==> เมื่อผมมีรักแท้ แต่ดูแล(ไว้)ไม่ได้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ==> เมื่อผมมีรักแท้ แต่ดูแล(ไว้)ไม่ได้  (อ่าน 1080604 ครั้ง)

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
นู๋ว่าเกียวนะคะ โดยเฉพาะข้อ 2  กร้ากกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
555555 ได้คำตอบแล้วนะ ปุ้ม
พอดีไปเจอแง่มุมความคิดความลับของคนรวย ลองอ่านดู สามารถประยุกต์ใช้ได้
ไม่แน่ในอนาคตเพื่อนในนี้ จะมีคนรวยเพิ่มขึ้นมาอีก

ความลับของคนรวย ที่คนรวยไม่เคยบอกคุณ ลองอ่านกันดูน่ะครับ ผมเชื่อว่าตรงกับใคร ๆ หลายคน
... เป็นเมลล์ที่ได้รับมานานแล้ว ... อ่านครั้งแรก มีความรู้สึกขัดแย้งกับการดำเนินชีวิตใหม่ของเรา แต่เมื่ออ่านอีกรอบ เปิดใจให้กว้างขึ้น บางอย่างที่เราไม่เห็นด้วยเราก็ละไว้ แต่ส่วนที่ดีมากมายในนี้ เราสามารถนำมาประยุกต์ ในการดำเนินชีวิตของเราได้ .... ลองเลือกใช้ดูนะครับ ...

ที่เราจนอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเราขี้เกียจทำงาน แต่ที่จนเพราะเรา เข้าใจผิด อยู่แค่ 2 เรื่องต่างหาก
1. เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ ทรัพย์สิน
2. เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของ หนี้สิน
อยากรวย ต้องทำความเข้าใจใหม่
1. ทรัพย์สิน คือ รายรับ คือ การนำเงินเข้ากระเป๋าตังค์
คำถาม ... ใน 1 เดือนคุณมี รายรับ เข้ากระเป๋าคุณกี่ครั้ง คุณตอบได้หรือไม่
2. หนี้สิน คือ รายจ่าย คือ การนำเงินออกจากกระเป๋าตังค์
คำถาม ... ใน 1 เดือนคุณมี รายจ่าย ออกจากกระเป๋าคุณกี่ครั้ง คุณตอบได้หรือไม่

ทำไมเราถึงต้องทำงาน
เหตุที่เราต้องทำงาน มีอยู่ 2 เหตุผล
1. ความกลัว - กลัวจะไม่มีกิน , กลัวจะไม่มีความสุข กลัวจะไม่มีรถ , กลัวจะไม่มีบ้าน , กลัวไปหมด
2 . ความโลภ - โลภเพื่อจะมีมากกว่าคนอื่น , เยอะกว่าคนอื่น ใหญ่กว่าคนอื่น , แพงกว่าคนอื่น , หรูกว่า ภูมิฐานกว่า ,
โลภไปทุกอย่าง ความกลัวและความโลภเป็นสิ่งที่ดี แต่เราต้องควบคุมให้อยู่ในความพอดี สิ่งที่จะควบคุม ความกลัวกับความโลภได้นั้นคือ ความรู้

การทำงานของคนจนและคนรวย
- คนจนทำงานเพื่อ นำไปสร้างหนี้สิน ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งทำงาน ยิ่งสร้างหนี้ ยิ่งจน
- คนรวยทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน เพิ่มมูลค่า ยิ่งรวย
- คนรวย มากๆ ใช้เงินทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สิน ยิ่งกลัว ยิ่งโลภ ยิ่งใช้เงินทำงาน เพื่อไปสร้างทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า
แล้วนำส่วนที่ได้จากทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า ไปสร้างทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า ยิ่งรวยๆๆๆๆ
ถนนของของคนจน เริ่มต้นสบาย สุดท้ายลำบาก
ถนนของของคนรวย เริ่มต้นลำบาก สุดท้ายสบาย

ขั้นตอนเป็นคนรวย
1. เปลี่ยนความคิด เรื่องทรัพย์สินและหนี้สิน
- รายรับ คือ เอาเงินเข้ากระเป๋าตังค์ เรียกว่า ทรัพย์สิน
- รายจ่าย คือ เอาเงินออกจากกระเป๋าตังค์เรียกว่า หนี้สิน

2. แยกให้ออกว่าอะไรเป็นทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า หรือเสื่อมมูลค่า
- ทรัพย์สินเพิ่มมูลค่า คือ ได้มาแล้วเพิ่มมูลค่าให้เรา เช่น ** ซื้อที่ดินมา 5 แสนบาท ทิ้งไว้ 1 ปี ขายได้ 6 แสนบาท **
ซื้อทองมา 1 บาท ราคา 11800 บาท เก็บไว้ 1 ปี ราคา 12500 บาท ** ซื้อบ้านมาให้คนอื่นเช่า เป็นต้น
- ทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า คือ ได้มาแล้วมูลค่ามีแต่ลดลง เช่น
** ซื้อรถยนต์มาราคา 6 แสนบาท ขับได้ 3 ปี ขายได้ 3 3 แสน มูลค่าลดลง 3 แสนบาท แถมต้องเติมน้ำมันอีก
** ซื้อโทรศัพท์มาราคา 12000 บาท เวลาขายคืนได้แค่ 4500 บาท ไหนจะเสียค่าโทรอีก
** ซื้อมอเตอร์ไซด์ 5 หมื่นบาท เวลาขายต่อ 2 หมื่น ยังหาคนซื้อต่อยากเลย
***** ซื้อที่ ซื้อทอง เอาเงินฝากธนาคาร ต้องเสียเงินซื้อถ่าน เติมน้ำมัน ใส่น้ำ หรือเสียบปลั๊กหรือเปล่าครับ
ถ้าไม่ต้องก็แสดงว่าเป็นทรัพย์สิน และมันต้องเพิ่มมูลค่าไปเรื่อยๆนะครับ
***** ซื้อถ้วยโถโอชามของ รักของสะสม ไม่ต้องเติมน้ำมัน ไม่ใส่ถ่าน ไม่เสียบปลั๊กให้มันก็จริง
วันนึงขายจะได้กำไรมากกว่าฝากธนาคารไหมครับ ถ้าไม่มันก็จะเป็นทรัพย์สินเสื่อมมูลค่า หรือไม่ก็แค่มีค่าทางจิตใจ
บางทีก็เป็นแค่ ขยะรกบ้านเราเท่านั้นเองนะครับ ขายใครก็ไม่มีใครเอา เพราะเราสะสมคนละรสนิยมกัน

3. ลดรายจ่าย ตัวเอง และครอบครัวก่อน
หลายคนคิดว่า ถ้าจะรวยต้องหารายได้ เพิ่มแต่เพียงอย่างเดียว เป็นความคิดที่ล้าสมัยแล้วครับ สิ่งเดียวที่ทำได้ก่อนหารายได้
คือการลดรายจ่าย เริ่มจากรายจ่ายที่เกิดขึ้นกับ ตัวเราเองก่อน เราใช้เงินวันละเท่าไร และสิ่งที่เราใช้มีประโยชน์
ผลตอบแทน หรือคุ้มค่ากับเรามากแค่ไหน รายจ่ายอะไรที่เราลดได้ลดได้เท่าไร วิธีการลดทำอย่างไรต่างหาก ที่ทำได้ง่ายที่สุด ต่อมาหาทางลดรายจ่ายของครอบครัวครับ แล้วค่อยไปขั้นตอนหารายได้เพิ่ม อย่าลืมนะครับ ลดรายจ่ายก่อนหารายได้ครับ
*** หลักการง่ายๆของการลดรายจ่ายมีหลายแบบครับ
- ลดความสมบูรณ์แบบของชีวิต
ชีวิตของแต่ละคนจำเป็นต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้านหรือไม่ครับลองนึกดูนะ เราจำเป็นต้องใช้สิ่งของที่สามารถทำทุกอย่างได้ในตัวเดียวกันหรือเปล่าครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ที่ต้องถ่ายรูปได้ ฟังเพลงได้ ส่ง MMS ได้ ต่อ INTERNET ได้ สายเข้าเป็นเสียงเพลงได้ หรือเปล่าครับถามตัวเราเองว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราจะลำบากไหมครับ
ตอบแทนก็ได้นะครับ แทบไม่ลำบากเลย แต่การมีสิ่งเหล่านี้ซิลำบาก ลำบากอย่างไรหรือครับ
โทรศัพท์ที่ทำได้ครบทุกอย่างที่ว่ามา ราคาเท่าไรครับ หมื่นกว่าบาท หลายคนต้องผ่อน เดือนละพันกว่าบาท
ถามว่าแล้วใช้สิ่งที่ว่ามาวันละกี่ครั้งครับ แล้วใช้เพื่อประโยชน์อะไรครับเพื่อความบันเทิง เพื่อความเท่
หรือเพื่อให้รูว่าฉันก็มีเหมือนกัน หรือฉันมีดีกว่าของเธอ บางคนซื้อมาทำอะไรไม่เป็นครับ
โทรเป็นอย่างเดียวแบบนี้เรียกว่าไม่คุ้มค่าเอามากๆ เครื่องละพันกว่าบาทก็ทำได้ครับไม่ต้องเสียตังค์เป็นหมื่นด้วยครับ
- ลดต้นทุนชีวิต ลดต้นทุนชีวิต
จะคล้ายๆกับลดคุณภาพชีวิตนั้นแหละครับข้อนี้ต้องทดลองทดสอบดูนะ ยกตัวอย่างเช่น ข้าวสารที่คุณซื้อมาหุงทานอยู่ทุกวันนี้เป็นข้าวหอมมะลิอย่างดี ราคา 5 กิโล 105 บาท คุณลองหาข้าวสารที่ราคาถูกกว่านี้ แต่ความอร่อยใกล้เคียงเดิมแต่ราคาถูกลง
มาทาน หากคุณลองซื้อมาแล้วคุณทานได้ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่ราคา 85 บาท คุณลดต้นทุนชีวิตคุณได้ ต่อข้าวสาร 5 กิโล 20 บาทแล้วนะครับ แล้วเดือนหนึ่งครอบครัวคุณทานข้าวกี่กิโลครับลองคิดดู

4. หารายได้เพิ่ม
การหารายได้เพิ่มมีหลายช่องทางครับ เช่น ทำ OT. ซื้อของมาขาย เอาเงินฝากธนาคาร เล่นหุ้น ทำกิจการส่วนตัว แล้วแต่จะทำกันนะครับ สิ่งที่สำคัญในการหารายได้เพิ่ม คือความรู้ เราต้องรู้ก่อนว่าช่องทางนั้นๆ เราจะมีผลได้ผลเสียอย่างไร จะไม่สำเร็จได้หากเราไม่มีความรู้เรื่องนั้นๆ มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการหารายได้เพิ่มไว้ดังนี้ครับ
*** ต้องกำไรตั้งแต่ตอนซื้อ ไม่ใช่กำไรตอนขาย
*** ตัวอย่างเช่น เราซื้อทองมาเก็บไว้ 1 ปี เรามีกำไลแน่ๆเพราะทองส่วนมากมีแต่ขึ้นไม่ค่อยจะลดเท่าไร แต่ต้องเป็นทองคำแท่งนะครับไม่ใช่ทองรูปพรรณ เนื่องจากทองคำแท่งไม่ต้องเสียค่ากำเน็จครับ อะไรที่ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อนะหรือครับ
อะไรก็ได้ที่ซื้อด้วยอารมณ์ ไม่ได้ซื้อด้วยเหตุผลครับ เพราะซื้อแล้วใช้ประโยชน์ไม่คุ้มขายต่อราคาตกแน่ๆครับ
ขาดทุนตั้งแต่ตอนซื้อ
*** ใช้สมองหารายได้ ***
เงินอยู่ระหว่างทางที่เราผ่านไป ผ่านมาทุกวัน แต่เราไม่สามารถเก็บได้ เพราะเราไม่รู้วิธีเก็บ มาเป็นของเราเท่านั้นเอง
เป็นคำกล่าวที่เฉียบคมมากครับ การที่เราจะรายได้เพิ่มนั้นนอกจากเราจะต้องมีความรู้แล้ว เราต้องมีความคิดที่ดีพอที่จะหารายได้ด้วยนะครับ หลายคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ รู้อย่างเดียวว่าต้องใช้เงินลงทุน ไม่คิดว่าเงินนั้นจะต้องทำอย่างไรมา
บางคนไปกู้เงินมาลงทุน ไหนจะต้องรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ ไหนจะต้องรับ ภาระปัญหากิจการอีกหลายอย่าง
กิจการล้มไม่เป็นท่ามานักต่อนักแล้วครับ ถ้าเป็นเงินเย็นก็ดีไปล้มก็ไม่ต้องเป็นภาระใช้หนี้สินต่อ เริ่มต้นใหม่ได้ไม่ยาก
**** มีข้อแนะนำครับ ****
เราอย่าพึ่งคิดว่าเราจะต้องเป็นเจ้าของกิจการอะไร เพียงแต่เราคิดว่าเราลงทุนอะไร
ได้ผลตอบแทนคุ้มกับเงินที่เราลงทุนหรือไม่ ดีกว่า
ตัวอย่างเช่น เราซื้อของมาขายชิ้นหนึ่งต้นทุน 20 บาท เราขายในราคา 25 บาทกำไล 5 บาท ได้กำไร 25 % เชียวนะครับ
ค่อยๆ ทำ ค่อยๆฝึก คนรวยเคยกล่าวไว้ว่า ก้าวแรกของการทำธุรกิจคือ ก้าวเล็กๆ ของเด็กน้อยนะครับ
เพราะเด็กน้อยจะค่อยๆก้าว ค่อยๆก้าว ใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป มั่นใจกว่ากันเยอะครับ
ขอเพียงแค่เรามีความรู้ ความพยายาม ก็จะไปได้ดีครับ
เมื่อเราชำนาญ มีประสบการณ์แล้วค่อยก้าวแบบผู้ใหญ่ครับ ก็ไม่สายครับ
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จ ภายในวันเดียว

www.fpmcertificate.comดูเพิ่มเติม

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
ไปเจอเรื่องนี้มาอีก เห็นว่า แบตเตอรี่มีผลกับชีวิตประจำวันอยู่พอสมควร
เพื่อสอดคล้องกับวิธีคิดของคนรวย น่าจะใช้ได้อยู่ ไม่มากก็น้อย

เคล็ดลับที่หลายคนไม่รู้ เกี่ยวกับการชาร์จไฟและถนอมแบต "มือถือ/แท๊บเลท" อย่างถูกวิธี
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่ในมือถือและแท๊บเลทกันก่อน โดยแบตเ...ตอรี่ในมือถือและแท๊บเลทส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะเป็นแบบ Li-ion และ Li-Polymer ทั้งสองแบบมีลักษณะการทำงานในลักษณะ "นับรอบการชาร์จ(Cycle)" แต่ไม่ได้นับเป็นจำนวนครั้ง โดยแรงดันในการชาร์จจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับก็คือ 1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ มากกว่า 65-70% , 2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60% และ 3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30% (เดี๋ยวค่อยไปดูกันว่าควรชาร์จช่วงไหน)

ไม่เหมือนกับแบตในสมัยก่อนจำพวก Ni-Cad ที่จะนับเป็นจำนวนครั้งในการชาร์จเลย ดังที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆว่า "ซื้อไปแล้วต้องชาร์จทิ้งไว้ 12-14 ชั่วโมง พอเต็มแล้วก็ใช้ให้หมดเกลี้ยงด้วย" เนื่องด้วยความที่มันนับเป็นจำนวนครั้ง ดังนั้นยิ่งชาร์จบ่อยๆ Cycle มันก็จะเยอะ แบตก็จะเสื่อมเร็วตามมา เอาให้เข้าใจคร่าวๆกันประมาณนี้ คงไม่เจาะลึกลงไปถึงชั้นวัตถุดิบในการทำ

**แต่ไม่ว่าจะเป็นแบตชนิดใดในโลก ถึงแม้จะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานประมาณ 3-5 ปี ก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (ตามคุณภาพแบต) อันเนื่องมาจากแบตมันปล่อยประจุตัวเองออกจนหมด และสารเคมีในแบตเสื่อมประสิทธิภาพ แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีมันก็จะยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นไปอีกนั่นเอง ^^

วิธีที่จะทำให้แบตไม่เสื่อมเร็ว

เมื่อพวกเราได้รู้จักกับแบตเตอรี่ชนิดต่างๆกันไปแล้ว ต่อไปเรามาดูกันว่าเราจะถนอมแบตและชาร์จแบตอย่างไรให้อย่างไรให้ถูกวิธีกันดีกว่า(จะบอกเฉพาะแบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เท่านั้น เพราะเป็นแบตที่ใช้กันอยู่ในมือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันอยู่แล้ว)

## ปรับปรุงบทความในข้อ 4 ที่เขียนไม่ชัดเจนในตอนแรกว่าแบตสมัยนี้ไม่ตัดไฟ

1.ควรชาร์จไฟก็ต่อเมื่อระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70%(1C) จะดีที่สุด แต่การใช้งานจริงคงจะได้ระดับ 35-60%(2C) ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ ซึ่งจากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ(Cycle) แต่หากเราชาร์จที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) "ดังนั้นไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% นั่นเอง เพราะมันจะเสื่อมเร็ว"

2.จะชาร์จเมื่อไรก็ชาร์จไป (ตามข้อที่ 1) แต่ห้ามใช้แบตจนหมดเกลี้ยงในระดับเปิดเครื่องไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาดเพราะแบตมันจะพังไวมาก!!

3.ถ้าหากไม่ได้ใช้มือถือเป็นเวลานาน และแบตเตอรี่สามารถถอดออกมาได้ ควรถอดแบตเตอรี่เก็บไว้ในขณะที่มีประจุประมาณ 40% และควรที่จะเก็บเอาไว้ในที่เย็น และไม่มีความชื้นครับ โดยค่า 40% นั้นเป็นตัวเลขที่มาจากห้องทดลองเลยทีเดียว

4.มือถือและแท๊บเลทในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100% และมันจะต่อไฟตรงเหมือนกับที่เราเห็นมันขึ้นเป็นรูปสายไฟแทนฟ้าผ่านั่นแหละ แต่ถ้าหากแบตมันลดลงเพียง 1% มันก็จะชาร์จใหม่ ดังจะเห็นว่าไม่ว่าเราจะเล่นเกมส์หนักหน่วงขนาดไหนในขณะที่ชาร์จมันก็จะเต็มตลอด (ไม่เหมือนโน๊ตบุ๊คที่จะตัดไฟเมื่อแบตเต็ม และชาร์จใหม่เมื่อแบตลดลงเหลือ 90%) ซึ่งจะทำให้เราสูญเสียรอบการชาร์จไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อเราชาร์จเสร็จก็ควรถอดปลั๊กเพื่อนำมาใช้งาน และเมื่อถึงระดับ 35-70% ค่อยนำกลับไปชาร์จใหม่จะดีที่สุด

5.ควรใช้ที่ชาร์จที่มีคุณภาพ และหลีกเลี่ยงที่ชาร์จปลอมเพราะอาจจะทำให้จ่ายไฟไม่นิ่งได้ และสิ่งที่หลายคนนั้นมองข้ามไปนั่นก็คือ สายไฟที่เราใช้ชาร์จนั่นเอง ก็ควรที่จะเป็นสายที่มีคุณภาพในการนำไฟฟ้าได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน (เช่นสาย micro-USB ของ Nokia ที่ทั้งถึก ทน และไม่เคยมีปัญหาการใช้งานเลย)

6.หลีกเลี่ยงการทำแบตเตอรี่ตกพื้น เพราะอาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท๊บเลทมีปัญหาได้

7.เวลาชาร์จควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟก่อน แล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือ/แท๊บเลทอีกทีเพื่อป้องกันไฟกระชาก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปซีเรียสมาก อุปกรณ์เหล่านี้มันเกิดมาเพื่อให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น ไม่ใช่มาเป็นภาระของเรา ส่วนตัวแล้วถ้าไม่ลืมก็พยายามทำ แต่ถ้าลืมก็ปล่อยมันไปเถอะ ไม่ต้องซีเรียส ยังไงวันนึงมันก็จากเราไปอยู่ดี เพียงแค่ถ้ารู้วิธีหน่อยมันก็จะอยู่กับเรานานขึ้นเท่านั้นเอง ^^

บทความนี้สามารถเอาไปใช้กับอะไรได้บ้างนอกจากมือถือและแท๊บเลท

สามารถเอาไปใช้ได้กับอุปกรณ์ที่ต้องใช้แบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เช่น โน๊ตบุ๊คทั้งหลาย , GPS บางรุ่น , กล้องถ่ายรูปบางรุ่น , เครื่องเล่นเกมส์พกพาอย่าง Sony PSP , Sony PS Vita , Nintendo NDS , Nintendo 3DS

ที่มา..http://www.tukkaeit.com/ดูเพิ่มเติม

ปล.ช่วงนี้เทศกาลทำบุญ ทหารพักรบมาทำบุญช่วงเทศกาล ขอเชิญชวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทำบุญที่วัดใกล้ ๆ บ้าน 

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เนะ....ขอบคุณมากครับ มีประโยชน์มากเลยทั้งสองเรื่อง

ขอบ่นหน่อย.....

ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่เรื่องเสียเงิน ตั้งแต่รถเสีย ต้องเปลี่ยนคอกุญแจใหม่
แถมตอนนี้ยังทำท่าเหมือนว่าจะต้องเปลี่ยน ECU ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะเปลี่ยนไปแล้ว สตาร์ทรถไม่ได้
ก็ได้แต่ภาวนาให้ไม่ต้องเสียเงินมากนัก ช่วงนี้หุ้นยิ่งตกอยู่ด้วย  :hao5:

เรื่องต่อมา คือ แอร์ห้องนอนเสีย ตอนแรกนึกว่า น้ำยาแอร์หมด แต่กลายเป็นว่า มันรั่ว
แถมรีโมทก็ใช้ไม่ได้อีก กว่าช่างจะมาได้ ก็หลังวันเข้าพรรษา
ตอนนี้เลยต่างคนต่างแยกกันนอน หามุมเหมาะ ๆ ของตัวเอง มุมใครมุมมันไปก่อน
แอร์เสร็จเมื่อไหร่ ค่อยกลับมานอนด้วยกันใหม่  :mew2:

เรื่องสุดท้าย สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวานนี้เอง คุณชายไปตีกอล์ฟกับเพื่อน
ขากลับกำลังขับรถจะออกมาจากสนาม อยู่ดี ๆ ลูกกอล์ฟกระเด็นมาโดนกระจกหน้ารถแตกละเอียด
ดีที่เดี๋ยวนี้กระจกรุ่นใหม่ เป็นกระจกนิรภัยมีฟิล์มเคลือบไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่งั้นหน้าแหกหมอไม่รับเย็บแน่
แต่เจ้าของลูกกอล์ฟเขาก็ดีนะครับ มีการทำประกันเรื่องกอล์ฟเอาไว้ เลยเคลมประกันได้

ไม่รู้ว่า จะมีอะไรเข้ามาอีกมั้ย สงสัยว่า เข้าพรรษานี้คงต้องไปทำบุญสังฆทาน
อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรกันสักหน่อยแล้ว
มีแต่เรื่องไม่ดีเข้ามาก คนหล่อเซ็ง!!!  :sad11:


ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
โห เรื่องอื่นไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องลูกกอล์ฟนี่ ไม่ใช่แค่หน้าแหกอาจจะเป็นมากกว่านั้นก็ได้ถ้าโดนคนจริง ๆ
นึกถึงกรณีขว้างหินตามถนนต่าง ๆ แถวภาคกลาง ทุกวันนี้ก็ยังมีข่าวมาเรื่อย ๆ
เป็นจังหวะชีวิตที่มีเรื่องอะไรก็ทับลงมาหลาย ๆ เรื่องพร้อม ๆ กัน ดีทีตั้งรับได้
เข้าพรรษาที่ผ่านมาคงไปทำบุญมากันแล้วนะ

เรานั่งรถเล่นไปเชียงใหม่มา ไม่ค่อยเจอแดดเท่าไหร่ ถือว่าอากาศดีมาก ขากลับเจอทั้งลมทั้งฝนฟ้าลงน่ากลัวและอันตราย
ยังข่าวน้ำท่วมไล่หลังอีก โชคดีที่กลับมาก่อน

มีเรื่องดี ๆ มาฝาก สำหรับนักดื่ม "เบียร์"

เบียร์มีสารต่าง ๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง
 นักวิจัย กล่าวว่า เบียร์นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดีต่อหัวใจ จากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Emory กล่าวว่า....
 "ผู้หญิงและผู้ชายสูงอายุ 2,200 คน ที่ดื่มเบียร์วันละ 1.5 แก้วต่อวัน จะมีการเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวลดลง 50 เปอร์เซ็นต์"
เบียร์ยังดีต่อสมองอีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ในบอสตัน พบว่า......"ผู้ที่ดื่มเบียร์ตั้งแต่หนึ่งถึง 6 แก้วต่อสัปดาห์
จนถึงผู้ที่ดื่ม 7-14 แก้วต่อสัปดาห์ จะเกิดอาการชักได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเลย" แต่ถ้าผู้ที่ดื่มเกินกว่านี้ก็จะมีอาการชักได้มากที่สุด เพราะเบียร์สามารถช่วยลดขนาดเม็ดเลือดและไม่ทำให้เลือดไปครั่งที่สมองได้
 นอกจากนี้เบียร์ยังช่วยในการลดความเครียด ลดความกังวล และความประหม่าได้ รวมทั้งยังทำให้อารมณ์ดี แถมยังมีสารอาหารอย่าง โปรตีน วิตามิน B ฟอสฟอรัส แมคเนเซียม เซเลเนี่ยม และธาตุเหล็ก
- ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน
- ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
- ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
- ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
- ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น
- ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ
- ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
- ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์
- ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
- ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ
- ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
- ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

"ผลเสียของเบียร์"

ไม่ใช่เฉพาะเบียร์ที่จะทำให้เกิดผลเสีย เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทำให้เกิดผลเสียทุกชนิด โดยเฉพาะกับตับ ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เข้าไป ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเสียหาย ร่างกายก็จะเต็มไปด้วยพิษ แถมที่สำคัญเบียร์ทำให้บวมอ้วนอีกด้วย

cr: https://www.facebook.com/CKHealthyTips



[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2013 20:53:49 โดย nonae »

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เอามาฝากกันครับ หลายคนอาจเคยเห็นผ่านตามาบ้าง

ในการประกวดดนตรีดุริยางค์-ออร์เคสตราระดับโ­ลก World Music Contest 2013 ครั้งที่ 17
ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณ เมือง Kerkrade ประเทศเนเธอร์แลนด์
ซึ่งในการประกวดครั้งนี้ มีวงออร์เคสตร้าเค­รื่องลม "Nontri Orchestra Wind" หรือวง N.O.W
จากประเทศไทยเข้าร่วมประกวดด้วย โดยวงได้เริ่มต้นการแสดงด้วยเพลงสรรเสริญพระบาร­มี
ซึ่งมีชาวต่างชาติที่ส่วนใหญ่เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ต่างลุกขึ้นยืนตรงแสดงความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน
ทั้งที่มิได้มีการประกาศให้ลุกขึ้นยืนแต่อย่างใด เห็นแล้วซาบซึ้งมาก

http://www.youtube.com/v/_xrksMDoec0?version=3&hl=th_TH
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2014 14:46:24 โดย fanfic2010 »

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
เรื่องเล่าความประทับใจของพยาบาลที่ส่งเสด็จ ไม่แน่ใจว่าจะได้ยินกันบ้างหรือยัง ตามลิ้งไปเลย

https://www.facebook.com/photo.php?v=555402664519707&set=vb.123613731031938&type=2&theater

เราเองแค่ฟังยังรู้สึกตื้นตันใจไปด้วยเลย เข้าใจคณะแพทย์และพยาบาลที่มีโอกาสได้เข้ารับใช้พระองค์ท่าน
คงเป็นความปลื้มปิติอย่างสูงสุด เพราะพระบารมีอย่างแท้จริง

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เนะ.....น่าสงสารพระองค์ท่านนะครับ อายุตั้ง 80 กว่าแล้ว แทนที่จะได้พักผ่อนอย่างสงบสุข
กลับต้องมาเจอเรื่องเครียดบั่นทอนสุขภาพกายและสุขภาพใจช่วง 10 ปีหลัง
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน  :3123:

ตอนนี้ผมก็เตรียมข้าวสาร อาหารแห้งตุนไว้บ้างแล้ว เพื่อความไม่ประมาท
เพราะไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เรื่องของบ้านเมืองค่อนข้างสลับซับซ้อน
แต่งานนี้ ดูท่าแล้ว จะไม่ใช่หนังม้วนเดียวจบเหมือนตอนม็อบเสธ. อ้าย
เพื่อนผมที่เป็น ทร. ถูกเรียกตัวเข้าประจำการคอยถวายอารักขาที่หัวหิน
แถมพี่เขยผม (ทบ.) ก็ถูกเรียกตัวด้วยเหมือนกัน มีคำสั่งมาให้งดลาตลอดเดือน ส.ค.
เล่นเอาพี่สาวผมเซ็งไปเลย เพราะปกติก็ไม่ค่อยได้เจอกันอยู่แล้ว
แต่เนะอยู่ทางใต้ไม่น่าจะโดนด้วย (มั้ง??)

เมื่อวันศุกร์ เห็นท่านนายกฯ ออกแถลงการณ์ในทีวีเรื่องความปรองดอง
คุณชายเขานั่งดูอยู่ สักพักก็ได้ยินเสียงด่าดังลั่น
แล้วทำท่าจะคว้าของใกล้มือเขวี้ยงไปที่ทีวี
ดีที่คว้าไว้ได้ทัน ไม่งั้นได้ซื้อทีวีใหม่แน่เลย อะไรมันจะอินขนาดน้าน  :hao7:
เช้านี้ไปเปิดเจอการ์ตูนล้อเลียนเรื่องนี้พอดี
โดนมากกกกก นึกว่าจะเป็นแต่เราที่รู้สึกอย่างนั้นคนเดียวซะอีก 55555

ป.ล. เมื่อเช้าในกรุงเทพฯ รถติดมาก ๆ เรียกว่า เป็นมิคสัญญีของการจราจรในกรุงเลยก็ว่าได้
ผมออกจากบ้านตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปถึงที่ทำงานเกือบ 10 โมง  :katai1:
จนถึงตอนนี้ยังเซ็งไม่หาย เลยต้องเข้าเล้ามาระบายความเครียดก่อนเริ่มทำงานเนี่ยแหละ


ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
ท่านเสด็จประทับที่หัวหินปลอดภัยที่สุดละ พอดีเราไปเจอเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่านที่ควรรู้

เรื่องในหลวง ที่เราอาจจะไม่เคยรู้
1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2. นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3. พระนาม ‘ภูมิพล‘ ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
 4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5. ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษาทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า ‘H.H Bhummibol Mahidol’หมายเลขประจำตัว 449
 7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า ‘แม่‘
8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทยทรงตั้งชื่อให้ว่า‘บ๊อบบี้ ‘
12. ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ทีมากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14. ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก ‘การให้ ‘ โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน ‘ เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี ‘ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า ‘ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน‘
17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก ‘การเล่น ‘ สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21. ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23. ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ ‘แสงเทียน ‘ จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง ‘เราสู้‘
26. รู้ไหม…? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
 27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯรพ.ภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘นายอินทร์ ‘ และ ‘ติโต ‘ ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ ‘พระมหาชนก‘ ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘กีฬาซีเกมส์‘) ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
 30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ ‘กังหันชัยพัฒนา ‘ เมื่อปี 2536
 33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ! ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า ‘น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง ‘ฮันนีมูน ‘ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้าพอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับเมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นานค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า ‘ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก! บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ’
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ‘นายหลวง ‘ ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า ‘ทำราชการ ‘
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า ‘อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก ‘
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

http://www.chaoprayanews.com/2012/06/01/บทความเกี่ยวกับในหลวง-ท/

อาหารตุน ๆ ไว้ก็ไม่เสียหลายหรอก ปุ้ม เตรียมไว้ก่อนดีกว่าหาไม่ได้ อะไรก็ไม่แน่นอน
เรื่องวันลา นายเราสั่งงดลาตลอดเดือน ส.ค. เหมือนกัน
เราว่าหลาย ๆ บ้านคงจะเป็นเหมือนคุณชายนั่นหล่ะ เข้าใจเลยว่าคิดยังไง 555555
จะเดินทางไปไหนช่วงนี้เช็คเส้นทางก่อนละกัน คงจะเจอสภาพรถติดแบบนี้อีกนานหล่ะ อิอิ
 

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
ขอบคุณค่ะ ที่นำเรื่องราวของพระองค์ท่านมาแชร์     จุ้บๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
วันนี้มีข่าวใหญ่ 2 ข่าว คือ ข่าวการเมือง กับ ข่าวการมุ้ง
ข่าวการเมือง ดูท่าจะมินิซีรี่ย์ คงไม่จบง่าย ๆ ในเร็ววัน
แต่อีกข่าวที่มาแรงแซงโค้ง ทำเอาข่าวการเมืองหงอยไปในพริบตา
คือ ข่าวประกาศแต่งงานของคู่รักฉาวแห่งปี J&A

ไปที่ไหนก็ได้ยินแต่คนเม้าท์เรื่องนี้กันทั่ว
ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงยันแม่บ้าน รปภ.
วลีเด็ดของเรื่องนี้ ต้องโพสต์ของ อ. เผ่าทอง อ่ะ
"แย่งสามีนพนภา คือมายา  แย่งสามีนันทิดา คือเรื่องจริง"   o13
ขนาดปกติแกจะไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนะ
ยังเอากับเขาด้วย แสดงว่า เรื่องนี้ไม่ธรรมดา 555555

ป.ล. คนเขาประกาศยกเสาลงหลุมอย่างเป็นทางการ
แล้วตัวเราไปเผือกอะไรกับเขาวะเนี่ย?? งงตัวเองวุ้ย!!  :confuse:

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
สงสัย ว่าฝ่ายชายนอกจากรวยแล้วมีดีอะไรน้า คริๆ  มีแต่สาวสวยมาติดพันทั้งน้านนน 555

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
^
^
^
สงสัย กระ_อเลี่ยมทองมั้ง?

มีเรื่องขำเบา ๆ มาเล่า......

เมื่อช่วงวันแม่ พวกผม...คุณชาย ผม และหลานชายอีก 2 คน (สมมติว่า ชื่อ A กะ B) ก็ไปเที่ยวชะอำกัน
ตามประสาคนหนุ่ม หลังจากหาอะไรรองท้องกันแล้ว ตกค่ำก็ไปเที่ยวผับกัน
ไอ้เจ้า A มันคงเก็บกดมาก ก็เลยแด๊นซ์กระจาย วาดลวดลายไม่ยอมหยุด
สักพักเริ่มมีคนเข้ามาสี ตอนแรกมันก็ยังไม่เก็ทนะ ก็เต้น ๆ ไปไม่สนใจใคร
จนคุณชายสะกิดให้ผมดู คือ พวกผมสองคนนั่งเฝ้าโต๊ะคุยกัน ปล่อยให้หลานสองคนไปปล่อยฟีโรโมน
ผมก็นั่งดูว่า เจ้า A มันจะรู้เรื่องกะเขามั้ยเนี่ย? สักพักก็รู้ตัว เลยกลับมานั่งโต๊ะ หน้าเป็นตูดมาเชียว
ไอ้เจ้าหนุ่มนั่นก็ตามมาแนะนำตัวนั่งคุยด้วย ที่ผมขำ คือ ไอ้หนุ่มที่ตามมานั่น ตัวสูงเลยไหล่หลานผมมานิดเดียว แต่พยายามเก๊กแมนเต็มที่ ส่วนหลานผมสูง 184 ซม. หน้ามันหวานเหมือนแม่ ขนตาก็งอนยาวเหมือนผู้หญิง แต่ตัวใหญ่ล่ำบึก เพราะเล่นบาส แอบจิ้นเอาเองเล่น ๆ ว่า ถ้ามันจะติ๊ดชึ่งกันจริง ๆ ใครจะรุก จะรับหว่า? 555555  :laugh:

ส่วนเจ้า B ไปสีหญิง แต่กลับได้เพื่อนสาวของหญิงติดมาด้วย ทำไปทำมา โต๊ะผมเลยมีการกลายพันธ์ไปโดยปริยาย ตอนแรกเจ้า B จะไปกับหญิง แต่สาวเจ้าดันยื่นเงื่อนไขว่า ให้เพื่อนสาวร่วมด้วย หลานผมมันเลยเซย์ No เพราะไม่นิยมอนุรักษ์พันธุ์ไม้ แต่ที่ขำกลิ้งคือ เพื่อนสาวดันถามกลางวงขึ้นมาว่า พวกผมเป็นแฟนกันหรือเปล่า? คือ น้องเขาจับคู่จิ้นระหว่าง เจ้า A กะ เจ้า B เสร็จสรรพ เพราะเห็นว่า มาเป็นคู่ ขนาดตอนจะกลับ ยังถามย้ำอีก เล่นเอาหลานผมสองคนเซ็งไปเลย เพราะตอนแรกกะจะไปเหล่สาว ดันจะได้หนุ่มกะเพื่อนสาวมาแทน มีการมาแซวพวกผมอีกว่า เพราะพวกผมแหละ ทำให้พวกมันถูกเข้าใจผิด เดี๋ยวนี้ผู้ชายจะไปเที่ยวกันที จะไปกันแค่สองคนไม่ได้แล้ว เพราะจะถูกมองว่า เป็นแฟนกันตลอด ผมก็เลยบอกว่า โลกมันเปลี่ยนไปแล้วว่ะ ไม่อยากถูกเข้าใจผิด ก็เอาป้าย "ชายแท้" แขวนคอไว้ก็แล้วกัน  :hao3:

เพื่อให้เข้ากับกระแสตอนนี้ เลยเอา MV เรื่อง นาฬิการัฐสภา มาให้ดูครับ

http://www.youtube.com/v/VPO5fpGtr_U?hl=th_TH&version=3

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
555555 น่าสงสารเจ้าหลานทั้งสองคนของปุ้มนะ

ช่วงนี้งานวุ่น ๆ ยุ่ง ๆ ต้องดูเนื้อหาสาระต่าง ๆ ไปเจออันนี้มาน่าสนใจเผื่อนำไปใช้ได้

ยกตัวเองขึ้น โดยไม่ลดคนอื่นลง

 อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินเล่นที่ชายหาด
 อาจารย์ได้เริ่มสอนลูกศิษย์ด้วยการใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ
 อาจารย์กล่าวว่า “เธอสามารถทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้หรือเปล่า ไหนลองทำให้ดูหน่อยสิ”
ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ ลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงเหลือเพียง 1 ฟุต ทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา
แล้วศิษย์ก็ถามอาจารย์ และขอความเห็นว่า “แบบนี้ถูกหรือเปล่าครับ”
 “เหยีบบหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองอยู่สูงขึ้น”
อาจารย์เขกกบาลลูกศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า ” คนที่จะยกตนเองให้สูงขึ้น โดยการทำร้ายคู่แข่งนั้น ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอ ก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง ”
แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต จากนั้นอาจารย์ก็สาธิตให้ดูด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต
แล้วพูดว่า “จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ” ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า
ที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม
 คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ
แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม
กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขา
 อย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน
 หากไร้คู่แข่งแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม
 นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ จะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่ง
 และฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น
 การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูตามมาด้วย
 แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ไปลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับยังมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้น
 และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งของเธอเองด้วย

www.fpmcertificate.com

ปล.ประเด็นนาฬิกา เท่าที่ตาม ๆ ดู แล้วก็อดขำไม่ได้ ช่างคิดกันได้เนอะ 

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
ขอบคุณครับ เนะ ที่หมั่นหาบทความข้อคิดดี ๆ มาแบ่งปันกัน ^_^

เมื่อวานตามข่าวเรื่องการประชุมรัฐสภา เห็นแล้ว อนาถใจ รัฐสภาไทย ยังกะลิเกหลงโรง
แทนที่จะก้าวไปข้างหน้า กลับถอยหลังไปเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน
อีกไม่นาน เดี๋ยวได้มีการออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลเหมือนตอน 16 ต.ค. 19 เหตุการณ์คล้ายกันมาก

ยิ่งตอนนี้ ข้าวยากหมากแพงอย่างมาก หน้าแห้งกันเป็นแถว ประหยัดกันสุดฤทธิ์
เมื่อก่อน ถือเงิน 100 บาท ไปซื้อกับข้าว อาจได้กับข้าวมา 3-4 อย่าง
แต่ตอนนี้อาจได้ 2 อย่างเท่านั้น เมื่อวานแวะซื้อกับข้าวหน้าหมู่บ้าน
ซื้อปลาดุกผัดพริกขิง กะ แกงจืดมะระ ให้เงินไป 100 นึง แม่ค้าทอนมา 10 บาท
ผมยืนมองเงินทอนแล้วต้องถามกลับไป เขาอธิบายว่า ปลาดุก 50 แกงจืด 40
เล่นเอาอึ้งไป 5 วิ อะไรมันจะแพงพรวดพราดขนาดนี้
เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนยังซื้อแกงจืดถุงละ 30 บาทอยู่เลย
ประเทศชักอยู่ยากขึ้นทุกที  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
เราดูข่าว ยังถึงนึกประเทศเกาหลีเลย 5555555 ทีชุลมุนวุ่นวาย
นึ่ยังดีตรงที่ว่า ไม่มีการขว้างปาหรือทำร้ายร่างกายกัน มีแต่คำพูดที่เหมือนจะเชือดเฉือนเท่านั้น

ยุคนี้ข้าวยากหมากแพง เดือดร้อนกันไปทั่ว ใครตั้งรับได้ก็โชคดีไป
ขนาดต่างจังหวัดราคาอาหารที่นี่ไม่ต่างจาก กทม. เท่าไหร่ เมื่อไม่นานมานี่กับข้าวถุงราคาสิบห้าบาท ยี่สิบบาทยังหากินได้
เด๋วนี้ อย่างต่ำสามสิบห้าบาทขึ้น ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่ทำ
ถ้ามองในแง่ดี คงอยากให้ประชาชนลดความอ้วน มีรูปร่างดี แล้วอาจจะเอามาเป็นจุดส่งเสริมว่าอยู่ประเทศนี้แล้ว จะไม่มีคนอ้วนก็ได้นิ

หลัง ๆ มานี่เรามีงานเพิ่มต้องทำบทความออกอากาศด้วยไงปุ้ม
เลยต้องค้นหาสาระอะไรที่มีประโยชน์ก็เอามาเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้ฟังกันบ้าง

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เอามาฝากครับ เดี๋ยวนี้โรคภัยไข้เจ็บอาจคุกคามเราโดยไม่รู้ตัวได้ง่าย
รู้ไว้ใช่ว่า.......

วิธีการเช็คเส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบ่งชี้ และการทดสอบ

วิธีการเชคเส้นเลือดอุดตันในสมอง อาการบ่งชี้ และการทดสอบ ใช้เวลาอ่านบทความนี้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ถ้าเราสามารถจำสิ่งง่ายๆเหล่านี้ได้ เราอาจมีโอกาสช่วยชีวิตคนบางคนได้.....

ระหว่างงานเลี้ยง เพื่อนคนหนึ่งสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น แต่เธอบอกกับทุกคนว่าเธอไม่เป็นไร (เพื่อนๆถามว่าจะให้เรียกแพทย์มั้ย) เธอบอกว่าเธอแค่สะดุดก้อนหินเพราะยังไม่ชินที่ใส่รองเท้าคู่ใหม่มา ทุกคนช่วยกันปัดเศษสกปรกออกไปจากตัวเธอและไปตักอาหารมาให้ใหม่ ตัวเธอเองหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะมีอาการสั่นเล็กน้อย แต่ก็สนุกสนานดีตลอดเย็นวันนั้น

หลังจากนั้น สามีของเธอโทรหาเพื่อนๆทุกคนว่า ภรรยาเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล (และเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น) เธอมีอาการของเส้นเลืดอุดตันในสมองตั้งแต่ตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงแล้ว

ถ้าทุกคนรู้ว่าเธอมีอาการนี้เสียตั้งแต่แรก บางทีเธออาจจะยังอยู่กับพวกเราในวันนี้ก็ได้ บางคนก็ไม่เสียชีวิต แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างคนสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (เพราะเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาต)

แพทย์ด้านประสาทวิทยากล่าววา ถ้าแพทย์สามารถไปถึงตัวผู้ป่วยเส้นเลือดสมองอุดตันได้ภายใน 3 ชั่วโมง แพทย์จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้แน่นอน ที่สำคัญก็คือต้องทราบว่าผู้ป่วยมีอาการของโรคนี้ วินิจฉัยได้ได้ จากนั้นก็ให้การรักษาภายใน 3 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องจริงนั้นเป็นไปได้ยากอยู่ นอกจากจะรู้ก่อนว่ามันคือเส้นเลือดสมองอุดตัน

บางครั้งอาการของโรคเส้นเลือดสมองอุดตันก็เป็นการยากที่จะรู้กันได้ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ การไม่รู้อาจหมายถึงหายนะได้ สมองผู้ป่วยอาจจะโดนทำลายอย่างรุนแรง แต่คนรอบข้างไม่ได้รู้เลยว่านี่คืออาการของเส้นเลือดสมองอุดตัน

หมอบอกว่า คนที่ยืนอยู่รอบข้างก็สามารถรู้อาการได้ โดยคำถาม3 ข้อ ดังนี้

S *Ask the individual to SMILE. คือบอกให้ผู้ป่วย ยิ้ม

T *Ask the person to TALK and SPEAK A SIMPLE SENTENCE (Coherently) (i.e.. It is sunny out today.)
คือบอกให้ผู้ป่วยพูด โดยอาจจะเป็นประโยคง่ายๆ เช่น วันนี้อากาศดีนะ

R *Ask him or her to RAISE BOTH ARMS.
คือบอกให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้น

ถ้าผู้ป่วยมีความลำบากในการทำข้อใดข้อหนึ่ง ให้โทร.หาเบอร์ฉุกเฉินทันทีและแจ้งไปว่าผู้ป่วยมีอาการอย่างไร

Blood Clots/Stroke - They Now Have an Indicator, the Tongue
สัญญาณใหม่ของเส้นเลือดสมองอุดตัน -- แลบลิ้นออกมาดู
คือ ลองให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา หากลิ้นมีลักษณะม้วนงอ ตกไปด้านใดด้านหนึ่ง นั่นคือข้อบ่งชี้ว่ามีอาการเส้นเลือดสมองอุดตัน

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจบอกว่า หากคุณได้รับทราบข้อความนี้ และส่งต่อ อาจมีโอกาสช่วยชีวิตผู้ป่วยอย่างน้อย ๑ คน ก็เป็นได้

ปล. ถ้าพบเพื่อนมีอาการดังกล่าว จะสามารถช่วยเขาได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงครับ

[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เอามาฝากอีกอัน เครดิตจาก "เห้ยโดนว่ะ"
เผื่อใครกำลังสับสนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน กับ แฟน  :katai2-1:


[attachment deleted by admin]

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
ไปเจอคลิปนี้ ฮามาก แถมเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันในบ้านเรา
เขารีมิกซ์มาใหม่ เครดิต: kapook.com and DJ Artist
http://www.youtube.com/v/Cpc5d32_MTg?hl=th_TH&version=3

ออฟไลน์ กิมตี๋หัดขับ

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1466
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-3
ทำไมเหลือกันอยู่2คนอ่า   หายไปไหนกันหมดดดด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
555555 เราได้ฟังเหมือนกัน ในรถทัวร์ระหว่างทางไปอบรมเด็ก ๆ
ไม่มีภาพได้ยินแต่เสียง ยังว่าใครหว่า ฟัง ๆ ไป อ้อ พี่โน๊ตนี่เอง ฮามากกกกก

กิมตี๋   พี่ว่าคงจะงานยุ่งกันมั้ง หรือมาดูแต่ไม่ได้โพสอะไรก็ได้

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
เข้ามาอ่านเข้ามากดเป็ดบ้างค่ะแต่ไม่ค่อยได้เมนท์อะไร
เพราะอ่านแล้วก็ชอบใจแต่ไม่รู้จะตอบอะไรดี ^^
ส่วนใหญ่ประจำการอยู่ห้องนิยายค่า  :mew3:

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เอาสิ่งดี ๆ มาฝากครับ..........

ประสบการณ์ขอขมาเจ้ากรรมนายเวรและบทขอขมาอโหสิกรรม

ปกติเป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนจะท่องเฉพาะบท "นโมตัสสะ ฯลฯ" กราบ 3 ครั้งแล้วนอนเลย แต่เมื่อก่อนปีใหม่ได้หนังสือสวดมนต์มาก็เลยได้สวดบทขอขมาอโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร ตอนสวดครั้งแรกก็ไม่คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเป็นบทที่น่าสวดดี หลังจากสวดเสร็จคืนนั้นฝันเห็นผู้หญิงใส่ชุดสีชมพูแดง มานั่งคุยด้วยเธอบอกว่าเมื่อก่อนโกรธเรามาก แต่มาวันนี้ไม่โกรธแล้ว พอเราตื่นขึ้นมาเรารู้สึกว่าอิ่มเอมใจแบบอธิบายไม่ถูก คุยกับแม่ แม่ว่าคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขามาอโหสิกรรมให้

ก็เลยไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เพื่อนก็เลยขอให้ส่งบทสวดบทนั้นให้ พอเพื่อนเราสวด เธอก็ฝันเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ บอกเธอว่า เขากำลังจะไปเกิด เธอบอกว่าเธอรู้สึกดีมาก ๆ ก็เลยอยากจะแชร์บทสวดมนต์ให้เพื่อนสมาชิก kkl เผื่อใครสนใจอยากจะสวด

บทอธิฐานขออโหสิกรรม

กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง
อะสัญจิจจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม


กรรมใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ทั้งโดยตั้งใจก็ดี
ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ในภพชาติใดก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโปรดยกโทษ ให้เป็นอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า
อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อกันอีกเลย


แม้แต่กรรมใดที่ใคร ๆ ทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน
ขอจงดลใจให้เขาเหล่านั้นกลับมีเมตตาจิต คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันตลอดไป


ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า พร้อมทั้งครอบครัว ตลอดจนวงศาคณาญาติ ผู้่มีอุปการคุณของข้าพเจ้า
พ้นจากความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ ความทุกข์อย่าได้ใกล้ ความเจ็บไข้อย่าได้มี ขอให้มีความสุขสวัสดีมีชัย
เสนียดจัญไร และอุปัทวันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมสิ้นหายไป นึกคิดปรารถนาสิ่งใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมด้วย
ขอให้สิ่งนั้น จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จเทอญ.

นิพพานัง ปัจจะโย โหตุ


ขอบคุณ คุณ Nang Sirirattana


[attachment deleted by admin]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-08-2013 22:58:17 โดย fanfic2010 »

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
ขอบคุณคุณปุ้มมากค่ะ จะจดไว้ไปสวดบ้าง
ธรรมดาสวดไหว้พระปกติแล้วก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
ต่อด้วยแผ่เมตตาให้ตนเองจบด้วยชิณณะบัญชรแบบย่อค่ะ
ไม่ค่อยฝันอะไร เวลาหลับก็หลับสนิททุกคืน นานน้านจะฝันสักที ^^

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
โดยปกติที่เราไหว้พระสวดมนต์กรวดน้ำเสร็จแล้ว จะท่องบทแผ่เมตตาและต่อด้วยบทขอขมาโทษทั้ง ๓๑ ภูมิเป็นประจำ
น่าจะคล้าย ๆ กับที่ปุ้มบอก เผื่อใครสนใจนำไปใช้ได้
     
บทขอขมาโทษทั้ง ๓๑ ภูมิ
กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ กรรมดีอันใด เป็นบุญกุศล ที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ด้วยกาย วาจา ใจ
ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ขอให้ถึง แก่ท่านทั้งหลาย ที่มีภพมีภูมิ มีชาติเป็นแดนเกิด มีชรามรณะ มีจิต มีชีวิต
มีวิญญาณ มีขันธสันดาน มีวิบากแห่งกรรม มีการกระทำ เจ้ากรรมนายเวร เจ้าการบัญชี จตุโลกบาลทั้ง ๔ ยมบาล
มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ พรหม ๒๐ อบายภูมิทั้ง ๔ บัดนี้ข้าพเจ้า ได้สร้างกองการกุศล มีผลทานผลศีล ผลภาวนา ผลแผ่เมตตา
ขอให้ถึง แก่ท่านทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้ล่วงเกิน ทำกรรมไว้ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี
รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ต่อหน้ากันก็ดี ลับหลังกันก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลาย จงอโหสิกรรม ให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป
อย่ามีเวรภัย เกิดชาติหนึ่งภพใด ขอให้ได้สร้าง แต่กรรมดี สร้างบารมีของตน ให้พ้นภัยพาล ลุล่วงบ่วงมาร
ในอนาคตกาล อันใกล้นี้ ด้วยเทอญ


ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
ขอบคุณคุณ nonae มากค่ะ
บทนี้ยังไม่เคยสวดต้องจดไว้

ขอให้คุณสุขภาพดีและปลอดภัยค่ะ

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
ขอส่งข่าวสารข้อเท็จจริงสำหรับสถานการณ์ที่ชุมนุมเรื่องสวนยางในพื้นที่อ.ชะอวด สักนิด(พื้นที่รับผิดชอบของเราอีกแล้วครับท่าน 5555)
ที่จริงคือ เรื่องของสหกรณ์กองทุนสวนยางที่รัฐบาลได้ประกันราคาไว้แล้ว ซึ่งชาวสวนยางแทบทุกคนได้เข้าร่วมกับสหกรณ์นี้
เมื่อไปตัดยางก็มาขายให้กับสหกรณ์ ทางสหกรณ์ก็รับซื้อไว้ในราคาประกันแต่ปรากฎว่า ตั้งแต่ปีที่แล้วรัฐบาลไม่ได้ให้ส่งเงินให้กับสหกรณ์ทำให้สหกรณ์หมดสภาพคล่อง มาปีนี้พึ่งจะมีการส่งเงินมาให้เพียงบางส่วนเท่านั้นแต่ยังไม่ครบหมด อีกอย่างรัฐบาลไม่ได้นำยาง
ที่ทางสหกรณ์ได้รับซื้อไว้ส่งออก แต่ไปเอายางของเอกชนส่งออกแทน ทำให้ยางมีการค้างสต๊อคมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวบ้านออก
มารวมตัวกันชุมนุมต่อรัฐบาล แต่การเสนอข่าวกลับกลายไปคนละเรื่อง
ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะมีการรวมตัวของสหกรณ์กองทุนสวนยางเพิ่มขึ้นอีกหลาย ๆ จังหวัด และอาจจะไปรวมตัวให้เป็นกลุ่มเดียวกันอีกครั้งนึง

พวกเราได้แต่รอดูสถานการณ์กันต่อไป ^^
ปล. cinquain ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ที่จริงการสวดมนต์ไหว้พระเราสามารถเลือกในแต่ละบทสำหรับการสวดแต่ละครั้ง
      ในแต่ละสถาการณ์ได้ เหมือนกับที่พระใช้สวดในงานพิธีต่าง ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2013 20:59:11 โดย nonae »

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เนะ.....ขอบคุณมากที่นำเรื่องจริงที่ไม่ได้่ผ่านจอมาให้พวกเราได้รับรู้รับทราบ
เพราะเห็นแต่ฝ่ายรัฐบาลพยายามออกข่าวโจมตีว่า การประท้วงของชาวสวนยางเป็นเรื่องการเมือง
เอาใจช่วยเกษตรกรชาวสวนยางทุกคนทุกภาคให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้
ข่าวที่ออกมาตามสื่อฟรีทีวีต่าง ๆ มักจะเสนอข่าวตาม "บท" ที่ฝ่ายรัฐบาลเขียนไว้ให้
บางช่องที่ไม่อยากนำเสนอข่าวบิดเบือน ก็ตัดปัญหาด้วยการไม่นำเสนอมันเสียเลย
เราเลยต้องไปหาข่าวจากสื่ออื่น ๆ ที่พยายามดำรงรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของสื่อมวลชนมืออาชีพ
ซึ่งก็หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดในปัจจุบัน

ป.ล. เมื่อวานได้ดูปาถกฐาที่โทนี่ แบลร์พูดถึงเรื่องการปฏิรูปการเมืองแล้ว เขาพูดได้ดีมาก
อยากหัวเราะรัฐบาล อยากสร้างภาพความเป็นประชาธิปไตย โดยการเชิญเขามาพูดตีแสกหน้าตัวเอง
อีกคนที่เป็นทนายความชาวแคนาดา ก็พูดลักษณะเดียวกันเปี๊ยบ ก็ไม่รู้ว่า จะนำกลับไปคิดหรือเปล่า

ออฟไลน์ nonae

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +361/-1
นั่นดิ เราไปเจออันนี้มา ชัดเจนดี 55555

สรุป11ข้อปาฐกถา ชี้"โทนี่ แบลร์"ตบหน้ารัฐบาลฉาดใหญ่
1.รัฐบาลต้องเป็นคนนำปรองดองและต้องมีความจริงใจ โปร่งใส
2.ทุกฝ่ายต้องมีความบริสุทธิ์ใจร่วมมือกัน และฟังเสียงข้างน้อย
3.ต้องมีการะบวนการค้นหาความจริง เป็นกระบวนการหลักและเดินหน้าต่อไป
4.การนิรโทษไม่ควรมีและไม่ใช่หนทางปรองดองของชาติ
5.ประชาธิปไตย ไม่แค่การเลือกตั้ง แต่มีกระบวนการเรียนรู้อื่นๆด้วย
6.การปรองดองจะรีบเร่งรัดไม่ได้ อย่างที่รัฐบาลทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้
7.กระบวนการข่มขู่หากยังมีอยู่ เวทีปรองดองจะล้มเหลว ดังนั้นรัฐบาลควรดูให้การข่มขู่หมดไป
8.การปรองดองเป็นหน้าที่ของคนในชาติ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาชี้นำ
9.กระบวนการยุติธรรมต้องเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองและการแทรกแซงต่างๆ
10.รัฐบาลต้องมีประสิทธิภาพ โปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่แทรกแซงสื่อ
11.ควรมีการจัดเวทีสานเสวนาในเวทีต่างๆโดยไม่ควรมีกระบวนการใดๆหรือกลุ่มการเมืองใดเข้าไปข่มขู่

ออฟไลน์ fanfic2010

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-7
เนะ....ตอนนี้เขากำลังฮิตตั้งชื่อเป็นภาษาพม่า มีคนตั้งชื่อให้นายกว่า "ออง ดอก ที"

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด