ตามจิ้มฉึกๆ เพิ่งลงมาจากดอย อยากจะเอาของฝากมาให้ แต่..ด้วยความที่ใช้เน็ตมือถือ 
เอาแค่หมอขิมกะน้องเอิงขัดดอกไปก่อนก็แล้วกันนะ 
==================================
ข้าง....ข้างใจ"เ.............อิ................ง.............!!" เสียงเรียกข้างหูทำเอาคนที่กำลังเหม่อสะดุ้ง ปลายผมยาวระต้นคอสะบัดพรึบตอนที่หันกลับไปมองหน้าคนเรียกด้วยสายตากึ่งจะหงุดหงิด ซึ่งไม่ต่างจากใบหน้าอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน น้องสาวที่อายุห่างกันไม่ถึง 10 นาที ผู้มีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันในยามที่ปล่อยผมแบบนี้
"ตกใจหมด!!" ยัยเอยทำเป็นยักไหล่ไม่สนใจแล้วถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้หวายตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
"เรียกตั้งนานไม่เห็นตอบ วิญญาณศิลปินเข้าสิงรึไง!!" รู้ว่าโดนประชดแต่ด้วยความเคยชินก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไร
บ้านนี้มีลูกสาวหนึ่งชายหนึ่ง เพียงแค่...มันเหมือนกับว่าอะไรมันสลับที่สลับทางกัน ยัยเอยได้ส่วนฉลาด ว่องไว การคิดการอ่านฉะฉานมีหลักการไปเสียทุกอย่าง ส่วนทางนี้ชายเอิงกลับเรียบร้อย(?) บางครั้งก็เชื่องช้า ไม่ค่อยเปิดรับคนแปลกหน้า ชอบฟังเพลงและวาดรูป อาการนั่งเหม่อลอยจึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนในบ้านเห็นจนชินตา เพียงเพราะเจ้าตัวให้เหตุผลว่า..บางครั้งการอยู่เงียบๆคนเดียวคือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง
"ง่วงอ่ะ" คำตอบง่ายๆที่ทำให้คนฟังแทบจะหัวเราะออกมา ...บางครั้งก็ตรงเกินไป อันนี้แหละที่น่ากลัว
"คุยโทรศัพท์อีกล่ะซิ เอิงมีแฟนแล้วเหรอ ไม่เห็นบอกกันมั่ง!!" โดนน้องสาวสะบัดบ๊อบใส่ซะงั้น แต่คำว่า'แฟน'ที่ได้ยิน ทำให้ในอกมันรู้สึกหวิวแปลกๆ เหมือนจะมีความสุขก็ไม่ใช่คล้ายจะหวาดกลัวก็ไม่เชิง...นั่นสินะ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เคยรู้แน่ชัดว่าคำนิยามของการคบกันแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไร
ใบหน้ายิ้มน้อยๆที่มุมปากกำลังพอดูดีลอยเด่นขึ้นมาในความคิด คุณหมอตัวโตที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตาดูเหมือนจะเป็นที่สนใจของใครๆมากมาย...ก็แค่คนที่คุยโทรศัพท์กัน กินข้าวด้วยกัน นานๆจะได้เจอหน้ากันที เพราะคุณหมอไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้น หรืออาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่ได้ว่างตรงกัน...สุดท้ายก็จบลงที่คุยโทรศัพท์
"ไม่ใช่หรอก ก็แค่คุยโทรศัพท์..." คนพูดทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้ตัวยาว เอาแขนข้างหนึ่งรองหัวตัวเองเอาไว้ น้องสาวที่กำลังตั้งใจฟังถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
"แค่คุยโทรศัพท์!!?"
"อื้อ...แค่คนรู้จักนะ เพื่อนของพี่ที่รู้จักกัน" เอยนั่งกระพริบตาปริบๆเหมือนตอนที่นั่งอยู่ในชั่วโมงเรียนแล้วอาจารย์เผลออธิบายข้ามบางส่วนไปจนไม่เข้าใจจนต้องมานั่งทบทวนความเอาเอง... 'เพื่อนของพี่'งั้นก็แสดงว่าคนที่โทรเข้ามาหาพี่ชายตัวเองวันละหลายรอบ'แก่กว่า'งั้นเหรอ!!?
"จะบ้าเหรอเอิง!! ใครเค้าจะมาคุยกับคนที่ไม่ได้คิดอะไรด้วยทุกวัน ถ้าเป็นแค่คนรู้จักจะมีเรื่องอะไรให้คุยด้วยนักหนา" คำพูดของน้องสาวทำให้คนที่นอนเหม่อเริ่มใจเต้นรัวเพราะคิดตาม จริงอย่างที่เอยพูดขนาดกับไอ้พวกสามเกลอนั่นเป็นเพื่อนกันแท้ๆยังรวบรัดตัดความกันซะ ใช้เวลาสนทนาไม่เกิน 10 นาทีในแต่ละครั้งก็วางสายเป็นอันจบ แต่นี่.....
"ก็คุยเรื่องทั่วไป แปลกเหรอ..?" แกล้งถามหน้าซื่อๆเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ในใจกำลังรอลุ้นฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ
"แปลกซิ!! คนรู้จักที่ไหนจะคุยเรื่องทั่วไปกันได้เป็นชั่วโมงๆ แบบนี้เค้าเรียกว่า'จีบ'ไม่รู้ตัวเลยรึไง!!" คำตอบของน้องสาวทำเอาหัวใจกระตุกวูบ ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนตอนที่ได้ฟัง รู้เพียงแต่ว่าวูบหนึ่งใบหน้าของใครบางคนลอยเข้ามาในความคิด...แล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาจนได้ แต่พอคิดว่าอาจโดนจับได้ก็ต้องแกล้งเบือนหน้าหนีไปอีกทาง..โดน'จีบ'โดยไม่รู้ตัว!!
"ไม่ใช่หรอก บางทีพี่เค้าอาจไม่มีคนคุยด้วย" คนที่โดนจีบโดยไม่รู้ตัวยังคงปฏิเสธเสียงแข็ง แต่กลับอมยิ้มกับตัวเองจนเมื่อยไปทั้งแก้ม
"นั่นไม่ใช่ประเด็น แล้วเอิงล่ะ..ไม่ได้คิดอะไรเหมือนที่ปากพูดรึเปล่า..?" ยัยเอยแสนรู้!! บางครั้งน้องสาวคนนี้ก็ฉลาดเกินไปจนน่ากลัว นี่แหละเหตุผลที่ไม่ค่อยอยากจะบอกอะไร เพราะเจ้าตัวสามารถเอาไปปะติดปะต่อได้เองโดยไม่ต้องฟังเรื่องราวทั้งหมด แล้วแถม..ถูกหมดซะด้วย
"อะไร!!? จะให้คิดอะไรล่ะ" ร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้ คนฉลาดอย่างยัยเอยมันคงจับได้ตั้งแต่แรกแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมายาวเหยียดเหมือนปลงๆ
"พ่อกับแม่คงไม่ว่าอะไรหรอก เราก็โตๆแล้วนะเอิง เอาไว้พาเข้าบ้านบ้างสิ เอยก็อยากรู้จัก" น้องสาวเดินเข้ามาแตะไหล่ทำหน้าเหมือนจะบอกว่า'ฉันจับได้แล้ว'ประมาณนั้น ก่อนจะส่ายหัวแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้พี่ชายนั่งกระพริบตาปริบๆงงๆอยู่ที่เดิม
"พาเข้าบ้านเหรอ?" บะ...บ้าน่า!! จะให้พาเข้ามาคงได้ช็อคกันเป็นแถบๆ แล้วที่สำคัญจะแนะนำว่าเป็นอะไรกันล่ะ!!? เพียงแค่คิดใบหน้าก็ร้อนวูบโดยไม่มีเหตุผล
-------------
คุณหมอหนุ่มอารมณ์ดีเดินผิวปากออกมาจากห้องพักตอนที่ได้เวลาเลิกงาน ไม่ใช่อะไร...เพราะวันนี้มีนัดกับใครบางคน แค่คิดว่าจะได้เจอก็ตื่นเต้นซะแล้วสิ ใครเลยจะรู้ว่าคุณหมอที่เป็นที่หมายปองของสาวๆในโรงพยาบาลตอนนี้ลดอายุตัวเองลงไปเป็นเด็กหนุ่มเหมือนตอนที่มีรักครั้งแรก
"กลับแล้วเหรอครับ?" คุณหมอด้วยกันที่อยู่ห้องพักข้างๆเอ่ยทักทายพลางส่งยิ้มให้ หมอขิมจำได้ว่าเคยเห็นไอ้หนุ่มตาน้ำข้าวคอยมารับมาส่ง บางทีก็มีเสบียงมาให้ตอนที่อยู่กะดึก ....เรื่องส่วนตัวเลยไม่กล้าจะถามความ แต่เจ้าตัวก็เป็นคนมีอัธยาศัยดีมากๆ
"วันนี้อยู่ดึกเหรอครับ" หมอขิมหันไปพยักหน้ารับ พร้อมกับถามกลับตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายยกนาฬิกาขึ้นมาดูเหมือนรอคอยใครบางคน
"พอดีว่าเพื่อนเค้าขอแลกเวร ผมก็เลยต้องกลับเช้านะ" ทั้งที่แสร้งทำหน้าเหนื่อยแต่แววตากลับดูเหมือนกำลังยิ้ม ฟังดูก็รู้ว่าแค่แกล้งประชดไปอย่างงั้นเอง
"แย่เลยนะครับ แบบนี้แฟนไม่ว่าเอาเหรอ แบบว่า..ไม่มีเวลาให้.." หมอขิมเอ่ยถามเพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันถามถึงเรื่องแฟนก็ไม่น่าแปลก ก่อนจะได้รับคำตอบกลับได้รับรอยยิ้มกับสายตาที่มองตรงไปยังทางเดิน...ใครบางคนกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับหิ้วของพะรุงพะรังติดมือมาด้วย
"ถ้าผมไม่มีเวลา เค้าก็จะเป็นฝ่ายชดเชยให้เอง ไม่เป็นไรหรอกครับ" คำตอบที่ได้รับทำเอาคนฟังเลิกคิ้ว แต่พอจะถามต่อเจ้าหนุ่มตาน้ำข้าวก็ก้าวยาวๆมาถึงเสียก่อน พร้อมกับอาการเหนื่อยหอบ...ทำให้คนนอกที่ยืนมองอดคิดไม่ได้ว่า..'ทำไมต้องรีบร้อนซะขนาดนั้น'
"มาช้า!!" หมอขิมยืนอึ้งไปอีกรอบ ทั้งที่เมื่อกี้ยังยืนอมยิ้มเหมือนดีใจอยู่แท้ๆ แต่พออีกคนมาถึงกลับทำเป็นเคืองซะอย่างงั้น
"ก็..ก็ผมไปหาของกินตามรายการที่สั่งมา" คำแก้ตัวมาพร้อมกับหลักฐานในมือที่ยกขึ้นให้ดู จากที่หมอขิมประเมินด้วยสายตาตัวหนังสือข้างกล่องของกินแต่ละที่...ไม่ได้อยู่ในละแวกเดียวกันซักนิด
"เอ่อ...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ" เพิ่งจะรู้ตัวว่ากลายเป็นคนนอก และตัวเองก็มีนัดกับใครอีกคน
"อ้าว...ผมว่าจะชวนอยู่ทานมื้อเย็นด้วยกัน" หมอขิมคลี่ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าแทนคำตอบ นึกสงสารหนุ่มตาน้ำข้าวอีกคนที่ยืนหอบแฮ่กๆ ถ้ามีก้างชิ้นใหญ่มานั่งขวางคงไม่ดีแน่
"ผมมีนัดน่ะครับ" อีกฝ่ายพยักหน้าเหมือนจะรับรู้ ก่อนจะโค้งหัวเล็กน้อยตามมารยาทให้กัน ต่างคนต่างก็ไปตามนัดของแต่ละคน
หมอขิมเดินควงกุญแจรถพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พาลคิดไปว่าหากใครบางคนที่นัดเอาไว้เกิดบอกว่า'มาช้า!!' แบบนั้นบ้าง...ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะนั่นไม่ใช่คำพูดของคนที่กำลังโกรธ แต่เป็นคำพูดของคนที่อยากให้เอาใจ...และทางนี้ก็อยากเอาใจเสียด้วย เพราะบางครั้งก็เหมือนจะเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร....แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังอยากไปหา..อยากไปเห็นหน้ากับรอยยิ้มและสายตาเหม่อๆแบบนั้น
"น้องเอิง...พี่กำลังจะออกไป รถติดนิดหน่อยอาจไปถึงช้านะครับ" พอเข้าไปนั่งในรถคุณหมอก็กดโทรศัพท์หาคนที่นัดไว้ ทั้งที่ตอนเลี้ยวออกมาจากโรงพยาบาลถนนโล่งปานนั้น แต่ก็ยังจะปดออกไป..หวังที่จะได้ยินถ้อยคำใดที่พอจะสื่อได้ว่า'มีใจ'ซักนิด
"อืม...ถ้ามาช้า ผมทานหมดก่อนไม่รู้ด้วยนะ" คำตอบที่ได้ยินทำเอาคุณหมอเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา แม้ว่าจะไม่ได้อย่างที่หวัง แต่พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้หัวใจพองโตได้เหมือนกัน
"ถ้าน้องเอิงทานหมด แล้วตอนไปถึงพี่หมอจะทำยังไงล่ะ" ปลายสายเงียบไปซักพัก แต่คนรอฟังชินเสียแล้วเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังนั่งขมวดคิ้วคิดคำตอบอยู่
"งั้น...ผมสั่งแค่ของหวานได้ไหม? ไอติมกะทิร้านนี้อร่อยนะ ผมเคยมากินกับไอ้พวกนั้น" คราวนี้หมอขิมระเบิดหัวเราะออกมาจริงๆ เป็นเสียงหัวเราะของคนที่มีความสุขจนล้นอก ...ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำธรรมดาก็ทำให้อารมณ์ดีได้ขนาดนี้ แม้ไม่ได้หวานแหวว ไม่เอาแต่ใจและออดอ้อน แต่ก็ซื่อตรงกว่าใครๆ
"หัวเราะผมเหรอ?" น้ำเสียงที่ถามกลับเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะทางนี้ยังหัวเราะไม่หยุด
"เปล่าๆ ถ้าน้องเอิงหิวก็สั่งอะไรมาทานก่อนได้เลยนะ.." ปลายสายเงียบไปอีกรอบ คราวนี้หมอขิมกำลังลุ้นอยู่ว่าตัวเองจะโดนโกรธจริงๆหรือเปล่า
"ขับรถระวังๆนะครับ ผมจะรอ" ตื้ดดดดดดดดด.......
ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับหรือพูดอะไรต่อ อีกฝ่ายก็ชิงกดวางสายไปเสียแล้ว หมอขิมทิ้งตัวไปกับเบาะตอนที่รถติดไฟแดง ตอนแรกก็ว่าจะขับช้าๆแบบค่อยๆไป ให้สมกับที่บอกว่ารถติด แต่พอมาได้ยินแบบนี้แล้ว....กำลังคิดว่า...ถ้าคุณหมอนึกอยากจะฝ่าไฟแดงขึ้นมาจะโดนข้อหาหนักไหมนะ!!!
คราวนี้คงไม่ใจดีให้คนอื่นปาดหน้าขอทางอีกแล้ว เพราะจะใส่เกียร์เดินหน้าเต็มตัวแบบไม่มีเบรก เอาให้ไปถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...เพราะรู้ว่ามีใครบางคนกำลังรออยู่นะสิ
======================
หวานน้อยๆ กำลังดี
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ช่วงที่หายไปจำศีล กลับมาเจองานกองเบิ้ม 
(แล้วจะหยุดเพื่อ..?)
ลงจากดอยมา ได้แค่สตอเบอรี่สดๆจากสวนที่ไปเก็บมาเอง มาฝากทุกคน

ไปเยือนดอยครั้งนี้ ได้เรียนรู้ว่า การถ่ายรูปอย่างบ้าคลั่งก็หมดพลังไปเยอะเหมือนกัน 5555