(เรื่องสั้น) "Secret of Love" By Sake แจ้งข่าวค่ะ หน้า14
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น) "Secret of Love" By Sake แจ้งข่าวค่ะ หน้า14  (อ่าน 238170 ครั้ง)

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



=======================================================================



เรื่องสั้นหกตอนจบเรื่องนี้ได้ขออนุญาต คุณ sake (ผู้เเต่ง) ให้นำมาลงที่บอร์ดนี้เท่านั้นค่ะ เเละเรื่องนี้เป็นนิยายเเต่งตามจินตนาการผู้เขียน ไม่ใช่เรื่องจริง อ่านเอาสนุกนะคะ นายเอกป่วงๆฮาๆ เเต่พระเอกเท่มากก๊ะ เป็นเรื่องสั้นตามเทศกาลที่จบในตอน มี 6 ตอนนะคะ ตอนนี้ลงเมื่อฮัลโลวีนปีนู้น

เเละเรื่องนี้ไม่เเนะนำสำหรับผู้ที่ขวัญอ่อนหรือกลัว ผะ ผะ ผะ ผะ ผี แคสเปอร์ 555555 @@



 

Shadow



“จะไป!”

คำประกาศก้องแสดงถึงความเด็ดเดียวและดื้อรั้นในน้ำเสียง ทำให้ผมต้องมาน้ำตาตกในนึกเสียใจอยู่ตอนนี้ ก่อนกวาดตามองไปรอบๆตัวที่มีแต่ความมืดมิดและเงียบสงัดจนน่าใจหาย เมื่อวานเชื่อพี่ขรรค์ซะก็ดีหรอก

ผมหน้าสลดลงเมื่อนึกถึงคนรักที่ออกปากห้ามเสียงเขียว ตอนผมเอ่ยปากชวนไปพิสูจน์ความกล้าที่โรงพยาบาลร้างชานกรุง ตามคำท้าทายของไอ้กริช เพื่อนร่วมห้องที่ไม่ค่อยกินเส้นกันซักเท่าไร เจอหน้าเป็นต้องเกทับกันอยู่ร่ำไป ด้วยรู้สึกว่าจะแพ้ใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่มันครับ รู้ว่าเด็กสิ้นดีที่คิดแบบนี้แต่ก็อดไม่ได้หรอกครับ วัยกำลังกินกำลังนอนก็เลือดร้อนแบบนี้ล่ะครับ

และต้นเหตุให้ผมต้องมายืนตากลมปากสั่นหน้าโรงพยาบาลร้างมันมาจากกลางวงเหล้า เมื่อเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเล่าถึงความน่ากลัวของโรงพยาบาลนี้ให้ฟัง เป็นธรรมเนียมของวงเหล้าล่ะครับที่ต้องมีเรื่องผีๆสางๆให้ตื่นเต้นพอหอมปากหอมคอ

ถ้ามันจะจบเท่านั้นนะครับ

ไอ้กริชที่กำลังมึนได้ที่ส่งเสียงหึลงคอ คล้ายดูถูกดูแคลนเรื่องเล่าที่เพื่อนออกอาการจริงจังทำท่าขนลุกเป็นระยะๆจนเกิดการถกเถียงและลามปามดึงนรกสวรรค์ลงมาอยู่ในวงเหล้าได้ซะงั้น ในที่สุดไอ้กริชก็โพล่งขึ้นมา

“ไปพิสูจน์กันมั้ยล่ะ กล้าเปล่า” ไอ้กริชกราดสายตามองไปรอบวง แต่ดันมาหยุดตรงผมพอดีเมื่อมันพูดว่า กล้าเปล่า พลางยักคิ้วกวนตีนให้ด้วย

ผมเกิดอาการฮึดฮัดเลือดลูกผู้ชายขึ้นหน้าไม่รู้ตัว เชิดหน้าตอบมันอย่างมั่นใจ

“นัดวันมาเลยดีกว่า” คำพูดเมื่อหลุดออกไปแล้วมันเป็นนายเราครับ เรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว แม้จะทำหน้ามั่นใจเต็มร้อย แต่ภายใต้หน้ากากนั้นกำลังสั่นพับๆ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองกลัวผียิ่งกว่าอะไรดี และรู้กันทั่วทั้งกลุ่มด้วยซ้ำ

ไอ้กริชมันก็รู้!

ไอ้คนเจ้าเล่ห์ยิ้มมีเลศนัยก่อนบอกเวลานัดหมาย คือคืนวันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยงคืนหน้าโรงพยาบาลร้างเจ้าปัญหา พาเพื่อนมาได้อีกสองคน เท่ากับว่าจะมีเพื่อนร่วมกล้าตายทั้งหมดหกคน และหนึ่งในนั้นผมตั้งใจจะลากคนรักไปด้วย แต่ถูกปฏิเสธพร้อมกลับสั่งให้ผมยกเลิกทัวร์ลองของนี้ซะ หากศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย พูดแล้วห้ามคืนคำ ทำให้ผมยืนกรานกระต่ายขาเดียว โดยหวังว่าคนรักจะใจอ่อน หากเปล่าเลย คนรักของผมส่ายหน้าคล้ายระอาและพูดสั่งสอนอีกยาวเหยียด ผมก็ยอมครับ จะบ่นจะว่าอะไรก็ทำตาปริบๆเป็นสุนัขหลงทาง เผื่ออีกฝ่ายจะยอมใจอ่อนต่อสายตาวิ่งวอนของผม แต่เจ้าคนรักใจโฉดดันทำหน้าเหี้ยมปฏิเสธช้าๆชัดๆให้ผมได้ยินเต็มสองหู ผมแทบลงไปชักดิ้นชักงอเหมือนเด็กให้รู้แล้วรู้รอดไป

และก็นั่นล่ะ มันจึงเป็นแรงทิฐิให้ผมมาเดินหวาดผวาในโรงพยาบาลร้างกับเพื่อนอีกคน ที่กว่าจะลากมันมาด้วยได้ก็หืดขึ้นคอ

คนอื่นเขาหนีแฟนไปเที่ยว แต่ผมหนีแฟนมาดูผีครับ มีใครจะบ้าอย่างผมบ้างเนี่ย

“พร้อมยังไอ้วาลย์” ไอ้กริชมันยืนยิ้มเยาะรอผมอยู่ เลยถลึงตาใส่มันโดยพยายามไม่มองไปตามพุ่มไม้หรือมุมตึกเลยครับ เดี๋ยวถอดใจวิ่งกลับซะตอนนี้ก็หมดกัน ไอ้เอที่ผมลากมาด้วยก็ใช่ว่าจะดีไปกว่าผมซักเท่าไร เผลอๆปอดแหกยิ่งกว่าผมอีก แค่เห็นผมทำท่าหลุกหลิกเสียความมั่นใจหน่อยเดียวมันก็หน้าถอดสีซะแล้ว

ผมพยักหน้าแล้วสูดอากาศเย็นๆเข้าปอดเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง เตรียมเดินตามไอ้กริชไปยังภายในอาคารร้าง หากสายลมเย็นพัดผ่านหน้าไปวูบหนึ่งทำเอาผมและไอ้เอชะงัก

“ทำไมไม่ชวนพี่ขรรค์มาด้วยวะไอ้วาลย์” ไอ้เอถามผมหน้าตาเลิ่กลั่ก

“ชวนแล้ว แต่พี่เขาไม่ว่างว่ะ” ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะคล้ายรำคาญท่าทางปอดแหกเกินเหตุของเพื่อน ผิดกับเพื่อนของไอ้กริชลิบลับที่ดูท่าทางสบายๆ แถมเห็นพวกมันแอบหัวเราะพวกผมด้วย

ผมจึงเชิดหน้าทำอกผายไหล่ผึ่งให้ดูน่าเชื่อถือ หากแท้ที่จริงแล้วกำลังปลุกปลอบใจตัวเอง

ผีไม่มีในโลกหรอก... เรากลัวความมืด...กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น...คนเป็นๆน่ากลัวกว่าต่างหาก...

ผมย้ำบอกตัวเองขณะเดินตามไอ้กริชและเพื่อนเข้าไป ในมือมีไฟฉายคนละกระบอกส่องวูบวาบผ่านรั้วสังกะสีเก่าขึ้นสนิมที่กั้นพวกเราจากถนนสู่ตัวอาคาร ฝ่ามือผมสัมผัสได้ถึงความเย็นสะท้านถึงกระดูกกระเดี้ยวของประตูเหล็กขณะผลักตามกลุ่มข้างหน้า ลมเย็นปะทะใบหน้าอีกครั้งซ้ำยังแรงกว่าเดิมในขณะที่ใบไม้ข้างตัวไม่กระดิกซักใบ เมื่อมายืนตรงหน้าอาคารหลังทะมึน สองเท้าผมหยุดเดินทันทีและรู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลัง

“หยุดทำไมวะ” ไอ้เอบ่นเสียงพร่า ขณะที่ผมหันมองหน้ามัน เหมือนจะตัดสินใจได้จากลางสังหรณ์ที่แวบผ่านเข้ามาขณะก้าวผ่านรั้ว ถ้าไม่มีเสียงไอ้กริชดังขึ้นมาดับความคิดซะก่อน

“เฮ้ย! หยุดทำไมกัน หรือแค่นี้ก็ปอดแหกแล้วไอ้วาลย์ ถ้าไม่แน่จริงก็อย่ารับปากสิวะ จะได้ไม่ลำบากเพื่อนฝูง กลับไปก่อนก็ได้ ไว้กูเดินครบทุกชั้นแล้วพรุ่งนี้จะไปเล่าให้ฟังวะ” ท้ายประโยคไอ้กริชหัวเราะลงคอ ทำเอาผมคอแข็งอยากกระโดดงับหัวมันจริงๆ

ความคิดจะกลับเลยเป็นอันพับไป ตกหนักที่ไอ้เอเพื่อนยากจะต้องเข้าไปทัวร์ลองของกับผมจนได้ แต่โทษทีนะไอ้เอ ลูกผู้ชายฆ่าได้แต่หยามไม่ได้วะ

การมาลองของครั้งนี้มีข้อตกลงอีกข้อหนึ่งคือ ห้ามพกเครื่องรางของขลังติดตัวมาด้วยทุกชนิด ผมเลยหมดที่พึ่งทางใจไปโดยปริยาย สั่นเป็นเจ้าเข้าเป็นระยะๆสิน่ะ

“ไอ้วาลย์ กูอยากกลับว่ะ” ไอ้เอครางเมื่อมองตัวอาคารสูงประมาณหกชั้น สภาพขาดการดูแลรักษา ประตูหน้าต่างถูกงัดออกไปไม่มีเหลือ เก่าโทรมสมกับคำเล่าลือ กอปรกับมีต้นไทรใหญ่ทิ้งรากระโยงระยางขึ้นอยู่ไม่ห่าง และที่สำคัญมีผ้าสีผูกอยู่ด้วยยิ่งทำให้ดูขลังปนเปลี่ยววิเวกหนักขึ้นไปอีก ไม่อยากจะมองเข้าไปเลยครับ เพราะแค่มองก็เหมือนถูกไอดำมืดหลอนเข้าให้แล้ว

“มาพูดอะไรตอนนี้วะ กลับก็เสียหมาสิ” ผมดุไอ้เอพลางกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ

ลำแสงจากไฟฉายสาดส่องให้เห็นสภาพภายในตัวอาคารรกร้าง ซึ่งสกปรกไปด้วยเศษขยะเศษใบไม้และหยักไย่ยุ่งเหยิงตามมุมตึก จากนั้นพวกผมจึงเดินไล่ไปตามซอกหลืบต่างๆ ซึ่งเคยเป็นโซนตรวจผู้ป่วยนอก กลิ่นอับชื้นโชยมาแตะจมูกจนเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวก่อนจะค่อยๆพรางพรูออกมาแผ่วเบาพร้อมกันทั้งห้าคนโดยไม่ได้ตั้งใจซักนิด ทั้งหมดจึงหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้วยิ้มแบบเกร็งๆเก็บอาการใจตุ๊มๆต่อมๆไว้ภายใน

ผมเดินตามไอ้กริชซึ่งยังคงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมประดับบนใบหน้า ดูจากรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มันส่งมาให้ผมเป็นระยะๆ ทั้งที่ใจผมเริ่มฝ่อไปทีละน้อยๆ เมื่อมองไปตามซอกหลืบต่างๆ กลัวครับ กลัวจะมีอะไรกระโจนออกมาบีบคอ แต่เพราะรอยยิ้มของไอ้กริชทำให้ผมยังคงรักษาความเป็นลูกผู้ชายไว้ได้

ก็ศักดิ์ศรีมันค้ำคอน่ะครับ

ความตื่นเต้นทำให้ผมเหงื่อแตกพลั่ก ร้อนยังกับอยู่ในตู้อบ ไอ้เอก็คงรู้สึกเหมือนผมเพราะเห็นมันยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบ่อยๆ หรือไม่ก็เช็ดน้ำตาตัวเองก็ไม่รู้ พวกผมเดินสำรวจไปรอบๆซักพัก จู่ๆก็มีลมเย็นยะเยือกพัดผ่านพวกผมไปซะเฉยๆ ไอ้เอรีบเหลียวหลังมองไปยังต้นไม้นอกอาคารซึ่งไม่กระดิกเลยแม้แต่ใบเดียว ก่อนจะหันมองผมตาโต

“จะมองให้ตามันถลนออกมารึไงวะไอ้เอ อย่าคิดไปเองสิวะ เดินๆไป เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว” ผมปลอบแกมด่ามันไป และคิดในใจว่าจะรีบหลับหูหลับตาเดินให้ครบทุกชั้นตามสัญญาจะได้กลับเสียที เพราะขืนอยู่นาน จากที่ไม่มีอะไรมันก็จะมีเพราะจินตนาการอันกว้างไกลของผมเองนี่ล่ะ อะไรมันจะน่ากลัวไปกว่าความคิดของคนเราล่ะครับ เห็นเงาต้นตาลไหวก็แหกปากร้องบอกว่าเปรตไปซะก็เยอะ

“เดินเร็วๆสิวะไอ้กริช จะอยู่รอให้พ่อมึงมาจับเพราะคิดว่ามาเล่นยากันรึไงวะ” ผมรีบเอาเสียงเข้าข่ม หากมันก็ยิ้มกวนตีนมาให้ผมอีกจนได้

“แกกลัวล่ะสิ”

“แกสิกลัว ถึงได้รีบเดินนำหน้า แน่จริงต้องมาเดินตามหลังอย่างกูนี่” ได้ทีต้องเบ่งครับ ก็เดินตามหลังมันน่าหวาดเสียวกว่าเดินนำหน้านี่ครับ เพราะไม่รู้เมื่อไรจะมือไม่มีเจ้าของมาสะกิดหลัง ชักตายกันพอดี ไอ้กริชนิ่วหน้าแล้วหยุดรอให้ผมเดินมาทันมันพลางดันหลังไอ้เอให้รีบเดินนำขึ้นไป ก่อนจะยักคิ้วทำนองคนกล้าอยู่ตรงไหนก็เหมือนกัน จนผมหมั่นไส้มันตงิดๆ

พวกผมเดินสำรวจชั้นล่างจนทั่วก็ไม่มีอะไรให้น่าใจหายใจคว่ำเกิดขึ้น กำลังใจจึงมาอีกอักโข แล้วพยักหน้าชวนกันขึ้นไปสำรวจชั้นสองต่อ

เพียงแค่ก้าวเท้าเหยียบบันไดทางขึ้นเท่านั้นล่ะครับ เสียงคล้ายประตูหรือหน้าต่างกระแทกปิดดังปัง ทำเอาพวกผมนะจังงังไปโดยอัตโนมัติ ไอ้เอที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดค่อยๆชักขากลับแล้วมองหน้าเหมือนจะถามว่าเสียงอะไร แต่อยู่ด้วยกันใครจะตอบได้ล่ะครับ ได้แต่เงียบจนมันอดไม่ไหวเอ่ยออกมาก่อน

“กูกลัว” เสียงไอ้เอครางหมดแรงพลางยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง ทำให้สีหน้าเจื่อนๆของเพื่อนไอ้กริชยิ้มออก เพราะมีคนปอดแหกกว่า ก่อนแกล้งผลักไหล่ไอ้เอคนละทีสองที

“ขี้ขึ้นหัวยังวะ ลมมันพัด ประตูหน้าต่างเลยตีกับกำแพงแค่นี้ก็ปอดแหกไปได้” เสียงพวกมันล้อเลียนไอ้เอดังสะท้อนไปมาเป็นทอดๆ แล้วจึงลากไอ้เอที่ยังขาแข็งขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความคึกคะนอง




*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2013 03:14:33 โดย Poes »

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3

หากสิ่งแรกที่ตอนรับพวกเราและทำให้เสียงหัวเราะค่อยๆเงียบลงคือกลิ่นคล้ายคนจุดธูปเทียนลืมดับลอยมาปะทะจมูก แล้วจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว เล่นเอาไอ้เอเข่าอ่อนจนต้องเกาะเพื่อนไอ้กริชไว้แน่น สลัดเท่าไรก็ไม่ยอมปล่อย

“เดี๋ยวก็ท้องได้หรอกไอ้เอ” เพื่อนไอ้กริชพยายามงัดไอ้เอออกจากเอว

“เชี่ย...พวกแกไม่ได้กลิ่นเหรอวะ กูว่ากลับกันเถอะนะ”

“แกกลับก็เป็นลูกหมาล่ะ”

“เออ กูยอม” ไอ้เอตอบแบบไม่ต้องคิด ทำเอาผมเสียหน้าไปด้วย แกไม่คิดจะรักษาหน้าเพื่อนไว้บ้างเหรอ แล้วไอ้เอก็หันมาพยักหน้าชวนผมกลับด้วยน้ำตาคลอเบ้าน่าสงสาร ความคิดแวบหนึ่งแล่นเข้ามาในสมองจนใจลิงโลดเลยครับพี่น้อง ได้ข้ออ้างกลับแบบไม่เสียหน้าแล้วครับ แล้วจะอยู่ทำไมให้จิตตก กำลังจะหลุดปากอยู่แล้วเชียว ถ้าไอ้กริชไม่ปากไวเกินมนุษย์ขัดขึ้นมาซะก่อน หรือเป็นเพราะผมซ่อนใบหน้าเริงร่าไว้ไม่มิดก็ไม่รู้

“ไอ้เอ แกจะกลับก็กลับไปคนเดียวเลย กูพนันกับไอ้วาลย์ไว้ มันไม่กลับไปกับแกหรอก”

อีกแล้ว! ไอ้ตัวขัดแข้งขัดขา! ผมร้องประท้วงมันในใจ หากใบหน้ายังคงรักษาท่าทีไว้แนบเนียนฝืนพยักหน้าเออออกับมันไป

ไอ้เอหน้าเสียเลยครับ มันสั่นหน้าไม่ยอมกลับไปคนเดียว ไอ้กริชเลยดึงแขนผมลากให้เดินต่อ ทิ้งไอ้เอไว้ข้างหลังไม่ถึงสิบวินาทีมันก็แหกปากร้องเสียงหลงวิ่งตามมาติดๆ เข้ามาแทรกอยู่ตรงกลาง

“รอกูด้วย!” สุดท้ายมันก็ต้องไปกับพวกผม น่าสงสารมันเหมือนกัน เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่งเอากระดูกมาแขวนคอ

ลำแสงจากไฟฉายส่องสว่างให้มองเห็นในวงจำกัด บริเวณรอบตัวจึงมืดสนิทและเงียบสงบ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจ ความจริงออกมาชานเมืองแบบนี้น่าจะได้ยินเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องบ้างแต่นี่เงียบฉี่ สายลมเย็นก็เริ่มพัดผ่านผิวกายอีกครั้ง หากคราวนี้ไม่ได้มาแต่ความเย็นยะเยือกชวนน่าขนลุกขนพองเท่านั้น ยังมีเสียงหอนของสุนัขในระแวกใกล้เคียงดังระงมไปทั่ว แถมมันยังหอนอย่างโหยหวนรับช่วงกันเป็นทอดๆ จนอยากวิ่งไปเตะปากมันเสียทุกตัว โทษฐานทำให้ขวัญหนีดีฝ่อ

ผมรู้สึกขนลุกหนาวสันหลังวาบขึ้นมาซะเฉยๆ จึงรีบกวาดไฟฉายไปตามมุมต่างๆอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เลยรีบเดินไปรอบๆชั้นด้วยความรวดเร็วโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนดูตึงเครียดน่าอึดอัด และพอจะก้าวขึ้นบันไดไปชั้นสาม มันมาอีกแล้วครับ เสียงครางแผ่วๆของไอ้เอทำเอาทุกคนในกลุ่มใจหาย

“เดี๋ยวกูถีบให้เลย จะพูดอะไรก็พูดมา ครางหาพระแสงทำไมวะ กูไม่ได้ยิน” ไอ้กริชบ่นหัวเสีย สงสัยมันคงเริ่มจิตตกบ้างแล้วมั้งครับ ผมนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

“ก็กูกลัวนี่ แล้วก่อนขึ้นมามันมีเสียงลมพัดจนหน้าต่างดังใช่มั้ยล่ะ แต่กูมองแล้วมองอีกก็หาหน้าต่างซักบานไม่เจออย่างที่พูดเลย”

เงียบครับ งานนี้พวกผมเงียบแล้วหันมองไปด้านหลัง พยายามกวาดตาส่องไฟฉายหาประตูหรือหน้าต่างซักบาน เผื่อไอ้เอมันจะมองข้ามไป แต่ไม่มีครับ ทุกคนเลยเงียบอีกรอบและหันไปมองหน้าไอ้กริชเป็นตาเดียว มันคงรู้สึกตัวเลยถลึงตามองตอบ

“อาจเป็นชั้นอื่นก็ได้ กูเคยมาซะที่ไหนล่ะ” ว่าแล้วมันก็ถือโอกาสจับมือผมจูงเดินนำหน้าไปยังอีกชั้น

คือถ้าเป็นเวลาปกติผมคงสะบัดมือมันทิ้งแล้วครับ แฟนผมขี้หึงวายร้ายออกปานนั้นเลยต้องระวังตัวกันนิดหนึ่ง แต่เวลานี้มันไม่ปกติครับ ความตั้งใจอันน่านับถือนั้นจำเป็นต้องพับเก็บไปก่อน เพื่อรักษาใจตัวเองก่อนจะหัวใจวายตาย ไม่ได้เห็นหน้าสุดที่รัก เขาคงเข้าใจความจำเป็นในครั้งนี้ครับ

ขึ้นมาบนชั้นสาม สิ่งแรกที่พวกผมเห็นคือประตูโทรมๆจะหลุดมิหลุดแหล่ออกจากวงกบ ใจมาเป็นกอง ไอ้ประตูต้นเหตุอยู่ตรงนี้เอง พวกผมหันมองไอ้เอแล้วยิ้มให้มัน หากรอยยิ้มนั้นชะงักค้างแล้วค่อยๆหุบลง ยกมือขึ้นปิดจมูกแทนเมื่อเข้าใกล้ประตูบานนั้น

กลิ่นสาบสางเหมือนมีตัวอะไรเน่าตายบนนี้ทวีความรุนแรงจนผมแทบสำลัก กระเถิบตัวเข้าใกล้ไอ้กริชมากขึ้น และมันเองก็คงปอดๆเหมือนกันถึงได้โอบเอวผมเข้าไปใกล้ๆเช่นกัน ไอ้กริชหันมองหน้าผม ใบหน้ามันแสดงออกถึงความไม่แน่ใจในบางอย่างจนหัวคิ้วชิดติดกัน ผมได้แต่เกาะแขนมันไว้แน่น นึกแช่งชักหักกระดูกมันในใจ

แกอย่ามาทำปอดแหกตอนนี้นะโว้ย มาครึ่งทางแล้ว ขืนคนนำมาไปซะก่อนที่เหลือไม่ชักน้ำลายฟูมปากเหรอวะ

เหมือนมันจะรู้ครับ เลยเดินตรงไปยังประตูพร้อมกับลากผมไปด้วยทั้งๆที่ผมพยายามจิกปลายเท้ากับพื้นจนเจ็บ แล้วมันก็หันหน้ามามองผมอีกเมื่อถึงหน้าประตูชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะผลักประตูพังๆเปิดเข้าไปภายใน ไม่ให้ผมได้ทำใจก่อนเลย

กลัวสิครับ แต่ดันโง่ลืมหลับตา มองไปตามลำแสงขของไฟฉายจนไปกระทบกับดวงตาคู่สีเขียวเรืองรอง จุกเลยครับ เหมือนมีอะไรในท้องตีขึ้นจุกคอหอย ด้วยกลิ่นสาบคละคลุ้งไปทั่วห้องพร้อมเสียงแหกปากของไอ้เอขณะกระโดดขี่เอวเพื่อนไอ้กริช ผมเองก็ไม่ต่างจากมันหรอกครับ เต็มๆตาแบบนี้ก็รีบหลับตาปี๋กอดไอ้กริชคนน่าหมั่นไส้ไว้แน่น

ตอนนี้ผมเกิดรักมันขึ้นมากะทันหันครับ

ผมรู้สึกถึงลมเย็นพัดรอบๆตัวเริ่มนิ่งสงบพร้อมกับเสียงหัวเราะลงคอใกล้ใบหูตัวเอง ก็ยิ่งหลับตาซุกหน้ากับอกไอ้กริชไม่คิดชีวิต กระทั่งรับรู้ถึงไออุ่นของลมหายใจถึงเริ่มเอะใจ

ผีที่ไหนมีไออุ่น! กว่าจะรู้ตัวเสียงหัวเราะของไอ้กริชก็ดังเต็มสองรูหู

“กลัวขนาดนี้เชียวเหรอวะ โน้น...ดูให้ดีๆสิ หนูวิ่งกันให้พล่าน”
ผมผงกศีรษะออกมาดูบริเวณที่ไฟฉายส่องเป็นวง ก็พบซากสัตว์ปีกตัวเขื่องนอนตายมีหนอนตัวเป้งอาศัยในร่างคลานกันหยุบหยับ และแววตาสีเขียวที่ผมเห็นก็คือดวงตาของหนูตัวเท่าแมวซุกตัวอยู่มุมห้อง หาจังหวะหลบหนีจากผู้บุกรุก ผมสูดลมหายใจลึกเหมือนคนขาดอากาศมานาน แต่ก็ต้องเบ้หน้าเพราะลืมตัวว่ามีซากเน่าอยู่ภายในห้อง ก็เล่นเอาแทบสำลัก

“แกจะไปต่อไหวมั้ยวะไอ้วาลย์ ถ้าไม่ไหวพอแค่นี้ก็ได้นะโว้ย กูไม่เอาไปพูดต่อหรอก”

โอกาสหลุดรอดจากการสติแตกที่มันหยิบยื่นมาให้ช่างหอมหวานยั่วยวนใจจนผมแทบกระโดดคว้า แต่จะต้องแลกกับการถูกตราหน้าว่าไอ้ขี้ขลาดไปชั่วชีวิต ทำให้ผมเชิดหน้าแต่ไม่ปล่อยมือจากแขนมัน

“ไหวเว้ย แกไม่ไหวก็กลับไปสิ” พูดไปตาก็มองไปรอบๆอย่างหวาดๆ ได้ยินเสียงไอ้กริชถอนหายใจหนัก ไม่รู้ว่าเพราะความหัวแข็งของผมหรือเพราะผมทำให้มันหมดโอกาสกลับไปพร้อมศักดิ์ศรีทั้งที่ฉี่แทบราดก็ไม่รู้

พวกผมออกเดินสำรวจต่อทั้งที่ไอ้เอหน้าแทบไม่มีสีเลือด ขนาดออกมาไกลจากห้องนั้นแล้วแต่กลิ่นเหม็นสาบกลับไม่จางหายคล้ายมีซากเน่ามาจ่ออยู่ปลายจมูกยังไงยังงั้น ความรู้สึกเย็นสันหลังวาบเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อผมเดินผ่านเสาสี่เหลี่ยมต้นใหญ่ต้นหนึ่งตามแนวคานห่างเป็นระยะๆ ความมือไวจึงส่องไฟฉายดู เห็นคราบสีสนิมเหล็กเปื้อนเป็นหย่อมใหญ่อยู่ระดับศีรษะแล้วหยดเป็นทางถึงตีนเสา คล้ายมีน้ำอะไรซักอย่างสาดโครมมาที่ต้นเสา ทั้งที่เป็นเสากลางตึกแท้ๆ ก่อนจะสาดไฟไปยังเสาต้นถัดไปก็ไม่เห็นความผิดปกติเหมือนไอ้เสาข้างตัวตอนนี้! ผมกระชับมือเกาะแขนไอ้กริชแน่นจนมันบ่นว่าผมจับเอวมันแรงแถมหยิกมันทำไมไม่รู้

“จะกอดก็กอด แต่ช่วยอย่าหยิกจะได้มั้ย กูเจ็บนะไอ้วาลย์” ไอ้กริชถลึงตาพราวระยับใส่ผม ในขณะที่ผมค่อยๆก้มมองมือตัวเองยังเกาะอยู่บนต้นแขนของมันทั้งสองข้างอยู่เลย แล้วจะเอามือที่ไหนไปจับไปหยิกเอวมันอีก

ไอ้กริชมองตามสายตาผมมาอยู่ที่มือ ผมเห็นตามันโปนจนแทบถลนออกมาจากเบ้า เหลือบมองขึ้นไปก็เห็นผมมันเริ่มชี้โด่ชี้เด่ไปคนละทิศคนละทาง แล้วหันมองเพื่อนข้างหลังซึ่งกอดกันกลมอยู่สามคน ไม่มีใครยื่นมือมาจับเอวมันเลยซักคน เท่านั้นล่ะ!

ปัง!

เสียงประตูตีกับกำแพงอีกครั้งทำเอาพวกผมสติหลุดแหกปากร้องกันสุดเสียง เพรากลิ่นสาบสางมันเริ่มอบอวลรอบตัวเหมือนกำลังห้อมล้อมพวกผมอยู่ยังไงยังงั้น ทั้งแสงจากไฟฉายที่สาดส่องกันวุ่นวายไม่รู้ทิศรู้ทางกลับไปกระทบกับเงายาวยืด ทั้งที่ไม่มีไฟจากตรงไหนส่องให้เกิดเงา แต่มันก็เกิด! พร้อมกับเงาคล้ายร่างคนนั้นค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้และยกมือยาวผิดมนุษย์มนาออกมาจากมุมตึก

เสียงไอ้เอหวีดร้องเป็นคนแรกแล้วใส่เกียร์หมาสะบัดเพื่อนข้างๆวิ่งหนีลงบันไดไปคนเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันไม่กล้ากลับไปคนเดียวเสียด้วยซ้ำ ตามด้วยเพื่อนไอ้กริชหันหลังวิ่งหัวตั้งไปแบบไม่คิดชีวิต ถึงหกล้มหกลุกก็คลานจนตกบันไดไปด้วยกันติดๆ ทิ้งผมและไอ้กริชไว้เหมือนคนไม่รู้จักกันซะงั้น

ไอ้กริชปาไฟฉายในมือใส่เงาทะมึนนั้นอย่างบ้าคลั่งพลางบีบไหล่ผมจนเจ็บขณะหันหลังวิ่งตามเพื่อนไปโดยไม่ลืมลากผมไปด้วย ดูมันก็สติแตกพอกับผมนั่นล่ะ เพราะใบหน้าของมันตอนนี้ไม่หลงเหลือความมั่นใจเลยซักนิด ปากมันสั่นน้อยๆหัวคิ้วย่นชนกัน มือมันก็เย็นเฉียบกว่าน้ำในตู้เย็นซะอีก จนผมคิดว่าตายแน่คราวนี้

และผมยังคงฉลาดน้อยหันกลับไปมองข้างหลัง ใจผมแทบหลุดออกจากตัวพร้อมสะดุดลมหายใจตัวเองจนตาเหลือก เมื่อเห็นเงานั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้หากไม่กี่เมตร ผมรีบตีแขนไอ้กริช

“เร็วๆ วิ่งเร็ว!” มันก็วิ่งโดยไม่ถามอะไรผมซักคำ แถมกระชับเอวผมแน่นจนเหมือนเอาผมเข้าเอวหนีบวิ่งหนีไปด้วยกัน ถ้าผมไม่สะดุดขาตัวเองล้มลงไปซะก่อน พามันหัวคะมำไปด้วย

เจ็บครับ แต่ไม่สนใจว่าจะได้แผลตรงไหน เพราะตรงที่ผมล้มลงไปมีกองผ้าขมวดยาวคล้ายห่อคนไว้ทั้งคน ส่งกลิ่นเหม็นเน่าจนผมตัวแข็งไปทั้งตัว ไอ้กริชหน้าขาวซีดท่ามกลางความมืดสลัวซึ่งมีแค่ไฟฉายกระบอกเล็กในมือผมที่กระเดนหลุดมือกลิ้งไปอีกด้านหนึ่งให้แสงสว่าง มันลากผมที่ตัวแข็งอยู่ใกล้กองผ้าไปกอดไว้แน่น ในขณะที่เงาดำสยองเกล้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้

ผมหลับตาแน่นกรีดร้องด้วยสติสตังหลุดลอย น้ำหูน้ำตาเล็ดไม่สนใจว่าใครจะพูดอะไรแล้วครับตอนนี้ ในวงแขนของไอ้กริชผมรู้สึกว่ามันหยิบสิ่งของข้างตัวขว้างปาไปยังเงาตรงหน้า

มันคิดจะสู้กับผีรึไงวะ

“เฮ้ย!”

เสียงร้องตกใจที่ไม่ได้มาจากปากผมและปากไอ้กริชทำเอาผมสะดุ้งโหยง ด้วยน้ำเสียงนั้นคุ้นหู

“วาลย์!” เสียงทุ้มตะโกนออกมาอย่างหัวเสียเรียกสติผมกลับมาได้ทันที ทั้งผมทั้งไอ้กริชเบิกตามองร่างสูงใส่เสื้อสีขาวเดินเข้ามาใกล้พร้อมสาดไฟฉายใส่หน้าจนพวกผมต้องหยีตาสู้แสง

“เป็นอะไร ร้องเสียงหลงกันเลย บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาๆ แล้วหนีมาทำไม พูดอะไรไม่เชื่อกันเลยรึไง”

เสียงดุแกมบ่นยาวยืดหากเป็นปกติผมคงเถียงสู้ไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับเสียงสวรรค์เลยครับ เพราะไม่ใช่ผีสางที่ไหนแต่เป็นคนรักของผมเอง ในที่สุดพี่ขรรค์สุดที่รักของผมก็มา ผมดีใจสุดๆแม้จะถูกกระชากออกจากอ้อมแขนของไอ้กริช แต่ผมไม่สนใจ ต่อให้เจ็บกว่านี้ก็ยอม ผมรีบคว้าคอแฟนหนุ่มไว้ทันทีแล้วเกาะแน่นเป็นลูกลิง

“พี่ขรรค์ๆช่วยด้วย ที่นี่มีผีอะ วาลย์กลัว พาวาลย์ออกไปที” ไม่รู้เป็นอะไรพอได้ซุกอกพี่ขรรค์ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที

“ผีอะไร? ไม่มีหรอกวาลย์ มันมืด คิดกันไปเองทั้งนั้น”

“ไม่นะ เมื่อกี้วาลย์เห็นผี เป็นเงาดำๆ มันยื่นมือมาหาด้วย วาลย์กลัว ไม่ไหวแล้ว รีบพาวาลย์ออกไปเถอะ” ผมเขย่าไหล่คนรักแรงๆ พร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่รู้ตัว แฟนผมถอนหายใจก่อนช้อนตัวผมขึ้นอุ้มเหมือนอุ้มเจ้าสาวเข้าหอ แล้วนิ่วหน้าคล้ายหนักใจ

“เงาพี่รึเปล่า เพราะพี่เดินตามเสียงเราขึ้นมา แต่คงขึ้นมาคนละฝั่งบันไดกัน”

ผมไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้ากับบ่าคนรักอย่างเดียว

“ดี กลัวซะบ้าง จะได้เข็ด ไม่ทำอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้อีก เข็ดรึยังล่ะ”

คำพูดของคนรักเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมไม่สนใจจะฟังหรอก ตอนนี้ขอแค่พาผมออกไปจากที่นี่จะว่าอะไรก็ว่ามาเหอะ โดยไม่ได้หันไปมองสภาพไอ้กริชเลยว่าเป็นยังไงบ้าง ผมมันจะหงอก ฉี่มันจะราดก็ช่างหัวมัน

ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยนแม้จะรู้สึกโล่งใจบ้างแล้วก็ตาม เมื่อถูกพาลงมาชั้นล่างสุดและกำลังจะพ้นออกจากตัวอาคาร ผมรู้สึกว่าคนรักของผมเอี่ยวตัวไปด้านหลัง ขมุบขมิบอะไรบางอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่องคล้ายคุยกับใครซักคน แล้วหันกลับมาพูดกับพวกไอ้กริช ก่อนจะแยกย้ายรีบพาผมขึ้นรถขับจากไปอย่างที่ผมต้องการเป็นที่สุด

เมื่ออยู่ในรถ พี่ขรรค์ปรับเบาะนั่งให้เอนลงพลางยิ้มใจดีแล้วปิดตาผมอย่างอ่อนโยน คล้ายจะบอกให้ผมพักผ่อนไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว และผมก็ไม่ขัดศรัทธา หลับตาลงผ่อนลมหายใจคลายความตึงเครียดอย่างว่าง่าย โดยไม่ได้รู้เลยว่า กระจกมองหลังได้สะท้อนเงาตนหนึ่งอย่างชัดเจน และคนรักของผมก็ตั้งใจจะปิดบังมันไว้!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ถ้ามากวนพวกเราอีก คราวหน้าไม่เกรงใจหมอแล้วนะ!”





จบตอน




ขอบคุณทุกคอมเมนท์ล่วงหน้าค่ะ หลอนกันมั้ย เเต่เรื่องนี้เราว่าเป็นเเนว comedy นะเเต่เเบบผีๆน่ะจ้า รับรองสนุกเเน่นอน

ตามอ่านเรื่องอื่นๆของพี่sakeได้นะคะ

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=14766.0

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=11513.0

เจอกันวันจันทร์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-08-2010 20:21:44 โดย jeab_u »

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
หึๆๆๆแฟนน้องเขาเล่นของเหรอ คุยกะผีก้ได้

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
เง้อออออ น่ากลัวอ่ะ

In~d3pth

  • บุคคลทั่วไป

น้องวาลย์กลัวผี แต่ก็ยังไปหาผีอีกนะ ห้าห้า
หนุกอะค่ะ ชอบพี่ขรรค์ (มาแว๊บเดียวก็ชอบ)


ขอบคุณนะคะ 


 :-[ตอนนี้ต้อนรับฮัลโลวีน(ปีที่แล้ว) แล้วตอนต่อไปจะต้อนรับเทศกาลอะไรอะคะ

Rockstar

  • บุคคลทั่วไป
อ๊าย ชอบๆแนวผีๆเนี่ย ตื่นเต้นดีแท้
มาให้กำลังใจคนโพสนะคะ แล้วจะตามอ่านเรื่อยๆ

ออฟไลน์ *4_m3*

  • ~เธอคือของขวัญจากฟ้าไกล คือคำตอบของหัวใจ~
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
ศุกร์สิบสาม..ก็วันนี้น่ะสิ!!! :a5:
แต่ก็น่ารักดีค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

Rinze

  • บุคคลทั่วไป
ผีกลัวพี่ขรรค์หรอคะ?
พี่แกเทพมาจากไหนน่อ

b27072010

  • บุคคลทั่วไป
ท่าทางวาลย์ออกโกะ ๆ เหมือนกันนะ

กลัวแสนกลัวแต่ก็ไม่ยอมเสียฟอร์มนะ

รออ่านตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ CHIVAS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +70/-1
หมาเพิ่งหอนไป เมื่อตะกี๊  :sad5:
น้องวาลย์ อย่าไปทำแบบนั้นอีกนะ 

พี่ขรรค์ เป็นหมอ หมอผีรึเปล่านะ 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Muzik

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วลุ้นกับวาลย์ แต่อยู่ในอารมณ์เดียวกับเอ
พี่ขรรค์เเปิดตัวได้ใจมาก
สนุกค่ะ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
พี่ขรรค์ มีวิชาอาคมสะกดผีด้วยอ่ะ

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0

ออฟไลน์ CanonDNattari

  • ☆.•:*´เชื่อในสิ่งที่เห็นและต้องการให้เป็น ¨`*:•☆
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
อ่านแล้วกลัวพี่ขรรค์  มากกว่ากลัวผีอีกนะนั้น

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ดีนะ  ที่อ่านตอนกลางวัน  ไม่งั้นฉี่เล็ดแน่

ออฟไลน์ knightofbabylon

  • it's sorrow that feeds your lies!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2542
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-51
ถ้ามากวนพวกเราอีก คราวหน้าไม่เกรงใจหมอแล้วนะ!

