ตอนที่ 39
ที่เรือนนายศรต่างกำลังนั่งร้อนรนและกลุ้มใจกันทั้งสามพ่อลูก เพราะเมื่อสักครู่สมุนที่สินส่งไปเพื่อกำจัดอิทธิและอาทีลอบมาแจ้งข่าวว่าทำพลาดในส่วนของอิทธิซึ่งหนีไปได้ ส่วนอาทีนั้นพวกมันไม่คิดว่าจะรอดเพราะโดนจ้วงแทงจนมิดด้ามถึงสองแผล แต่นั้นมันก็แลกมาด้วยชีวิตของหนึ่งในกลุ่มที่เสียชีวิตลงเช่นกัน
นายศรไล่สองวายร้ายที่พาร่างกายสะบักสะบอมมารายงานข่าวไปให้ไกลเขตไร่ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า เพราะพวกนั้นได้หลุดปากกับอิทธิไปแล้วว่านายสินบุตรชายของตนเป็นคนว่าจ้างให้ไปทำเรื่องอุกอาจนั่น
“เราจะทำไงกันดีล่ะพ่อ เกิดไอ้อิทธิมันไปแจ้งตำรวจเราจะไม่โดนจับเหรอ” สินเอ่ยถามบิดาเสียงร้อนรน นายศรหยุดคิดสักพักจึงหันไปมองหน้าส้มเอ่ยขึ้น
“คราวนี้ถึงทีเอ็งแสดงฝีมือบ้างแล้วล่ะอีส้ม”
“พ่อหมายความว่าไง” ส้มเอ่ยถามบิดา ก่อนจะรับคำสั่งที่บิดาบอกให้ตนไปสร้างเรื่องบอกจิตราว่าอิทธิไปมีเรื่องกับอันธพาลขณะเลิกเรียน เพื่อสร้างปมเรื่องคนร้ายขึ้นมาว่าเป็นพวกอันธพาลทั่วไปไม่ใช่สมุนของนายสิน ชายหัวหน้าคนงานยังกำชับบุตรสาวอีกว่าให้ใส่ไฟอิทธิให้มากที่สุดเรื่องพาอาทีกลายไปเป็นเด็กอันธพาลเกเรและมีเรื่องกับคนนั้นทีคนนี้ทีเท่าที่ความสามารถทางด้านปลิ้นปล้อนของบุตรสาวจะพึงมี การทำเช่นนั้นก็เพราะเสี้ยมให้จิตรานึกเกลีดนึกชังอิทธิว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้บุตรชายคนเล็กของหล่อนมีอันเป็นไปตามความเข้าใจที่คิดกันไปแล้ว
“เอาให้อีนั่นเกลียดไอ้อิทธิชนิดอยากจะเข่นอยากจะฆ่าเลยนะนังส้ม ข้าเชื่อว่าเอ็งทำได้ เป่าหูอีจิตรแค่นี้มันคงไม่ยากเกินความสามารถแก เพราะอีจิตรมันโง่ มันหูเบา มันเข้าข้างข้ามาแต่ไหนแต่ไร และมันก็เกลียดอีนังแม่นางและไอ้อิทธิเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เบี่ยงประเด็นให้มันคิดว่าคนที่ทำให้ลูกมันตายคือไอ้อิทธิ เอ็งต้องทำให้มันแค้นไอ้อิทธิมากกว่าสมุนของพี่ชายเอ็งให้ได้ ถึงตอนนั้นก็ไม่มีทางที่ตำรวจจะเอาผิดเราได้ เพราะเดี๋ยวอีจิตรมันก็จะกระโดดมาปกป้องเราเองอย่างที่มันเคยทำคืนนั้น”
นายศรเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจว่าคนอย่างจิตราหากว่าพวกตนปลุกปั่นให้เชื่อตามคำบอกขี้คร้านว่ามันจะตามลงทัณฑ์ไอ้อิทธิมากว่าสมุนของบุตรชายตน
ส้มรีบตรงไปเรือนหลังใหญ่ทันทีเพื่อหาเรื่องใส่ร้ายอิทธิตามที่บิดาสั่ง การไปทำตามแผนการครั้งนี้หล่อนไม่ได้หนักใจกับการเป่าหูจิตราแต่หล่อนหนักใจกลัวว่าอาทิตย์จะจับพิรุธได้และไม่เชื่อในสิ่งที่หล่อนกุเรื่องง่ายๆ
“อีส้ม เอ็งมาทำไมค่อนคืนป่านนี้ เอ็งจะมาลอบทำร้ายคุณจิตรเรอะ” เพลินพิศที่อยู่เฝ้าเจ้านายมาตั้งแต่หัวค่ำจนป่านนี้เอ่ยถามส้ม พลางกันท่าส้มไปพบเจ้านายที่เข้าห้องพักไปแล้ว
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะมาบอกคุณจิตร น้าพิศไม่เกี่ยว” ส้มบอกพลางผลักร่างเพลินพิศให้พ้นทางก่อนจะก้าวฉับๆ ขึ้นบนเรือน เพลินพิศตามรั้งแขนไว้
“คุณจิตรแกไม่ค่อยสบายใจอยู่เอ็งอย่าเอาเรื่องรกสมองอะไรมาให้ท่านตอนนี้ได้มั้ย”
“ไม่สบายใจเรื่องอะไร เรื่องพี่อาทีหรือเปล่า” ส้มเอ่ยถามแบบปูทางให้แผนการ
“มีใครบอกเอ็งเรื่องนี้เหรอ” เพลินพิศถามเมื่อคิดว่าส้มน่าจะรู้ว่าเจ้านายตนเป็นลมเพราะเห็นภาพหลอนว่าบุตรชายคนเล็กมาหลอกมาหลอน
“เรื่องอะไรเหรอ” ส้มที่ยังไม่รู้เรื่องนี้เอ่ยถาม เพลินพิศจึงเปิดปากเล่าให้ฟังจนสิ้น รวมทั้งบอกว่าตอนนี้อาทิตย์กำลังขับรถไปตามหาอาทีอยู่ยังไม่กลับเข้ามา ส้มลอบยิ้มร้ายสมใจที่เหตุการณ์มันลงล็อคก่อนจะแสร้งตีสีหน้าตื่นตะลึงแล้วบอก
“ฉันว่าแล้ว ฉันสังหรณ์ใจอยู่ว่าพี่อาทีจะต้องไปเจอเรื่องร้าย ที่ฉันมาที่นี่เพราะจะมาบอกคุณจิตรเรื่องนี้แหละ ตอนแรกก็กะว่าจะรอให้ฟ้าสางแต่มันไม่สบายใจเลยน้าพิศ เพราะฉันเห็นไอ้อิทธิมีเรื่องกับอันธพาลที่โรงเรียนแล้วพี่อาทีเข้าช่วย ฉันว่านะไอ้อันธพาลพวกนั้นมันคงจับพี่อาทีกับไอ้อิทธิไปแล้วแน่ๆ”
“เหรอ เอ็งมีเบาะแสเรื่องนี้เหรอ งั้นเดี๋ยวข้ารีบไปตามคุณจิตรมานะ ตอนนี้ท่านรอฟังข่าวเรื่องคุณอาทีอยู่ทุกลมหายใจ หากเอ็งมาคุยเรื่องนี้ท่านคงยอมฟังเอ็ง”
จิตราออกมาพบส้มจริงๆ พร้อมรับฟังเรื่องราวที่ส้มใส่ร้ายอิทธิ จากจิตใจที่จงเกลียดจงชังอิทธิมาตั้งแต่ต้นทำให้หล่อนคล้อยตามส้มได้ไม่ยาก หล่อนฟังไปก็เม้มปากไปเพราะอารมณ์โกรธเกลียดอิทธิและเป็นห่วงบุตรชายที่ส้มบอกว่าเกรงว่าน่าจะกำลังเผชิญอันตรายที่อิทธิเป็นพาก่อ
“ฉันว่าแล้วสักวันมันต้องพาหายนะมาหาลูกชายฉัน ลูกฉันไม่ใช่เด็กอันธพาลโดยสันดาน หากเกิดอะไรขึ้นกับลูกฉันไอ้เด็กเด็กปรตนั่นมันต้องรับผิดชอบพร้อมกับอีไพร่แม่ของมัน!” จิตราประกาศกร้าวหลังฟังสิ่งที่ส้มเอ่ยบอกให้ฟังจนสิ้น เพลินพิศที่นั่งฟังด้วยแม้จะเคยมีเรื่องกับแม่นางและคอยกระแนะกระแหนอิทธิอยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้หล่อนรู้สึกแปลกๆ กับสิ่งที่บุตรสาวนายศรบอกเจ้านาย เพราะหล่อนก็พอจะรู้จักจริตของสาวน้อยผู้นี้อยู่ไม่น้อย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้เปรียบอารมณ์จิตราก็เป็นเช่นดั่งสายน้ำกำลังเชี่ยว เรือลำน้อยๆ อย่างหล่อนจะลอยเข้าไปขวางก็พาลจะโดนสาดซัดจมหายไปตามคุ้งน้ำเท่านั้น
ด้านอาทิตย์หลังสิ้นกระบวนการถ่ายโอนเลือดในกายเพื่อยื้อชีวิตน้องชายก็ออกมาจากห้องนั้นด้วยร่างกายที่หวิวๆ แต่นั่นมันก็ไม่เท่าจิตใจที่หดหู่เหลือจะทน ระหว่างที่เลือดในกายไหลไปสู่ร่างน้องชายที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ชายหนุ่มแอบน้ำตาไหลด้วยความสงสารเจ้าตัวแต่ก็พยายามแข็งใจเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอ ชายหนุ่มคิดไปเองว่ามันอาจส่งผลให้เลือดส่งผ่านให้น้องชายได้ไม่เต็มที่ หากเป็นไปได้เขาก็อยากถ่ายเลือดทั้งตัวให้กับน้องชายเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามกระบวนการและคำแนะนำของแพทย์ พอเสร็จสิ้นจึงได้เดินออกมาด้วยร่างกายที่หวิวไหวเช่นนี้
ชายหนุ่มหันไปมองห้องน้องชายอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินไปดูอาการของผู้เป็นป้าที่อยู่อีกห้องหนึ่ง ขณะนั้นพยาบาลไม่ได้อนุญาตให้เยี่ยมจึงได้ยืนมองแค่ประตูซึ่งเป็นกระจกใสพอให้มองเห็นร่างนั่นที่ยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติ
เนิ่นนานเหลือเกินที่ชายหนุ่มยืนมองภาพนั้นในตอนสุดท้ายก่อนจะหันหนีน้ำตาก็ได้ไหลอาบสองแก้มเอ่ยขอโทษขึ้เสียงเบาที่ตนไม่อาจต้านเรื่องร้ายๆ ได้
“ผมขอโทษนะครับป้าจันทร์ ผมขอโทษ”
เป็นครั้งแรกที่อาทิตย์ร้องไห้จนสะอื้นเมื่อรู้สึกเสียใจและนึกโทษตัวเองที่ไม่อาจทำให้ไร่สงบลงได้โดยไร้เหตุรุนแรงอย่างที่ตั้งใจ ชายหนุ่มปาดน้ำตาทิ้ง ฮึดเรียกกำลังใจให้กับตัวเองอีกครั้ง เมื่อคิดว่าแม้จะสายไปแต่เขาก็ควรจะลงมือจัดการอะไรขั้นเด็ดขาดซะที
ชายหนุ่มเดินปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเดินย้อนกลับไปทางที่คิดว่าอิทธิน่าจะรอตนอยู่ ความตั้งใจคือจะสอบถามเรื่องราวต่างๆ ให้มันกระจ่างชัดขึ้นเพื่อเป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอสำหรับการเข้าแจ้งความกับตำรวจให้ตามรวบครอบครัวนายศรมารับโทษข้อหาว่าจ้างผู้อื่นเพื่อการพยามฆ่า และหากจะมีข้อหาอื่นเพิ่มเติมที่อิทธิจะแจ้งเพิ่มเขาก็ยินดีที่จะช่วย สองขาชะงักเมื่อเดินไปถึงจุดนั้นแล้วไม่พบร่างของอิทธิ มองซ้ายแลขวาก็ไร้ซึ่งเงาฝ่ายนั้นจึงเอ่ยพึมพำออกมา
“หายไปไนวะ บอกให้รอให้รอ หรือว่า”
ในตอนท้ายอาทิตย์รู้สึกใจหายเมื่อคิดไปแล้วว่าอิทธิอาจกำลังคิดพิพากษาครอบครัวนายศรด้วยตัวเอง ใช่แล้วล่ะมันต้องเป็นแบบนั้นแน่ เพราะคนๆ นี้เคยตั้งมั่นเอาไว้ด้วยใจหนักแน่นว่าจะทำเช่นนั้นในไม่ช้า ซึ่งการเกิดเรื่องร้ายแรงแบบนี้ขึ้น มันก็เป็นเช่นแรงขับให้เจ้าตัวคิดทำการนี้ในตอนนี้
“บอกอะไรไม่เคยฟังกันเลยนะอิทธิ นายนี่มันรั้นจริงๆ ให้ตายสิ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะวิ่งไปยังที่จอดรถเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปที่ไร่ ซึ่งคิดว่าอิทธิน่าจะกำลังมุ่งหน้าไปที่นั่นแน่ๆ
อิทธิมาถึงไร่จนได้ในตอนที่ส้มกลัมาเล่าความคืบหน้าเรื่องที่ตนปลิ้นปล้อนใส่จิตราให้กับบิดาและพี่ชายฟัง และตกลงเข้านอนเก็บแรงไว้เผชิญกับเรื่องราวที่มันอาจไม่เป็นไปตามแผน
เด็กหนุ่มมองท้องไร่ที่ครั้งหนึ่งตนเคยอยู่ตั้งแต่เล็กอย่างเต็มสายตาก่อนจะหันไปทางทิศเรือนหลังใหญ่ ขณะนี้จิตราคงจะอยู่ที่นั่นสินะ แต่รอก่อนเถอะ หากว่าเอาเอาชีวิตรอดหรือร่างกายยังครบสามสิบสองจากการตามไปทวงแค้นกับครอบครัวนายศรเขาไม่ลืมที่จะหันมาราวีหญิงร้ายผู้นี้แน่
หนุ่มน้อยหยิบเอาท่อนไม้ขณะเหมาะมือริมทางถือไว้มั่นแล้วเดินตรงไปยังทิศเรือนของนายศรด้วยจิตใจที่เต้นตึกตักตึกตัก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอาทิตย์ที่ขณะนี้กำลังขับรถมาด้วยความเร็วสูงพร้อมจิตใจที่เป็นกังวลว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายๆ อะไรเกิดขึ้นกับอิทธิเหมือนเช่นที่น้องชายตนโดน นาทีนี้ชายหนุ่มขอเป็นคนไม่รักษากฎการจราจรสักวันด้วยการขับปาดหน้าแซงรถคันนั้นทีคนโน้นทีเพื่อที่จะพาตัวเองกลับถึงไร่ให้เร็วที่สุด
ด้านจิตราที่ยังไม่กลับเข้าห้องพักเพราะกำลังนั่งแค้นเคืองอิทธิอยู่ตรงชานเรือน ใกล้ๆ ตัวมีเพลินพิศคอยนั่งจับอาการอยู่ สาวใช้สังเกตเห็นผู้เป็นนายเม้มปากตาลุกกำหมัดสลับกันปานคนที่สามารถทำลายล้างอะไรก็ได้ที่บังอาจมาขัดหูขัดตาตอนนี้ หล่อนจึงนั่งอยู่เงียบๆ งดออกความเห็นเรื่องที่ส้มมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับบุตรชายคนเล็กของเจ้าตัว
ส่วนอิทธิเมื่อเดินเข้าไปใกล้เขตเรือนนายศรก็จับท่อนไม้ในมือไว้มั่น ตั้งใจแน่วแน่ว่าหากพบร่างใครคนใดคนหนึ่งนั่งเผลออยู่ตอนนี้จะลงมือฟาดให้ดับดิ้นกองอยู่ตรงนั้น พวกมันเคยหมาลอบกัด ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ใช้วิธีไร้ซึ่งศักดิ์ศรีนี้เป็นการโต้กลับ
หนุ่มน้อยเบาฝีเท้าให้มากที่สุดเมื่อเห็นเรือนตรงหน้าไร้ซึ่งแสงสว่าง นั่นแสดงว่าพวกมันคงกำลังนอนหลับ ดีล่ะ เขาจะได้จัดการพวกมันได้ง่ายสมใจกว่าเดิม
บนเรือน นายศรไม่อาจรู้ว่าบุตรสาวกับบุตรชายหลับไปหรือยัง แต่สำหรับตนนั้นยังไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เพราะยังรู้สึกกระวนกระวายเรื่องที่สมุนของบุตรชายทำแผนการอุ้มฆ่าเด็กน้อยสองคนนั่นไม่สำเร็จแบบสิ้นซาก การตีงูให้หลังหักแบบนี้ น่ากลัวนักว่าจะโดนงูนั้นมันวกกลับมาฉกกัด สำคัญที่สุดคืองูพิษอย่างไอ้อิทธินั่นแหละ เชื่อเหลือเกินว่าตอนนี้มันคงกรุ่นด้วยความแค้น เป็นไปได้มากว่าสิ่งที่มันโดนกระทำและผลร้ายต่างๆ ที่คนที่มันรักและเคารพได้เผชิญจะทำให้มันกลายเป็นงูพิษที่ร้ายกาจเกินจะกำจัดได้ง่ายๆ
ระหว่างนอนคิดนายศรต้องดีดตัวลุกขึ้นโดยไวเมื่อได้ยินเสียงดังคล้ายมีวัตถุอะไรบางอย่างตกลงกระทบพื้น
ปืนยาวข้างกายถูกฉวยหยิบขึ้นตามสัญชาตญาณ ก่อนจะลุกออกมาจากห้อง คืนนี้พระจันทร์สาดส่องมันคงพอมองเห็นที่มาของเสียงได้จึงไม่คิดที่จะเปิดไฟ ชายเหี้ยมเดินมาหยุดหน้าชานเรือนกวาดสายตามองไปทั่วหาสิ่งผิดปกติที่คิดว่าเกิดขึ้นในตอนนี้ แต่แล้วก็พบกับความว่างเปล่าจึงคิดจะเดินกลับเข้าไปในห้องพัก แต่พอหันหลังเท่านั้นเสียงนั่นก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ถึงกับต้องยกปืนขึ้นส่องไปยังทิศของเสียงเอ่ยลอดไรฟันขึ้น
“ใครมันบังอาจมาแหย่หนวดกู เจอให้กูจะยิงไส้แตก” ไม่ใช่แค่ขู่ เมื่อสิ้นคำนายศรตัดสินใจเดินลงจากเรือนส่องปืนไปยังทิศที่มาของเสียงซึ่งเป็นสุมทุมพุ่มไม้ จิตใจชายเหี้ยมเต้นตึกตักเมื่อเดินเข้าไปไกล้ ในใจมัวจับจดและลุ้นอยู่ว่าตัวเองจะเผชิญอะไรจึงไม่ได้สนใจว่าลับหลังตนนั้นมีหนึ่งร่างกำลังลอบก้าวขึ้นเรือนพร้อมท่อนไม้ในมือ