@ ตอบหนิง เราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนเยอะหรอกครับ แต่ขอให้มีแล้วทำตัวสมกับเป็นเพื่อนก็พอ
ส่วนใหญ่คนมักพูดเหมารวมกันไปหมดว่า "เพื่อน" ระหว่าง คนรู้จัก คนคุ้นเคย เพื่อน (ธรรมดา) เพื่อนสนิท เพื่อนพิเศษ ฯลฯ
พี่ก็จะจัดแบ่งประเภทเพื่อนที่ว่า ตามกลุ่มข้างต้นนี้แหละครับ เวลามีใครมาติดต่อขอให้ช่วยอะไร
ก็จะดูเป็นเรื่อง ๆ เป็นคน ๆ ไป เพราะพี่จะเจอมาเยอะ ประเภทขอใช้สิทธิ์ความเป็นเพื่อน เพื่อความเท่าเทียมกัน
ตัวอย่างเช่น พี่มีเพื่อนคนหนึ่งที่เขาประสบปัญหาทางธุรกิจ เป็นหนี้เป็นสินเยอะ บางครั้งก็หมุนเงินไม่ทัน จนทำให้ลูกเต้าเกือบไม่ได้เรียน
พี่ก็เข้าไปช่วยเรื่องค่าเทอมลูกเขาบ้างเป็นครั้งคราว พอเพื่อนอีกคนรุ้ ก็จะขอใช้สิทธิ์ความเป็นเพื่อน ด้วยการขอยืมเงินพี่บ้าง
ทั้ง ๆ ที่บ้านมันแม่งโคตรรวย พอไม่ให้ ก็มีการตัดพ้อต่อว่า หาว่าเราลำเอียง รักเพื่อนไม่เท่ากัน เป็นงั้นไป
ถ้าไม่ติดว่า คบกันมาตั้งแต่ประถม พี่คงตัดหางมันไปแล้ว
โดยส่วนตัว พี่เป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะ หมายถึงในกลุ่มหรือแวดวงของพี่นะครับ แต่ถามว่า มีเพื่อนสนิทกี่คน
บอกได้เลยว่า คนที่พี่จัดเข้ากลุ่มเป็นเพื่อนนั้น มีไม่ถึง 5 คน แต่เป็น 5 คนที่มีคุณค่ามากสำหรับพี่
เพราะแบ่งปันรับรู้ทุกข์สุขของกันและกันมาตลอด และเป็น 5 คนที่พี่กล้าบอกเรื่องแฟนพี่ให้ทราบ
นอกเหนือจากคนในครอบครัว
@ King ตอบคำถามเรื่อง "ของขวัญ" ชิ้นแรกที่ได้รับจากแฟน
ต้องบอกก่อนว่า ปกติแฟนผมเค้าจะไม่ค่อยซื้ออะไรให้เป็นของขวัญสักเท่าไหร่ นาน ๆ ถึงจะให้ที
แต่ให้แต่ละที จะเป็นของชิ้นใหญ่หรือไม่ก็มีมูลค่าสูง เขาบอกว่า ให้บ่อย ๆ มันเฝือ และดูไม่มีคุณค่า
ด้วยความที่รับอยู่บ่อย ๆ คนรับก็อาจจะไม่รู้สึกซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของสิ่งที่ให้เท่าที่ควร
ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ในการให้ น่าน! หลักการจ๋ามากเลยครับ แฟนผม
พอเขามีความคิดแบบนี้ ก็เลยไม่ค่อยจะซื้ออะไรให้ผมหรอกครับ
ถ้าเป็นของขวัญชิ้นแรก แฟนผมเค้าซื้อรถยนต์ให้เป็นของขวัญครับ
ตอนนั้นอยู่ด้วยกันมาร่วมสองปีแล้ว จำได้ว่า วันนั้น กำลังนอนเล่นอยู่ที่บ้านคนเดียว ส่วนแฟนไปทำงาน
อยู่ ๆ ก็มีคนมากดกริ่งหน้าบ้าน พอเปิดออกไป ก็เจอผู้ชายคนหนึ่ง และรถคันหนึ่ง (ขออนุญาตไม่บอกยี่ห้อนะครับ)
ตัวเองกำลังงง ๆ อยู่ว่า เขากดกริ่งผิดบ้านหรือเปล่า พอดีผู้ชายคนนั้นเขาถามว่า ใช่คุณ....หรือเปล่า
พอตอบว่า ใช่ เขาก็ยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารการส่งมอบมาให้เซ็น แล้วบอกว่า คุณ (ชื่อแฟน) แจ้งไว้ว่า ให้เอาส่งให้คุณในวันนี้ครับ
ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่รับ เพราะไม่รู้เรื่องมาก่อน จะโทรไปถามแฟน ก็ยังติดต่อไม่ได้ เพราะเวลาเขาทำงาน จะปิดมือถือไว้
จะติดต่อได้ก็ต่อเมื่อเขาโทรมาหาเอง
ช่วงที่ลังเลว่า จะเซ็นหรือไม่เซ็นดี ผู้ชายคนนั้นเขาก็บอกว่า รับไปเถอะครับ คุณ(แฟนผม)เขาจ่ายเงินสดไปหมดแล้ว เหลือแค่เซ็นชื่อเท่านั้น
พอดูเอกสารอะไรต่าง ๆ แล้ว ผมก็เลยยอมเซ็น คือ ถ้าสุ่มสี่สุมห้ารับไป กลัวถูกหาว่า รับของโจรน่ะครับ
หรือไม่ก็กลัวถูกกรรโชกทรัพย์ทีหลัง เหมือนอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวบ่อย ๆ
สุดท้าย พอแฟนโทรมา เขาก็ถามคำแรกเลยว่า ได้รถหรือยัง ผมก็อึ้ง+ตื้นตันไปพอสมควรครับ
เพราะไม่คิดว่า เขาจะลงทุนขนาดนี้ รถไม่ใช่ราคาบาทสองบาท
เขาบอกว่า เห็นลูบคลำอยู่นานแล้ว ก็ไม่ตัดสินใจซื้อซะที
แล้วพอกลับมาที่บ้าน ก็ยังพูดพร่ำถึงมันอยู่นั่นแหละ เขารำคาญ ก็เลยซื้อให้ซะเอง
คือ ก่อนหน้านั้น พวกผมได้ไปเดินดูรถที่งาน Motor Expo กันมาน่ะครับ
แล้วผมไปสนใจรถยี่ห้อนั้นเข้า แต่ติดที่ว่า ไอ้คันที่ใช้อยู่ตอนนั้น มันก็ยังใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหาอะไร
ไปจด ๆ จ้อง ๆ ลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่นานเหมือนกัน แล้วแฟนผมเขาก็เร่งผมให้ไปดูที่อื่นซะเหลือเกิน
สุดท้าย ก็เลยตัดใจไม่ซื้อ ผมก็เลยแปลกใจที่เขาซื้อรถให้ผม เพราะตอนนั้น เขาทำเหมือนไม่สนใจเลยครับ
ออกจะติดแนวรำคาญผมเสียด้วยซ้ำ เขามาบอกให้ฟังทีหลังว่า ตอนที่เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เขาแอบกลับไปขอเบอร์เซลล์เอาไว้
เพื่อติดต่อเรื่องทีหลัง กะจะเซอร์ไพรส์ผมน่ะแหละ
นี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารักของเขาก็ได้มั้งครับ เพราะเขามักจะทำอะไรแบบนี้บ่อย ๆ
เหมือนหนังสือที่ต้องคอยติดตามอ่านตลอดเวลา 55555
เอิ่มมม พี่ปุ้มครับ ที่พี่เล่ามาเนี่ยไม่ใช่สิ่งเล็กๆแล้วมั้งครับ

อิจฉาๆ
ลืมเรื่องคำถามพี่คิงไปเลย งั้นขอเล่ามั่ง ก็อย่างเคย ของขวัญของผมก้อยังคงมืดมนเหมือนเดิม // ค้างคาวร้องแกว๊กๆ
ลอยกระทงปีที่แล้วเป็นคืนที่ก่อนที่ผมกะมันจะเลิกกันอะครับ
ก้ไปเดินเที่ยวงานกันที่เกาะลอยศรีราชา แล้วทีนี้มันมีร้านขายพวกสร้อยที่ทำจากข้าวเพ้นท์สี แล้วเขียนตัวอักษรลงบนเม้ดข้าวอะครับ
ผมก้เดินด้อมๆมองๆ อยู่นาน แบบว่า อยากได้ แต่ก็นะ พรุ่งนี้ก็จะจากกันแล้ว ถ้าซื้อไปจะมานั่งช้ำใจป่าวว้า
มันคงเห็นผมลังเลอะมั้ง เลยบอกผมว่า "เขียนคำว่าไรดีวะหนิง"
ผมก็เลย เออๆ ซื้อก็ซื้อวะ (ใจจริงแอบดีใจ นอกจากแหวนที่มันให้ ผมก็ไม่มีอะไรที่แสดงถึงการมีอยู่ระหว่างผมกับมันระความสัมพันธ์ระหว่างเราเลย)
คิดคำกันอยู่นาน ก็สรุปได้ว่า เขียนเป็นชื่อย่อของผมกับมัน คือ B & N
ได้มาคนละอัน เหมือนกัน ใช้ข้าวทาสีดำ เขียนคำด้วสีขาว ใส่ไว้ในกระบอกฟิวส์อัดซิลิโคน สวยดีครับ ผมเห็นแวบแรกยังชอบเลย
ขากลับ ผมฉุกคิดได้ถึงคำว่า B & N ที่เขียนไว้ที่สร้อยข้อมือของเรา เลยบอกมันไปว่า
" เบียร์ (นามสมมติ) วันพรุ่งนี้ ตัว N ที่สร้อยของมึง คงไม่ได้หมายความถึง หนิง แล้วสินะ แต่เป็น .... (ชื่อแฟนมัน) แทน"
มันนิ่งไม่ได้พูกอะไร แต่มันก็บอกผมตอนที่มาถึงห้องแล้ว
"แล้วมึงรู้มั้ย ว่าสำหรับกู มันไม่มีใครแทนใครได้หรอก"
มีเรื่องน่าตลกสำหรับสร้อยข้อมือเส้นนี้อยู่อีกอย่าง ตอนที่แฟนคนที่สองมันสารภาพ

กับผม ผมนึกถึงสร้อยเส้นนี้ขึ้นมา หลังจากไม่ได้ใส่มานาน (ใส่แล้วคิดถึงมัน

) ผมก็หยิบมาใส่ แล้วบอกกับแฟนคนที่สองว่า ขอบคุณนะ ที่ทำให้พี่รู้สึกดีขนาดนี้ จากนี้ไป B ในสร้อยเส้นนี้ จะเป็นเรานะบรีส (นามสมมติ) ซึ่งมันก็โอเค บอกว่า "พี่ผมไม่ได้ขอให้พี่ลืมใคร แต่ผมดีใจนะที่พี่รักผม"
เป็นเรื่องของเวรกรรมจริงๆ ที่ในเรื่องความรักของผมที่ผ่านมา มีแต่นาย B ทั้งนั้นเลย จำได้ว่า ตอนเม้าท์กับเพื่อนตอนนั้น ใช้คำนำหน้านายสองคนนี้ว่านาย B1 กับ B2

ส่วนในทุกวันนี้ นอกจากจะไม่มีซัก B แล้ว A ถึง Z ก็ไม่มีซักตัวเลยครับ
อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเล็กครับ อย่างซื้อรถให้เนี่ยไม่ไหวจริงๆ อิจฉา

หวังว่าคงไม่ดราม่านะครับ เล่าอย่างชิวๆ จริงจริ๊งง