“พ่อสน พ่อสน” เสียงลุงไปร่ ตะโกนเรียกคนในบ้านซึ่งผมก็ยังแน่ใจว่าไม่ใช่บ้านผม บ้านหลังนู้นตะหากล่ะที่น่าจะใช่ แต่ก็นะ ผมยังไม่รู้เลยว่าที่นี่ที่ไหน ขับรถเมามา หรือโดนลากมาทิ้งก็ยังไม่แน่ใจ ถามลุงไปร่ ขานั้นก็เอาแต่เดินงุดๆตัวสั่น ผวาทุกทีที่ผมกระแอม ราวกับผมเป็นเสือสมิงจะคอยขย้ำคอหอยเหี่ยวๆของแกอย่างนั้นแหละ
“ว่าไงลุง” ชายหนุ่มวัยกลางคนร่างกายสันทัดนุ่งผ้าเตี่ยวไม่ใส่เสื้อเดินออกมา บรรยากาศน่าจะสักทุ่มกว่าๆ แต่ทำไมมันเหมือนเที่ยงคืน แถมที่นี่ยังไม่มีเสียงรถให้ได้ยินเลยสักเอะ
“ข้าเอาบ่าวเรือนเอ็งมาคืน มันไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวเรือนคุณหญิง ไปขี้ตู่เอาว่าเรือนท่านเป็นเรือนมัน” ลุงไปร่ใส่ใหญ่ ผมทำหน้าขมวด
“ไหน” คนชื่อสนเดินลงมาจากเรือนไม้หลังใหญ่ เขาคว้าตะเกียงเจ้าพายุติดมือมาด้วย
“แต่งกายประหลาดดีแท้” เขาถือตะเกียงยื่นเข้ามาใส่ผม ก่อนจะมองจากหัวจรดเท้า “ท่าทางคงไม่ใช่คนละแวกนี้เสียกระมัง ตาไปร่”
“ละแวกนี้ ?” ผมย้อนถาม “ละแวกนี้นี่มันละแวกไหน บอกหน่อยดิ๊ ที่นี่ที่ไหน” ผมถาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
“พระนคร บางเจ้ามิรู้รึ และเรือนหลังนี้คือเรือนเจ้าพระยาจรัสกิจพิจารณ์” ดูท่านายสนคนนี้จะภาคภูมิใจกับยศของเจ้าของบ้านหลังนี้เสียขนาดหนัก
“โอ้ย ชั้นไม่รู้หรอกว่าบ้านนี้บ้านใคร ว่าแต่ จากนี้ไปแถวๆถนนข้าวสารไกลป่าว” ผมถามเพราะว่าบ้านอยู่แถวนั้น หากผมไปถึงนั่นได้ ก็ไม่อยากที่จะหาทางกลับบ้าน
“ข้าวสาร?” ทั้งคู่ทำหน้าสงสัย
“นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก ถนนข้าวสารน่ะ โห บ้านนอกจริงๆ ไม่ Intrend เอาซะเล้ย ชื่อเขาออกจะดังระดับโลก งั้นแถวเอ่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหล่ะ รู้จักป่าว”
“????????????????”
“ข้าว่าเจ้านี่มันสติวิปลาส น่าจะจับส่งโปลิสจะดีกว่าเสียกระมัง” คนชื่อสนพูด
“โปลิสเหรอ โปลิส ตำรวจ” ผมทวน “เอ้ย ไม่ได้นะเว้ย จะจับชั้นส่งตำรวจไม่ได้” ผมร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินเรื่องตำรวจ เพราะคิดว่าป่านนี้อาคงไปแจ้งความเรื่องทำผมขู่ และทำร้ายเขาไว้ อีกอย่างกระเป๋าสตางค์ เอกสาร บัตรประชาชน แม้แต่มือถือติดตัวผมก็ไม่มีสักกะอย่าง จะเอาที่ไหนไปยืนยัน
“รู้มั๊ยชั้นลูกใคร” แหม๊ นานพูดที
“พวกข้าไม่รู้หรอก ว่าเอ็งลูกเต้าเหล่าใคร แต่ข้าว่าโปลิสน่าจะบอกเอ็งได้ เฮ้ย ไอ้แดง ไอ้อิน ออกมาจับตัวไอ้บ่าวไร้เจ้าตนนี้ไปส่งโปลิสที” เสียงสนตะโกนโหวกเหวก
“เฮ้ย อย่านะเว้ย อย่าเข้ามานะเว้ย อย่าหาว่าชั้นไม่เตือน” ผมยกมือกำหมัด ยกแข้งยกขาเป็นท่ามวยวัดที่ดูไม่ได้เรื่องได้ราว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอ็งไปเรียนวิชามวยมาจากเขมรรามัญหรือกระไร ท่าทางถึงได้เหมือนคนเป็นสันนิบาตเยี่ยงนี้” ไอ้สนหัวเราะเยาะ
“ก็ลองเข้ามาสิวะ เห็นอย่างงี้ชั้นล้มพวกฝรั่งมาแล้วนะเว้ย” ผมร้องขู่ ยกหมัดเหยงๆ แต่ สองคนนั้นไม่กลัวเลย ปรี่เข้ามาคว้าแขวนผมหมับ
“เฮ้ยๆ จะทำอะไร ปล่อยนะเว้ย ปล่อย พวกแกทำแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย คอยดูชั้นจะฟ้องทนาย ปล่อย บอกให้ปล่อยไง” ผมสะบัดแขน ดิ้นไปดิ้นมา แต่สองคนนั้นตัวใหญ่และแข็งแรงเกินไป อ้อ อีกอย่างเต่าเหม๊นเหม็น
“นี่พวกแกไม่ใช้โรลออนกันมั่งเลยรึไง แหวะ” ผมทำท่าอ๊วก “ปล่อยสิวะ จะพาชั้นไปไหน ปล่อย”
“เอี๊ยดดดดดดดด” เสียงเปิดประตูดังมาจากด้านบน ทำให้เหตุการณ์ชุลมุนนั้นสงบลง ชายสองคนที่จับตัวผมไว้ปล่อยมือ และคุกเข่าลงบนพื้นหญ้ารวมทั้งลุงไปร่ด้วย ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง
ภาพที่เบื้องหน้าคือ ชายหนุ่มวัยรุ่นราวคราวเดียวกับผม บวกลบไม่น่าจะเกินสองปีที่ดูคุ้นตา (อีกและ คุ้นเค้าไปหมด) จะต่างคนตรงที่ชายผู้นั้นดูภูมิฐาน และน่ายำเกรงกว่าผมมาก ผมมองใบหน้าเขาไม่ถนัดนักหรอก รู้แต่ว่าความรู้สึกภายในลึกๆที่คล้ายมันถูกฝังมาเนินนานเป็นตัวบอกผมว่า ชายผู้นั้น ลักษณะท่าทาง หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ชัดเจนมากพอที่จะทำให้ผม “ระลึกได้”
เขายืนอยู่ในชุดเสื้อคอจีนบางสีขาว กางเกงแพรสีน้ำเงิน
“hey !! man?” ผมตะโกนถามชายที่อยู่เบื้องบน เพราะภาพที่เห็นลางเลือนนั้น คล้ายๆกับว่าชายคนนั้นเป็น...ฝรั่ง
“ I think you should do anything better than look/ กูคิดว่ามึงน่าจะทำอะไรได้ดีกว่ามองดูกูกำลังถูกปู้ยี้ปู้ยำนะเว้ย” แปลให้เสร็จสรรพ เขายังคงยืนกอดอกมองลงมาข้างล่างอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นมันไม่ทำอะไรสักอย่างผมจึง
“can you speak English?” เงียบ
“Ou, vous parlez français ?” หรือมึงพูดฝรั่งเศส?
“Oder sprechen Sie Deutsch ?” หรือเยอรมัน?
“Eller talar du svenska ?” สวีดิช?
“ Or can you speak?” หรือว่าเป็นใบ้ ยังไง ทำไมเงียบ
“ฮ่วย ไอ้ฝรั่งขี้นก เป็นใบ้ก็เสือกไม่บอก อ้อ ลืมไป คนเป็นใบ้ต้องหูหนวกด้วยนี่หว่า โทษๆ” ผมโบ้ยมือไปมา
“พวกเอ็งปล่อยคนบ้าคนนั้นเถิด” อ้าวพูดไทยได้นี่หว่า เสียงของเขานุ่ม ทุ้มกังวาลราวกับเสียงเพลงสุนทราภรณ์ลอยอยู่รำไร
“เฮ้ย ใครบ้า ไม่ได้บ้านะเว้ย แค่...........เมานิ๊ดหน่อย” ผมเสียงอ่อยตรงคำท้าย ก่อนจะทำหน้าสำนึกผิด
“สามหาว เจ้าบ้าใบ้ รู้หรือไม่ว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าใคร วอนหลังลายเสียแล้ว คุกเข่าลง” ชายสองคนที่คุกเข่าก่อนหน้านี้พยายามจะดึงผมลงนั่ง แต่ผมไม่ยอม ใครจะไปคุกเข่าให้ไอ้ขี้เก๊กข้างบนนั้นกันเล่า อายุก็ใกล้เคียงกัน อีกอย่างนี่มันสมัยไหนแล้ว เขายกเลิกระบบศักดินากันนานแล้วเว้ย
“ทำไมต้องคุกเข่าด้วยวะ หมอนั่นเป็นเทวดารึไง” ผมเงยหน้าส่งสายตาท้าทาย
“มันจะมากไปแล้วนะ” ชายที่ชื่อสนเงื้อมือทำท่าจะฟาดลงมาที่หน้าผม ผมเบ้หน้า
“หยุดนะ สน” แต่เสียงไอ้ขี้เก๊กข้างบนร้องห้ามไว้ทัน
“อูย เกือบไปแล้วมั๊ยหล่ะ” ผมถอนหายใจโล่งอก ปากดีไปงั้นแหละ “ทำไมคนไทยสมัยนี้ชอบใช้กำลังกันจังเลยวะ” บ่นกับตัวเองเบา
“อย่าไปถือสา คนบ้าเลย เจ้าจงไปจัดเรือนบ่าวหลังเล็กท้ายเรือนให้เป็นที่หลับที่นอนของเจ้าบ้านี่เถิด” เขาพูดราวกับเป็นเจ้าชีวิตคนเหล่านี้
“อะไรวะ คำก็บ้า สองคำก็บ้าง บอกว่าไม่ได้บ้า แค่เมา นิดโหน่ยเอง” ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตามหลังคนชื่อสนไปไหนก็ไม่รู้ เขาพาไปไหนก็ไปกะเขาหมด ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า
“ขอให้คืนนี้กูได้นอนก่อนเถ๊อะ เดี๋ยวตอนเช้า ค่อยออกไปหารถกลับบ้าน ชิส์ ใครจะไปอยากอยู่กันวะ บ้านนอกชิบหาย”
ไอ้ขี้เก๊กยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับ เดินผ่านประตูไม้หายหลับไป ผมหันมองเขาจนลับตา............