อากาศหนาวแล้ว กายเลยได้ไออุ่น
ปล. จะมาว่ากายไม่ได้อีกแล้วนะคร้าบ
Guy Chapter 49
กายมองดวงไฟสีทองในห้องรับรองของวนาลัยสปาด้วยความรู้สึกซึมๆ เหลืออีกห้านาทีจะถึงเวลานัดของเขากับคเชนทร์ แต่เขากลับรู้สึกลังเลที่จะพบกับคเชนทร์ในสภาพเช่นนี้
สภาพที่เขาเพิ่งหักอกเชิงชายมาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงและเขาต้องนั่งปลอบเชิงชายอยู่นาน ส่วนนรธีร์นั้นพอเจอหนุ่มที่ตัวเองชอบก็หายตัวไปเฉยๆ
สภาพของเขาไม่ต่างจากสภาพของเชิงชายเท่าใดนัก แม้จะเป็นคนบอกเลิกแต่ก็เขาก็เสียใจอยู่เหมือนกัน
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาชีวิตของเขาต้องเจอกับสถานการณ์ยุ่งยากใจหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักกว่าทุกครั้ง
เจ้าของวนาลัยสปาเป็นเพื่อนกับคเชนทร์ หลังจากนวดคลายเครียดเป็นเวลา 45 นาทีคเชนทร์ก็ชวนกายมาเอนตัวนอนเล่นอยู่ที่ระเบีียงพักผ่อนด้านหลังสปาซึ่งจัดตกแต่งอย่่างสวยงาม
“หนาวไหมครับกาย อยากได้ผ้าห่มอุ่นๆ หรือเปล่าครับ" คเชนทร์ถามขึ้น หลังจากที่นอนดูดาวกันเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่
“ที่นี่บริการถึงขนาดนั้นหรือครับ" กายแปลกใจ
“ผมหมายถึงอ้อนแขนแมนๆ ของผมต่างห่าง" คเชนทร์หัวเราะ
“คุณคเชนทร์นี่ พูดอะไรก็ไม่รู้"
“เขินหรือ" คเชนทร์เอียงหน้ามอง นัยน์ตาวิบวับในแสงสลัวของเปลวเทียวซึ่งตั้งอยู่รอบๆ
“เขินมากเลยครับ หน้าแดงไปหมดแล้ว" กายประชด
“ยังก่อน อย่าเพิ่ง รอให้ถึงช่วงโมแมนติกสุดๆ ของคืนนี้ซะก่อน"
“คุณคเชนทร์ครับ" กายไม่รอให้ถึงช่วงโรแมนติกของคเชนทร์ ตัดสินใจเริ่มพูดเรื่องที่คิดเาไว้
“หือ"
“ผมรู้ว่าคุณตามมาถึงแม่ฮ่องสอนทำไม" กายเกริ่นนำ
“ทำไม" คเชนทร์เลิกคิ้ว
“และผมรู้ว่าคุณชวนผมมาที่นี่ทำไม"
“นอนฟังเสียงลมบนดอย สูดอากาศสดชื่น ดูดาว" คเชนทร์ตอบ
“ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ"
“เอ้า ลองเดาใจผมซิ" คเชนทร์อมยิ้ม
“คุณคเชนทรืครับ คุณเป็นคนน่ารักมาก เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นผู้ชายที่...”
“ที่คุณพูดมาถูกหมด" คเชนทร์แทรก "และผมก็รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่เหมือนกันนะกาย"
“งั้นผมคิดอะไร" กายเลิกคิ้ว
“ผมไม่ทายหรอก" คเชนทร์ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นมาเสียงเบา "ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ"
“คุณคเชนทร์" กยพึมพำ
“ขอแค่นอนอยู่ด้วยกันเงียบๆ ผมก็พอใจแล้ว" คเชนทร์ทอดเสียงอ่อนโยน มองตาของกายนิ่ง
“คุณคเชนทร์"
“ทำไมครับ กลัวลืมชื่อหรือไง เรียกคเชนทร์อยู่ได้"
“เปล่า"
“อืม...วันนี้วันเกิดคุณ ส่วนของผมคือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ผมเชิญคุณไว้ซะเลย จะไปฉลองกันที่บ้านพักตากอากาศของผมที่ปราณบุรี เฉพาะเพื่อนสนิทผม คุณไปนะกาย ไปตั้งแต่เช้าวันที่ 12 ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย ชวนเพื่อนคุณไปด้วยก็ได้ งานนี้ฉลองกันข้ามวันข้ามคืน เหล้าเบียร์ไม่อั้น แต่ห้ามคุณเมา"
“แล้ว...”
“พฤศก็คงแวะไป แต่ผมขอรับรองว่าจะปกป้องคุณไม่ให้โดนแกล้งเด็ดขาด ด้วยเกียรติของคเชนทร์" คเชนทร์หัวเราะ
“ผมไม่กลัวหรอก"
“ความจริงคุณลาออกจากบริษัทไปแล้ว เขาไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายกับคุณอีก ถ้ามีอะไรคุณต้องรีบบอกผมทันที ผมจะจัดการให้"
“มีอะไรหรือครับ"
“อะไรก็ตามจากบริษัท เช่นแผนกบุคคลติดต่อไปว่าคุณจิ๊กของบริษัท หรือให้ไปรับเงิน provident fund อะไรทัั้งสิ้นทั้งปวง"
“จะมีอะไรงั้นหรือครับ"
“คงไม่มีหรอก ผมเพียงแต่พูดว่า ถ้ามี ก็ให้บอกผม"
“ครับ" กายพยักหน้า มองคเชนทร์แล้วกลับเข้าเรื่องหลังจากถูกคเชนทร์พาออกนอกเรื่องไปชั่วครู่ "ส่วนเรื่องคำตอบที่คุณต้องการ...”
“เก็บเอาไว้เถอะกาย อย่าเพิ่งตอบผมก็ได้ ผมเป็นคนใจเย็น ผมรอได้"
“แต่ก่อนเห็นเร่ง" กายพูด "คุณอุตส่าห์ตามมาถึงแม่ฮ่องสอน"
“ผมถือโอกาสมานวดฟรี" คเชนทร์ยักไหล่แล้วหัวเราะ จากนั้นยักคิ้วให้กายและพูดต่อว่า "ไม่ชอบให้เร่งไม่ใช่หรือ งั้นก็ใจเย็นๆ หรือไม่ก็ค่อยบอกตอนวันเกิดผม ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณ"
กลับถึงกรุงเทพมหานครกายก็ไม่มีเวลาพัก หลังจากส่งลูกค้าถึงโรงแรมที่พักวรุจน์ก็ให้คนขับรถมารับและพาไปพบที่ชั้นบนสุดของโรงแรมThe Atlantis
Penthouse หรูหราของวรุจน์
“วิวสวยใช่ไหมครับ" วรุจน์ถามกายแล้วลุกขึ้นจากโซฟานุ่มขนาดใหญ่สีดำและเดินเข้ามาหากายซึ่งยืนอยู่ใกล้กระจกบานใหญ่
“สวยมากครับ" กายพยักหน้า
“พรุ่งนี้ผมก็จะกลับไปทำงาน" วรุจน์พูดพลางเดินเข้ามาหยุดยืนข้างหลังกาย "แต่ผมก็ยังพักที่บ้าน ตอนแรกผมกะจะนอนที่นี่ แต่คิดไปคิดมากลับไปนอนที่บ้านดีกว่า จะได้พยายามคิดเรื่องต่างๆ ความจำผมอาจจะกลับมาได้บ้าง"
“มันไม่กลับมาบ้างเลยหรือครับ" กายหันไปถามวรุจน์ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนชิดมากจึงขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่วรุจน์ขยับตามและกอดเอวกายไว้หลวมๆ
“ผมอยากให้ความจำผมกลับมามากที่สุดเลยกาย แต่โชคร้าย มันไม่มีอะไรกลับมาเลย ที่ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ตอนนี้ก็เพราะคนรอบข้างเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง" วรุจน์นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ "ทำไมโชคชะตาโหดร้ายกับผมนักก็ไม่รู้"
“ไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับ คงมีซักวันที่...”
“ผมใกล้จะหมดหวังแล้วรู้ไหม" วรุจน์พูดแทรก
“อย่าสิ้นหวังสิครับ คุณต้องพยายาม" กายให้กำลังใจ
“ลุงพร้อมกับป้าชื่น คนเก่าแก่ที่ดูแลผมมาตั้งแต่เด็กบอกให้ผมปลง" วรุจน์ยิ้มมุมปากบางๆ แต่ในดวงตามีแววเหยียดหยันโชคชะตาขงอตัวเอง
“ความจริง ที่ท่านทั้งสองพูดก็ถูก"
“ผมลองพยายามมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว แต่มันก็ยาก ผมปลงเรื่องที่พ่อแม่ผมเสียชีวิต ผมปลงเรื่องน้องชมผมตายเพราะรถคว่ำ ผมต้องปลงเรื่องผมถูกรถชนและสูญเสียความจำ" วรุจน์พูดเบาๆ ตามองออกไปเบื้องนอก "แต่คุณรู้ไหมกาย เรื่องราวความทรงจำที่ใครต่อใครเล่าให้ผมฟังทำให้ผมปลงได้ยาก อรุญตายเพราะอุบัติเหตุก็จริง แต่ก็มีเงื่องำ จนป่านนี้ก็ยังไม่ชัดเจน ตอนนั้นผมเป็นคนตั้งข้อสงสัยนั้นเอง ส่วนพ่อกับแม่ผมคนอื่นเป็นคนตั้งข้อสังเกต แต่ตำรวจก็ปิดคดีไปแล้ว ตอนนั้นผมเป็นเด็กวัยรุ่น พอผมกลับจากอเมริกาผมขอให้ตำรวจรื้อคดีแต่ทุกอย่างก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี ไม่อยากจะเชื่อ ทั้งที่ผมเป็นถึง CEO ของ The Atlantis มีเงินมีอำนาจ แต่เรื่องสองเรื่องนั้นก็ไม่เห็นจะคืบหน้าไปถึงไหน"
“คุณวรุจน์ครับ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้"
“ผมก็เลยต้องปลงใช่ไหมกาย คุณคิดว่าผมควรคิดและทำอย่างนั้นใช่ไหม" วรุจน์ถามเสียงเข้ม "ทำเสมือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
กายไม่รู้จะตอบอย่่างไรจึงยืนนิ่ง ความจริงแล้วเขาเห็นใจวรุจน์มาก หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้กัับใคร คนนั้นก็คงจะหนักใจเหมือนวรุจน์
“ผมอยากมีใครซักคนยืนอยู่เคียงข้างผม คนที่ผมจะรักและไว้ใจได้" วรุจน์พึมพำ ดึงกายเข้ามากอด "คนที่จะไม่หักหลงผม คนที่จะไม่ทำให้ผมเสียใจ"
“มีสิครับ" กายปลอบสั้นๆ
“กาย...คืนนี้ค้างกับผมที่นี่นะครับ ผมเหงา ไม่อยากอยู่คนเดียว"
“เอ่อ...”
“ถ้าคุณกลัวว่าผมจะทวงสิทธิ์ของการเป็นแฟนอย่างที่ผมทำอะไรงี่งเง่าเหมือนตอนที่คุณไปเยี่ยมที่บ้านครั้งแรกคุณก็สบายใจได้ ผมจะไม่ฝืนใจคุณ"
“ไม่ใช่ยังงั้นหรอกครับ"
“งั้นก็มีเหตุผลอะไรที่คุณจะค้างกับผมไม่ได้" วรุจน์เลิกคิ้ว มองตาของกายอย่างค้นหา กายยืนนิ่ง วรุจน์จึงชี้มือไปที่ประตูห้องทางด้านขวาและพูดขึ้นว่า "ผมว่าคุณไปอาบน้ำให้สดชื่นเถอะ นั่นห้องนอนผม ส่วนห้องที่เหลืออีกสามห้องคุณจะเลือกห้องไหนก็ได้ ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว"
“ครับ" กายพยักหน้าแล้วแกะมือของวรุจน์ออกจากเอว แต่วรุจน์ยังฝืนเอาไว้และยื่นจมูกเข้ามาหอมแก้มกาย จากนั้นจึงปล่อยมือ
กายเลือกห้องที่อยู่ใกล้ที่สุด เขายิ้มบางๆ ให้วรุจน์แล้วเดินเข้าห้อง วรุจน์มองตามร่างนั้นด้วยสายตาครุ่นคิดก่อนจะละสายสายตาหันไปมองเบื้องนอกซึ่งเป็นภาพของแสงไฟระยิบระยับของกรุงเทพฯ ยามราตรี
กายตื่นขึ้นมากลางดึกและรู้สึกคอแห้งมากจึงเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปดื่มน้ำในครัว แต่เมื่อเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็ต้องหยุดยืนเมื่อเพ่งสายตาไปมองในความมืดเห็นร่างของวรุจน์นอนอยู่บนโซฟา
กายเดินเข้าไปใกล้ วรุจน์นอนตะแคง กอดอก ท่าทางคงจะหนาวเพราะในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศค่อนข้างเย็น
เขาปลุกวรุจน์ด้วยการเขย่าแขนและเรียกชื่อเบาๆ ไม่นานวรุจน์ก็รู้สึกตัว ชายหนุ่มยิ้มให้กายและพูดว่า
“ทำไมยังไม่นอนอีก"
“ผมนอนไปแล้ว ผมลุกขึ้นมาดื่มน้ำ คุณนั่นล่ะ ทำไมมานอนหนาวที่โซฟาครับ"
“ผมหนาวเพราะไม่มีผ้าห่ม" วรุจน์ตอบ
“ไปนอนในห้องสิครับคุณวรุจน์"
“ผมไม่ชอบนอนที่แคบๆ"
“ห้องนอนแคบที่ไหน ขนาดห้องผมยังกว้าง ห้องคุณต้องใหญ่กว่าห้องผมนอน" กายส่ายหน้า "ไปนอนเถอะครับ"
“มานั่งนี่สิกาย" วรุจน์วางมือลงบนโซฟา หยักหน้าให้กายทำตามเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ขยับตัว "มานั่งตรงนี้หน่อย"
“คุณนอนอยู่"
“ยังมีที่เหลือ มาสิครับ" วรุจน์พูดเสียงนุ่ม กายลุกขึ้น เดินอ้อมโซฟาตัวใหญ่ไปนั่งอยู่บนขอบโซฟาช่วงระหว่างกลางลำตัวของวรุจน์
“ผมไม่ขอบนอนในห้องนอน คุณรู้ไหม ที่บ้าน ผมก็นอนในห้องนั่งเล่นประจำ โซฟาผมถึงตัวใหญ่มาก สังเกตไหม"
กายพยักหน้าแล้วพูดว่า "ถ้ายังงั้นผมจะไปหยิบผ้าห่มมาให้นะครับ"
“ไม่ต้อง" วรุจน์ส่ายหน้า "แค่ผมกอดคุณก็อุ่นแล้ว" วรุจน์ยื่นแขนมาโอบเอวของกายเอาไว้แล้วดึงให้เอนตัวลงนอน
“ดึกแล้วนะครับคุณวรุจน์" กายขืนตัว
“ดึกก็นอนสิครับ" วรุจน์ออกแรงมากกว่าเดิม
“เดี๋ยวจะนอนไม่สบาย"
“แบบนี้ล่ะสบายที่สุด กาย อย่าดื้อกับผมสิครับ นอนลงมา" วรุจน์ดึงตัวกายลงมานอนแล้วกอดจากข้างหลังเอาไว้แน่น กระซิบข้างซอกหูของกายว่า "ตัวอุ่นจัง"
“คุณกลัวที่แคบหรือครับ" กายถาม
“เปล่า ผมแค่รู้สึกว่าเวลานอนในห้องนอนมันเหมือนถูกขัง ผมชอบที่โล่งๆ เพดานสูงๆ"
“ทำไมไม่สร้างห้องนอนให้ใหญ่ๆ เหมือนห้องนั่งเล่น" กายถาม
“ถ้าทำยังงั้นจะเรียกห้องนอนหรือครับ" วรุจน์หัวเราะ
“อ้าว แล้วจะมีห้องนอนไว้ทำไม"
“นอนดีกว่า อย่ามาเถียงกันเลย"
“งั้นผมหลับแล้วนะครับ" กายพูดเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์ กาย"
“ราตรีสวัสดิ์ครับ คุณวรุจน์"
“เลิกเรียกผมว่าคุณได้แล้ว เราเป็นแฟนกัน คุณเรียกผมห่างเหินจังเลย" วรุจน์พูดขึ้นมา
“ก็...”
“ถ้าอยู่กันสองต่อสอง เรียกผมว่า ที่รัก ได้ไหมกาย"
“คุณวรุจน์...” กายพึมพำ
“เอ๊ะ เพิ่งบอกอยู่เมื่อกี้" วรุจน์ซุกไซร้จมูกโด่งคมเข้ากับซอกคอของกายเป็นเชิงหยอกเย้า
“ผมรู้สึกเขินยังไงก็ไม่รู้"
“ถ้ายังงั้นเรียกเฉพาะเวลาโรแมนติก เวลาธรรมดาให้เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้ แต่เรียกว่าคุณวรุจน์นี่ขอที"
“จะพยายามนะครับ"
“ถ้าไม่พยายามจะโดนทำโทษ" วรุจน์หัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วกระชับวงแขนให้แน่นเข้าแล้วนอนนิ่ง
กายลืมตาในความมืด ในใจอดคิดเรื่องต่างๆ ไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดกับวรุจน์มากที่สุด แต่หากเทียบกับคนอื่น เช่น ซอว์ เบน หรือ เมฆ หรือแม้แต่คเชนทร์ ก็ยังถือว่าไม่ได้ 'ใกล้ชิด' มากขนาดนั้น เขากับวรุจน์ไม่เคยร่วมรักกัน และจะว่าไปก็ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากเท่าใดนัก
ทว่า...มีความรู้สึกหนึ่งกำลังก่อตัวขึ้น
ความรู้สึกที่ค่อนข้างแตกต่างจากเมื่อครั้งที่เขาใช้เวลากับ 'คนอื่นๆ'
...นี่ใช่ไหมกาย ใช่หรือเปล่า นี่คือคำตอบใช่หรือไม่...
กายกระซิบถามตัวเองในใจ
กายค่อยๆ ลืมตา จากนั้นบิดตัวไปทางซ้ายพร้อมกับครางอืออา สายตามองไปข้างหน้าและเมื่อเห็นว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนโซฟากลางห้องนั่งเล่นก็ขมวดคิ้ว
ห้องนอน!
...วรุจน์ไปไหน...
กายยันตัวขึ้นช้าๆ ศอกตั้งอยู่บนที่นอน มองไปรอบๆ ก่อนจะหลุบตาลงมองแผ่นอกของตัวเองเมื่อรู้สึกว่าไม่ได้สวมเสื้อ
“เมื่อคืนนี้...” กายพึมพำเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างแรงพร้อมกับครางเสียงเบา
...เมื่อคืนนี้เขามีอะไรกับวรุจน์!...
...นอนอยู่ที่โซฟายังไม่ทันจะหลับ วรุจน์ก็เริ่มซุกไซร้ใบหูแล้วระดมจูบต้นคอ จากนั้นก็ควบคุมอะไรไม่ได้...
กายนอนลืมตาโพลง มองเพดานสีขาวสะอาด มือลูบไล้แผ่นท้องของตัวเอง ภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนฉายขึ้นมาในความคิดเหมือนภาพยนต์ สัมผัสของวรุจน์ดุดันสลับอ่อนโยน เขาตอบสนองด้วยอารมณ์เช่นเดียวกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น จากนั้นเขาก็นอนหลับในอ้อมแขนของวรุจน์
กายลงจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันกายท่อนล่างแล้วเดินออกมานอกห้องนอน วรุจน์กำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ใกล้กับประตูซึ่งเปิดออกไปเป็นระเบียงกว้าง เมื่อหันมาเห็นกาย วรุจน์ยิ้มกว้างให้แล้วรีบจบการสนทนา ก่อนจะเดินเข้ามาหาและกางแขนออกทำท่าจะเข้ามาโอบกอด
“ตื่นแล้วหรือคนขี้เซา" วรุจน์พูด
“ผม...” กายพูด "เรา...เอ่อ...”
“อะไรครับ" วรุจน์เลิกคิ้ว โอบกอดกายเอาไว้ "ผม เรา อะไรหรือ"
“เอ่อ...” กายยังคงอึกอัก
“เราเป็นของกันและกันแล้ว คุณจะถามยังงั้นใช่ไหม" วรุจน์ถาม "คำตอบคือใช่ คุณเป็นของผมแล้ว"
“แล้วผมไปนอนในห้องคุณได้ยังไงครับ"
“ถึงได้ถามว่าตื่นแล้วหรือคนขี้เซายังไงล่ะ" วรุจน์ตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "ผมสะกิดคุณแล้วดึงแขนให้ลุกขึ้นเดินตามเข้าห้องนอน คุณเดินเปลือยกายตามผมเข้าไปทั้งๆ ที่หลับตาอยู่เลยนะกาย"
“แล้วนี่คุณจะไปทำงาน" สายตาของกายจับอยู่ที่เน็คไทของวรุจน์
“ครับ" วรุจน์พยักหน้า "ผมสั่งให้คนมาเสิร์ฟอาหารเช้าแล้วล่ะ อีกหน่อยก็คงมา แต่ผมไม่ได้ทานด้วยนะ"
“ไม่เป็นไรครับ"
“ผมอยากให้คุณนอนพักเยอะๆ เลยไม่ได้ปลุก" วรุจน์หอมแก้มกาย "เดินทางมาจากแม่ฮ่องสอน มาถึงก็ค่ำ แล้วต้องมาเสียตัวให้ผมอีก"
“บ้า พูดอะไรก็ไม่รู้" กายกำมือและชกท้องวรุจน์เบาๆ
“โอ๊ย...กาย ผมเป็นคนเจ็บเพิ่งถูกรถชนมานะ" วรุจน์แกล้งร้อง
“เมื่อคืนไม่เห็นจะมีท่าทางเป็นคนเจ็บเลยนะครับ"
“เมื่อคืนกับเช้านี้มันแตกต่างกัน" วรุจน์อมยิ้ม
“รีบไปทำงานเถอะครับ ผมทานอาหารเช้าเสร็จก็จะไปทำงานเหมือนกัน" กายพูด
“อะไรกัน เพิ่งกลับจากทำทัวร์แม่ฮ่องสอน คุณต้องไปทำงานอีกหรือ ไม่ได้พักบ้างเลยหรือไง"
“ไม่รู้จะอยู่เฉยๆ ทำไมครับ" กายตอบ "วันนี้คุณทำงานวันแรก ขอให้ทุกอย่างราบรื่นนะครับ"
“ขอบคุณครับ หวังว่าคงเป็นอย่างนั้น" วรุจน์ตอบแล้วปล่อยแขน หอมแก้มกายทั้งสองข้างแล้วเดินตรงไปที่ประตูลิฟท์ของเพนท์เฮาส์ ขณะที่รอให้ลิฟท์ปิด วรุจน์ยกมือขึ้นทำท่าส่งจูบให้กายแล้วยิ้มกว้าง กายรอจนลิฟท์ปิดจึงเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
กายเปิดกระเป๋าแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นของขวัญวันเกิดสองชิ้นซึ่งวางอยู่บนเสื้อเชิร์ทสีน้ำเงิน ชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญจากคเชนทร์ ส่วนอีกชิ้นเป็นของเชิงชาย
กายถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งนิ่ง ในใจอดคิดถึงสิ่งที่พูดกับคเชนทร์และเชิงชายไม่ได้
อดนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตเขาเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาไม่ได้
อดนึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไม่ได้
...และแล้ว...ทุกอย่างก็ชัดเจน...
...ในที่สุด อะไรที่ยุ่งเหยิงก็คลี่คลาย...
...คราวนี้นรธีร์จะมาว่าเขาเป็นคนโลเลไม่ได้อีกแล้ว...
::: End of Chapter 49 :::