 :laugh:

พี่ขรรค์โคตรแน่

ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
แปะก่อนค่อยอ่าน 555

b27072010

  • บุคคลทั่วไป
:a5:มองไปก็ยังไม่เห็นตอนต่อไปเลย

dragonfly08

  • บุคคลทั่วไป
หลอนแบบฮาๆ
น้องวาลย์น่าร้ากกกกกก
พี่ขรรค์เท่อะ
 :L2:

anajulia

  • บุคคลทั่วไป
หงะ หนังผีอ้ะ กลัวก็กลัว แต่ก็อยากอ่าน กร้ากกกกกกกกกกกกกส์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PEENAT1972

  • Red Rhino
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +563/-106
สนุกดี เปลี่ยนบรรยากาศกันมั่งเฮอะ 555

ออฟไลน์ LalaBam

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2864
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-2
บรื๋อ
หลอนอ่ะ
 o22

ออฟไลน์ -~iK@iZ_KunG~-

  • Tomorrow Never Die!!!
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-2
อ่านไปเสียวไป อิอิ

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
ทำไม ทำไมต้องเป็นในโรงพยาบาลด้วยอ่า
แล้เค้าจะกล้าไปทำงานไหมเนี่ย :sad5: :sad3:
น่ากลัว ดีนะที่ยังไม่มืดมาก
ถึงจะหลอนแต่ก็ชอบอ่ะ รออ่านตอนต่อๆไปอยู่น๊า

b27072010

  • บุคคลทั่วไป
:m31: คิดถึงคนเขียนแล้วนะ

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
Gift


“หนาว”

ผมมองท้องฟ้าแล้วบ่นกับตัวเองเพราะปีนี้กรุงเทพหนาวนานกว่าทุกปีที่ผ่านมา โลกมันชักแปรปรวนขึ้นทุกวัน หนาวอยู่ดีๆฝนก็ตกซะงั้น ไอ้ผมมันก็คนกระหม่อมบางขี้หนาวเลยน้ำมูกยืดต้อนรับปีใหม่ แถมไอ้พี่ขรรค์ก็ใจดำปล่อยให้แฟนทั้งคนโหนรถเมล์ไปมหาลัยเองได้ลงคอ

คนป่วยนะคนป่วย! ผมสบถในใจยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดรอรถเมล์ จะว่าไปเมื่อก่อนก็โหนรถเมล์ไปมหาลัยอยู่ทุกวันไม่เคยจะเป็นจะตาย แต่เดี๋ยวนี้หงุดหงิดครับ ก็พี่ขรรค์นั่นล่ะทำผมเสียนิสัย กอปรกับบ้านผมเป็นทางผ่านไปมหาลัย พี่แกเลยอาสามารับมาส่งจนผมเคยตัว แต่ผมก็ไม่ได้งี่เง่าถ้าวันไหนไม่มารับ ด้วยเขาก็ต้องมีธุระปะปังส่วนตัว แต่ที่หงุดหงิดอยู่นี่เพราะพักนี้พี่ขรรค์หายตัวไปบ่อยๆติดต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง ถามก็บอกว่าต้องช่วยที่บ้านทำงาน ผมก็ไม่ได้อยากทำตัวงี่เง่าพูดไม่รู้เรื่องหรอกนะครับ แต่เพราะคราวนี้หายไปสามวันสามคืน เลยขอโมโหหน่อยเถอะ

หึ!อยากรู้นักว่าที่บ้านทำกิจการอะไร จะปีหม่งปีใหม่แล้วไม่หยุดพักผ่อนกันรึไง

ผมเม้นปากเข้าหากันเมื่อเห็นรถเมล์สายที่จะไปลิบๆ จำไว้เลย! เพราะน้อยใจเลยบ่นคนไม่เห็นตัวไปตามเรื่องตามราวเตรียมตัวขึ้นรถเมล์ หากไม่เห็นรถเก๋งสีเงินคันคุ้นตาวิ่งแซงรถเมล์เข้ามาจอดเทียบท่าและลดกระจกลง

“พี่มารับ ขึ้นมาสิวาลย์”

“...พี่ขรรค์” อาการดีใจจนออกนอกหน้าทำให้ผมต้องปรามตัวเอง เราโกรธอยู่ๆ อะไรฟระ แค่เห็นหน้าไอ้ที่เคืองๆอยู่แทบจะปลิวหาย ใจอ่อนเกินไปแล้วไอ้วาลย์ ว่าแล้วผมก็ทำคอแข็งเชิดหน้าแสร้งไม่สนใจ

หางตาผมแอบเห็นพี่ขรรค์หน้าสลดลง ทิฐิที่มีอยู่น้อยนิดก็พังทลายไม่เหลือเศษซาก แต่ไอ้ครั้นจะหายงอนกันง่ายๆก็เสียเชิง เลยยืนนิ่งเงียบให้อีกฝ่ายง้อ และพี่ขรรค์ก็ไม่ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่นานนัก

“วาลย์ ขึ้นมาก่อนเถอะ แล้วค่อยๆคุยกันนะ” พี่ขรรค์มองผมด้วยสายตาลุแก่โทษ “วาลย์...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแบบที่ผมชอบเอ่ยง้องอน ผมเลยก้มตัวเข้าไปนั่งในรถพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ถ้าพี่เขาไม่ง้อทำไงเนี่ย แต่เสียงถอนหายใจของผมกลับทำให้พี่ขรรค์เข้าใจผิด คิดว่าผมโกรธมากมาย พอรถออกตัวได้ก็รีบละมือจากคันเกียร์ออโต้มากุมมือผมแล้วบีบเบาๆทันที

“พี่ขอโทษนะวาลย์ ที่บ้านพี่ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ”

“วาลย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่บ้านพี่มีกิจการใหญ่โตนี่ครับ” น่าน...ประชดเข้าไปให้มันขาดใจตายกันข้างหนึ่งเลย “แค่โทรบอกกันบ้างไม่ใช่เงียบหายจนผมเกือบลืมว่ามีแฟนกับเขาอยู่เหมือนกัน” อันนี้ย้ำให้จำ กันลืมครับ

“วาลย์...” น้ำเสียงครางอ่อนใจทำให้ผมรู้สึกสะใจพิลึก “วาลย์ พี่จะพยายาม...พยายามให้ดีกว่านี้” ไม่มีประชดกลับมาซักคำพร้อมกับมือใหญ่หากเรียวสวยบีบกระชับมือผมแน่น และนั่นก็ทำให้ผมพยักหน้ารับ คลายใบหน้าบูดบึ้งที่ต้องแสร้งทำแทบตาย

“ครับ” ไม่รู้ว่าผมยอมรับง่ายไปหรือเปล่า พี่ขรรค์จึงเหลือบมองคล้ายไม่แน่ใจ

“เหงาเหรอวาลย์”

“เปล่าซักหน่อย เพื่อนออกเยอะแยะ”

“เยอะมันก็ดีอยู่หรอก แต่อย่าพากันไปเล่นพิเรนทร์ๆกันอีกเลย พี่เป็นห่วงนะ”

“ครับ” ผมตอบยานคางด้วยไม่อยากฟังพี่ขรรค์บ่นเรื่องทัวร์ลองของคราวก่อนอีก “แต่ถึงจะเล่นแผลงๆยังไงไอ้กริชมันก็ไม่ทิ้งวาลย์หรอก ปากดีไปงั้นล่ะ”

ไม่รู้พี่ขรรค์คิดอะไรอยู่ ดวงตาถึงได้ดูดุ๊ดุ

“เจ้านั่นน่ะเหรอ” พี่ขรรค์เม้นปากสวยๆของตัวเองครู่หนึ่งแล้วคลายออก “เมื่อก่อนเห็นไม่ค่อยชอบหน้า สนิทกันแล้วเหรอ”

“เปล่า ก็ยังไม่ชอบหน้ามันเหมือนเดิมล่ะ”

“แต่ก็เห็นไปไหนด้วยกันบ่อยๆ”

“ก็มันชวน”

“ก็ไป?”

“อืม ถึงมันจะปากหมาไปหน่อยแต่ก็เพื่อนเยอะ เลยสนุกดีจนลืมนึกถึงหน้ามันทุกทีล่ะ”

ผมเล่าไปหัวเราะไปไม่ได้สังเกตว่าพี่ขรรค์เงียบลง “นี่เห็นว่าจะชวนกันไปทะเลซักวันสองวัน วาลย์ก็ว่าจะไปอยู่”

“ค้างคืนเลยเหรอ”

“อืม ไปทั้งทีก็ต้องค้างคืนสิ จะได้ก๊งเหล้าให้ฉ่ำปอด พี่ขรรค์จะไปด้วยกันมั้ยล่ะ”

“วันไหนล่ะ ถ้าไม่ติดอะไรพี่ก็ไปด้วย”

“ยังไม่ได้กำหนดหรอก”

พี่ขรรค์พยักหน้าแต่หัวคิ้วขมวดแทบชนกัน หรือจริงๆแล้วไม่อยากไปแต่ขัดไม่ได้หรือเปล่า ผมนึกแหยงเวลาพี่แกไม่สบอารมณ์ ตาแกงี้ดุยังกะเสือเลยรีบออกตัว

“ถ้าพี่ไม่สะดวก วาลย์ไปคนเดียวได้ เพื่อนกันทั้งนั้น” ขณะที่พูดอย่างเกรงใจออกไปก็รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าปลาบแปลบจากร่างสูงข้างๆ ทำให้ผมถึงกับขนลุกขนพอง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม

“เอาเถอะ ไว้ถ้าพี่ไปด้วยไม่ได้ พี่ก็ไม่ปล่อยให้เราไปลำพังหรอก”

คำพูดเหมือนเป็นห่วงแต่ทำเอาผมหน้ากระตุก เห็นเป็นเด็กสามขวบไปได้ ผมบ่นในใจพลางแอบเหล่มองคนรัก

จะพูดไปที่ได้เจอพี่ขรรค์ก็เพราะรู้จักกับไอ้กริชที่เรียนห้องเดียวกันชวนไปดูบาสเก็ตบอล แล้วเพราะเชียร์กันคนละข้างเลยได้พนันขันต่อกับมัน งานนี้ผมชนะได้ตังค์มันมากินหนมหลายพันเลยเผื่อแผ่ซื้อน้ำซื้อขนมไปขอบคุณนักกีฬาที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ก็รับของกินกันหน้าชื่นตาบาน ส่วนพี่ขรรค์ก็มาเชียร์เพื่อนเขาที่เป็นนักกีฬาเลยได้รู้จักกัน และเลยเถิดมาถึงป่านนี้ล่ะ

“ไงก็ได้ครับ แต่เย็นนี้กลับด้วยกันมั้ย จะได้แวะกินข้าวที่บ้าน แม่บอกว่าจะทำหมูทอดกระเทียมพริกไทยของโปรดพี่ด้วย”

“เอาสิ เรียนเสร็จแล้วโทรหานะ เดี๋ยวพี่ออกมารับ วันนี้พี่เลิกก่อน”

“ครับ” ผมรับคำพอดีกับที่ถึงมหาวิทยาลัย

“หายโกรธพี่แล้วนะ” พี่ขรรค์ยิ้มกว้างเมื่อจอดรถบนตึกจอดรถเสร็จเรียบร้อย

“ไม่ได้โกรธซะหน่อย” ผมแสร้งเมินหน้าหนี ก็ไม่ได้โกรธจริงๆนี่ แค่งอนเฉยๆ

“งั้น...” เสียงเงียบหายไปพร้อมกับเงาร่างสูงเข้ามาใกล้จนต้องหันกลับไปมองฝั่งคนขับ สัมผัสอุ่นๆบริเวณแก้มทำเอาผมหน้าร้อน เขินครับ แม้จะคบกันมาได้พักใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้เกินเลยไปถึงขั้นร่วมเตียง กอดๆหอมๆกันอยู่แค่นี้ล่ะครับ ไม่ได้จะเล่นตัวแต่ไม่อยากใจเร็วด่วนได้ และพี่ขรรค์ก็ไม่ได้ทำตัวรุ่มร่าม ผมเลยสบายใจเวลาอยู่ใกล้

แรงกดของริมฝีปากหนักขึ้นจนผมเบี่ยงหน้าหนี ก็นี่มันในมหาลัยนี่ครับ ถ้าเป็นที่อื่นพี่ขรรค์ไม่ได้ทำแบบนี้หรอก เพราะผมจะกระชากปากแดงๆนั่นมาจูบเสียเอง หมั่นเขี้ยวพี่แกครับ คนอะไร ทำอะไรก็ดูดีไปหมด ไม่นับเวลาทำลูกกะตาดุๆใส่ผมนะ

“ถ้าอยากไปเที่ยวไว้รอพี่พาไปมั้ย ไปกันสองคนไม่วุ่นวายด้วย อยากไปไหนล่ะ”

ดวงตาสีเข้มส่องประกายวิบวับจนผมรู้สึกอุ่นไปทั่วหน้า “ไม่เอาหรอก”

“ทำไมล่ะ ไม่อยากไปกับพี่เหรอ”

“....อยาก...แต่ไม่อยากอยู่กับพี่สองคน” ไม่ใช่กลัวพี่ปล้ำผมนะ แต่ผมกลัวอดใจไม่อยู่ลงมือปล้ำพี่ซะเอง ก็ทั้งเนื้อทั้งตัวพี่อะน่ากินเป็นบ้าเลย ผมลอบมองลงไปในคอเสื้อ เห็นแผงอกแน่นตึงร่ำไร ถึงกับลอบกลืนน้ำลายตัวเอง...

“กลัวพี่ปล้ำเหรอ”

ผมถูกพี่ขรรค์หัวเราะใส่พลางขยี้หัวจนผมยุ่ง แต่ไม่กล้าพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา ได้แต่เงียบปล่อยให้พี่แกคิดเองไปคนเดียว ขืนรู้เป็นถูกมะเหง็กน่ะสิ เลยเสหาเรื่องอื่นขึ้นมากลบเกลื่อนความลามกของตัวเอง

“ยังไม่เคยพาเข้าบ้านแล้วจะพาลูกเขาไปนอนค้างอ้างแรมข้างนอก ฝันไปเถอะ”

“ก็รอให้วาลย์คุ้นเคยกับพี่เยอะๆอยู่เนี่ย แล้วจะพาไปบ้าน”

“พูดเข้าข้างตัวเอง เมื่อไรก็ไม่รู้ มากินข้าวบ้านวาลย์เป็นกระสอบๆแล้วมั้ง แต่ไม่เห็นเคยพาไปเลี้ยงข้าวบ้านตัวเองคืนบ้างเลย...หรือพ่อแม่พี่ยอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้” ผมทำหน้าหวั่นวิตกจนพี่ขรรค์ต้องดึงเข้าไปกอดเบาๆ

“ไม่ใช่หรอก อย่าคิดมาก พ่อแม่พี่ใจดีจะตาย ไว้โอกาสดีๆพี่ก็จะพาไป ไม่เคยหวง แถมอยากให้ไปด้วยซ้ำ แต่จังหวะไม่อำนวยยุ่งๆกันน่ะ”

“เหรอ วาลย์นึกว่าพี่ซ่อนใครไว้ซะอีก ถึงไม่ค่อยอยากให้ไป”

“หึๆ ใครน่ะไม่มี แต่อย่างอื่นซ่อนไว้เยอะ”

“อะไร?”

“ไม่บอก”

“พี่ขรรค์...”

“เอาเถอะๆ ไว้จะพาไปนะ”

“อืม” ผมพยักหน้า “ว่าแต่บ้านพี่ทำอะไรครับ ทำไมดูยุ่งจัง” เพราะผมถามเรื่องส่วนตัวเกินไปหรือเปล่าพี่ขรรค์เลยนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนตอบ

“จะพูดไงดีล่ะ...พ่อพี่เป็นนักพยากรณ์ เลยมีคนเข้าคนออกที่บ้านเยอะ ต้องอยู่ช่วยรับแขกไม่ก็คอยหยิบนู้นหยิบนี้ให้พ่อตลอด” ผมมองหน้าพี่ขรรค์อย่างอึ้งๆ “ตกใจรึเปล่าที่บ้านพี่เป็นแบบนี้”

ผมพยักหน้าก่อนถามเหมือนยังงง “นักพยากรณ์นี่คือหมอดูใช่มั้ยพี่”

“ก็ทำนองนั้นล่ะ”

“โฮ้...งั้นแบบนี้พี่ก็ได้ดูหมอฟรีตลอดเลยสิ ผมก็อยากดูบ้างจัง” ผมคงทำหน้าตาตื่นดีใจจนออกนอกหน้า พี่ขรรค์ถึงได้หลุดขำพรืดออกมา

“ก็นะ”

“แล้วพ่อพี่ชื่ออะไร หรือมีสมญาอะไรที่รู้จักกันบ้างหรือเปล่าครับ” ผมจะได้อาศัยความใกล้ชิดขอดูฟรี ค่าดูของหมอดูดังๆแพงจนล้มทั้งยืนล่ะครับ ผมเตรียมถูมือรอ แต่พี่ขรรค์ส่ายหน้าแทนคำตอบทำเอาผมเสียศูนย์

“แต่ถึงไม่ดังก็แม่นใช่มั้ยล่ะ ไว้ดูให้วาลย์บ้างได้เปล่า” ผมพูดอย่างเขินๆ

“ไม่ต้องถึงพ่อหรอก แค่พี่ก็ดูได้ ดูให้มั้ยล่ะ”

“เอาๆ” ผมรีบยื่นมือยื่นหน้าไปให้พี่ขรรค์ดู

มือผมถูกอีกฝ่ายจับพิจารณาอยู่ซักพักแล้วเงยขึ้นสบตา ใบหน้าเอาการเอางานทำให้ผมคอยด้วยใจระทึก ใครๆก็อยากรู้ดวงรู้อนาคตดีๆของตัวเองกันทั้งนั้นล่ะครับ ไอ้ที่ไม่ดีๆไม่ค่อยอยากจะรู้กันหรอก

“รูปมือสวยแบบนี้ คู่จะต้องหน้าตาดี ฉลาด แล้วก็อยู่ใกล้ๆแถวนี้ด้วย”

“อะ...พี่ขรรค์!” ผมโวยวายใส่พี่แก ล้อเล่นไม่เป็นเวลา คนอุตส่าห์จริงจัง

พี่ขรรค์ยิ้มล้อเลียนแถมแอบหอมแก้มผมอีกหนึ่งฟอดใหญ่ “พี่ล้อเล่นน่ะ พี่ไม่เก่งเท่าพ่อหรอก”

“ถึงว่า ตัวพี่มีกลิ่นคล้ายกลิ่นของธูปของเทียนอยู่ตลอดเวลา”

“ระ...เหรอ ก็ต้องบูชาครูบาอาจารย์อยู่ทุกวัน บ้านพี่เลยอวลไปด้วยกลิ่นพวกนี้ล่ะ เหม็นเหรอ” พี่ขรรค์ยกแขนเสื้อขึ้นมาดม

ผมสายหน้าแทนคำตอบแล้วหยิบหนังสือเรียนตัดบทสนทนา เพราะขืนอ้อยอิ่งอยู่นาน เดี๋ยวได้มีอนาจารกลางลานจอดรถ พี่แกเล่นทำหน้าน่ารักน่าฟัดชะมัด

“แล้วตอนเย็นห้ามเบี้ยวด้วย” ลงจากรถแล้วผมหันหลังไปสำทับพี่ขรรค์ก่อนแยกย้ายกันไปเรียน

คล้อยหลังพี่ขรรค์ได้ไม่เท่าไรผมกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบพิกล เกิดความคิดบ้าๆขึ้นมาในสมองซะเฉยๆ กับเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่นี้ ดีนะที่พี่ขรรค์ไม่บอกว่าคุณพ่อเป็นหมอผีเข้าทรง! คนกลัวผีขึ้นสมองอย่างผมจะหัวหงอกก่อนเวลาอันควรก็คราวนี้ล่ะครับ

ผมเดินขึ้นตึกเรียนแล้วรี่เข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งรอเรียนอยู่แล้ว และในนั้นก็มีไอ้กริชอยู่ด้วย มันมองมาทางผม ผมก็มองมันกลับ ไม่รู้มันมีอะไรในใจ ตั้งแต่ทัวร์ลองของคราวนั้นดูมันสงบปากสงบคำขึ้นเยอะ สงสัยมันจะเสียเซฟ์ลเพราะแหกปากร้องเสียงดังพอๆกับผม สมน้ำหน้ามัน ปากดี อวดดี ก็เจอดีแบบนี้ล่ะ

แล้วจนถึงตอนนี้ผมยังไม่กล้าถามมันเลยว่า ไอ้กองผ้าที่ผมล้มไปเจอวันนั้นมันมีอะไรอยู่ข้างในหรือเปล่า ถึงได้เหม็นนรกแตกแบบนั้น

แต่ถ้าการไม่รู้ทำให้เราสบายอกสบายใจ ผมก็เลือกที่จะไม่รู้ครับ รู้แล้วผวาไม่เอาดีกว่า

คิดไปวันนั้นพี่ขรรค์ของผมเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมายามที่ชาติต้องการพอดิบพอดี โอ๊ย!แฟนใครฟระ ทั้งหล่อทั้งเก่ง แถมเอางานเอาการ ที่สำคัญ!ไม่กลัวผี เป็นที่พึ่งอย่างดีให้กับคนอย่างผม

อะไรมันจะสมพงษ์ขนาดนี้ไม่มีอีกแล้ว เป็นโชควาสนาของผมโดยแท้ แต่อาจเป็นกรรมของพี่ขรรค์ ลองคิดดูสิ การเรียนผมก็งั้นๆ ฐานะก็ปานกลางค่อนมาทางต่ำ นิสัยก็อย่างที่เห็น แถมกินเหล้าติดเกมส์อีกด้วย ตรงข้ามกับพี่เขาทุกอย่าง แล้วจะไม่ให้รักให้หลงได้ยังไงล่ะครับ

ระหว่างเรียนเห็นไอ้กริชมันแอบชำเลืองมองผมบ่อยๆจนชักรำคาญ พอออกจากห้องเรียนได้เลยเดินเข้าไปถามมัน

“มึงมีอะไรกับกูเปล่าวะ มองอยู่ได้ กูขนลุกหมด” ระหว่างนั้นเพื่อนในกลุ่มเดินลงบันไดไปเรื่อยๆแล้ว เหลือแต่ผมกับมัน

“ขนลุกทำเชี้ยไร กูมองแค่นี้ทำเป็นสยิว ถ้าโดนมากกว่านี้จะเป็นไงวะ”

“เวรละ น่าเกลียดอย่างมึงใครจะเอา”

“ปากเหรอนั่น” ไอ้กริชถลึงตาใส่ผมที่ว่ามันขี้เหร่ แม้ความจริงมันจะพอไปวัดไปวาได้ก็ตามในสายตาผม แต่มันก็ล้วงมือไปค้นของบางอย่างในกระเป๋าเป้ออกมายื่นให้ผม เป็นกล่องสี่เหลี่ยมลูกเต๋าสูงประมาณคืบ ห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญสีน้ำเงินไม่มีลวดลาย ดูท่ามันจะห่อเองด้วยเพราะเห็นร่องรอยยับๆเหมือนห่อแล้วรื้อออกมาห่อใหม่หลายครั้ง

“ปากอย่างนี้มันน่าให้จริงๆ” มันประชดเบาๆแต่ผมได้ยินเลยย่นจมูกใส่

“อะไรของมึง”

“แหกตาดูไม่รู้รึไง ของขวัญ! กูให้” มันพูดขวานผ่าซากมากครับ

“เออ! เห็นว่าเป็นของขวัญ แต่ให้กูทำไม”

“ปีใหม่ไง โง่เปล่ามึงเนี่ย”

“ห๋า! นี่มึงให้ของขวัญกูเหรอวะ เดี๋ยวขอกูออกไปดูท้องฟ้าก่อนนะ”

“ดูทำไม มันเกี่ยวกับของขวัญกูตรงไหน”

“ก็กูสงสัยว่าวันนี้ฝนคงจะตกห่าใหญ่ซะล่ะมั้ง ร้อยวันพันปีมีแต่ชวนไปกินเหล้า มาแปลกนะมึง”

มันโกรธครับ หน้าตาแดงเถือก ผมเลยยิ่งหัวเราะมันหนักขึ้นไปอีก

“ไอ้เวร ปีนี้กูจะไปเชียงใหม่กับที่บ้าน อยู่ก๊งเหล้ารับปีใหม่ด้วยไม่ได้เลยให้ของแทน กูให้ทุกคนล่ะ มึงจะเอาไม่เอา ไอ้ปอดแหก!”

นั่นไง ปากพาเจริญลำเลิกบุญคุณแล้วไง

“ไม่เอา!”

“โห...ก็ดี! กูจะได้เอาไว้ใช้เอง น้ำหอมยี่ห้อนี้แพงจะตาย”

ผมปรายตามองมันอย่างหมั่นไส้ “ลงทุนให้ของแพงกูเชียว!”

“เปล่า ของฟรี กูซื้อให้คนอื่นจนตังค์หมดแล้วลืมมึงคนเดียว กูเลยไปเอาของที่น้าซื้อมาให้ใส่กล่องให้มึง แต่ยังไม่ได้ใช้นะโว้ย”

พูดไม่ออกครับ ว่าสมควรขอบคุณมันด้วยตีนดีหรือเปล่า เลยตั้งท่าจะเดินหนีมัน ว่าแล้ว...พูดกับหมา หมาเลียปาก แถมเสียเวลาอีกด้วย

“ดี...กูจะได้ใช้ น้ำหอมนอกหิ้วมาจากอังกฤษ ใส่ทีหอมไปสามบ้านแปดบ้าน สาวติดตรึม”
อาการหูผึ่งตามด้วยอาการงกกำเริบ รีบหันขวับยื่นมือไปจกของจากมือมันอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวมันจะหาว่าดูถูกน้ำใจ เลยต้องรับไว้ เดี๋ยวมันน้อยใจเก็บใส่เป้ก็อดเลย!

“เอาก็ได้” ผมทำหน้ารับมาอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็เห็นมันยิ้ม โดยไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วเพื่อนๆได้กันแค่ปากกาลูกลื่นคนละด้าม

เสียงเตือนข้อความเข้าทางโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้ผมไม่ติดใจอะไรกับคนตรงหน้าอีก ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านข้อความ

จากพี่ขรรค์ บอกว่าขอกลับก่อน มีธุระ “อีกแล้ว! สัญญาไม่เป็นสัญญาเลย” ผมกดปิดมือถืออย่างขัดใจ นี่ถ้าไม่อายไอ้กริชจะถอดแบตเตอรี่ออกมาด้วยเลย “ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องเจอ!” น้อยใจครับ เมื่อเช้ารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยังจะมาหนีหายตัวไปอีก แล้วจะมีแฟนไว้ทำไมล่ะถ้าชีวิตนี้เราอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง จะทุกข์จะสุขจะเหงา เราก็สามารถผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ถึงจะดูดีเป็นคนเข้มแข็งแต่เป็นแบบนี้ อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือไง

ผมหันหน้าไปมองไอ้กริช มันก็ได้วะ อยู่ตรงนี้พอดี

“ปะ กูเลี้ยงเหล้าตอบแทนให้ของกู ถึงจะไม่ตั้งใจให้กูก็เหอะ” ผมแขวะแต่มันยังไม่สำนึก พยักหน้ายิ้มเห็นฟันสามสิบสองซี่ ดีใจล่ะสิมึงได้กินเหล้าฟรี แต่ถ้าริสั่งชีวาส กูหนีกลับจริงๆด้วย แพง!

คืนนั้นทั้งคืนผมปิดโทรศัพท์อยู่กินเหล้ากับไอ้กริชสองต่อสองในสถานบันเทิงของวัยรุ่น กินไปมองผู้หญิงเต้นไป มีความสุขครับ ถึงผมจะมีแฟนเป็นผู้ชายแต่ผมก็ยังชอบผู้หญิงนะ แค่ผมมีแฟนเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง งงมั้ย?

ช่างมันเถอะ อย่าไปคิด แค่นี้ผมก็รันทดแฟนทอดทิ้งจะแย่แล้ว ดีที่มีไอ้กริชอยู่เป็นเพื่อนแก้เซ็ง ผมบ่นกับตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าทำให้อีกคนหนึ่งที่อยู่ไกลหงุดหงิดจนหน้าดำหน้าเขียวไปหลายรอบ เนื่องจากโทรหาแล้วไม่ติด และจากสาเหตุนี้เองที่ทำให้ผมได้รับของขวัญมาอีกหนึ่งชิ้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่าง

ผมกลับมาบ้านได้ยังไงก็พอจำได้ เมื่อคืนดื่มไปเยอะจนเกลี้ยงกระเป๋า และสุดท้ายไอ้กริชก็ต้องช่วยออกค่าเหล้าแถมพามาส่งถึงบ้านตอนตีสามนี่เอง กะว่าจะโดดเรียนนอนสลบอยู่บนเตียงไปทั้งวันถ้าไม่มีอะไรอุ่นๆมาสัมผัสบนใบหน้าจนรำคาญ

“อือ...รำคาญจริง” ผมปัดออกแต่มือกลับถูกกุมไว้ ทำให้ผมรีบลืมตาตื่น

“พี่ขรรค์!” แสงสว่างยามเช้าทำให้ต้องหยีตามองใบหน้าคมคายลอยเด่นอยู่ตรงหน้าอย่างแปลกใจ “พี่เข้ามาได้ยังไง” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามในขณะที่มืออีกฝ่ายยังคงลูบแก้มและจับจ้องใบหน้าผมนิ่งก่อนจะค่อยๆคลายยิ้ม ซ่อนอะไรบางอย่างไว้หลังแววตารักใคร่

ไอ้อาการเมื่อครู่นี่มันหมายความว่ายังไง ขนลุกซู่เลย

“พี่มารับวาลย์ไปมหาลัย แต่แม่บอกว่ายังไม่ตื่นเพราะเพิ่งกลับมาใกล้สว่างนี่เอง”

คำพูดเรียบเรื่อยแต่ทำเอาผมหดขาหดแขนซ่อนใต้ผ้าห่ม ด้วยรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของฝ่ายตรงข้ามจนแทบส่างเมาเป็นปลิดทิ้ง

“ไปกินเหล้ากันมาเหรอ กลิ่นคลุ้งเชียว น้ำท่าก็ไม่อาบด้วย”

ผมพยักหน้ารับ รู้สึกผิดนิดๆทั้งที่ไม่ควร ก็พี่ผิดคำพูดก่อนนี่ แค่ปิดโทรศัพท์หนีเที่ยวแค่นี้ไม่ต้องมาโมโหกันเลย ผมปลอบใจตัวเองด้วยรู้สึกระแวงคนตรงหน้าพิกล

“สนุกมั้ย” พี่ถาม ผมก็พยักหน้าตอบอีกครั้ง มองพี่ขรรค์คลึงมือผมเล่น “ดีแล้วล่ะ เพราะเมื่อวานพี่ถูกที่บ้านตามให้กลับไปช่วยงานเลยผิดนัด พี่ขอโทษนะ” พี่ขรรค์ยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผากให้

“พี่...พี่ขรรค์ไม่โกรธที่วาลย์ปิดโทรศัพท์เหรอ” เจอไม้นวมนี่เข้าไป ผมเลยตกหลุมเผลอสารภาพผิดซะงั้น

“จะโกรธทำไม พี่ผิดเอง แต่เป็นห่วงที่ติดต่อวาลย์ไม่ได้ กลัวจะเป็นอะไรที่พี่ไม่รู้” คราวนี้เจอหมัดฮุกหมัดนี้เข้าไปอีก ผมเลยยอมศิโรราบ ก็พี่แกเล่นทำหน้าสำนึกผิดประกอบ เห็นแล้วน่าปลอบน่ากดอย่างยิ่ง

ผมขอโทษพี่ขรรค์เบาๆแล้วดึงหน้าสวยๆนั้นลงมาจูบจนหนำใจไปเลยครับ ซักพักพี่ขรรค์ทำจมูกฟุดฟิดไม่รู้ว่าเหม็นที่ผมยังไม่ได้อาบน้ำหรือเปล่า

“วาลย์เปลี่ยนน้ำหอมใหม่เหรอ ไม่คุ้นเลย”

“คะ...ครับ” โล่งอกไป นึกว่าเหม็นขี้เต่า ดีนะที่เมื่อคืนยอมให้ไอ้กริชลองน้ำหอมบนเสื้อ มันคงกลัวว่าผมจะเอาไปเพราะงกแล้วไม่ใช้ เลยให้ผมแกะออกมาลองฉีดให้ดูเป็นบุญตาของมัน

พอแกะได้มันก็คว้าหมับเอาไปถือแล้วฉีดใส่แถวหน้าอกกับซอกคอผมทันที พร้อมกับพัดไปพัดมาให้น้ำหอมฟุ้งกระจาย

“อะ...ลองดมดิ หอมเปล่า” ไหนๆมันก็ประเคนให้ถึงตัวแล้ว ผมเลยยกเสื้อขึ้นมาดม
“อืม...หอม น้ามึงจมูกดีว่ะ”

“เหรอ...งั้นกูขอ...”

“เฮ้ย!” ผมรีบยึดขวดน้ำหอมในมือมันคืนมา แล้วยัดใส่กระเป๋าเป้ กลัวมันเอาคืนเพราะกลิ่นนี้หอมจริงๆครับ “ให้แล้วห้ามเอาคืนเว้ย”

“เปล่า ไอ้งก! กูแค่จะลองดมดู กูยังไม่ได้กลิ่นเลย”

อารมณ์กำลังเมาๆเลยมองมันยื่นหน้าเข้ามาดมแถวซอกคอ พอดีกับที่โต๊ะข้างๆกระแทกเข้ามาจนตัวไอ้กริชเข้ามาปะทะตัวผม ฝั่งจมูกลงไปดมกลิ่นเสียเต็มปอด ผมขำพรืดกับความเซ่อซ่าของมัน

“ไง...ตัวกูหอมมั้ย”

“เจ็บ...ยังมาปากดีอีก” มันถอนหน้าออกไปแล้วยกมือขึ้นถูจมูกตัวเองที่กระแทกเข้ากับไหปลาร้าผม สงสัยเพราะเจ็บมันเลยหลบตาผมวูบวาบ

แล้วผมกับมันก็ก๊งเหล้ากันต่อจนได้เวลาลากสังขารกลับมานอนบ้านนี่ล่ะ

“หอมมั้ย”

“อืม...ก็หอมดี” พี่ขรรค์ก้มหน้าลงมาประทับจูบบนริมฝีปากผมอีกครั้งแล้วผละออกห่างเล็กน้อย

“ไอ้กริชให้มา เมื่อคืนเลยลองฉีดดมกัน” ผมบอกที่มาที่ไปให้รู้ แต่ดูถ้าพี่ขรรค์จะไม่ชอบให้ใครหน้าไหนมาเกาะแกะแฟนตัวเอง เห็นได้จากหัวคิ้วพี่แกแทบผูกกันได้

“คนนั้น” อีกแล้วเหรอ เหมือนผมได้ยินประโยคนี้ต่อท้ายด้วยแต่ฟังไม่ถนัดเลยผ่านไป

“ใช่ ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ”

“อืม...ให้ในโอกาสอะไรเหรอ” พี่ขรรค์ถามไปพลางปดกระดุมเสื้อผมไป

“อ๋อ ปีนี้มันบอกว่าต้องไปเชียงใหม่กับครอบครัว ไม่ได้อยู่กินเหล้าฉลองปีใหม่ เลยซื้อของแจกเพื่อนๆแทน” ผมมองสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างของอีกฝ่าย ก่อนพี่ขรรค์จะถอดเสื้อคลุ้งกลิ่นน้ำหอมโยนลงตะกร้าผ้าสำเร็จ

“พี่ก็มีอะไรมาให้วาลย์เป็นของขวัญปีใหม่เหมือนกันนะ”

ผมตาเป็นประกาย ของฟรีชอบครับ “ให้อะไรวาลย์? แต่วาลย์ไม่ได้เตรียมอะไรให้พี่เลยนะ”

“พี่อยากให้ ไม่ใช่อยากให้วาลย์ต้องมาให้คืนพี่ซะหน่อย”

ผมพยักหน้ารับ แบมือขอดูของขวัญจากพี่ขรรค์ทันที

ของที่ถูกหย่อนลงในมือผมคือ สร้อยคอทองคำประมาณหนึ่งบาทพร้อมเครื่องรางทรงกระบอกหุ่มด้วยทองแกะสลักลวดลายสวยงามจนผมต้องเอามาพิจารณาใกล้ๆ

“ข้างในเป็นพระหรือตะกรุดครับ” ผมค้อมศีรษะให้พี่ขรรค์สวมลงคอ

“เป็นตะกรุด พี่ได้มาจากพ่ออีกที จะได้ช่วยคุ้มครองวาลย์”

ปลื้มมั้ยล่ะครับ มีแฟนแสนดีคอยเป็นห่วงเป็นใยอยู่ตลอดเวลา ไอ้ที่ว่าไว้ก่อนหน้านี้เป็นอันยกเลิกนะครับ

ผมปลาบปลื้มกับของขวัญที่สูงค่าและมากด้วยคุณค่าอยู่พักหนึ่ง พี่ขรรค์ก็หยิบขวดแก้วใสผนึกหนาแน่นขนาดย่อม ภายในมีแท่งไม้สีขาวกับสีดำอยู่ในน้ำมันวางลงบนมืออีกชิ้นหนึ่ง

“อะไรครับ?”

“สร้อยนั่นพี่ไว้ให้ติดตัว แต่อันนี้พี่ให้เอาไว้ที่บ้านนะ เป็นของศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน”

ผมมองของศักดิ์สิทธิ์รูปร่างแปลกตาอย่างแปลกใจตงิดๆ แต่เป็นของที่คนรักให้ย่อมต้องดีอยู่แล้ว จึงได้แต่รับไว้ตาปริบๆโดยไม่รู้อะไรเลย

“แล้ววาลย์ต้องทำยังไงด้วยมั้ย หรือไว้บูชาในห้องพระทั่วๆไป”

“ก็ทั่วไปล่ะ หรือวาลย์จะบูชาไว้ในห้องนี้ก็ได้ แต่ต้องไว้ที่สูงๆนะ”

“งั้นวาลย์จะไว้ในห้องนี้ล่ะ เวลาเห็นจะได้นึกถึงคนให้”

พี่ขรรค์หยิกแก้มผมเบาๆพลางยิ้ม “ของศักดิ์สิทธิ์เพราะฉะนั้นวาลย์ต้องถวายของคาวของหวานอย่าได้ขาดนะ อุตส่าห์ได้มาบูชาแล้วก็ตั้งใจทำรู้มั้ย”

“ครับ” ผมรับไว้ด้วยความยินดี เพราะอย่างน้อยของศักดิ์สิทธิ์ก็กันผีให้กับคนขี้กลัวอย่างผมได้

ไม่รู้ว่าผมหูแววไปรึเปล่าถึงได้ยินเสียงเหมือนพี่ขรรค์ถอนใจคล้ายโล่งอก นัยน์ตาพี่แกก็แปลกกว่าทุกที หรือเพราะวันนี้ยังเมาค้างเลยรู้สึกว่าหูแววบ่อยจัง

“แล้ววันนี้จะไม่ไปเรียนแล้วใช่มั้ย”

“อืม... ถ้าพี่ขรรค์สัญญาว่าจะไม่เบี้ยวข้าวเย็นวันนี้อีก รอซัก10นาที เดี๋ยวออกไปพร้อมกันเลย”

“โอเค วันนี้ไม่เบี้ยวแล้ว”

ผมรีบสลัดผ้าห่มออกจากตัว วางขวดแก้วใสบนหัวเตียงอย่างทนุถนอม ก่อนวิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำ

วันนี้ได้ของขวัญเพียบ อาการงอนเลยหายเกลี้ยง ผมก้มมองสร้อยคออย่างอิ่มเอิ่บใจ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ผมมีเพื่อนใหม่มาอยู่ด้วยในห้องถึงสองตนแล้ว...

ชีวิตผมคงเปลี่ยนไปจากนี้แน่นอน!

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ขรรค์มองคนรักหายเข้าไปในห้องน้ำสักครู่ก่อนหันมองไปทางหัวเตียง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม

“พ่อฝากพี่เขาด้วยนะรัก-ยม ดูเเลพี่เขาหน่อย ถ้าเกิดอะไรขึ้นรีบไปบอกพ่อนะ แล้วจะเอาขนมมาให้เยอะๆ”

“ครับ”

เสียงเด็กสอดประสานรับคำขึ้นพร้อมเพรียง ทำให้ขรรค์ยิ้มพอใจและเลยมองไปทางห้องน้ำอีกครั้ง

คราวนี้ถึงจะปิดมือถือก็ไปไม่พ้นหรอก เจ้าตัวดี!




จบตอน


 :sad4: พี่ขรรค์เเอบน่ากลัว สงสารวาลย์ กลัวอะไรได้ยั่งงั้น กร๊ากกกกกกก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2010 13:17:55 โดย jeab_u »

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เย้ยยย  พี่ขรรค์เลี้ยงผีด้วยเหรอเนี่ยะ
งั้นพ่อพี่ก็หมอผีน่ะสิ

ออฟไลน์ dukdikdukdik

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-3
55+ เราดันมาอ่านตอนกลางคืนด้วยนะ

ดีนะที่ไม่มืดมาก 55+  :m15:

พี่ขรรค์โผล่มานิดเดียวแต่ได้ใจไปเลยพี่

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
อยากจะบอกว่า พี่ขรรค์น่ากลัวกว่าผีอีก :sad3:
แค่ปิดมือถือหนีเองนะ
ถึงกับเอาลูกมาฝากเลี้ยง ติดตามทุกฝีก้าวกันเลยทีเดียว
อ่านไปหลอนไป แต่ก็ชอบ รอตอนต่อไป :a1:

b27072010

  • บุคคลทั่วไป
งานนี้มีเฮ .. ไอ่คุณกริชที่แอบคิดเล็กคิดน้อย

คงหมดหวังแล้วแหละ .. พี่ขรรค์นะ

มีคนคุ้นครองวาลย์แล้วแบบขยับนิดขยับหน่อยก็รู้แล้ว

งานนี้ไม่รอดพ้นสายตาของพี่ขรรค์ได้แล้วแหละ

ปล. อยากให้มาลงทุกวันนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด