+ G A M E R L O V E R +
แฟนผมเป็นโอตาคุเกมครับ!
14
ไอบรรยากาศมาคุลอยตลบอบอวลจนแทบไม่เหลือพื้นที่ไว้หายใจ ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่เครื่องปรับอากาศเสียฉุกเฉินและยังไม่มีใครว่างพอจะไปโทรตามช่างซ่อม...ความร้อนและความตึงเครียดแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ แม้จะเปิดหน้าต่างกี่บานก็ไม่อาจลดระดับความอึดอัดนี้ลงไปได้
แกรก..แกรก..แกรก... ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงคลิกเม้าส์และการละเลงคีย์บอร์ด มันเป็นเช่นนี้มาร่วมสี่วันแล้ว...ที่จริง...เวลาทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกนักสำหรับออฟฟิศสถาปนิก เพียงแต่....
...ไอ้หัวหน้าทีม...ที่เอาแต่ทำหน้าบูดเป็นตูดกอริลล่าอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ...ที่ทำให้ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะกระดิกตัว...
กระป๋องน้อยกำลังเฝ้าสังเกตการณ์อย่างลับๆ ด้วยโต๊ะทำงานของตนเองหันไปทางทิศของรุ่นพี่จอมโหดนั้นพอดีแล้วด้วย
แล้วก็ไม่มีอะไรจะสุนทรีย์เกินไปกว่าการเพ่งมองเรียวคิ้วของอีกฝ่ายที่ขมวดเข้าหากันแข็งจนเหมือนกับว่า...ไม่ได้คลายมาหลายชั่วโมงแล้ว...
..มันไม่เรียกว่าสุนทรีเท่าไหร่หรอก...จริงๆแล้วน่ะนะ...
พวกเขาทั้งหลายเคยคิดว่าสถานการณ์ 'เปลี่ยนแปลง' ไปบ้างแล้ว...อย่างน้อยพวกเขาก็เห็นคนอย่างข้าวโอ้ตยิ้มบ้างหน้าแดงบ้างให้รู้สึกเหมือนกับว่านั่นไม่ใช่หุ่นยนต์ทำงาน คงไม่ต้องอธิบายสาเหตุว่ามาจากอะไรหรอกนะ....แค่รู้สึกว่า 'น่าคบ' มากขึ้น
...แต่ก็นั่นแหละ ความสนุกมักไม่จีรังนัก
....และถ้าพวกเขาสันนิษฐานไม่ผิด....
…..เพราะเมื่อคืน....ไม่มีเสียงโทรศัพท์มือถือจากที่ไหนดังเลยสักกะพีก... ครืดดดด.... เสียงเลื่อนเก้าอี้ดังสนั่นจนทุกคนในห้องสะดุ้งเฮือกไปตามๆกัน หันไปหาต้นเสียงก็รู้ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน...นอกจากคนจริงจังที่ยอมผ่อนเรียวคิ้วขมวดนั้นอย่างเสียมิได้ ต่อด้วยเสียงเอนหลังเอี๊ยดอ๊าด...กับคำพูดสั้นๆที่ว่า..
“ร้อน" คำเดียวนั่นแหละที่ทำให้ทุกคนลุกพรวดจากเก้าอี้ เมื่อสบตากัน...ทุกคนในที่นั้นก็รู้ได้ถึงสำนวน 'คนพูดไวกว่าได้เปรียบ' ทันที
“งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อกาแฟเย็นๆมาให้พี่โอ้ตนะครับ คาปูชิโน่เนอะ?”
