==> เมื่อผมมีรักแท้ แต่ดูแล(ไว้)ไม่ได้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ==> เมื่อผมมีรักแท้ แต่ดูแล(ไว้)ไม่ได้  (อ่าน 981670 ครั้ง)

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
กิมตี๋....มันอัดอั้นมาตั้งแต่ตอนเข้าเฝือกแล้ว
อีกอย่าง เขาบอกว่า หนุ่มตุรกีหล่อลาก เสน่ห์ล้นเหลือ
เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ระหว่างฝรั่ง+แขกเปอร์เซีย
ที่สำคัญ กว่าครึ่งเคยผ่านประสบการณ์เป็นเกย์ตามสถานการณ์มาแล้ว ตอนเป็นทหาร
เลยอยากพิสูจน์หน่อยว่า เป็นจริงตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างหรือเปล่า หุหุ  :z1:

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
ระวังโดนล้างตู้เย็นนะคระ พี่ปุ้ม 5555

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
 ปุ้ม เที่ยวให้สนุกสุดเหวี่ยงไปเลยนะ 55555555  :jul1:

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
มีวิธีลดน้ำหนักมาฝาก เผื่อใครสนใจ ทำทุกวันลดได้หรือไม่ ก็ไม่ต้องซีเรียส อิอิ


[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
พี่เนะหื่นนนนนนนน  (^^)

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
น้านนน ชมเราเรื่อยเลย  :hao6:
วันนี้มาออกกำลังกายเรียกกล้ามท้องเบา ๆๆ หลาย ๆ คนคงรวมเป็นก้อนเดียวกันแล้ว ลองดู

[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
กลับมาแล้วคร้าบ ^_^

เพิ่งกลับมาถึงตอนสาย ๆ ขอพักฟื้นแป๊บ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง
เอารูปมาลงเรียกน้ำย่อยก่อนแล้วกันเนอะ


[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
1.  บอกเล่าเก้าสิบ

สวัสดีครับ หลังจากนอนสลบเหมือดมา 2 วันเต็ม ๆ บวกกับงานรุมเร้า ก็ได้เวลาที่จะมาบอกเล่าการเดินทางไปตุรกี ประเทศที่มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมที่ยาวนานเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยยุคหิน ให้เพื่อนพ้องน้องพี่ได้ฟังกันซักที อาจมีการไถลออกนอกเรื่อง สอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องอื่น ๆ บ้าง คงไม่ว่ากันนะครับ ตอนนี้ไฟยังแรงอยู่ มีเรื่องอยากเล่าเต็มหัวเลย ^_^

การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางที่มีการเตรียมตัวน้อยที่สุด เพราะปุบปับก็แพ็คกระเป๋าไปกันเลย
เริ่มจากผมบ่น ๆ ว่า “เบื่อ” เพราะต้องเข้าเฝือก อยู่กับบ้านมากว่า 2 เดือน ไม่ได้ไปไหนเลย
แล้วคุณชายเอง ช่วงนี้ก็ว่างพอดี เลยคุยกันว่า จะไปไหนดี เพราะก็ไปกันมาเกือบหมดแล้ว
ยกเว้นแอฟริกากะตะวันออกกลาง หวยเลยไปตกที่ตุรกี เพราะเป็นประเทศที่ผมสนใจเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว
(ผู้ชายตุรกีหล่อล่ำมาก.....  :m26: จุ๊ จุ๊ รู้กันที่นี่นะ อย่าเอาไปบอกคุณชาย ไม่งั้นโดนเหยียบตับแล่บแน่)

ตอนแรกว่าจะไปกันเอง แต่ข้อมูลการท่องเที่ยวเกี่ยวกับตุรกี แบบแบกเป้เที่ยวเอง ยังมีไม่มากพอ
ส่วนใหญ่เป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ จากข้อมูลข่าวสารที่มี บอกว่า คนตุรกีไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ และก็มีปัญหาเรื่องอาชญากรรมกับนักท่องเที่ยวพอสมควร ก็เลยคุยกันค้างอยู่
จนวันหนึ่งคุณชายก็เดินมาบอกว่า “เราจะไปตุรกีกันวันมะรืนนี้ เตรียมตัวจัดกระเป๋าเอาไว้ด้วย”
ผมก็เหวอเลย ถามไปว่า “เอาจริงดิ” คุณชายก็ตอบกลับมาหน้าตายตามสไตล์เขาว่า
“จริง จ่ายเงินค่าทัวร์ไปแล้วด้วย”  ผมเลยต้องรีบเช็คข้อมูลประเทศนี้อย่างเร่งด่วน
(พร้อมแอบด่าในใจไปด้วย....ไม่กล้าด่าออกสื่อ กลัวเจอสวน =*=’)

โปรแกรมทัวร์ที่แจ้งมาน่าสนใจมาก เพราะไปเที่ยวครบตามสถานที่ที่เป็น Signature ของตุรกี ไม่ว่าจะเป็น

•   อิสตัสบูล      - มัสยิดสีน้ำเงิน หรือ Blue Mosque - มัสยิดฮาเจีย โซเฟีย - พระราชวังทอปกาปึ (สระอึ นะครับ ตามภาษาตุรกี) – พระราชวังโดลมาบาเช่ – ล่องเรือชมทิวทัศน์เมืองอิสตันบูล – ตลาดเครื่องเทศ Spice Market เลือกชมและซื้อของฝากยอดนิยม Turkish Delight ฯลฯ
•   กรุงทรอย ตามรอยเจ้าชายปารีสและเฮคเตอร์ – เมืองเปอร์กามัม ศูนย์กลางการแพทย์และการค้าของโรมันตะวันออก – วิหารอะโครโปลิส – เมืองอีเฟซุส อดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันตะวันออก เคยได้ชื่อว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งเอเชีย”
•   บ้านพระแม่มารี ที่พำนักสุดท้ายแห่งชีวิตของพระแม่มารี หลังจากพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ – ปามุคคาเล่ (ปราสาทปุยฝ้าย) และเมืองเฮียราโปลิส สถานฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงของโรมัน ซึ่งคลีโอพัตราเคยเสด็จมาพักผ่อนอาบน้ำแร่ที่นี่ เมื่อเกือบ 3000 ปีก่อน
•   เมืองคอนย่า เมืองหลวงของอาณาจักรเซลซุกเติร์กโบราณ - แวะชมคาราวานซาราย จุดพักแรมสุดท้ายในเขตแดนตุรกีของกองคาราวานบนเส้นทางสายไหม – พิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า ก่อตั้งโดยท่านเมฟลาน่า เจลาเลดดิน รูมี ชาวอัฟกัน ผู้วิเศษในศาสนาอิสลาม เป็นสถานที่สำหรับผู้ถือศีลในศาสนาอิสลามใช้สำหรับทำสมาธิโดยประยุกต์มาจากการทำสมาธิของชาวพุทธ ต้นตำหรับการเต้นเพื่อเข้าถึงพระเจ้าของตุรกี – ระบำหน้าท้องอันลือชื่อของตุรกี
•   เมืองแคปปาโดเซีย เมืองภูเขา ชุมชนชาวคริสต์แห่งแรกของโลก – พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เกอเรเม่ – นครใต้ดินไคมัคลี่
กรุณาดูแผนที่ข้างล่าง เพื่อประกอบความเข้าใจเพิ่มเติม


[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
2   .  ข้อมูลควรรู้เกี่ยวกับตุรกี
 
ตุรกี (Turkey) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี (Republic of Turkey) เป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ตุรกีในฝั่งเอเชีย ครอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอนาโตเลีย มีพื้นที่ร้อยละ 97 ของทั้งประเทศ และถูกแยกจากตุรกีฝั่งยุโรปด้วยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลมาร์มะรา และช่องแคบดาร์ดะเนลส์ (ซึ่งเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือดที่ กัลป์ลิโปลี่ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นช่องแคบที่เชื่อมระหว่างทะเลมาร์มาร่า และทะเลเอเจี้ยน) ตุรกีในฝั่งยุโรป ตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่านมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 3 ของทั้งประเทศ

ตุรกีมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน
มีพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรัก ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน ทางเหนือติดกับทะเลดำ ส่วนที่แยกเอเชียและยุโรปออกจากกันคือ
ทะเลมาร์มารา ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลล์ ซึ่งถือเป็นพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป
จึงทำให้ตุรกีเป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ทั้งสองทวีป (ข้อมูลจาก Wikipedia)


ตุรกีเป็นประเทศมุสลิมที่มีการปกครองแยกออกจากศาสนาอิสลาม ต้องขอบคุณ มุสตาฟา เคมาล อะตาเติร์ก
(อะตา = พ่อ/บิดา) – บิดาของชาวเติร์กสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบมบูรณาญาสิทธิราชย์
ซึ่งปกครองโดยสุลต่านในราชวงศ์ออตโตมัน มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ เมื่อปี ค.ศ. 1938
ทำให้ตุรกีเจริญก้าวหน้ามากกว่าประเทศมุสลิมอื่น ๆ อีกหลายประเทศ
แต่ก็เป็นประเทศหนึ่งที่ถูกประเทศมุสลิมชาติอื่น ตราหน้าว่าเป็น “มุสลิมนอกคอก”
เพราะถึงแม้ว่า จะนับถือศาสนาอิสลามเหมือนกัน แต่คนตุรกี เรียกตนเองว่า “นีโอมุสลิม” หรือมุสลิมสมัยใหม่
กล่าวคือ หลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม หรือ อิบาดะห์ (คัดลอกมาจาก muslimthai post)
ซึ่งแบ่งเป็น 5 ประการ ได้แก่

1.   นับถือองค์อัลลอฮ์ เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่เคารพบูชารูปใดๆ นอกจากพระอัลลอฮ์
2.   การทำละหมาด ทั้งในรอบวัน ๆ ละ 5 เวลา หรือรอบสัปดาห์ รอบปี  เช่น การละหมาดเมื่อสิ้นเดือนถือศีลอดหรือวันเชือดสัตว์พลีทาน เป็นต้น
3.   การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
4.   การบริจาคศาสนทาน หรือ ซะกาท (Sakat)
5.   การประกอบพิธีฮัจญ์

(หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะผมไม่ใช่มุสลิม)

สิ่งที่คนตุรกีทำตามหลักปฏิบัติดังกล่าว มีเพียงอย่างเดียว คือ นับถือองค์อัลลอฮ์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว
ที่เหลือนอกนั้น แทบไม่ทำเลย คนตุรกีไม่เคร่งครัดเรื่องหลักศาสนา แต่ก็ไม่กีดกัน ถ้าใครจะทำ
แล้วก็ไม่ปิดกั้นสำหรับศาสนาอื่นด้วย เท่าที่เห็น พอถึงเวลาละหมาด ก็ไม่เห็นมีใครสนใจจะทำละหมาดกัน
เดินผ่านหน้ามัสยิดไปเฉยเลย ไม่แม้แต่จะหันไปมองด้วยซ้ำ จากที่ถามไกด์ท้องถิ่น
เขาบอกว่า เราต้องทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จะมามัวแต่บูชาพระเจ้า ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี
พร้อมกับยักไหล่ 1 ที เออ! ดีเหมือนกันเว้ย ฉะนั้น เมื่อไม่สนใจทำละหมาด
เรื่องการถือศีลอด การทำซะกาท และการประกอบพิธีฮัจญ์ ก็เลยไม่สนใจทำไปด้วย
เรียกว่า เป็นมุสลิมแต่ตัว ก็คงเหมือนบ้านเรามั้ง ที่ได้ชื่อว่า เป็นเมืองพุทธ
แต่คนรุ่นใหม่แทบไม่เคยไปวัดเลย ฉันใดฉันนั้น

เท่าที่เห็น ผู้ชายตุรกีนิยมแต่งกายอย่างชาวยุโรปทั่วไป ใส่สูท ผูกไทด์ไปทำงาน
ส่วนผู้หญิงอาจจะมีสวมกระโปรงยาวและคลุมผมบ้าง แต่ไม่คลุมหน้า
สาวในเมืองแทบไม่มีใครใส่กระโปรงยาวคลุมเท้าเลย สาว ๆ บางคนใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์รัดติ้ว
บางคนผมเห็นที่สนามบินในประเทศ คุณเธอใส่เสื้อสายเดี่ยว/เกาะอกด้วยซ้ำ เอากะเธอสิ
คนตุรกีพยายามเปิดโอกาสให้สาวตุรกีออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวได้
แต่คนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะผู้ชาย) ก็ยังนิยมให้ทำงานอยู่กับบ้านมากกว่า
คงเหมือนบ้านเราเมื่อสัก 30-40 ปีที่แล้ว ที่ผู้หญิงพอแต่งงานแล้ว ก็ต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
ดูแลครอบครัว ซึ่งตอนนี้แทบหาไม่เห็นแบบนั้นแล้ว (นอกจากไม่ค่อยเจอแล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ชายยังต้องช่วยทำงานบ้านอีกด้วย
ดีที่ยังท้องเองไม่ได้ ไม่งั้นมีเฮ --- เพื่อนผมทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะต้องช่วยเอาผ้าไปซักในเครื่อง ตากผ้าบ้าง ล้างรถบ้าง ช่วยเลี้ยงลูกบ้าง ล้างจานบ้าง ไปซื้อกับข้าวบ้าง ฯลฯ แล้วแต่เมียจะบัญชาให้ทำ ---- ขอเผาเพื่อนตัวเองหน่อย 55555 :laugh:)

เรื่องเชื้อชาติของคนตุรกีนี่ บอกได้ว่า หลากหลายเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์มาก
เพราะมีการผสมข้ามเผ่าพันธุ์กันมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาลแล้ว
(เรื่องเชื้อชาติ เดี๋ยวจะค่อย ๆ เล่าให้ฟังนะครับ เพราะมันเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตุรกีด้วย)
หน้าตาของคนตุรกี ทั้งหญิงและชาย ถือว่า หน้าตาดีมาก จากที่พบเห็นมา กว่า 90%
หน้าตาสวยงาม หล่อเหลา คมคาย คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ตาคม ผมหยักศก ผิวขาวเนียนละเอียด
ไม่หยาบกร้านเหมือนชาวยุโรปทั่วไป คงเพราะได้ความขาวของพวกคอร์เคเซี่ยน
และความเนียนละเอียดของพวกฮั่นหรือมองโกล เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง
ฝรั่ง+แขกเปอร์เซีย+ฮั่น

มีเรื่องหนึ่งที่ต้องทำใจไว้ก่อน ก่อนจะไปเที่ยวตุรกี คือ “กลิ่น”
ใช่แล้วครับ ก็เหมือนพวกแขกทั่วไปน่ะแหละ คนตุรกีมีกลิ่นตัวแรงทั้งหญิงและชาย
ไม่ใช่ว่า ไม่ชอบอาบน้ำนะครับ จากที่สอบถามไกด์ท้องถิ่น เขาบอกว่า คนตุรกีนิยมอาบน้ำเช้า-เย็น
เหมือนบ้านเรา แต่ด้วยความที่อาหารการกินของเขาจะเน้นพวก นม เนย เครื่องเทศ น้ำมันมะกอก
เนื้อสัตว์ และผัก จึงทำให้เขามีกลิ่นตัวแรงจากอาหารที่กินเข้าไป แต่เขาถือเป็นเรื่องปกตินะ
และไม่นิยมใช้เครื่องดับกลิ่นตัวด้วย ถือว่า เป็นฟีโรโมนอย่างหนึ่ง
แขกต่างบ้านต่างเมืองอย่างเรา ก็ต้องทำใจ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เหอ เหอ เหอ  :เฮ้อ:

หนุ่มสาวตุรกีจะดูดีมาก ตั้งแต่อายุ 14-15 จนถึงอายุ 25 พออายุเกิน 25 เริ่มฉุแล้ว ผู้ชายจะพุงป่อง
ออกมาก่อนเพื่อนเลย จากนั้นหน้าตาก็ตามมา แต่หาคนหัวล้านน้อยมาก
ไกด์ท้องถิ่นที่พาเที่ยวของผม ตอนแรกดูหน้าตาแล้ว นึกว่า 45 แต่พอถามไถ่เรื่องอายุ
ถึงรู้ว่า พี่แกอายุแค่ 32 เอง เด็กกว่าผมอีก แต่หน้านี่ล้ำอายุไปไกลมาก
ส่วนผู้หญิง ก็จะออกแนวอวบอึ่มเนื้อนมไข่ ตัวตัน ๆ ตั้งแต่เด็ก หาพวกเอวบางร่างน้อยยากมาก
แต่พออายุย่าง 30 ก็เริ่มเผละแล้ว เหมือนพวกสาวละติน อ้วนลงพุง สะโพกย้อยกันเป็นแถว

อีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำใจไว้ก่อน คือ การสูบบุหรี่ คนตุรกีสูบบุหรี่จัดมาก สูบกันทั้งชายและหญิง
บางทีพี่แกนั่งสูบกันในอาคารหรือร้านอาหารเลย กลิ่นตลบอบอวลไปหมด
ใครที่แพ้บุหรี่ กรุณาคำนึงถึงข้อนี้ด้วย

สิ่งที่ทำให้ทึ่ง คือ ตุรกีเป็นประเทศที่เปิดกว้างเรื่องเพศที่สาม ผู้ชายป้ายเหลืองหาได้ง่ายตามท้องถนน
ทั่วไป ถ้าตาถึงและช่างสังเกต แต่ต้องระวังเรื่องการขู่กรรโชก ทำร้ายร่างกาย ไว้บ้าง
หนุ่มตุรกี มีอัธยาศัยดี ช่างเจ๊าะแจ๊ะ ลูกเล่นเยอะ เรียกว่า ดูดีมีเสน่ห์มาก (ถ้าตั้งใจจะอ่อยเหยื่ออ่ะนะ)
แต่ก็กะล่อนรอบจัดมากเหมือนกัน

ขณะที่อิหร่าน อิรัก ซีเรีย และประเทศมุสลิมอื่น ๆ จะถือว่า การรักชอบเพศเดียวกัน
เป็นบาปอย่างรุนแรงและผิดกฎหมายศาสนา มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต
แต่ตุรกี กลับไม่ห้ามหรือมีมาตรการกีดกันเรื่องพวกนี้
เท่าที่ได้ยิน “เขาเล่ามา”บอกว่า หนุ่มตุรกีส่วนใหญ่มักมีประสบกา(ม)รณ์กับเพศเดียวกัน
ตอนประจำการเป็นทหาร อาจเป็นเพราะความจำเป็นในสถานการณ์หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่หนุ่มตุรกีไม่รังเกียจเกย์ก็แล้วกัน แต่พวกเลสเบี้ยน กลับไม่ค่อยเปิดกว้างเท่าไหร่
ดูเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปซะงั้น

เพราะฉะนั้น ตุรกี จึงเป็นดินแดนแห่งการปลดปล่อยของชาวเพศที่สามในเอเชียตะวันออก
มีคลับของชาวตุรเกย์ในเมืองอิสตันบูล อยู่แถว Taxim ใกล้กับโรงแรมที่ผมพักอยู่ด้วย
ห่างไปแค่ 300 เมตรเอง อิอิ  :hao6:


[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2014 00:39:44 โดย fanfic2010 »

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
ขอบคุณมาก ปุ้ม ที่มาแชร์เรื่องของประเทศตุรกีพร้อมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ควรรู้  :hao6:
ช่วงนี้งานยุ่งมาก ด่วนตลอดทั้งอาทิตย์ตั้งแต่หลังสงกรานต์ละ งานกิจกรรมในพื้นที่ก็มีตลอดต่อเนื่อง
เพื่อความปรองดองสมานฉันท์ให้ประชาชนได้ เข้าใจ เข้าถึง สถานการณ์ที่เกิดขึ้น  :a2:
มีข่าวการทำงานออกทางโทรทัศน์ด้วยแทบทุกอาทิตย์  :z2:
อาจจะหายหน้าไปเป็นช่วง ๆ (ไม่ใช่หลินฮุ่ย) จะพยายามเข้ามาดูเรื่อย ๆ ไม่ให้คิดถึงกันมาก (คิดเอาเองว่ามีคนคิดถึง อิอิ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เหมือนกันครับเนะ......
ช่วงนี้เป็นช่วงครึ่งปีงบประมาณ งานสุมหัว ขนาดเวลากินข้าวยังไม่มี
จนลูกน้องต้องไปซื้อข้าว ซื้อแซนด์วิชมาให้ กลับบ้านดึกทุกวัน
เลยยังไม่มีเวลามาต่อเรื่องไปเที่ยวตุรกี แต่จะพยายามเคลียร์งานและรีบลงให้เร็วเท่าที่จะทำได้

เป็นกำลังใจเรื่องการทำงานนะครับ ออกมาอยู่เบื้องหน้าบ้างก็ดี จะคอยเพ่งมองว่า คนไหน อิอิ :hao7:

ป.ล. มีคนคิดถึงแน่นอน อย่างน้อยก็ผมหนึ่งคนละ   :hao3:



ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
3   ) รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ได้ข้างหลังร้อยครา

ไปเที่ยวตุรกี ไม่ต้องขอวีซ่า

ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา ตุรกีได้ยกเว้นวีซ่าให้กับน้กท่องเที่ยวไทย เป็นเวลา 30 วัน รวมถึงประเทศในเอเชียอื่น ด้วย เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฯลฯ ทำให้เริ่มมีนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียไปเที่ยวกันมากขึ้น นับว่ารัฐบาลตุรกีมองการณ์ไกลที่เปิดตลาดในเอเชีย ปักธงเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้ยุโรป-อเมริกาเองก็ย่ำแย่เต็มที อัตราคนว่างงานเพิ่มสูงขึ้น เงินทองฝืดเคือง ทำให้เราได้เห็นชาวต่างชาติหนีตายจากบ้านเกิดตัวเองมาหางานทำในแถบเอเชียกันอย่างหนาตาผิดสังเกตุ โดยเฉพาะประเทศจีน แถวเซี่ยงไฮ้ เสิ่นเจิ้น เซี่ยเหมิน ฉงชิ่งฯลฯ หัวทอง หัวแดง หัวน้ำตาลเดินกันขวั่กไขว่ โดยยอมรับค่าแรงและสวัสดิการที่น้อยลงจากบ้านตัวเองไปมาก เพราะถึงจะได้รับค่าแรงน้อยกว่าเดิม ก็ยังดีกว่าตกงานไม่มีงานทำก็แล้วกัน อย่างที่บริษัทผม ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต่างชาติยังกับเทวดา เงินเดือน ผลประโยชน์และสวัสดิการเพียบ แถมเผื่อแผ่ไปถึงครอบครัวอีกด้วย ทั้ง บ้านฟรี รถฟรี ค่าเล่าเรียนลูกฟรี ตั๋วบินกลับบ้านฟรีทั้งครอบครัว ฯลฯ แต่ตอนนี้ ผมสามารถจ้างต่างชาติได้ในอัตราคนท้องถิ่น โดยไม่ต้องเสียค่าอะไรต่อมิอะไรที่กล่าวมาได้ ประหยัดเงินบริษัทไปได้โข เก็บเอามาจ่ายโบนัส บำรุงขวัญและกำลังใจให้พนักงานดีกว่า

สกุลเงินของตุรกี : เตอร์กีสลีร่า (1 ลีร่า = 15.5 บาท โดยประมาณ)

แนะนำว่า ให้เอาเงินดอลล่าร์หรือเงินยูโรติดกระเป๋าไปดีกว่า เพราะบ้านเรา แม้แต่ซุปเปอร์ริช ร้านแลกเงินขาประจำของพวกลูกเรือยังไม่มีเลย ส่วนตัวผม แนะนำให้แลกเงินยูโรดีกว่าดอลล่าร์ เพราะเทียบอัตรากันแล้ว ได้เงินดีกว่ากันเยอะเลย เช่น 1 ดอลล่าร์ = 2 ลีร่า แต่ 1 ยูโร = 3 ลีร่า โดยประมาณ เป็นต้น ตอนที่ผมไป ร้านรับแลกเงินในสนามบิน คิดอัตรา 1 ดอลล่าร์ = 2.1 ลีร่า 1 ยูโร = 2.8 ลีร่า แพงกว่าร้านข้างนอก
ในสนามบินตุรกี จะมีร้านรับแลกเงินทั้งของเอกชนและรัฐบาล ตั้งอยู่บริเวณทางออกสนามบินด้านขวามือ ถ้าหันหน้าไปทางประตูทางออก ถ้าเป็นร้านของรัฐบาล จะเป็นป้ายไฟสีเหลือง ๆ ตั้งอยู่ในหลืบด้านในสุด ลับแลมาก ส่วนป้ายร้านสีฟ้า สีชมพู สีเขียว จะเป็นร้านของเอกชน หรือของธนาคารเอกชน ถ้าแลกเงินที่สนามบิน จะเสียค่าธรรมเนียมการแลกเงินด้วย แต่ถ้าไปแลกร้านข้างนอกในเมือง ไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ร้านค่อนข้างมีน้อย จริง ๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องแลกเงินเป็นลีร่าเลยก็ได้ คณะที่พวกผมไปด้วย เขาก็แห่กันไปแลกเงินที่ร้านแลกเงินของรัฐบาลในสนามบิน ตอนแรกผมก็ว่าจะแลกตามเขาไปด้วย แต่คุณชายเขาบอกว่า ไม่ต้องแลกหรอก เอาเงินดอลล่าร์หรือยูโรซื้อของ เขายิ่งชอบ ยิ่งอยากได้อยู่ ซึ่งก็จริง เวลาซื้อของ ผมให้เงินดอลล่าร์ไป เขาก็ทอนมาเป็นลีร่า แต่ต้องระวังนิดนึง เพราะแต่ละที่ พี่แกตั้งอัตราแลกเปลี่ยนตามใจฉัน ไม่มีมาตรฐานหรือัตราตายตัว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตามอัตราที่บอกมาข้างต้น การแลกเงินลีร่า ควรแลกเป็นแบงค์ย่อย ๆ สัก 5 10 20 ลีร่าก็พอ มากกว่านั้น ร้านค้ามักไม่ค่อยอยากรับ เพราะหาแบงค์ทอนยาก
อีกอย่างหนึ่ง คือ ถ้าต้องการใช้บัตรเครดิตซื้อของ สามารถซื้อได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เพราะที่นี่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการสกิมเมอร์ หรือปลอมบัตร ไม่เหมือนที่มาเลย์เซีย ฟิลิปปินส์ ที่ใช้เงินสดซื้อของปลอดภัยที่สุด

ตม. ชวนเวียนหัว

สนามบินอะตาเติร์กของตุรกีขึ้นชื่อเรื่อง ความหนาแน่นของเที่ยวบิน ความสับสนวุ่นวายและไร้ระเบียบของ ตม. เขาไม่มีคนคอยดูแลอำนวยความสะดวกเหมือนบ้านเรา ไปต่างบ้านต่างเมืองบ่อย ๆ จะรู้ว่า บ้านเราเนี่ย มารยาทดี รับแขกที่สุดแล้ว ที่นี่ทุกคนต้องช่วยตัวเอง เจ้าหน้าที่สนามบินเอง ใช่ว่าภาษาอังกฤษจะดีมาก ถามไม่ตรงโพย ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้น เมื่อไปถึงสนามบินตุรกีแล้ว ให้รีบมองป้ายหาทางไปเข้าแถวรอตรวจคนเข้าเมืองโดยเร็ว อย่ามัวแต่เอ้อระเหย เข้าห้องน้ำ ชมนกชมไม้ เพราะตม. ที่นี่แถวยาวเหยียดมาก แถมสารพัดกลิ่นแขก ตม. ตุรกีก็เหมือน ตม. ชาติอื่นในโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย คือ หน้าตาเคร่งขรึม ไม่ค่อยรับแขก แต่พอเห็นสาวสวยเนี่ย หูตาแวววาวขึ้นมาทันที ตอนที่ผมรอเข้าคิวตรวจคนเข้าเมืองอยู่ เห็นมีเจ้าหน้าที่มาดูแลคิวให้ 1 คน หน้าตาดี แต่ไม่ค่อยรับแขก ใครเดินช้า (ถ้าเป็นผู้ชาย) มีการเอ็ดตะโรใส่ด้วย แต่พอเป็นผู้หญิง พี่แกกะลิ้มกะเหลี่ยเชียว เจ้าหน้าที่ประทับลงตราก็เหมือนกัน ถ้าเป็นผู้ชาย ก็ปล่อยผ่านประทับตราตามขั้นตอนปกติ แต่พอเป็นผู้หญิงสาว ๆ หน่อย พี่แกถามนู่นนี่นั่นอยู่นั่นแล้ว กว่าจะปล่อยผ่านไปได้ เล่นเอาคนที่เข้าคิวรอบางคนหงุดหงิด กระดิกเท้าเป็นจังหวะแร็พเลย โชคดีช่วงที่ไปถึง เครื่องยังลงไม่มาก แถวเลยไม่ค่อยยาวมากนัก แต่ตอนเดินทางกลับนี่สิ เกือบขึ้นเครื่องไม่ทัน ขนาดเผื่อเวลาไว้ 2 ชั่วโมงกว่า แต่ใช้เวลาเข้าแถว ตม. ประมาณชั่วโมงครึ่ง กว่าจะผ่านการประทับลงตราได้ ต้องรีบวิ่งไปที่เกตเลยครับ เพราะเหลือเวลาไม่ถึง 30 นาที ประตูเครื่องเขาปิด 15 นาทีก่อนเครื่องออก วิ่งหน้าตั้ง ใส่ตีนหมาโกยกันเลย ไอ้ที่ตั้งใจไว้ว่า จะเดินสำรวจ Duty Free เป็นอันหมดสิทธิ์ แล้วเกตที่นี่ต้องหมั่นตรวจสอบเป็นระยะ ๆ อย่าวางใจว่า เกตจะตรงกับที่ระบุไว้บนตั๋วเสมอไป เพราะเขาชอบเปลี่ยนเกตบ่อยแบบไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า เป็นหน้าที่ผู้โดยสารที่ต้องตื่นตัวเอาเอง แล้วอย่างที่เราพอรู้กันอยู่ เจ้าหน้าที่กระจายเสียงส่วนใหญ่ มักเป็นทอลซิลอักเสบ ถ้าไม่ออกเสียงอู้อี้เหมือนคนเป็นหวัด ก็ทอดเสียงเซ็กซี่เสียจนฟังไม่รู้เรื่องว่า พูดอะไร เป็นเหมือนกันหมด ไม่รู้ว่า เขาอบรมอะราวด์เดอะเวิร์ลหรือไง

อีกอย่างที่ต้องทำใจและปรับตัวตามสถานการณ์ คือ พวกมนุษย์ “ป้า” มนุษย์ “ลุง” ทั้งหลายที่เรามักบรรยายพฤติกรรมในเฟสต่าง ๆ นานา ที่สนามบินที่นี่เจอหมดครับ ถ้าเป็นคนเอเชียด้วยกัน แม้แต่คนจีน พอมาเที่ยวที่นี่ดูมีมารยาทดีขึ้นมาทันทีเลย อาจเป็นคนจีนที่พอมีฐานะหน่อยมั้ง เพราะค่าใช้จ่ายมาเที่ยวตุรกี ใช่ว่าจะถูก ถ้าเป็นรัสเซีย หรือยุโรปชาติอื่น จะค่อนข้างมีมารยาทเดินต่อแถวกันดี แต่ถ้าเป็นคนตุรกีที่มาจากภาคอื่นของประเทศ ไม่ใช่คนในเมืองหรือแขกจากประเทศอื่น โดยเฉพาะตะวันออกกลาง พี่แกแซงได้เป็นแซง ดันได้เป็นดัน เดินช้าไม่ทันใจ พี่แกเดินแซงไปเลย ไม่รู้จะรีบไปไหน แถมมีการจองคิวเผื่อญาติพี่น้องตัวเองด้วย ประมาณว่า ให้คนหนึ่งยืนจองที่ไว้ก่อน แล้วที่เหลือก็ไปเดินช็อปปิ้ง เข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็ยกโขยงกลับมาเข้าแถวต่อหน้าตาเฉย ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้สนใจเลยว่า ชาวบ้านเขายืนรอต่อแถวยาวเป็นหางงูกี่ขนด เกาหลี ญี่ปุ่นที่เจอตอนเข้าแถวด้วยกัน เห็นแล้วก็แอบส่ายหน้า นินทาเป็นภาษาตัวเองกันใหญ่ ที่รู้เพราะภาษากายมันบ่งบอก

เสร็จจากพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ให้มองหาสายพานกระเป๋าตัวเองดี ๆ เพราะที่นี่มักใช้หมายเลขเที่ยวบินซ้อนกัน เช่น TK 065 ก็จะเป็น TG 2473 ซึ่งเป็นเที่ยวบินร่วมระหว่างการบินไทยและเตอร์กิชแอร์ไลน์ในเครือข่ายสตาร์อัลไลแอนซ์ ป้ายบอกทางในสนามบินของเขาจะดูงง ๆ หน่อย ขนาดคนเดินทางบ่อย ๆ อย่างคุณชาย ยังงงเลย ดีที่สนามบินไม่ใหญ่มากเหมือนสุวรรณภูมิบ้านเรา เลยหาไม่ยาก
ที่ตุรกี เขาค่อนข้างเข้มงวดกับการรักษาความปลอดภัยในสนามบิน เพราะบ้านเขาเป็นตัวเชื่อมระหว่างยุโรปกับตะวันออกกลางและแอฟริกา ตอนเดินทางกลับ เขาตรวจค้นตัวและกระเป๋าติดตัว 2 รอบ รอบแรก ต้องผ่านด่านเอ็กซ์เรย์ เขาให้ถอดรองเท้า เข็มขัด นาฬิกา เสื้อสูท เข้าเครื่องทั้งหมด พอผ่านด่านนี้แล้ว ยังไม่ต้องเก็บนะครับ เพราะเดี๋ยวก็เจอตรวจอีกด่าน

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
4   )  กองทัพเดินด้วยท้องฉันใด นักท่องเที่ยวไทยก็อยู่ได้ด้วยน้ำปลาพริกฉันนั้น :katai2-1:

ตุรกีได้ชื่อว่า เป็นแหล่งผลิตอาหารของยุโรป (ครัวแห่งยุโรป) ด้วยความที่นี่อยู่ทางใต้สุดของยุโรป สภาพภูมิอากาศมีทั้งอบอุ่นและหนาวเย็น เลยสามารถเพาะปลูกพึชผักผลไม้ได้หลากหลายฤดูกาล
ที่ขึ้นชื่อ ได้แก่ ชีส โยเกิร์ต มะเขือเทศ มะเขือม่วง วอลนัท พิทาชิโอ้ น้ำผึ้ง ผักสลัดต่าง ๆ ชา กาแฟ เป็นต้น
อาหารตุรกี ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารประเภทเมดิเตอร์เรเนียน เน้นพวกอบ ปิ้ง ย่าง
ถ้าเป็นพวกรักสุขภาพ ชอบกินสลัดผัก อาจจะชอบก็ได้ (มั้ง) เพราะเขาเน้นพวกออร์แกนิค
รสธรรมชาติดั้งเดิม ไม่ปรุงแต่งอะไรเลย (ย้ำ) รสดั้งเดิมเริ่มแรกจริง ๆ
ใครชินกับรสชาติแบบอาหารไทย ควรพกน้ำพริก น้ำปลา กุนเชียง หมูหยอง หมูทอด ฯลฯ
ติดไปด้วย เพราะเขามีแต่ถั่ว เนยและผัก เป็นส่วนใหญ่ น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารจะเป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ซึ่งเราต่างก็รู้กันดีว่า น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่เหมาะกับการปรุงอาหารมากที่สุด
โคเลสเตอร์รอลน้อย มีไขมันดีสูง (HDL) แต่บ้านเรา น้ำมันมะกอกมีราคาแพง เพาะปลูกเองไม่ได้
เลยต้องใช้ไขมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งมีคุณสมบัติด้อยกว่ามาใช้ปรุงอาหารแทน
ที่นี่เขานิยมเอาพวกผัก เช่น หอมหัวใหญ่ ฟักทอง กระเจี๊ยบ มะเขือยาว มะเขือม่วง ฯลฯ มาชุบแป้งทอด เป็นเครื่องเคียง ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะเอามากินเคียงกับอะไร บ้านเขาไม่มีน้ำพริกให้จิ้มกินแบบบ้านเรา
นอกจากทานเป็นของว่างหรือทานกับสลัด แต่มะเขือย่างของเขารสชาติหวานนุ่มลิ้น อร่อยมาก
มะเขือเทศอีกอย่าง กรอบนอก หวานใน ยิ่งมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ เหมือนมะเขือราชินีบ้านเรา
ยิ่งอร่อยมาก คุณชายเอามากินเล่นต่างผลไม้เลย เชอรี่ที่นี่ เห็นแต่เชอรี่ดำ
ซึ่งมีรสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ไม่เห็นเชอรี่แดงเลย โดยส่วนตัว ผมชอบกินเชอรี่แดงมากกว่า
ซึ่งบ้านเราเรียกเชอรี่แดงว่า เชอรี่สีทอง ซึ่งทำให้ผมงงมาก เวลาไปซื้อที่ Gourmet
ถึงหน้าตาภายนอกของเชอรี่แดง จะดูเหมือนเปรี้ยว เพราะมีสีแดงอ่อน ๆ ผสมกับสีเหลืองนวล ๆ เหมือนผลยังไม่สุก แต่รสชาติเนื้อในหวานกรอบอร่อยกว่าเชอรี่ดำมาก เรียกว่า คนละรสชาติกันเลย แต่คนไทยกลับไม่ค่อยนิยมกินแฮะ แปลกดีเหมือนกัน

ขนมปัง ที่นี่มีขนมปังหลายประเภท ได้แก่

1. ขนมปังธรรมดา (Ekmek) เป็นอาหารหลักยอดนิยมของคนตุรกี มีลักษณะเป็นรูปเรียวมน ด้านบนจะมีหน้าแตกเป็นรอยปริของขนมปัง นิยมกินกับกับข้าวต่าง ๆ แบบเดียวกับเรากินข้าวกับกับข้าว ฉันใดฉันนั้น

2. ขนมปังแผ่นเรียบ (Pide) เป็นขนมปังที่พบเห็นได้ทั่วไปในประเทศมุสลิม ลักษณะแผ่นแบน ๆ อบย่างไฟ คล้ายนานของอินเดีย ผมมีโอกาสได้กินครั้งหนึ่ง ระหว่างทางไปเมืองคอนย่า
เขาให้แวะพักทานอาหารกลางวันกันที่คาราวานซารายแห่งหนึ่งที่ดัดแปลงเป็นร้านอาหารแบบเบดูอิน หรือ เติร์กโบราณ เขาเสิร์ฟเป็นชุด เริ่มด้วยซุปมะเขือเทศกับขนมปัง ตามด้วยจานหลัก เป็น ข้าวอบเนยกับไก่ย่างแบบเบดูอิน (Kebab) เสิร์ฟพร้อมผักและมันฝรั่งย่าง ปิดท้ายด้วย แป้งแผ่น (Pide)
และผลไม้สดตามฤดูกาล โดย Pide ที่นำมาเสิร์ฟ มี 2 หน้า หน้าแรก เป็น Pide อบชีส อีกหน้าเป็น Pide หน้าเนื้อบด เวลากินให้เอาทั้งสองแผ่นประกบกินพร้อมกัน ถึงจะได้รสชาติของชีสและเนื้อบดเคล้าเครื่องเทศ อร่อยดีครับ พวกผมกินเข้าไปหลายชิ้นเลยล่ะ

3. ขนมปังที่ทำเป็นรูปวงแหวนโรยงา (Simit) ลักษณะคล้ายเพรสเซล (Pretzel) จัดเป็นอาหารว่างยอดนิยมของชาวตุรกี  จะเห็นคนแบกใส่ถาดเดินขายอยู่ทั่วไป มีหลากหลายแบบ ทั้งแบบต้นตำรับ แบบโฮลท์วีท แบบผสมงาดำ และอื่น ๆ แต่จะมีรสชาติดีตอนที่ทำเสร็จใหม่ๆ ร้อน ๆ Simit ที่ผลิตในกรุงอังการาจะมีรสชาติดีกว่าของเมืองอื่น ๆ แต่ขอให้ทำใจเรื่องรสชาติไว้หน่อย อย่านึกว่า จะอร่อยเหมือน อาร์ตี้ อ้านท์ บ้านเรานะครับ มันออกแนวแข็ง ๆ ชืด ๆ มากกว่า เพราะคนที่นี่ชอบกินแบบธรรมชาติ ไม่ใส่น้ำตาล ผมต้องเอาไปจิ้มกับน้ำผึ้งหรือแยมหรือแกล้มกับชีส ถึงค่อยอร่อยหน่อย

4. แป้งห่อไส้ต่างๆ (Manti) นิยมกันกับโยเกิร์ตและเนยเหลว

คนตุรกีก็นิยมกินข้าวเหมือนเรานะครับ ข้าวตุรกี มีลักษณะเหมือนข้าวหอมมะลิบ้านเรา แต่การสีข้าวจะหยาบกว่า เลยมีสีนวล ๆ ไม่ขาวจั๊วะแบบบ้านเรา สงสัยว่า คงเป็นแบบออร์แกนิคตามเคย เขานิยมเอาไปหุงกับเนย ทำให้ข้าวมีกลิ่นหอมมาก ข้าวอีกอย่างที่เห็นเอามากิน คือ ข้าวบาร์เล่ย์ ซึ่งก็เป็นออร์แกนิคอีกตามเคย

ส่วนอาหารประเภทย่าง หรือที่เรียกรวมๆกันว่า “Kebab” เป็นอาหารดั้งเดิมของชาวเติร์ก
เพราะปรุงง่าย เก็บได้นาน เหมาะสำหรับชาวเบดูอิน หรือชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในกระโจม
เนื้อที่ใช้ย่างมี ๓ ประเภทคือ ไก่ วัว และแกะ

“เคบับ” มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ที่คนทั่วไปรู้จักคุ้นเคยได้แก่ Sis Kebab และ Doner Kebab
ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอาหารของชาวกรีก คือ เป็นเนื้อที่หั่นเป็นชิ้นๆ
และนำไปเสียบกับไม้หรือเหล็กเพื่อนำไปย่างไฟ โดยเสียบกับแกนเหล็กแล้วนำไปย่างในเครื่องย่าง
ที่หมุนได้ เนื้อส่วนที่ย่างสุกแล้วจะถูกนำมาเฉือนนำไปรับประทานกับขนมปัง

อาหารประเภทที่มีผัก แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ผักสด 2) ผักที่นำมาปรุงด้วยน้ำมันมะกอก และ 3) ผักที่นำมาใช้ห่อหรือยัดไส้ หรือที่เรียกว่า “ Dolma”
หากเป็นการยัดไส้ ไส้ข้างในมักจะเป็นข้าวหรือเนื้อที่ผ่านการปรุงรสและผสมมาแล้วอย่างดี ผักที่จะนำมายัดไส้ส่วนใหญ่ ได้แก่ มะเขือยาว มะเขือเทศ และพริกเม็ดใหญ่ ส่วนผักที่นิยมมาใช้ห่อข้าวปรุงรส ได้แก่ กะหล่ำปลีและใบองุ่น

ผักที่ใช้กินกับสลัดต่าง ๆ มักมีผักยืนพื้น ได้แก่ แตงกวา ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ กะหล่ำปลี เลมอนเนด และผักสลัดอื่น ๆ แล้วแต่ภูมิภาค สะระแหน่ยังมีเลย สำหรับน้ำสลัด มีให้เลือกหลากหลาย เช่น ซอสแอปเปิ้ล ซอสเชอรี่ น้ำมันมะกอก ฯลฯ คนรักสุขภาพ คงชอบ (มั้ง?) ที่นี่รสธรรมชาติดั้งเดิมมาก ไม่ปรุงแต่งอะไรเลย เพราะฉะนั้น น้ำมันมะกอก ก็เป็นน้ำมันมะกอกล้วน ๆ ซอสเชอรี่ ก็เหนียวข้น เปรี้ยวได้ใจ ซอสแอปเปิ้ลก็เปรี้ยวจนน้ำตาเล็ด น้ำส้มสายชูบ้านเราดี ๆ นี่เอง ไอ้น้ำสลัดแบบน้ำใสอิตาลี ทาวเซนด์ไอร์แลนด์ ครีมสลัดมายองเนสแบบบ้านเรา อย่าหวัง ไม่มี๊ ต้องมาปรุงรสเอาเอง ดีที่หัวหน้าทัวร์คนไทยที่ร่วมเดินทางไปด้วย เขาเตรียมพวกน้ำพริกตาแดง น้ำพริกปลาย่าง น้ำปลาพริกกระเทียม น้ำจิ้มซีฟู้ด ซอสแม็กกี้ มายองเนส หมูเค็ม หมูหยอง หมูหวาน มาม่า โจ๊กสำเร็จรูป ฯลฯ ไปด้วย เลยพอช่วยชีวิตได้เยอะเลย

แกงถั่วแขกหรือถั่วลันเตาใส่เครื่องเทศนี่ขาดไม่ได้ มีทุกที่ที่ไปพัก อีกอย่างคือ พริกดอง และพริกสดบดผสมกับมะเขือเทศ (ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ขอบอกว่า ไอ้นี่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารแก้เลี่ยนได้ดีมาก ผมซัดไอ้นี่แก้เลี่ยนทุกมื้อเลย) ที่อร่อยอีกอย่าง คือ มะเขือเทศสอดไส้ข้าว มะเขือม่วงสอดไส้ข้าวหรือเนื้อบด บางที่ก็เอาไปผัดกับเนื้อบด ซาลามี่ แฮมเนื้อ ไข่ต้ม (โรงแรมบางที่มีการแบ่งไข้ต้มเป็น 2 แบบ คือ ไข่ต้มสุก กับ ไข่ต้มยางมะตูม ไข่ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นไข่เป็ดหรือไข่ไก่ เปลือกไข่จะขาวเหมือนกัน เนื้อไข่แดงน่ากินมาก) ขอบอกว่า มะเขือม่วงย่างที่นี่อร่อยมากกกก ผมเอามาคลุกเข้าวกินกับน้ำปลาพริก โคครอร่อยเลย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม อีกอย่างหนึ่งที่รสชาติอย่างนึกไม่ถึง คือ มักกะโรนีผัดซอสมะเขือเทศ ช่วยชีวิตกินแก้เลี่ยนได้เยอะเลย

เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อวัว เนื้อหมูหมดสิทธิ์แน่นอน ส่วนเนื้อไก่และปลา อาจมีบ้างแล้วแต่ว่าภูมิภาคนั้นอยู่ใกล้ทะเลหรือทะเลสาบหรือเปล่า แต่ไก่และปลาบ้านเขา อร่อยมาก เนื้อไก่เหนียวนุ่มแบบไก่บ้าน ไม่ฟ่ามเหมือนไก่ใส่ฮอร์โมนแบบบ้านเราส่วนเมนูปลา เขานิยมกินปลาเทร้าและปลาซาบะ ปลาเทร้าก้างเล็กแล้วมีเยอะตลอดตัว เหมือนปลาจีนบ้านเรา เขานิยมเอามาย่างเคล้าเกลือ แปลกแต่จริง ทีอาหารอย่างอื่น ทำเป็นแบบออร์แกนิค ไม่ปรุงแต่งอะไรเลย แต่เนื้อปลาย่าง พี่แกใส่เกลือซะเค็มเชียว เจอกี่ที่ก็เค็มนำมาก่อนเลย งงกับวิธีการปรุงอาหารของเขาจริง ๆ แฮะ เวลากินปลาเทร้า ต้องบี้เนื้อแยกก้างออกมาให้ดี ไม่งั้นก้างติดคอเอาง่าย ๆ ปลาแซลมอนมีเห็นบ้างประปราย ได้กินที่อิสตันบูล ส่วนที่อื่นไม่เห็นเลย ส่วนอาหารทะเลอย่างอื่น เท่าที่ไกด์ท้องถิ่นเล่าให้ฟัง คนตุรกีไม่นิยมกินกุ้งและสัตว์มีเปลือกหรือกระดอง หอยมีกินบ้างประปราย แต่ปูแทบไม่เห็นเลย อะไรที่ต้องแคะ ต้องแกะ พี่แกไม่เอาเลย คงเพราะตามหลักศาสนาอิสลามมั้งครับ ผมไม่แน่ใจ ผู้รู้ช่วยบอกหน่อยก็ดี

นอกจากข้าวและผักต่าง ๆ แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่อร่อยมาก คือ น้ำผึ้ง ครับ ซึ่งน้ำผึ้งบ้านเขารสชาติดีมาก อร่อยกว่าบ้านเราเยอะ น้ำผึ้งแท้ 100% ไม่ผสมอะไรเลย เหนียวเข้มข้นมาก ยังกับแบะแซ ขนาดเทออกมา ยังไม่ค่อยจะไหลลงมาเลย แถมยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ไปดูดน้ำหวานมาด้วย ไม่เหมือนบ้านเรา น้ำผึ้งเหลวกว่าเยอะ บางที่ผสมน้ำตาลเข้าไปด้วย ถ้าอยากรู้ว่า เป็นน้ำผึ้งแท้หรือเปล่า ให้หยดน้ำผึ้งวางทิ้งไว้ ถ้ามดขึ้น แสดงว่ามีผสมน้ำตาล เพราะน้ำผึ้งแท้ มดจะไม่ตอม ซึ่งผมพิสูจน์มาแล้ว

ของขึ้นชื่อที่นี่อีกอย่าง คือ “ชีส” ชีสตุรกี ผมว่า อร่อยสูสีกับของสวิสเซอร์แลนด์เลย ใครที่ชอบกินชีส ที่นี่คือ สวรรค์ของคนรักชีส เพราะชีสที่นี่เนื้อนุ่ม เหนียว หนึบ เค็ม ๆ มัน ๆ ดี กินเปล่าๆ ก็อร่อย กินกับขนมปังก็เข้ากันมาก ชีสที่นี่เป็นเชดดาชีส (มั้ง) – ผมก็ไม่ใช่ผู้สันทัดเรื่องชีสเสียด้วยสิ แต่ไม่ใช่แบบที่มีราขึ้นเหมือนที่นิยมกินกันแถบเชงเก้นและสแกนดิเนเวียน ในเมนูอาหารเช้าของทุกโรงแรม ต้องมีถาดใส่ชีสและเนยประเภทต่าง ๆ วางไว้ 1 ถาด ซึ่งปกติผมไม่ค่อยชอบกินชีสเท่าไหร่ แต่มาที่นี่ ผมกินมันทุกมื้อเลย (เพราะเป็นอย่างหนึ่งที่กินได้) แถมมีหลายแบบให้เลือกด้วย มีทั้งชีสเพียว ๆ ชีสผสมวอลนัท ชีสผสมพิทาชิโอ ฯลฯ ทุกเช้า ผมต้องทาชีสที่ว่ากับขนมปัง ซดกับกาแฟ อิ่มท้องสบายแฮ ต้องเบิ้ลชีสอย่างน้อย 3 กล่อง (กล่องขนาดเล็ก ทาขนมปังได้ 1 แผ่น)

ถั่วของที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็น วอลนัท (คล้ายเกาลัดบ้านเรา) และพิทาชิโอ้ รสชาติหอมมัน เคี้ยวเพลินมาก ผมชอบซื้อมาแทะเล่นระหว่างเดินทาง เล่นเอาเจ็บลิ้นพอ ๆ กับแทะเม็ดแตงโมเลย คนที่นี่นิยมเอาถั่วมาปรุงอาหาร ทั้งต้มซุปถั่ว ผัดถั่วแขก/ถั่วลันเตา (เขาผัดแบบอินเดียนะครับ คือ ใส่เครื่องเทศ พริกแกง มะเขือเทศ ลงไปด้วย ไม่ได้ผัดแบบใส่ซอส/น้ำปลาเหมือนบ้านเรา) แกงถั่ว (หน้าตาเหมือนแกงถั่วอินเดีย) วอลนัทของที่นี่ เขาเอามาคั่วใส่กระทะเหมือนคั่วเกาลัดบ้านเราเด๊ะ เลยลองซื้อมากินระหว่างรอเข้าพระราชวังทอปกาปึ รสชาติใช้ได้เลย เหมือนเกาลัดบ้านเรา แต่เขาไม่มีที่เจาะเปลือกมาให้เหมือนบ้านเรานะครับ ต้องใช้พลังดรรชนีและกำลังภายในกันพอสมควร รวมถึงใช้ทดสอบความแข็งแกร่งของฟันเราด้วย

โยเกิร์ตสด ใครที่ชอบกินโยเกิร์ตแบบที่บ้านเราผสมผลไม้นู่นนี่นั่น มากินที่นี่ต้องทำใจ หาส่วนผสมปรุงแต่งเอาเองนะครับ เพราะโยเกิร์ตเขาเป็นแบบออร์แกนิค เปรี้ยวปรี๊ด ผมต้องเอามาผสมกับน้ำผึ้งใส่ผลไม้แห้ง ถึงจะอร่อยได้รสแบบบ้านเรา ส่วนแยมของตุรกี จะเป็นแยมธรรมชาติจากผลไม้ท้องถิ่น เช่น แอปเปิ้ล เชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ส้มมาร์มาเลด รสชาติดั้งเดิม เหมือนปลิดจากต้น ใครที่เคยชินกับแยมปรุงแต่งบ้านเรา คงต้องทำใจหน่อย เพราะแยมที่นี่ รสเปรี้ยวมาก ต้องเอามาผสมเอาเอง อย่าหวังว่า รสชาติจะกลมกล่อมแบบบ้านเรา ผมต้องเอามาผสมกับน้ำผึ้งก่อนทากับขนมปัง ค่อยพอกินได้หน่อย
เครื่องซีเรียลผสมนมสด มีผลไม้แห้งต่าง ๆ ให้เลือก เช่น ลูกเกด ลูกพรุน แอปริคอท อินทผลัม มะกอกดำ มะกอกเขียว ฯลฯ ขอบอกว่า มะกอกเป็นผลไม้ยอดนิยมของที่นี่ มีตั้งโต๊ะทุกที่ ผมลองชิมดูบ้าง เค็มปี๋ เปรี้ยวปรี๊ด เลยเลิกกินตั้งแต่นั้น เหมาะสำหรับคนท้องผูก กินเข้าไปรับรอง ถ่ายสะดวกแน่นอน


[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2014 19:38:48 โดย fanfic2010 »

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13
ผู้หญิงตุรกีสวยมากกกกกกกกเลยค่ะ หน้าออกแขกขาว>\\\<
ผิวก็สวยเนียน น่าอิจฉาจังเลย

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
หน้าออกฝรั่ง ผมทองก็เยอะครับ ยิ่งแถบอิสตัสบูลและชายฝั่งทะเลมาร์มาร่าและทะเลดำ
ยิ่งสวย หน้าคมออกฝรั่ง ผิวขาวเนียนอมชมพู ไม่ต้องแต่งหน้ามาก ก็สวยแล้ว
ยิ่งสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ออกกฎหมายเรียกเก็บภาษีคนที่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่มุสลิมอย่างโหด
ทำให้ชาวยุโรปเปลี่ยนมานับถืออิสลาม เพื่อเลี่ยงภาษีกันเยอะ เลยเกิดการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์กันเยอะ

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
หนที่แล้ว เล่าถึงของคาวไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงของหวานบ้าง ขนมหวานของตุรกีมีหลายประเภท
แต่ทุกประเภทล้วนมีรสหวานแสบไส้ แสบชนิดที่เรียกว่า "แสบไปถึงลำไส้ใหญ่" ทั้งสิ้น
ขนาดผมชอบกินขนมหวานจำพวก ทองหยิบ ทองหยอด เม็ดขนุน ฝอยทอง ฯลฯ ยังยอมแพ้
แล้วขนมหวานบางประเภทยังมีส่วนผสมของนมแพะด้วย สำหรับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับนมแพะ
อาจจะไม่ค่อยชอบกลิ่นสาบของมันเท่าไหร่

ขนมหวานของตุรกีที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ได้แก่ “เตอร์กิชดีไลท์ (Turkish Delight) 
หรือภาษาตุรกีเรียกว่า “โลคุม” มีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ คล้ายลูกเต๋าคลุกกับแป้งสีขาวหรือ
มะพร้าวป่น เนื้อในของขนมจะเหนียวใส มีรสหวานจัด นิยมกินคู่กับชาหรือกาแฟ
โดยความเห็นส่วนตัวจากที่ได้ลองชิมมา รวมถึงซื้อกลับมาให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงได้ลองชิมด้วย
ผมว่า มันเหมือนกาละแมบ้านเรามาก เพียงแต่กาละแมบ้านเรา มีกะทิและน้ำตาลปี๊บเป็นส่วนผสม
สำคัญ ส่วนของเขาใช้น้ำตาลหรือน้ำผึ้งเคี่ยวแทน ผมเลยเรียก ขนมเตอร์กิช ดีไลท์ ว่า “กาละแมตุรกี”

 “โลคุม” เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 1777 หรือเมื่อ 300 ปีที่ผ่านมา โดยฝีมือของพนักงานทำขนมหวานในราชสำนักของจักรวรรดิออตโตมันอันยิ่งใหญ่ ชื่อ Mr. Haci Bekir ซึ่งคงได้แนวคิด
ในการทำ “โลคุม” มาจากขนมโบราณชนิดหนึ่งที่นิยมกินกันอย่างมากในแถบตะวันออกกลาง
ซึ่งมีหลักฐานกล่าวถึงขนมชนิดนี้ไว้ด้วยในศตวรรษ 14

ในตอนแรก ขนมนี้เรียกเป็นภาษาอารบิคว่า “rahat ul – hulkum” มีความหมายในภาษาอารบิคว่า
 “ความเบิกบานสำหรับลำคอ” (มันเบิกบานตรงไหน?!  :m28:)
ขนมชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั่วทั้งจักรวรรดิออตโตมันและประเทศใกล้เคียงอื่นๆ
ต่อมาในศตวรรษที่ 18 นักเดินทางชาวอังกฤษผู้หนึ่ง ซึ่งได้เดินทางมายังนครอิสตันบูล
ได้มีโอกาสทดลองชิมขนมชนิดนี้และรู้สึกชอบมาก จึงได้ตั้งชื่อขนมนี้เป็นภาษาอังกฤษว่า
“Turkish Delight” ซึ่งนาย Haci ได้ส่งขนม Turkish Delight ของตนเองไปร่วมประกวดในยุโรป
เมื่อปี ค.ศ 1873 และได้รับรางวัลด้วย ทุกวันนี้ร้านขนมของ Mr. Haci Bekir ยังคงเปิดขาย
เตอร์กิชดีไลท์อยู่ใกล้ๆ New Mosque แม้เวลาจะผ่านมา 300 ปีแล้วก็ตาม
โดยมีลูกหลานเหลนโหลนลื่อเป็นผู้สืบทอดฝีมือการทำขนมนี้สืบต่อกันมา
ผมว่า เขาน่าจะไปจดสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญาเอาไว้นะครับ เดี๋ยวจะถูกขโมยลิขสิทธิ์
แบบข้าวหอมมะลิบ้านเรา ขณะที่เตอร์กิชดีไลท์ในปัจจุบัน ได้มีการดัดแปลงผสมของอย่างอื่น
ลงไปหลายอย่าง อาทิ อัลมอนต์ วอลนัท ถั่ว แมคคาดาเมีย พิทาชิโอ้ ส้ม ช็อกโกแล็ต ฯลฯ
ซึ่งก็อร่อยไปอีกแบบ

ตอนที่ไปสไปซ์มาร์เกต ผมซื้อเตอร์กิช ดีไลท์กลับมา 1 กิโล เป็นแบบดัดแปลงผสมของอย่างอื่นลง
ไปด้วย เพราะมันหวานน้อยกว่ารสต้นตำรับ แต่ราคาไม่ถูกนะครับ 1 กิโล = 85 USD
(ประมาณ 2,800 บาท) “โลคุม” ที่ซื้อมา ผมเลือกรสคละเคล้ากันไป 4 รส เพราะอยากลองชิม
หลาย ๆ อย่าง ได้แก่ โลคุมรสนมแพะคลุกพิทาชิโอ้ – รสชาติออกหวานมันหนึบ ๆ ดี
เหมือนกินท็อฟฟี่นม โลคุมน้ำผึ้งคลุกผลเบอร์รี่แห้ง – รสออกหวานอมเปรี้ยว เคี้ยวมันดี
เหมือนกินซูกัส โลคุมน้ำผึ้งคลุกกลีบกุหลาบแห้ง – ที่ซื้อเพราะชอบชื่อ เขาตั้งชื่อเอาไว้ซะเพราะ
ว่า “Lover Turkish Delight” (คุณชายแกรีเควส บอกว่า รสแปลกดี) และโลคุมน้ำผึ้งคลุกอัลมอนด์
ทางร้านที่ซื้อเขารับประกันว่า โลคุมร้านเขาทำจากน้ำผึ้งแท้ ไม่ผสมน้ำตาล ไม่ใส่สารกันบูด
สามารถเก็บได้นาน 6 เดือนโดยไม่ต้องเข้าตู้เย็น เวลาจะรับประทาน ก็ตัดแบ่งออกมา แล้วปิดผนึกถุงให้สนิท อย่าให้โดนลม ไม่งั้นโลคุมจะเหนียว (เขาแพ็คใส่ถุงสุญญากาศมาให้)
เขาย้ำแล้วย้ำอีกว่า ห้ามเอาเข้าตู้เย็น เพราะมันจะแข็ง เสียรสชาติ
อ้อ! ก่อนซื้อ เราสามารถขอชิมฟรีได้ทุกอย่าง พอใจค่อยตัดสินใจซื้อ

ขนมหวานอีกประเภทหนึ่งที่มีชื่อเสียงของตุรกีคือ “Baklava” ซึ่งมีอยู่หลายประเภท
หน้าตาจะคล้าย ๆ พายราดน้ำเชื่อมจนฉ่ำเยิ้ม และที่เห็นมาส่วนใหญ่จะนิยมสอดไส้วอลนัท
ทำให้รสชาติออกหวาน ๆ มัน ๆ นอกจากขนมหวานตระกูล “Baklava” แล้ว
ยังมีขนมหวานอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในตุรกีคือ “Lokma”
ซึ่งเป็นแป้งทอดในน้ำมันแล้วนำมาแช่ในน้ำเชื่อม ทั้ง Baklava และ Lokma
ทุกอย่างหวานแสบไส้ไปหมด หวานแบบชวนให้สงสัยว่า เขากินเข้าไปได้ยังไง
แอบสังเกตุเห็นคนตุรกีและคนตะวันออกกลาง รวมถึงฝรั่งบางคน เขาตักกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ผมลองชิมทีนึง ต้องดื่มกาแฟตามเกือบหมดถ้วย เพื่อดับความหวาน
แต่พอกาแฟกินกับขนมหวานพวกนี้แล้ว กลับเข้ากันได้ดี อร่อยไปอีกแบบ

อาหารของเขาไม่ว่าจะภาคไหน ก็จะคล้ายคลึงกันมาก ตลอดเวลา 8 วันที่ท่องเที่ยวตุรกี
ในพื้นที่ต่าง ๆ กัน อาหารเช้า กลางวัน เย็น ก็จะซ้ำ ๆ กันเกือบทุกมื้อ เรียกว่า หลับตานึกได้เลยว่า
จะมีอะไรตั้งอยู่ในบุพเฟ่ห์ของโรงแรมบ้าง ส่วนอาหารอย่างอื่น ก็มีแตกต่างกันไปบ้างตามภูมิภาค
ตอนแรกก็ตื่นเต้น ชิมนั่นชิมนี่ไปเรื่อย แต่พอกินไปสัก 2-3 มื้อ ชักเลี่ยนเต็มที
คิดถึงน้ำพริกผักสดบ้านเรามาก แกงใส่เครื่องเทศของเขา  สำหรับผม มันเหมือนไม่ถึงเครื่องน่ะ
แกงอีกอย่าง ดูคล้ายแกงมัสมั่นเนื้อ แต่พอกินเข้าไป รสมันจืดชืด ไม่ไปทางไหนเลย
มันเลี่ยนอย่างเดียว ต้องเอามาใส่ซอสแม็กกี้ ถึงพอกินได้หน่อย

ตามประวัติอาหารของชาวตุรกี ปรากฏว่า ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 หลังจากนั้น ก็ค่อนข้างจะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ไม่รู้ว่า จะเปรียบเทียบกับคนได้มั้ย ประมาณว่า ก่อนแต่ง จะเสเพลยังไงก็ได้ แต่พอแต่งงานแล้ว ต้องรักเดียวใจเดียว มีความเป็นหัวหน้าครอบครัวสูง สำหรับผม มันน่าเบื่อนะครับ ถ้าต้องกินอาหารคล้ายกัน ซ้ำกันทุกมื้อ ขนาดอาหารไทยมีหลากหลายประเภทให้เลือก บางทีเรายังเบื่อกันเลย


[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2014 16:38:31 โดย fanfic2010 »

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
**กาแฟตุรกี**

กาแฟตุรกีเป็นกาแฟแบบมีกาก เป็นเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไปโลก
กาแฟ ชาวตุรกีเรียกกาแฟว่า “Kahve” (คาเฟ่) เชื่อกันว่ากาแฟที่นำเข้ามาในตุรกีในยุคแรก
เป็นกาแฟจากเยเมน โดยมีพ่อค้านำมาถวายต่อสุลต่าน ต่อมา จึงเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่ราชสำนัก
สมัยออตโตมัน ยิ่งในสมัยสุลต่านเมห์เมตที่ 4 กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในราชสำนัก
ถึงกับมีการแต่งตั้งพนักงานประจำทำหน้าที่เตรียมกาแฟถวายสุลต่านโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า หากพระราชมารดาของสุลต่านต้องการจะแนะนำนางกำนัลคนไหนให้
สุลต่านได้รู้จัก ก็จะโปรดให้นางกำนัลคนนั้นนำกาแฟไปถวายแด่สุลต่าน เพื่อเป็นการแนะนำตัว
และอาจได้ถวายตัวถ้าถูกใจองค์สุลต่าน เรียกว่า เป็นสื่อในการเลือกนางในฮาเร็มอีกทางหนึ่ง
ขององค์สุลต่าน

ต้นกำเนิดของกาแฟมีตำนานเล่าขานมายาวนาน ตั้งแต่สมัยอบิสซิเนีย โดยตามตำนานเล่าว่า
คนเลี้ยงแพะในทุ่งหญ้า สังเกตพบว่า เวลาที่แพะกินผลไม้จากต้นไม้ชนิดหนึ่งเข้าไปจะรู้สึกสดชื่น
มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที จึงได้ไปบอกกับนักบวชในศาสนาผู้หนึ่งชื่อ Shazili
นักบวชผู้นี้จึงได้ทดลองนำเมล็ดจากต้นไม้ดังกล่าวมาต้มดื่มดู ปรากฏว่า เมื่อดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกสดชื่น
ขึ้น จึงได้เริ่มแพร่กระจายไปในหมู่เบดูอินหรือชนเผ่าเร่ร่อน
ต่อมา ในศตวรรษที่ ๑๕ ข้าหลวงออตโตมันประจำเยเมน ชื่อ Ozdemir Pasha ได้นำเมล็ดพืชดังกล่าว
ออกจากเอธิโอเปียไปเพาะขยายพันธุ์ในเยเมน ทำให้เยเมนกลายเป็นแหล่งผลิตกาแฟที่สำคัญ
ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ดี เนื่องจากปริมาณความต้องการกาแฟได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กาแฟที่ผลิตได้จากเยเมนไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
ภายหลังที่โคลัมบัสได้ค้นพบทวีปอเมริกาแล้ว จึงได้มีการนำพันธุ์ไปเพาะขยายพันธุ์ในทวีปอเมริกาใต้
ซึ่งมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้กาแฟขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับกาแฟที่ได้เผยแพร่ต่อไปยังประเทศยุโรปอื่นๆ นั้น ตามประวัติเล่าว่า
ภายหลังที่จักรวรรดิออตโตมันไม่ประสบความสำเร็จในการโจมตีกรุงเวียนนาครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1683
กองทหารออตโตมันเติร์กได้ทิ้งกระสอบบรรจุเมล็ดกาแฟ จำนวนหลายร้อยถุงเอาไว้
นอกกำแพงกรุงเวียนนา พอทหารออสเตรียไปพบเข้าจึงนำไปเผาทำลาย
มีนายทหารคนหนึ่ง ชื่อ kolschizky ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นครอิสตันบูลได้กลิ่นกาแฟที่กำลังถูกเผา
จึงนำกาแฟที่เหลือรอดจากการถูกเผาไปเผยแพร่ให้ชาวออสเตรียได้รู้จัก
และกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวออสเตรียและชาวยุโรปชาติอื่น ๆ ในเวลาต่อมา
ดังนั้น “เวียนนา คอฟฟี่” จึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยประการฉะนี้แล

กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในหมู่ชาวตุรกีทั่วไป ซึ่งมองว่า
การดื่มกาแฟนอกจากจะเพื่อความสำราญส่วนตัวแล้ว ยังเป็นกิจกรรมทางสังคมที่สำคัญ
และได้นำไปสู่ประเพณีการทำนายโชคชะตาจากถ้วยกาแฟ ซึ่งเป็นที่นิยม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่สาว ๆ  ซึ่งวิธีการทำนาย ก็คือ เมื่อดื่มกาแฟหมดถ้วยแล้ว
ให้ผู้ดื่มคว่ำถ้วยกาแฟที่เหลือแต่กากลง ซึ่งเป็นถ้วยขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2 นิ้ว
และกล่าวคำอธิษฐาน “kahve pir, kalbime gir, kalbimden Cik, fincana gir”
ซึ่งมีความหมายว่า “ขอให้กาแฟเข้าไปสู่หัวใจของข้าพเจ้า แล้วกลับออกมา และเข้าไปในถ้วยกาแฟ”
จากนั้น หมอดูจะทำการเปิดถ้วยกาแฟ เพื่อดูคราบกาแฟในถ้วย
โดยจะกล่าวคำว่า “Neyse halin Ciksin falin” ซึ่งมีความหมายว่า
“ข้าพเจ้าหวังว่าโชคชะตาของคุณจะปรากฏอยู่ในถ้วยใบนี้”

ตอนที่ไปเมืองอะโครโปลิส ระหว่างนั่งรอคนอื่นไปถ่ายรูปกับซากอารยธรรมกรีก-โรมันโบราณ
ผมก็มานั่งรอที่ร้านกาแฟบริเวณสถานีเคเบิ้ล ทราบจากไกด์ว่า มียายคนหนึ่งแกดูกากกาแฟแม่น
ก็เลยเดินไปตามขอให้แกมาดูให้หน่อย แกก็ทำนายมาให้
ก็ต้องรอดูต่อไปว่า จะแม่นยำสมคำร่ำลือหรือเปล่า

จากที่มีโอกาสได้ลองชิมกาแฟตุรกีดู คนที่นี่นิยมดื่มกาแฟดำกันในถ้วยเล็ก ๆ ประมาณ 1 shot
รสชาติใช้ได้ แต่สำหรับคอกาแฟดำอย่างผม รู้สึกว่า มันยังไม่เข้มสะใจ รสมันอ่อนไปหน่อย
ต้องขอ double shot แต่คุณชายบอกว่า แค่ shot เดียว ก็ขมแล้ว ก็นานาจิตตังเนอะ
แต่ชอบใจแพ็คเกจกระดาษห่อน้ำตาลของเขามาก เขาห่อทีละก้อน ออกแบบน่ารักดี
เวลากิน ผมไม่ชอบใส่น้ำตาลลงในกาแฟ รู้สึกทำให้เสียรสชาติของกาแฟที่ควรเป็น
ผมชอบอมน้ำตาลไว้ในปากแล้วดื่มกาแฟตามมากกว่า


[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
**ชาตุรกี**

นอกจากคนตุรกีจะนิยมดื่มกาแฟแล้ว ยังนิยมดื่มชาอีกด้วย
ชาอันดับหนึ่งที่คนตุรกีนิยมดื่มกันคือ ชาดำร้อน แบบบ้านเราที่น้ำชามีสีออกแดงเข้ม
มีกลิ่นหอม รสชาติออกแนวชาจีนแต่รสเข้มกว่า ดื่มครั้งแรกอาจรู้สึกว่า ขมคอนิด ๆ
แต่ผ่านไปสักพัก จะรู้สึกถึงความหวานติดปลายลิ้น
ส่วนชายอดนิยมอันดับสองคือชาแอ็บเปิ้ล รสหวานอมเปรี้ยว กลมกล่อมดี
มีข้อควรระวังคือ ชามีส่วนทำให้ท้องผูก ถ้าคนที่ถ่ายยาก อาจต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย
ส่วนตัวผมชอบดื่มทั้งสองชนิดเลย ถ้าร้อน ๆ มา ก็ดื่มชาดำร้อน จะรู้สึกสดชื่นขึ้น
ถ้ารู้สึกเพลีย ก็ให้ดื่มชาแอ็บเปิ้ล ซึ่งผมชอบถ้วยชาของเขามาก
เขาจะชงใส่แก้วทรงดอกทิวลิปใบเล็กน่ารัก เก็บความร้อนได้ดี
เวลาเสิร์ฟจึงต้องมีจานรองแก้วมาด้วย ไม่งั้นร้อนมือมาก
แล้วรูปแก้วทรงกระเปาะ ก้นถ้วยจะเป็นที่กรองกากชาที่ติดมาด้วย
นอกจากนี้ อุปกรณ์ที่ใช้ชงชาของเขาก็มีลักษณะพิเศษ
เรียกว่า “ซาโมวาร์” (Samovar) เป็นกาชงชาพิเศษทรงสวย
ด้านบนเป็นที่ใส่น้ำชาและใบชา ด้านล่างเป็นที่ใส่ถ่านทำความร้อน
ให้ความรู้สึกแบบเบดูอินไปอีกแบบ บางทีเขาใช้กาเซรามิควาดลวดลายสวยงามมาก
เห็นแล้วเสียดายไม่อยากใช้

ตอนที่ไปถึงอิสตันบูลวันแรก ระหว่างนั่งรถเข้าเมืองไปโรงแรมที่พัก รถขับเลียบชายฝั่งทะเลมาร์มาร่า เห็นครอบครัวชาวตุรกีหลายครอบครัว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ชายและหญิง ต่างหอบข้าวของโต๊ะ เก้าอี้ เตาปิ้ง-ย่าง มานั่งล้อมวงปิกนิกกันที่สวนสาธารณะ ผู้ใหญ่ก็นั่งล้อมวงคุยกันโดยมีชาดำร้อน หรือ Cay (ไช่) เป็นเครื่องดื่มเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัว ส่วนเด็ก ๆ ก็วิ่งเล่นกัน หรือเล่นเครื่องเล่นในสวนกันเป็นที่สนุกสนาน เป็นภาพครอบครัวที่ดูอบอุ่นมาก ซึ่งหาดูไม่ค่อยได้แล้วในบ้านเรา ทำให้คนตุรกีถึงมีความผูกพันกับครอบครัวมาก อีกอย่างที่เห็นระหว่างทางตอนไปทางภาคตะวันออก คือ ผู้ชายตุรกีจะนิยมมานั่งดื่มน้ำชากันที่ร้านน้ำชา เหมือนเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของผู้ชาย เหมือนวิถีชีวิตทางภาคใต้ของบ้านเราเลย ส่วนผู้หญิงจะไม่ค่อยเห็นออกมานอกบ้าน

อีกอย่างที่เห็นแล้ว แปลกใจ คือ ที่นี่มีเบียร์ขายด้วยครับ!!  ทั้งที่เป็นเมืองอิสลาม
ที่อิสตันบูลก็มีผับ บาร์ ไนต์คลับเหมือนประเทศตะวันตกอื่น ๆ อาจเพราะอยู่ใกล้ยุโรปมั้ง
ส่วนเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ด้านในแผ่นดินเข้าไป จะเห็นอยู่แต่ในโรงแรมเท่านั้น
ข้างนอกก็จะเป็นร้านนั่งกินข้าวเคล้าเสียงเพลงกันมากกว่า

เบียร์ที่นี่เป็นเบียร์ท้องถิ่น มีหลายยี่ห้อ แต่ที่เป็นที่นิยมมี 2 ยี่ห้อ คือ
Efes (ได้แรงบันดาลใจมาจากเมือง Ephesus) และ Tuborg
ผมลองชิมดู  Efes รสชาติคล้ายลีโอ ส่วน Tuborg ก็คล้าย Chang Export
ถ้าใครไปตุรกี ทั้งสองยี่ห้อเขามีเสิร์ฟบนเครื่องบินด้วย ลองขอชิมได้
แต่บอกไว้ก่อนนะครับว่า ถ้าไปเตอร์กิชแอร์ไลน์ ให้ขอสำรองเอาไว้เลย
เพราะเขาเสิร์ฟตามเวลาที่กำหนด ไอ้ที่จะขอนู่นนี่นั่นไม่เป็นเวลา
ขอแล้วขออีกเหมือนนั่งการบินไทย เขาไม่ให้นะครับ
บอกหน้าตาเฉยว่า ขอโทษ หมดเวลาเสิร์ฟแล้ว ให้รอรอบต่อไป
นี่ขนาดว่า เตอร์กิชแอร์ไลน์ ได้รับรางวัลสายการบินดีที่สุดในยุโรปมา 3 ปี รวมถึงปี 2013 นี้ด้วย
และยังได้รับรางวัลสายการบินดีที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก
ใครที่ชอบบ่นว่า ลูกเรือไทยไม่ชอบดูแลคนไทย ลองไปนั่งสายการบินอื่นดู
แล้วจะรู้ว่า คนไทยเรามีอัธยาศัยไมตรีรับแขกที่สุดแล้ว อะไรหยวนได้ ก็หยวนกันไป
ยกเว้นว่า คุณไปรบกวนการทำงานของเขาหรือรบกวนผู้โดยสารคนอื่น

ส่วนไวน์ตุรกี ก็รสชาติไม่เลว แต่พอดีผมไม่ใช่ผู้สันทัดเรื่องไวน์ เลยบอกไม่ได้ว่า รสชาติเป็นไง
เหมือนไวน์ฝรั่งเศสมั้ย แต่สันนิษฐานเอาเองว่า ตุรกีเป็นแหล่งปลูกองุ่น
ดินที่นี่น่าจะทำให้องุ่นมีรสดีเหมือนกัน

โม้นอกเรื่องมาเยอะแล้ว คราวหน้าจะเข้าเรื่องไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้วครับ  :m23:

[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ stormphoenix

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2269
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-3
แว้บมาส่อง เค้าคุยอะไรกัน หนู(???)คุยด้วยคน :hao6: :hao4:

siazaa

  • บุคคลทั่วไป
งี้ต้องบอกว่า "วันใดขาดเค้าแร้วเราจารูสึก .. อิอิ  o22

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
แวบมากระชากทู้ จะร่วงแล้วววววว ขอบคุณมากนะ ปุ้ม ที่ยังคิดถึงกันอยู่  :impress2:
ข้อมูลที่เที่ยวมา ค่อนข้างละเอียดมาก (แต่ยังตามอ่านไม่ทัน อิอิ)
ช่วงนี้เริ่มรู้สึกเหนื่อยกับงานมาก ๆ ชักจะล้า(หรืออายุจะมากไปแล้ว) ต้องคอยตั้งรับตลอดเวลา
ที่แต่งานด่วนมาก กับด่วนที่สุด อย่างว่านะ ท.ทหารทรหดอดทน   :a2:

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เนะ....รักษาสุขภาพด้วย ช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยนแปลง
ขอบคุณที่ยังมาร่วมวงคุยกัน ไม่งั้นเหมือนคุยอยู่คนเดียว =*='

จะเข้ามาบอกว่า ช่วงนี้ยุ่งมากกกกก ต้องเตรียมข้อมูลไปประชุมต่างประเทศ
กลับมาปลายสัปดาห์หน้า แล้วจะมาต่อเรื่องให้นะครับ ตอนนี้เอาเรื่องนี้ คั่นเวลาไปก่อน ^^



[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
กลับมาแล้วคร้าบ..... ^_^
เดี๋ยวจะกลับมาต่อเรื่องตุรกี แต่ตอนนี้เอาเรื่องนี้คั่นเวลาไปก่อน.... :mew1:

ผมไม่ได้มาฮ่องกงเสียนานสิบกว่าปี มาคราวนี้ เปลี่ยนไปไม่น้อย
แต่ซิมซาจุ่ย ยังคึกคักเหมือนเดิม ร้านอาหารมีทุกชาติทุกภาษา
สมกับเป็นแหล่งช็อปปิ้งปลอดภาษีติดอันดับของเอเชียจริง ๆ
แบรนด์เนมดัง ๆ มีทุกยี่ห้อ แต่ราคาไม่ถูกเลย พอ ๆ กับบ้านเรา
เครื่องใช้ไฟฟ้าก็เหมือนกัน เลยไม่รู้จะซื้อและแบกกลับมาให้หนักทำไม
เจอคนไทยบินไปช็อปปิ้งเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ กระเป๋า+รองเท้าเพียบ
บางคนก็ซื้อไปขายต่อ ได้กำไรดีไม่น้อย ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาล
เซลล์ทุกร้าน ลดทั้งเกาะ เลยเห็นทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดฯ
มาเลย์ ฟิลิปปินส์ บรูไน ฯลฯ เดินกันขวักไขว่ทั่วซิมซาจุ่ย
อ้อ! บางคนก็มางาน Asia World Expo ด้วย เลยทำให้เที่ยวบินแน่นไปด้วย
เมื่อก่อนบินไปลงสนามบินไคตั๊ก ก็ว่าวุ่นวายมากแล้ว
มาเที่ยวนี้ บินไปลงแล็บเช็คก๊อก สนามบินใหม่ (กว่า)
ยิ่งชวนสับสนมากกว่า ขาไปฮ่องกงไม่เท่าไหร่
ไปลงที่ Terminal 1 ก็ใกล้หน่อย ลงจากเครื่อง ผ่านด่าน ตม. มาได้
ก็เดินออกมามองหารถไฟ Airport Express แบบเดียวกับ
Airport Rail Link บ้านเรา แต่ของเขาเป็นแบบ One Stop Service
คือ ซื้อตั๋วไป-กลับ ในราคา HKD 160.- ถูกกว่านั่งแท็กซี่เข้าเมืองเยอะ
เพราะนอกจากจะขึ้นรถไฟเข้าเมืองไปลงที่สถานีที่กำหนดไว้แล้ว เช่น
Tsing Yi, Kow Loon, Hong Kong แล้ว ที่สถานีปลายทางดังกล่าว
ยังมี Shuttle Bus ไว้บริการรับส่งฟรีให้ถึงโรงแรมใหญ่ในเมือง
โดยรวมอยู่ในค่าตั๋วรถไฟไว้เรียบร้อยแล้ว เรียกว่า เสียเงินครั้งเดียว
ตีตั๋วไป-กลับที่สนามบินได้เลย ตั๋วมีอายุ 30 วัน นับจากวันออกตั๋ว
ถ้านั่งแท็กซี่ไป ก็เที่ยวละประมาณ HKD 300-350 หรือประมาณ
1,500 บาท นั่งประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงโรงแรมที่พัก
เจ็กคนขับแกขับไปเสยถึงกะไดหน้าโรงแรม!!  o22
อืม! เข้าใจแล้วว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงบอกให้นั่งรัดเข็มขัดตลอดการเดินทาง
แต่ขากลับเนี่ยสิ เป็นอะไรที่ฉิวเฉียดพอดู ขนาดเผื่อเวลาไว้ 2 ชม.แล้วก็ตาม
เพราะใช้เวลานั่งรถ Shuttle Bus จากโรงแรมไปสถานีเกาลูน ประมาณ 15 นาที จากนั้นก็นั่งรถไฟอีก 15 นาที จากสถานีเกาลูนไปลงที่ Terminal 1 เพื่อเดินลากกระเป๋าไปอีกประมาณ 1 กิโล
ไป Terminal 2 เพราะเคาน์เตอร์เช็คอินการบินไทยไปตั้งอยู่ที่นั่น
หลังจากเดินลัดเลี้ยวซ้าย-ขวาตามป้ายไปแล้ว ก็ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 5
เพื่อไปออกบัตร ฺBoarding Pass แม้ว่าจะเช็คอินทางอินเตอร์เน็ตแล้วก็ตาม
แต่ต้องไปยืนยันอีกทีหน้าเคานเตอร์ เสร็จจากเช็คอิน ก็ต้องเดินลงไปชั้น 3 เพื่อไปเข้าด่าน ตม.
เสร็จจาก ตม. ก็ต้องเดินลงไปชัั้น 1 เพื่อนั่งรถไฟกลับไป Terminal 1
เพื่อนั่งรถไฟ (อีกที) ที่ชั้นใต้ดินของ Terminal 1 ไปประตูขึ้นเครื่อง
ซึ่งมีอยู่ร่วมร้อยมั้ง เพราะประตูขึ้นเครื่องของผม ก็ปาเข้าไป ประตูที่ 40
จากป้ายเห็นมีอยู่ 88 ประตู + ประตูขึ้นเครื่อง Transit อีกต่างหาก
ก็เดินวนไปเวียนมากันอยู่ในสนามบินนั่นแหละ  :m16:
แม่ง! ชวนให้งง พอ ๆ กับสนามบิน ชาร์ล เดอ โกล ที่ฝรั่งเศสเลย
แต่ที่นี่ดีหน่อย ที่มีภาษาอังกฤษกำกับตัวเบ้อเร้อ ที่ฝรั่งเศส ตัวเท่ามด
ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาใช้เวลาประมาณ 40 นาที (ตามเวลาเดินเท้าของผู้ชาย)
ถ้าใครเดินหลงไปที่อื่นหรือประตูอื่นล่ะก็ โอกาสตกเครื่องมีสูงมาก
เพราะขนาดนี้ กว่าจะไปถึงทางออกรอขึ้นเครื่อง ก็ได้เวลาเขาเรียกขึ้นเครื่องพอดี
ที่ฮ่องกง เขาใช้วิธีเข้าแถวตรวจบัตร แล้วก็เดินขึ้นเครื่องไปเลย
ไม่ได้ตรวจบัตรแล้วให้ไปนั่งรอขึ้นเครื่องเหมือนบ้านเรา

ป.ล. เท่าที่เห็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องของการบินไทย
แต่ละคน 40+ กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ต่างจากสายการบินอื่น
ที่ยังพอมีสาว ๆ จิ้มลิ้ม พอให้สดชื่นบ้าง ดีที่แค่สองชั่วโมงกว่า ๆ
ถ้านานกว่านั้นนี่......ทรมานสายตากันชัด ๆ  :mew5:

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
ปุ้ม ช่วงนี้ที่นี่ อากาศไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ แล้งฝนมานานละ มีแต่ร้อนมากและร้อนที่สุด
พอ ๆๆ กับงานที่เข้ามาเลย เข้ากันได้ดีมาก สภาพอากาศและบรรยากาศการทำงาน  :เฮ้อ:
เราว่านะ ทู้นี้รวบรวมงานเขียนของปุ้มได้เลยหล่ะ ใครได้มาอ่านถ้าได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ปุ้มไปมาแล้ว
รับรองไม่ต้องกังวลเลย เขียนและอธิบายได้ละเอียด  o13
ถ้าว่างจะเข้ามาคุยให้บ่อย ๆๆ
ปุ้ม ไปโน้นมานี่ รักษาสุขภาพด้วยนะ
 

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
กิมตี๋....เป็นบันไดที่สวยศิลป์มาก บ้านเราน่าจะมีอย่างนี้บ้าง  o13

เนะ.....ขอบคุณครับ แต่ผมมันมือสมัครเล่น อาศัยความชอบส่วนตัวล้วน ๆ
ถือว่า เล่าสู่กันฟังแล้วกันเนอะ  :m4:

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
เอิ่ม เราว่าบันไดมันก็ศิลป์ดี ถ้าเราเดินขึ้นลงบ่อย ๆ คงตาลายสะดุดแน่เลย 55555
ปุ้ม แล้วมีแพลนทริปต่อไปหรือยัง

Azygos

  • บุคคลทั่วไป
แวะมาดู  :z2:

ปล.คิดถึงทุกคนนะครับ  :o8: :-[ :กอด1:

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เนะ.....วางแผนว่า พฤษภา ปีหน้า ครบเบญจเพสพอดี เลยกะว่าจะไปเยี่ยมญาติที่อังกฤษสัก 2 สัปดาห์ อาจนั่งรถไฟยูโรข้ามฝั่งไปฝรั่งเศส + เยอรมัน หาเพื่อน ตอนนี้ขอทำงานเก็บตังค์ค่าตั๋วเครื่องบินก่อน  :hao5:

ตุลานี้ ต้นเดือนจะไปร่วมงานแต่งงานหลานชายฝั่งคุณชายที่หาดใหญ่ + สิ้นเดือนไปประชุมที่สิงคโปร์
สิ้นปี ว่าจะไปชาร์ตแบตฯ ที่เกาะไหนสักแห่ง (ที่แน่ ๆ คือ "เกาะแฟน" อิอิ  :laugh:)

อ้น....ยินดีต้อนรับครับผม หายไปนานเลย มาเยี่ยมบ่อย ๆ นะครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
รีบเข้ามาจ๊วบ ๆๆ อ้น 555555 ว่างแล้วหรือถึงได้เข้ามาทักได้ คิดฮอดหลายเด้อ  :man1:

ปุ้ม  ยังดี มีเกาะส่วนตัว พักได้ตลอดเวลา สงสัยต้องหาเกาะแบบนี้บ้างซะแล้ว  :L3:
ของเราเพื่อนก็เร่งให้หาช่วงพักวันหยุด จะให้ไปเขาค้อออนทัวร์กันอีก
เห็นว่ามีที่ท่องเที่ยวใหม่เพิ่มอีกสองสามแห่ง แต่เรายังหาช่วงหยุดไปไม่ได้เลย  :o11:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด