ตอนที่4.2
"จื้อหนาน...พี่จื้อหนาน" ม่อเจวียนส่ายใบหน้าช้าๆ ก่อนกล่าววาจาออกไป
"ท่านยังคิดดื้อดึงไปไย...สู้เข้ากับข้า เราสองเคียงคู่ ยิ่งใหญ่ไปทั่วหล้า"
ตู๋เสอฟังเช่นนั้น ก็ต้องให้ส่ายหน้าเช่นกันพลางกล่าววาจา
"เราสองเคียงคู่ ยิ่งใหญ่ทั่วหล้าอันใด ในเมื่อเราสองมีจิตปณิธานแตกต่าง ข้านิยมถ้อยทีถ้อยอาศัย ร่วมกันอยู่ ร่วมกันกิน เจ้านิยมยิ่งใหญ่ ถือยึดไว้เป็นหนึ่ง มิคิดแบ่งปันผู้ใด"
ม่อเจวียนฟังเช่นนั้นก็ให้นึกเคืองในหัวใจ ตอกกลับไปว่า
"พี่จื้อหนาน ท่านพูดได้...พูดอย่างไรก็ไม่มีอะไรแตกต่าง ข้ากับท่านก็มารร้ายไม่ต่างกัน เช่นนี้เหตุใดอยู่ร่วมกันมิได้"
"มิได้....ข้าชมชอบสันโดดมิชอบให้ใครบงการควบคุม..พูดไปก็เปลืองวาจาเสียเปล่า เจวียนน้อย..เจ้ากลับไปเถอะ" สุดท้ายตู๋เสอต้องเป็นผู้ตัดบทสนทนา เขาสะบัดเสียงเป็นเชิงให้เข้าใจว่า ไม่อยากต่อวาจาด้วยแล้ว เช่นนั้นม่อเจวียนก็เข้าใจแล้ว หากใช้ไม้อ่อนมิได้ผล เหตุใดจะใช้ไม้แข็งมิได้
"ดูว่าพี่จื้อหนาน จะไม่ยอมมอบคนๆนั้นแก่ข้า เช่นนั้นคงต้องล่วงเกินแล้ว"
สิ้นเสียงม่อเจวียน บรรยายกาศโดยรอบก็เปลี่ยนแปลง ตอนนี้สภาวะตึงเครียดแผ่ขยาย การยืนคุมเชิงสังเกตการณ์ของแต่ละฝ่ายสิ้นสุดลงแล้ว เจ้าดำที่อยู่ระหว่างคนทั้งสอง ก็ล่วงรู้ถึงการณ์ต่อไป มันลุกขึ้นคำรามกู่ก้อง เตรียมกระโจนเข้าใส่ม่อเจวียนอีกครั้ง มิลังเลว่าเคยโดนสลัดออกมาจนสร้างความเจ็บปวดไปแล้วครั้งหนึ่ง
ม่อเจวียนเห็นเจ้าดำแล้วให้รู้สึกรำคาญสายตา ใจหนึ่งอยากสะบัดฝ่าเท้าเตะออกไปให้มันตายคาที่ในครั้งเดียว แต่อีกใจยังเห็นแก่ตู๋เสอ หรือจื้อหนาน ที่ตนเองมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ ด้วยเหล่าสุนัขป่าเป็นบริวารของตู๋เสอ เพียงแค่สุนัขสี่ตัวมิอาจต่อกรกับม่อเจวียนได้ หากยังคงให้อยู่เกะกะรกหูรกตา ก็คงถูกเขาเตะตายอย่างอนาจภายในฝ่าเท้าเดียว
ม่อเจวียนจึงเอ่ยวาจาออกไป
"เรียนพี่จื้อหนาน เห็นแก่เราเคยคบค้ากัน สุนัขเหล่านี้รกหูรกตาข้า ท่านไล่ไปได้หรือไม่"
ตู๋เสอเห็นม่อเจวียนกล่าวเช่นนั้น ก็เข้าใจความต้องการของม่อเจวียน ตู๋เสอเองก็เห็นเช่นเดียวกัน สุนัขพวกนี้รังแต่จะเป็นภาระแก่เขา สุดท้ายถ้ายังดื้อดึงก็คงต้องตายภายใต้ฝ่าเท้าม่อเจวียนอย่างแน่นอน จึงตวาดเหล่าสุนัขทั้งสี่ออกไป
"ไป!...พวกเจ้าจงไปซะ เรื่องวันนี้มิเกี่ยวกับเจ้า หากยังดื้อดึงอยู่ต่อ ข้าจะถือว่าเรามิเคยสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน"
มีหรือที่สุนัขทั้งสี่จะมิเข้าใจในคำบอกกล่าวของตู๋เสอ สุนัขก็คือสุนัข มันจงรักภัคดีต่อผู้มีพระคุณ แต่หากยังถือว่าเป็นนายเป็นผู้รับใช้กันอยู่ก็ต้องฟังสิ่งที่เจ้าของบอกกล่าว เพียงแต่เจ้าดำยังมิอาจตัดใจจากไปในทันที มันถอยหลังออกมาแล้ว แต่ยังคงขู่คำรามพร้อมที่จะกระโจนเข้าหาม่อเจวียน เหล่าสุนัขสามตัวที่เหลือ เมื่อเห็นจ่าฝูงของมันยังไม่ยอมละทิ้งเจ้านายไป พวกมันก็มิอาจจากไปด้วยเช่นกัน
"ดูเถิด..พี่จื้อหนาน พวกมันจงรักภัคดีต่อพี่นัก ถึงขนาดมิยอมจากไปโดยง่าย"
การพูดครั้งนี้ของม่อเจวียน มีความนัยแอบแฝง เพราะน้ำเสียงที่ติดเยาะเย้ย ย่อมหมายถึงว่า เหล่าสุนัขมิเชื่อฟังตู๋เสอนายของมัน ตู๋เสอช่างไร้น้ำยาเสียจริง
ตู๋เสอเห็นดังนั้น สุดท้ายจึงตัดใจตวาดออกดังๆ ให้เหล่าสุนัขแตกกระเจิงไป แน่นอนการตวาดครั้งนั้นย่อมอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณ เมื่อเหล่าสุนัขยอมจากไป สถานที่ตรงนั้นก็ได้กลายเป็นลานประหัตประหารอย่างสมบูรณ์แบบ
ตู๋เสอยังยืนเอามือไพล่หลังไว้ เขายืนนิ่งมิเคลื่อนไหว หากแต่รอบกายคล้ายมีพลังหมุนวนบางประการหลั่งไหลเตรียมพร้อมเป็นสภาวะป้องกันและตั้งรับ ม่อเจวียนเห็นดังนั้นย่อมเข้าใจ ในเมื่ออีกฝ่ายคิดตั้งรับ เขาย่อมเป็นฝ่ายจู่โจม ใช่แล้ว..ม่อเจวียนครานี้มิเกรงกลัวอันใด อยากให้จู่โจม ก็จะจู่โจม
ม่อเจวียนตวาดออกไป
"พี่จื้อหนาน โปรดระวัง" เพียงสิ้นเสียง เสินเหม่ยที่แอบดูอยู่ ก็แทบมิอาจกระพริบตาได้ วิชาของม่อเจวียนที่ใช้เคลื่อนไหวนั้นช่างแปลกประหลาด คราแรกที่เห็นคล้ายเยื้องย่างดุจภูติพราย ล่องลอยสวยงาม แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วการเคลื่อนไหวนั้นเพียงหลอกตาคู่ต่อสู้ว่าเชื่องช้า เพียงพริบตาเดียวกลับหมายถึงความตายที่จ่อเข้ามาจนมิอาจบดบังแก้ไข
