+ G A M E R L O V E R +
แฟนผมเป็นโอตาคุเกมครับ!
11
มันเป็นความเงียบเนิ่นนานที่คนพูดแทบจะหยุดหายใจ กอล์ฟยังคงรอ...รอให้อีกฝ่ายโต้ตอบอะไรกลับมา รอด้วยความสงบใจอย่างน่าเหลือเชื่อ...แต่เป้าหมายก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากก้มหน้าก้มตาพิจารณาหาเศษเหรียญบนพื้น จนบุคคลที่สามที่เป็นคนนัดหมายเริ่มหงุดหงิดและรู้งานขึ้นมาเอง
“...โอเค งั้นน้องกอล์ฟคุยกับมันไปก่อนนะเดี๋ยวพี่รออยู่ตรง.....” หมับ.. การเคลื่อนไหวไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับชายเสื้อคนพูดไว้ แต่เพราะมันเป็นการขยับตัวครั้งแรกล่ะมั้งที่ทำให้ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้งหนึ่ง บางสิ่งทำให้กอล์ฟรู้สึกอึดอัดในอก...และเขารู้ดีว่ามันคืออะไร ยิ่งเมื่ออีกสองคนตรงหน้าหันมามองหน้ากันอย่างสื่อความหมาย ก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปเอง
“...ไม่ดีมั้ง...” โจ้เป็นฝ่ายพูดก่อน
...ขณะที่คนฟังพยักหน้าสองทีไม่เปิดโอกาสให้ได้เถียงเพิ่มเติม
ชายหนุ่มร่างสูงหันมายิ้มแหยๆให้คนอายุน้อยกว่า แล้วผายมือดันเพื่อนรักให้ขึ้นไปด้านหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว ข้าวโอ้ตอ้าปากจะพูดอะไรอีกสักครั้งหนึ่ง...แต่พอสบตากัน ก็หุบปากฉับ...ก้มหน้างุดๆเหมือนเดิม
เมื่อเห็นท่าทีดังกล่าว เพื่อนรักเองก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ชอบมาพากล
“...งั้น..งั้นกูยืนเงียบๆอยู่ตรงนี้ล่ะกัน ใจเย็นๆนะ ทั้งคู่เลย..."
ข้าวโอ้ตพยักหน้ารับ กลับกัน..เด็กหนุ่มกลับโคลงศีรษะช้าๆ
“จะให้ผมพูดตรงนี้เหรอครับ?” เท่านั้นแหละคนฟังถึงกับเงยหน้าถลึงตาแยกเขี้ยวใส่ แล้วกดเสียงแหบ "อย่าพูดอะไรบ้าๆนะ”
เพียงแค่ประโยคที่ดูเหมือนจะเป็นคำขู่แบบนั้นถูกเอ่ยออกมา กอล์ฟก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มยินดี...อย่างไรเสียคนตรงหน้าก็ยอมปริปากออกมาแล้วถึงแม้จะอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดก็ตาม
แม้จะรู้ดีว่าทำแบบนั้นคงจะเป็นการกวนโทสะไปเปล่าๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะ...
“อะไรล่ะครับที่เรียกว่าบ้า"
“แก...!” ข้าวโอ้ตขึ้นเสียงออกมาอย่างเหลืออด "ก-ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึไงว่าเรื่องอะไร!?”
คู่สนทนาไหวไหล่ง่ายๆด้วยรอยยิ้มกว้าง "ทั้งๆที่พี่โอ้ตรู้อยู่แล้วแต่ก็จะให้คนอื่นอยู่ด้วยงั้นเหรอครับ?”
สิ้นคำคนฟังเม้มปากฉับ ดวงตาคู่นั้นดูมีแววลังเลใจอยู่ไม่น้อย..หลังจากใช้เวลาหนึ่งชั่วอึดใจเพื่อพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าก็หันไปมองเพื่อนรัก
“มึง...ไปรออยู่ไกลๆหน่อยดิ๊" “กูเหรอ? เออ...ก็ได้ ว่าแต่กูเป็น
'คนอื่น' ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ....”
แม้จะพูดเสียงเบาท้ายประโยคก็อดจะค่อนแคะเล็กน้อยไม่ได้ เด็กหนุ่มนึกอยากจะยกมือไหว้เป็นเชิงขอโทษสักหน่อยแต่คนคัวเล็กที่สุดกลับพูดขึ้นมาก่อน
“...ไม่ต้องไปไกลมากนะ...” “มึงจะกลัวเหี้ยอะไรวะ กูอยู่ตรงนั้นนะ หน้าร้านการ์ตูน"
“อื้อ"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย นึกอยากจะวิ่งไปร่ำเรียนวิชาอ่านปากจากสำนักไหนสักแห่งให้รู้แล้วรู้รอด กอล์ฟผงกศีรษะให้โจ้หนึ่งครั้งตอนที่เดินสวนกัน และนั่นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นคงไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก และเขาก็ไม่ควรเสือกไปมากกว่านี้
ทั้งสองคนที่เหลืออยู่มองตามแผ่นหลังกว้างจนหยุดยืนอยู่ตำแหน่งที่รายงานเมื่อครู่ ร่างสูงที่เดินไปถึงตำแหน่งดังกล่าวหันมาโบกไม้โบกมือให้หนึ่งหน คนหนึ่งมีแววตาพึงพอใจ ส่วนอีกคนทำหน้าคล้ายกับนักโทษประหารมองญาติสนิทเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายอย่างไรชอบกล
แต่เมื่อเด็กหนุ่มหันกลับมามองที่ตนเอง เจ้าของร่างผอมบางถึงกับสะดุ้งถอยหลังไปก้าวใหญ่ๆ แล้วตัดบท
“ม-มีอะไรก็รีบพูดมา" “ผมชอบพี่" จ๊าดง่าววววววว...!! เท่านั้นแหละคนฟังแทบอยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายตรงนั้น ลงทัณฐ์ที่เสือกพลั้งปากสั่งให้มันพูดอย่างตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม...และความผิดก็ตกอยู่ที่คนที่หน้าขึ้นสีระเรื่อนี่เนี่ยแหละ
ชายหนุ่มคิดผิดที่ตัวเองใจแข็งไม่หลบตา แต่ก็ปากค้างจนพูดไม่ออกเช่นกัน
คนมองอารมณ์ดีกับท่าทางแบบนั้น
“ให้ผมจีบพี่อย่างตรงไปตรงมาสักทีเถอะครับ" ...นี่มึงจะบอกว่ายังไม่ 'ตรงไปตรงมา' อีกรึไงวะ!?! คนฟังคิดอย่างคับแค้นใจ แถมไอ้อาการหายใจหายคอไม่ค่อยออกแบบนี้มันชวนหงุดหงิดชะมัด..หงุดหงิดที่ว่าตัวเองเผลอหวั่นไหวไปกับคำพูดทื่อๆแบบนั้นน่ะแหละ
..ลูกตรงแบบนี้มันไม่อาจปัดทิ้งได้ ถ้าจะป้องกันมีทางเดียวคือตั้งรับเต็มพลัง..
นี่เป็นหนึ่งในทริคการเล่นของผู้รักษาประตู(หลัง)..! เขาสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อตอบกลับไปว่า
“ไม่" “ทำไม......”
“อยากให้กูพล่ามใช่มั้ย ได้!”
..หนทางที่จะหนีต่อไป..ไม่มีอีกแล้ว.. ข้าวโอ้ตรู้ความจริงข้อนั้น และแม้ว่าตนจะอึดอัดในอกหรือตื่นเต้นมากน้อยแค่ไหนแต่มันก็คงจะ 'หนี' ไปไม่ได้ตลอด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งเพื่อพยายามคุมสติและจังหวะหัวใจ ก่อนที่จะปล่อยให้อะไรๆเตลิดไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบก็ควรตั้งมั่นใน 'ความเป็นตัวเอง' เอาไว้ก่อน
ร่างตัวเล็กกว่าเดินนำไปนั่งที่เก้าอี้เกมขับรถด้วยท่าทางที่จงใจให้สง่างามสมชายชาติทหารที่สุด อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็นึกขัน แต่ก็ทำได้แค่เดินตามไปนั่งเครื่องข้างๆ
ชายหนุ่มเคาะนิ้วกับพวงมาลัย2-3ครั้ง ดวงตากลมกรอกไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าคล้ายกับกำลังใช้สมาธิ..ก่อนจะอธิบาย
“ข้อแรก....เป็นประเด็นที่ค่อนข้างจะ..เอ่อ..สำคัญมาก ถึงแม้สมัยนี้เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วแต่กูก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ แกเป็นผู้ชาย พี่ก็เป็นผู้ชาย...เข้าใจตรงนี้มั้ย?"
กอล์ฟยิ้ม พยักหน้ารับ "ครับ"
"ข้อสอง....อายุ ใช่ เรื่องอายุมาก่อนเลย แกยังไม่บรรลุนิติภาวะ เรื่องแบบนี้ไม่คิดว่ามันเร็วไปหน่อยหรือ? ที่จะหาแฟนหรือเอ่อ...คู่ชีวิตทั้งๆที่ยังหางานทำไม่ได้น่ะ”
"ครับ" กอล์ฟยังคงยิ้มอยู่
และนั่นทำให้คนพูดต้องเบนสายตาไปมองที่จอมอนิเตอร์แทนแก้เขิน
“ข้อสาม...พี่เป็นสถาปนิก...อื้ม แกคงเคยได้ยินมาบ้างแต่ก็ขอบอกให้รู้นะว่าพี่ไม่ค่อยมีเวลาว่างเท่าไหร่ งานมันเยอะต้องโต้รุ่งบ่อย บางทีอาจจะไม่ได้ออกจากออฟฟิศเป็นอาทิตย์ๆเพราะงั้นเลยยังไม่คิดจะหาแฟน...เพราะไม่มีเวลา"
“ครับ ผมรู้"
...ทำไม...ถึงไม่เถียงเลยสักคำกันนะ... นี่เป็นอีกครั้งที่คนพูดเป็นฝ่ายหงุดหงิดใจแทน แต่ก็พล่ามต่อไป
"ข้อสี่...ที่จริงเรายังไม่รู้จักกันดีพอนะ จะมาบอกช่งบอกชอบได้ยังไง แค่มีงานอดิเรกเหมือนกันเท่านั้นเอง"
“ครับ ใช่"
“...รู้แล้วยังยืนยันคำเดิมอยู่อีกรึเปล่า?”
กอล์ฟยิ้มกว้าง "จบแล้วเหรอครับ?”
“ยังว้อย!!”
“งั้นต่อเลยครับ ผมฟังอยู่"
..ทำไมถึงกวนเส้นประสาทได้ขนาดนี้วะเนี่ยยยย!?!?!... "ข้อห้า!!” ครั้งนี้คนพูดกระแทกเสียงดังฟังชัด “....มึงยังเป็นวัยรุ่น ยังเด็กอยู่มาก...ตอนนี้อาจจะแค่สับสนหรืออะไรเทือกนั้นกูเข้าใจนะ เราสองคนเป็น...เอ่อ...คนเล่นเกมเหมือนๆกัน โอตาคุเกมแบบนี้มันไม่ค่อยมีใครผ่านเข้ามาอยู่แล้วเพราะฉะนั้น....อาจจะแค่...
เหงา ….เอ่อ..อารมณ์วัยรุ่นมันพาไปหรืออะไรเทือกนั้น......”
“พี่โอ้ตครับ" น้ำเสียงอีกฝ่ายที่สอดเข้ามากลางคันทำให้เขาต้องเว้นระยะฟัง
ดวงตาคู่นั้นมองตรงมา และมีพลังมหาศาลจนเขาไม่อาจหลบตาได้
“ถ้าผมแค่ 'สับสน' หรือ 'เหงา' ล่ะก็...ผมจะจีบใครก็ได้ครับ....ที่ไม่ใช่พี่" ..อึก.. นอกจากอาการชะงักแล้ว..ความหมายที่ลึกซึ้งของมันทำให้คนฟังเริ่มหายใจติดขัดอีกครั้ง ดวงหน้าขาวร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆกับคำนั้น เขารู้ว่าที่เป็นอยู่มันคืออะไร...และใช้พลังงานทั้งหมดในการหักห้ามมัน
และเมื่อไม่เห็นว่าข้าวโอ้ตจะพูดอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็ยิ้มรับ
“ข้อหนึ่ง...ผมคิดว่าผมคงไม่แปลงเพศ...ดังนั้นก็ทนๆไปก่อนจนกว่าพี่โอ้ตจะยอมไปยันฮีก็แล้วกันครับ"
“ห๊ะ!?”
“ข้อสอง...ผมคิดว่าอายุไม่ใช่ระยะห่าง แต่ผมตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียนแล้วหางานดีๆทำ สัญญาแบบนี้ใช้ได้มั้ยครับ?”
“....อะไรนะ!?”
“ข้อสาม....เรื่องไม่มีเวลาน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชอบรอ...นานแค่ไหน อาทิตย์ สองอาทิตย์ เป็นเดือนหรือมากกว่านั้น...เพียงแค่พี่โอ้ตบอกว่าจะ 'มา' ...ผมก็จะ 'รอ'"
ดวงตาคู่นั้นปรือสบ มันทำให้คนมองต้องโวยวายโดยพลัน
“ม-...มันใช่ประเด็นที่ไหนกันล่ะโว้ยย!?”
“ข้อสี่!" ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจกระแทกเสียงเลียนแบบ แถมด้วยรอยยิ้มตามสไตล์แบบนั้นอีก!?
“ผมชื่อ
'กอล์ฟ' ครับ
'คมพิพรรธน์ วราติกุล' อายุจะ18แล้ว...เกิดวันที่6มิถุนา กรุ๊ปเลือดO โรงเรียนกับมหา'ลัยพี่โอ้ตรู้อยู่แล้ว บ้านอยู่ถัดจากเซ็นทรัลไปแค่สองซอย พ่อกับแม่เป็นนักการฑูต ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี มีพี่น้องสามคนผมเป็นลูกคนสุดท้อง พี่สาวพี่ชายอย่างละคน...ทำงานด้านกฏหมายทั้งคู่ งานอดิเรกคือเล่นเกม งานถนัดคือเล่นเกม วิชาที่ชอบฟิสิกส์กับคณิต วิชาที่ไม่ชอบคือศิลปะ เกรดเฉลี่ย3.68 โดนวิชารองฉุดลงไปซะเยอะ แล้วก็.....”
“หยุดดดด!!!” “ครับ?”
“พูดอะไรของแกวะ?”
“อ้าว ก็เห็นพี่โอ้ตบอกว่ายังไม่รู้จักผมดีพอผมก็เลย....”
ถ้าแค่ฟังประโยคพูดยังไม่รู้สึกกวนประสาทมากมายเท่าไหร่ แต่ถ้ามาได้มองหน้าเป็นๆซื่อๆของมันไม่ว่าใครก็คงต้องหงุดหงิดเป็นแน่ ชายหนุ่มทุบพวงมาลัยปึงๆคล้ายกับจะเป็นบ้า แล้วว่า
“ไม่ต้องมาประชดเลยไอ้บ้านี่ หมายความอย่างนั้นที่ไหนฟะ....แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันหมายถึงอะไร"
คนฟังยิ้มหวาน
“ถ้าพี่โอ้ตรู้ว่าหมายถึงอะไร...ก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าของแบบนั้นมันต้องใช้เวลา" มือที่เอื้อมมาจับมืออย่างถือวิสาสะนี่ทำเอาคู่สนทนาสะดุ้งสุดหัวใจ แต่ก็ไม่มีแรงมากพอจะชักมือออก แถมร่างสูงก็ไม่ได้ละลาบละล้วงอะไรเกินไปกว่าการสัมผัสมันอย่างแผ่วเบา...พร้อมใช้ดวงตาคมสวยพิจารณานิ้วมือนั้นด้วยสายตาที่จัดไปทางว่าทะนุถนอมจนเกินพอดี
“พี่โอ้ตครับ...” “อ...อื้อ..” ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยเถียงไม่ออก ความรู้สึกเขินแปลกๆในอกมันไม่สู้ดีเอาซะเลย
อีกฝ่ายช้อนดวงตาขึ้นมาสบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ความรู้สึกของผมอาจจะเป็นแค่ 'หวั่นไหวชั่ววูบ' อย่างที่พี่พูดก็ได้ แต่ผมไม่คิดจะปล่่อยให้สิ่งนี้ผ่านไปเฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลยแน่ๆ พี่โอ้ตไม่ใช่แค่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...
พี่จะรู้จักผมดีพอเมื่อไหร่...พี่จะรู้สึกชอบผมบ้างไหม...ถ้าเราคบกันจะไปรอดรึเปล่า....”
“...ของแบบนี้...ไม่ลองไม่รู้หรอกครับ"+ G A M E R L O V E R +
มันเป็นความเงียบเนิ่นนานที่คนพูดแทบจะหยุดหายใจ ทั้งๆที่ข้าวโอ้ตไม่ใช่คนชอบรอ แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป...เมื่อความเงียบวิ่งเข้ามาคั่นตรงกลาง มันช่างน่าอึดอัดใจจนเขาต้องทบทวนอยู่หลายตลบว่าไอ้ที่ตัดสินใจเล่าไปหมดเปลือกเมื่อครู่นั้นคิดดีแน่แล้วหรือ แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะตั้งใจฟังเป็นอย่างดี...แถมยังตั้งใจคิดนานซะจนอยากจะกระโจนเข้าไปบีบคอสังหารมันแก้เครียด
ในที่สุด...โจ้ก็เอ่ยปากรับคำ
“...กูว่าล่ะ" ….คำตอบนั้นสั้นเกินไป...ไม่ได้ดั่งใจคนเล่าเอาซะเลย... เพื่อนรักไม่ได้มีท่าทีแปลกอกแปลกใจอะไรนักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันทำให้ข้าวโอ้ตหงุดหงิดใจขึ้นมาอีกครั้ง...และอารมณ์ก็ทำให้ดวงหน้านั้นบูดบึ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ไอ้สัส! พูดอะไรบ้างดิ!!"
นั่นทำให้คู่สนทนามีสีหน้าแปลกใจนัก “พูด? พูดอะไรล่ะ?”
“กูมาขอคำปรึกษา"
“มึงอยากได้คำปรึกษาแนวไหนล่ะ?”
“...ให้ๆกูมาเหอะ"
“ถ้ากูตอบไม่ตรงใจมึงก็ซวยกูดิ...”
“โอ้ยไอ้เหี้ย! เลิกเล่นลิ้นสักทีเหอะ!!” คำตะโกนนั้นสั่นจนรู้เลยว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ร่างผอมบางยกมือเสยผมปรกตาด้วยหน้าตาคล้ายกับว่าจะร้องไห้
“กูสับสนจะตายห่าอยู่แล้ว ช่วยพูดอะไรก็ได้...อะไรก็ได้น่ะเข้าใจมั้ย!?” ความจริงจังนั่นทำให้คนมองหรี่ตาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ค้นพบอะไรที่ทำให้คนตรงหน้าแปรปรวนขนาดนี้....ไม่สิ ไม่เคยพบเคยเห็นอาการแบบนี้เลยด้วยซ้ำ...จึงอดไม่ได้ที่จะแซว ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมอยากปลอบใจเพื่อนชายเลยแม้แต่น้อย
“มึงชอบน้องเค้าป่ะ?”
“ไอ้บ้า!!” สวนควับ..จนเหมือนเตรียมคำด่าเอาไว้ก่อน
โจ้อึ้งกับคำด่านั้นนิดหน่อย เลยเท้าสะเอวย้อน
“อ้าวไอ้เหี้ย กูถามมึงดีๆนะเนี่ย"
“แล้วมึงพูดเหี้ยอะไรออกมาวะ งี่เง่าจริง"
“กูแค่ถามว่ามึงชอบน้องเค้า....”
“ไอ้บ้า!!” “....มึงด่ากูบ้าสองรอบแล้วนะเว้ย!"
“กูจะด่ามึงรอบที่สามก็ได้ถ้ากูจะทำ เอาล่ะสัส...กูซีเรียสมาก ในฐานะที่มึงผ่านเรื่องแบบนี้มามากกว่ากู...มึงคิดว่าไง"
ข้าวโอ้ตสะบัดขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิกอดอก ใช้ดวงตาดุดันจ้องตรงมายังกับหมาป่าจ้องเหยื่อ
คนฟังกลับยิ้มระรื่น "ชอบก็คบ ไม่ชอบก็เซย์กู๊ดบายยย"
อีกคนหรี่ตาจิก “กูถามดีๆ"
“กูตอบมึงไม่ดีตรงไหนฟะ....”
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีน่ะสิ!”
“กูเลยถามมึงไงว่ามึงชอบน้องเค้ารึเปล่า...”
“ไอ้บ้า!” “....ที่มึงด่าๆนี่มึงเขินใช่มั้ย? กูจับได้ล่ะ...” “ไม่ใช่! กู....ว้อยยยย!!!” คนถูกจับผิดแถมอยากจะทึ้งหนังหัวตัวเองออกมาให้รู้แล้วรู้รอด "กูจะไม่โกหกนะ แต่กูตอบไม่ได้ว่ะ กูไม่เคยคิดกับมันแบบนั้นแล้วก็เลยแบบ...แบบ....มันสับสนอ่ะมึงเข้าใจป่ะ?”
คนฟังพยักหน้าหงึก ทุบมือป๊อก “โอ้ เข้าใจ"
“..........มึงกวนประสาทกู"
“ฮ่าๆๆๆ ได้ๆ กูซีเรียสตามมึงล่ะ" โจ้หัวเราะร่วนขณะขยับตัวมานั่งท่าเดียวกันเป๊ะๆ แถมยังตีสีหน้าจริงจังตามฉบับเหมือนซ้อมมา ทำเอาคู่สนทนาอยากจะตั๋นหน้าไอ้ขี้เล่นนี่สักสองสามล้านที "น้องเค้าก็ไม่ได้รีบอะไรนี่?”
อีกคนทำเสียง 'จิ๊' ในลำคอ “เออ มันบอกว่ารอได้"
“แล้วมึงจะรีบคิดทำไมวะ? เวลามีตั้งเยอะ...”
“ก็กูอึดอัดนี่!!"
“อึดอัดเพราะชอบเค้าหรืออึดอัดเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไงเวลาเจอเค้าล่ะ?”
“....จับผิดกูจังนะ อย่างหลังว้อย อย่างหลัง"
“มึงก็แค่ทำตัวเหมือนเดิม"
“แต่มันทำไม่ได้แล้ว มึงก็รู้นี่"
“โอเค แค่ทำตัวคล้ายๆเดิม"
“ยังไง?”
“ก็แบบ..ไปเล่นเกมกันเหมือนเดิม อะไรเงี้ย...ถ้ามึงไม่ได้รังเกียจเค้ากูว่ามึงก็น่าจะลองนะ"
ข้าวโอ้ตขมวดคิ้ว “ลองอะไร?”
เพื่อนรักยักคิ้วหลิ่วตา ตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ลองให้น้องเค้าจีบ" “ไอ้.....”
“เอ้า ก็ถ้าน้องเค้ายืนยันแบบนั้นมึงก็น่าจะลองนี่หว่า ไม่ใช่ง่ายๆนะที่จะได้เจอกับคนแบบนี้....” โจ้หัวเราะอีกครั้ง "ท่าทางเป็นเด็กดี แต่งตัวสะอาดสะอ้านแล้วก็มารยาทดี ชอบเล่นเกมเหมือนกัน งานอดิเรกเหมือนกัน...กูว่าลงตัวออก"
“แต่กูกับมันเป็นผู้ชาย..!!”
“โป๊ะเช๊ะ! นี่คือประเด็นเดียวที่ค้ำคอมึงอยู่ใช่มั้ย?” ..อึก.. จากการชะงักแบบนั้นทำให้เพื่อนรักรู้ทันทีว่า 'จับได้' อีกแล้ว
โจ้อยากจะหัวเราะออกมาสักสามล้านทีถ้าทำได้ จากสภาพการณ์มันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าคนตรงหน้ารู้สึกยังไง...ชอบอ้อนเค้า ชอบให้เค้ามานั่งเอาใจ...พอถึงเวลาก็บอกว่าไม่ชอบอย่างนั้น ไม่ชอบอย่างนี้ เออ มันก็ดูเป็นคาแรคเตอร์คนหัวแข็งที่สมเหตุสมผลดี แต่จะให้พูดแทงใจแบบนั้นเห็นทีจะไม่รอด...
...ดังนั้น 'ตะล่อม' ดูจะเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดแล้ว...
"กังวลอะไรขนาดนั้นวะ...? จริงๆมึงก็แหกคอกกับที่บ้านมึงอยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงไปกว่านี้ป่ะวะ มึงอินดี้อยู่แล้วไม่มีใครกล้าว่ามึงหรอก...ส่วนพวกกูน่ะหรือ? กูรับได้นะแค่เพื่อนเป็นเกย์ เพื่อนกูหลายคนก็เป็น....อ๊ะ หรือถ้ามึงกลุ้มใจจริงๆการแพทย์สมัยนี้มันช่วยได้เยอะ อย่างเช่นผ่าตัดแปลงเพศ.......”
“ไอ้สัส! กูไม่ได้ชอบมันขนาดที่จะยอมแปลงเพศหรอกว้อย"
“นั่นไง มึงยอมรับแล้วว่ามึงชอบน้องเค้า"
“เปล๊า!!”
..ทันที..ด้วยเสียงสูงปรี๊ดและท่าทางลุกลี้ลุกลน.. “กูหมายถึง...ชอบแบบเพื่อน พี่น้อง แบบ...นั่นแหละ! อ่ะ"
“เอออออ" คนฟังเท้าคาง ลากเสียงยาว "ตอนนี้มึงคงชอบแบบนั้น...กูเลยคิดว่าให้น้องเค้าจีบก็ไม่เห็นเป็นอะไร"
“เป็นสิว้อย!”
“มันจะอะไรวะ...ก็มีแค่สองตัวเลือกหลังถูกจีบป่ะ? รำคาญรึไม่ก็ชอบตอบไปเลย?”
“ก-กูบอกว่ากูไม่ได้ชอบน้องเค้าแบบนั้นไง"
“ไอ้โอ้ต มึงเด็กกับเรื่องแบบนี้จังวะ?”
“อะไร?”
โจ้ยักคิ้วให้ทีนึงคล้ายกับว่าจะแซวผู้อ่อนหัดกว่า ก่อนจะอธิบาย
“ไม่มีทางที่ความรักจะเกิดขึ้นโดยไม่มีใครสักคนเริ่มทำอะไรสักอย่างหรอก ถ้าน้องเค้าจีบเผลอๆมึงอาจจะชอบน้องเค้าก็ได้ โบราณว่าไว้...อยู่ๆกันไปเดี๋ยวก็รักกันเองนั่นแหละ พอถึงตอนนั้นอะไรๆมันก็ง่ายขึ้นเอง"
ข้าวโอ้ตเม้มปาก ความเป็นนิวบี้ทำให้เขาเถียงไม่ออกจริงๆดั่งที่เพื่อนรักว่า ในหัวจึงไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าความคิดบ้าๆ...
...นั่นแหละ...ที่กูกังวลล่ะ....
TBC=============================
อีกไม่นาน อีก ไม่ นานนน 5555
อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอาทิตย์ที่หนักหน่วงจริงๆค่ะ 5555
ส่งงานแม่มทุกวันเลย ใกล้ปิดเทอมทุกชิ้นเลยกลายเป็นงานไฟนอล ;;___;;
นี่ก็เพิ่งตื่นหลังจากอดนอนมาหลายคืน โชคดีที่พรีเซนท์คนแรกนะเนี่ยเลยได้กลับบ้านเร็ว อริอริอริ
เพื่อนก็เคยพูดๆเหมือนกัน ว่า
"ถ้าชีวิตพวกเราเป็นเดอะซิมส์ สเตตัสทุกอย่างคงสีแดงหมดเสียอย่างเดียว...ไม่ตาย" 55555
((ยกเว้นค่าความหิวนะ กินตลอดค่ะ สั่งแมคเช้าทุกวันเลย -_-'' #อ้วนแผละ))
ตั้งใจว่าถ้าปิดเทอม..จะต้องรักษาสุขภาพตัวเองแล้วล่ะค่ะ
อากาศเดี๋ยวนี้ก็ร้อนๆหนาวๆด้วย ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน ภูมิต่ำ กลัวหวัดเล่นงานเหมียนกัลล์นะนี่...
อาทิตย์หน้าก็เป็นวัฏจักรอีก คงไม่ต่างกับอาทิตย์นี้เท่าไหร่
คิดว่าหลายคนก็คงหนักหน่วงเหมือนๆกันนะ กร๊ากกกกก อย่าเอาแต่อู้อ่านนิยายล่ะ!
((ส่วนดิฉันก็อู้แต่งนิยาย....ฟร๊ากกกกส์))
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ค่ะ
ozaka*
