ขอโทษนะคะที่หายไปนาน ช่วงนี้ยุ่งๆ แถมงานฟาร์มก็เพิ่มมาอีก
ขอโทษนะคะ เอาไปอ่านสั้นๆ กันพอหายคิดถึงก่อนนะคะ
ขอบคุณที่ยังมีคนตามอ่าน คิดว่าไม่ค่อยมีคนอ่านเลยใจเย็น แหะๆ
******************************
เขากลับบ้านมาอย่างมึนๆ นี่เขาทำอะไรลงไป ทำไมถึงไม่ตามพี่ตั้งไปด้วย ถึงไม่ไ่ด้คุยกัน ไปสังเกตการณ์ก็ยังดี
ยัดข้าวกล่องสำเร็จรูปเข้าไมโครเวฟ แล้วก็มานั่งหงุดหงิด หาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่
เสียงดังจากไมโครเวฟดังตื๊ดอยู่นานจนเงียบไป เขายังนั่งงงกับความรู้สึกของตัวเองทิ้งข้าวไว้อยู่อย่างนั้น
ความรู้สึกกังวลว่าพี่ตั้งจะโกรธที่เขาไปพูดไม่ดีใส่วันนั้นหมดไป ดูแล้วพี่ตั้งก็เหมือนเดิม ยังใจดีเหมือนเคย
แต่ความรู้สึกกระวนกระวายนี่มันคืออะไร เขายกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก
ร้อนจนต้องลุกไปอาบน้ำให้ความเย็นของน้ำทำให้ร่างกายและใจสดชื่นขึ้น อาบน้ำเสร็จถึงนึกได้ว่าอุ่นข้าวไว้
เอามากินก็ไม่อร่อยกินไปนิดเดียวต้องเลิก เสียดายเงิน ไม่เห็นได้เรื่องเหมือนที่คุณหรีดบอกไว้เลย
เดินวนไปวนมาไม่รู้จะทำอะไร เปิดทีวีดูก็มีแต่ละครน่าเบื่อกับข่าวน้ำท่วม
นั่งดูแล้วก็ปลงถ้าเขาต้องเจอน้ำท่วมกะทันหันแบบนั้น เขาคงไม่ทำอะไร ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไป
อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด สงสารแต่คนที่โดนน้ำท่วมคงลำบากแย่
ปิดทีวีไปหาหนังสืออะไรมาอ่านแต่อ่านได้พักเดียวก็เบื่อ
เปิดเพลงฟังก็ไม่มีอะไรใหม่ เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก เดี๋ยวจากเดี๋ยวมา คิดถึงกัน ลืมกัน วนเวียนไปมาอยู่แบบนั้น
แต่ความเงียบมันน่าเบื่อเกินไปเขาเลยเปิดวิทยุทิ้งไว้ ปิดไฟ ล้มตัวลงนอนรอโทรศัพท์
ตามองสลับไปมาระหว่างนาฬิกากับโทรศัพท์จนตาลาย แต่อาจจะเป็นเพราะเขานอนไม่หลับติดๆกันหลายวัน
เขาจึงหลับไปทั้งที่ยังไม่มีโทรศัพท์มาจากพี่ตั้งเลย
เขาไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน รู้แต่สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบนใบหน้า ใครกำลังลูบหน้าเขาอยู่กันแน่
หรือผีจะอำ อย่ามาอำกันเลยเขายิ่งโง่ๆอยู่อำไปเขาก็ไม่รู้หรอก
เอ๊ยไม่ใช่สิ ผีอำมันต้องลุกไม่ขึ้น แต่นี่เขายังขยับตัวได้
เขาลืมตาอย่างช้าๆกะพริบตาถี่มองให้เห็นชัดๆ พี่ตั้งนั่นเอง
เขาคว้ามือพี่ตั้งมากำไว้แน่น พูดอย่างลืมตัวด้วยความดีใจ “พี่ตั้ง มาตั้งแต่เมื่อไหร่?..มา”
“เหลิม พี่มาหา เป็นครั้งสุดท้าย” เสียงพี่ตั้งเย็นชาแหบแห้งผิดกับที่เคยเป็นมา
พี่ตั้งกลืนน้ำลายแกคงหิวน้ำก่อนพูดต่อ ไม่ทันให้เขาถามความสงสัยกลับไปว่าพี่หมายความว่ายังไงที่ว่าครั้งสุดท้าย
“เหลิมไม่ต้องติดต่อพี่อีกแล้วนะ พี่เบื่อคนที่อารมณ์ไม่คงที่แบบเหลิม พี่คงมองเหลิมผิดไป
ยังดีที่พี่ไหวตัวทัน คงไม่รบกวนเหลิมอีก ต่อไปพี่จะไม่มากวนใจเหลิมแล้ว”
พี่ตั้งพูดติดต่อกันเป็นชุด ไม่ยอมให้เขาได้ตั้งตัวว่าโดนไปกี่คดี
จับใจความได้แค่ว่าเขาอารมณ์แปรปรวนผีเข้าผีออก กู(พี่ตั้ง)รู้ตัวแล้ว อย่ามายุ่งกับกู(พี่ตั้ง)อีก
พี่ตั้งปลดมือตัวเองออกจากอุ้งมือของเขาที่ยึดไว้แน่น
“ไม่นะพี่ตั้ง ผมขอโทษ ผมจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ผมขายหมาในปากไปยกคอกเลย ไม่เหลือสักตัว จริงๆนะพี่”
พี่ตั้งส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอกเหลิม พี่ไม่อยากให้เหลิมต้องทำอะไรเพื่อพี่ เหลิมไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อพี่ พี่ไปเอง”
พี่ตั้งน้ำเน่าต่อได้อีกสงสัยดูทีวีหลายสีมากไปเลยติดมา
พี่ตั้งยังยื้อยุดดึงมือออกแต่เขาก็ไม่ยอม
“ไม่จริง พี่หลอกผม พี่มีคนอื่นแล้วใช่มั้ย พี่ถึงทิ้งผม” เขาก็ไม่น้อยหน้าคงดูทีวีเลขน้อยมากไป เริ่มดราม่าได้อีกนะกู
พี่ตั้งหันมามองเขาแววตาเศร้า “ถึงพี่จะมีคนอื่น ก็ไม่แปลก ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันนี่เหลิม หรือเหลิมคิดว่าเราเป็นอะไรกัน”
“เป็นสิ” เขาตะโกนไปอย่างลืมตัว
“เราเป็น เป็น...เป็น...” เขาพูดต่อไม่ออก นั่นสิเราเป็นอะไรกันเขายังไม่รู้เลย
พี่ตั้งแกะมือเขาออกจนได้
“เราไม่ได้เป็น ไม่เคยเป็นเลย เพราะเหลิมไม่อยากเป็น เหลิมทำให้พี่รู้มาแต่แรกแล้ว มีแต่พี่ที่เข้าใจผิดไปเอง”
แล้วพี่ตั้งก็เริ่มร้องเพลง ยังดีที่นั่งร้องอยู่กับที่ไม่วิ่งไปรอบๆห้องเหมือนหนังภารตะ ไม่งั้นเขามิต้องวิ่งตามด้วยเหรอ
ยิ่งฝืนก็ยิ่งเจ็บ เขาก็ยิ่งเบื่อ ยอมให้มันเหลือ เท่าที่เหลือก็แล้วกัน
ไม่รักก็ไม่บอก บอกมาก็จบกัน ปล่อยให้ฉันฝันอยู่ข้างเดียว
*กลับมารักตัวเอง กลับมาเป็นเหมือนเก่า อยู่ตามประสาเราที่เคยเป็น
สนุกไปวันๆ อยากเป็นอะไรก็เป็น ขาดเขาไม่เห็นจะเป็นไร
**เมื่อเขาไม่รักเรา ก็อย่าไปรักเขา เขาก็แค่หลอกเราให้หลงดีใจ
เมื่อเขาไม่รักจริง ก็จงปล่อยเขาไป อย่าฝืนให้มันเหนื่อยใจ
อย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย
เขาเอามือปิดหู พี่ตั้งร้องเพลงอะไรกันนี่เสียงเพราะยังกับนักร้อง เอ็ม อรรถพล
เพลงเก่าไปหน่อยนะพี่ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ พี่ตั้งเข้าใจผิด
เสียงเพลงพี่ตั้งดังขึ้นเรื่อยๆจนเขาทนไม่ไหวตะโกนขึ้นมา “พอแล้วพี่ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างนั้น”
เหมือนมีคนมาฉุดให้เขาลุกขึ้น อากาศร้อนจนเหงื่อโทรมกาย เสียงพัดลมยังคงดังหึ่งๆ
มองรอบกายไม่มีพี่ตั้งอยู่อย่างที่คิด หรือพี่ตั้งจะไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงเพลงในวิทยุที่ทิ้งไว้
เหลียวมองรอบๆข้างนอกมืดมิด มือเขาสั่นไปหมด หรือจะหนาว
แต่มันไม่ใช่ละโทรศัพท์ในมือต่างหากที่ทั้งร้องทั้งเต้น ไม่ใช่พี่ตั้ง นี่เขาฝันไปนี่เอง ค่อยโล่งอกไปหน่อย
เรื่องราวในฝันทำเอาเขาจิตตก นึกว่าพี่ตั้งแกเพี้ยนไปแล้ว อยู่ๆก็ร้องเพลงขึ้นมานึกว่าประสาทกลับ
หรือว่าเขาเองต่างหากที่ประสาทกลับฝันอะไรเป็นเรื่องเป็นราวน้ำเน่าจนเห็นเงาจันทร์ขนาดนั้น
ชื่อพี่ชายชัดขึ้นมาในโทรศัพท์ “โหล พี่ตั้ง”
“เหลิมหลับอยู่รึเปล่า? พี่คงไม่กวนเวลานอนมากไปนะ?”
โทรมาตอนนี้ เขาเหลียวไปดูเวลาเที่ยงคืนครึ่ง ไม่กวนมากหรอก แต่เข้าข่ายมากมายเลยทีเดียว
เขาปิดปากหาว ได้แต่ข่มใจลืมเรื่องกวนเวลานอน เรื่องอื่นสำคัญกว่า
“พี่ซื้อของกันจนถึงตอนนี้เลยเหรอ?” จะซื้อของไปช่วยคนน้ำท่วมทั่วประเทศรึไงกัน
เสียงพี่ตั้งหัวเราะ ดึกแล้วยังอารมณ์ดีได้อีกนะไม่เหนื่อยมั่งรึไง หรือว่ามีความสุขนักหนา
“ใครจะบ้าซื้อจนถึงตอนนี้ ห้างเค้าปิดไปหมดแล้ว นั่งคุยกันยาวติดลมไปหน่อยกว่าจะรู้ตัวก็ดึกแล้ว
นี่พี่กำลังขับรถกลับบ้าน กลัวเหลิมจะรอเลยรีบโทร”
เสียงอารมณ์ดียามเล่าให้เขาฟังกวนใจเขาชะมัดจนอดกวนไม่ได้ “ก็ยังดีที่รู้ว่าผมรอ”
พี่ตั้งหัวเราะหึหึ มาตามสาย “เหลิมนี่ขี้งอนนะ รู้ตัวรึเปล่า”
เขากัดปากแน่นจนเจ็บ “ไม่จริง พี่ต่างหากล่ะที่ขี้งอน” ไม่มียอมอยู่แล้ว
“พี่ขี้งอนตรงไหน พี่ไม่เคยงอนใส่เหลิมสักหน มีแต่เหลิม เอะอะอะไรหนีหน้าพี่ตลอด”
เขากัดปากแน่นไม่อยากจะยอมรับแต่มันก็มีส่วนอยู่บ้าง
“ผมไม่เคยหนีหน้าพี่ แค่ผมมีงานต้องทำ” เขาหยุดนิ่งไปสักพัก ชั่งใจว่าควรพูดต่อดีรึเปล่า
“พี่ก็มีเพื่อนแล้วด้วย ผมอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“อืม ก็จริง”
คำตอบรับสั้นๆ ของพี่ตั้งทำเอาเขาอึ้ง พี่ตั้งไม่แย้งอะไรเลย
ราวกับว่าที่เขาพูดมันคือความจริงที่พี่ตั้งก็คิดอยู่เหมือนกัน
พี่ตั้นคงเป็นเพื่อนคนสำคัญที่ช่วยอะไรพี่ตั้งได้มากกว่าเขาที่ไม่ได้เรื่องได้ราว
ความรู้สึกน้อยใจพุ่งขึ้นมาอีก จากนั้นแปรรูปพาลเป็นโกรธ เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“พี่มีเพื่อนก็ดีแล้วนี่ ผมจะได้ไม่ต้องวุ่นวายอีก” พูดไปแล้ว เขาพูดคำแย่ๆ ออกไปอีกจนได้
พี่ตั้งเงียบไปนานก่อนจะพูดตอบกลับ
“เหลิมก็เป็นแบบนี้ ทำให้พี่ต้องมาทบทวนตัวเอง ว่าพี่ทำตัวแย่มากกับเหลิม”
มือเขากำโทรศัพท์แน่นเมื่อพี่ตั้งพูดจบ น้ำเสียงพี่ตั้งเย็นเยียบจนเขาหนาว เสียงถอนหายใจของพี่ตั้งดังเข้ามาในสาย
“พี่ไม่กวนเหลิมดีกว่า เหลิมคงหงุดหงิดที่ต้องรอพี่นาน แล้วก็ถูกพี่ปลุกให้ตื่นกลางดึก เอาไว้อารมณ์ดีแล้วเราค่อยคุยกันดีกว่า”
เขาอยากบอกว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลที่พี่ตั้งว่ามาทั้งหมด
แต่เป็นที่ตัวเขาเองปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงให้มันพอดีมากกว่า
“พะ...พี่ตั้ง” ก่อนที่พี่ตั้งจะวางสายไป ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่กว่าเดิม เขาตัดสินใจพูดบ้าง
“ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรออกไป” ไม่สิ เขารู้ แต่ไม่รู้ว่าพูดไปได้ยังไงมากกว่า
หรือเขาจะสันดานไม่ดี ปากเสียเป็นนิสัย เขาสูดลมหายใจลึกๆก่อนพูดต่อ
“แต่มันไม่ใช่อย่างที่พี่ตั้งพูดนะ เป็นที่ผมเองมากกว่าที่แย่ ไม่ใช่พี่”
เหมือนเวลาถูกหยุดนิ่ง ลมหายใจแทบขาดเพราะเผลอกลั้นใจรอพี่ตั้งพูดอะไรออกมาบ้าง
“เหลิม...ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคุยกันนะ เหลิมนอนเถอะ”
น้ำเสียงพี่ตั้งอ่อนโยนก็จริง แต่ที่พี่ตั้งยืนยันคำเดิมคือเลิกคุย
เพราะพี่ตั้งคงเบื่อเขาจริงๆ เหมือนอย่างที่เขาฝัน ทีอย่างนี้ล่ะแม่นนักเชียว ทีฝันถึงตัวเลขไม่เห็นแม่นได้แบบนี้
“ครับพี่” เขาห่อเหี่ยวใจจนไม่อยากยื้อไว้อีก วางก็วาง นอนก็ได้ ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่านี้แล้วนี่
“ไว้พรุ่งนี้เราค่อยเจอกันครับ ฝันดีนะ”
เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาฝันอยู่รึเปล่า เมื่อพี่ตั้งพูดแบบนั้นก่อนวางสายไป
แต่หูเขาก็ยังดีอยู่นี่ ถึงแม้สติจะเสียไปบ้าง ก็ยังพอไหว เขาไม่รู้หรอกว่าพี่ตั้งคิดอะไร
แต่ที่แน่ๆคืนนี้ในฝันเขาคงไม่เหมือนเดิมอีกแล้วล่ะ เขายิ้มก่อนล้มตัวลงนอนไปอีกครั้ง
ยังไงพี่ตั้งก็ไม่ได้ตัดรอนเขาเกินมากไปนี่
*****************