“เดี๋ยวผมไปด้วยดีกว่า ไอติมเสาวรสออกใหม่อร่อยมากๆนะ น่าจะพอดับกระหายได้..เนอะๆ"
“..ชิ ไอ้พวกนี้แย่งงานหมด....งั้นเดี๋ยวกูไปยกพัดลมมาตั้งให้มึงล่ะกัน"
ความเงียบตามมาโดยไม่มีใครกล้าขยับตัว แถมยังอุตส่าห์กลั้นหายใจมองหัวหน้างานที่ยังไม่ละสายตาจากคอมพิวเตอร์ มันใช้เวลาไม่นานนักหรอกก่อนที่เจ้าของร่างผอมบางจะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อพูดคำว่า
“พัก...สิบนาที" ...และทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ 'พักผ่อน' ของตัวเองโดยพลัน
ข้าวโอ้ตถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วยกมือขึ้นมานวดกลางหว่างคิ้วตัวเอง ดวงตากลมโตยิ่งทวีความดุดันขึ้นไปอีกเมื่อบวกกับรอยคล้ำเป็นจ้ำใต้ตา เขารู้ตัวดีว่าพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นยังไง...จริงๆแล้วที่เขาไม่รู้คือ 'การพักผ่อนให้เพียงพอ' มันเป็นอย่างไรเสียมากกว่า
แถมยัง.... ดวงตาคู่นั้นอีกนั่นแหละที่เหลือบไปมองมือถือเจ้ากรรมที่ยังแน่นิ่งอยู่ ไม่มีไฟกระพริบเตือนอะไรเลยสักอย่าง...มันทำให้เขารู้สึกอยากจะคว้ามันมาหักแล้วเขวี้ยงออกนอกหน้าต่างเสียจริง...
...หงุดหงิดเป็นบ้า... ห้าทุ่ม..
..ใช่ ห้าทุ่ม... มันเป็นวันที่เท่าไหร่แล้วที่เขาได้แต่รอให้เวลานั้นมาถึง รอให้รู้ว่าไม่มีใครโทรมา รอไปด้วยทำงานไปด้วยจนถึงเช้า...แล้วก็กลับมารอเวลาเดิมใหม่ เป็นแบบนี้มากี่วันแล้ว..!!
..ไม่สิ...
จริงๆก็แค่สามวัน... ชายหนุ่มรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาโดยพลันที่คิดแบบนั้น แถมยังเกลียดที่ตัวเองอารมณ์เสียด้วยเรื่อง 'ไร้สาระ' แบบนี้
..ก่อนหน้านี้ไม่ได้ติดต่อเป็นอาทิตย์ยังสบายดี..
..พอตอนนี้แค่สามวันจะเป็นบ้าอะไร ทำมาจะเป็นจะตายเพื่ออะไร..
เขาไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกอึดอัดในอกแบบนี้เรียกว่าอะไร มันติดอยู่ที่ปาก..แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก แม้กระทั่งหลับตาลงเพื่อคิดความหมายของมันก็ยังใช้เวลานาน ไอ้จะพักสายตาคลายความเครียดแบบหลับไปเลยยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่...ในสถานการณ์ที่ว้าวุ่นใจแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็...
“...แย่..ชะมัด...” “อะไรแย่?” ...บางที...เขาก็แอบคิดเหมือนกันว่าไอ้สัสนี่จะมาได้ยินอะไรตอนเขารำพึงรำพันตลอดวะ!? “เปล่า" คนถูกถามไหวไหล่ เลื่อนมือขึ้นมาจับเมาส์เหมือนเดิม "ไม่มีอะไรนี่"
โจ้กระพริบตาปริบๆ วางพัดลมเสียบปลั๊กเปิดบริการให้อย่างดี "หรา?”
“......กวนประสาทนะมึงอ่ะ"
ร่างสูงตบบ่าป้าบ “เดี๋ยวปิดโปรเจคRenovateอันนี้ก็สบายแล้วมึง ใจเย็นๆ"
“เออออ รู้แล้วล่ะ"
“มึง..ใจเย็นนะ"
“ใจเย็นอยู่"
“...ตอนนี้มึงเหมือนจะลุกเป็นไฟได้อยู่แล้วว่ะ"
คนตัวเล็กส่งเสียง 'จิ๊' ในลำคอ “ก็...แบบ...ร้อน อากาศมันร้อน...ยังไม่เดือนเมษาเลยมึง"
“เออ กูไปแจ้งแล้วว่าแอร์เสีย พรุ่งนี้ช่างคงมามั้ง..อดทนหน่อยๆ"
“ทนอยู่ว้อย"
“เย็นนี้ไปตากแอร์เซ็นทรัลมะ?" แม้จะเอ่ยชักชวนด้วยความหวังดี แต่คนฟังกลับแยกเขี้ยวใส่
“ไม่!!” “อะไร?” โจ้เลิกคิ้ว "อ้อ งอนที่เมื่อคืนน้องกอล์ฟไม่ได้โทรมาน่ะนะ?”
ข้าวโอ้ตกรอกตา คิดอยู่แล้วว่าจะกลบเกลื่อนต่อไปเพื่อนรักก็อ่านใจออกได้หมดอยู่ดี...เลยได้แต่อ้อมแอ้ม
"ไม่ใช่เมื่อคืน..” “หืม?”
“สามคืนแล้ว...ที่มันไม่โทรมา...” ..เบาจนเหมือนเสียงกระซิบ.. ..ตามมาด้วยเสียงคลิกเมาส์รัวอย่างกับกำลังจะกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน...ที่น่าจะรู้ตัวดีว่าซ่อนยังไงก็ซ่อนไม่มิด..
ดวงตาคู่กลมดุเหมือนจะเจือด้วยน้ำใสจางๆแต่เจ้าของก็ทำให้มันหายไปอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายตรงที่โจ้เองก็เป็นคนสายตาดีมิใช่น้อย รายละเอียดพวกนั้นเก็บได้เต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว...แถมยังฉลาดพอที่จะตีความต่อได้ว่าอะไรเป็นอะไร
“แล้วติดต่อกันบ้างรึเปล่า?”
คนถูกถามโคลงศีรษะ "เปล่า"
“ได้ทักไปรึเปล่า ไลน์ล่ะ?”
เพื่อนรักหลุบตาลง "ไม่"
“อ้าว ทำไมล่ะ?”
“ใครจะกล้าวะ....”
“ทำไมอ่ะ? อย่างมึงเนี่ยนะจะไม่กล้า?”
“ก-ก็..ก็มันต้องติดต่อมาสิวะ ปกติก็ติดต่อมาก่อน..." คนพูดเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุดจะตะกุกตะกัก "...จู่ๆ..ห-หายไปแบบนี้ควายยังรู้เลยว่ามีอะไรผิดปกติ!! ล..แล้วแบบนั้น..!! ใครมันจะกล้า.....เอ่อ....กล้า....”
“เออ" เพื่อนรักยกมือ
"ควายยังรู้เลยว่ามึง 'คิดถึง' เขา"
เท่านั้นแหละคู่สนทนาตาโตอ้าปากแว้ดทันที
“ไอ้บ้า!” “อะฮร้าาา มึงพลาดแล้วไอ้สัสโอ๊ต!”
“ไอ้เชรี้ยนี่! กูไม่ได้....”
“ไม่ต้องมาปากแข็ง เขินก็บอก...”
“กู........!!!!”
เสียงที่พยายามจะแก้ต่างทั้งหลายแหล่กลืนหายลงไปในลำคอ ยิ่งเมื่อคู่สนทนาเผลอนิ่งทำท่าตั้งใจฟังแบบนั้นยิ่งพาลให้ดวงหน้าขาวเปลี่ยนมาขึ้นสีจัด ก่อนจะก้มหน้าหลบทันทีที่รู้ว่าไอร้อนพวกนั้นไม่ชอบมาพากลสิ้นดี
โจ้คิดได้ว่าทุกอย่างที่เงียบลงไปนั้นมันกำกวมนัก และในฐานะแบบนี้เขาเองเนี่ยแหละที่ต้องกลบเกลื่อน
“...งั้นกูไปทำงาน....”
หมับ! มือเรียวผอมกระชากชายเสื้ออีกฝ่ายไว้ทัน ชายหนุ่มร่างสูงหันกลับมามองอีกครั้งเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ
ข้าวโอ้ตก้มหน้าลงไม่พอ ยังเบนสายตาหนีไปอีกทางอย่างเห็นพิรุธ...กลีบปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยแล้วหุบลงครั้งหนึ่ง...ทั้งไหล่และมือสั่นระริกคล้ายกับไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำอยู่สักเท่าไหร่ แต่มันก็ใช้เวลาไม่นานที่คนหัวแข็งจะสลัดความลังเล แล้วกระซิบเสียงเบาที่สุดเท่าที่เคยทำมาก่อนในชีวิต...
“...แล้วถ้า 'คิดถึง' จริงๆ.....ต้องทำยังไง?”+ G A M E R L O V E R +
ตรู๊ดดดด ตรู๊ดดดดดดด....
มันไม่นานหรอก...ไม่นานเลยก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสาย แต่คนที่โทรไปน่ะ 'ใกล้ตาย' เต็มทน
ปิ๊บ ((ว่าไงเพื่อนรัก ยังไม่ตายอีกเรอะ?))
ปลายสายยังปากคอเลาะร้ายเหมือนเดิม..แถมยังหยอกเล่นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะไม่ได้มีท่าทีจริงจัง กอล์ฟรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง และที่จริงเขาก็ไม่เคยคิดมากกับคำล้อเล่นแบบนั้นสักครั้ง
((เป็นไงบ้างวะมึง หายหัวไปนานเลยนะ...เฟสบ๊งเฟสบุ๊คก็ไม่ออน ไลน์ไปก็ไม่ตอบ...ห้องเรานัดเลี้ยงวันเสาร์นี้อ่ะมึงเห็นบ้างป่ะ ร้านประจำที่เคยไปกินกันนั่นแหละ บอกมึงไว้ก่อนยังไงกูกับดอยก็ไปรับมึงที่บ้านอยู่ล่ะ ไอ้ดอยเพิ่งไปสอบใบขับขี่มาซะด้วยต้องใช้งานมันให้เละ อย่าว่าแหละ...รถเพื่อนเท่ากับแท๊กซี่ มึงคิดเหมือนกันป่ะ? ฮ่าๆๆๆ))
เด็กหนุ่มยังคงยิ้มกว้างฟังคำทักทายพล่ามยาวแบบนั้น เขาอยากจะใช้อะไรสักอย่างตักตวงความอารมณ์ดีของเพื่อนรักมาแปะไว้กับตัวเสียเหลือเกิน..
มันคงจะประหลาดถ้าหากคนโทรไปไม่เริ่มพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาเองก็ไม่สันทัดด้านนี้ จึงได้แต่เรียก
“คิม"
((เออ จริงด้วย มีอะไรล่ะพ่อหนุ่ม?))
อีกฝ่ายหยุดพล่ามเพื่อตอบรับทันควัน กอล์ฟยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าเพื่อนรักจอมทะเล้นที่คาดว่ากำลังเท้าสะเอวทำท่าเหมือนกระเทยสาวอยู่เป็นแน่
“เวลาอกหัก...ต้องทำยังไงวะ?” ...เงียบ... แต่น่าแปลก...ความเงียบที่เกิดขึ้นมันทำให้กอล์ฟรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าและถอนออก รู้สึกได้ว่าที่ตัวเองยิ้มไปเมื่อครู่ไม่ได้มีความน่าอายอะไรเลย เขาไม่ถนัดสื่ออารมณ์นัก...และการจะทำให้คนอื่นรู้ว่าตนเสียใจนั่นแหละงานช้าง
ในที่สุด..ปลายสายก็พูด...
((...เวลาคุยกับมึงนี่กูตั้งตัวไม่ทันทุกที เกริ่นนำอะไรหน่อยไม่ได้รึไงวะ?))
“ฮะๆ 'โทษที"
((ยังจะมาขำ กูไม่ขำตามด้วยนะไอ้สัส))
“อืม" กอล์ฟปรือตาลง "กูรู้"
คิมรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก ((...แล้วเป็นไงมาไง? ถ้ายาวเดี๋ยววันนี้กูไปค้างมะ?))
“ไม่เป็นไรหรอก กูแค่อึดอัด"
((เล่าให้ฟังบ้างก็ดี กูอยากเสือก))
“ฮะๆ ไม่มีอะไรหรอก"
((เจอกันที่ไหนล่ะ?))
“...เซ็นทรัล" ((กูว่าล่ะ)) เพื่อนรักดีดนิ้วเป๊าะ ((แล้วไปทำอีท่าไหน เขาสลัดรักมึงเหรอ?))
“เปล่า แค่...แบบ...”
((แบบ? แบบอะไรวะ!?))
“ก็ไม่มีอะไร....”
ก็รู้อยู่หรอกนะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนช่างพูด แต่พอได้ฟังคำเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ปลายสายเองก็ชักหงุดหงิด
((มึงเอาเบอร์เค้ามา เดี๋ยวกูโทรไปถามเอง))
“ฮะๆ ขำนะมึง"
((งั้นมึงก็รีบเล่าสิวะ กูลุ้นจนตับปลิ้นอยู่แล้วเนี่ย!!))
“ไม่มีอะไร มึงก็เคยเจอเค้าแล้วไง"
คำตอบที่ทำเอาฉงนหนักกว่าเดิม ((หา? คนไหน?))
กอล์ฟยิ้ม เจ้าตัวรู้ดีอยู่แล้วว่าเพื่อนรักคนนี้ไม่มีทางตามทัน...อันที่จริง...ไม่มีใครเคยตามเขาทันเสียมากกว่า
“พี่โอ้ตอ่ะ ที่ตีกลองด้วยกันอ่ะ...จำได้ป่ะ?" ...เงียบ...
คราวนี้...สงัดยิ่งกว่าเดิมนัก... คนพูดนึกทบทวนประโยคเมื่อครู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากที่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเบลอสิ้นดี หรือบางทีที่เอื้อนเอ่ยออกไปอาจไม่กระจ่างแก่ใจนัก? แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามไอ้ที่ระลึกได้ไม่ใช่อะไรนอกจากประโยคที่ว่า 'กูไม่น่าพูดอย่างนั้นหรือ?'
แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่ใช่คนที่จะสาธยายความยาวเหยียด หรือบางที..เขาแค่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจากประโยคเดิมมากกว่า จึงได้แต่คิดทบทวนอีกครั้งว่าจะเพิ่มประโยคไหนลงไปเป็นรูปบริบทดี....
((เดี๋ยวนะ...))
ไม่ต้องอะไรมาก..สุดท้ายคิมก็เป็นคนค้านขึ้นมาก่อน
((พี่โอ้ตเนี่ย...เป็นผู้ชาย...ใช่มั้ย?))
“อื้ม" กอล์ฟไม่เห็นข้อดีของการเฉไฉ "ใช่"
((…....ขอเวลาแปปนึง)) แน่นอน กอล์ฟชอบรอ
และมันเป็นการรอที่ไม่นานนักหรอก เสียงหัวใจดังโครมครามอยู่เพียงไม่กี่ทีเท่านั้นที่ปลายสายพูดต่อ
((กูจำหน้าพี่เค้าไม่ค่อยได้ แต่...เค้าไม่ได้แบบ...ออกแนวตุ๊ดเลยนะเว้ย...?))
คนฟังเลิกคิ้ว "ใช่ พี่เค้าไม่ใช่ตุ๊ดไง"
((…...มึงก็ดูไม่ใช่ตุ๊ดนี่....? เอ๊ะ? หรือกู.....))
“ฮะๆๆ พอเลยคิม...กูก็ไม่ใช่"
((อ้อออออ)) เจ้าของนามลากเสียงยาวเหยียด ((เดี๋ยวนะ กูพอเข้าใจละ...ไอ้เรื่องระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเนี่ยไม่จำเป็นต้องมีใครคนใดคนนึงเป็นตุ๊ดเสมอใช่ป่ะ?))
“หืม? เรื่องนั้นกูไม่รู้ว่ะ...แต่กูกับเค้าคงไม่ใช่แบบนั้นด้วยกันทั้งคู่อ่ะ"
((กูคงสับสนเอง แล้วไงต่อ?))
“อะไร?”
((ก็แล้วไงต่อไง? วุ้ว เรื่องมึงกะเค้าน่ะ))
คู่สนทนาฉีกยิ้มขึ้นมานิดหน่อย แต่เดิมเคยคิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาในการทำใจพอสมควร แต่เขาก็ไม่ได้ใช้เวลารอนานอย่างที่คิด...หรืออันที่จริง...สันดานเสือกมันดันออกมาก่อนศีลธรรมน่ะนะ...น้ำเสียงดันกระตือรือร้นจนน่าหัวเราะขนาดนั้น
“ก็...ไม่มีอะไรหรอก...”
((ไม่มีอะไรแล้วมึงอกหักได้ไงวะ?))
“ก็แบบ...กูก็พยายามจีบเค้าไง แต่กูก็จีบใครไม่เก่งเท่าไหร่...มันก็เลย....เอ่อ....อาจจะเพราะว่าเค้ารับไม่ได้เรื่องผู้ชายกับผู้ชายล่ะมั้ง? มึงคิดว่าไงอ่ะ ไม่รู้ดิ เค้าก็แก่กว่า อาจจะรำคาญเด็กๆแบบกูก็ได้....”
((เค้าบอกมึงรึไง?))
“ก็เปล่า...”
((แล้วเค้าทำอะไร?))
“ก็...เปล่า...”
((กอล์ฟ กูพูดตรงๆนะ)) ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจ มันทำให้คนฟังกระพริบตาปริบๆ
((มึงแค่ 'ท้อ' ….แต่ยังไม่ได้อกหักเฟ้ย!! จะหงอเหี้ยไรของมึงเนี่ย!?!)) ปิ๊บ ปิ๊บ ไวทันตาเห็น
สิ้นประโยคมือถือในมือก็สั่นมาครืดหนึ่ง พอก้มดูถึงได้รู้ว่ามีสายซ้อน
...และ...ไม่ใช่ใครเลย... เด็กหนุ่มดูแล้วดูอีก มองแล้วมองอีก..ให้แน่ใจว่าตาตัวเองไม่ได้ฝาด ตลอดสามวันที่เขาไม่ได้ติดต่อไป..อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทางจะติดต่อกลับมา และถึงจะพูดว่าไม่ได้คาดหวัง...แต่พออยู่ในสถานการณ์แบบนั้นก็อดที่จะใจเต้นรัวไม่ได้ กว่าจะรุ้ตัวอีกทีภาพหน้าจอวาดะคัตสึก็หายไปเสียแล้ว
“..คิม"
((อะไร?))
“พี่เค้าโทรมาว่ะ"
((ห๊ะ ก็รับดิวะ!!))
“....เค้าวางไปแล้ว"
((โทรกลับสิเฟ้ย โทรกลับ!! กูวางก่อน..เรื่องเป็นยังไงบอกกูด้วยนะ!!))
“อ-อื้อ"
((แค่นี้ โชคดีเว้ยเพื่อน!))
ปิ๊บ โชคดี โชคดี
โอย พระเจ้า...ตื่นเต้นยิ่งกว่าทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกเว้ยเฮ้ย! หลังจากวางสาย กอล์ฟรีบโทรหาสายไม่ได้รับทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรอง เขาไม่รู้ถึงเหตุผลหรอก...แต่เดิมแล้วเวลาเขาโทรหาคนๆนี้ เขาแทบไม่ต้องเสียเวลารอที่อีกฝ่ายจะรับสายเลยด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้เสียงสัญญาณรอสายช่างยาวนานเหลือเกิน และดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดไปเอง
'...กรุณาฝากข้อความหลังจากได้ยินสัญญาณ.....' ปิ๊บ
เขากดวางก่อนที่คำกล่าวของโอเปอร์เรเตอร์คนเดิมๆจะจบด้วยซ้ำ
..ทำไมล่ะ? คำตอบ..เหตุผลดังกล่าวคงไม่ใช่อะไรนอกเหนือไปจากเรื่องที่ว่า..
งอนชัวร์.. น่าแปลกที่เขากลับไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยสักเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึก กอล์ฟยิ้ม..หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขารอนาน...แต่ไม่นานเท่าครั้งก่อน...
((ปิ๊บ))
((…..........))
“.........?”
...เอาล่ะ...อย่างน้อยๆเขาก็ได้ยินเสียงกดรับสายล่ะวะ...
ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจด้วยซ้ำ อีกฝ่ายเผลอกดรับสายหรือระวังตัวอยู่ก็ไม่ทราบ แต่การกระทำนั้นทำให้คนโทรปากแข็งขึ้นมาดื้อๆ ร่างสูงลุกขึ้นยืนโดยไม่ทราบสาเหตุ...อ้าปาก กำลังพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง...แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกไปจากคำคลาสสิคที่ว่า..
“ฮัลโหล?” ..ช่างเป็นคำพูดที่ไม่เท่เอาซะเลย.. เด็กหนุ่มอยากจะเอาหัวโขกฝาตายอยู่ตรงนั้น เขาเป็นเด็กอายุจะ18 ที่ค่อนข้างเก็บตัวและติดเกม..ไม่มีเสน่ห์ทั้งด้านการพูดการจาหรือรูปร่างหน้าตา แถมยังขยันทำตัวเห่ยแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายมาประทับใจได้ยังไง!? ถ้าเป็นไปได้...ไอ้คำรับโทรศัพท์ว่า 'ฮัลโหล' น่ะ...แม่งควรจะเก็บเข้าลิ้นชักให้สิ้น!!
“...สวัสดีครับ" ..อืม..ค่อยเข้าท่าหน่อย.. แต่นั่นดูจะไม่เข้าท่าเท่าไหร่ถ้าอีกฝ่ายยังเงียบอยู่แบบนี้น่ะสิ...
((….......))
“...พี่โอ้ต?”
((เมื่อกี้คุยกับใคร?)) ...ชะงัก คำทักแรกด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิดนิดๆ..และเสือกเป็นคำถามออกมาขนาดนี้ไม่น่าแปลกเลยที่คนฟังจะตะลึงไปเล็กน้อย
“ครับ?”
((พี่ถามว่าเมื่อกี้คุยกะใคร!?))
น้ำเสียงที่ดังขึ้นจนเกือบเรียกได้ว่าตะคอนั้นยิ่งทวีความงุนงงมากขึ้นไปอีก
และกอล์ฟไม่เสียเวลาทำให้อีกฝ่ายคลางใจ "คิมครับ เพื่อน...ชื่อคิม"
((คนไหน?))
..ความสามารถในการจำชื่อและหน้าของอีกฝ่ายค่อนข้างต่ำ และเขารู้ดี..
“คิม...เอ่อ..เพื่อนที่โรงเรียน พี่โอ้ตเองก็น่าจะเคยเห็นครับ ถามพี่โจ้ก็ได้ พี่โจ้ก็รู้จัก"
((อ้อ)) คู่สนทนารับคำสั้นๆ ((ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ?))
คนฟังเลิกคิ้ว "ผู้ชาย...ครับ"
((ทำไมตอบตะกุกตะกักแบบนั้น!?!))
“เอ๊ะ? เปล่าครับ? แล้วพี่โอ้ตถามทำไม........”
((อะไร? อะไรเล่า!?)) อีกฝ่ายยิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก ((ก็แค่คิดว่าแกโทรคุยกับเพื่อนคนอื่นแล้วใช่มั้ย? ไม่ต้องโทรหาพี่แล้วใช่ป่ะ? ก็ขอโทษแล้วกันที่โทรไปรบกวน ไม่ได้อยากโทรนักหรอก แค่...แค่....))
..โอ..ให้ตายเถอะ..........
..ทั้งๆที่เป็นประโยคประชด..แต่ทำไมคำพูดคำจามันช่างน่ารักอะไรขนาดนี้....!? "พี่โอ้ต......"
((อะไร?))
“...รอสายผมอยู่...อย่างนั้นเหรอครับ..?” ((…......))
เงียบ..อะเกน.. ..แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มกลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นเรื่อยๆ เขาเหลือบสายตาหันไปมองตัวเองในกระจก..และรู้ว่าไม่ได้อยู่ในสภาพที่แย่อะไรมากนักพร้อมออกจากบ้านได้ทุกเมื่อ วินาทีนั้นเขาอยากจะวิ่งออกไปถึงออฟฟิศของอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก่อนหน้านั้น...
“พี่โอ้ตยังอยู่ที่ออฟฟิศรึเปล่าครับ?”
((เปล่า))
เกือบแป้ก แต่ไม่เป็นไร..ยังกู้หน้าได้อยู่ "แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ?”
((บนรถ))
“เอ๊ะ ขับรถอยู่เหรอครับ?”
((ก็เออดิ))
“จะไปไหนรึเปล่าครับ?.....”
((…......ขับรถเล่นมั้งไอ้สัส))
“เปล่าคือ...ผมแค่จะถามว่าพี่โอ้ตทำงานอยู่รึเปล่าครับ?”
((ก็บอกว่าขับรถไง))
..อ้อมค้อมแบบนี้ไม่ใช่งานถนัดเอาซะเลย.. “ผมจะไปหา" กอล์ฟพูด รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาดื้อๆ
“บอกได้มั้ยครับว่าจะไปไหน?” ((….......))
มันเป็นความเงียบ...ความเงียบที่ยิ่งทวีความอึดอัดในอกอย่างน่าประหลาด
ระหว่างรอกอล์ฟก็เดินไปหยิบกระเป๋าเงินเก็บใส่กระเป๋ากางเกง เปิดประตูออกมาจากห้องนอนแล้วสาวเท้าทั่กๆลงบันได เขาแทบจะทนรอให้อีกฝ่ายตอบไม่ไหวด้วยซ้ำ
แต่ยังไม่ทันที่ร่างสูงโปร่งจะก้าวถึงบันไดขั้นสุดท้าย
ปลายสายกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คล้ายกับการพึมพำมากกว่าคำถาม..
((แล้วบ้านแก...อยู่ตรงไหนล่ะ?))TBC======================
อร๊ากกกก กดพลาดไปรอบนึง อย่าเพิ่งอ่านกันนะ!!

รู้สึกอับอายเหลือแสน จนลืมไปแล้วสิ้นว่าจะทอล์คอะไร... /ทรุด/
พูดเรื่องเรื่องนี้กันดีกว่า!
เกมเมอร์เลิฟเวอร์ หรือ #GMLV (ที่เห็นแทคบ่อยๆในทวีตเตอร์นั้น...) เป็นนิยายที่ถูกเขียนขึ้นมาจากจิตวิญญาณล้วนๆค่ะ
((ซึ่งหลายคนคงทราบดี...ในอดีตโอนั้นเกรียนเกมอย่างมหันต์...เฉพาะเกมตู้ด้วยนะ!!))
เลยแบบไม่ได้คิดเรื่องดราม่งดราม่า ไม่ได้คิดความเข้มข้นเลย
เอาให้หวานจนตัวบิดกันไปข้างเลยอ่ะ จริงๆนะ เหมือนเป็นเรื่องแห่งความฝัน 555555
//ซึ่งแน่นอนว่าอิฉันโคตรพ่อโคตรแม่ชอบเรื่องแบบนี้เลยเค่อะ

เอ้อ จะบอกว่าอีกไม่นานก็จะจบแล้วนะคะ
แต่แน่นอนว่าตอนพิเศษนี่อื้อเลย -_-'' แบบว่าโมเม้นต์คู่นี้มันเหมาะกับเขียนตอนแถมมากกว่าเรื่องหลัก
#ความไม่มีดราม่ามันชวนให้เป็นอย่างงี้นี่เอง
เขียนดราม่ามาเยอะแล้ว เพลาๆบ้างเนอะ >3< แอบโฆษณานิดนึงว่าเทียนไขอักษร(ปรารถนารักฯ)ตอนนี้กำลังเข้มข้นเลยจ้ะ 5555
<<<<แต่ก็ไม่ได้อัพมานานแล้วเช่นกัน...
ดองนิยาย คือ ความสามารถพิเศษ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ

ozaka*

ปล. สิวขึ้นในจมูก เจ็บมาก เจ็บมากๆ ใครเป็นบ้าง -..-'''
ปล2. อีโมให้น่ารักมาก อดใจไม่ใช้ไม่ได้แว้วววว
