ตอน4.1
หลังจากวันนั้น บรรยากาศระหว่างตู๋เสอและเสิ่นเหม่ย มิได้ใคร่จะสดใสนัก หากแต่คล้ายเมฆหมอกจางๆที่แฝงตัว ด้วยตู๋เสอเป็นคนสันโดดเชื่อมั่น และไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้ใด ใช่แล้ว...เขามิอาจเชื่อใครได้ ในความคิดของบุรุษผู้นี้มีแต่ความหวาดระแวง หากวันใดที่เขาเผลอไผลปันใจของตัวเอง เอาดวงใจน้อยๆหรือแม้เพียงเศษเสี้ยววางลงบนฝ่ามือผู้อื่น สักวันหนึ่งก็คงมิแคล้วมีอันต้องถูกบดขยี้ด้วยคนผู้นั้นให้ตู๋เสอต้องช้ำใจเป็นแน่ ตู๋เสอคิดเช่นนี้..เพียงแต่อีกฝ่ายกลับคิดไปอีกทาง เสินเหม่ยน้อยผู้ที่คอยแอบดื้อดึงได้รู้สำนึก หลังจากใช้ชีวิตร่วมกับตู๋เสอภายใต้ชายคาเดียวกันนานนับหลายเดือน พฤติกรรมบางอย่างของตู๋เสอก็ได้ปรากฏแก่สายตาของเสินเหม่ย
พฤติกรรมที่ว่าก็คือ..หากคราใดที่เสินเหม่ยทำตัวว่าง่ายไม่ต่อล้อต่อเถียง ตู๋เสอจะคอยช่วยชี้แจงปัญหาต่างๆที่เสินเหม่ยประสบระหว่างที่ทำงาน อันที่จริงแล้วเสินเหม่ยเริ่มรู้สึกว่าแท้จริงแล้วภายใต้ใบหน้าแข็งกระด้างนั้นแฝงความอ่อนโยนบางประการ ทั้งท่าทางที่ผ่อนปรนดูอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด นับวันเสินเหม่ยก็เริ่มเห็นว่าตู๋เสอดูผ่อนคลายลง หากแต่เขาเองยังมิอาจแน่ใจว่า แท้จริงแล้วตู๋เสอมีกริยาเช่นนั้นแต่ภายในกลับเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก หรือตู๋เสอมีกริยาเช่นนั้นเพราะเอ็นดูต่อเสินเหม่ยอย่างแท้จริง จวบจนที่วันนั้น...วันที่เสินเหม่ยแอบก่อเรื่อง วันที่เสินเหม่ยทรนงตัวว่า ตนเองสามารถควบคุมทุกอย่างได้ มิคาดสุดท้ายกลับกลายเป็นภาระของตู๋เสอ
ตู๋เสอต้องบาดเจ็บเพราะช่วยเสินเหม่ยเอาไว้ และเสินเหม่ยเองเป็นผู้กระทำการประมาทเลินเล่อ เขามิได้เชื่อฟังคำสั่งของตู๋เสอ ใครจะคาดคิด แม้แต่เสินเหม่ยเองก็เถิด...ตู๋เสอช่วยชีวิตเขาไว้ เสินเหม่ยเป็นเพียงเด็กเชลย จริงๆแล้วเขาเองไม่มีความสำคัญประการใดต่อตู๋เสอ ตู๋เสอจะเอาไปฆ่าไปแกงที่ไหนย่อมได้ แต่นี่กลับเอาตัวเองมาบังคมเขี้ยวสุนัขเอาไว้ จนได้รับบาดเจ็บ บาดแผลที่ได้จากคมเขี้ยวของเจ้าดำนั้นก็สาหัสยิ่งนัก อาจต้องใช้เวลาเกือบเดือนจึงทุเลาลง ที่สำคัญหากมิได้ตู๋เสอช่วยไว้ เสินเหม่ยคงมิอาจมีชีวิตถึงตอนนี้ได้ สิ่งนี้ทำให้เสินเหม่ยรู้สึกเป็นพระคุณอย่างล้นเหลือ เสินเหม่ยลืมเลือนความบาดหมางในอดีตไปจนสิ้นแล้ว เพียงแต่ ตอนนี้เสินเหม่ยคิดว่าตู๋เสอโกรธเขายิ่งนัก เพราะทำตัวยุ่งวุ่นวายจนเกิดเรื่องราวเลยร้าย จากวันนั้นมาเสินเหม่ยจึงไม่กล้ากวนใจตู๋เสออีก
เสินเหม่ยมิกล้าพูดคุยด้วย ได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเอง ช่วงเวลารับประทานอาหารเสินเหม่ยก็จะยกสำรับไปให้ จากนั้นก็มิกล้าเสนอหน้าอยู่ต่อ เขารีบออกมาจากห้องของตู๋เสอ เพราะเกรงว่าจะทำให้ตู๋เสอมิสบอารมณ์ ทั้งตู๋เสอเองก็มิได้สนใจเขาอีก ทั้งยังทำสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆทั้งมวล ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เสินเหม่ยไม่อาจคาดเดาได้ว่าตู๋เสอนั้นกำลังคิดเช่นไร
จวบจนช่วงเวลาผ่านพ้นไปกี่วันก็เสินเหม่ยเองก็ไม่แน่ใน เพียงแต่ตู๋เสอได้เรียกเขาเข้าไปพูดคุยด้วย นั่นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่งนัก เสินเหม่ยค่อยเดินไปที่ประตูออกแรงเคาะเบา เป็นการบอกว่าเขามาถึงแล้ว เสินเหม่ยรอจนได้ยินเสียงอืมของคนด้านใน เป็นการบ่งบอกว่าให้เข้ามาได้ เขาจึงผลักประตูก้าวข้ามธรณีเข้าไป
เสินเหม่ยเห็นตู๋เสอนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ ใบหน้าปรากฏความเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งตัวตรงสองมือวางอยู่ที่หัวเข่า เสินเหม่ยเดินเข้าไปแล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตู๋เสอ
"เรียกข้าน้อย..มีอันใด" เสินเหม่ยค้อมตัวเล็กน้อยเอ่ยวาจาออกไป
"ข้ามีเรื่องจะบอก"
"มีความอันใด..." เสินเหม่ยเงยหน้าขึ้นแล้วถามออกไป
"เรื่องนี้สำคัญมาก"
"เกี่ยวกับข้า?" เสินเหม่ยขมวดคิ้ว เอ่ยวาจาถามด้วยความฉงน
"เกี่ยวกับเจ้าโดยตรง"
"เป็นอันใด...บอกกล่าวมาเถิด"
"หมู่บ้านของเจ้าโดนม่อเจวียนเผาวอดวายไปแล้ว"
"อันใด...." เสินเหมยตัวแข็ง ยืนนิ่งใบหน้าซีดเผือด เขากลั้นหายใจไว้ สิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่คงผิดพลาดไปแล้ว
"หมู่บ้านของเจ้าโดนเผาวอดวายไปแล้ว โดยม่อเจวียน" ตู๋เสอย้ำเสียงหนักแน่นอีกครั้ง พร้อมกับลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้เสินเหม่ย
"ผู้คนเล่า?" เสินเหม่ยก้าวเข้าไป เขาจับแขนเสื้อของตู๋เสอเขย่าด้วยความร้อนรน
"ไม่เหลือ.." ตู๋เสอส่ายหน้าบอกกล่าว
"ไม่จริง...ท่านโป้ปด...ทุกวันท่านอยู่ในเคหะสถาน จะทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร อย่ามาหลอกข้า" เสินเหม่ยเริ่มเสียงแข็งกร้าว
"ข้าจะหลอกเจ้าอันใด นี่เป็นเรื่องจริง ทำใจเสียเถิด"
"ไม่..ข้าจะไป ข้าจะกลับ ข้าจะไปหาพี่น้องข้า" เสินเหม่ยตะโกนออกไป น้ำตาเอ่อเต็มใบหน้า
"อย่าโง่เง่า ที่นั่นไม่มีอันใดแล้ว กลับไปก็มีแต่เสนอตัวไปให้ม่อเจวียน" ตู๋เสอกล่าวเสียงดังเช่นกัน ใบหน้าแสดงอารมณ์โกรธและรำคาญคนดื้อดึงเบื้องหน้า
"ไม่...เป็นเพราะท่าน ท่านไม่ให้ข้าไป ไม่เช่นนั้นก็ไม่เป็นแบบนี้" เสินเหม่ยต่อว่าออกไป เขาหมายถึงเพราะตู๋เสอช่วงชิงตัวของเขามา ทำให้ม่อเจวียนกลับไปรังควานที่หมู๋บ้านของเขา ทั้งยังกักขังเขาไว้มิให้กลับไปเยี่ยมเยียนที่บ้านอีก สิ่งที่เสินเหม่ยเคยคิดไว้ว่า ได้ลืมเลือนความบาดหมางที่มีต่อตู๋เสอหมดสิ้นไปแล้วนั้น เขาได้ลืมเลือนไปแล้ว ตอนนี้เสินเหม่ยโกรธเกลียดคนตรงหน้าอย่างมาก พอๆกับม่อเจวียน ซึ่งแท้จริงแล้ว เสินเหม่ยเพียงต้องการหาใครสักคน ระบายความโกรธแค้นของตนเองลงไปที่คนนั้น
"เจ้า....อย่าทำให้ข้าหมดความอดทน จำไว้..ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ตายรวดเร็ว หากเจ้าคิดขัดขืนหนีกลับไปยังหมู่บ้านของเจ้าที่วอดวายไปแล้ว และหากเจ้าคิดปลิดชีวิตตนเองเพื่อติดตามญาติพี่น้องของเจ้าไปปรโลกด้วย ถ้าเจ้าไม่ลงดาบให้หัวตัวเองขาดสะบั้นในครั้งเดียว ข้าย่อมมีวิธีทำให้เจ้ากลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง หลังจากนั้นเจ้าก็เตรียมตัวรับการทรมานจากข้าช้าๆ แต่ข้าคิดว่า ข้อหลังคนอย่างเจ้าคงไม่ทำ เพราะคนที่ชอบเคียดแค้นเช่นเจ้า คงขอมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อแก้แค้นม่อเจวียนและข้าใช่หรือไม่" ตู่เสอยิ้มเยาะ
"เสินเหม่ยกำมือแน่น...ใช่...ข้า..ข้าจะรอ..รอวันที่ข้าฆ่าม่อเจวียนสำเร็จ แล้ววันนั้น จะเป็นคราวตายของเจ้า ตู๋เสอ" เสินเหม่ยกล่าวด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เขาเดินเฉียดกระแทกตู๋เสอออกไปจากห้อง
เสินเหม่ยออกไปแล้ว....
ตู๋เสอยืนเอามือไพล่หลังหันหน้ามองไปยังทิศทางที่เสินเหม่ยเดินออกไป ตู่เสอพึมพำแผ่วเบา
"ข้า...ขอโทษ"
ใบหน้าคมเข้ม ปรากฏแววสำนึกเพียงชั่วครู่ก่อนเปลี่ยนเป็นสายตาที่อ่อนโยน สายตานั้นทอดออกไปไกลตามร่างของคนที่เพิ่งก้าวออกไปแล้วเมื่อครู่
หลังจากวันนั้น เมฆอึมครึมที่ส่อเค้าอยู่แล้วระหว่างตู๋เสอและเสินเหม่ย ก็ถึงจุดอิ่มตัว ตอนนี้เมฆฝนนั้นโหมกระหน่ำอยู่ภายในจิตใจทั้งสองคน
แล้วสิ่งที่ตู๋เสอได้คาดไว้ตั้งแต่แรกที่เขาเริ่มรับงานนี้ก็ได้เริ่มขึ้น มันก็คือวันที่เขาได้ประมือกับจอมมารม่อเจวียนอีกครั้ง
เมื่อในตอนบ่ายของวันหนึ่ง ขณะที่เสินเหม่ยกำลังเคี่ยวน้ำซุปเพื่อเอาไว้ทำเป็นบะหมี่น้ำให้ตู๋เสอในตอนเย็น ทันใดนั้นตู๋เสอก็ได้ผลักประตูห้องครัวเข้ามาอย่างรุนแรง มิทันที่เสินเหม่ยจะเอ่ยถามอันใด เขาก็ถูกตู๋เสอฉุดกระชากเข้าไปในห้องหับแห่งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยวาจาสั่งด้วยเสียงเย็นชาแต่ทรงพลังดุจดั่งพญาราชสีห์
"อยู่ที่นี่..อย่าได้เสนอหน้าออกไปเป็นอันขาด"
สิ้นเสียงทรงพลัง ตู๋เสอก็หันกายเคลื่อนคล้อยออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว แต่มิลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย
สิ่งนี้สร้างความงุนงงสนเท่ห์แก่เสินเหม่ยยิ่งนัก เหตุอันใดเขาต้องอยู่ที่นี่ด้วยเล่า เมื่อเริ่มสงสัย เสินเหม่ยจึงพยายามฟังเสียงที่ผิดปกติภายนอก เพียงไม่นานเสินเหม่ยก็ต้องเบิกตาโพลง เสียงลมภายนอกช่างอื้ออึงหวีดหวิว ตามด้วยเสียงสุนัขป่าของตู๋เสอกำลังขู่คำราม เห่าหอนดังระงมไปทั่ว มีหรือ เพียงแค่ได้ยินเช่นนี้ คนอย่างเสินเหม่ยจะนั่งงอมืองอเท้าหลบซ่อนตัวอยู่ได้ เท่านี้ก็ทราบแล้วว่าเกิดสิ่งผิดปกติที่ด้านนอกอย่างแน่นอน เสินเหม่ยร้อนรนขึ้น เขาเองก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงได้ร้อนรนเช่นนี้ ตอนนี้เขาทนอยู่ที่นี่ไม่ได้เสียแล้ว เสินเหม่ยค่อยๆลอบออกไป เมื่อเดินฝ่าลมแรงออกมาด้านนอก ใบไม้ถูกปลิดปลิวด้วยแรงลม เสินเหม่ยเดินฝ่าออกไป เขาเดินไปตามเสียงเห่าหอนของสุนัขป่า เสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น เพียงไม่นานเสิยเหม่ยก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสุนัขป่าตัวหนึ่ง
ใช่มันอยู่ข้างหน้าแล้ว...เสินเหม่ยรีบวิ่งไป เขาไม่ทราบว่าเกิดอันใด เพียงแต่คิดว่าถ้าผลีผลามออกไปโดยที่ยังมิรู้แน่ อาจทำให้ภัยอันตรายมาถึงก่อนที่จะลงมือทำอันใด เสินเหม่ยค่อยๆค้อมตัวลง แอบซ่อนแล้วแหวกพุ่มไม้เบื้องหน้าออกไป
และภาพที่ปรากฏคือ บุรุษสองคนที่ยืนเว้นระยะห่างประจันหน้ากัน ระหว่างบุรุษสองคนคือเจ้าดำที่หมอบคำรามข่มขู่บุรุษที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของตู๋เสอ เบื้องหลังตู๋เสอคือเจ้าแดง เจ้าเทา และเจ้าขาว ที่ส่งเสียงคำรามต่ำๆแต่หางลู่ลง เสินเหม่ยสังเกตเห็นว่าที่ปากของเจ้าดำมีคราบเลือดติดอยู่ เพียงเท่านั้นสายตาของเสินเหม่ยก็เลื่อนไปสังเกตบุรุษที่ยืนตรงข้ามกับตู๋เสอ เขามีรูปร่างเพรียวบาง และสง่าผ่าเผย ส่วนสูงมากกว่าเสินเหม่ย แต่ยังมิเท่าตู๋เสอ ใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลา แต่สายตาลึกล้ำนั้นเป็นประกายแฝงด้วยความเยื้อหยันทรนง รอยยิ้มมุมปากบางสีชมพูให้ความรู้สึกถึงมารยาและกลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์ รวมๆแล้วเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ สามารถดึงดูดได้ทั้งหญิงและชาย เพียงแต่เสินเหม่ยไม่เห็นรอยคราบเลือดอันใดบนตัวของคนผู้นั้น ย่อมแสดงว่าเจ้าดำโดนคนผู้นั้นทำร้ายเข้าเสียแล้ว
เสินเหม่ยลอบตกใจ เจ้าดำมิใช่สุนันป่าธรรมดามันมีฝีมือมิใช่ชั่ว เสินเหม่ยเคยเห็นแล้ว มันสามารถสร้างความเจ็บปวดล้มตายให้กับคนของพรรคดอกไม้ดำได้ในคราเดียวถึงสามคน แต่คนผู้นี้เพียงแค่ยืนอยู่กับที่ ด้วยท่วงท่าปลอดโปล่งก็สามารถขับไล่เจ้าดำออกจากสภาวะจู่โจมได้ คนผู้นี้เป็นใครกัน เสียงเหม่ยตั้งใจลอบฟังว่าใครจะพูดอันใด เขาผนึกลมปราณเข้าที่โสตประสาท
สักพักเสินเหม่ยก็เห็นตู๋เสอเริ่มบทสนทนา
"ว่าอย่างไร ศิษย์น้อง ไม่ได้พบเสียนาน สบาย?"
"คาราวะศิษย์พี่ ย่อมสบาย"คนตรงหน้าน้อมกายประสานมือคารวะ สายตาบ่งบอกความนัยลึกซึ้ง
"ขออภัยที่เจ้าดำเสียมารยาท" ตู๋เสอเอ่ยวาจาเคร่งเครียด แต่ยังรักษาท่วงท่าอันปลอดโปล่ง
"มิได้ มิได้ อาจเป็นบางทีข้ามามิได้บอกกล่าว เจ้าดำเลยเ้ข้าใจผิด" คนๆนั้นบอกสาเหตุ พลางชม้อยชม้ายสายตาลึกลับสุดหยั่งคาดแก่ตู๋เสอ
"อืม..อุตส่าห์มา..มีอันใด" ตู่เสอเฉไฉสายตามองเลยไป กล่าววาจาเรียบเฉย
"มีสิ่งหนึ่งอยากขอแก่ศิษย์พี่" คนผู้นั้นบอก
"ขออันใดอีกเล่า ข้าให้เจ้าไปหมดแล้วมิใช่รึ" ตู่เสอกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปาก แต่แววตาจริงจังขึงขัง
"อันใดเล่า ศิษย์พี่ยังโกรธข้าอีกหรือ เรื่องครั้งนั้นผ่านมาแล้ว ท่านเองก็ชมชอบใช้ชีวิตเช่นนี้มิใช่หรือ"
ตู๋เสอดึงสายตากลับมาที่คนๆนั้น สายตาคมกล้าประสานสายตาลึกล้ำเป็นกระกาย เขาส่ายหน้าช้าๆ ระบายยิ้มออกมา ก่อนเอ่ยวาจาขึ้น
"ประมุข หากท่านต้องการสิ่งใดข้าก็ให้ไปหมดแล้ว ข้าให้ตัวของข้าแก่ท่าน ข้าให้หัวใจแก่ท่าน แม้แต่ตำแหน่งผู้นำพรรคข้าก็ให้แก่ท่าน ตอนนี้ข้ามิใช่คนพรรคดอกไม้ดำอีกแล้ว ข้ามิอาจให้สิ่งใดแก่ท่านได้อีกแล้ว ทุกอย่างเป็นอดีตที่ข้ากลบฝังไปแล้ว"
"ฮา ฮา ศิษย์พี่ โปรดอย่าเรียกข้าว่าประมุข มันช่างห่างเหินจนข้ามิอาจทนฟังได้ ได้โปรดเรียกข้าเหมือนเดิมเถิด"
"อืมย่อมได้...ม่อเจวียน ไม่สิ เจวียนน้อย" ตู๋เสอกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เพียงเท่านั้น เสินเหม่ยที่แอบฟังอยู่ก็ทราบแล้ว ว่าคนผู้นั้นคือใคร เสินเหม่ยขบกรามด้วยความเจ็บแค้น แต่ต้องทนแอบฟังต่อไป ด้วยเพราะอยากรู้บางสิ่ง เพียงแค่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสอง เสินเหม่ยก็ทราบความหลังมากมายเกี่ยวกับตู๋เสอ เขามิเพียงเป็นศิษย์พี่ของม่อเจวียน ซ้ำกริยาท่าทางของม่อเจวียนยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นสุดหยั่งคาด แต่เสินเหม่ยมิเข้าใจว่าเหตุใดตำแหน่งประมุขพรรคถึงตกอยู่ในมือของม่อเจวียน แทนที่จะเป็นตู๋เสอศิษย์ผู้พี่ ถ้าเป็นเช่นนี้ มิได้หมายความว่าตู๋เสอเคยโดนม่อเจวียนตลบหลังทำร้ายเพื่อหวังตำแหน่งประมุขแทนหรอกหรือ
"อืมศิษย์พี่ เช่นนั้นข้าขอเรียกท่านดั่งเดิม พี่จื้อหนาน"
"อย่างไรเล่า เจวียนน้อย ทักทายกันแล้ว ก็เชิญกลับเถิด คุยกับพี่มีแต่เสียเวลา"
"มิได้ๆ นานทีได้เจอคนคุ้นเคย พี่ยังจำได้หรือไม่เล่า ทุกคืนวันอันชื่นมื่น"
"ฮา ฮา คืนวันอันหลอกลวงใช่หรือไม่ เพียงแต่ข้ายังจำคืนที่โดนพิษร้ายของเจ้าได้ ไม่สิ ข้าโดนพิษร้ายของเจ้ามาตลอด ฮา ฮา น่าอนาจนัก เพราะหลงใหลในรูปลักษณ์แท้ๆ ทุกวันนี้ผู้อื่นจำต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก"
"ลำบากอันใดเล่า เพียงแค่ต้องแช่ตัวในน้ำยาปรุงทุกฤดูหนาวมิใช่รึ นั่นฟังดูหน้าสนุกยิ่งนัก"
"หึหึ เจวียนน้อย เจ้าช่างรอบรู้มิเคยเปลี่ยน"
"พี่จื้อหนานน่าจะภูมิใจ พิษที่ข้าให้แก่ร่างกายท่าน สุดท้ายกลับกลายเป็นอาวุธร้ายให้ท่านใช้ต่อกรกับศัตรู"
"นั่นย่อมธรรมดา เพราะมิอาจล้มเจ้าได้อยู่ดี"ตู๋เสอแย้งขึ้น
"ฮา ฮา เมื่อรู้ว่าล้มข้ามิได้ เลยคิดวิธีสกปรกก่อกวนข้างั้นรึ"
"ก่อกวนอันใด" ตู๋เสอเอ่ยวาจาด้วยใบหน้าที่ระบายยิ้ม รู้สึกพอใจที่สามารถกวนโทสะม่อเจวียนได้
"ท่านชิงตัวเชลยของข้า หนำซ้ำยังคิดแทรกแซงแผนการของข้า คิดปกป้องมันรึ"
"ฮา ฮา เจ้าพูดอันใด ช่วยชี้แจงได้หรือไม่" ตู๋เสอยังคงอารมณ์ดี
"ท่านเก็บมันผู้นั้นไว้กับตัว หึ นึกว่าข้าคาดเดาใจท่านไม่ได้หรือไง พี่จื้อหนาน จิตใจท่านเป็นอย่างไรข้าย่อมรู้ดี ท่านชมชอบมันใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นจะลงทุนปกป้องมันถึงเพียงนี้" ม่อเจวียนเอ่ยวาจาแค้นเคือง
"ปกป้องอันใด อย่าพูดเหลวไหล" ตู๋เสอสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น เขารู้แล้วว่าสายป่านเส้นนี้เริ่มตึงจนใกล้ขาดแล้ว
"ท่านหลอกลวงคนของข้า มีหรือที่มันจะไม่รู้น่ะ ว่าไม่มีคนในหมู่บ้าน นอกเสียจากท่านให้อุบายสร้างหุ่นกระบอกพลางตา คนของข้าก็ช่างโง่เขลานัก นึกว่าในนั้นยังมีคนอาศัยอยู่มันจึงจัดการเผาหมู่บ้าน หารู้ไม่ว่าทำไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะหาได้ปลิดชีวิตผู้ใดไม่ ข้ามิทราบแน่ หมู่บ้านนั้นมิใช่เล็กๆ ท่านสามารถสร้างหุ่นกระบอกตบตาได้อย่างไร ช่างเคลื่อนไหวเหมือนจริงจนคนของข้าเชื่อสนิทใจ"
"ฮา ฮา นั่นเป็นความชมชอบในการเล่นสนุกของสหายข้า จำไว้ เจวียนน้อยเจ้าต้องรู้จักผ่อนปรนเสียบ้าง แล้วเจ้าจะได้หยิบยืมมันสมองของผู้อื่นไว้เล่นสนุกแก้เหงาได้อย่างไรเล่า" ตู๋เสอพูดด้วยใบหน้าระบายยิ้มน้อยๆ
"เฮอะ...แก้เหงา แก้เหงาท่านประไร แต่แกล้งข้าใช่หรือไม่ ท่านเอาคนพวกนั้นไปไว้ที่ไหน บอกข้าได้หรือไม่ เผื่อข้าจะได้ไปเยี่ยมเยียนญาติของเสินเหม่ยบ้าง หรือท่านจะให้ข้าพาเสินเหม่ยไปด้วยดี?"
"คงมิได้ทั้งสองประการ...เจ้ากลับไปเสียเถิด เจวียนน้อย ได้สนทนาถกเถียงกันแค่นี้ก็น่าจะพอสนุกปากแล้วกระมัง"
เพียงฟังคำปฏิเสธของตู๋เสอรอบนี้ ม่อเจวียนก็สิ้นสุดความอดทน รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน สายป่านเส้นนี้ขาดผึงเสียแล้ว มันกำลังกลับกลายเป็นสายแส้ที่พร้อมฟาดฟันทุกผู้คนที่อาจหาญขวางกั้น
เอ่อ ขอแบ่งท่อนนะคะ แค่บทสนทนาก็แม่ง..มันจะยาวไปไหน ต้องมีตอนสู้กันอีกง่ะ (เดี๋ยวจะต่อให้จบคืนนี้ล่ะ แง่ม แง่ม)