แต่ผู้ที่ประมือกับม่อเจวียนอยู่นั้น ตอนนี้คือตู๋เสอ ตู๋เสอมีวิชามิใช่ชั่ว เสินเหม่ยทราบข้อนั้นดี จึงวางใจแอบดูต่อไป และตอนนั้นเองเสินเหม่ยก็เห็นวิธีตั้งรับของตู๋เสอ เขามิเพียงคำนวณระยะเวลาที่แน่นอนในการเข้าหาม่อเจวียนได้ เขายังสามารถเบี่ยงตัวหลบด้วยท่วงท่าที่ยังสบาย หากแต่รวดเร็วจนมิอาจเข้าใจได้ว่าเขาก้าวเท้าเช่นไร เห็นเพียงแต่เมื่อม่อเจวียนซัดฝ่ามือออกไป ตู๋เสอก็สามารถเบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างเฉียดฉิว ปล่อยให้ต้นไม้เบื้องหลังเป็นผู้รับชะตากรรมแทน ต้นไม้นั้นเมื่อโดนพลังฝ่ามือของม่อเจวียนก็ถึงกับหักสะบั้นลงในพริบตา สร้างความตะลึงแก่เสินเหม่ยยิ่งนัก
ฉับพลันม่อเจวียนเมื่อรู้ว่าพลาดไปก็รีบเปลี่ยนท่วงท่า แต่ยังคงมิแตกตื่นลนลาน ครานี้ม่อเจวียนมิปล่อยให้โอกาสตู๋เสอหลบหลีกได้อีก เพราะฝ่ามือที่ฟาดออกประกอบด้วยเท้าที่ร่ายรำติดต่อกันทั้งยังมีสภาวะล่องลอย บางเบาเพียงแต่พลังฝ่ามือนั้นกลับตรงข้าม หนักแน่นและรุนแรงอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณ เพียงแค่เมื่อเห็นฝ่ามือนั้นถูกตู๋เสอปัดออกอย่างว่องไว พลังที่ล้นออกมาจากฝ่ามือของม่อเจวียนก็กระทบถูกกับสิ่งอื่นๆที่อยู่ในทิศทางนั้น สร้างความเสียหาย ขาดสะบั้นไปทั่ว โชคดีที่เสินเหม่ยแอบดูอยู่ในทิศทางที่อับไม่เหมาะแก่การห้ำหั่น เขาจึงไม่กระทบถูกพลังรุนแรงนั้น
ตู๋เสอยามเมื่อขยับเท้านั้นกลับมั่นคงหนักแน่น หากแต่เคลื่อนไหวปราดเปรียวว่องไว ทั้งยังคำนวณทิศทางของม่อเจวียนได้ดุจดั่งเห็นการณ์ล่วงหน้า สีหน้าของตู๋เสอเองก็ราบเรียบมิแสดงอาการใดๆ ยากแก่การคาดเดาจิตใจภายในของเขาได้ ยามที่ปัดฝ่ามือของม่อเจวียน อีกมือหนึ่งจะคอยสอดเข้าไป หาจุดอ่อนและช่องว่าง หากม่อเจวียนเผลอไผล ย่อมถูกกรงเล็บของตู๋เสอเข้าขย้ำอย่างแน่นอน
ทั้งสองยังคงร่ายรำกระบวนท่าออกไป แต่มีหรือที่มารร้ายอย่างม่อเจวียนจะยอมให้มันยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ เขาเองไม่อาจทราบได้ นับแต่ที่จากกันฝีมือของตู๋เสอพัฒนาไปเท่าใด การมาครั้งนี้มิต้องการให้ถึงกับแตกหัก เพราะถ้าม่อเจวียนต่อสู้กับตู๋เสอจนบาดเจ็บ สุดท้ายพวกที่จ้องคอยซ้ำเติมย่อมต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ครั้งนี้หากมีเล่ห์เหลี่ยมอันใดสามารถหยิบออกมาใช้ได้ ม่อเจวียนย่อมต้องกระทำอย่างมิต้องรอคิดคำนวณอันใด
