ตอนที่ 1
“เฮ้ยหลบดิ๊” เสียงนั่นดังมาพร้อมแรงกระชาก
ร่างของเต็นกระเด็นออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะตามแรงเหวี่ยง เด็กหนุ่มยั้งตัวเองไม่ให้ล้มลงบนพื้นซีเมนต์หยาบๆ สายตาวาวตวัดมองใครอีกคนที่ก้าวเข้าไปยืนแทนที่ตำแหน่งเดิมของตน ร่างนั้นกำลังจดจ่อกับการกดหมายเลขบนแป้นโทรศัพท์
“มิว มิว ฟังแชมป์ก่อน มิว มิว” ตู้โทรศัพท์เป็นแบบไม่มีประตู เต็นจึงได้ยินเอ่ยประโยคแรกออกมาจากปากคนนั้น ไม่มีเสียงพูดต่อ เด็กหนุ่มมองดูจนคนพูดวางโทรศัพท์ลงที่แป้นดังเดิม สักพักจึงเห็นเจ้าตัวหันมาเผชิญหน้าตนพร้อมกับตวาดขึ้นเสียงดัง
“มองเหี้ยอะไร”
“มองไม่มีคนมารยาทไง” เต็นตอบกลับไปน้ำเสียงเรียบนิ่ง เริ่มมองสำรวจคนตวาดนิ่งคิด หน้าตาก็ดี รูปร่างก็ดี ผิวพรรณก็ดี รวมถึงชุดนักศึกษาที่สวมใส่ก็สื่อถึงว่าน่าจะเป็นคนมีการศึกษาอยู่พอสมควร แต่ทำไมสิ่งที่ทำกับเขาเมื่อครู่ถึงได้ดูอันธพาลนักนะ
“มึงว่าใครไม่มีมารยาท” เสียงถามดังขึ้นระหว่างคิด
“ก็ว่ามึงน่ะแหละ” เต็นตอบ
“เป็นพ่อเหรอถึงมาด่ากู” อีกฝ่ายถามกลับหน้าตาหาเรื่อง
“ก็มันจริงป่ะล่ะ กระชากคนที่ไม่รู้จักจนเกือบล้ม ใครที่ไหนเขาทำกัน” เต็นสู้สายตาไม่ถอย สงครามน้ำลายจึงเริ่มขึ้น
“ก็มึงเสือกมายืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ทำไม”
“แล้วมึงสัมปทานเอาไว้หรือไงกูถึงจะยืนไม่ได้”
“กูไม่ได้สัมปทานไว้ แต่มันเป็นของสาธารณะ”
“สาธารณะแล้วไง ถ้ามึงเสนอหน้ามาให้เห็นว่าจะใช้ กูก็คงหลบให้ ไม่เห็นต้องมากระชากกันเลยนิ”
“แล้วไง กระชากแค่นี้มึงถึงตายมั้ย”
“ไม่ตายแต่มันก็ไม่ควรโว้ย”
“ทำไมจะไม่ควร มึงเป็นพ่อกูหรือไงกูถึงจะทำอะไรมึงไม่ได้”
“แม่งเอ้ย แถได้เรื่อยๆ”
“เฮ้ย ด่าถึงแม่เลยเหรอวะ ต่อยกะกูเลยมั้ยไอ้เชี่ย”
“ใครไปด่าแม่มึง”
“ก็มึงไง กำลังเครียดๆ กูขอระบายทีเถอะ”
สิ้นประโยค เต็นถึงกับหน้าหงายไปด้วยแรงเหวี่ยงจากกำปั้นคนพูดที่ถลันออกมาจากตู้โทรศัพท์แล้วพุ่งเข้าชก เด็กหนุ่มหันมาเผชิญหน้า แต่ยังไม่ทันตอบโต้ใดๆ ร่างกายก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อโดนผลักอกซ้ำ
“จำไว้กูอย่ามาปากดีกะกู” คนผลักชี้หน้าเอ่ยกำชับ
เสียงฟ้าร้องครืนๆ ตามด้วยสายลมแรงที่พัดเอาฝุ่นละอองมากระทบเต็มหน้า เต็นจึงไม่มีโอกาสตอบโต้คนที่ทำร้ายตน เพราะมัวแต่ยกมือปิดหน้าปิดตาตามสัญชาตญาณ
ฝนเม็ดเล็ก ค่อยๆ หล่นลงมาตอนแรงลมหายไป เด็กหนุ่มเอามือออกจากใบหน้าแล้วมองไปยังร่างอีกคน ตอนฝนเม็ดใหญ่เริ่มเทกระหน่ำตามมา คนตรงหน้าเอาแต่ร้องโอดโอยยกมือสองข้างปิดแนบนัยน์ตาข้างขวา
“เฮ้ยเป็นไรวะ” เต็นถามออกไป
“อะไรไม่รู้เข้าตา” คนนั้นตอบกลับมา ฝนห่าใหญ่เทไล่ตามมาอีก เต็นละล้าละลังว่าจะเอายังไงเมื่อร่างกายเริ่มเปียก คิดจะวิ่งหนีหาที่กำบังก็พลันนึกห่วงคนที่ไม่สนใจสภาพลมฟ้าอากาศนอกจากก้มหน้าร้องโอดโอย สายตาเด็กหนุ่มมองเห็นตู้โทรศัพท์ว่างอยู่จึงตัดสินใจฉุดเอาข้อมือคนคนนั้นเข้าไปยืนหลบห่าฝนพร้อมตน
“เชี่ยเอ้ย ตกไม่มีปี่มีขลุ่ย” เด็กหนุ่มบ่นขึ้นในตอนที่ยืนอยู่แนบชิดกับคนที่ตัวเองฉุดมือเข้าด้วยในสภาพหันหน้าเข้ากัน
“บ่นทำเชี่ยไร ช่วยกูก่อนสิวะ” ฝ่ายนั้นร้องบอกแข่งเสียงฝน เต็นหน่ายในน้ำเสียงเบ่งอำนาจ แต่ก็จำใจร้องถาม
“มึงจะให้ช่วยไงล่ะ”
“ดูให้หน่อยว่าอะไรมันเข้าตากู แม่งเจ็บโครต” ฝ่ายนั้นบอกเสียงอ่อนลง เด็กหนุ่มจึงพอทำใจที่จะช่วยได้
“ปิดตาอยู่แบบนั้นกูจะมองเห็นมั้ยล่ะ”
“ก็กูปล่อยไม่ได้มันเจ็บ”
“ค่อยๆ ปล่อยดิ ช้าๆ เดี๋ยวกูดูให้” เต็นพูดพลางยกมือตัวเองไปจับมือคนเจ็บปวดให้ค่อยเปิดตาออก แต่เจ้าตัวกลับร้องลั่น
“โอ้ย เจ็บ”
“ทนหน่อยสิวะ” เด็กหนุ่มเอ่ยว่า ฝ่ายนั้นจึงยอมเงียบเสียง
“เห็นแล้วๆ แมลงว่ะ ตัวเป้งเชียว” เต็นเอ่ยเมื่อเปิดนัยน์ตาอีกฝ่ายสำเร็จ
“ตาบอดแน่มึง” เด็กหนุ่มเอ่ยขู่เล่นๆ จึงโดนด่ากลับมาเป็นการตอบแทน
“เชี่ยมึงแช่งกูเหรอ”
“ก็เออดิ มึงอยากต่อยกูทำไม” คนด่าเงียบ ก่อนเอ่ยกระแทกเสียงเหมือนไม่เต็มใจ
“เออ กูขอโทษ”
“เออช่างมันเถอะ นิ่งๆ นะกูจะเขี่ยไอ้แมลงนี่ออกแล้ว” เต็นพูดพลางส่ายหน้าระอา ก่อนหยับผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักศึกษาที่สวมอยู่
“ผ้ามึงสะอาดป่ะวะ” คนกำลังเจ็บไม่วายถาม
“มันไม่ใช่ของกูหรอก” เต็นตอบเสียงเศร้า
“อ้าวแล้วของใครวะ” อีกฝ่ายร้องตกใจ
“ของใครก็ช่างเถอะ มันช่วยให้มึงหายเจ็บได้ละกัน” เต็นตัดบทพร้อมพับผ้าให้มุมเป็นเหลี่ยมเล็กที่สุด เพื่อจัดการเขี่ยแมลงที่นอนนิ่งอยู่ใต้เปลือกตาล่างของคนตรงหน้า พอทำสำเร็จจึงตัดสินใจเหวี่ยงผ้าผืนนั้นทิ้งไป
“ไหนดูดิ” คนตรงหน้าเอ่ยถามหา
“ทิ้งไปแล้ว” เต็นตอบพร้อมมองไปยังผ้าเช็ดหน้าที่เหวี่ยงทิ้งออกไปนอกตู้โทรศัพท์ที่โดนสายฝนจนเปียกแฉะ
“ทิ้งผ้าไปด้วยเหรอ” คนอยู่ใกล้ถามขึ้น
“อืม ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่ของกู” เด็กหนุ่มหันมาตอบ ช่วงเวลานี้เองที่ได้ประสานสายตากับคนตรงหน้าอย่างใกล้ชิด ก่อนจะตกใจหน่อยๆ เมื่ออยู่ดีๆ ฝ่ายนั้นยกมือขึ้นมาจับที่มุมปากตนพลางเอ่ย
“ปากมึงเริ่มช้ำแล้วว่ะ”
“ช่างมันเถอะ” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางปัดมือนั่นออก
“เชี่ย ทำเป็นหวงตัว” เจ้าของมือเอ่ยว่า คนโดนว่ามองตาขวางนิดๆ ก่อนทำไม่สนใจหันหน้าออกไปมองเม็ดฝนข้างนอกแทน พร้อมกับยกมือกอดกระชับอก
“หนาวเหรอ” หนึ่งคำถามลอยมาให้ได้ยิน
“เปล่า” ตอบแต่ยังคงเหม่อมองข้างนอกอยู่
“เห็นกอดอกกูก็นึกว่าหนาว” อีกคนยังพูดไม่หยุด
“เบื่อว่ะ ตกทำไมนักหนาก็ไม่รู้” เต็นเปลี่ยนประเด็นคุยโดยการเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ถึงความรู้สึกของตนต่อสภาพอากาศที่เห็น คนที่ยืนอยู่ด้วยจึงเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นด้วยเช่นกัน แต่กลับกลายเป็นจุดฉนวนสงครามน้ำลายอีกรอบ
“เรียนที่ไหนวะ”
“จะรู้ไปทำไม”
“อ้าวไอ้นี่ ถามดีๆ นะมึง”
“แล้วกูตอบกวนตรงไหน”
“ไม่กวนป๊ามึงดิ ถามอีกอย่างตอบอีกอย่าง”
“เกษตรฯ”
“ก็แค่เนี้ย แล้วเรียนคณะไร”
“มนุษย์ฯ”
“ปี ?”
“สุดท้าย”
“จะจบแล้วสิ”
“เออ”
“แล้วจะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูเรียนที่ไหน”
“อยากบอกก็บอกดิ”
“เป็นเด็กสยาม ปีสุดท้ายเหมือนกัน เรียนการท่องเที่ยว”
“เรียนสยาม ถ่อมาทำไมแถวเกษตรวะ”
“แฟนกูเรียนศรีปทุม”
“มีแฟนแล้วเหรอ”
“อืม แต่เขาขอเลิกว่ะ”
“เมื่อกี้อ่ะดิ”
“เปล่าหรอกตะกี้กูโทรง้อต่างหากล่ะ แต่แม่งไม่ฟังอะไรเลย”
“ก็ไม่เห็นแปลก”
“หมายความว่าไงวะ”
“นิสัยมึงมันน่าคบตายเลย เป็นกูกูเลิก”
“โธ่ไอ้เวร เป็นกูกูก็เลิก กูไม่ใช่เกย์นะครับคงไม่คบกับมึงให้มึงเลิกหรอก”
“แล้วมึงคิดว่ากูเป็นป่ะล่ะ”
“อืม ก็ทะแม่งๆ ว่ะ ตอนเขี่ยไอ้แมลงห่านั่นออกจากตากูมือมึงเบาแปลกๆ ตกลงมึงเป็นป่ะวะ”
“ถ้าตอบว่าเป็นมึงจะกระโดดออกจากตู้นี้เลยมั้ย”
“เรื่องอะไรกูจะออกไปให้ตัวเปียก เป็นก็เป็นสิ เกย์ก็คนคุยด้วยได้ แต่ให้คบกูคงไม่เอา”
“พูดยังกะกูขอมึงคบแล้วงั้นล่ะ”
“เฮ้ย สรุปมึงเป็นเหรอ”
“เออ”
“กรรม แม่งกูต่อยปากตุ๊ดเหรอเนี่ย”
“อยากโดนต่อยคืนมั้ยล่ะ”
“ต่อยเป็นเหรอตัวเอง ไม่ตบเค้าแน่นะ”
“ไอ้เชี่ย กูไม่ได้แต๋วขนาดนั้นโว้ย”
“กูล้อเล่น ไม่บอกกูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงเป็น เออแล้วถามจริงนะ คิดไงถึงเป็น”
“กรรม กูจะตอบมึงได้มั้ยล่ะ กูยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าทำไมถึงเป็น”
“เหรอ เออแล้วถามอีกข้อนะ มึงเคยมีอะไรกะผู้ชายด้วยกันยัง”
“ถามทำไม”
“ก็กูอยากรู้ว่าพวกมึงเอากันลงเหรอ”
“จะลองดูมั้ยล่ะ”
“เชี่ย แตะกูแม้แต่ปลายก้อยกูต่อยหน้าแหกแน่”
“ทำอย่างกะกูอยากจะแตะนักล่ะ”
“จริงเหรอตัวเอง”
“ไอ้เชี่ย จับตูดกูทำไมวะ”
“ตูดนิ่มดีนี่หว่า ท่าทางจะโดนบ่อย”
“ปากหมานะมึง”
“เกย์ห่าอะไรวะพูดจาแม่งน่าแตะโครต”
“ลองดิ คราวนี้กูเอาคืนแน่”
“เก่งทำเก่ง ยังไงมันก็ดูไม่แมนขึ้นหรอกครับคุณเกย์”
“กูชื่อเต็น ไม่ได้ชื่อเกย์”
“กูไม่ได้ถาม อ่ะแน่ะ กะจะหลอกถามชื่อกูอ่ะดิ ไม่น่าเกิดมาหล่อเลยให้ตายสิ เบื่อมากพวกเกย์ตามจีบเนี่ย”
“ได้อีกนะมึง”
“อะไรได้อีก”
“ขี้โม้ไง”
“โม้ไง หน้าตี๋อินเทรนสูงยาวขาวใสขนาดนี้ มึงว่ากูไม่หล่อเหรอ”
“หล่อแล้วไง สุดท้ายถูกทิ้ง”
“อ้าว ตอกย้ำซ้ำเติม เดี๋ยวพ่อจับเอาตูดคาตู้โทรศัพท์ซะนี่”
“ทะลึ่งไอ้เชี่ย”
“ไม่ชอบเหรอ เปิดซิงKกูเลยนะมึง”
“มึงนี่มันสุดตีนเลยว่ะ พูดแต่ละคำคิดก่อนก็ดีนะ”
“เชี่ยยังกะมึงพูดเพราะกว่ากูนักหนาล่ะ”
“โอ้ย กูขี้เกียจพูดกะมึงแล้ว ฝนซาแล้วกูไปล่ะ”
“อ้าวเฮ้ยเดี๋ยวดิ”
“มีไร”
“กูจะได้เจอมึงอีกป่ะวะ”
“มึงเมาละอองฝนเหรอ กูเป็นเกย์นะ ไหนบอกไม่อยากคบไง”
“แล้วกูขอคบมึงตรงไหนไอ้สัตว์ ก็แค่แบบว่ารู้จักกันไว้ก็แค่นั้น”
“กูก็มาเรียนของกูทุกวัน ถ้ามึงมาเตร่แถวนี้ก็เจอกูเองแหละ”
“กูคงไม่ค่อยได้มาแล้วเพราะไม่รู้จะมาหาใคร แฟนแม่งก็เลิกไปแล้ว เอางี้ขอเบอร์ได้ป่ะ เผื่อคุยกัน”
“ย้ำอีกครั้งนะว่ากูเป็นเกย์”
“เออน่ะกูรู้แล้ว ไม่แน่นะเกย์อย่างมึงอาจได้ชายแท้เป็นแฟนก็ได้”
“ชายแท้นั่นคงไม่ใช่มึงนะ”
“มีปัญญาหาหล่อได้กว่ากูก็ลองดู”
“ถุย กูจะอ้วก”
“เออจะไปอ้วกไปขี้ที่ไหนก็ไป แต่เอาเบอร์มาก่อน”
“มึงแหละบอกเบอร์มาเดี๋ยวกูยิงไป”
“แม่งเรื่องมากวะ เป็นแฟนเมื่อไหร่จะซัดให้น่วมเลย”
“พูดมาก บอกเบอร์มา”
“081........”
“ชื่อ ?”
“แชมป์”
“ว่าว หรือเปล่าวะ”
“ว่าวใส่ปากมึงอ่ะดิ ทำเป็นรู้ดี”
“เออแล้วกูจะรอกิน”
“เชี่ย แล้วบอกไม่ชอบกู ไปได้แล้ว อย่าลืมยิงเบอร์มานะ เออแล้วหายาทาที่ปากด้วยล่ะ เดี๋ยวมันช้ำหนัก”
“อืมกูไปล่ะ มึงก็กลับบ้านดีๆล่ะ”
“ครับที่รัก”
“ครับที่รัก”ประโยคนี้จะออกจากปากของชายแท้สักกี่ครั้ง หากคนที่ต้องการฟังไม่ใช่ “ผู้หญิง”
ค้นพบคำตอบได้ที่นี่
By Boy