+ G A M E R L O V E R +
แฟนผมเป็นโอตาคุเกมครับ!
6
“I'm at the Payphone, trying to call home.
All of my chance I spent on you~” ร่างสูงโปร่งนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวใหญ่พร้อมฮัมเพลงอารมณ์ดี บนตักมีโทรศัพท์มือถือไอโฟนวางแหมะอยู่ราวกับรอคอยอะไรสักอย่าง โดยมีหูฟังเสียบฟังเพลงอีกต่อหนึ่ง ส่วนในมือคือหนังสือการ์ตูนเล่มที่30กว่าๆว่าด้วยเรื่องโจรสลัดชื่อดังที่กำลังฮอตฮิตของโลก..ที่เจ้าตัวรื้อออกมาอ่านเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้
เพื่อนรักสองคนที่นั่งอยู่หน้าทีวีพาโนรามาจอใหญ่ยักษ์ถึงกับหันมามองเมื่อเห็นว่าเจ้าบ้านท่าทางรื่นเริงขนาดนัก ก่อนจะหันมามองหน้ากัน..ไหวไหล่..แล้วกลับไปจดจ่อกับเกมตีเทนนิสด้วยkinectเหมือนเคย...
สักพักก็หยิบมือถือขึ้นมากดอะไรสักอย่าง ขยับยิ้ม..วางเหมือนเดิมแล้วก็ฮัมเพลงต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...ราวกับว่าอยู่คนเดียว... “Where have the times gone. Baby, it's all wrong.
Where are the plans we made for two...~” งานถนัดของกอล์ฟคือการสร้างโลกส่วนตัว..สร้างกรอบขึ้นมา..เพื่อไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบด้านใดๆทั้งสิ้น
...แต่ดูเหมือนครั้งนี้คิมกับดอยจะเอะใจขึ้นมาอย่างประหลาด...
“กูว่ากอล์ฟมันแปลกๆนะ..?” ดอยเอ่ยขึ้นในที่สุด ขณะหวดลูกเสิร์ฟความเร็วแสงส่งให้อีกคน
“...กูนึกว่ามึงจะไม่เอะใจซะล่ะ...”
“มึงคิดว่าไง?”
“ประหลาดมาก..ฮึบ!”
“ไอ้เหี้ย ยังโต้ได้อีกนะ!”
“ระดับกูว้อยย มึงตายแน่"
สิ้นคำลูกเทนนิสก็วิ่งเฉียดไม้ไปไม่ถึงหนึ่งนิ้ว คิมอ้าปากค้างกับความพ่ายแพ้ของตัวเองก่อนจะทรุดตัวลงแหมะกับพื้น และก่อนที่อะไรๆมันจะออกทะเลไปเรื่อยนายยอดดอยก็กดพอสเกมไว้ได้ทัน แล้วเท้าสะเอวพยักเพยิดไปทางคนที่นอนเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่บนโซฟาบ้านมันเอง
“มึงคิดว่าไง?"
คิมยกมือ "ไม่คิดไง ก็แปลก..ก็แค่แปลก แต่เดิมไอ้สัสนี่ก็ประหลาดอยู่แล้วป่ะ?”
“ตอนแรกกูก็คิดงั้น แต่เห็นว่ามันอารมณ์ดี...”
“คนที่มีที่เรียนแล้วมันก็อารมณ์ดีทั้งนั้นแหละว้อย!”
“โอ้ยไอ้เหี้ย ตอนมันรู้ตัวเองว่าติดมหา'ลัยนะกูเห็นมันทำแค่กระตุกมุมปากนิดนึง หน้าเป็นจะตายห่า...” ดอยพูดพร้อมทำท่าทางเลียนแบบได้เหมือนเด๊ะ คนฟังพยักหน้าตามทันที "แต่วันนี้ยิ้มร่าตั้งกะเปิดบ้านรับพวกเราล่ะ...”
“เออว่ะ กูเพิ่งสังเกต"
“เอาไง?”
คิมพยักหน้าจริงจัง แล้วอาสา “กูจัดเอง...
ไอ้สัสกอล์ฟ!"
“I've wasted my night,
You turned out the lights.
Now I'm paralyzed, still stuck in that time.....~”
ดอยหันมามอง
"มันกำลังอยู่ในวิมานสถาน" “กูว่ามันแค่ไม่ได้ยิน"
“เอาอีกดิ"
“เฮ้ยไอ้กอล์ฟ!!"
“When we calls it love,
but even the....โอ๊ะ!”
สุดท้ายร่างสูงโปร่งก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาจนได้เมื่อหูฟังถูกกระชากออกจากหูโดยไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะเอียงคอเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลยจนกระทั่งดอยกอดอกพูดว่า
“กูเรียกตั้งนานไอ้สัส ทำเป็นไม่ได้ยิน"
“แล้วมึงทำเหี้ยไรเนี่ย...ฟังเพลงไปด้วย อ่านการ์ตูนไปด้วย...แล้วก็ยัง...” คิมฉวยมือถืออีกฝ่ายขึ้นมาเปิดดูอย่างถืออภิสิทธิ์ "แล้วยังเสือกเล่นไลน์ออฟสาวไปด้วยเหรอวะ!?”
กอล์ฟหัวเราะ "เฮ้ย สาวเสิวที่ไหน...กูก็ให้พวกมึงเล่นเกมแล้วนี่ไง"
“ไอ้สาดดดด เห็นมึงอารมณ์ดีมันก็ดีหรอกนะ แต่กูแปลกใจว่ะ"
เพื่อนรักตัวสูงโย่งทิ้งตัวนั่งลงโซฟาตัวข้างๆ แล้วหันไปพยักหน้ากับอีกคนที่โยนมือถือมาวางบนตักคืนดังเดิม
“....มึงแอบมีแฟนป่ะวะ...?” พรวดดดดด!!! เท่านั้นแหละคนถูกถามถึงกลับสะดุ้งพรวดขึ้นมานั่งตัวตรงแด่ว แต่ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากมายเท่าที่อีกสองคนอยากเห็น..อย่างไรก็ดี..ปฏิกิริยาดังกล่าวทำให้เพื่อนรักทั้งคู่มองหน้ากันแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากแซวคนตรงหน้าเป็นอันต้องเอ่ยแก้ตัวก่อน
“แฟนเฟินอะไรวะ กูก็อยู่แต่กับพวกมึงเนี่ย...แทบไม่ได้ออกจากบ้านเลยด้วย"
“แหมะ~ ไม่ได้ออกจากบ้านเหี้ยไรกัน...เซ็นทรัลน่ะไปแทบทุกวันไม่ใช่หราาาาา"
“ติดพนักงานสาวคนไหนของห้างรึเปล่าวะ"
“กิ๊บกิ้วววววววว~”
“พ่องสิครับ...เอ้า เอ้า ถึงตากูยัง?”
ว่าแล้วเจ้าเพื่อนตัวดีก็เปลี่ยนเรื่องด้วยการลุกขึ้นไปหยิบไม้เทนนิสแก้เก้อ แล้วกวักมือหยอยๆเรียกอีกสองคนไปร่วมเล่นด้วย ส่วนคนถูกชวนน่ะหรือหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่กัน แล้วก็เลิกตอแยเรื่องส่วนตัวของเพื่อนไป
..รู้หรอกว่าโอตาคุเกมอย่างกอล์ฟน่ะ..จะหาแฟนได้ง่ายๆที่ไหน... ไอ้ที่ไปเซนทรัลน่ะก็ไปเล่นเกมเท่านั้นแหละ ไม่ได้จะจีบเด็กสาวมัธยมหรือล่อพนักงานที่ไหนหรอก จะมีก็แต่พี่สาวพนักงานแลกเหรียญที่หน้าตาออกไปทางประเทศเพื่อนบ้านเรานิดๆเท่านั้นแหละที่คนอย่างมันคงจะคุยด้วย ซึ่งตัดเรื่องเป็นสเปคไอ้นี่ไปได้เลย...ถ้าไม่ใช่พวกที่เล่นเกมด้วยกันล่ะก็เอามันไม่อยู่หรอก..
...และก็ไม่ค่อยเห็นสาวที่ไหนเล่นเกมที่ต้องใช้พลังงานมากอย่างที่มันเล่นด้วย...
ความที่พวกเขาทั้งหมดเรียนโรงเรียนชายล้วนกางเกงน้ำเงินที่ขึ้นชื่อเรื่องความป็อบปูล่านิดหน่อย กอปรกับความจริงที่ว่าไอ้เพื่อนรักหน้าเป็นตรงหน้าก็หน้าตาดีน้อยซะเมื่อไหร่แบบนี้แหละ...ที่ทำให้เวลาไปเที่ยวไหน มีปาร์ตี้นัดกับสาวโรงเรียนฝั่งตรงข้ามหรืออะไรก็ตามแต่ละที...เป็นอันต้องมีสาวหมายตาไว้ตลอด แต่เพราะความเป็นโอตาคุเกมฝังอยู่ในกระแสเลือดแบบนี้แหละถึงได้คบๆเลิกๆกับผู้หญิงหลายคน บางรายแค่คุยๆไม่ได้คบ...แต่อีกฝ่ายก็เอือมระอาไปเองตลอด
'...ระหว่างเรากับเกม กอล์ฟเลือกอะไร?' คำถามที่ถูกถามบ่อยมากถึงมากที่สุด และสิ่งที่เด็กหนุ่มทำไม่ใช่อะไรเลย...นอกจากการขยับยิ้มแบบเดียวกับรอยยิ้มที่ทำให้สาวๆพวกนั้นหลงรัก กับประโยคเด็ดที่ว่า
'ขอโทษนะ เราเลือกไม่ได้' ซึ่งร้อยทั้งร้อยเป็นคำโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ..อย่างไร 'เกม' ก็สำคัญกับไอ้บ้าตะกร้าตรงหน้านี่มากที่สุดอยู่แล้ว
แรกทีเดียวเพื่อนรักทั้งสองก็แอบหมั่นไส้หมั่นเขี้ยวไอ้เหี้ยนี่อยู่ไม่น้อย แต่พอคบไปนานๆถึงได้ระอาใจ..และยังมีแนวโน้มว่าจะค่อนไปทางสมเพชนิดหน่อยกับงานอดิเรกที่ค่อนข้างเสียเวลาแบบนั้น
...แต่ก็เรื่องของมันเถอะ..หัวดีบ้านรวย..สรรพคุณสองข้อนั้นตัดปัญหาไปได้แทบทุกอย่าง
แถมท่าทางอีกฝ่ายก็ดูจะไม่ใช่คนที่ถวิลหาความรักบ้าบออะไรมากขนาดนั้น..เลยคิดอยู่แล้วล่ะว่าคง 'ไม่จริงจัง' มาก
“ไอ้สัส! กูเกลียดเซียนเกมว้อย!!” เกมเทนนิสที่มีคิมเป็นคู่แข่งดำเนินไปได้ไม่นานนัก ในที่สุดเจ้าของร่างสันทัดก็ออกปากก่อนอย่างหมดอารมณ์ แทบจะเขวี้ยงไม้เทนนิสปลอมสีขาวในมือทิ้งไปแล้วถ้าไม่ติดว่าบุคคลที่สามมาห้ามไว้ได้ทัน
คนถูกค่อนแคะขยับยิ้มเหมือนที่ทำเป็นปกติ แล้วโยนอุปกรณ์ดังกล่าวไว้บนโซฟา
“เปลี่ยนเกมเหอะ เบื่อล่ะ"
“เออ กูก็เบื่อ...ไม่ได้เบื่อเกมนะ เบื่อมึงว่ะ" คิมยังคงบ่นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างที่เดินไปเปลี่ยนแผ่น...แต่คนฟังก็รู้ดีว่าคนพูดไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก "..เอาไรดี แข่งรถเป็นไง?”
ดอยชะงัก แล้วยกมือ “เดือนก่อนมึงเพิ่งโวยวายเพราะแพ้กูนะ เกมนั้นน่ะ"
“หุบปากไอ้ดอย อิท-อิส-มาย-เทิร์น-!! กูมาทวงความแค้นนั้นแล้ววววว"
“ได้เสียซี่! ใครแพ้เลี้ยงอากะ!"
“งั้นมึงเตรียมถังแตกได้เลย"
เสียงหัวเราะเฮฮาครื้นเครงดังอยู่ภายในห้องนั่งเล่น และถึงแม้มันจะดังแค่ไหนก็ไม่ได้ไปรบกวนใครเขาเท่าไหร่นักเมื่อสามหนุ่มสามมุมถือครองบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว เจ้าบ้านตัวดีหัวเราะตามบทสนทนานั้นๆขณะหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มต่อ มือถือ หูฟัง ประกอบหลอมรวมร่างกับมาอีหรอบเดิม..ซึ่งครั้งนี้มั่นใจเถิดว่าคงไม่มีใครมารบกวนรอบสอง
กอล์ฟกำลังพลิกหน้ากระดาษอีกครั้งตอนที่มือถือที่วางอยู่บนตักสั่นขึ้นมาอีกรอบ
หลายวันมานี้เขาเช็คมือถือบ่อยมากทั้งๆที่ปกติไม่เคยเป็นแบบนั้น คุยกับเพื่อนใหม่ที่มหาวิทยาลัยบ้าง เพื่อนต่างโรงเรียนบ้าง ใครคนโน้นคนนี้คละๆกันไป..แต่จริงๆแล้วก็รอเพียงอย่างเดียวคือประโยคที่เปิดเจอพอดีเนี่ยแหละ
OTTO : อีกครึ่งชม.ถึงเซ็นปิ่น
OTTO : สักตามั้ยไอ้น้อง กับสติ๊กเกอร์รูปกระต่ายสวมนวมพร้อมรบต่อยตุบๆโชว์หนึ่งรอบ เป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายเริ่มชินกับแอพพลิเคชั่นแชทแบบนี้เป็นแน่แท้
เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ มือก็พิมพ์ตอบรับไปประโยคสั้นๆขณะวิ่งทั่กๆขึ้นบันไดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมออกจากบ้าน...ที่เห็นคงไม่เกินกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินกับเสื้อยืดสบายๆตัวหนึ่งเป็นแน่ หลังจากพบกันกี่ครั้งอีกฝ่ายก็เอาแต่บอกว่า
'จำหน้าคนไม่เก่งๆ' ทุกครั้งไปเลยคิดว่า...ทำอะไรให้สะดุดตาก่อนเห็นจะเป็นดี
พอลงมาอีกครั้งเพื่อนรักทั้งสองยังคงเล่นเกมกันอย่างเมามันไม่ทันได้สนใจ
ร่างสูงยัดกระเป๋าเงินและมือถือลงกระเป๋ากางเกงขณะที่พูดว่า
“ฝากเฝ้าบ้านแปปดิ" “เฮ้ย!” ดอยร้องขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอ "ไปไหนวะ? เดี๋ยวพวกกูกะจะกลับแล้วเนี่ย...ทุ่มนึงแล้ว เดี๋ยวดึก"
“พวกมึงก็ค้างเลยดิ"
“ไอ้บ้า!"
คิมรีบแทรกระหว่างหมุนพวงมาลัย “ก็ดีนะมึง กูขี้เกียจกลับอยู่...”
“ไอ้สัสคิมครับ พวกเรามีสอบวันเสาร์นี้นะขอรับ...”
“เออออ เดี๋ยวให้ไอ้กอล์ฟติวฟิสิกส์ให้คืนนี้ไง"
“โหยเหี้ย ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากค้างหรอกนะแต่เกรงใจไอ้กอล์ฟมันว่ะ"
“เกรงใจเหี้ยไร คนกันเอง"
“มึงก็เป็นซะอย่างเงี้ย"
ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังถกเถียงกันอย่างไม่จริงจังนัก เจ้าของบ้านก็เคลื่อนตัวไปถึงหน้าประตูใส่รองเท้าเรียบร้อยแล้ว พอเสียงปิดประตูดังขึ้นเท่านั้นแหละอีกสองคนที่เหลือถึงกับหยุดการเล่นเกมด้วยความตื่นตระหนก แล้วกระโดดตามไปเพื่อตะโกนเรียก
“ไอ้เหี้ยยย จะไปไหน เอาจริงดิ!?”
“เซ็นทรัล" กอล์ฟหัวเราะ ยกมือบอกลา "พ่อแม่กูไม่กลับกันหรอก ฝากบ้านด้วยว้อย"
และประตูรั้วก็ปิดลง..ปล่อยให้เงาหลังไหวๆลอดผ่านช่องไม้ตีตามนอนจนลับสายตา
คิมกับดอยมองหน้ากัน ยกมือเท้าสะเอวพร้อมกัน..เลิกสนใจหน้าจอที่แสดงรถทั้งสองคันชนตูมตามโครมครามเกมโอเว่อร์ด้วยกันทั้งแผงไปเสียสิ้น สุดท้ายก็โยนพวงมาลัยที่ถือติดมือมาทิ้งแล้วเริ่มถกเถียงกันใหม่
“มันรีบไปหาเหี้ยอะไรวะ?”
คิมทำหน้าเหยเก "ไอ้สัส ถามกูกูจะไปถามใครวะ?”
คู่สนทนาเริ่มคิดได้ว่าหาคำตอบไปก็คงไร้บอย จะสะกดรอยตามไปก็ดูจะไม่ใช่ที จึงได้แต่ตัดสินใจ
“มา อีกตา”+ G A M E R L O V E R +
“ช้าชิบ ไหนบอกว่าบ้านใกล้ไง" คำแรกที่เหมือนคำบ่น..แต่พอได้ทำความรู้จักแล้วถึงจะเข้าใจว่าเป็นคำทัก
กอล์ฟที่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นดีก็รีบแก้
"เดินมานะครับ ไม่ได้นั่งแท๊กซี่มา"
“นี่ใกล้ขนาดเดินมาได้เลยรึ?”
“อ่า...ไม่เกินร้อยเมตรน่ะครับ"
“อ้อ" ข้าวโอ้ตรับสั้นๆ ไม่คิดจะถามไถ่อะไรเพิ่มเติม "กินไรยัง?”
“ยังครับ พี่โอ้ตเพิ่งเลิกงานเหรอ?”
“อือ วันนี้ว่าจะกลับไปนอนคอนโดน่ะ"
..เหมือนจะเคยได้ยินเค้าๆว่าพี่แกกินนอนที่บริษัท..งั้นการกลับไปนอนก็คงเป็นเรื่องแปลก?..ใช่มั้ย?.. เด็กหนุ่มคิดว่าไม่ควรถามเพิ่มเติม เช่นกัน..เหมือนเช่นที่อีกฝ่ายรักษาระยะห่างเอาไว้ได้อย่างลงตัว ความที่เป็นแค่เพื่อนเล่นเกมด้วยกันทำให้ไม่ได้คุยเรื่องอะไรมากนักนอกจากเกม แล้วก็วิถีชีวิตประจำวันปกติว่าวันนี้หงุดหงิดเรื่องอะไรมาบ้าง(ซึ่งส่วนใหญ่เขาทำหน้าที่รับฟังน่ะนะ) ไอ้ที่รู้ว่าทำงานเป็นสถาปนิกก็เก็บเล็กผสมน้อยจากเรื่องที่คุยมาปะติดปะต่อ ไม่เคยถามโดยตรงด้วยซ้ำ
จริงๆแล้วเขาแอบแปลกใจ..ที่เห็นว่าวันนี้คนตรงหน้าไม่ได้อยู่ในชุดคนทำงานเหมือนเคย..
เสื้อยืดเข้ารูปสีเขียวมะกอกกับกางเกงยีนส์ทรงตรงและรองเท้าผ้าใบ สะพายกระเป๋าเป้ใบโตสีเข้มที่สันนิษฐานว่าใส่เสื้อผ้าเตรียมส่งซักพาดอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง ผิวสีขาวจัดราวกับคนไม่ค่อยได้ออกแดดตัดกับผมสีดำสนิทปัดไปด้านหนึ่งเหมือนเด็กเกาหลี...จริงๆแล้วข้าวโอ้ตเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาไม่เลวทีเดียวในชุดไปรเวทแบบนี้ และบรรดาคนทั้งหมดที่มองก็คงคิดแบบนั้น
….หน้าเด็กเหมือนอยู่มหาลัยเสียมากกว่าคนทำงานมาหลายปีแล้วซะอีก
กอล์ฟรู้สึกว่าทั้งคู่ช่างเป็นเป้าสายตาเสียเหลือเกินเมื่ออยู่ท่ามกลางพลาซ่าโล่งกว้างหน้าร้านขายเครื่องเขียนแบบนี้ และถ้าเขายังไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเด็กสาวโรงเรียนพาณิชย์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไปต้องเดินมาขอพินขอไลน์เป็นแน่
..กันไว้ก่อนเห็นจะดีกว่า.. “ทานไรกันมั้ยครับ?”
“หืม?”
เด็กหนุ่มชะงักกับคำตอบรับเช่นนั้น “เอ๊ะ หรือว่าพี่โอ้ตทานมาแล้ว?”
“อ้อ ยัง" คนถูกถามก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ "ยังพอมีเวลาก่อนเกมเซ็นฯจะปิด..อยากกินไรล่ะ? คราวนี้ไม่เลี้ยงแล้วนะว้อย"
“ฮะจิบังมั้ยครับ?”
“ไม่เอา ไม่ชอบกินเส้นๆ"
“ฟูจิ?”
“ไม่เอา เพิ่งกินเมื่อวาน"
“ชาบูชิ?"
“ไม่เอา เสียเวลาไปป่ะ"
“งั้นพี่โอ้ตอยากกินอะไรล่ะครับ?”
“เอ้า! ก็กูถามมึงก่อนมึงก็ตอบกูมาก่อนสิวะ....
เฮ้ย ซิสเลอร์เป็นไง? ไม่ได้กินนานล่ะ"
ยังพูดไม่ทันจบประโยคผู้สูงวัยกว่าก็ชี้นิ้วเดินนำฉับๆไปยังเป้าหมาย ส่วนคู่สนทนาน่ะรึได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเดินตามมาต้อยๆ เริ่มจะชินกับพฤติกรรมจอมเผด็จการเช่นนี้เข้าซะแล้ว
พวกเขาเจอกันไม่กี่ครั้ง..ส่วนใหญ่คือการที่ข้าวโอ้ตส่งมาเรียกให้มาเล่นเกมเป็นเพื่อน..บางครั้งก็จะมีโจ้แอนด์เดอะแก๊งค์พ่วงตามมา...แต่ก็นั่นแหละ อยู่ด้วยแค่ไม่นานเท่านั้น ส่วนใหญ่แค่เล่นเกม...แบบเล่นเกมจริงๆจังๆจนเหงื่อชุ่มหลัง จนปวดแขนปวดขาปวดมือในวันถัดไป ดังนั้นนี่ถือเป็นครั้งที่สองที่เขาได้มีโอกาสร่วมโต๊ะอาหารกัน ถึงแม้อีกฝ่ายจะเอนจอยกับสลัดบาร์มากกว่าก็เหอะ..
กอล์ฟพยายามจะวิเคราะห์ความชอบของอีกฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนที่สั่งสเต็กมานั้นเป็นเพราะอารมณ์ 'อยาก' มากกว่าคำว่า 'ชอบ' อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นพี่โจ้คงรู้ทุกอย่างของคนตรงหน้า...แต่เอาน่า ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา..
หลังจากตักสลัดมาเสียพูนจาน ในที่สุดข้าวโอ้ตก็วนกลับมาที่โต๊ะซะที
เด็กหนุ่มหยิบส้อมเตรียมทานของตัวเองบ้าง พอเห็นดังนั้นร่างเล็กกว่าก็ว่า
“รอทำไมวะ กินไปก่อนได้เลยนะคราวหลังอ่ะ"
คนฟังยิ้ม “ผมไม่ชอบทานคนเดียวน่ะครับ"
“ถึงอย่างนั้นก็เหอะ" เป็นอีกครั้งที่น้ำเสียงและการหลุบตาแบบนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าคนพูดไม่ค่อยใส่ใจกับประโยคเมื่อครู่มากนัก "แกกินไปก่อน พี่กินแปปเดียวก็ตามทันแล้วเฟ้ย..อย่ามาดูถูกนะ...แล้วนี่อะไรวะ ตัวใหญ่ยังกะควายกินนิดเดียว ซิสเลอร์มันต้องตักสลัดบาร์เยอะๆว้อย แล้วห่อสเต็กกลับบ้าน"
“ก็....” กอล์ฟกรอกตา ขยับยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วใช้ช้อนงัดสลัดในจานอีกฝ่ายมาใส่ของตัวเอง
"เห็นพี่โอ้ตตักเยอะ ผมช่วยกินดีกว่าไง~”
คนฟังตาโต “อ้าวเฮ้ยไอ้น้องเวร! ของกูว้อย!!”
“ฮ่าๆ หยวนๆน่าพี่"
พอเห็นว่าอีกฝ่ายจะจิ้มคืน คนแกล้งก็ชักจานหนีหลบโดยไว..แถมยังถือโอกาสยักคิ้วกวนประสาทแบบที่นานน๊านจะได้ทำสักครั้งหนึ่งให้
แต่สิ่งที่ทำให้จานแทบหลุดมือคืออาการที่มีน้ำใสๆจางๆคลออยู่ในเบ้าตาคนตรงหน้า และเม้มปากแน่นจนบางเฉียบ...ก่อนจะหลุบตาลงมองสลัดพร้อมคำพูดง่ายๆที่ว่า.....
“......ขนมปังกรอบ......ตักไปหมดเลย....” ...ความหมายเหมือนจะไม่ใช่ประเด็น...
…..เสียงกลองที่ดังก้องในอกของคนฟังนั่นแหละที่สำคัญกว่า... กอล์ฟรู้สึกเหมือนเวลาถูกหยุดเอาไว้ตรงนั้น ทันทีที่รู้สึกตัวก็ต้องสะบัดศีรษะไล่ความรู้สึกแปลกๆออกไป
ก่อนจะเอ่ยทันควันด้วยน้ำเสียงที่บังคับอย่างสุดความสามารถให้ไม่กระตือรือร้นจนเกินไป
“ผม..ผมขอโทษ..ครับ...”
คนฟังถอนหายใจสั้นๆ แล้วแยกเขี้ยวใส่ "ไปตักมาเพิ่มให้เลยนะมึง"
“คร้าบๆ แต่พี่โอ้ตต้องกินให้หมดชามก่อนนะ"
คู่สนทนาแลบลิ้น "หมดอยู่แล้วน่า"
..เด็ก..จริงๆ.. ความคิดนั้นทำให้กอล์ฟหลุดขำออกมาหนึ่งพรืด แล้วต้องแสร้งทำเป็นยกแก้วน้ำดื่มเมื่อตาเขียวปั๊ดมองตรงมา ข้าวโอ้ตไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม..และเริ่มมีความสุขกับการกินสลัดอีกครั้ง
..ทำตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่ซะเต็มประดา..แต่ท่าทีที่แสดงออกไม่ต่างกับเด็กเอาแต่ใจสักนิด.. ไม่นานสเต็กจานหลักก็ถูกยกขึ้นมาเสิร์ฟ ข้าวโอ้ตเองก็เก็บไว้ทำอย่างที่ตัวเองพูดเมื่อครู่คือห่อกลับบ้าน เล่นเอากอล์ฟที่ไม่เคยชินกับการกระทำเช่นนั้นต้องเผลอทำตามไปด้วย แถมยังต้องทำหน้าที่ลุกไปตักพาสต้าเพิ่มอีกสองรอบใหญ่ โดนย้ำนักย้ำหนาให้ใส่เบคอนทอดกับขนมปังกรอบให้ล้นๆ ที่เห็นก็คงนึกเลี่ยนตาม
เด็กหนุ่มหยิบทิชชู่มาเช็ดปาก ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นอย่างเสียมิได้
“พี่โอ้ต...ไปอดอยากมาจากไหนกันน่ะครับ..?”
“น้อยๆหน่อย เค้าเรียกว่ากินให้คุ้มว้อย" คนฟังทำท่าราวกับว่าถ้าไม่ติดว่าช้อนเลอะครีมซอสล่ะก็จะเอามาเคาะหัวให้รู้แล้วรู้รอด "ล้อเล่น จริงๆพี่ไม่ได้กินข้าวเที่ยงว่ะ แอบหิว...ปกติไม่ได้กินเยอะขนาดนี้ร๊อก"
“เหรอครับ?”
ยักษ์แยกเขี้ยวทันที "กวนตีนนะมึง..”
“...ผมกวนตีนตรงไหนเนี่ย...” “ต่อปากต่อคำนะ เดี๋ยวนี้ต่อปากต่อคำนะ"
กอล์ฟยิ้มอีกครั้ง ไม่คิดจะพูดอะไร
แน่นอน อีกฝ่ายไม่คาดหวังจะให้เขาพูดหรอก
ร่างผอมบางก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง พลันทำตาโตผนวกท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมาดื้อๆ หยิบน้ำมาดื่มรวดเดียวหมดแก้วแล้วทิชชู่เช็ดปากแบบพอเป็นพิธี ตบท้ายด้วยการออกปากสั่ง
“ไปเร็ว สองทุ่มกว่าแล้ว....ซิสเลอร์แม่งกินเวลาเป็นบ้าให้ตายเหอะ!”
แน่นอน..คนฟังจะตอบอะไรไปได้ล่ะนอกจาก..
“ครับพี่"TBC===========================
ทีละเล็กทีละน้อย...ค่อยๆรู้ใจตัวเอง : )