ฆ่าข้าเสียดีกว่า..อึก"
"หึ..หึ..เจ้ารู้หรือไม่..ข้ามันชอบขัดใจผู้อื่น.."
สิ้นเสียงนั้น ลิ้นแหลมๆอุ่นๆของตู๋เสอก็แทรกเข้าไปในร่องหูอย่างแผ่วเบา ทำเอาเสินเหม่ยกลั้นเสียงไม่ไหว จำต้องส่งเสียงครางหวานออกมา
"อ๊าาา..อึก..ฮะ..อึก"
"ชอบ..ใช่หรือไม่..ชอบ..เจ้าชอบ..หึหึ"
"ไม่..อึก..อ๊ะ..อ๊าาา"
เสินเหม่ยปฏิเสธ แต่พอสัมผัสถึงชิวหาซุกซนที่ซอกตรงใบหูอีกครั้งก็ต้องเปล่งเสียงออกมา
"หึ หึ ข้ารู้เจ้าชอบ หากแต่ปากแข็งมิยอมอ่อนข้อให้ข้า ใช่ไหมเล่า เสินเหม่ย"
".............." เสินเหม่ยไม่อยากต่อปากต่อคำอีกแล้ว เขาได้แต่เม้มปากแน่น สิ่งนี้ทำให้ตู๋เสอเกิดโทสะจริต ตู๋เสอใช้น้ำเสียงเย็นชา เอ่ยวาจาต่อเสินเหม่ยที่นอนเรือนกายสั่นระริก
"ดี..ไม่อยากพูดไม่เป็นไร...ข้าจะค่อยๆทำความคุ้นเคยกับร่างกายของเจ้า เช่นนี้ทั้งคืน คอยดูเถิดว่าเจ้ายังปิดปากอยู่ได้หรือไม่"
เป็นเช่นนั้นจริงๆ...ตลอดหลายชั่วยาม เสินเหม่ยต้องทนกับอาการคันและเสียวซ่าน ร่างกายบิดไปมาอย่างเร่าร้อน ทุรนทุราย พอใกล้ถึงความสูงสูดแห่งอารมณ์ ตู๋เสอก็จะสะกดพิษร้ายกลับเข้าไปในฝ่ามือของเสินเหม่ยอีกครั้ง คราแรกเสินเหม่ยใจชื้นขึ้นเขาหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย รู้สึกตาลาย สมองอื้ออึงไปด้วยพิษของความกระสันซ่าน แต่เพียงห้าลมหายใจเข้าออกของเสินเหม่ยผ่านพ้นไป ตู๋เสอก็ขับเคลื่อนพิษร้ายนั้นออกมาใหม่ คราวนี้กลับสร้างความทรมานแก่เสินเหม่ยมากขึ้น เพราะมิได้ระบายความสุขที่คั่งค้างออกมาจากครั้งก่อน ต่อจากนั้นพอสักพักตู๋เสอก็สะกดพิษนั้นไว้อีก เป็นเช่นนี้สลับวนไปวนมา จนหลายชั่วยามผ่านไป ตู๋เสอยังคงนั่งเคียงข้างเสินเหม่ย
"หึ หึ ครานี้เจ้าต้องการอันใด.." เสียงของตู๋เสอเอ่ยวาจาถาม
"หากเจ้าไม่คิด.....ฆ่า...ข้า...ก็จะ..จง..อย่า..อะ..เอ่ย..ถาม..อะ..อันใด..อีก" เสียงของเสินเหม่ยสั่นสะท้าน
"หึ หึ ข้าไม่คิดฆ่าเจ้า ทั้งยังจะช่วยเจ้า เอาเถอะ ครานี้พอแค่นี้ บทลงโทษนี้หวังว่าเจ้าจะจดจำ มาเถอะเสินเหม่ย ข้าจะช่วยเจ้าให้ผ่อนคลาย" ขาดคำ ตู๋เสือก็เอื้อมมือไปปลดเชือกที่ผูกข้อมือของเสินเหม่ยไว้ทั้งสองด้าน แล้วช้อนลำตัวของเสินเหม่ยขึ้นนั่ง ส่วนตัวของตู๋เสอเองนั้น เขาได้นั่งซ้อนหลังของเสินเหม่ยเอาไว้ เขาให้เสินเหม่ยพิงหน้าอกของตนเองไว้
"จะ..เจ้า..ทำ..อันใด" เสินเหม่ยถามตู๋เสอที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
"ช่วยเจ้าไงเ่ล่า.." สิ้นเสียงนั้นของตู๋เสอ เสินเหม่ยก็เห็นตู๋เสอยื่นมืออกไป ตู๋เสอใช้ปลายนิ้ววนตรงยอดหอคอยของเสินเหม่ยที่หยาดเยิ้ม
"ฮะ...อ๊าาาาาาาา" เสียงครวญครางของเสินเหม่ยเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่สวย
"ชอบใช่ไหม..เสินเหม่ยคนดี หึ หึ " เสียงทุ้มต่ำเย็นชาของตู่เสอยังคงกระซิบก่อกวนโสตประสาทของเสินเหม่ย
"อ๊ะ..มะ..ไม่" เสินเหม่ยกลั้นใจกว่างเสียงแข็ง
หลังจากนั้นตู่เสอก็ลุกขึ้น เขาค่อยๆปล่อยเสินเหม่ยนอนราบ จากนั้นเดินไปที่ปลายเตียงแล้วแกเชือกที่มัดข้อเท้าทั้งสองข้างของเสินเหม่ยออก เขาจับขาทั้งสองข้างของเสินเหม่ยชันเข่าขึ้น
"อ๊ะ..อ๊าาา" เพียงชั่วครูเสินเหม่ยก็ต้องแหงนหน้าร้องออกมา เมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งลักษณะกลมกลึงที่ตู๋เสอยัดเข้าไปในช่องทางนั้น เพียงชั่วสองลมหายใจเข้าออกช้าๆ ตู๋เสอก็กลับมานั่งซ้อนหลังของเสินเหม่ยตามเดิม พร้อมทั้เอ่ยวาจาว่า
"นั่นคือสมุนไพรชั้นดี จะช่วยให้เจ้าผ่อนคลายหลังจากข้าช่วยให้สุขสม.."
"อึก" เสินเหม่ยไม่สามารถพูดอันใดได้อีกแล้ว เขาไม่มีแรงต่อต้านอีกแล้ว
"หึ..หึ ครานี้ข้าจะช่วยเจ้าแล้ว..เสินเหม่ยคนดี" สิ้นเสียงนั้นของตู๋เสอ เสินเหม่ยก็รับรู้ได้ถึงฝ่ามือร้อนที่กอบกุมหอคอยของเสินเหม่ยเอาไว้ มันกำลังเคลื่นไหว ขึ้นลงอย่างเชื่องช้า
"อ๊ะ..อ๊าาาาา" เสินเหม่ยหลับตาลงเนื่องจากไม่อยากเห็นภาพบัดสีเบื้องหน้า ด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้น กลับกลายเป็นว่าเขากำลังพิงบ่าแข็งแรงของตู๋เสออยู่ เสินเหม่ยรับรู้ถึงอาการเคลื่อนไหวของฝ่ามือร้อนนั้น มันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รุนแรงจนเสินเหม่ยต้องเปล่งเสียงครวญคราง และเริ่มขยับสะโพกตาม สองปลายเท้ากำลังจิกลงบนพื้นเตียง
"อ๊ะ..โอ้วววอ๊าาา" เพียงแค่ขยับสั่นไหวสะโพกของตนเอง เสินเหม่ยกับรับรู้ได้ถึงเม็ดยาที่ถูกสอดใส่อยู่เบื้องหลัง ยาเม็ดนั้นกำลังถูกผนังนุ่มๆบดเบียดไปมา บางทีก็เคลื่อนเข้า บางที่ก็ถูกบดจนเคลื่อนออก เสินเหม่ยรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของมัน
"อ๊ะ...อะ..อ๊าาาา" เพียงแค่ยาเม็ดนั้นเคลื่อนถึงจุดที่สร้างความหฤหรรษ์ดำมืด ก็ทำเอาเสินเหม่ยเกร็งตัวแหงนหน้าจนสุด มันบังคับให้เขาต้องขยับสะโพกแรงขึ้น
ความรุนแรงจากสัมผัสของอุ้งมือตู๋เสอที่กอบกุมไว้ด้านหน้า และความหยอกเย้าจากเม็ดยาที่กลิ้งไปมาด้านหลัง สร้างความกระสันแก่เสินเหม่ย จนวาระสุดท้ายเสินเหม่ยก็สามารถระบายเอาความสุขนั้นออกมาได้จนหมด โดยมีตู๋เสอช่วยรีดเค้นออกมาให้ เม็ดยาด้านหลังที่โดนเคล้าคลึงจนเล็กลงก็หลุดออกมาด้วย
เพียงเท่านั้นความทรมานของเสินเหม่ยก็สิ้นสุดลง แพขนตางอนยาวของเสินเหม่ยค่อยๆปิดดวงตาหรี่ปรือลงอย่างช้าๆ เสินเหม่ยหมดเรี่ยวแรงหลับไปแล้ว นี่ก็เป็นเพราะฤทธิ์ยาเม็ดนั้นด้วย ขอเพียงเสินเหม่ยตื่นขึ้นมาอาการขบปวดเมื่อยล้าก็จะหายไป
ตู๋เสอยังคงมองเรือนร่างงดงามนั้นอย่างไม่วางตา เขาเอ่ยวาจากับร่างที่ไม่ได้สติว่า
"ต่อนี้ไปเจ้าคงรู้แล้วนะ...อย่าคิดต่อกรกับข้าอีก...เสินเหม่ยคนงาม..เสินเหม่ย..เทวดาน้อยๆ..หึหึ...เทวดาในอุ้งมือของข้า"
หลังจากนั้นตู่เสอได้จัดแจงเอาผ้าแพรนุ่มสบายคลุมเรือนร่างของเสินเหม่ยไว้ เขาค่อยๆเดินออกไปจากที่ตรงนั้น ตู๋เสอเดินก้าวข้ามธรณีประตูออกไป ก่อนที่จะปิดตูห้องหับลงช้าๆ ด้วยใบหน้าที่เย็นชา
จบตอนค่าาาาา