เมื่อเป็นดังนั้น ม่อเจวียนก็แบ่งสมาธิสอดส่ายออกไปหาลู่ทางในการชนะตู๋เสอ แน่นอนถ้าไม่อยากเป็นผู้แพ้ ย่อมต้องหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม และครานั้น ขณะที่ตรวจตราหาลู่ทาง ม่อเจวียนก็พบกับเสียงหายใจของคนผู้หนึ่ง ใช่แล้ว..คิดไว้มิผิดเพี้ยน มีหรือที่คนรักญาติพี่น้องเช่นนั้นจะทนหลบซ่อนตัวอยู่ได้ ม่อเจวียนพบแล้ว เขาพบกับจุดอ่อนของตู๋เสอแล้ว
เพียงเท่านั้นตู๋เสอก็จับได้ว่า จุดสนใจของม่อเจวียนเปลี่ยนไป ม่อเจียนผละออกจากตู๋เสอโดยมิทันที่ใครจะคาดคิด ม่อเจวียนดีดตัวด้วยความเร็วสุดหยั่งคาด ใช่แล้ว ทิศทางที่ม่อเจวียนพุ่งไป คือทิศทางที่เสินเหม่ยหลบซ่อนอยู่ เสินเหม่ยเบิกตาอยู่ในพุ่มไม้ด้วยความตกใจ เขามิคาดคิดว่าม่อเจวียนจะมีประสาทสัมผัสไวเช่นนี้ เพียงแต่ตอนนี้มิอาจหลบหนีได้เสียแล้ว ม่อเจวียนใกล้เข้ามาแล้ว
และก่อนที่ฝ่ามือของม่อเจวียนจะมาถึงกลางกระหม่อมของเสินเหม่ย เสินเหม่ยก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกกระชากขึ้นโดยแรงจากคนด้านบน คนๆนั้นก็คือผู้เฒ่าเงานั่นเอง ผู้เฒ่าเงาแอบซุ่มอยู่นานแล้ว เขาย่อมมองเห็นพฤติกรรมของทุกคน ม่อเจวียนเจ็บใจเหลือแสน เสินเหม่ยถูกผู้เฒ่าเงากระชากออกไปจากจุดที่คาดการณ์ไว้ ทำให้การพุ่งพลังครั้งนี้เสียเปล่า
หากมันก็ไม่น่าเสียดายซะทีเดียว เพราะระหว่างพุ่งตัวมาที่เสินเหม่ย ตู๋เสอเองก็ติดตามมาด้วย ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่ม่อเจวียนผละออกมาจากตู๋เสอเอาเสียเฉยๆนั้น เป็นเวลาที่สั้นเพียงชั่วอึดใจ เช่นนั้นตู๋เสอที่ติดตามมาด้วยความเร็วเช่นกัน ย่อมมิอาจยั้งกายได้ทัน ม่อเจวียนจึงใช้เพียงเสี้ยวอึดใจนี้แหละพลิกท่วงท่าหันกลับ ขยับฝ่ามือเป็นกรงเล็บเข้าขยุ้มที่หัวไหล่ของตู๋เสอ ที่พุ่งตามติดมาถึงม่อเจวียนพอดี กรงเล็บของม่อเจวียนก็ขย้ำเข้าที่หัวไหล่ขวาของตู๋เสอทันที ใช่แล้ว ไหล่ขวาที่โดนคมเขี้ยวของเจ้าดำนั่นเอง
ตู๋เสอยังรักษาใบหน้าเรียบเฉยไว้ แต่สภาวะการป้องกันถูม่อเจวียนทำลายจนหมดสิ้น ตอนนี้ตู๋เสอถูกกรงเล็บของม่อเจวียนกระชากลงมาที่พื้น คนทั้งสองยืนใกล้กันแค่ปลายจมูก หัวไหล่ขวาของตู๋เสอยังอยู่ภายในกรงเล็บของม่อเจวียน ส่วนเสินเหม่ยนั้นยืนอยู่เคียงข้างผู้เฒ่าเงาห่างออกไปอีกทาง คนทั้งสองจับจ้องไปที่ตู๋เสอที่ยังคงรักษามาดเคียงข้างกับม่อเจวียน ม่อเจวียนมีสีหน้ามาดร้าย เขายื่นใบหน้าเข้าใกล้ตู๋เสอมากขึ้น
"อืม..พี่จื้อหนาน พี่จื้อหนาน ท่านช่างปิดบังได้แนบเนียน หึ หึ ถ้าข้ารู้เช่นนี้แต่แรก คงไม่ต้องเปลืองแรงถึงเพียงนี้ อืม..ข้าได้กลิ่นเลือดท่านแล้ว เลือดที่กำลังหลั่งไหลที่หัวไหล่ขวาของท่าน"
"หึ หึ เจวียนน้อยนั่นเป็นเพียงบาดแผลเก่า มิอาจสร้างความเสียหายใดๆแก่ข้า"
" ฮา ฮา ท่านยังปากดีไม่หยุด ดูเถิดเสินเหม่ย ตู๋เสอของเจ้าใกล้สิ้นฤทธิ์แล้ว" ม่อเจวียนแกล้งหันไปยุยงเสินเหม่ย
"เจ้า เจ้าจะทำอันใดต่อตู๋เสอ เจ้าฆ่าเขาไม่ได้หรอก"
เสินเหม่ยตะโกนออกไป
"ฮา ฮา ย่อมได้แน่นอน เพราะตอนนี้เขาอยู่ในกำมือของข้าแล้ว หากเจ้าไม่อยากให้เขาตายจงมากับข้าเสียโดยดี"
ตู๋เสอเห็นดังนั้นก็คิดว่าผิดท่า เพราะม่อเจวียนกำลังยุยงเสินเหม่ย
"หึ หึ เจ้าไม่มีทางทำได้หรอก เพราะเจ้าจะต้องจัดการข้าให้ได้เสียก่อน" ตู๋เสอกล่าวแก่ม่อเจวียน
"ฮา ฮา เช่นนี้เป็นไร "ม่อเจวียนลงน้ำหนักไปที่กรงเล็บมากขึ้น
"อึก.." ครานี้ตู๋เสอถึงกับแสดงอาการทางสีหน้า นั่นยิ่งทำให้เสินเหม่ยพลุ่งพล่านมากขึ้น
"อย่า..อย่าทำเช่นนั้น..ข้า..ข้ายอมแล้ว..ข้าไปกับเจ้า"
ตู๋เสอรีบตวาดออกไป
"อย่าลองดีกับข้าเสินเหม่ย..อย่ายุ่ง.."
"ฮา ฮา ดูเถิดเสินเหม่ย ตู๋เสอผู้เย็นชาคนนี้ ดูถ้าจะหลงเสน่ห์ของเจ้าเสียแล้ว" ไม่ว่าเปล่า ม่อเจวียนออกแรงที่กดที่หัวไหล่ตู๋เสอมากขึ้น
"อึก อะ..อึก เจวียนน้อย เจ้าได้คนผู้นี้ไปจะเป็นประโยชน์อันใด เคล็ดวิชานั่นก็ต้องใช้เวลาฝึกอีกนาน สู้เจ้าเอาข้าไปมิดีกว่าหรือ "ตู๋เสอลองใช้ไม้อ่อน
"ฮา ฮา อย่าหลอกข้า ท่านกำลังล่อหลอกแก่ข้าใช่หรือไม่พี่จื้อหนาน"
"ข้ามิได้ล่อหลอกเจ้า เพียงแต่ข้ากำลังเห็นความสนุกอีกข้อ บางทีอยู่กับเจ้าอาจจะดี มิต้องเจ็บตัวเพราะฟาดฟันกับเจ้า แต่ยังได้มีเรื่องสนุกๆทำไม่ต้องนั่งเหี่ยวเฉา"
"ฮา ฮา ท่านช่างกลิ้งกลอกเอาตัวรอดดีแท้ ดี ดี เห็นว่าเคยคบกันมา เช่นนั้นเจ้าจะตอบแทนข้าด้วยวิธีอันใด"
"ยอมอยู่ในอาณัติของเจ้าเป็นไรเล่า" ตู๋เสอเสนอแนะ
"และมอบด้วยพลังปราณของข้าอีกครึ่ง ดีหรือไม่เล่า" ประการหลังถึงกับทำให้ม่อเจวียนตาวาว
เสินเหม่ยมองตู๋เสอด้วยสาตายอาทร ด้วยรู้ว่าตู๋เสอกำลังยื่อข้อเสนอเพื่อชีวิตของเขา
"พลังปราณของท่าน...อืม..ฟังดูน่าสนใจ พิสูจน์ให้แก่ข้าตอนนี้เลย จะได้หรือไม่เล่า"
"ฮา ฮา ย่อมได้" หลังจากสิ้นเสียง ตู๋เสอก็ค่อยๆโน้มใบหน้าลงไป ริมฝีปากประทับกับริมฝีปากของม่อเจวียน นั่นคลับคล้ายกับการจุมพิตที่อ่อนหวาน หากแต่มันเป็นการจุมพิตที่กำลังมอบวิญญาณให้แก่ม่อเจวียน ม่อเจวียนดูดเอาพลังลมปราณที่ได้มาจากการฝึกยุทธของตู๋เสอออกไปทีละน้อย ใบหน้าของตู๋เสอเริ่มซีดเผือด ฉับพลันม่อเจวียนก็ต้องผลักตู๋เสอออกโดยแรง
"ท่าน..ท่านถ่ายทอดพิษแก่ข้า" ม่อเจวียนรู้สึกหายใจติดขัด ร่างกายสั่นเทา เขาก้าวถอยห่างออกจากตู๋เสอ หากยังไม่ทันที่จะปัดป้องกรงเล็บที่พุ่งออกมาฉับพลันของตู๋เสอ ตู๋เสอกระชากหน้าอกของม่อเจวียนเข้ามาด้วยกรงเล็บ ฉับพลันก็เปลี่ยนท่าเป็นออกด้วยฝ่ามือ แน่นอนฝ่ามือนั้นอัดแน่นไปด้วยขุมพลังที่หล่อหลอมเข้ากับพิษร้ายในกายของตู๋เสอ ม่อเจวียนโดนฝ่ามือพิษของตู๋เสอกระแทกที่ทรวงอกจนกระเด็นออกไป ม่อเจวียนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ สูญเสียพลังไปเกือบแปดส่วน ต้องแอบลอบโคจรพลังปราณโดยเร็ว เพื่อมิให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนลมปราณแตกซ่าน ฝ่ามือนี้ของตู๋เสอเป็นฝ่ามือสุดท้ายที่ตู๋เสอคิดปลิดชีวิตม่อเจวียนในครั้งเดียว แต่ด้วยม่อเจวียนมีพลังปราณสูงส่งจึงมิอาจทำได้โดยง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะยังสามารถสู้กับตู๋เสอต่อไปอย่างไร้กังวลได้ สุดท้ายม่อเจวียนจึงยอมล่าถอยไปด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวด ที่มุมปากยังมีโลหิตซึ่งได้กระอักออกมาหลายคำก่อนหน้านั้น การโดนฝ่ามือพิษของตู๋เสอครั้งนี้ คงทำให้ม่อเจวียนหายหน้าไปจากแผ่นดินอีกนาน
เสินเหม่ยรีบวิ่งเข้ามาประคองตู๋เสอที่ทรุดลง ใบหน้าที่เคยหยิ่งผยองเย็นชาของตู๋เสอกลับกลายเป็นซีดเผือดและอ่อนแรง ดวงตาของตู๋เสอปรือด้วยความอ่อนเพลีย เขากำลังจะหมดสติลงด้วยความเจ็บปวดของบาดแผลที่หัวไหล่ขวา และการสูญเสียพลังจำนวนมากที่ใช้ออกไป
จบตอนเสียที มือของข้าน้อยหงิกไปหมดเลย ฮือ ฮือ